ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาค 2 ตอนที่ 34-37

 ตอนที่ 34 แขกมาเยือน

โดย

Xiaobei

                เมื่อกลับมาที่เรือนจินถง ฉินเกอคอยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางกล่าวอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ฮูหยินน้อยเพิ่งแต่งเข้าบ้านมา แล้ววันนี้พูดจากับฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเช่นนี้ ทั้งยังพูดต่อหน้าฮูหยินด้วย วันหน้าเกรงว่าทั้งฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองจะจงใจสร้างความลำบากให้แก่เรือนจินถงของเรานะเจ้าคะ!”


                ยังไม่ทันสิ้นเสียงนาง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังไม่ได้พูด นางเฮ่อก็ตำหนินางขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าจักรู้สึกสิ่งใด? นางหลิวและนางตวนมู่นั้น ความจริงแล้วก็มีชาติกำเนิดในหกตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล แต่หากนับกันเรื่องฐานะของฝั่งฝ่ายหญิงแล้วหรือจะเทียบได้กับฮูหยินน้อยของเรา? ยิ่งไม่ต้องบอกว่าถึงแม้พวกนางจะมีฐานะทัดเทียมกับฮูหยินน้อย แต่ยามนี้ก็ล้วนเป็นสะใภ้บ้านเสิ่นเช่นกัน คุณชายของพวกเรายังเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของตระกูล มีคำกล่าวว่าภรรยาย่อมสูงส่งด้วยสามี ต่อให้พวกนางเป็นพี่สะใภ้ แต่ฐานของฮูหยินน้อยของเราในภายหลังก็จะสูงกว่าพวกนาง! ฮูหยินน้อยหรือต้องเกรงกลัวพวกนาง?”


                ฉินเกอหน้าแดงหูแดง แล้วแก้ต่างว่า “ท่านอาเฮ่อ ข้าน้อยเพียงแค่เป็นห่วงฮูหยินน้อยเท่านั้นเท่าค่ะ.. อย่างไรฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองก็แต่งเข้ามาก่อน และมีอำนาจรากฐานเดิมอยู่ในเรือนหลังแล้ว”


                “เชอะ! พวกนางกล้าสร้างความลำบากให้แก่ฮูหยินน้อยของเรา ข้า…” นางหวงรีบดึงนางเฮ่อที่ม้วนแขนเสื้อขึ้นมาเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “น้องเฮ่อเจ้าช้าก่อนเถิด! ฉินเกอก็มิใช่คนนอก เจ้าจะทำให้นางตกใจหรือ?”


                เมื่อเตือนนางเฮ่อได้แล้ว นางหวงก็พูดต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ที่น้องเฮ่อพูดก็มีเหตุผล เป็นสะใภ้เช่นเดียวกัน แม้จะโตกว่าอ่อนกว่า แต่ทั้งท่านประมุขและฮูหยินล้วนยังอยู่ ไม่ใช่กงการของฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองจะมาชี้ไม้ชี้มือสั่งฮูหยินน้อยของเรา”


                ท่านอาทั้งสองท่านล้วนพูดเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่เอ่ยคำ ฉินเกอก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก ในห้องพลันเงียบลงทันใด


                เว่ยฉางอิ๋งคาดผ้าคาดเอวด้วยตนเอง ฉินเกอและเยี่ยนเกอคุกเข่าลงช่วยนางจัดกระโปรง หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินไปนั่งที่ตั่งข้างหน้าต่าง นางเฮ่อ นางหวงเดินตามไปยืนอยู่ใกล้ๆ เว่ยฉางอิ๋งบอกให้พวกนางไม่ต้องมากพิธี เพียงแค่นั่งลงสนทนากันบนตั่งกลมประดับลายเป็นพอ แล้วจึงกล่าวว่า “ข้าคิดว่า ข้าเพิ่งจะเข้าบ้าน พี่สะใภ้รองก็เริ่มหาเรื่องข้าแล้ว ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่ก่อนนี้ยังนึกว่าท่านอาหวงช่วยรักษาน้องสิบของนาง ตามหลักแล้วก็ควรจะไว้หน้าข้าบ้างสักน้อย แต่แล้วสุราที่จัดเลี้ยงกันที่เรือนซินอี๋คราก่อน ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ปกติ และจักต้องมิใช่การประสงค์ดีอันใด! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยข้ายังต้องคอยไปทำดีกับพวกนางอีก?”


                นางหวงยิ้มแล้วว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องนัก หากฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองยอมอยู่กันอย่างสงบไม่ก่อเรื่องราว พวกเราเองก็หาใช่พวกที่ชอบหาเรื่อง แต่ยามนี้ทั้งสองท่านเป็นฝ่ายมาหาเรื่องก่อน พวกเราก็หาได้เป็นผู้ที่กลัวจะมีเรื่อง! หากว่ากันเรื่องชาติกำเนิด ฮูหยินน้อยก็มิได้ต่ำต้อยกว่าฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรอง หากว่ากันเรื่องหน้าตายามอยู่ต่อหน้าฮูหยิน ลำพังเพียงเรื่องปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ ก็เป็นฮูหยินน้อยของเรามีหน้ามีตามากที่สุด หากว่ากันเรื่องความสามารถและความเอาใจใส่ของสามี คุณชายใหญ่และคุณชายรองหรือจะเทียบกับคุณชายของเราได้? ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองอยากจะสู้ อย่างนั้นก็สู้กันเสียเลย! เรือนของเรามีคนตั้งมากมายเช่นนี้ ยังกลัวว่าจะปกป้องฮูหยินน้อยไม่ได้หรือ?”


                นางเฮ่อยกมือขึ้นมาลูบหมัดอีกข้างด้วยความพลุ่งพล่านพร้อมเข้าสู้ “ฮูหยินน้อยของพวกเราจะเป็นนายหญิงของบ้านตระกูลเสิ่น ยังต้องกลัวพวกนางรึ! พี่หวงท่านว่าต่อไปพวกเราจะต้องทำอย่างไร?”


                “ต่อไปน่ะหรือ…” นางหวงมองนางอย่างขำขันคราหนึ่ง แล้วว่า “ไม่ทำสิ่งใดทั้งนั้น!”


                นางเฮ่อที่กำลังเฝ้ารอการประมือครั้งใหญ่พลันผิดหวังนักหนา “หา?”


                “วันนี้ฮูหยินน้อยกวาดเอาหน้าตาของฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองไปหมดแล้ว” นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เท่านี้พอเสียก่อน ฮูหยินจักคิดว่าฮูหยินน้อยวู่วามด้วยอายุยังน้อย ไม่ยอมให้พวกพี่สะใภ้ข่มเหงรังแก ด้วยก่อนนี้ฮูหยินน้อยถูกเอาใจยามอยู่ในตระกูลเว่ย อย่างมากฮูหยินก็เพียงยิ้มๆ ให้เรื่องผ่านไป แต่หากพวกเรายังคงรุกคืบบีบคั้นคนต่อไป ฮูหยินก็จะรู้สึกว่าฮูหยินน้อยไม่รู้จักสำรวมและเจ้าโทสะเกินไป!”


                เหมือนเห็นว่าสีหน้าของนางเฮ่อเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ นางหวงจึงกล่าวเตือนไปอีกว่า “ครานี้พวกเราได้เปรียบ เจ้าว่าฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองเป็นคนที่พอเสียเปรียบแล้วก็จะทนยอมรับหรือ? พวกนางไร้น้ำใจก่อน พวกเราโต้ตอบ ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว… สรุปแล้ว คุณชายของพวกเราได้รับการสนับสนุนจากในตระกูล แล้วพวกเราจะร้อนใจไปไย? ผู้ที่ควรต้องร้อนใจก็คือบ้านใหญ่และบ้านสองจึงจะถูก!


                นางเฮ่อตาลุกวาวขึ้นมา เห็นท่าทีนางเช่นนี้คงกำลังคิดว่าปานนี้บ้านใหญ่และบ้านสองคงจะร้อนใจจนแทบตาย และอยากจะลงไม้ลงมือกับบ้านสามเสียในทันใด ครานี้นางจะได้เป็นหัวหอกสำคัญในเรื่องนี้เสียเลย… ดังนั้นในยามที่นางหวงอยู่ปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งตามลำพัง จึงเอ่ยเรื่องจะหาคู่คอรงให้แก่นางเฮ่อขึ้นมา “ก่อนนี้น้องเฮ่อคอยดูแลฮูหยินน้อย ต้องคอยจัดการเรื่องน้อยใหญ่ให้ฮูหยินน้อย ยามนี้แม้พวกสาวใช้ตัวน้อยล้วนเป็นนางคอยดูแล แต่เรือนจินถงก็มิได้ใหญ่โตกว่าเรือนเสียซวงเท่าใด แต่พ่อบ้านกลับมีอยู่หลายคน น้องเฮ่อจึงว่างลงอย่างมาก”


                เรือนจินถงในยามนี้ นอกจากเรือนในชั้นแรกที่มีเสิ่นจวี้และเสิ่นเตี๋ยคอยดูแลอยู่แล้ว เรือนชั้นหลังอีกสองชั้นย่อมเป็นพวกท่านอาเป็นคนดูแล เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนมอบหมายให้นางหวงเป็นผู้ดูแล ส่วนนางว่านนั้นเนื่องด้วยเป็นแม่นมของเสิ่นจั้งเฟิงทั้งยังรู้จักเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวาง จึงไม่อาจให้นางว่างอยู่เฉยๆ ดังนั้นโดยนามแล้วจึงเป็นนางว่านและนางหวงดูแลด้วยกัน


                 บ่าวทำงานหนัก สาวใช้ และบ่าวทั่วๆ ไปล้วนได้รับการควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัด ซึ่งความจริงแล้วเป็นนางเฮ่อนั่นเองที่คอยควบคุมอยู่อย่างเคร่งครัด… สาวใช้เช่นพวกของจูหลาน เดิมทีก็เป็นนางเฮ่อสอนสั่งมาจนโต ส่วนสาวใช้ของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นมีจำนวนน้อยมาก ต่อให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดก็จะต้องพยายามไปหานางว่านหรือเสิ่นจั้งเฟิง นางเฮ่อเองก็ดูเหมือนจะมิได้ตบตีดุด่าเช่นที่เคยทำกับพวกของจูหลาน หากเป็นครั้งที่ยังอยู่ที่รุ่ยอวี่ถัง นางเฮ่อยังสามารถออกไปเดินข้างนอกและไปสนทนากับญาติสนิทมิตรสหายบ้าง แต่ยามนี้ยังไม่ต้องบอกว่าคนทั้งบ้านตระกูลเสิ่นล้วนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง นางหวงก็ยังเตือนนางไว้ว่าเว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะแต่งเข้าบ้าน หากคนที่ติดตามมาหละหลวมเกินไป จะทำให้คนตระกูลเสิ่นดูแคลนเว่ยฉางอิ๋งเอาได้ และจะคิดว่าบ่าวไพร่ตระกูลเว่ยไร้กฎระเบียบถึงเพียงนี้ หากมิได้เป็นเพราะคำสอนของตระกูลเว่ยไม่ดี ก็เป็นเพราะตัวคุณหนูเว่ยฉางอิ๋งเองที่จนหนทาง แม้แต่บ่าวก็ยังดูแลไม่ได้


                เมื่อนางเฮ่อได้ยินคำกล่าวนี้ย่อมถูกกระตุ้นจนตื่นตระหนกขึ้นมา จึงคอยควบคุมดูแลเสียจนหากไม่มีความจำเป็นใด ทุกคนล้วนไม่กล้ากร่ำกรายออกไปนอกเรือน


                …เมื่อไม่ออกนอกเรือน ทุกสิ่งในเรื่องล้วนเป็นของใหม่ ก่อนหน้านี้สองสามวันยังพอมีงานจัดวางของประดับต่างๆ เข้าไปเพิ่มเติม แต่ยามนี้ก็ว่างลงเป็นอย่างมาก ด้วยนิสัยใจร้อนของนางเฮ่อมีหรือจะทนไหว? เช่นนี้ก็มิใช่ว่า…ว่างเสียจนหวังให้เกิดเรื่องเกิดราวบ้างอย่างขึ้นมาเสียทีหรอกหรือ


                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามว่า “คราก่อนที่ให้ท่านอาไปลองสอบถามดู มีตัวเลือกที่เหมาะสมบ้างหรือไม่?”


                นางหวงยิ้มเจื่อนพลางว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ…”


                “โธ่เอ๊ย ลองสอบถามต่อไปอีกเถิด” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจหนหนึ่ง


                จะอย่างไรก็ไม่ควรเป็นเพราะรู้สึกว่านางเฮ่อว่างเกินไป จึงไม่ต้องไปสนใจเรื่องใดและจับคู่ใครสักคนให้นางไปส่งเดขกระมัง?


                เมื่อยังไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม เรื่องส่วนตัวของนางเฮ่อก็ย่อมต้องพักเอาไว้ก่อน นางหวงจึงเอ่ยถึงข่าวคราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ไปสอบถามมาได้จากทางหม่านโหลว “ช่วงหลังเที่ยง ข้าน้อยให้คนไปส่งผลไม้ให้แก่หม่านโหลว นางกระซิบบอกมาเรื่องหนึ่งว่า ก่อนเที่ยงท่านน้ากัวไปคารวะฮูหยิน ฮูหยินบอกว่าเหนื่อยแล้ว ให้ท่านน้ากัวยืนรออยู่ภายในลานบ้าน และยืนอยู่จนถึงตอนที่ข้าน้อยนำผลไม้ไปส่งก็ยังมิได้ถูกเรียกเข้าไปเลยเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะแล้วว่า “เดิมทีที่นางซึ่งเป็นเพียงท่านน้าคนหนึ่งแล้วไปสอบถามเรื่องหลังบ้านของคนในรุ่นคุณชายก็นับว่าไม่ถูกต้องตามหลักการอยู่แล้ว! พวกเราซึ่งเป็นคนรุ่นหลังเห็นแก่หน้าของท่านพ่อจึงไม่สะดวกจะเอ่ยสิ่งใด แล้วเมื่อท่านแม่กลับมา มีหรือจะปล่อยนางไปง่ายๆ?”


                แล้วว่า “ก่อนนี้ครั้งท่านยายกำลังป่วย พี่สะใภ้รองไปช่วยวุ่นหน้าวุ่นหลังกับท่านแม่ แม้แต่มารดาของนางก็ยังถูกรบกวนไปด้วย และต้องออกหน้าไปเชิญคุณหนูแปดตวนมู่ด้วยตนเองเพื่อให้มารักษาที่จวน ความชอบนี้ของพี่สะใภ้รองยังมิทันได้รับการชมเชยเลย กลับกลายเป็นว่าไปถูกพี่รองทั้งตบตีทั้งด่าทอไปเสียก่อน ทั้งยังทำต่อหน้าทุกคนในบ้านสองอีกด้วย! แม้ท่านแม่จะช่วยพูดกับพี่สะใภ้รองและตระกูลตวนมู่ แต่ก็จะไม่มีวันปล่อยท่านน้ากัวไปแน่… ก็ผู้ใดให้ท่านน้ากัวเป็นเพียงท่านน้า ส่วนพี่รองนั้นไม่เพียงเป็นบุตรชายของตระกูลเสิ่น ก็ยังเป็นบุตรเขยของตระกูลตวนมู่ด้วยเล่า? ตระกูลตวนมู่จึงยอมผลักภาระให้แก่ท่านน้ากัว เพื่อมิให้บุตรสาวบ้านตนเข้าหน้าบุตรเขยไม่ติดน่ะสิ!”


                นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ยามนี้ฮูหยินน้อยมองเรื่องราวต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว”


                “จะว่าไปล้วนเป็นท่านอาสอนมาดี” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากอมยิ้มพลางว่า


                ทั้งสองคนสนทนาสรรเพเหระกันอีกสักพัก เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาจากทำงาน เมื่อรับเขาเข้าประตูมา อีกไม่นานก็ถึงเวลาทานอาหารเย็น


                ยามกลางคืน สองสามีภรรยารุกเร้ากันเช่นที่เคยทำหนหนึ่ง เสิ่นจั้งเฟิงไล้ไปบนแนวสันหลังผุดผ่องของภรรยา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “วันพรุ่งข้าจักกลับมาให้เร็วสักหน่อย”


                “หือ?” เว่ยฉางอิ๋งซุกตัวอยู่บนแผ่นอกของเขา หน้าผากติดอยู่ที่ใต้คางเขา พลางสอบถามไปลอยๆ คำหนึ่ง


                มือของเสิ่นจั้งเฟิงที่ไล้บนสันหลังของนางพลันเลื่อนลงไปข้างล่าง เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่าเขาคิดไม่เข้าทีแล้ว… ทั้งสองคนจึงเกิดเอะอะกันขึ้นมาสักพักหนึ่ง แล้วจึงนอนลงดีๆ อีกหน เสิ่นจั้งเฟิงงับไปบนลำคอของภรรยาอย่างไม่เบาไม่หนักสองสามหน แล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “มีเรื่องเล็กน้อยต้องปรึกษากัน จึงขอให้พวกพ้องแลกกะงานกับข้า”


                เว่ยฉางอิ๋งร้องอ้อออกมาหนหนึ่ง “ต้องการให้ข้าตระเตรียมสิ่งใด?”


                “เลือกสาวใช้สองคนไปช่วยดูแลข้างหน้า” เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “แล้วเตรียมของว่างและผลไม้สักหน่อย”


                เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “จะมาทั้งหมดกันกี่คน ต้องการสาวใช้เท่าใด?”


                “คนกลับไม่มาก” เสิ่นจั้งเฟิงตอบอย่างเกียจคร้านว่า “เพียงสามคน จื่อหมิงและสือหลี่เจ้าล้วนรู้จักแล้ว คนสุดท้ายแซ่เหนียน นามเล่อมู่ ส่วนนามรองนั้นกลับไม่ค่อยพบเห็นนัก คือเซิงย้าว”


                เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “กู้จื่อหมิงคือกู้อี้หราน ข้ารู้จักแล้ว แต่สือหลี่คือผู้ใด? เหนียนเซิงย้าว… เมืองหลวงมีตระกูลใหญ่แซ่เหนียนด้วยหรือ?”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางไล้ผมยาวของนาง กล่าวว่า “ลืมบอกกับเจ้าไป สือหลี่เป็นนามรองของหลิวซีสวิน”


                “ที่แท้เป็นคุณชายตระกูลหลิว” เว่ยฉางอิ๋งถามอีกว่า “แล้วเหนียนเล่อมู่ผู้นี้?”


                “ท่านเหนียนเป็นที่ปรึกษาของข้า มีความสามารถยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มีชาติกำเนิดที่แร้นแค้นนัก หาใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่ไม่ หาไม่แล้วชื่อเสียงของเขาจะมีไม่วันด้อยกว่าข้า” เสิ่นจั้งเฟิงกอดนางเอาไว้ แล้วแนบแก้มของตนถูบนหน้าผากนางอย่างเนิบนาบ จนถูกเว่ยฉางอิ๋งหยิกเอาสองหนจึงได้ยอมปล่อย แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าเห็นเจ้าสาวใช้ที่ติดตามเจ้ามาหลังแต่งงาน ที่มีชื่อขึ้นต้นว่าจูสองสามคนนั้นหน้าตางดงาม วันพรุ่งก็อย่าได้ส่งพวกนางไปเล่า”


                เว่ยฉางอิ๋งงุนงง แล้วว่า “เหตุใด? ไม่ส่งพวกนางไป หรือว่าให้ใช้พวกสาวทำงานหนักหรือจะให้สาวใช้ข้างกายข้าไป?”


                “ก็เพียงแค่ไปดูแลเรื่องน้ำชา เลือกจากพวกบ่าวทำงานหนักไปสองสามคน เอาพวกที่เจ้าไม่ค่อยใส่ใจนัก” เสิ่นจั้งเฟิงกระแอมไอหนหนึ่งอย่างอึดอัดใจ “ท่านเหนียน…ชื่นชอบทำเรื่อง…กับสาวใช้หน้าตางดงาม… แต่เขาก็มิได้มีเจตนาร้าย ก็เพียงชอบแค่หาเศษหาเลยด้วยวาจาบ้างมือบ้างเล็กๆ น้อยๆ คนที่เขาเคยเย้าหยอกเมื่อก่อนนี้ข้าล้วนยกให้เขาไปหมดแล้ว แต่พวกของจูหลานเป็นคนของเจ้า…”


                “…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จึงว่า “ข้ารู้แล้ว พวกของจูหลานนั้นข้าตัดสินใจว่าจะหาคนที่เหมาะสมให้พวกนางแล้ว จึงไม่อาจยกพวกนางให้ได้ แต่ให้สาวใช้ที่ดูแลใกล้ชิดข้าออกไปดูแลแขกก็ไม่เหมาะกระมัง? เช่นนั้นก็เลือกบ่าวทำงานหนักหลังเรือน เอาที่คล่องแคล่วสักคนสองคนมาแต่งเนื้อแต่งตัวออกไปก็แล้วกัน… แต่เมื่อว่ามาดังนี้ ความจริงแล้วคนที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่เพียงพอ ยังต้องหาอีกคนสองคนที่ออกไปดูแลรับใช้ได้และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนมาขอไป?”


                เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวว่า “วันพรุ่ง เจ้าก็ส่งผู้ใดก็ได้ไปดูแลรับใช้ข้างหน้าก่อนสักสองสามคน ส่วนเรื่องที่จะหาคนไปเพิ่มนั้น หากว่าคนในเรือนเราไม่พอใช้สอย เจ้าก็ดูเรื่องซื้อมาเพิ่มเป็นพอแล้ว เดิมทีคนในเรือนเราก็ไม่พอ หากยามนี้ซื้อมาก็ยังลงบัญชีกลางได้”


                “วันพรุ่งข้าจะลองไปถามท่านอาเฮ่อดู เพราะสาวใช้ตัวน้อยล้วนเป็นท่านอาเฮ่อดูแล” เว่ยฉางอิ๋งร้องออกไปว่า “แต่ว่าคนที่จะเอาไปเพิ่มข้างหน้านั้น ต้องเลือกที่งามสักหน่อย หรือว่าที่ธรรมดาสักหน่อย?”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ก็มีท่านเหนียนเพียงผู้เดียวที่เป็นเช่นนี้… เจ้าเลือกที่งดงามสักหน่อยคนสองคน แล้วค่อยเลือกที่ธรรมดาสักหน่อย ปีก่อนข้าเพิ่งจะยกให้ท่านเหนียนไปสองคน ตามหลักแล้วยามนี้เขาคงไม่รีบเอ่ยปากขออีกเร็วถึงเพียงนั้น ข้าก็เห็นว่าเจ้าชอบพวกจูหลานสองสามคนนั้นมาก จึงเอ่ยเตือนเจ้าคำหนึ่ง เพื่อมิให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น”


                เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ข้ารู้แล้ว” แต่กลับจดจำเหนียนเซิงย้าวผู้นี้เอาไว้ในใจ ฟังจากน้ำเสียงของเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว เหตุที่เขามาเตือนตนให้ซ่อนพวกจูสือเอาไว้ให้ดี กลับเป็นเพราะหากเหนียนเซิงย้าวเอ่ยปากว่าต้องการคน เสิ่นจั้งเฟิงก็จะไม่ปฏิเสธ?


                หากเป็นดังนี้ เหนียนเซิงย้าวผู้นี้จักต้องมิใช่เป็นเพียงที่ปรึกษาธรรมดาสามัญ หากมิใช่เป็นพันธมิตรที่คบหากับเสิ่นจั้งเฟิงอย่างลับๆ ก็จักต้องมีความสามารถเหนือคน จึงได้รับความสำคัญจากเสิ่นจั้งเฟิงมากเช่นนี้ คนผู้นี้ หากวันหน้าเว่ยฉางอิ๋งมีโอกาสได้พบ ก็จักต้องไม่อาจเพิกเฉยต่อเขา และไม่อาจมองเขาเป็นเช่นบ่าวทั่วไปของสามี


_____________________________


ตอนที่ 35 สาวใช้ลู่จู

โดย

Xiaobei

                วันต่อมา เว่ยฉางอิ๋งเรียกนางเฮ่อมาพูดเรื่องจัดหาคนไปดูแลรับใช้รินน้ำชาเรือนด้านหน้าในช่วงหลังเที่ยง


                แรกเริ่มนั้นนางเฮ่อก็บอกว่าจะให้พวกหลานสาวจูสือสี่คนพาคนอีกสองสามคนไปก็พอแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าในบรรดาแขกที่จะมามีท่านหนึ่งเคยเอ่ยปากขอสาวใช้หน้าตางดงามจากเสิ่นจั้งเฟิง จึงรีบเปลี่ยนคำในทันใด “แขกของคุณชาย พวกของจูสือล้วนไม่เคยได้พบมาก่อน เกรงว่าไม่คุ้นเคยแล้วจักดูแลได้ไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ให้พวกถวนเยวี่ยพาคนไปดีหรือไม่เจ้าคะ?”


                ก่อนนี้นางยังเตรียมคำขออนุญาตกับเว่ยฉางอิ๋งแทนหลานสาวของตนว่าอีกสองปีจะช่วยเลือกคนดีๆ ให้จูสือแต่งงานอยู่เชียว! แล้วระหว่างทางจะให้คนลามกเช่นนี้มาขอคนไปเติมหลังบ้านเขาได้อย่างไร? นางเฮ่อก็หาใช่คนที่ชอบประจบประแจงเข้าหาคน เรื่องสำคัญของชีวิตหลานสาว นางได้วางแผนเอาไว้นานแล้วว่าจักต้องให้หลานสาวแต่งกับคนดีๆ และเป็นภรรยาเอก


                ยิ่งไปกว่านั้นที่ตนคอยติดตามเว่ยฉางอิ๋งซึ่งยามนี้เป็นฮูหยินน้อยตระกูลเสิ่น และในอนาคตจักเป็นนายหญิงตระกูลเสิ่น นางเองก็ไม่ได้ขาดเหลืออำนาจใดๆ ครานี้จึงได้โยนงานไปให้ถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยโดยไม่รั้งรอ…. ประการแรกเพราะสาวใช้ทั้งสองมีหน้าตาขี้เหร่ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีก็เป็นคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเสิ่นจั้งเฟิงอยู่แล้ว และจนยามนี้ก็ยังไม่ได้ถูกขอเอาตัวไป เช่นนั้นเมื่อพวกนางไปข้างหน้าก็ย่อมจะปลอดภัย


                “ถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยจะต้องไปอยู่แล้ว เพียงแต่มีแขกมาสามท่าน จึงไม่อาจให้สาวใช้เพียงสองคนไปดูแลรับใช้?” เว่ยฉางอิ๋งมองดูนางเฮ่อเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว แต่ก็หันมามองตนอย่างเป็นกังวล ท่าทีเช่นนี้ราวกับว่ากลัวตนจะยืนกรานให้จูสือไปดูแลข้างหน้าเช่นนั้น นางจึงรู้สึกขำขึ้นมา… แขกที่มีนามว่าเหนียนเซิงย้าวยังมิทันได้เข้าเรือนมาเลย เขาก็ทำให้แม่นมที่เป็นคนปากร้ายและเก่งกาจมาแต่ไรตกใจเสียแล้ว


                นางเกรงว่าเมื่อนางเฮ่อเห็นตนเองยิ้มแล้วจะทำตัวไม่ถูก จึงก้มหน้าลงปกปิดเอาไว้ พลางพลิกเปิดดูรายชื่อของบ่าวไพร่ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาเลือกไปอีกสักคนสองคน อาศัยที่ตอนนี้ยังพอมีเวลา อบรมไปอีกสักหน่อย เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้สักหน่อย อีกสักพักก็ให้ไปดูแลปรนนิบัติพร้อมๆ กันเถิด”


                เมื่อนางเฮ่อได้ยินว่ามิใช่ต้องให้จูสือไปเสียให้ได้ จึงค่อยโล่งอก แล้วนิ่งเงียบอยู่สักพักจึงเอ่ยถามว่า “ในเมื่อในบรรดาแขกมีผู้ที่ชอบขอสาวใช้งามๆ กลับไม่รู้ว่าควรเลือกที่หน้าตางดงาม หรือว่าเลือกที่หน้าตาธรรมดาๆ เจ้าคะ?”


                คำกล่าวนี้เหมือนกับที่ตนเอ่ยถามเสิ่นจั้งเฟิงวานนี้ไม่ผิดเพี้ยน เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะออกมา “เลือกที่หน้าตาธรรมดาสักหน่อยก็แล้วกัน คนที่พวกเราเคยมอบหมายงานให้ทำอยู่ที่เรือนด้านหน้าก่อนหน้านี้ มีเพียงบ่าวที่คอยพรมน้ำและกวาดพื้น แต่กลับลืมเลือกสาวใช้เอาไว้คอยต้อนรับแขกโดยเฉพาะ หนนี้เลือกสักคนสองคนไปทำหน้าที่นี้พลางๆ ก่อน แล้วค่อยมากำหนดคนรับหน้าที่นี้ให้ชัดเจนภายหลัง”


                นางเฮ่อร้องออกมาว่า “เช่นนั้นแล้ว ตามความเห็นของข้าน้อยก็ยังควรเลือกที่งดงามสักหน่อยเป็นดีเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกฉงนขึ้นมาเล็กน้อย “เหตุใด?” นางก็บอกไปแล้วว่า แม้แขกที่มาจะมีคนที่ชอบลวนลามหญิงงาม แต่เวลานี้ก็ไม่จำเป็นต้องยกคนให้เขาให้จงได้นี่!


                นางเฮ่อรั้งรออยู่สักพัก “นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินน้อยช่วยคุณชายต้อนรับแขก แม้ฮูหยินน้อยจะไม่ออกหน้า ทว่าสาวใช้ที่ส่งออกไปก็แสดงถึงหน้าตาของฮูหยินน้อยด้วย” แล้วเสียงก็ต่ำลง “ฮูหยินน้อยลองคิดดูสิเจ้าคะ หากแขกที่มาเห็นสาวใช้ที่มีหน้าตาเช่นถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยทั้งหมด เมื่อกลับไปจักต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าฮูหยินน้อยทำไม่ถูกต้อง ด้วยฐานะของคุณชายแล้ว ผู้ที่ดูแลใกล้ชิดแม้แต่ที่หน้าตาดีๆ สักหน่อยก็ยังไม่มี! เมื่อเป็นดังนี้หากมิใช่เพราะฮูหยินน้อยเป็นคนขี้อิจฉาแล้วจะเป็นสิ่งใดได้? อย่างไรเสียคุณชายของเราก็เป็นคนมีหน้ามีตา มิสู้ให้พวกที่หน้าตางดงามสักคนสองคนออกไปดูแล เช่นนี้แล้วฮูหยินน้อยก็จะได้ชื่อว่าจิตใจกว้างขวางเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม คุณชายก็จะได้หน้าไปด้วยเจ้าคะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวว่า “ก็เพียงแค่สาวใช้สองสามคน วันนี้พวกเขามาหารือเรื่องสำคัญกัน ผู้ใดจักสนใจมากมาย?”


                แต่นางหวงก็รู้สึกว่าสิ่งที่นางเฮ่อพูดนั้นมีเหตุผล “สาวใช้ที่ทำงานหนักในเรือนของเราก็มีหลายคนที่พอล้างเนื้อล้างตัวสะอาดสะอ้านก็พอจะดูดีขึ้นมาได้เจ้าค่ะ คุณชายและฮูหยินน้อยต้อนรับแขกครั้งแรกหลังจากแต่งงาน ปรากฏว่าสาวใช้ออกไปปรนนิบัติดูแลมีแต่คนหน้าตาอัปลักษณ์ แล้วเรือนของเราจะมีหน้ามีตาได้อย่างไรเจ้าคะ? ทั้งยังจะมองได้ว่าฮูหยินน้อยใจคอคับแคบด้วยเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งอดจะเอ่ยไปไม่ได้ว่า “แล้วหากถูกคนผู้นั้นหมายตา และเอ่ยปากขอขึ้นมาเล่า?”


                นางหวงและนางเฮ่อพลันกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “ก็เพียงแค่บ่าวผู้หนึ่ง ในเมื่อเป็นแขกของคุณชาย หากต้องยกให้ก็ต้องยกให้”


                นางหวงยังบอกอีกว่า “ฮูหยินน้อยนึกว่าการเอาคนเก็บไว้ข้างในไม่ส่งออกไปเป็นการทำเพื่อนางหรือเจ้าคะ ไม่แน่ว่าสาวใช้บางคนก็เฝ้าหวังว่าให้แขกที่มาหมายตานาง เมื่อไปอยู่กับเขาแล้ว และได้เป็นที่รักใคร่ขึ้นมา ต่อให้จะมีฐานะต้อยต่ำเพียงใด อาศัยแค่ความรักใคร่ก็สามารถกินดีอยู่ดีไปชั่วชีวิตนะเจ้าคะ!”


                “ก็มิใช่หรือไร?” นางเฮ่อว่า “โดยเฉพาะในพวกสาวใช้ทำงานหนักก็มีที่หน้าตาดีๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนยินยอมจะทำงานหนักตักน้ำกวาดบ้านอยู่ทุกวี่วัน จนถึงวัยอันควรก็แต่งกับคนรับใช้ในบ้าน… หากเป็นสาวใช้ที่มีความคิดดังนี้ และฮูหยินน้อยยังเก็บพวกนางไว้ในเรือน แล้วสิ่งที่นางคิดหวังไว้จะเป็นไปได้อย่างไร? มิสู้ปล่อยพวกนางออกไป ให้พวกนางไปลองเสี่ยงดวงเอาเอง พวกนางก็จะไม่คิดว่าฮูหยินน้อยไม่รักใคร่พวกนาง หากแต่คิดว่าฮูหยินน้อยเอาใจใส่พวกนางเสียอีก!”


                “…” ท่านอาทั้งสองล้วนคิดเห็นเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อาจไม่ใคร่ครวญให้ดี นางคิดแล้วคิดอีก แล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงหนักๆ ว่า “เช่นนั้นพวกท่านก็ลองไปสอบถามท่านอาว่านดูด้วย หากว่ามีผู้ใดอยากจะอยู่ ก็อย่าได้พลั้งเผลอส่งออกไปเชียว ยังมีอีก คนที่จะส่งออกไปจะต้องสอบถามเป็นการส่วนตัวเสียก่อน หากไม่อยากจะไปจริงๆ ก็อย่าได้ฝืนใจ”


                เว่ยฉางอิ๋งก็เกรงว่านางว่านจะคิดเห็นเป็นอย่างอื่น จึงเรียกนางว่านมาสอบถามต่อหน้าให้ชัดเจน แต่แล้วนางว่านกลับมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับนางหวงและนางเฮ่อ “หลังจากคุณชายและฮูหยินน้อยแต่งงานใหม่ นี่เป็นหนแรกที่มีแขกมาที่บ้าน ตามความเห็นของข้าน้อย ก็ควรจะส่งสาวใช้ที่หน้าตางดงามสักหน่อยออกไป เช่นนี้จึงจะมีหน้ามีตา ท่านเหนียนผู้นั้น ก่อนนี้ข้าน้อยก็เคยได้ยินมาก่อน และเคยขอสาวใช้สองคนที่เคยรับใช้คุณชายไปจริงๆ ทว่าท่านเหนียนก็มิใช่ผู้ที่ไม่รู้จักขอบเขต ปีก่อนเพิ่งจะได้ไปสองคน จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะมาขอไปอีกในยามนี้แน่นอนเจ้าค่ะ”


                เมื่อได้ยินความตามคำนางว่าเห็นสมควรให้ส่งพวกของจูสือสองสามคนออกไปเสียเลย ทั้งยังคิดว่าเมื่อส่งออกไปก็มิเป็นไรอีกด้วย


                แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับอนาคตของหลานสาว ไม่ว่าอย่างไร นางเฮ่อก็ยังไม่วางใจจึงกล่าวว่า “พี่ว่านไม่ทราบ พวกของจูสือนั้นปรนนิบัติฮูหยินน้อยมาแต่เล็ก ล้วนถูกฮูหยินน้อยเลี้ยงดูจนเสียคนแล้ว เกรงว่าจะทำงานนี้ไม่ไหว อย่าได้ทำให้คุณชายเสียงานเลย กลับเป็นว่าถัดลงมายังมีสาวใช้สองสามคนที่อายุมากสักหน่อย แม้ก่อนนี้จะทำงานหนักมาโดยตลอด แต่พวกนางก็สงบเสงี่ยมดี และรูปโฉมไม่เลวเจ้าค่ะ”


                แล้วมีหรือนางว่านจะยังฟังความหมายของนางไม่ออก? นางจึงไม่โต้เถียง เพียงแต่ยิ้มจางๆ “สาวใช้ต้วน้อยล้วนเป็นน้องดูแล น้องว่าดี ก็คิดว่าคงไม่เลว”


                ว่าแล้วก็หารือกันไปมาอยู่พักใหญ่ จึงกำหนดสาวใช้หกคนให้ไปดูแลที่เรือนชั้นหน้า นอกจากถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยแล้ว ก็คือบ่าวที่เดิมที่ทำหน้าที่รดน้ำกวาดลานบ้านและผู้ช่วยในครัวอีกสามสี่คน เว่ยฉางอิ๋งมาดูด้วยตนเอง หน้าตานับว่าพอใช้ได้ หนึ่งในนั้นมีสาวใช้ที่ทำงานในครัวนางหนึ่งที่อายุเพิ่งถึงเกณฑ์ปักปิ่นชื่อว่าลู่จู นางมีคิ้วดังวงพระจันทร์ ดวงตาเป็นประกายสุกใส เมื่อเทียบกับพวกจูสือที่ยังไม่โตเต็มที่แล้วนางยังดูเหนือกว่าถึงเท่าหนึ่ง ท่านอาทั้งสามคนเห็นแล้วล้วนพอใจยิ่ง นางหวงและนางเฮ่อคิดว่าให้สาวใช้เหล่านี้ออกไปต้อนรับแขก อย่างไรก็ตามเว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่ถูกคนหาว่าเป็นภรรยาขี้อิจฉา ที่หึงหวงสามีจนไม่อนุญาตให้มีสาวใช้หน้าตางดงามอยู่ในเรือนหลัง


                ส่วนสิ่งที่นางว่านพึงพอใจกลับเป็นเพราะรู้สึกว่าเมื่อมีลู่จูออกไป เสิ่นจั้งเฟิงก็จะไม่ถูกแขกหัวเราะเยาะเอาได้ว่าถูกภรรยาควบคุมดูแลอย่างเบ็ดเสร็จ จนแม้แต่สาวใช้ที่ดูดีสักหน่อยยังไม่กล้าเอามาไว้ใกล้ตัวเขา


                ก่อนนี้สาวใช้สองสามคนนี้ล้วนมิได้ทำงานรับใช้ใกล้ตัว แม้หนนี้จะเพียงไปรินน้ำยกน้ำชาซึ่งมิได้เป็นงานที่ซับซ้อนใดๆ แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังให้นางเฮ่อหาเวลาอบรมพวกนางรอบหนึ่ง อย่าได้พอถึงเวลาแล้วเกิดประหม่าขึ้นมา


                ด้วยเหตุที่ทุกคนล้วนอยู่ภายในเรือนเดียวกัน หากมีความเคลื่อนไหวใดมีหรือจะปิดบังได้? พวกของจูสือเห็นว่าจู่ๆ นางเฮ่อก็เรียกพวกของลู่จูไปอบรมด้วยตนเอง พวกนางย่อมรู้สึกประหลาดใจ จึงรีบเข้ามาสอบถาม เดิมทีนางเฮ่อก็รู้สึกว่ามีเวลาไม่มากอยู่แล้วจึงบอกปัดและไล่พวกนางไปอย่างอดรนทนไม่ไหว “เป็นงานที่ฮูหยินน้อยมอบหมายมาด้วยตนเอง เพราะคุณชายต้องการใช้คน ตอนนี้กำลังรีบสอนงานให้พวกนาง พวกเจ้ายังจะมาก่อความวุ่นวายอีก!”


                เมื่อถูกนางไล่ออกมา จูหลานพลันกรอกตาแล้วลากจูสือไปหาฉินเกอและเยี่ยนเกอที่เพิ่งจะผลัดเวรกับเจวี๋ยเกอและหานเกอ พี่ๆ น้องๆ ทักทายกันอย่างสนิทสนมพักหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ เข้าไปใกล้ๆ สอบถามสาเหตุเอากับพวกนาง


                เรื่องนี้ก็มิใช่ความลับอันใด อีกทั้งเพราะเห็นแก่หน้าของนางเฮ่อ พอพวกนางเรียกฉินเกอและเยี่ยนเกอว่าพี่สาวแสนดีสักสองสามหนก็ยิ้มออกมาและบอกพวกนางแล้ว “ตอนบ่ายคุณชายจะพาแขกมาหารือกันที่บ้าน จึงสั่งให้ฮูหยินน้อยจัดคนไปดูแลที่เรือนชั้นหน้า มิใช่ว่าท่านอาเฮ่อต้องเรียกพวกของลู่จูมาอบรมอย่างเร่งด่วนหรอกหรือ?”


                ว่าแล้วก็อดจะกระเซ้าจูสือไปคำหนึ่งไม่ได้ว่า “จะว่าไปท่านอาเฮ่อก็ล้วนทำเพื่อเจ้านะ เพราะกลัวว่าเจ้าหน้าตาน่าดู แล้วจักถูกแขกคนหนึ่งที่ชอบขอบ่าวงามๆ กับคุณชายมาขอเอาไป!”


                พวกสาวใช้ต่างพากันหัวเราะเสียงดังออกมา แล้วกล่าวว่า “จูสือเจ้าต้องระวังตัวไว้สักหน่อย! ในเมื่อมีแขกคนหนึ่งของคุณชายเป็นคนเช่นนี้ ครานี้เจ้ารอดไปได้ ไม่แน่ว่ายังมีคราหน้า! พอถึงยามนั้นเจ้าก็อาจถูกแขกผู้นั้นขอไปเป็นท่านน้าในเรือนหลังเอานะ!”


                จูสืออายจนหน้าแดง พลางยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปในเรือน “พูดจาเรื่อยเปื่อย!ท่านอาจักต้องคิดว่าพวกเราปรนนิบัติดูแลได้ไม่ดีพอ ถึงอยากให้พวกของลู่จูไปต่างหากเล่า!”


                แล้วยังหันหน้ากลับมาบ่นว่า “ท่านน้าอันใดกัน! ข้าเป็นคนเยี่ยงนั้นรึ! พวกเจ้าพูดเรื่อยเปื่อยชัดๆ!”


                แม้พวกของจูหลานมิได้ถูกกระเซ้าไปด้วย แต่ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันถึงแขกที่ชอบขอสาวใช้หน้าตางดงามจากนายของตนว่าเป็นคนเจ้าชู้เกินไปหน่อย เมื่อสนทนากันไปมาล้วนพากันบ่นไปสองสามคำว่าไม่ยินยอมจะถูกคนเช่นนี้ขอไป


                ทว่าเมื่อวุ่นวายกันไปดังนี้ ในแขกสามคนที่เสิ่นจั้งเฟิงเชิญมาในวันนี้ กลายเป็นกู้อี้หรานและหลิวซีสวินล้วนถูกมองข้ามไปเสีย… เสิ่นจั้งเฟิงไปส่งแขกยังมิทันกลับมา พวกของจูสือก็ห้อมล้อมพวกของลู่จูที่เพิ่งจะทำงานเสร็จและกลับมาข้างหลังเรือนเพื่อสอบถามเรื่องเหนียนเซิงย้าว


                เมื่อลู่จูได้ยินจูสือบอกว่า “แขกที่มาในวันนี้มีหนึ่งท่านที่ไม่ใคร่เข้าที พี่ลู่จู ยามพวกพี่ลู่จูไปดูแลรับใช้นั้นได้สังเกตเห็นคนผู้นั้นหรือไม่? แท้จริงแล้วเป็นคนเช่นใด คุณชายของพวกเราจึงได้ยอมทำตามเขา” นางจึงหน้าแดงขึ้นมาทันใด แล้วเข้าไปในห้องโดยไม่แม้จะหันหน้ากลับมา และปิดประตูเสียงดังปัง!


                จูสืออดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ จากนั้นก็มีคนที่ไปดูแลแขกพร้อมกับลู่จูลากพวกนางไปข้างๆ และกระซิบบอกว่า “ก็มิใช่ผู้ที่คุณชายเรียกเขาว่าท่านเหนียนผู้นั้นหรอกรึ? ดูไปกลับเหมือนคนสุภาพเรียบร้อย ผิวพรรณขาวสะอาด หน้าตาได้รูป ดูมีมารยาท แต่รสนิยมเช่นนั้น… พี่ลู่จูยกน้ำชาไปให้เขา ชายังไม่ทันวางลงเลย เขาก็จับมือนางเสียแล้ว ภายหลังตอนเติมชา พี่ลู่จูไม่อยากไป จึงเปลี่ยนให้พี่อีกคนไปแทน เขาก็ไม่พอใจ บอกว่าต้องเปลี่ยนให้พี่ลู่จูไป พี่ลู่จูไม่กล้าไม่ไป ไม่คิดว่าหนนี้ไม่เพียงถูกเขาจับมือ เขายังมาถึงถุงผ้าปักไปอีก… วันนี้คนที่มาด้วยอีกสองคน ท่านหนึ่งคือคุณชายจากตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง อีกท่านหนึ่งคือคุณชายตระกูลหลิวแห่งตงหู ล้วนพากันนั่งไม่สงบเพราะการกระทำของเขา! แต่ท่านเหนียนผู้นี้ก็ไม่ได้สนใจท่าทีของคุณชายกู้และคุณชายหลิวเลย ยังเอาถุงผ้าปักนั้นไปดมต่อหน้าทุกคน แล้วส่ายหัวพูดออกมาประโยคหนึ่งว่าคนงามหอมนัก… ตอนนั้นคุณชายเองก็ยังเกือบจะถือถ้วยชาไว้ไม่อยู่เสียด้วยซ้ำ!”


                พวกของจูสือฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง บอกว่า “แล้วคุณชายบอกว่าจะให้พี่ลู่จู…?”


“คุณชายยิ้มเจื่อนๆ และให้พี่ลู่จูออกไป บอกว่าอย่าได้มารบกวนยามพวกเขาสนทนากัน นั่นล่ะพี่ลู่จูถึงได้รอดมาได้!” สาวใช้ตัวน้อยผู้นี้ชื่อว่าซวงเอ๋อร์ เดิมทีรับหน้าที่กวาดถูระเบียบทางเดิน นับว่าสนิทกับพวกของจูสือ นางกระซิบบอกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าท่านเหนียนผู้นั้นก็มิใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่อันใด ก็เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาของคุณชายเท่านั้น… ก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้ามาแต่ที่ใด ถึงได้กล้าทำเช่นนี้ต่อหน้าคุณชาย… แล้วคราวนี้พี่ลู่จูจะทำอย่างไรดี?”


ไม่เพียงแค่พวกสาวใช้ตัวน้อยเท่านั้นที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันถึงสิ่งที่ลู่จูต้องพบพานในภายภาคหน้า เว่ยฉางอิ๋งที่ได้ยินเรื่องที่ลู่จูถูกลวนลามก็กำลังปวดหัวเช่นกัน “พวกท่านอาล้วนบอกว่าให้เลือกสาวใช้ที่หน้าตางดงามสักหน่อยออกไปดูแลรับใช้ ยามนี้ลู่จูก็ถูก… แล้วตอนนี้จะทำเช่นไร? คนคนนี้จะให้หรือว่าไม่ให้?”


นางว่านทำตัวไม่ถูกอย่างยิ่ง ก่อนนี้แม้นางจะมิได้รับประกันใดๆ อย่างโจ่งแจ้ง แต่ไม่ว่าทั้งที่พูดและไม่ได้พูดออกมาก็บอกไว้ชัดเจนว่า ครึ่งปีหลังของเมื่อปีก่อนเหนียนเซิงย้าวเพิ่งจะได้รับบ่าวหน้าตางดงามจากเสิ่นจั้งเฟิงไปสองนาง จึงจะไม่มาขอคนอีกรวดเร็วปานนี้ ทั้งตอนนั้นยังเคยแนะนำให้ส่งจูสือซึ่งเป็นหลานสาวของนางเฮ่อออกไปดูแลรับใช้ด้วย ปรากฏว่าเคราะห์ดีที่นางเฮ่อไม่วางใจจึงขืนเก็บจูสือเอาไว้ หาไม่แล้วหากวันนี้เป็นจูสือที่ถูกลวนลาม นางก็คงจะไม่มีหน้าไปอธิบายกับนางเฮ่อแล้ว


ดังนั้น เวลานี้นางจึงกล่าวออกไปอย่างกระวนกระวายว่า “ข้าน้อยเองก็เคยเห็นท่านเหนียนไม่กี่ครั้ง เพียงแต่เคยได้ยินมาบ้าง เกือบจะทำให้…”


นางหวงรีบพูดขัดจังหวะขึ้นมา “พี่ว่านว่าเช่นนี้ได้ที่ใดกัน? นิสัยใจคอของพี่ว่านนั้นหลายวันมานี้พวกเราล้วนเห็นอยู่ในสายตา อย่างไรเสียท่านเหนียนผู้นั้นก็เป็นคนข้างนอก หญิงดูแลบ้านเช่นพวกเราแต่ไรมาก็เอาแต่เฝ้าอยู่ในเรือนหลัง หากไปรู้เรื่องราวภายนอกชัดเจนก็แปลกแล้ว”


นางเฮ่อถูกนางตักเตือน ก็รีบออกปากไปว่าไม่เป็นไร


เว่ยฉางอิ๋งรอจนพวกนางเอ่ยคำตามมารยาทจบแล้ว จึงเอ่ยว่า “เหนียนเซิงย้าวเป็นคนที่เรือนหน้า พวกเราทำสิ่งใดเขาไม่ได้ แต่เวลานี้ ลู่จูที่ถูกเขาลวนลามเป็นสาวใช้ในเรือนหลัง แล้วยามนี้จะจัดการอย่างไรเล่า?”


ท่านอาทั้งสามสบตากัน แล้วว่า “ไม่สู้คุณชายกลับมา แล้วค่อยลองถามคุณชายดูเจ้าค่ะ?”


__________________________________


ตอนที่ 36 เหนียนเซิงย้าว

โดย

Xiaobei

                หลังจากนั้นพักใหญ่ เสิ่นจั้งเฟิงกลับมาจากส่งแขก ฟังเว่ยฉางเฟิงเล่าเรื่องที่ประสบมาด้วยน้ำเสียงโอดครวญ จึงกล่าวออกไปอย่างหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิงว่า “ข้าเห็นสาวใช้นางนั้นออกมาก็รู้ว่าไม่ดีแน่ สาวใช้สองคนที่ข้ายกให้ท่านเหนียนก็มีหน้าตางดงาม แต่เขากลับเห็นใหม่ลืมเก่า ระยะนี้เกรงว่าคงจักเบื่อพวกนางแล้ว พอเห็นสาวใช้ในวันนี้จึง… มิใช่บอกแล้วหรือว่าคนที่ไม่อยากยกให้ วันนี้ก็อย่าได้ส่งไปเรือนชั้นหน้า?”


                เว่ยฉางอิ๋งกระดากอายที่จะบอกกับเขาว่าสาเหตุที่ส่งลู่จูซึ่งเป็นสาวใช้ที่มีหน้าตางดงามออกไปนั้นก็เพราะว่าท่านอาทั้งสามคนล้วนเตือนว่า บ่าวหน้าตางดงามจึงจะทำให้พวกเขาสามีภรรยามีหน้ามีตา จึงว่า “เช่นนั้นเรื่องเป็นดังวันนี้แล้วจะทำอย่างไรเล่า? จะยกลู่จูให้เขาไปอีกคนหรือ? และก็ไม่รู้ว่าลู่จูจะยินยอมหรือไม่?”


                เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางลำบากใจ จึงปลอบนางไปว่า “ท่านเหนียนคล้ายจะต้องใจลู่จูอยู่บ้าง ทว่าหากเจ้าไม่ยินยอม ไม่ยกให้เขาก็ไม่เป็นไร กลับไปข้าจะให้คนไปซื้อบ่าวหน้าตางามๆ สองนางจากข้างนอกไปมอบให้เขาที่บ้านเป็นพอแล้ว”


                “ดูท่าเจ้าจะยอมตามท่านเหนียนผู้นี้ยิ่งนัก?” เว่ยฉางอิ๋งอดจะลองถามไปไม่ได้


                เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ไม่ปิดบัง “หากไม่มองว่าเขาเป็นคนเจ้าชูนัก คนผู้นี้เรียกได้ว่ามีความสามารถรอบด้าน ทั้งฉิน หมากรุก คัดอักษร วาดภาพ ยุทธศาสตร์ การต่อสู้ เตะลูกหนัง โยนลูกธนูลงไห ยิงธนู ขี่ม้า ล้วนชำนาญไปเสียทุกอย่าง ปีนั้นในขณะที่ข้ากำลังท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ เห็นเขากำลังโต้แยงกับคนผู้หนึ่งเรื่องกลอนบทหนึ่งอยู่ และเพราะคนที่กำลังโต้แย้งกับเขาก็นับว่าเป็นสหายของข้า ข้าจึงเข้าไปสอบถามดูสองสามคำ… ภายหลังไกล่เกลี่ยจนพวกเขาแยกกัน แล้วเขากลับตามข้ามา เมื่อข้าสนทนากับเขาแล้ว เห็นว่าเขามีความสามารถ ความคิดอ่านปราดเปรื่องว่องไว และเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนทั่วไป จึงได้ทาบทามเขามา และเพราะว่าเขาอายุมากกว่าข้าสิบปี จึงเรียกเขาว่าท่าน”


                พูดถึงตรงนี้ เสิ่นจั้งเฟิงก็หัวเราะเสียงลั่นออกมา “เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่า… ครานั้นข้ายังนึกว่าท่านเหนียนไปสอบถามมาก่อนว่าวันนั้นข้าจะผ่านไป จึงจงใจโต้แย้งกับคนบ้านหมิ่นขึ้นมา เพื่อจะได้มีโอกาสแนะนำตัวกับข้าได้โดยอ้อม… ภายหลังจึงเพิ่งมารู้ว่าเป็นเพราะเขาหมายตาสาวใช้สองนางที่อยู่ข้างกายข้ายามนั้นต่างหาก!”


                เว่ยฉางอิ๋งโพล่งถามไปว่า “แล้วสาวใช้สองนางนั้นเล่า?” นับแต่นางแต่งเข้าบ้านมา ในบรรดาสาวในเรือนจินถงใช้ที่เคยดูแลรับใช้เสินจั้งเฟิงอยู่แต่เดิมนั้น ผู้ที่นางเห็นว่ามีหน้าตาดีที่สุดก็คือบ่าวที่มีสามีแล้วซึ่งเป็นคนดูแลห้องครัวในส่วนหลังสุดของเรือน… จากสภาพการที่วันนี้ท่านเหนียนผู้นั้นไม่ยอมให้สาวใช้นางอื่นนอกจากลู่จูดูแลรับใช้เขา ก็สามารถมองออกว่า หากมิใช่คนงามระดับลู่จู เขาก็ไม่มีวันเหลียวแล


                ลู่จูเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของเว่ยฉางอิ๋ง ในเมื่อข้างกายเสิ่นจั้งเฟิงเคยมีบ่าวหน้าตางดงามเช่นนี้ เหตุใดตอนนี้จึงไม่เห็นแม้สักคน?


                “ยกให้เขาไปนานแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างไม่ใยดีว่า “ด้วยความสามารถของเขา เว้นสามปีห้าปีจะมอบหญิงงามแก่เขาสักคนสองคนก็มิเป็นไร?”


                เห็นเขาชื่นชมเหนียนเซิงย้าวเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา “ยามเจ้าพบเขานั้น เขากำลังโต้แย้งกับคนด้วยเรื่องกลอนบทหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นกลอนใด และโต้แย้งกันเรื่องใด?” แม้เสิ่นจั้งเฟิงจะเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง ทว่าก็มีฐานะของบุตรชายตระกูลใหญ่อยู่ด้วย จึงมิใช่ว่าคนเช่นใดเข้ามาสนทนาด้วยแล้วเขายอมคุยตอบ เหนียนเซิงย้าวผู้นั้นหวังจะเข้าหาสาวใช้หน้าตาสะสวยแต่กลับมิได้ถูกไล่ไป เห็นชัดว่ายามเข้าไปห้ามการวิวาทก่อนหน้านี้ เสิ่นจั้งเฟิงมิได้รู้สึกไม่ดีต่อเขา


                เขาเกิดเรื่องโต้แย้งกับสหายของเสิ่นจั้งเฟิง ต่อให้สหายผู้นั้นมิได้สนิทชิดเชื้อกับเสิ่นจั้งเฟิงนัก… นั้นเพราะหากสนิทกันแล้วเมื่อข้อโต้แย้งสงบลงย่อมต้องไปด้วยกัน… แต่เมื่อเทียบกับคนแปลกหน้าเช่นเหนียนเซิงย้าว อย่างไรเสียสหายผู้นั้นย่อมจะสนิทสนมกว่า เช่นนี้แล้วเสิ่นจั้งเฟิงยังมิได้ไม่รู้สึกไม่ดีกับเขา กอปรกับประเด็นที่เหนียนเซิงย้าวก็มิได้เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ ดังนั้น นอกจากกลอนที่ทำให้เกิดข้อโต้แย้งบทนั้นไม่เลวแล้ว ยังจะมีสาเหตุใดอื่นอีก?


                อย่างไรเสียเว่ยฉางอิ๋งก็เกิดในตระกูลเว่ยซึ่งมีชี่อเสียงเป็นเลิศในด้านบุ๋น แม้นางจะมีความสามารถในระดับกลางๆ แต่สำหรับเรื่องกวีที่งดงามแล้ว เมื่อได้พบเห็นย่อมไม่อยากจะพลาดโอกาสไป


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “กลอนบทนั้นข้ายังจำได้ ข้าจักท่อให้เจ้าฟัง…


                คนงามเอยบนหอมุก                   มืองามเอยม้วนม่านมุ้ง


                สั่นไหวเอยแสงเทียนสว่าง            ส่องคันฉ่องเอยชุดตื่นเช้า


                หอยไส้ดำเอยวาดคิ้วยาว             ชุ่ยเตี้ยน[1]เอยประกายจับหน้าผาก


                แต้มลักยิ้มเอยลักยิ้มหอม            ชาดแดงเอยแต้มปากแดง


                ผมดำเอยม้วนเป็นคู่                     กระจอกทองเอยโผกลางมวยผม


                สาวใช้เอยส่งอาภรณ์                   แขนกว้างเอยลมพัดปลิว


                ใต้เท้าเอยหยกยามก้าว                เครื่องประดับเอยดังติงตัง


                ออกจากเรือนเอยกลับโศกตรม      ราวระเบียงเอยเหม่อมองไกล


                สามีเอยอยู่ชายแดน                     ใบหน้างามเอยอ้างว้างใจ


                ผนังเอยภมรวุ่น                            กลางสวนเอยร้อยบุปผา


                ถนนแน่นเอยเย้าหยอกไหลหลั่ง    สุราหวานเอยผู้เดียวชม!


                ยามใดเอยได้พบสักแห่ง               เช้าค่ำเอยดังนกเป็ดน้ำ!”


                เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจบอกว่า “กลอนช่างเหมือนตัวคนดีแท้….อื่ม? เหตุใดกลอนนี้จึงทำให้โต้แย้งกันเล่า? คงมิใช่ว่าเขาจะ… กับสตรีในกลอนนี้…” วิเคราะห์เอาจากความรู้สึกที่มีต่อท่านเหนียนผู้นี้ แวบแรกที่เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงได้ก็คือ หรือการไปหมายตาสาวใช้หน้าตาสะสวยในบ้านผู้อื้นยังไม่อาจเติมเต็มความต้องการจะไล่ล่าสาวงามของเหนียนเซิงย้าวผู้นี้ได้ กลับกลายเป็นว่าแม้แต่หญิงที่มีสามีแล้วเจ้าหมอนี่ก็ยังไม่ละเว้น… ดูจากในกลอนบทนี้ แสงเทียนสั่นไหวและชุดยามตื่นนอนตอนเช้า ขั้นตอนการแต่งหน้าทำผมก็ยังบรรยายออกมาได้อย่างละเอียดนัก ตั้งแต่การเขียนคิ้ว จนถึงการใส่ชุ่ยเตี้ยนซึ่งเป็นเครื่องประดับผมที่ทำจากหินสีฟ้า จนถึงการแต้มจุดลักยิ้ม จนถึงการทาปาก จนถึงการเกล้าผมดำยาว จนถึงการปักเครื่องประดับผมทองคำรูปนกกระจอก… ทำผมแต่งหน้าเสร็จแล้วก็ยังมีการเปลี่ยนเสื้อผ้า แขนเสื้อกว้างพริ้วดังอาภรณ์ของเทพธิดา แล้วสวมเครื่องประดับเพิ่มลงไป หยกที่เท้าส่งเสียงดัง และที่ขาดไม่ได้ยังมีภาพสิ่งของต่างๆ ที่ปักประดับลงบนผืนผ้าไหม…. นี่เห็นชัดว่าเป็นการพักค้างอยู่ภายในห้องของสตรีจนถึงยามเช้า มองนางแต่งหน้าแต่งตัว แล้วจึงจากไปอย่างพึงพอใจ… ไม่แน่ว่ายังเป็นเหนียนเซิงย้าวที่ช่วยปรนนิบัติสาวงามแต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเองอีกด้วย!


                ความหอมหวานและภาพรัญจวนใจที่อยู่ภายในนั้นสามารถจินตนาการตามไปได้ไม่ยากเย็น…


                ยิ่งไปกว่านั้นในท่อนๆ หลังที่เอ่ยถึง ‘กลับโศกตรม’ ‘อ้างว้างใจ’ ก็อาจจะเป็นความรู้สึกผิดในใจที่หญิงผู้นี้มีต่อสามีหลังจากนางลอบมีสัมพันธ์กับชายอื่น ไม่แน่ว่ายังอาจเป็นหญิงผู้นี้มีความโศกเศร้าและอ้างว้างอยู่ก่อน แล้วเหนียนเซิงย้าวสบโอกาสจึงได้เข้าไปตีสนิท แล้วทั้งสองคน… ในความคิดของเว่ยฉางอิ๋ง สองสามวรรคท้ายๆ นั้นเป็นการเย้ยหยันสามีตัวจริงของชาวบ้านอย่างเปล่าเปลือยโจ่งแจ้งว่า ใครใช้ให้เจ้าไม่อยู่บ้าน ใครใช้ให้เจ้าปล่อยให้ภรรยาเฝ้าอยู่ในห้องเพียงลำพัง เจ้าดูสิ ภรรยาของเจ้าเปล่าเปลี่ยวแล้ว จะมีก็เพียงภมรคลั่งผีเสื้อพเนจรเช่นข้าที่ไปปลอบประโลมนางอย่างไรเล่า!


                ทั้งยังการตั้งตารอที่จะได้มาพบกันสักแห่งเหมือนนกเป็ดน้ำที่มาอยู่คู่กัน… ในเมื่อกลอนเป็นเหนียนเซิงย้าวแต่ง ผู้ใดจักรู้ว่ากำลังกล่าวถึงหญิงงามนางนี้กับสามีของนาง หรือว่าเป็นเหนียนเซิงย้าวกับหญิงงามผู้นี้กัน…


                ดังนั้นแล้ว เจ้าหมอนี่คงจักถูกคนในครอบครัวของนางหรือสามีของนางจับตัวมาสืบถามเอาความจริง?


                เอ่อ… คนชนิดนี้ ต่อให้มีความสามารถ หากนำมาใช้งานแล้วจะไม่มีปัญหาใดหรอกหรือ?


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเครียดยิ่งนัก…


                เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วไปออกไปหยิกแก้มนาง แล้วกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีว่า “เจ้าคิดไปถึงที่ใดแล้ว? แม้ท่านเหนียนจะมีความโปรดปรานเช่นนั้น ทว่าก็หาใช่คนที่ไม่รู้จักขอบเขตไม่ เขาชอบหาเศษหาเลยกับสาวใช้ แต่หากเป็นเจ้าออกไป เขาจะไม่มีวันเสียมารยาทเป็นเด็ดขาด” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “หากเขาเป็นคนที่พอเห็นหญิงงามอยู่ตรงหน้าก็หน้ามืดตามัวจนลืมตัวแล้วล่ะก็ แล้วจักเป็นผู้ที่มีความสามารถหลากหลายด้านเช่นนี้ได้อย่างไร? เพราะต่อให้เป็นผู้ที่มีปัญญาล้ำเลิศกว่าผู้ใดมาแต่กำเนิด แต่ด้วยความสามารถด้านต่างๆ ของเขา เวลาที่ต้องใช้ร่ำเรียนนั้นย่อมไม่น้อยเช่นกัน!”


                เว่ยฉางอิ๋งกลับเชื่อในคำพูดนี้ แม้นางจะไม่เคยเห็นเหนียนเซิงย้าวผู้นี้มาก่อน แต่เมื่อคิดว่าหากคนผู้นี้เป็นคนที่ไม่รู้จักแบ่งแยกควรไม่ควรจนกล้าทำเจ้าชู้กับบุตรสาวตระกูลใหญ่หรือภรรยาของคนในตระกูลเลื่องชื่อที่มีหน้ามีตา ลำพังเรื่องชาติกำเนิดของเขาก็เกรงว่าจะมีชีวิตรอดมาไม่ถึงยามนี้หรอก


                แล้วจึงได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะฮิๆ ออกมาพลางว่า “กลอนบทนี้เขาแต่งขึ้นมา เมื่อตอนที่ไปท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ ขณะเดินผ่านเรือนเดี่ยวหลังหนึ่งของบ้านตระกูลหมิ่นที่อยู่นอกเมืองได้มองเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังจับราวระเบียบเหม่อหมองไปไกลๆ อยู่บนอาคารในเรือนแห่งนั้น จากนั้นเขาก็ใส่จินตนาการเติมแต่งลงไป แต่งเสร็จแล้วก็แล้วไป แต่เขากลับยังอยากจะวิ่งไปเคาะที่หน้าประตูใหญ่ของเรือนแห่งนั้น เพื่อไปขอกระดาษและพู่กันมาจดลงไป… ความจริงแล้วหากจดลงไปแล้วจากไปก็มิเป็นไร ได้ยินว่าบ่าวตระกูลหมิ่นยังชมเชยเขาหลายคำ ทั้งยังช่วยเขาตากกระดาษจนรอยหมึกแห้งแล้วจึงเก็บกลับไปให้ ปรากฏว่าเขาก็ช่าง… จักต้องไปบอกชาวบ้านเสียให้จงได้ว่าคนที่กลอนบทนี้เขียนถึงก็คือหญิงที่อยู่บนอาคารในเรือนนั่นเอง คนบ้านหมิ่นพลันหน้าตาบึ้งดึงขึ้นมาทันใด แล้วไล่ตีเขาออกมานอกประตู! ในระหว่างที่กำลังผลักเขา กลับทำให้หยกประดับซึ่งเป็นของสืบทอดของบรรพบุรุษของเขาถูกตีจนแตก  ทั้งสองฝ่ายจึงได้เริ่มโต้แย้งกันขึ้นมา”


                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “แต่ด้วยสิ่งที่เขาทำลงไปทั้งหมดทั้งมวล บ้านหมิ่นย่อมนึกว่าเขาและหญิงในตระกูลมีสิ่งใดกัน…?”


                “…” เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่พูดจา ได้แต่ลูบคางแล้วมองนางยิ้มๆ


                เว่ยฉางอิ๋งไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ จึงกล่าวว่า “เอ๋ เจ้าพูดต่อไปสิ!”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางขยับเขามาข้างหูนางแล้วเอ่ยเสียงต่ำๆ “เจ้าจูบข้าหนหนึ่ง ข้าจึงจะพูด!”


                เว่ยฉางอิ๋งเขินอายนักหนา พลันลุกขึ้นแล้วว่า “ผู้ใดสนเจ้ากัน? ข้าไม่เห็นจักอยากฟังเลย!” นางเดินออกไปข้างๆ แต่กลับเห็นเสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้เดินตามมาจึงอดจะรู้สึกผิดหวังขึ้นมาในใจไม่ได้ ผ่านไปอีกพักใหญ่ ที่สุดเสิ่นจั้งเฟิงก็เดินมาหาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งแอบดีใจ ถามไปว่า “ข้อโต้แย้งของบ้านหมิ่นและเหนียนเซิงย้าวเป็นเช่นใดกันแน่?”


                ผู้ใดจะรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงไม่แม้จะสนใจนาง… เว่ยฉางอิ๋งโกรธเกรี้ยวยิ่งนักและไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้


                ดึงดันกันอยู่เช่นนี้พักหนึ่ง ก็มีบ่าวเข้ามาถามว่าจะจัดอาหารเย็นเลยหรือไม่


                ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงทานอาหารกันด้วยความเงียบงัน ซึ่งพวกของนางหวงมองเห็นภาพนี้อยู่ในสายตา… เวลาอาบน้ำ นางหวงจึงอ้างว่าจะนำสบู่ถั่วเหลือง[2]ส่งเข้าไปในห้องอาบน้ำ แล้วสั่งให้เจวี่ยเกอและหานเกอออกไป ให้ตนอยู่คอยรับใช้เอง แล้วจึงถือโอกาสกล่าวเตือนไปด้วยเสียงต่ำๆ ว่า “แม้ลู่จูจะเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของฮูหยินน้อย ทว่าความจริงแล้วก็เป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง ฮูหยินน้อยปกป้องคนของตนถือเป็นเรื่องดี แต่หากต้องทำให้ฮูหยินน้อยและคุณชายขัดใจกันเพราะนาง นั่นกลับไม่สมควรแล้ว! อีกประการเมื่อครู่นี้ข้าน้อยไปสอบถามความคิดเห็นของลู่จูมาแล้ว ที่ลู่จูปิดประตูใส่หน้าพวกของจูสือก่อนหน้านี้ ล้วนเพราะนางรู้สึกขัดเขิน จะว่าไปแล้วท่านเหนียนก็ยังหนุ่ม คนก็หล่อเหลา ทั้งคุณชายยังให้ความสำคัญกับเขา หากเขายอมให้ลู่จูเป็นอนุภรรยาอย่างออกหน้า ลู่จูเองก็มิใช่ว่าจะไม่ยินยอมนะเจ้าคะ”


                 ในความคิดอ่านของพวกนางหวง สองสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่คู่นี้แต่ไรมาก็ดีต่อกันและหอมหวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้ง ทุกคราที่ทานอาหารกันก็หวานชื่นกันยิ่งนัก แล้วไยวันนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงทำหน้าบึ้งดึง เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ออกจะขัดๆ เขินๆ เล่า? ก่อนหน้านี้พอเว่ยฉางอิ่งได้ยินว่าเสิ่นจั้งเฟิงไปส่งแขกกลับมา นางก็สั่งให้บ่าวออกไปจนหมด ด้วยต้องการไถ่ถามเสิ่นจั้งเฟิงเพียงลำพังว่าจะให้ลู่จูอยู่หรือไป… ดังนั้นแล้วสาเหตุสองสามีภรรยามีสีหน้าไม่สู้ดี ต้องมีแปดหรือเก้าในสิบส่วนที่เกี่ยวข้องกับลู่จูแน่แล้ว!


                นางหวงแทบจะคิดขึ้นมาในทันใดว่านี่จะต้องเป็นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่คิดว่าจะไม่ยอมยกลู่จูซึ่งเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของตนให้ ส่วนเสิ่นจั้งเฟิงก็ยืนกรานว่าจะยกให้เพื่อผูกมัดใจที่ปรึกษา… ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาจึงโต้แย้งกันขึ้น จนถึงตอนทานอาหารสีหน้าก็ยังไม่ดีขึ้น!


                เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่านางหวงคาดเดาไปเช่นนี้ นางยังคอยแต่นึกถึงเรื่องที่เหนียนเซิงย้าวโต้แย้งกับบ้านตระกูลหมิ่นอยู่ และกำลังขบคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะทำอย่างไรจึงจะบีบให้เสิ่นจั้งเฟิงเล่าเรื่องแต่ต้นจนจบออกมาแต่โดยดี กำลังเหม่อลอยจึงมิได้ฟังจนครบถ้วนและได้ยินเพียงสองประโยคสุดท้าย จึงอดจะปากอ้าตาค้าง และผลุนผลันยืนขึ้นมาจากน้ำ แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “นางรับคำแล้วจริงรึ?” เพราะต่อให้ลู่จูตั้งใจจะยกฐานะตนเอง แต่ในสายตาของเว่ยฉางอิ๋งแล้วเหนียนเซิงย้าวก็ไม่นับว่ามีฐานะสูงส่งแต่อย่างใดนี่!


                “ข้าน้อยจะหลอกฮูหยินน้อยหรือ?” นางหวงให้คำมั่นอย่างหนักแน่นขณะเอาผ้ามาช่วยเช็ดตัวนางให้แห้ง แต่ในใจกลับคิดว่า ดีชั่วอย่างไรก็อย่าได้ให้ฮูหยินน้อยต้องผิดใจกับคุณชายขึ้นมาจริงๆ ด้วยเรื่องของลู่จู ส่วนทางลู่จูนั้น… ท่านอาเช่นข้าก็พูดไปดังนี้แล้ว ต้องสนใจหรือว่านางจะรับหรือไม่รับคำ อย่างไรก็ตามข้าก็จักให้นางรับคำให้จงได้ เพื่อมิให้กระทบกับความสัมพันธ์ของฮูหยินและคุณชาย!


                เมื่อกล่าวมาเช่นนี้ก็เป็นดังว่า เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อนางยินยอมเอง ก็เอาเช่นนี้เถิด ข้าเองก็จักจัดเตรียมของสักเล็กน้อยให้นางไว้ติดตัวหลังนางไป ดีชั่วก็เคยเป็นนายบ่าวกันมา”


                นางหวงเห็นนางว่ามาเช่นนี้ก็ลอบโล่งใจ แล้วเอ่ยเตือนขึ้นมาอย่างเป็นนัยว่า “พอฮูหยินน้อยกลับไปที่ห้องแล้วก็ต้องบอกกล่าวกับคุณชายให้ชัดเจน อย่าให้คุณชายต้องเข้าใจผิดต่อไปเล่าเจ้าคะ”


                ความหมายของนางก็คือให้เว่ยฉางอิ๋งไปบอกกับเสิ่นจั้งเฟิงว่ายอมรับปากยกลู่จูให้แก่เหนียนเซิงย้าวแล้ว


                แต่เว่ยฉางอิ๋งมิได้สนใจเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะเสิ่นจั้งเฟิงก็พูดแล้วว่าหากไม่ยกลู่จูให้เขาก็ไม่เป็นไร… หากไม่ยกให้ เขาก็ไปซื้อคนจากข้างนอกมามอบให้เขาสองคนก็มีค่าเท่ากัน นี่มิใช่เรื่องใหญ่โตใด จึงได้ตอบรับไปลอยๆ คำหนึ่งเท่านั้น


_____________________________


[1] ชุ่ยเตี้ยน เป็นเครื่องประดับผมทำจากหินสีฟ้า สามารถทำได้เป็นหลายรูปทรง เช่นดอกไม้ หวีสับ


[2] สบู่ถั่วเหลือง เป็นสบู่อาบน้ำในสมัยโบราณ ที่มีส่วนผสมหลักเป็นถั่วเหลืองบ่นและเครื่องหอมต่างๆ ทำเป็นก้อนใช้ขัดผิดเวลาอาบน้ำ


ตอนที่ 37 นกแก้วที่น่าสงสาร

โดย

Xiaobei

                ดังนั้นแล้วพอกลับเข้ามาภายในห้อง เว่ยฉางอิ๋งจึงจงใจไม่แม้แต่จะมองเสิ่นจั้งเฟิงสักหน แล้วเข้าไปนอนในมุ้ง


                เสิ่นจั้งเฟิงเห็นดังนั้นจึงตามเข้าไป ทั้งสองคนเอะอะกันอยู่พักใหญ่ เว่ยฉางอิ๋งจึงจูบที่แก้มเขาไปอย่างไม่เต็มใจหนหนึ่ง… เสิ่นจั้งเฟิงถึงยอมเล่าเรื่องอย่างละเอียดให้ฟัง ที่แท้เหนียนเซิงเล่อตั้งชื่อกลอนบทนี้ว่า ‘กลอนคะนึงถึงสามี’ ทว่าวันนั้นในเรือนของบ้านหมิ่นมีสตรีอยู่เพียงคนเดียว ดังนั้นแล้วบ่าวบ้านหมิ่นจึงไม่จำเป็นต้องสอบถามที่หลังเรือนว่าผู้ที่เหนียนเซิงเล่อเห็นนั้นคือผู้ใด


                ปัญหาก็คือ สตรีตระกูลหมิ่นผู้นี้ก็เป็นคุณหนูตระกูลหมิ่น จนยามนี้ก็ยังมิได้หมั้นหมาย เหนียนเซิงเล่อแอบมองนางจากนอกเรือนก็แล้วไป แต่กลับไปแต่ง ‘กลอนคะนึงถึงสามี’ ให้นางเพราะเห็นนางขึ้นไปทอดตามองอยู่บนอาคาร บ่าวบ้านหมิ่นรู้เรื่องเข้ามีหรือจะไม่ชกเขา?


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวว่า “คุณหนูหมิ่นผู้นี้ก็น่าสงสารเสียจริง ก็เพียงแค่ขึ้นไปชมทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ผลิแต่กลับถูกเขาล่วงเกินเอาเช่นนี้… หากมิได้พบเจ้าเข้าไปช่วยประนีประนอม เหนียนเซิงเล่อผู้นี้ไปให้ร้ายหญิงสาวชาวบ้านที่ยังมิได้ออกเรือน หากบิดาและพี่ชายนางรู้เข้า ไม่ตีขาเขาจนหักก็แปลกแล้ว!”


                เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัวยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ก็มิใช่ว่าเป็นเพราะเห็นแก่หน้าข้าเสียทั้งหมด แต่เป็นเพราะเขาดวงดีด้วย คุณหนูหมิ่นผู้นี้แม้จะเป็นหลานยายฝั่งตระกูลตวนมู่ ทว่าบิดาของนางหมิ่นจือเสียเกิดในตระกูลหมิ่นในสายเล็กๆ หากนับกันแล้วก็เป็นเพียงตระกูลระดับติ่งเท่านั้น หมิ่นจือเสียเองยังเป็นลูกหลานในสายห่างๆ ของตระกูลหมิ่น บรรพบุรุษตกอับ ในบ้านไร้สมบัติใดๆ มีเพียงแต่ชื่อเสียงว่าเป็นลูกหลานตระกูลมีชื่อเท่านั้น ในวัยหนุ่มเขายากจนข้นแค้นนัก ภายหลังได้ร่ำเรียนหนังสือ เมื่อสำเร็จแล้วจึงเข้าไปฝากตัวกับตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวง ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลตวนมู่ และยกบุตรสาวให้เป็นภรรยาเขา ทั้งยังผลักดันให้เข้าทำงานในวัง จึงได้มีหน้ามีตาขึ้นมา เพราะคนผู้นี้เคยได้รับความยากลำบากจากความยากจนเมื่อครั้งวัยหนุ่ม ต้องหาทางร่ำเรียนอย่างยากลำบากท่ามกลางคำถากถางของผู้คนจึงสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงใจกว้างยิ่งนักกับพวกบัณฑิตไม่ว่าจักยากดีมีจนเช่นใด ดังนั้นเมื่อท่านเหนียนล่วงเกินบุตรสาวของเขา บ่าวบ้านเขาจึงเห็นแก่ที่นายของตนให้ความสำคัญกับบัณฑิตจึงมิได้ไปไล่เรียงเอาความมากนัก หากเป็นคนบ้านอื่นแล้ว เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของหญิงสาวเช่นนี้ ไม่ส่งเขาให้ทางการหรือจะเป็นไปได้? ต่อให้ข้าและพี่ชายแซ่หมิ่นของนางจะนับว่าเป็นสหายกัน ก็ยังไม่อาจปรามอยู่เลย”


                ทั้งสองคนพากันหัวร่อต่อกระซิกอีกสองสามประโยด จากนั้นจึงเข้านอน


                วันต่อมา เสิ่นจั้งเฟิงเข้าวังไปทำงาน เว่ยฉางอิ๋งก็ไปเข้าพบฮูหยินซูตามธรรมเนียม


                หลังจากพักผ่อนดีๆ หนึ่งคืน สีหน้าของฮูหยินซูก็ดีขึ้นมาก เมื่อรับชาโสมที่ลดน้ำผึ้งลงเล็กน้อยจากเว่ยฉางอิ๋งแล้วจิบไปหนึ่งอึกก็พยักหน้าน้อยๆ แสดงว่าพึงพอใจ


                บรรดาสะใภ้พากันเข้ามากล่าวคำชมเชยฮูหยินซู เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของฮูหยินซูไม่เลว นางหลิวจึงเอ่ยถามว่า “วานนี้สะใภ้กลับลืมถามไปเสียได้ ว่าน้องสี่มิได้กลับมากับท่านแม่หรือเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินแล้วก็แอบรู้สึกผิดในใจ นางเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านไม่ถึงสามวันฮูหยินซูก็พาบุตรสาวไปดูแลแม่เฒ่าเติ้งที่บ้านตระกูลซูแล้ว เว่ยฉางอิ๋งยังมิทันคุ้นเคยกับบรรยากาศต่างๆ ในบ้านเสิ่น… นี่คงมิใช่เพราะ… นิสัยชอบหาเรื่องหาราวของเสิ่นจั้งหนิง คนตัวโตเพียงนั้นไม่ได้กลับมากลับฮูหยินซู แต่นางกลับมิได้นึกถึงเลย…


                เมื่อเทียบกันแล้ว วันนี้นางหลิวและนางตวนมู่เพิ่งจะมาสอบถามดู ก็เพราะเย็นวานนี้สะใภ้ทั้งสามทะเลาะกัน จึงยังไม่สบโอกาสถาม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ก็ยังเป็นนางหลิวที่ชิงเอ่ยถามถึงน้องสามีตัวน้อยเสียก่อน


                เพียงแต่ว่า แม้เสิ่นจั้งหนิงจะเป็นบุตรสาวคนเล็กของฮูหยินซู แต่…


                เมื่อได้ยินคำว่า ‘น้องสี่’ คำนี้ ฮูหยินซูที่เดิมทีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มก็พลันหม่นลงไปทันใด แล้วยิ้มเยาะพลางว่า “เจ้าตัวแสบนั้นไม่กลับมาเป็นดีที่สุด! วานนี้หากมิใช่ท่านยายและท่านป้าท่านน้าสะใภ้ของพวกเจ้ารั้งตัวข้าไว้ ข้าก็คงจะตีขานางจนหักไปแล้ว!”


                ทุกคนพากันกล่าวเตือนฮูหยินซูว่าอย่าได้มีโทสะ เพื่อมิให้เจ็บป่วยเอาได้ นางหลิวทำท่าโทษตัวเองคราวหนึ่งว่า “เป็นสะใภ้ไม่ดีเองเจ้าค่ะ ทั้งที่รู้ว่าท่านแม่เพิ่งจะกลับมาจากบ้านซู แต่ยังเอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้ท่านแม่โมโห!” แล้วก็พูดแทนเสิ่นจั้งหนิงว่า “น้องสี่อายุยังน้อย ทั้งเป็นคนไร้เดียวสายังไม่รู้ความ หากมีสิ่งใดที่ทำให้ท่านแม่เดือดร้อนใจ ท่านแม่โปรดอย่าได้ถือสานางเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเสียน้องสี่ก็ยังเล็ก รอให้โตอีกสักนิด นางก็จะสำรวมเป็นกุลสตรีเองนั่นล่ะเจ้าค่ะ จะว่าไปครั้งพวกเราอายุเท่าน้องสี่ก็คอยทำให้พวกญาติผู้ใหญ่ในบ้านเป็นห่วงอยู่ทั้งวันเช่นกันเจ้าค่ะ!”


                ฮูหยินซูกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “นางยังเล็กอยู่อันใดกัน? นี่ก็ถึงอายุที่ควรหมั้นหมายแล้ว ตั้งแต่เช้าจนค่ำไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องดีๆ เลย! สองสามวันก่อนก็ไปเรียนแต่งหน้าน้ำตาเลือดอะไรนั่นกับอวี๋เฟยและอวี๋อิน ดีที่ข้ามาเห็นตอนกลางวัน! หากไปเจอเข้าตอนกลางคืน ข้าจะคิดว่านางจงใจทำให้ข้ากลัวทีเดียว! สองวันมานี้เห็นว่านางพอจะเชื่อฟังขึ้นมาบ้าง ตัวข้าเองก็เหนื่อยล้า จึงมิได้สนใจนางนัก… ปรากฏว่าพอละเลยนาง นางก็วิ่งไปก่อเรื่องเสียแล้ว!”


                บรรดาสะใภ้ย่อมพากันพูดหนแล้วหนเล่าว่าขอให้นางอย่าได้เคืองโกรธ รอจนฮูหยินซูคลายความโกรธลงแล้ว จึงได้สอบถามรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น


                “หลายปีก่อน ครั้งชิงโจวส่งของมายังเมืองหลวง ได้นำนกแก้วปีกหลากสีหางยาวที่มีเพียงในดินแดงรกร้างทางใต้เท่านั้นมาสิบตัว พวกมันมีปีกหางหลากสีงดงามนัก ทั้งยังเลียนเสียงได้คล่องแคล่วรวดเร็วผิดกับนกแก้วธรรมดา เพียงแต่นกแก้วชนิดนี้คุ้นเคยกับถิ่นกำเนิดที่มีสภาพร้อนชื้นในดินแดนใต้ เมื่อออกมาจากดินแดนใต้จึงไม่คุ้นกับสภาพอากาศ ระหว่างทางนกแก้วสิบตัวตายไปแปดตัว ยามถึงเมืองหลวงจึงเหลือรอดมาเพียงสองตัว ท่านยายของพวกเจ้าเก็บเอาไว้ลองเลี้ยงเองหนึ่งตัว อีกตัวหนึ่งมอบให้อวี๋อู่ลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้า” ฮูหยินซูดื่มชาโสมไปอึกหนึ่ง แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “หลังจากนั้นปรากฏว่า นกแก้วตัวที่ท่านยายของพวกเจ้าเลี้ยงไว้ก็มาตายลง กลับเป็นตัวที่มอบแก่ลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้าที่ถูกเขาเลี้ยงดูจนค่อยๆ มีเรี่ยวแรงขึ้นมา และอยู่รอดมาจนยามนี้!”


                พวกของนางหลิวทั้งสามคนรู้สึกว่าไม่ใคร่ดี จึงลองถามไปว่า “เช่นนั้น… ยามนี้นกแก้วตัวนั้น?”


                “เจ้าตัวแสบนั่นอยากกินตุ๋นลิ้นนกแก้ว แล้วก็เกี่ยงว่าหากคนครัวเอานกแก้วธรรมดามาทำก็จะธรรมดาเกินไป จะ…จึงไปหมายตาเอานกแก้วตัวนั้น!” เมื่อถึงตรงนี้ฮูหยินซูพูดขึ้นมาก็รู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด แล้วพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ลิ้นนกแก้วมันจะใหญ่สักเท่าใดกัน? แล้วนกแก้วหนึ่งตัวก็มีลิ้นเพียงอันเดียว! นางก็ยังพยายามวิ่งไปที่บ้านสามแล้วไปขโมยนกแก้วตัวนั้นออกมาแล้วบังคับให้ห้องครัวทำให้นางกิน!


แล้วมันน่าสลดใจเหลือเกินที่นางไปเจอลิ้นนกแก้วเพียงอันเดียวนั้นอยู่ในจาน! แต่แรกนั้น เพื่อเลี้ยงดูนกแก้วตัวนั้นให้มีชีวิตรอด ไม่รู้ว่าอวี๋อู่ไปค้นตำรามากี่มากน้อย ทั้งยังไปขอคำชี้แนะจากผู้ดูแลเลี้ยงดูสัตว์ปีกสองสามคนในสวนนกในวังหลวงด้วยตนเอง… แล้วปีก่อนก็เพิ่งจะไล่สาวใช้ข้างกายสองคนไป เพราะพวกนางไม่ตั้งใจดูแลนกแก้วตัวนี้ให้ดี ปรากกฎว่าเจ้าตัวแสบนี่… วันก่อนหลังจากอวี่อู่รู้เรื่องก็รีบไปที่ห้องครัว เมื่อเห็นกองขนอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง ก็เสียใจจนเอาแส้เฆี่ยนคนครัวไปหลายหน ดีที่ได้ท่านน้าสะใภ้สามของพวกเจ้ารีบไปยั้งเขาเอาไว้!”


                “ไม่เพียงเท่านี้ อวี๋อู่โกรธก็เพราะตอนที่เจ้าตัวแสบเอานกแก้วส่งไปที่ห้องครัว แต่กลับไม่มีใครไปรายงานแก่เขา จึงเอะอะจะไล่ทุกคนในครัวออกไปให้หมดให้จงได้ ท่านยายของพวกเจ้ากลัวว่าเขาจะโมโหจนป่วย จึงออกปากรับคำเขาไป… แต่แม่บ้านในห้องครัวเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้า น้าสะใภ้สามของพวกเจ้าจึงวางตัวลำบาก จึงต้องไปขอขามกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้าอีก ทั้งยังต้องไปอธิบายกับท่านยายของพวกเจ้าอีก…”


                ฮูหยินซูกุมขมับ “เดิมทีที่ท่านยายของพวกเจ้าล้มป่วยมาหลายวันนี้ คนทั้งบ้านบ้านซูก็วุ่นวายกันพออยู่แล้ว! สู้อุตส่าห์เฝ้ารอจนถึงวันที่รักษาหาย ทุกคนในบ้านล้วนพากันโล่งใจ และต่างก็ว่ากันว่าต่อไปคงจะได้สบายใจกันได้เสียที เจ้าตัวแสบนี้กลับก่อเรื่องเช่นนี้ออกมา จนทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างท่านป้าสะใภ้ใหญ่และท่านน้าสะใภ้สามของพวกเจ้า! ยามนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าจะไปอธิบายกับท่านลุงและท่านน้าทั้งสองคนของพวกเจ้าว่าอย่างไร!”


                แล้วกล่าวอย่างเคืองโกรธว่า “หลายวันก่อนยามข้าถูกป้าสะใภ้และน้าสะใภ้ของนางรั้งตัวเอาไว้ ข้าก็บอกไปว่ากลับไปจักต้องจัดการนางให้สาสม! ไม่คิดว่าเจ้าตัวแสบยังโอหังอวดดีถึงเพียงนี้ วานนี้ยามข้ากลับมา ไม่ว่าจะหานางอย่างไรก็หาไม่พบ ปรากฏว่านางไปแอบอยู่ในห้องของอวี๋เฟยโน่น! ข้าให้แม่นมถาวเข้าไปหาตัว เจ้าตัวแสบก็กระโดดโหย่งเหยงวิ่งไปหาท่านยายของพวกเจ้า แล้วร้องห่มร้องไห้พลางฟ้องว่าหากกลับไปจะต้องถูกข้าตีอย่างหนักแน่ๆ… ท่านยายของพวกเจ้าก็เป็นคนขี้ใจอ่อนมาแต่ไร จึงปกป้องนางขึ้นมาในทันที และบอกให้ข้ากลับไปคนเดียวก่อน… จะ…เจ้าตัวแสบนี่!”


                เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮูหยินซูก็หน้าดำคร่ำเครียด แล้วตบโต๊ะแรงๆ ไปหนหนึ่ง!


                ก็มิน่าเล่าที่ฮูหยินซูโมโห… เรื่องที่ล่วงเกินคนในบ้านมารดานั้นยังเป็นเรื่องรอง ปีนี้เสิ่นจั้งหนิงก็อายุสิบสี่แล้ว แม้นางจะเป็นบุตรสาวคนสุดท้อง แต่ผู้ที่เป็นบิดามารดาย่อมหวังให้นางมาอยู่ปรนนิบัติ อีกไม่กี่ปีก็ถึงวัยที่ควรเอ่ยถึงเรื่องหมั้นหมายแล้ว หญิงสาวที่ใกล้จะหมั้นหมายย่อมไม่อาจมองนางเป็นเด็กน้อยได้อีก ปรากฏว่านางยังทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมา… แม้บ้านซูจะเห็นแก่หน้าตาของญาติพี่น้องจึงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แต่บุตรสาวที่ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ ฮูหยินซูเองจึงยังไม่วางใจอนุญาตให้นางออกไปอยู่ที่อื่น!


                เดิมทีบรรดาสะใภ้ยังคาดเดากันไปทำนองว่าเสิ่นจั้งหนิงแค่เพียงถอนขนของนกแก้วตัวนั้น จึงพากันเตรียมคำปลอบใจประมาณว่า “ผ่านไปสักสองสามวันก็ลองดูว่าขนจะงอกออกมาอีกหรือไม่” “ก็เพียงแค่หางและขนไม่กี่อัน ลูกผู้น้องห้าเป็นคนใจกว้างมาแต่ไร คงจักไม่ถือสาหรอก” เอาไว้ คิดไม่ถึงว่าน้องสามีตัวน้อยผู้นี้จักอาจหาญถึงเพียงนี้ ถึงขั้นเอานกแก้วแสนรักของลูกผู้พี่ไปห้องครัวเพื่อทำอาหารกิน!”


                สะใภ้ทั้งสามซึ่งต่างก็มีฝีปากคล่องแคล่วต่างพากันนิ่งเงียบไปพักใหญ่ นางหลิวจึงฝืนยิ้มแล้วว่า “นะ…ในเมื่อนำนกแก้วมาจากชิงโจว หรือว่าครานี้จะเขียนจดหมายกลับไปที่ชิงโจว บอกว่าปลายปียามทางนั้นส่งของมา ยังสามารถนำมาอีกสักตัวได้หรือไม่เจ้าคะ?”


                ฮูหยินซูถอนหายใจบอกว่า “ครานั้นที่ส่งนกแก้วมา พวกเจ้ายังไม่ได้เข้าบ้าน จึงไม่รู้ว่า ในดินแดนรกร้างทางใต้ก็มีนกแก้วชนิดนี้อยู่ไม่มาก ทั้งยังจับได้ยาก คราก่อนรวบรวมมาได้สิบตัวจึงคิดจะลองส่งมาดู ทว่าระหว่างทางก็ตายไปแปดตัว ตัวที่ท่านยายของพวกเจ้าเก็บเอาไว้ก็เลี้ยงไม่รอด หากว่าได้มาน้อยกว่าสิบตัว ก็เกรงว่าพอออกเดินทางก็จะเสียเที่ยวเปล่า! ยิ่งไปกว่านั้นคราก่อนที่ท่านยายของพวกเจ้ามอบนกแก้วตัวนั้นให้แก่ลูกผู้น้องห้าซึ่งมีผลการาสอบดีที่สุด พวกลูกผู้น้องคนอื่นๆ ของพวกเจ้าทั้งชายหญิงต่างพากันน้อยอกน้อยใจยิ่ง ดังนั้นท่านยายของพวกเจ้าจึงเคยให้ค่ำมั่นว่า หากทางชิงโจวสามารถส่งนกแก้วมาให้อีก ก็จะแบ่งให้แก่คนอื่นๆ และลูกผู้น้องห้าของพวกเจ้าก็จะไม่มีสิทธิ์แล้ว… นอกจากเสียจากว่ามีเหลือจากคนอื่นๆ แล้วเท่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”


                หลานสาวคนโตเสิ่นซูจิ่งอายุสิบขวบ นับไปแล้วนางหลิวก็แต่งงานมาสิบเอ็ดปีแล้ว… ซึ่งเท่ากับเวลาที่เลี้ยงดูนกแก้วตัวนั้นมา เพียงคิดก็รู้ได้ว่าความผูกพันที่ซูอวี๋อู่มีต่อนกแก้วตัวนั้นจะลึกซึ้งปานใด! ก็มิน่าเล่าที่วานนี้เสิ่นจั้งหนิงไม่กล้ากลับมาพร้อมกับมารดา เพื่อเป็นการให้คำตอบบางอย่างแก่บ้านฝั่งมารดาของฮูหยินซู หลังจากนางกลับมาจึงไม่มีทางไม่ตีเสิ่นจั้งหนิงให้หลาบจำสักหน!


                แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เสิ่นจั้งหนิงจะอยู่ที่บ้านซูตลอดไป ในเมื่อเวลานี้ฮูหยินซูมีท่าทีชัดเจนว่าจะต้องสั่งสอนบุตรสาวผู้นี้อย่างหนักหน่วง ดังนั้นย่อมต้องเป็นบรรดาสะใภ้เป็นคนจัดการหาช่องทางให้เสิ่นจั้งหนิงกลับมา ว่าแล้วทุกคนจึงพากันพูดคนละคำสองคำเพื่อหาวิธีชดเชยให้แก่ซูอวี๋อู่ และโน้มน้าวให้ฮูหยินซูให้อภัยแก่เสิ่นจั้งหนิง.. นางหลิวจึงว่า “อีกสองวันก็จะเป็นวันเกิดของน้องสะใภ้สาม พวกเรามิสู้ไปรับน้องสี่กลับมาก่อน ให้นางตระเตรียมของขวัญสักชิ้นเอาไว้ รอจนถึงงานเลี้ยงวันเกิดของน้องสะใภ้สาม ลูกผู้น้องห้าก็จะต้องมาด้วย พอถึงยามนั้น ก็ให้น้องสี่ยกสุราขอขมาลูกผู้น้องห้าต่อหน้าทุกคน ลูกผู้น้องห้าจักได้คลายความโกรธนี้ไป เป็นเช่นไรเจ้าคะ?”


                นางตวนมู่ก็ว่า “อย่างไรก็เป็นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องกันแท้ๆ แม้ลูกผู้น้องห้าจะชอบนกแก้วตัวนั้นเพียงใด อย่างไรก็เป็นเพียงของเล่นชิ้นหนึ่ง แล้วจะเทียบกับญาติพี่น้องได้อย่างไรกัน? แม้ตอนนั้นจะโมโห อีกวันสองวันต่อมาก็เกรงว่าจะหายโกรธแล้วเจ้าค่ะ”


                พอถึงตาเว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูด นางตวนมู่พลันกรอกตาไปส่งสายตากับนางหลิวคราหนึ่ง จากนั้นก็พากันส่งเสียงอ่ะออกมา แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ครึ่งหนึ่ง กล่าวว่า “สะใภ้กลับลืมไปว่า ท่านอาหญิงแท้ๆ ของน้องสะใภ้สามก็มิใช่มารดาของลูกผู้น้องห้าหรอกหรือเจ้าคะ? แต่ไรผู้เป็นอาหญิงย่อมเอ็นดูหลานชายหลานสาวเป็นที่สุด ยามนี้ท่านแม่ก็มิใช่ว่ากำลังสงสารลูกผู้น้องห้าอยู่หรือเจ้าคะ? ลูกผู้น้องห้าเป็นคนกตัญญู เมื่อคิดว่าท่านน้าสะใภ้สามจักต้องเห็นแก่หน้าของน้องสะใภ้สาม เรื่องนี้หากให้น้องสะใภ้สามเป็นคนไปพูด ก็จักต้องสำเร็จแน่นอนเจ้าคะ!”


                นางหลิวยิ้มอ่อนๆ พลางว่า “หากเจ้าไม่พูดข้าก็เกือบจะลืมแล้ว! จะว่าไปในเมื่อลูกผู้น้องห้าต้องเรียกน้องสะใภ้สามว่าพี่สะใภ้ทั้งยังต้องเรียกว่าลูกผู้พี่ ย่อมต้องสนิทกันมากกว่าเราสองคนที่เป็นพี่สะใภ้ เพียงแต่ยามนี้น้องสะใภ้สามยังอยู่ในบ้านไม่ทันครบเดือนเลย ทั้งยังไม่ควรออกจากบ้าน แล้วจะไปพูดกับท่านน้าสะใภ้สามให้ช่วยพูดกับลูกผู้น้องห้าให้ได้อย่างไรเล่า?”


                นางตวนมู่ยิ้ม “เวลานี้สุขภาพของท่านยายเพิ่งจะดีขึ้นมา ท่านน้าสะใภ้สามย่อมไม่อาจปลีกตัวมาได้! แต่สามารถเชิญลูกผู้น้องห้ามาที่จวน ให้น้องสะใภ้สามออกหน้าพูด… ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่น้องสะใภ้สามได้พบกับลูกผู้น้องห้า อย่างไรเสียลูกผู้น้องห้าจักต้องให้เกียรติน้องสะใภ้สามแน่ๆ”


                แล้วหันไปบอกกับฮูหยินซูที่กำลังนิ่งเงียบไม่พูดจาอีก “ท่านแม่เจ้าคะ ตอนนี้นกแก้วก็ถูกกินไปแล้ว ทั้งยังไม่อาจนำอีกตัวจากชิงโจวมาชดเชยให้แก่ลูกผู้น้องห้า หรือต่อให้นำจากชิงโจวมาได้แล้วนำมามอบให้ลูกผู้น้องห้า แต่ก็มิใช่ตัวที่เคยเลี้ยงมาสิบกว่าปีตัวนั้น พูดไปพูดมา พวกเราก็ทำได้เพียงหาทางชดเชยให้แก่ลูกผู้น้องห้าอย่างเต็มกำลัง… แต่ลูกผู้น้องห้าเป็นคนกตัญญูต่อผู้ใหญ่มาแต่ไร หากท่านแม่ไปถาม ลูกผู้น้องห้าจะต้องบอกว่าเขาหาได้ต้องการสิ่งใด และไม่ไล่เรียงเอาความอีก แต่เรื่องที่ไม่เอาความก็ส่วนไม่เอาความ แต่ลูกผู้น้องห้าจักต้องยังเศร้าเสียใจอยู่ หากให้น้องสะใภ้สามออกหน้าช่วยประนีประนอมไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้จบลงด้วยดี ก็มิใช่เป็นการลดความกระอั่กกระอ่วนใจระหว่างท่านป้าสะใภ้ใหญ่และท่านน้าสะใภ้สามหรอกหรือเจ้าคะ?”


                พี่สะใภ้ทั้งสองคน คนหนึ่งส่งคนหนึ่งรับ เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจพูดแทรกได้เลย เดิมทีหากเพียงไปปลอบโยนซูอวี๋อู่ เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่าไม่เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด ทั้งสองคนก็เป็นลูกผู้พี่ผู้น้องกันแท้ๆ ต่อให้ไม่เคยพบกันมาก่อน ก็เป็นดังที่นางตวนมู่กล่าวไว้ เพื่อเห็นแก่หน้าของแม่เฒ่าซ่งและเว่ยจิ้งอิน คาดว่าซูอวี๋อู่คงไม่ทำให้ลูกผู้พี่ต้องลำบากใจมากเกินไป


                อย่างไรเสียนกแก้วก็ไม่มีชีวิตรอดแล้ว… และจะว่าไปแล้วเสิ่นจั้งหนิงก็เป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของซูอวี๋อู่ แม้ซูอวี่อู่จะเอาแส้เฆี่ยนตีคนครัว จะสามารถไล่บ่าวติดตามหลังแต่งงานของท่านป้าสะใภ้ใหญ่ออกไปได้ หรือว่ายังจะไปจับเสิ่นจั้งหนิงมาชกสักรอบ? หลังจากเขาระบายอารมณ์และสงบลงแล้วย่อมเข้าใจได้เองว่าเขาเอาเรื่องถึงเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว หากยังเอาเรื่องต่อไปพวกญาติผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกว่าเขาใจคอคับแคบ เพื่อนกแก้วตัวเดียวกลับเอาแต่ขัดเคืองลูกผู้น้องแท้ๆ ของตนเช่นนี้ ซึ่งลูกผู้ชายไม่ควรจะมีจิตใจคับแคบเช่นนี้


                แต่เรื่องที่นางหลิวและนางตวนมู่พูดมานั้น กลับเป็นการผลักภาระเรื่องลบรอยร้าวระหว่างฮูหยินใหญ่และฮูหยินสามตระกูลซูให้แก่นาง?


                ยังไม่ต้องบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นฮูหยินสามของบ้านซู ลำพังแค่ฐานะเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่ตระกูลซูก็จะไม่เชื่อนาง… และบอกเพียงว่านางเป็นแค่เด็กรุ่นหลัง มีสิทธิ์มีเสียงใดไปไกล่เกลี่ยเรื่องบาดหมางของผู้ใหญ่สองคน ทั้งยังเป็นญาติผู้ใหญ่คนและแซ่ด้วย?


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวด้วยหน้าตาเคร่งขรึมว่า “พี่สะใภ้ทั้งสองอย่าได้ถือโทษที่ข้าจะพูดตรงๆ ข้าอายุยังน้อย ทั้งยังเพิ่งแต่งเข้าบ้าน ทุกเรื่องยังต้องขอคำชี้แนะจากพวกพี่สะใภ้อยู่เลย! หากบอกว่าจะให้อาศัยหน้าตาของท่านย่าและท่านอาหญิงของข้า เพื่อไปโน้มน้าวลูกผู้น้องห้าสักคำสองคำยามเขามาหา นี่ก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่ แต่เรื่องของตระกูลซูนั้น ข้ากลับไม่กล้าไปพูดมากเจ้าค่ะ”


____________________________

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม