สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 ตอนที่ 3.1-4.2

 บทที่ 3 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (1)

โดย

Ink Stone_Romance

 


เมื่อโดนโทษฆาตกรรมมารดาหมายหัว เขาก็จบเห่แล้ว


แม้ฮ่องเต้จะใจกว้างไม่ถือสาเอาความ ทว่าชะตาก็ลิขิตแล้วเช่นกันว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นมลทินที่เขาต้องแบกรับไปตลอดชั่วชีวิตและไม่อาจลบล้างได้


ไม่มีผู้สืบทอดราชวงศ์ไหนสามารถแบกรับโทษฐานและคำครหาเช่นนี้ขึ้นสู่บัลลังก์ได้


ฉะนั้น…


ชั่วชีวิตนี้ชะตาก็ลิขิตแล้วว่าเขาจะไม่มีวาสนากับตำแหน่งนั้นแล้ว


ฉู่ฉีฮุยร่างสั่นสะท้านหวั่นไหว สีหน้าดำมืดยิ่งกว่าขี้เถ้า ในใจพลันรู้สึกว่างเปล่าในชั่วพริบตา


“เลว!” ฮ่องเต้สบถด่าอย่างโมโห แล้วโยนฎีกาลงไปกระแทกหน้าอีกหลายเล่ม เย่าสุ่ยจึงรีบคลานเข้าช่วยเก็บ


“ตระกูลฉู่ของข้าไม่มีลูกหลานอกตัญญูที่ทำเรื่องชั่วตามใจชอบอย่างเจ้า ฆ่าแม่แท้ๆ ของตัวเอง เจ้ามันช่างน่ารังเกียจนัก!” ฮ่องเต้ด่าทอด้วยความโกรธเคือง


เดิมทีฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยพอใจฉู่ฉีฮุยสักเท่าไรอยู่แล้ว หากอยู่เฉยๆ ก็ว่าไป แต่ยามนี้กลับก่อเรื่องเสียหายเช่นนี้ ฮ่องเต้ที่กำลังโกรธพลุ่งพล่านเกือบจะหลุดพูดคำว่า ‘ประหาร’ ออกไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำขอของฉู่อี้อันที่


ขอเขาไว้เมื่อครู่ สุดท้ายจึงฝืนยับยั้งความโกรธนั้นไปได้เกินครึ่ง


“หลี่รุ่ยเสียง ร่างราชโองการถ่ายทอดคำสั่ง!” ฮ่องเต้เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น แต่ยังคงเอ่ยอย่างโมโหเช่นเดิม “หวงจ่างซุนไร้ศีลธรรม ฆ่ามารดาของตนเองมีความผิดมหันต์ ข้าเห็นแก่ที่เขาไม่ได้เจตนา จึงเว้นโทษตายให้เขา ดังนั้น…ถอดยศเป็นสามัญชน เนรเทศไปเมืองกานทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก!”


ฉู่ฉีฮุยเหงื่อตกเต็มหน้าผาก แม้นี่จะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดที่เขาสามารถตั้งตาคอยได้ในเวลานี้แล้ว หลังจากผิดหวังแล้วเขาก็อ่อนแรงไปทั้งตัว จนแทบจะคุกเข่าไม่ไหวแล้ว


“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ฉู่ฉีฮุยคำนับขอบคุณอย่างสับสนงุนงง และรู้สึกเหมือนว่าเขาแทบจะหมอบลงไปกับพื้นทั้งตัวจนจะลุกไม่ขึ้นแล้ว


ฮ่องเต้โบกมือด้วยความรังเกียจ “เอาตัวไป!”


เขาฆ่ามารดาแท้ๆ ของตัวเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่รายงานข่าวเท็จและหลอกให้ฮ่องเต้ออกจากวังนั้นทำให้ฮ่องเต้โกรธจนยังจำได้อยู่ จึงสั่งให้คนนำตัวเขาไปขังเอาไว้ก่อนที่เขาจะถูกคุมตัวไปจากเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ และไม่อนุญาตให้เขากลับไปที่วังบูรพาอีกแล้ว


หลี่รุ่ยเสียงกวักมือไปทางนอกตำหนัก แล้วองครักษ์สองนายก็เข้ามาหามตัวฉู่ฉีฮุยออกไปข้างนอกทันที


ฮ่องเต้ยังไม่หายโกรธสนิท เขากวาดตามองพวกฉู่อี้อันสามคนพ่อลูกอีกครั้ง สีหน้ายังคงฉายความเศร้าออกมาอย่างชัดเจน


“ลูกสั่งสอนเขาไม่ดี ทำให้เขาก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกไปด้วยเถิด” ฉู่อี้อันเอ่ยและคารวะฮ่องเต้อย่างจริงจังอีกครั้ง


“เป็นเพราะสวินหยางบุ่มบ่าม จึงทำผิดไป และยังทำให้เสด็จปู่ทรงกริ้วไปด้วย สวินหยางละอายใจเพคะ!” ฉู่สวินหยางก็คุกเข่าคำนับกับพื้นไปด้วยเช่นกัน


ฉู่ฉีเฟิงคุกเข่าอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ…..


มิใช่ว่าเวลานี้เขาไม่อยากออกหน้าปกป้องฉู่สวินหยาง แต่เขากับฉู่ฉีฮุยก็เป็นพี่น้องกันเช่นกัน พี่ชายได้รับโทษ เขามองดูอยู่ข้างๆ อย่างเฉยชา หากยามนี้รีบช่วยให้น้องสาวของตนเองรอด จะต้องทำให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ และจะได้ไม่คุ้มเสีย


ฮ่องเต้กวาดตามองทั้งสามคนอีกรอบ สุดท้ายกลับหยุดสายตาอยู่ที่ฉู่อี้อัน


“พรุ่งนี้เจ้าส่งสาส์นมาให้ข้าหนึ่งฉบับ อธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้มาให้ชัดเจนทั้งหมด” ฮ่องเต้ด่าใส่หน้าฉู่อี้อันไปเช่นกัน “ต้องดูแลครอบครัวให้ดีก่อน ถึงจะปกครองแคว้นได้ แล้วถึงจะทำให้ใต้หล้าสงบสุขได้ เจ้านั่งอยู่ในตำแหน่งองค์รัชทายาท แม้แต่ลูกของตนเองยังสั่งสอนได้ไม่ดี วันหลังจะทำให้ขุนนางศรัทธาและประชาชนอุ่นใจได้อย่างไร?”


ว่ากันตามตรงแล้วฉู่อี้อันเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ในด้านการว่าราชการก็มองการณ์ไกลและคิดรอบคอบมาก ส่วนพฤติกรรมและศีลธรรมของตัวเขาเองนั้น…..


นอกจากเป็นขี้ปากชาวบ้านเพราะแต่งตั้งชายาเมื่อหลายปีก่อนแล้วก็เป็นคนที่เป็นองค์รัชทายาทได้ไร้ที่ติจริงๆ


อย่างน้อยที่สุดฮ่องเต้เองก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ ในบรรดาโอรสทั้งหมดของเขา ไม่มีใครจะโดดเด่นไปกว่าฉู่อี้อันอีกแล้ว


ฉะนั้นตอนนี้ที่ควรด่าก็ด่า แม้จะเป็นแค่การตำหนิที่ดูเหมือนรุนแรงมาก แต่จริงๆ แล้วกลับไม่ได้รุนแรงเลยเท่านั้นเอง


ฉู่อี้อันรับฟังอย่างนอบน้อม ฮ่องเต้สอนไปได้ครู่หนึ่งก็เหนื่อยแล้ว จึงโบกมือและเอ่ย “ออกไปให้หมดเถอะ!”


“ลูกขอทูลลา!”


“ฉีเฟิงทูลลา/สวินหยางขอทูลลา!”


ฮ่องเต้นั่งอยู่หลังโต๊ะและมองภาพเงาด้านหลังของทั้งสามคนเดินออกไปข้างนอก จนกระทั่งทุกคนออกไปจากห้องทรงอักษรแล้ว ถึงเอ่ยกับหลี่รุ่ยเสียง “ไปสืบมาหน่อย!”


ฉู่ฉีฮุยเหมือนไม่ค่อยสำคัญสักเท่าไหร่ แล้วฮ่องเต้ก็รู้ข่าวเช่นกันว่าก่อนหน้านี้เขาเข้ากับฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางไม่ค่อยได้ หากบอกว่าเขาจะโกรธเกลียดฉู่สวินหยางเพราะเรื่องของเหลยเช่อเฟยก็คงไม่เกินไปนัก เพียงแต่…


การระดมกำลังกันขนาดนี้ อาจจะสวมรอยเป็นทั่วป๋าอวิ๋นจีและเชิญตนเองไปก็ได้…


เรื่องนี้ก็เหมือนจะวุ่นวายเกินไปแล้ว


“ขอรับ!” หลี่รุ่ยเสียงรับคำ และถือแส้หางม้าถอยออกไปอน่างนอบน้อม


ตั้งแต่ออกจากห้องทรงอักษรมา ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงก็เดินตามหลังฉู่อี้อันมาพักหนึ่งแล้ว แต่ฉู่อี้อันก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว


แม้อุปนิสัยของเขาจะไม่ค่อยพูดจาอันใดอยู่แล้ว แต่ความเงียบในยามนี้ก็ยังทำให้พี่น้องทั้งสองรู้สึกกดดันทวีคูณ


ฉู่สวินหยางอยู่ไม่สุข ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาและเอ่ยทำลายความเงียบว่า “ท่านพ่อ ข้า…”


“ข้ายังมีงานที่ตำหนักช่างหมิงเซวียนที่ยังจัดการไม่เสร็จ ข้าต้องไปก่อน” ฉู่อี้อันยังคงสาวเท้าต่อไป และเอ่ยตัดบทเสียงทุ้มโดยไม่รอให้นางพูดจบ “ฉีเฟิง เจ้าพาน้องสาวของเจ้าออกจากวังไปก่อน รอข้าที่ประตูวังสักครู่ ข้าไปเดี๋ยวก็มา!”


เขาเดินอยู่หน้าสุด จึงไม่มีใครเห็นสีหน้าท่าทางของเขาทั้งนั้น แม้แต่น้ำเสียงก็ฟังดูไม่มีเงื่อนงำใดใด


อย่างไรเสียฉู่ฉีฮุยก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง แม้จุดจบในวันนี้ของฉู่ฉีฮุยจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวและไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่อี้อัน ฉู่สวินหยางก็รู้สึกร้อนตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี


“ท่าน…” นางตามไปอีกครั้ง ทว่าตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างก็โดนฉู่ฉีเฟิงรีบเข้ามาดึงไว้ก่อน


“ขอรับ ท่านพ่อ ลูกกับน้องจะไปรอท่านที่หน้าประตูวัง!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยพลางส่ายหน้าส่งสัญญาณให้นางว่าอย่าเพิ่งใจร้อนไป


ฉู่อี้อันก้าวเดินอย่างมั่นคง เลี้ยวแยกไปอีกทางไม่นานก็หายลับไปอย่างรวดเร็ว


ฉู่ฉีเฟิงเห็นฉู่สวินหยางยังเหม่อมองไปทางนั้นจึงดึงแขนเสื้อของนางเอ่ย “ไปก่อนเถอะ!”


“อืม!” ฉู่สวินหยางตอบเสียงทุ้ม และอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองทางเดินที่บิดาเพิ่งจากไปอีกรอบ หลังจากนั้นก็เดินไปทางประตูวังกับฉู่ฉีเฟิงอย่างเงียบๆ


หลี่รุ่ยเสียงเดาไม่ผิด หลังเที่ยงคืนหิมะก็ตกลงมาจากฟากฟ้าอีกจริงๆ หิมะตกไม่หนัก บางครั้งก็พรมลงมาเป็นหยดบางตา ไร้ซึ่งสายลมพัดโชย จึงไม่ได้หนาวเท่าไรแล้ว


ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้เรียกเกี้ยว สองคนพี่น้องยังคงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกไปทางประตูวังอย่างเงียบเชียบ


ค่ำคืนอันเงียบสงบ ทางเดินยาวเหยียดไร้ซึ่งผู้คน เกล็ดหิมะเกาะตัวเป็นชั้นบางๆ บนพื้น เมื่อต้องแสงจันทร์กลับทำให้รู้สึกเหมือนเห็นภาพลวงตา…


ขณะที่งุนงงนั้น เหมือนกับท้องฟ้าสว่างมากแล้ว


เพราะมัวแต่คิดถึงความรู้สึกของฉู่อี้อัน ฉู่สวินหยางจึงขมวดคิ้วเป็นปมตลอดและไม่ผ่อนคลายสักที


ฉู่ฉีเฟิงที่เดินอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นน้องสาวทำหน้าเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็อย่าโทษตัวเองไปเลย วันนี้เขาตกอยู่ในมือเรา อย่างไรก็ดีกว่าถูกคนอื่นลากเข้าไปพัวพันในวันข้างหน้า ส่วนท่านพ่อ…เรื่องนี้มีสาเหตุ เขาไม่มีทางโทษเจ้าหรอก!”


ฉู่อี้อันไม่มีทางโทษนาง แม้นางจะทำเกินไปจริงๆ เขาก็จะไม่ตำหนิ เพียงแต่….


ถึงอย่างไรฉู่ฉีฮุยก็เป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา


ฉู่อี้อันไม่ใช่ฮ่องเต้ เขารักและทะนุถนอมลูกสาวที่ไม่ได้ความเกี่ยวพันทางสายเลือดอย่างนางได้ขนาดนี้ อย่างไรในใจก็ไม่มีทางที่เห็นว่าฉู่ฉีฮุยเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริงๆ


แต่ก็เหมือนที่ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย เรื่องมันผ่านมาแล้ว อีกทั้งนางก็ตัดสินใจทำมันลงไปแล้ว ก็ไม่เหลือทางให้ถอยหนีหรือเสียใจ


ฉู่สวินหยางหันไปคลี่ยิ้มให้เขา นับว่าได้ตอบเขาแล้ว


ฉู่ฉีเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าตอนที่อยากจะพูดอะไรอีก ฉู่สวินหยางก็เบนสายตาหลบไปทางอื่นก่อนอีกครั้ง


สองคนพี่น้องไม่ได้คุยอะไรกันตลอดทาง และเดินต่อไปอย่างเงียบๆ อีกไปพักใหญ่


“นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุดที่ข้าให้แก่เขาแล้ว” นานมาก อยู่ๆ ฉู่สวินหยางก็โพล่งออกมา สายตาจดจ้องมองตามฝีเท้าที่เดินหน้าไปทีละก้าวๆ


ในขณะที่ไม่ได้สังเกตนั้น ฉู่ฉีเฟิงที่เดินเคียงข้างนางมาตลอดกลับหยุดฝีเท้าไปตั้งแต่เมื่อใดแล้วก็ไม่รู้


ฉู่สวินหยางยังเดินต่อไป ทว่าเดินห่างไปได้สามจั้งถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่ได้ตามมา


นางเผลอหันไปมอง…..


ท่ามกลางแสงไฟสลัวสองข้างทางเดิน บุรุษผู้หนึ่งสวมชุดขาวสะอาดยืนนิ่งเงียบ


สายตาของเขาเหมือนปกติที่เคยเป็น สงบและอ่อนโยน โดยเฉพาะมุมปากเหมือนกับยกยิ้มอย่างธรรมชาติ มักจะทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย


ท่ามกลางความเงียบในเวลานี้ นัยน์ตาของเขากลับสุขุมและลุ่มลึกมาก แฝงไว้ด้วยประกายความเคร่งขรึมที่เห็นได้น้อย


ฉู่สวินหยางยืนห่างออกไปสามจั้ง นางค่อยๆ เงยหน้ามองเขาและยิ้มถามว่า “เป็นอะไรไป?”


ฉู่ฉีเฟิงไม่ปริปาก เพียงแค่มองนางด้วยสายตาลึกซึ้งปนหลากหลายความรู้สึกอย่างลุ่มลึก


ครู่ใหญ่…เขาจึงก้าวเดินมาทางนาง


ฉู่สวินหยางยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับไปไหน รอเขาเดินมาใกล้


ฉู่ฉีเฟิงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง


ทั้งสองอายุราวคราวเดียวกัน แต่ฉู่ฉีเฟิงสูงกว่า เขาสูงกว่านางเกือบหนึ่งช่วงหัวได้


ฉู่สวินหยางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปสบสายตาของเขาที่ทอดมองลงมา


วาโยพัดกระโชก จนผมเผ้าของทั้งสองพลิ้วไหว


ฉู่ฉีเฟิงค่อยๆ ยกมือทัดผมให้นางด้วยความทะนุถนอมอ่อนโยน


เขาขยับมือช้ามาก แต่กลับเยือกเย็นและคุ้นเคยมาก


ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้ขยับแต่อย่างใด ขนตายาวงอนทั้งสองข้างกะพริบปริบๆ เหนือดวงตานั้นประทับภาพเงาอ่อนแอเอาไว้ ทำให้สีหน้าของนางแลดูเลือนรางและไม่จริง


————————————-


บทที่ 3 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (2)

โดย

Ink Stone_Romance

 


“สวินหยาง เจ้าเปลี่ยนไป!” ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉู่ฉีเฟิงก็โพล่งออกมา


แม้เสียงที่เปล่งออกมานั้นจะแผ่วเบาอย่างไร แต่น้ำเสียงและอารมณ์ที่แฝงมาด้วยนั้นกลับหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก


ฉู่สวินหยางใจสั่น และกลั้นหายใจมองเขาอย่างตกใจ


นางยังคงยิ้มมุมปากเช่นเดิม รอยยิ้มนั้นยังแฝงด้วยความซุกซนและสง่างาม “หืม?”


ฉู่ฉีเฟิงสบตากับนาง กดนิ้วลงไปหลังศีรษะของหญิงสาว และค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปในเส้นผม จัดแจงผมปรอยตรงบ่าที่ถูกลมหนาวโชยจนพลิ้วไหว


สายตาของชายหนุ่มอ่อนโยนเหมือนแต่ก่อน จับจ้องดวงตาคู่งามของสตรีที่อยู่เบื้องหน้า และยิ้มด้วยความเอ็นดู


“สวินหยางที่ข้าเคยรู้จัก บางทีก็เชื่อฟัง บางทีก็เอาแต่ใจ ไม่เคยอ่อนข้อให้ศัตรู แต่ก็ไม่เคยทำอะไรอย่างระมัดระวัง อาสาลงมือวางแผนจัดการผู้อื่นด้วยตัวเองเฉกเช่นตอนนี้!” เขามองนางและเอ่ยพูด


แม้น้ำเสียงจะไม่ได้โจมตีใดใด แต่กลับล้ำลึก ทำให้ในใจฉู่สวินหยางฟังแล้วรู้สึกปลงอนิจจังได้เหมือนกัน


อันที่จริงฉู่สวินหยางก็เข้าใจดี ไม่ว่าฉู่อี้อันหรือฉู่ฉีเฟิง พวกเขาทุ่มเทให้นางสุดใจ เพราะอยากจะมอบชีวิตที่บริสุทธิ์และสดใสที่สุดแก่นาง


แม้จะไม่เคยพูด แต่…


พวกเขาก็ไม่เคยอยากให้นางหลุดเข้ามาในวังวนชั้นสูงสุดแห่งการแก่งแย่งอำนาจของฮ่องเต้นี้แม้แต่น้อย


ทว่าจนถึงยามนี้…


ความทุ่มเทของพวกเขาทั้งสองคน…


สุดท้ายนางกลับทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง!


“ท่านพี่…” ฉู่สวินหยางยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น แต่กลับก้มหน้าก้มตาลงด้วยความละอายใจ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านรู้สึกว่าข้าเป็นแบบนี้…ไม่ดีหรือ?”


“เปล่า!” ฉู่ฉีเฟิงตอบอย่างหนักแน่น


ฉู่สวินหยางตะลึงงัน เงยหน้ามองเขาอีกครั้ง


เขาส่ายหน้าเป็นพัลวัน นิ้วมือสอดไปในช่อผมที่แสนนุ่มลื่นของนางและเอ่ยขึ้น “สำหรับข้า ขอแค่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือก ก็ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่เจ้าอยากทำ ข้าก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้าเสมอ แต่สวินหยาง…ข้าอยากรู้ความคิดที่แท้จริงของเจ้านัก! เหตุใด? เหตุใดเจ้าจึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันมากถึงเพียงนี้?”


ข้าพร้อมที่จะหลับหูหลับตารักเจ้า ไม่ถือสาเจ้า แต่ว่า…


ข้าไม่อาจให้เจ้าแบกรับเรื่องราวที่แสนหนักอึ้งพวกนี้ไว้คนเดียวได้


ใช่ เขากลับมาครั้งนี้ เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าน้องสาวผู้นี้มีเรื่องในใจ


แม้นางจะยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนปกติอย่างไร แต่เบื้องหลังของอารมณ์สดใสชื่นบานกลับซ่อนสิ่งที่ไม่อาจให้คนรู้ไว้มากมาย เรื่องในใจที่ซับซ้อนและหนักอึ้งมาก


ตอนแรกเขาก็คิดว่าอาจจะเกี่ยวกับเหยียนหลิงจวิน เป็นเรื่องในใจของสาวน้อยวัยแรกรักอย่างนาง แต่เมื่อสังเกตดีๆ แล้วกลับไม่ใช่เช่นนั้น


นางวางแผนไว้ใหญ่โตเช่นนี้ ต้องไม่ได้เพื่อใครคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน


สายตาของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าสดใสร่าเริง ในความสุขุมอ่อนโยนนั้นยังแฝงความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ด้วย


คำพูดทุกประโยคทุกพยางค์ของเขามิได้เป็นเพียงอากาศธาตุ เขายอมที่จะใช้ทุกอย่างมารักษาสัญญาที่เขากล่าวทุกคำ แม้แต่… ชีวิต


จู่ๆ ขอบตาของฉู่สวินหยางก็แดงขึ้นมา


“ท่านพี่! ข้ากลัว!” นางกล่าว


ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง ทั้งดื้อรั้นและถือทิฐิ


ท่ามกลางความมืด สายลมพัดผ่านหน้าม้าบนหน้าผากนางไหวไปตามทางลม และช่วยอำพรางอารมณ์ของหญิงสาวไปกว่าครึ่ง


ฉู่ฉีเฟิงยืนงงอยู่ตรงนั้น สติหลุดลอยเคว้งคว้างไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่พักใหญ่…


ตั้งแต่เล็กจนโตในความทรงจำของเขา ฉู่สวินหยางเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและร่าเริงมาโดยตลอด แม้จะเจอเรื่องใหญ่โตมาก นางก็มักจะตรงไปตรงมาและมั่นใจอย่างไร้ความเกรงกลัวเสมอ


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแววตาสับสนลังเลไร้ที่พึ่งจากนางเช่นนี้ แม้กระทั่ง…


ความกลัวที่อยู่ในส่วนลึกของนาง


“สวินหยาง…” จู่ๆ ฉู่ฉีเฟิงก็มือไม้อ่อนขึ้นมา เขาขยับริมฝีปากเล็กน้อย มีคำพูดปลอบโยนนับร้อย แต่ก็รู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน


“ตั้งแต่ที่ท่านเกิดเหตุที่เมืองฉู่ คืนวันนั้นข้าฝันร้าย ข้าฝันว่าท่านกับท่านพ่อ…” ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาจริงจัง “ท่านพี่ เฉกเช่นที่ท่านเชื่อข้าและสนับสนุนข้าอย่างสุดกำลัง ชาตินี้ทั้งชาติข้ามีเพียงท่านกับท่านพ่อ ข้าก็ไม่อยากเสียไปเช่นกัน แต่ก่อนข้ามักคิดว่าอย่าเพิ่งตีต้นไปก่อนไข้ ถึงเวลานั้นปัญหาจะมีทางออกเสมอ แต่ตอนนี้บางทีข้ากลับรู้สึกว่าความคิดตอนนั้นของข้าช่างไร้เดียงสานัก หากล้อมคอกก่อนวัวหายอาจจะดีกว่า!”


เรื่องต่างๆ ในชาติที่แล้ว นางไม่อาจจับเข่านั่งเล่าอธิบายกับผู้อื่นได้ เพราะหนักหนาเกินใครจะรับไหว นางจึงทำได้เพียงเปรียบเปรยให้เป็นฝันร้ายที่เลือนหายเข้ากลีบเมฆไป แต่ชาตินี้นางจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับฝันร้ายนั้นอีก


ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วเป็นปม อารมณ์เคร่งเครียดขุ่นมัว


ฉู่ฉีเฟิงเหมือนโดนความสับสนวุ่นวายในสายตานางสะกด จึงได้แต่อึ้งตะลึงงันอยู่อย่างนั้น


“ไม่ว่าจะเป็นแม่ของฉู่ฉีฮุยก็ดี หรือจะเป็นฉู่ฉีเหยียนและคนในจวนอ๋องหนานเหอก็ตาม ที่พวกเขาแก่งแย่งชิงดีกันนับว่าเป็นเรื่องของพวกเขา แต่ข้ามิอาจยอมให้ใครมาแตะต้องทำร้ายท่านและท่านพ่อได้ ท่านพี่ การช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้ใต้หล้านี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม ตำแหน่งของท่านพ่อในเวลานี้ทำให้พวกเราไม่อาจตีตัวออกห่างได้แล้ว ข้าไม่รู้ว่าท่านคิดเห็นอย่างไร แต่ตอนนี้…” ฉู่สวินหยางเอ่ยต่อ ทว่าเอ่ยได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ก็เม้มปากหยุดคิด


นางทอดมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหล่าอ่อนละมุนของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา “ใต้ฟ้าทั่วหล้าคือแผ่นดินกษัตริย์ ประชาชนทั่วหล้าคือกำลังของกษัตริย์ ข้าจึงไม่ปักใจเชื่อใครทั้งสิ้นแล้ว ขอเพียงแค่อำนาจกษัตริย์ใต้หล้านี้อยู่ในมือท่านพ่อและท่าน ข้าก็วางใจได้!”


หากนางมิได้ฝังต้นเพลิงของภพที่แล้วไว้ที่นี่ เรื่องราวก็คงไม่ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้หรอก จากระดับความอดทนของฉู่อี้อันนั้น แม้ภายภาคหน้าจะไม่ได้ขึ้นเป็นราชาแห่งแผ่นดิน และไปประจำการเมืองเล็กแทน ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้อยู่ดี ทว่าตอนนี้…


เพียงแค่ฐานันดรที่นางเป็นเศษเดนของราชวงศ์ก่อนถูกเปิดโปง ฉู่อี้อันก็จะโดนโทษใหญ่หมายหัว ใครอยากจะกำจัดเขาทิ้งต่างก็ทำได้ด้วยความชอบธรรม


ฉะนั้น ตอนนี้หนทางเดียวที่นางจะปิดความลับนี้ได้คือชิ่งลงมือก่อน คว้าอำนาจในการปกครองแคว้นนี้มาไว้ในมือ ถึงตอนนั้นแม้จะมีใครคลำเจอความลับเรื่องนี้…


ตาที่นางเคยเอ่ย ใต้ฟ้าทั่วล้าเป็นแผ่นดินกษัตริย์ แค่เพียงฉู่อี้อันได้อำนาจนี้มาอยู่ในมือ ถึงตอนนั้นฐานันดรของนางจะถูกเปิดโปงขึ้นมาจริงๆ ฉู่อี้อันก็เป็นถึงจอมราชาแห่งแผ่นดิน ฉะนั้นใครยังจะกล้าดียัดเยียดความผิดให้เขาอีก ต่อให้เขาชุบเลี้ยงกากเดนของราชวงศ์ก่อน จะมีใครยอมใช้ตำแหน่งของตนเองต่อต้านเขากัน?


นางไม่ได้โกรธแค้นเรื่องภพก่อนจนต้องไปกีดกันฉู่ฉีเหยียนให้ได้ แต่เพื่อมีชีวิตรอด…..


นั่นเป็นทางเดียวที่พวกนางสามคนพ่อลูกจะดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุขจนจบชาตินี้


ระหว่างพูดนั้น ดวงตาของฉู่สวินหยางก็เปลี่ยนจากความลังเลมาเป็นความมาดมั่น


นางเม้มปากแน่น ใบหน้าของนางแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างที่เคยเป็น “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าข้าเห็นแก่ตัวที่บังคับให้ท่านไปเดินบนเส้นทางที่ชะตาลิขิตแล้วว่าจะลำบากมากแบบนี้ แต่ครั้งนี้ถือว่าข้าขอท่านเถิด ข้ามีเจตนาอื่นแอบแฝงจริง ไม่ว่าอย่างไร ข้าขอเพียงให้ท่านและท่านพ่ออยู่ข้างๆ ข้าอย่างปลอดภัยเช่นนี้ตลอดไป”


แม้จะต้องพลิกนทีมหาสมุทร นางขอเพียง….


อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเฉกชาติที่แล้วอีกเลย


“สวินหยาง…” ฉู่ฉีเฟิงมองนางด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ เขาขยับปากเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คำพูดนั้นเหมือนติดค้างอยู่ที่ปากไม่ยอมออกมา เขาเบือนสายตาหนีด้วยความลังเล ก่อนเอ่ยอย่างขมขื่น “เจ้าเรียกข้าว่าพี่ แต่สิ่งที่ข้าทำให้เจ้าได้ในชาตินี้มีจำกัด ถ้าหากวันหนึ่ง…”


“ไม่มีถ้าหาก!” ฉู่สวินหยางเอ่ยสกัดประโยคที่เขากำลังจะเอ่ย พลางอ้อมไปยืนตรงหน้าเขาแล้วดึงชายเสื้อของชายหนุ่มด้วยแววตาขอร้องอ้อนวอนเช่นเดิม “ท่านพี่ ข้าไม่ต้องการให้ท่านทำสิ่งใดให้ข้า ขอเพียงท่านกับท่านพ่ออยู่รอดปลอดภัย นี่เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาจากท่านทั้งหมดในชาตินี้แล้ว ตอนนี้ข้าอยากให้ท่านสัญญากับข้าข้อหนึ่ง มิว่าท่านจะอยู่ที่ไหนเวลาใด เพื่อข้า…ขอจงรักษาตัวท่านให้ดี!”


แววตาของนางทั้งร้อนรนทั้งร้องขอ


ฉู่ฉีเฟิงมองนางได้ครู่หนึ่งก็ยิ้มออกมา


เขายื่นมือจับท้ายทอยนางและดึงตัวเข้ามาในอ้อมกอด เสียงอบอุ่นอ่อนโยนของเขาดังกังวาน นำพาหิมะที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าพลอยละลายหายไป “ได้! หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ!”


เรื่องมาถึงทุกวันนี้ เขาจำต้องยอมรับว่าความคิดที่ฉู่สวินหยางได้กลั่นกรองมาล้วนถูกต้องทั้งหมด แม้สิ่งที่ยากจะคาดเดาก็อาจจะเหมือนกับที่นางพูดไว้ทั้งหมด เขามีแต่ต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ใต้หล้านี้ในสักวันเท่านั้นถึงจะปกป้องตนเองและนางเอาไว้ได้!


ราตรีคิมหันต์เงียบสงัด ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มงามด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน แต่แววตาคู่นั้นกลับดำมืดและลุ่มลึก คล้ายกับเกล็ดหิมะที่โปรยลงสู่ธุลีเหล่านี้ ร่วงหล่นในที่ที่ไม่อาจรู้และไกลออกไป


หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ดึงฉู่สวินหยางออกจากอ้อมอก แล้วยกมือขึ้นปัดเกล็ดหิมะที่ประปรายอยู่ตรงไหล่นาง


“ไปเถิด ออกจากวังก่อนเถิด!”


“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าและยิ้มให้กับเขา ทั้งสองคนค่อยๆ เร่งฝีเท้าเดินไปทางประตูวังดังเดิม


พอได้ออกจากวังก็เป็นเวลาสี่เกิงแล้ว


เมื่อประตูวังเปิดออก ผู้คนหนาตาที่คุกเข่ากันอยู่ด้านนอกก็เงยหน้าด้วยความปิติยินดีทันที เดิมนึกว่าเป็นขันทีออกมาประกาศราชโองการ แต่เมื่อเห็นฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางสองพี่น้อง หน้าตาของทุกคนก็เศร้าสร้อยลงทันที


ชิงเถิงที่จอดรถม้ารออยู่ด้านข้างก็กระโดดลงมารับทั้งสองทันที “ท่านหญิง ท่านจวิ้นอ๋อง!”


“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า “ท่านพ่อยังมีเรื่องในวังต้องจัดการ เราขึ้นไปรอเขาบนรถม้าสักครู่ก่อนเถิด!”


“เจ้าค่ะ!” ชิงเถิงรับคำและนำทั้งสองคนไปยังทางที่รถม้าจอดอยู่ พลางเอ่ย “ข้าเตรียมกระถางไฟและเตาอุ่นมือไว้ให้ท่านหญิงบนรถแล้ว ขึ้นไปทำตัวให้อุ่นก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”


—————————————


บทที่ 3 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (3)

โดย

Ink Stone_Romance

ผู้ที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกนั้นคือกองกำลังรักษาพระนครที่ฉู่ฉีฮุยพาออกไปก่อนหน้านี้ เนื่องด้วยคนพวกนี้มีโทษฐานที่ทำให้เหลยเช่อเฟยได้รับบาดเจ็บ ทุกคนล้วนถูกหมายหัวไว้อยู่ ยามนี้จึงใจสั่นไหว คุกเข่ารอคำตัดสินอยู่ตรงนี้ หวังจะให้ฮ่องเต้ลงโทษสถานเบา แต่ฮ่องเต้งานล้นมืออยู่ทุกวี่ทุกวันเช่นนี้จะมีเวลาไปสนใจความเป็นความตายของพวกเขาเสียที่ไหน?


คนกลุ่มนี้คุกเข่ามาครึ่งค่อนวันแล้ว เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าฉู่ฉีฮุยจะออกมาก็พอจะรู้ความเป็นไป ถึงตอนนี้พวกเขาจึงคลานเข้าไปคำนับขอร้องใกล้ๆ ฉู่ฉีเฟิงโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ท่านจวิ้นอ๋อง พวกข้าหลับหูหลับตาลบหลู่ท่านหญิงเช่นนั้น ข้าสมควรตาย แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคำสั่งของท่านชายจ่างซุน ข้าจึงต้องทำตาม เห็นแก่ที่พวกข้าบริสุทธิ์ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ขอท่านช่วยกรุณาขอร้ององค์รัชทายาทให้เว้นโทษตายแก่ข้าด้วยเถิด!”


คนคนนั้นพูดไปก็จะจับชายชุดของเขา


สายตาของฉู่ฉีเฟิงเคร่งขรึมเล็กน้อย ก่อนจะมองผ่านไปอย่างเย็นชาและเฉียบขาด


คนผู้นั้นใจสั่นระริก และรีบชักมือกลับในทันใด “ท่านจวิ้นอ๋อง…”


“พวกเจ้ามิได้รับคำสั่งจากท่านพ่อก็บุ่มบ่ามลงมือทำ แล้วยังมีเจตนาจะฆ่าน้องสาวข้าอีก หากความผิดเช่นนี้จะให้ลดหย่อน เห็นทีบ้านเมืองคงไม่ต้องมีขื่อมีแปแล้วกระมัง” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยพลางเหลือบมองพวกเขาเล็กน้อย แล้วจึงก้มหน้าจัดปกเสื้ออย่างเยือกเย็นและสง่างาม ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทบจะทันที “ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังก่อคดีฆาตกรรมขึ้นมาอีก เช่อเฟยแห่งวังบูรพาโดนบ่าวที่ใจกล้าอย่างพวกเจ้ายิงตายแล้ว ตอนนี้พวกเจ้ายังกล้ามาขอร้องต่อหน้าข้าอีกหรือ?”


“เอ่อ…เอ่อ….” คนผู้นั้นกระสับกระส่าย


ตอนที่ร่างของเหลยเช่อเฟยถูกหามไป ทุกคนล้วนเดากันได้ว่าสตรีผู้นั้นคงไม่รอดแน่ และยามนี้นางก็ตายไปแล้วจริงๆ เมื่อทุกคนรู้ข่าวก็เหมือนกับโดนคนฟาดศีรษะด้วยไม้กระบอง สูญเสียสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไปทันทีและเริ่มลนลานขึ้นมา


ฉู่ฉีเฟิงไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ จึงหันไปตำหนิองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูวังอย่างเฉยชาว่า “พวกเจ้าเห็นว่าที่นี่เป็นที่ไหนกัน ถึงปล่อยให้พวกเขาคุกเข่ากวนใจประชาชนอยู่ตรงนี้? อีกเดี๋ยวหากมีเรื่องซุบซิบนินทาเล็ดลอดออกไป แล้วฝ่าบาทกล่าวโทษ พวกเจ้ามีหัวพอให้รับผิดชอบหรือ?”


“ขอรับ เพราะพวกข้าบกพร่องในหน้าที่ จะรีบไล่ไปบัดเดี๋ยวนี้ขอรับ!” หัวหน้าองครักษ์ที่เฝ้าประตูตกใจ รีบเรียกทหารกองหนึ่งเข้าไปตะโกนขับไล่เหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเสียงแหบ


คนพวกนั้นทำตามคำสั่งของฉู่ฉีฮุย แม้จะต้องสงสัยว่าบกพร่องต่อหน้าที่ แต่นอกจากนักธนูร้อยกว่าคนนั้นที่พัวพันกับคดีของเหลยเช่อเฟยแล้ว ผู้อื่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม แล้วก็ไม่กล้าก่อเรื่องในตอนที่แต่ละฝ่ายเริ่มแก่งแย่งชิงดีกันอย่างรุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน พอโดนองครักษ์ไล่ก็แยกย้ายกันไปแล้ว แต่นักธนูร้อยกว่าคนยังคงอยู่ตรงประตูวังอย่างหวาดกลัวและไม่สบายใจมากจนไม่ยอมจากไป


“ท่านจวิ้นอ๋อง พวกข้าล้วนทำตามคำสั่ง ท่านชายจ่างซุนเป็นถึงราชนิกุล พวกข้าก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเขาน่ะสิขอรับ!” หัวหน้าคนหนึ่งยังพยายามขอร้องอย่างเต็มที่ “อีกทั้ง…ยามนั้นคำสั่งของท่านหญิงก็ไม่ชัดเจน พวกข้าเองต่างก็ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในรถจะเป็นเช่อเฟย มิเช่นนั้นก็คงไม่ถึงกับ…”


“หมายความว่าอย่างไร? นี่เจ้าจะโบ้ยกลับมาโทษท่านหญิงของข้าอย่างนั้นหรือ?” ชิงเถิงนั้นเป็นคนเลือดร้อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตวาดถามกลับในทันที


คนเหล่านั้นขอเพียงให้ตนหลุดพ้น อะไรก็ไม่สนทั้งนั้น จึงหดคอละล่ำละลักเอ่ย “ท่านหญิงชี้แจ้งไม่ชัดเจนจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่ถึงกับ…”


“แล้วท่านหญิงของพวกเราไม่เคยเกลี้ยกล่อมพวกเจ้าเลยหรือ?” ชิงเถิงจ้องจนตาถลน พลางตวัดแส้หางม้าที่อยู่ในมือไปทางคนพวกนั้น ด่าทอเสียงแข็ง “บอกไปหมดแล้วว่าเป็นเรื่องภายในวังบูรพาของพวกเรา แต่พวกเจ้ากลับไม่รู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ แล้วก็ลงมือสังหารคนตามใจชอบ ยามนี้ลงมือทำร้ายเหลยเช่อเฟยยังไม่มีสำนึก ซ้ำยังจะใส่ร้ายป้ายสีท่านหญิงของพวกเราอีกหรือ? พวกเจ้ามันบังอาจมากจริงๆ!”


“ข้ามิกล้า ข้ามิกล้า!” คนผู้นั้นใจสั่นตึกตัก ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องที่องค์รัชทายาทและคังจวิ้นอ๋องออกหน้าปกป้องท่านหญิงสวินหยางขึ้นมาได้ พอรู้ตัวว่าตนพลั้งปากพูดอะไรออกไปก็รีบขอขมาลาโทษทันที


ทว่าฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้ให้โอกาสให้เขาพล่ามอีก สั่งการเสียงนิ่ง “คุมตัวพวกมันกลับไปที่กองกำลังรักษาพระนครและฝากเหลียงอวี่ไว้ก่อน รอท่านพ่อว่างมาจัดการ!”


เมื่อพูดจบก็ขี้เกียจจะพูดมากอีก จึงหมุนตัวขึ้นรถม้าไปทันที


หลังจากเข้าเฝ้าตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวที่หวงจ่างซุนฉู่ฉีฮุยกระทำผิดต่อเบื้องบน และถูกถอดยศปลดเป็นสามัญชนก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว


เนื่องด้วยเป็นข่าวอื้อฉาวภายในราชวงศ์ ฮ่องเต้จึงสั่งให้ปิดปากให้สนิท อีกทั้งฉู่ฉีเฟิงเล่นลูกไม้ข่มขู่และขังทหารของกองกำลังรักษาพระนครที่พัวพันกับคดีเอาไว้หมดแล้ว ผู้อื่นที่รู้เรื่องต่างก็กลัวว่าพูดแล้วจะนำภัยมาแก่ตน จึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ พอจะพูดถึงอีกทีก็เลือนรางไปมากแล้ว บอกได้แค่ว่าผิดต่อเบื้องบน และไม่ได้บอกรายละเอียดไป


แต่เรื่องที่ฮ่องเต้ออกจากวังนั้นแพร่ไปทั่ว ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามทางแตกตื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจู่ๆ ความวุ่นวายนอกประตูเมืองทางทิศใต้ก็ถูกคนขุดออกมาแอบวิพากษ์วิจารณ์กัน แต่ก็ทำได้เพียงคาดเดารายละเอียดเท่านั้น


เมื่อฉู่หลิงอวิ้นได้ยินข่าวก็ตกอกตกใจเป็นอย่างมาก มือไม้อ่อนไปครู่หนึ่ง ขนาดถ้วยชาเนื้อหยกขาวที่หลัวฮองเฮามอบให้ในมือยังทำตกพื้น จนน้ำชากระเซ็นโดนชายกระโปรงเปียกปอน


 “ฉู่ฉีฮุยถูกถอดยศ? เหตุใดจึงปุบปับเช่นนี้? เกิดอะไรขึ้นกัน?” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ยถามระรัว ไม่ทันได้สนใจคราบเปื้อนบนตัวแต่อย่างใด พอลุกขึ้นได้ก็เตรียมจะออกไปทันที “ไปเตรียมรถม้า ข้าจะกลับจวนอ๋องบัดเดี๋ยวนี้”


ฉู่ฉีเหยียนรู้ข่าวสารฉับไวมาโดยตลอด บางทีเขาอาจจะรู้ก็ได้


“ท่านหญิง!” จื่อเหวยวิ่งเหยาะๆ ตามไปพลางเอ่ย “ยามนี้ท่านเข้าวังไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ไปดูฮองเฮาเสียก่อนเถิด ทางซื่อจื่อ ข้าจะไปส่งข่าวแทนท่านก่อน ท่านว่าแบบนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ?”


ฉู่หลิงอวิ้นหยุดฝีเท้าขมวดคิ้วมองนางอย่างสงสัยได้พักหนึ่ง ก็ถึงบางอ้อขึ้นมาในไม่ช้า “เสด็จย่าเป็นอะไรไปอีกหรือ?”


“เย็นวานนี้ เมืองฉู่ส่งข่าวแบบด่วนที่สุดมายังพระนคร ได้ความว่าผู้บัญชาการหลัวบาดเจ็บหนัก บัดนี้สิ้นลมไปแล้ว” จื่อเหวยเอ่ย “พอหลัวฮองเฮารู้ข่าวก็กระอักเลือดออกมาคำโต แต่คืนวานจู่ๆ ฝ่าบาทก็ออกวัง ต่อมาก็ได้เกิดเรื่องของ


ท่านชายจ่างซุนขึ้นอีก และข่าวนี้ก็ถูกปิดไว้ ข้าก็เพิ่งได้ข่าวเมื่อครู่เจ้าค่ะ!”


“หลัวอี้สิ้นลมแล้วอย่างนั้นหรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นสูดหายใจลึกถามด้วยความตกตะลึง


ลอบทำร้ายหลัวอี้เป็นแผนการของฉู่ฉีเหยียน แต่นางคิดไม่ถึงว่าหลัวอี้จะสิ้นชีพไปเลยเช่นนี้


“ยืนงงอะไรอยู่อีก? รีบไปเตรียมรถและยื่นตราเข้าวังสิ” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ฉู่หลิงอวิ้นก็รีบเอ่ยสั่ง


ยามนี้หลัวฮองเฮากำลังร้อนรุ่มในอก อยากจะเป่าหูให้ฮองเฮาทำเรื่องอะไรคงไม่มีโอกาสอื่นที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว


จื่อเหวยรับคำและรีบไปเตรียมรถให้ฉู่หลิงอวิ้นเข้าวังไปเยี่ยมฮองเฮาในทันใด


—————————————————–


ฮ่องเต้เพิ่งกลับมาจากที่เข้าเฝ้ารอบเช้า เมื่อย่างเข้าห้องทรงอักษรก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามหลี่รุ่ยเสียง “ได้ข่าวจากคนที่ส่งไปตามหาผู้หญิงโม่เป่ยแล้วหรือ?”


“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่รุ่ยเสียงก้มหน้าหนี เมื่อตั้งสติได้ก็กลั้นลมหายใจ แม้เสียงที่เอ่ยยังแผ่วเบาลง “เมื่อวานหลังเที่ยงคืนขบวนคณะทูตของโม่เป่ยถูกรั้งไว้กลางทาง แต่เมื่อกองทหารองครักษ์เข้าค้นก็มิพบร่องรอยของทั่วป๋าอวิ๋นจี นาง…เหมือนจะมิได้ไปกับขบวนคณะทูตขอรับ!”


ฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลงในทันที สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เปลี่ยนแปลงใดใด บีบนิ้วมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อจนเกิดเสียงดังแล้ว


หลี่รุ่ยเสียงรีบคุกเข่าลงอย่างไม่รีรอ แม้นคำอธิบายก็ไม่กล้าหลุดออกมาสักคำ


ฮ่องเต้ยืนอยู่เพียงผู้เดียวในตำหนักใหญ่นั้น นัยน์ตาเป็นประกายเพลิงอยู่เช่นนั้นอยู่ครู่ใหญ่ เขายืนเงียบไปนานมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก้าวเข้าไปในตำหนักอีกครั้ง และนั่งอ่านฎีกาต่อหลังโต๊ะ


หลี่รุ่ยเสียงยังคงคุกเข่าอยู่ด้านนอกไม่ขยับไปไหน


ฮ่องเต้เขียนพู่กันอย่างเร็วมาก และจัดการฎีกาอยู่ข้างในจนเลยบ่ายไปแล้วถึงจะวางพู่กันลง เขามองไปด้านนอกไกลๆ ก่อนเอ่ยสั่ง “คำสั่งลับเรียกตัวซื่อหรงกลับมา!”


เดิมทีเขาวางแผนให้ทหารแฝงตัวเข้าไปในราชสำนักโม่เป่ยและลอบฆ่าอ๋องโม่เป่ย โดยโยนความผิดให้ทั่วป๋าไหวอัน ทำให้เขาสูญสิ้นการสนับสนุนจากขุนนางและประชาชนชาวโม่เป่ย พอถึงตอนนั้นแต่ละเผ่าของโม่เป่ยไม่พอใจทายาทผู้สืบทอดผู้นี้ ก็จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายภายในอย่างแน่นอน


แต่ตอนนี้จู่ๆ เขาดันมาเปลี่ยนแผน…


พี่น้องทั่วป๋าทั้งสองอยู่ใต้จมูกเขา พวกเขายังรอดตัวออกไปได้ปลอดภัยทีละคนๆ ทั้งที่เขาตั้งใจวางแผน เล่ห์เหลี่ยมของผู้นี้…..


ไม้นี้ไม่แน่อาจได้ผล แต่หากไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็จะทำให้เกิดการต่อต้านได้ง่าย


“พ่ะย่ะค่ะ!” หลี่ลุ่ยเสียงที่คุกเข่ามาตลอดช่วงเช้าจึงค่อยๆ ก้มหน้าก้มตาลุกขึ้นและหันตัวออกไป


หลี่รุ่ยเสียงเพิ่งไปได้ไม่นาน อารมณ์โกรธแค้นที่ฮ่องเต้อดทนกดทับมาตลอดยามเช้า สุดท้ายก็มิอาจจะเก็บไว้ได้เขาระเบิดอารมณ์ทุบโต๊ะ ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโต๊ะตัวนั้น


สายตาของเขาคล้ายกับปีศาจกระหายเลือด มืดทะมึนกล้ำกลืนประกายเพลิงสีแดงแห่งความแค้นนั้นไปจนหมด


สุดท้ายเขาก็พิงพนักเก้าอี้ที่อยู่หลังกาย ปิดเปลือกตาลงไม่เอ่ยคำใด เย่าสุ่ยที่อยู่ด้านนอกกลั้นใจเดินเข้ามาอย่างระวัง “ฝ่าบาท อาการของฮองเฮามิค่อยดีนักพ่ะย่ะค่ะ จะทรงเสด็จไปเยี่ยมหน่อยหรือไม่?”


“นางเป็นอะไรไปอีก?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วอย่างเบื่อหน่าย


——————————————-


บทที่ 3 หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะทำ (4)

โดย

Ink Stone_Romance

เย่าสุ่ยหลุบตาลง ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก


หลัวฮองเฮาอาการกำเริบ เอะอะอาละวาดไม่ยอมกินยา อายุปูนนี้แล้วยังเอาแต่ใจ เย่าสุ่ยรู้ดีอยู่แก่ใจว่ายามนี้ฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์นัก เขาจะกล้าพูดได้อย่างไร


ถึงฮ่องเต้จะอารมณ์ไม่ดีเช่นใด แต่อย่างไรเสียหลัวฮองเฮาก็เป็นชายาที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาสิบกว่าปี เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายฮ่องเต้ก็ยันโต๊ะลุกขึ้น


“กระหม่อมช่วยประคองพ่ะย่ะค่ะ!” เย่าสุ่ยรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไปพยุงมือของเขา


“ไปเตรียมราชรถเถอะ!” ฮ่องเต้ปัดมือเขาออกเป็นนัยว่าไม่ต้อง


เย่าสุ่ยได้รับคำสั่งให้เตรียมราชรถ จึงไปเรียกราชรถมา แล้วคนทั้งกลุ่มก็ไปยังวังโซ่วคังอย่างยิ่งใหญ่


เมื่อเย่าสุ่ยพยุงฮ่องเต้เข้าประตูตำหนักไปก็ได้กลิ่นหยูกยาฉุนเต็มจมูก


ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม


ยามนั้นเหล่าแม่นมทั้งหลายในตำหนักก็คุกเข่าลงกับพื้น หลัวฮองเฮาก็นั่งพิงอยู่บนเตียงใหญ่ด้านในด้วยสภาพอิดโรยเต็มทน ราวกับเส้นผมได้กลายเป็นสีขาวภายในชั่วราตรี ท่าทีดูหมดอาลัยตายอยากนัก


ฉู่หลิงอวิ้นยกถาดยาเข้ามานั่งบนเก้าอี้ปักข้างๆ เกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม “เสด็จย่า ผู้ตายมิอาจฟื้นคืน ร่างกายของท่านสำคัญนัก เหตุใดท่านต้องทรมานตัวเองเช่นนี้ด้วย หมอหลวงกำชับให้ดื่มยานี้ตอนยังร้อนจะดีกว่า”


หลัวฮองเฮาสีหน้ามืดสลัว จ้องมองพู่สีทองที่ห้อยอยู่มุมเตียงราวกำลังจ้องศัตรูที่โกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน โดยไม่ได้สนใจฟังคำพูดของนางแม้แต่น้อย


แม่นมเหลียงยืนถอนหายใจอยู่ข้างๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นฮ่องเต้เข้ามาจากด้านนอก จึงตกอกตกใจยกใหญ่


รีบคุกเข่าลงทันที “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”


ทุกคนตะลึงงัน และรีบหันกลับมาทำความเคารพไปตามๆ กัน


ฉู่หลิงอวิ้นก็รีบลุกขึ้นยืนคำนับเช่นกัน


เมื่อฮ่องเต้กวาดสายตาไปเห็นกลุ่มคนหนาตาคุกเข่าอยู่ภายในตำหนักก็ยิ่งอารมณ์ไม่ดีไปใหญ่ “คุกเข่าอยู่ที่นี่ทำไมกัน? ฮองเฮาประชวรเหตุใดไม่ไปเฝ้าด้านนอก?”


“ฝ่าบาททรงมาพอดีเลยเพคะ หมอหลวงบอกว่าฮองเฮาพระทัยเคร่งเครียด ยามนี้ก็เสวยโอสถมิลงอีก พวกหม่อมฉันเกลี้ยกล่อมมานานสองนานแล้วเพคะ” แม่นมเหลียงเอ่ย พอเหลือบไปเห็นหลัวฮองเฮาที่นั่งสีหน้าเคียดแค้นอยู่บนเตียงก็อดน้ำตาตกไม่ได้ “ฝ่าบาททรงช่วยหม่อมฉันเกลี้ยกล่อมฮองเฮาเถิด หากฝืนต่อไปเช่นนี้ ร่างกายคงแย่แน่เพคะ!”


พอพูดจบก็ส่งสายตาให้นางกำนัลที่คุกเข่ารอรับใช้ในตำหนักออกไปให้หมด


หลัวฮองเฮานั่งพิงหมอนหนุนใบหนึ่งไม่ขยับ นั่งแข็งเป็นท่อนไม้อยู่อย่างนั้น แม้ฮ่องเต้มาก็ไม่มีท่าทีจะสนใจ


ฮ่องเต้เดินเข้าไป เย่าสุ่ยจึงให้คนยกเก้าอี้มาให้ฮ่องเต้นั่งข้างเตียงอย่างรู้หน้าที่


ตอนนี้หลัวฮองเฮาถึงได้ค่อยๆ เหลือบมองขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ฝ่าบาทมาแล้วหรือ…”


“เหตุใดจึงไม่ทานยา เจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว ยังจะทรมานร่างกายตัวเองอีกหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสหน้านิ่ง


ฉู่หลิงอวิ้นเห็นเช่นนั้นจึงยกถาดยามาด้านหน้า ตักตัวยาขึ้นมาหนึ่งช้อนชาและจ่อไปที่ปากหลัวฮองเฮา


หลัวฮองเฮาที่อารมณ์เย็นเยือกอยู่นั้น จู่ๆ ก็หุนหันพลันแล่นขึ้นมาในทันใด ผลักมือนางออกเต็มแรง ฉู่หลิงอวิ้นไม่ทันระวังจึงโดนยาถ้วยนั้นหกรดชุดไปเต็มๆ แล้วก็รีบคุกเข่ารับผิดอย่างตื่นตระหนก


ฮองเต้หน้าเคร่ง “นี่เจ้าทำอะไร?”


น้ำตาที่เอ่ออยู่ตรงขอบตาของหลัวฮองเฮาก็ไหลรินลงมาทันที พลางกวักมือเรียกแม่นมเหลียงมาพยุงนางลงจากเตียง พอถึงพื้นก็รีบคุกเข่าลง “ฝ่าบาท เรื่องหลัวอี้จะทรงจัดการเช่นไรเพคะ ในเมื่อวันนี้ทรงมาถึงที่นี่แล้วก็บอกหม่อมฉันมาเถิด ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทมักจะบอกว่ารอให้พวกเขากลับมาเมืองหลวงแล้วค่อยตัดสินใจ แต่ตอนนี้เด็กนั่นไม่อยู่แล้ว ฝ่าบาทบอกหม่อมฉันมาตรงๆ เถิดเพคะ!”


การตายของหลัวอี้ ทำให้แผนโจมตีจวนหลัวกั๋วกงล้มไม่เป็นท่า อีกทั้งหลัวกั๋วกงและซื่อจื่อก็ไม่ค่อยลงรอยกับนาง และยังคอยว่าร้ายลับหลังนางตลอด ตระกูลทางฝั่งมารดาไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของนางเช่นนี้ เห็นทีตำแหน่งฮองเฮาคงมิได้นั่งครองดีๆ เป็นแน่


หลัวฮองเฮาอารมณ์ขุ่นมัวเต็มทน แม้จะต่อหน้าฮ่องเต้ก็ไม่อาจซ่อนต่อไปได้ จนถามขึ้นมาเสียงดัง


ฮ่องเต้มองหน้าตาพิลึกพิลั่นของฮองเฮาได้สักพักก็พลอยอารมณ์ร้อนขึ้นมา “จะจัดการเรื่องนี้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องของราชสำนัก เจ้าเป็นสตรีคอยดูแลเรื่องวังหลังก็พอแล้ว อย่าถามเรื่องที่ไม่ควรถามอีก”


“สำหรับฝ่าบาทถือเป็นเรื่องบ้านเมือง แต่สำหรับหม่อมฉันนั้นถือเป็นการสูญเสียหลานชาย” หลัวฮองเฮายังคงรุกหน้าต่อ แววตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นแสนสาหัส “ขนาดหม่อมฉันยังไม่ตาย พวกเขายังกล้าลงมือฆ่าอย่างเปิดเผย ฝ่าบาท หากเรื่องนี้ไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ตระกูลหลัวได้ แล้วท่านจะครองใจเหล่าปวงชนได้เยี่ยงไร? แล้ววันหลังจะให้หม่อมฉันสู้หน้าคนในตระกูลของหม่อมฉันอย่างไรเพคะ?”


หลัวฮองเฮาถามเสียงหนักแน่น เลือดลมเดือดพร่าน เห็นได้ชัดว่านางกำลังกดดันฮ่องเต้อยู่


หากเป็นแต่ก่อนคงจะไม่เป็นอะไร แต่ช่วงนี้เดิมฮ่องเต้เองก็มีเรื่องที่คิดไม่ตกน่าเวียนศีรษะของตนมากพออยู่แล้ว เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้นจึงยิ้มเย้ยหยัน “เจ้ายังจะกล้าดีมาต่อรองกับข้าอีกหรือ? หากมิใช่เพราะหลัวอี้ทะเยอทะยานเองจะเกิดเหตุร้ายเช่นนี้หรือ? เมืองฉู่เตรียมรบ ก่อความเสียหายแก่ทหารของข้าเกือบสามพันนาย ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย ยามนี้เจ้ายังจะมีหน้ามาต่อรองกับข้าอีกหรือ?”


ฮ่องเต้ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหขึ้นมา และยกมือชี้ไปทางเมืองฉู่อย่างเหลืออด


ตอนแรกหลัวฮองเฮาก็อยากจะใช้การตายของหลัวอี้เป็นข้ออ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะโมโหขึ้นมา แล้วยังพูดจนนางรับมือไม่ทัน นางจึงนั่งอึ้งบนพื้นพรมไปชั่วขณะ ลืมกระทั่งหลั่งน้ำตา และแค่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ฝ่าบาทตรัสอะไรกัน? เด็กผู้นั้นโดนคนทำร้าย…”


“นั่นก็เป็นเพราะเขาหาเรื่องเอง!” ฮ่องเต้ไม่รอให้นางพูดจบก็เอ่ยขัดเสียงฉุนขึ้นมา สีหน้าเกิดบันดาลโทสะขึ้นอีกเป็นทวีคูณ “ตอนนั้นเจ้าขอให้ข้าให้โอกาสเขาไปฝึกวิทยายุทธ และยังรับปากว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง แล้วเป็นอย่างไรเล่า? เขาเกือบจะพังเมืองทั้งเมืองของข้า! ถึงตอนนี้ข้าจะยังมิได้ตามสืบข้อผิดพลาดของเขา แต่เจ้ากลับหน้าไม่อายแม้แต่นิดเดียว เป็นถึงฮองเฮาของแคว้นกลับมาโวยวายดั่งแม่หญิงโรงน้ำชาเช่นนี้? คนแซ่หลัว ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่รักใคร่กันแต่ปางก่อนจึงจะไม่ตามสืบเอาความ แล้วเจ้าคิดดีแล้วหรือว่าจะตัดความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาด้วยเรื่องเช่นนี้?”


หลัวฮองเฮาตะลึงอึ้งกิมกี่ อ้าปากค้าง สีหน้าซีดเผือดไม่รู้ควรพูดอย่างไร


ฮ่องเต้พูดค่อนข้างจริงจัง และไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้ความเป็นธรรมแก่หลัวอี้ แต่ยังเกือบจะฉุดนางลงไปด้วย?


ในใจนางพลันเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันใด หลัวฮองเฮาใจสั่นวาบและเอ่ยเสียงแข็งทื่อ “ฝ่าบาท…”


ฮ่องเต้เหลือบมองสีหน้าเศร้าโศกของนางแวบหนึ่ง สุดท้ายก็เห็นแก่รักเก่าของเราทั้งสอง จึงเอ่ยทิ้งท้ายไว้ “เห็นแก่ที่ตัวได้ตายไปแล้ว ข้าก็จะไม่ถือสาเอาความอีก แต่เจ้าก็จัดการไปตามที่เหมาะสมเถิด!”


เขาเอ่ยพลางเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วแล้ว


“ฝ่าบาท…” เมื่อหลัวฮองเฮาได้สติกลับคืนมาก็ตะโกนเสียงเศร้าและจะถลาเข้าไปคว้าชายชุดของเขา


ทว่าฮ่องเต้กลับก้าวเดินออกไปอย่างไม่คิดรักษาน้ำใจแม้แต่น้อย


หลัวฮองเฮาคว้าน้ำเหลวและล้มลงไปกับพื้นทันที มองตามบุรุษชุดเหลืองทองที่ค่อยๆ ลับตาหายเข้าไปในแสงอาทิตย์อย่างหมดอาลัย ในใจตกใจกลัวมิใช่น้อย กลัวจนไม่อาจฟื้นสติกลับคืนได้ในทันที


ฉู่หลิงอวิ้นกับแม่นมเหลียงเดินเข้าไปช่วยพยุงนาง พลางเอ่ยถามด้วยแววตาเศร้าสลด “เสด็จย่า ต้องรักษาพระวรกายไว้นะเพคะ เสด็จปู่ท่านอารมณ์ไม่ดีเรื่องท่านชายจ่างซุนอยู่แล้ว เสด็จย่าก็อย่าถือสาเลย”


ฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาอยู่มาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไร้ซึ่งความสัมพันธ์รักใคร่ตั้งนานแล้ว แต่ทั้งสองล้วนเคารพซึ่งกันและกันมาโดยตลอด แทบจะไม่เคยทะเลาะกันมาก่อนเลย ทว่าครั้งนี้ฮ่องเต้กลับหักหน้าหลัวฮองเฮาจนแตกเป็นเสี่ยงๆเช่นนี้ หลัวฮองเฮาก็ยิ่งกระวนกระวายเข้าไปกันใหญ่


หลัวฮองเฮากลืนน้ำลายไปสองอึกใหญ่ สติยังคงล่องลอยไม่กลับมา


ฉู่หลิงอวิ้นเห็นดังนั้น นัยน์ตาก็เหมือนแฝงด้วยอะไรบางอย่างและหันไปพูดกับแม่นมเหลียง “แม่นมคอยเฝ้าอยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักข้างๆ จะได้เรียกพวกเขาให้ยกยาเข้ามาใหม่ทีเดียวเลย”


“ท่านหญิงไปเถิด!” แม่นมเหลียงพยักหน้า


ฉู่หลิงอวิ้นประคองชุดตนและเดินไปทางด้านหน้า พอเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ เหมือนคิดอะไรออกจึงหันกลับเข้ามาในตำหนักหรูหราอลังการกว้างขวางหลังนี้อีกครั้ง “ช่วงหลายวันนี้จวนกั๋วกงต้องจัดงานศพ แม่นางหลัวอวี่ก่วนก็น่าจะไม่ว่างเข้าวังแล้ว รอเวลานั้นมาถึง หากเสด็จย่ารักคุณชายรองหลัวจริงๆ การดูแลทายาทของเขาให้มากหน่อยก็นับว่าเป็นน้ำใจเช่นกัน แต่เสด็จย่าต้องดูแลพระวรกายของตนเองให้ดี อย่าฝืนกายตัวเองอีกเลย เฮ้อ!”


นางพูดจบก็ถอนหายใจทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกไป


เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่นางพูด ในใจของหลัวฮองเฮาก็สะท้านสั่นไหว


ส่วนแม่นมเหลียงที่อยู่ข้างๆ ก็เหงื่อตกทั้งตัว นางอ้าปากค้างอย่างลังเล แม้ในใจจะรุ่มร้อนเท่าใดแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา


ความปรารถนาที่หลัวฮองเฮาฝากฝังไว้ที่หลัวอี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ท่านหญิงอันเล่อนี่เติมน้ำมันใส่ไฟชัดๆ ยังจะไปส่งเสริมให้ลูกคนโตของหลัวอี้ขึ้นรับตำแหน่งอีก ยื้อยุดกันไปมาเช่นนี้ เมื่อใดเรื่องจะจบกัน?


แม้แม่นมเหลียงจะดูเรื่องนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าพูดอยู่ดี


ฉู่หลิงอวิ้นออกมาจากตำหนักก็สั่งจื่อซวี่ให้ไปต้มยาที่ห้องครัวอีก ส่วนตนก็ไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักข้างๆ จนกระทั่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงจะเดินออกไปทางห้องครัว…


ทว่าพอนางเงยหน้าขึ้นกลับเห็นเหยียนหลิงจวินพาผู้ช่วยหมอเดินออกมาจากตำหนักของหลัวฮองเฮา


————————————-


บทที่ 4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (1)

โดย

Ink Stone_Romance

รูปร่างดั่งเทวดา งดงามดุจสายวาโย!


แม้ยามนี้จะสวมชุดเครื่องแบบในวังที่อัปลักษณ์อย่างไร แต่ประกายงามบนดวงตาและคิ้วก็ช่วยเสริมให้ทั้งร่างของเขาดูโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางสายลม


เหยียนหลิงจวินเดินตรงออกมาจากตำหนักโดยไม่มองสิ่งอื่นใด


ฉู่หลิงอวิ้นที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าก็แอบลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เดินเข้าไป “ใต้เท้าเหยียนหลิง!”


ทางเดินของเหยียนหลิงจวินถูกขวางไว้ ทำให้เขาหยุดฝีเท้าในทันที


ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่มีความจำเป็น กระทั่งยิ้มทักทายก็ไร้ประโยชน์ ผู้อื่นไม่รู้ แต่เขาและฉู่หลิงอวิ้นต่างรู้อยู่แก่ใจดี…


แผนการของฉู่หลิงอวิ้นและซูหลินในวันสมรสวันนั้นเป็นฝีมือเขาที่ทำพังเอง


ในเมื่อประกาศเป็นศัตรูกันแล้ว ครั้นจะทำหน้าตาเป็นมิตรอย่างไรก็เปลืองแรงเปล่า


แววตาของเขาเย็นชา รอยโค้งมุมปากตามธรรมชาติยังคงโค้งงอนไม่เปลี่ยนแปลง แต่สายตากลับทอดไกลออกไป ไม่ได้มองไปทางฉู่หลิงอวิ้นแม้แต่น้อย


ฉู่หลิงอวิ้นไม่รอให้เขาทำอะไรต่อ ได้แต่ขมวดคิ้ว เกิดความรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูกอย่างไม่รู้ตัว สุดท้ายก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน “อาการของเสด็จย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”


“สิ่งที่ควรบอก ข้าได้บอกแม่นมเหลียงไปหมดแล้ว” น้ำเสียงที่เหยียนหลิงจวินเอ่ย บ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายไม่อยากจะเสียเวลากับนางอีก เมื่อพูดจบก็เดินผ่านนางไปด้านหน้าต่อ


แค่พูดกับนางสักประโยคจะไม่ยินยอมเลยหรือ?


ในใจของฉู่หลิงอวิ้นเหมือนถูกก่อประกายไฟลุกโชน สีหน้าของนางเฉียบขาด หันมองตามทิศทาง มองแผ่นหลังของเหยียนหลิงจวินไป ก่อนเอ่ย “ท่านรีบออกวังเช่นนี้ คงจะมิได้ไปหาฉู่สวินหยางหรอกกระมัง?”


นางพูดพลางยิ้มเยาะเหยียดหยามอย่างหาเรื่อง “วานนี้นางเพิ่งก่อเรื่องจนฝ่าบาทไม่พอพระทัย ยามนี้หากปล่อยข่าวซุบซิบนินทากับพวกขุนนางด้านนอกก็นับว่าไม่เลว ไม่แน่อาจจะช่วยกลบข่าวเมื่อเย็นวานก็ได้!”


แม้นางจะไม่รู้เหตุการณ์แบบเป็นนามธรรมของเมื่อวานว่าเป็นเช่นใด แต่เดาจากสภาพการณ์แล้ว หนึ่งในตัวการสำคัญนั้นต้องเป็ยฉู่สวินหยางเป็นแน่


ตอนนี้ที่นางพูดยั่วอารมณ์เหยียนหลิงจวินไป ตามจริงเหตุผลหลักๆ ก็แค่อยากคุยกับเขา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจและเดินหน้าต่อไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย


ฉู่หลิงอวิ้นจ้องถลึง ตัดสินใจเริ่มใช้ไม้แข็งขึ้นมาโดยทันที


“นางเป็นถึงท่านหญิงตระกูลกษัตริย์ อายุยังไม่ถึงพิธีปักปิ่นก็ระริกระรี้ไปแอบคบหากันแล้ว” นางไม่ยอมอ่อนข้อ ยิ้มเย้าหัวเราะเสียงสูง สายตายังคงจับจ้องไปที่เงาหลังของเหยียนหลิงจวิน และเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากข้านำเรื่องนี้ไปเล่าให้เสด็จย่าทราบ ใต้เท้าเหยียนหลิงจะว่าอย่างไร?”


นางคงไม่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนกับฮ่องเต้ให้โง่หรอก เพราะต่อหน้าหลัวฮองเฮา นางอยากจะทำอะไรก็ได้ อำนาจทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ


เหยียนหลิงจวินหยุดฝีเท้าลง ไม่ก้าวเดินต่อไป


เขาไม่ยอมให้ฉู่สวินหยางตกเป็นขี้ปากชาวบ้านตามที่นางคาด ทะเลไฟในใจเผาไหม้ลุกโชนไปทั่ว ฉู่หลิงอวิ้นเผยยิ้มได้ใจ เอ่ยวาจายั่วยวน “กลัวก็แต่เสด็จย่าจะรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ!”


“เห็นทีท่านหญิงอันเล่อคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว” เหยียนหลิงจวินเอ่ยและถอนหายใจเบาๆ


ฉู่หลิงอวิ้นอึดอัดใจนัก…


เขาล้วนเป็นห่วงเป็นใยคอยครุ่นคิดเรื่องต่างๆ นานาให้นางฉู่สวินหยางนั่นตลอดเวลาจริงๆ!


แต่คิดไปคิดมากลับรู้สึกเริงร่ารื่นรมย์ขึ้นมา…


ถึงเหยียนหลิงจวินจะชอบนางจริงๆ แล้วจะทำไม? พอถึงคราวเข้าจริงๆ สุดท้ายเขาก็ห่วงหน้าพะวงหลังไม่กล้าแม้แต่ยอมรับมิใช่หรือ?


เมื่อคิดได้เช่นนี้ในใจเธอก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่…


หากยามนี้ฉู่สวินหยางอยู่ที่นี่คงจะดี ถ้านางได้ยินวาจาปัดความรับผิดชอบเช่นนี้ของเหยียนหลิงจวินคงจะเสียใจผิดหวังร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นแน่!


มันก็เป็นแค่ละครจอมปลอมเท่านั้น!


คนอย่างเหยียนหลิงจวิน เจ้าชู้ฝังกระดูกดำมาแต่กำเนิด หากจะบอกว่าคนอย่างเขาจะสนใจคนอย่างฉู่สวินหยางก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่คนเช่นนี้…


จะหวังให้เขาจริงใจสักเท่าไรกันเชียว?


ขนาดเขายังจะทำหน้าตาหน้าไหว้หลังหลอกเมื่อไรก็ได้…


เขาก็แค่เล่นสนุกก็เท่านั้น!


เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉู่หลิงอวิ้นก็เริ่มใจชื้นขึ้นมา คนผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะเย็นชาป่าเถื่อนกับนางเพียงผู้เดียว ขนาดฉู่สวินหยางเขาก็ไม่จริงใจอะไรกับนางเช่นกัน


ขณะที่พูดเหยียนหลิงจวินก็หันกลับมา


ฉู่หลิงอวิ้นแสยะยิ้มมองเขาอย่างแน่วแน่


“ข้าจะไปแอบคบใครล้วนแต่เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวพันใดใดกับท่านหญิงสวินหยาง” หลังจากนั้นเขายังคงกล่าว “อีกทั้งข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน แม้จะมีเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำไม?”


ฉู่หลิงอวิ้นตะลึง จู่ๆ สีหน้าก็ขาวโพลน ก้าวเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความยำเกรง


ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน?


แต่นางฉู่หลิงอวิ้นออกเรือนแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น นางยังสร้างข่าวเหม็นโฉ่ต่อหน้าชาวบ้านไปทั่วอีก


นางเป็นธิดาผู้สูงส่งเทียบฟ้า คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ตกอับและมีจุดจบที่น่าสมเพชเช่นนี้


เจตนาจริงของเหยียนหลิงจวินก็มิใช่จะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับนาง และไม่ต้องสงสัย คำพูดสองประโยคนั้นเหมือนแทงใจดำของฉู่หลิงอวิ้นได้อย่างตรงจุด


“ท่านจะแต่งกับนางจริงๆ หรือ?” นางกัดฟันเอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ


เหยียนหลิงจวินเบือนสายตาหนี สาวเท้าก้าวเดินต่อไป…


เรื่องของเขาและฉู่สวินหยาง ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับคนนอก


“ครั้งก่อนที่ท่านกับนางเด็กนั่นทำแผนข้าเสีย ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับท่าน หนึ่งในเหตุผลนั้นยังต้องให้…” ฉู่หลิงอวิ้นอ้อมไปดักด้านหน้า


ชายผู้นี้รู้เรื่องทุกสารทิศ ไม่ได้โง่เขลาแต่อย่างใด ที่นางยอมเขาอดทนแล้วอดทนอีกเป็นเพราะเหตุผลใด มีหรือที่เขาจะไม่รู้?


คำพูดพวกนี้ ฉู่หลิงอวิ้นเองก็เหนียมอายเก็บเอาไว้ตลอดไม่ยอมพูด แต่ถึงตอนนี้อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไปแล้ว


ท่าทีของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น สายตาเย็นยะเยือกเหมือนมีมนต์น้ำแข็งเคลือบไว้


“ในเมื่อเจ้าเองก็รู้เหตุผลดีก็ควรคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้า” เหยียนหลิงจวินยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน ไม่รอให้นางพูดตอบก็ขัดบทขึ้นมา “ครั้งก่อนข้าแค่เอาต้นทุนคืน ยังมิได้เพิ่มดอกเบี้ยแม้แต่น้อย เจ้าแค่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็พอแล้ว หากตามไปก่อกวนนางอีก…”


เหยียนหลิงจวินพูดแล้วก็หยุดเว้น นัยน์ตานิ่งดุจวารีสะท้อนแสงเป็นประกาย ในความแวววับนั้นยังซุกซ่อนเสน่ห์อำมหิตที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นบุรุษหรือสตรี เป็นท่านหญิงหรือองค์หญิง พวกเจ้ากับข้า..คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องคุยกัน!”


บางคนเห็นว่าตนมีฐานะมีอำนาจเลยได้รับการยอมรับจากผู้อื่น แต่สำหรับเขาสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไร้ประโยชน์


ฉู่หลิงอวิ้นกะพริบตาปริบๆ มองรอยยิ้มนั้นของเขา และเริ่มก้าวถอยออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว


“นี่ท่านขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?” สุดท้ายนางก็ร้องขึ้นมา ฟังดูคล้ายจะไม่จริงจัง เมื่อพูดไปครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงก็ดุเดือดเลือดร้อนขึ้นมา “เหยียนหลิงจวิน ท่านจะทำตัวเป็นศัตรูกับข้ากี่ครั้ง ทุกๆ ครั้งได้แต่อดทน นี่ท่านคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? เรื่องครั้งก่อนที่ข้าช่วยท่านปิดบังไว้ หากข้านำเรื่องที่ท่านมีส่วนร่วมวางแผนฆ่าไปบอกให้ท่านพ่อรู้ ท่านเชื่อหรือไม่…”


“ก็แค่จวนอ๋องหนานเหอ!” เหยียนหลิงจวินแสยะยิ้ม โพล่งตัดบทนางขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่สนใจ


ฉู่หลิงอวิ้นอ้าปากค้าง ตกใจไม่น้อย เมื่อได้สติก็เอ่ยต่อ “ท่านอยู่ยงคงกระพันมาถึงทุกวันนี้ได้ อีกทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากฝ่าบาทนับว่าไม่ง่าย นี่ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าแค่ข้าปริปากบอกท่านพ่อแล้ว ท่านจะไม่เหลืออะไรเลย”


เหยียนหลิงจวินไม่ได้มีรากมีฐานในราชสำนักใดใด แม้เขาจะมีรุ่ยชินอ๋องหนุนหลังอยู่ แต่โทษลอบวางแผนทำร้ายตระกูลกษัตริย์นั้นร้ายแรงนัก ถึงจะเป็นรุ่ยชินอ๋องก็ไม่กล้าช่วยแก้ต่างแทนเขาได้


เหยียนหลิงจวินทำเพียงจ้องนาง คลี่ยิ้มไม่พูดอะไร เหมือนไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร


ฉู่หลิงอวิ้นเห็นท่าทีไม่สนใจไยดีเช่นนี้ของเขายิ่งรู้สึกว่าตนดูเขาไม่ออก ตามหลักการนั้นตอนนี้เขาจะต้องหาวิธีแก้ต่างอย่างไม่คิดชีวิต แม้เพียงแสร้งทำเป็นสงบก็ตาม…


นางจับตามองในทุกๆ การกระทำของเขา แต่กลับไม่เห็นจุดพิรุธ


เขา…


ไม่กลัวจริงๆ หรือ?


หรือว่ามั่นใจว่านางจะช่วยเขาปิดบังไว้ได้ตลอด?


ฉู่หลิงอวิ้นมองชายหนุ่มหน้าตายตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งมองก็ยิ่งใจสั่น ยิ่งขวัญผวา


“ข้ามิได้แค่ขู่ ท่านควรรู้ไว้ด้วย!” เมื่อคุมร่างของตนได้ สุดท้ายร่างบางก็ยังคงเอ่ยต่อ พลางจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง


เหยียนหลิงจวินทำเพียงปรายตามองนางแวบหนึ่งและเบือนหนีไป “เสียดาย…เจ้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก!”


———————————-


บทที่ 4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (2)

โดย

Ink Stone_Romance

เมื่อฉู่หลิงอวิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ในใจก็ฮึกเหิมและก่อเกิดเป็นความกล้าขึ้นมา


“ใช่ ข้าไม่ทำเช่นนั้น!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย สีหน้าวังเวงคลี่ยิ้มเจื่อนๆ “หากข้าคิดจะทำร้ายท่าน ตอนนั้นคงพูดไปแล้ว คงไม่รอถึงวันนี้ ใต้เท้าเหยียนหลิง ข้า…”


“หากเจ้าอยากให้ซูหลินควงกระบี่ไปหาที่หน้าจวนอีก ตอนนี้ก็ไปรายงานเรื่องนี้ที่ห้องทรงอักษรเสียเลยสิ!” เหยียนหลิงจวินตัดบทนางอีกครั้ง เอ่ยปนยิ้ม “ถึงตอนนั้นไม่ว่าเป็นเหล้าพิษแก้วหนึ่ง หรือผ้าขาวสามฉื่อ? ไม่ว่าสิ่งใดก็ทำให้เจ้าเสียใจได้ทั้งนั้น!”


ฉู่หลิงอวิ้นหน้าถอดสี


เหยียนหลิงจวินก็ยังคงพูดต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เรื่องฉาวที่ตัวเองสร้างเจ้าก็ควรพยายามทุกทางเพื่อปิดให้มิด ท่านหญิงอันเล่อ ข้าเตือนเจ้าตั้งนานแล้ว เรื่องปกปิดแผนร้ายอะไรเช่นนี้ หากทำไม่ดีจะเป็นการรนหาที่ตายให้ตัวเอง แต่เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้เจ้าไม่ต้องทำมอบน้ำใจแก่ข้าหรอก ที่เจ้าปกปิดทุกสิ่งอย่างก็เพียงเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น ต่างคนต่างเงียบไปไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดต้องพูดออกมาให้เป็นเรื่องขันด้วย?”


ฉู่หลิงอวิ้นนางนี้ความคิดซับซ้อนนัก อย่างนางจะยอมพูดเรื่องสกปรกๆ ของตนออกมาเพียงเพราะแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือ?


เช่นนั้นคงจะเป็นการรนหาที่ตายโดยแน่แท้!


หากเป็นซูหว่าน อาจจะบุ่มบ่ามไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา แต่เรื่องแบบนี้ฉู่หลิงอวิ้นไม่มีทางทำอย่างแน่นอน


ฉู่หลิงอวิ้นกัดฟันกรามไว้แน่น เขม็งมองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเคียดแค้น ไม่ได้ปริปากพูดอีก


เหยียนหลิงจวินยิ้มเยาะอย่างผ่าเผยสาวเท้าเดินต่อไป


สาวใช้สองนางที่หลบอยู่ไม่ไกลเมื่อเห็นดังนั้นจึงค่อยๆ ย่องออกมาอย่างระมัดระวัง ตรงไปกล่าวเตือนฉู่หลิงอวิ้นเสียงเบาว่า “ท่านหญิง ยาของฮองเฮาต้มเสร็จแล้ว ตอนนี้ยังจะไปห้องครัวอีกหรือไม่เพคะ?”


ฉู่หลิงอวิ้นหน้าหมองทะมึน จ้องตรงไปยังประตูวังด้านหน้าที่เปิดอยู่ไม่ขยับไปไหนพักใหญ่ และจู่ๆ ก็หันมาฟาดฝ่ามือใส่หน้าจื่อเหวยอย่างแรง


นางแรงเยอะมาก มากจนทำให้จื่อเหวยโซซัดโซเซเกือบล้มคะมำ ริมฝีปากเลือดออกซิบๆ


จื่อเหวยกอบหน้าตนขึ้นมา ก้มหน้าก้มตากัดฟันไม่พูดไม่จา


ฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่พูดเช่นกัน หันหลังและมุ่งหน้าไปทางห้องครัวทันที


จื่อซวี่มองจื่อเหวยทั้งตกใจทั้งสงสาร ก่อนจะเร่งฝีเท้าวิ่งตามฉู่หลิงอวิ้นไป


จื่อเหวยบาดเจ็บที่หน้าเช่นนี้ก็ไม่อาจลอยหน้าลอยตาอยู่ภายในวังได้ นางจึงกุมหน้ากลั้นน้ำตาหาข้ออ้างออกจากวังไป


เมื่อครู่หลัวฮองเฮาก็ได้รับความตกใจไม่น้อย ละเหี่ยใจไปหมด พอฉู่หลิงอวิ้นทนเกลี้ยกล่อมป้อนยาที่ต้มเสร็จให้นางดื่มแล้ว ก็ไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่อ จึงลุกขึ้นเอ่ยลา


จนขบวนเกี้ยวมาถึงหน้าประตูวัง นางยังคงหน้าบึ้งหน้าตึง


“ท่านหญิง ลงเกี้ยวเถิดเจ้าค่ะ!” จื่อซวี่เอ่ยเตือนเบาๆ


ฉู่หลิงอวิ้นจัดแจงเครื่องแต่งกายเสร็จก็จับมือนางโค้งตัวลงมา พอเงยหน้าก็เห็นจางอวิ๋นอี้ยิ้มหน้าบานเดินมาข้างๆ รถม้า


แววตาของฉู่หลิงอวิ้นยังแฝงด้วยความไม่พอใจอยู่ แต่ก็ปกปิดไว้คลี่ยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว “ซื่อจื่อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”


“ตอนข้าออกจากวังมาก็เห็นรถม้าของท่านหญิงตรงนี้ จึงรู้ว่าท่านหญิงเข้าวังไปเยี่ยมฮองเฮาและข้าเองก็ว่างพอดี จึงมารออยู่ที่นี่ จะได้พาท่านหญิงส่งกลับจวนอย่างปลอดภัย!” จางอวิ๋นอี้เอ่ยไปยิ้มไป แต่กลับได้กลิ่นอายว่าเขาเข้ามาทำดีด้วยอย่างชัดเจน


ฉู่หลิงอวิ้นไม่อยากทำดีกับคนตระกูลจางสักเท่าไร โดยเฉพาะตอนที่นางเพิ่งไม่สบอารมณ์กับเหยียนหลิงจวินมา


แต่ก่อนนางรู้สึกปิติยินดีที่พวกซูหลินคอยเอาอกเอาใจนาง แต่เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังของจางอวิ๋นอี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงรอยยิ้มไร้พันธนาการงามสง่าแพรวพราวของบุรุษผู้นั้น จะมองอย่างไรก็หงุดหงิดไม่พอใจเสียทุกครั้ง


นางอารมณ์ไม่ดีจนเกือบจะอาละวาดแล้ว แต่จู่ๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้เลยเปลี่ยนใจขึ้นมา และคลี่ยิ้มซาบซึ้งออกไปแทน “รบกวนซื่อจื่อด้วย”


“มิกล้าๆ!” จางอวิ๋นอี้รีบเอ่ยตอบ เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางใจพลันเต้นระส่ำระส่าย ก้มหน้าหนีด้วยความเก้อเขิน


แต่ฉู่หลิงอวิ้นกลับอ่อนโยนเป็นพิเศษ เดินไปทางรถม้าพลางเอ่ย “ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ช่วงนี้ข้าออกไปข้างนอกทีไรล้วนรู้สึกไม่สงบตลอด มาเจอซื่อจื่อที่นี่นับเป็นเรื่องบังเอิญ”


“ช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องวุ่นวายมากมายจริงๆ…” จางอวิ๋นอี้เสริม “ท่านหญิงจะระวังตัวมากหน่อยก็นับว่าปกติ!”


ทั้งสองพูดโต้ตอบกันไปมาฟังดูเข้ากันดี


จื่อเหวยเพิ่งจะโดนฟาดไป ในใจก็ไม่สงบนักจึงไม่กล้าถามมาก นางจึงไปเอาตั่งตัวเตี้ยมาวางให้นางปีนขึ้นรถม้าไป


บนรถม้า จื่อซวี่ก็พยายามไม่ทำท่าอะไรเอิกเกริกอย่างเต็มที่ ได้แค่รินชาให้ฉู่หลิงอวิ้น


เมื่อขึ้นรถไป ฉู่หลิงอวิ้นก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันที ใบหน้าแสนเยือกเย็นแสดงถึงอารมณ์เบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด “ฉีเหยียนตอบอะไรมาบ้างหรือไม่ เขาตอบว่าอย่างไร?”


“เจ้าค่ะ!” จื่อเหวยรีบตอบ “ซื่อจื่อบอกว่าเรื่องของใต้เท้าจ่างซุนจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านหญิงไม่ต้องสนใจอะไรเจ้าค่ะ”


“ตอบมาแค่นี้หรือ?” ฉู่หลิงอวิ้นพูดพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม


“เจ้าค่ะ!” จื่อเหวยตอบชัดถ้อยชัดคำไม่มากความ


ฉู่หลิงอวิ้นคิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่วางใจอยู่ดี “วันนี้ข้าไม่สะดวกกลับจวนอ๋องแล้ว เจ้าส่งจดหมายไปอีกรอบ ถามเขาว่าวันรุ่งว่างเวลาใด ให้ออกมาพบข้าหน่อย ข้าอยากคุยต่อหน้าเขาอีกที”


 การกระทำของฉู่ฉีเหยียนในช่วงนี้ทำให้คนไม่เข้าใจมากขึ้นทุกที  อะไรนิดอะไรหน่อยก็ปกปิดนางตลอด ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไปกันแน่


เดิมทีฉู่หลิงอวิ้นออกจากวังไปก็เพื่อจะกลับไปคุยกับเขาที่จวนอ๋องหนานเหอ คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับจางอวิ๋นอี้ เช่นนี้แล้วนางจึงต้องแสร้งแสดงละครอย่างเดียว ไม่สะดวกจะกลับจวนอ๋องแล้ว


เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้นางก็ยิ่งกระวนกระวายเข้าไปกันใหญ่


สาวใช้ทั้งสองนางเห็นสีหน้าเช่นนี้ ก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้องมากกว่าเดิม


—————————————————-


เช้าวันต่อมา เป็นวันที่สิบห้า


เทศกาลโคมไฟ!


ปกติในปีก่อนๆ วันนี้ฮองเฮาจะลงมาคุมสาวใช้ทั้งหลายแขวนประดับโคมไฟดอกไม้ไปทั่ววัง แต่ปีนี้หลัวฮองเฮากลับป่วย และนางก็ไม่อยากแบ่งสรรอำนาจออกไป ไม่ยอมให้ชายานางอื่นจัดการแทน ดังนั้นงานเลี้ยงโคมไฟดอกไม้จึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย


โอกาสเช่นนี้นานๆ ทีจะมีสักครั้ง พอตกบ่าย ฮั่วชิงเอ๋อร์จึงส่งเทียบเชิญถึงฉู่สวินหยางให้ไปเดินงานวัดที่ถนนไฉ่ถัง


เวลานี้ในปีก่อนๆ แม่นางทั้งหลายล้วนแต่ฉลองเทศกาลโคมไฟกันในงานเลี้ยงที่วัง โอกาสเช่นวันนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ ไม่ใช่แค่คนนิสัยอยู่ไม่สุขเช่นฮั่วชิงเอ๋อร์ แม้แต่ฉู่เยว่หนิงได้ข่าวก็พลอยตามกันออกมาด้วย


เพราะเกรงว่าจะเป็นการเลือกที่รักมักที่ชัง ฉู่สวินหยางจึงจำใจเรียกฉู่เยว่ซินไปด้วย และยังให้พ่อบ้านเจิงจัดขบวนนำ เลือกทหารองครักษ์กว่ายี่สิบนายไว้คอยคุ้มกัน แล้วเร่งออกเดินทางก่อนเวลาเย็น


บนรถม้า ฮั่วชิงเอ๋อร์นั่งจิบชาพลางชะโงกไปมองทหารองครักษ์ที่หนาตาด้านนอก ก่อนเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “นานๆ ทีจะว่างออกมาเที่ยว เห็นคนพวกนี้ตามกันมาเป็นโขยงช่างทำเสียอารมณ์นัก!”


“ช่วงนี้เหตุการณ์บ้านเมืองมิค่อยสงบ พาคนออกมามากหน่อยก็ดีจะได้ปลอดภัย!” ฉู่เยว่หนิงกลับไม่สนใจพวกนี้ เอาแต่มองทิวทัศน์ภายนอกด้วยความดีอกดีใจ


ฤกษ์สมรสของนางได้กำหนดไว้วันที่แปดเดือนห้า พอออกเรือนแต่งเป็นชายาไปก็ไม่เหมือนกับตอนเป็นสตรีโสดอีกต่อไปแล้ว โอกาสตรงนี้มีได้ไม่ง่ายนัก จึงไม่ได้เลือกอะไรมากมาย


ฮั่วชิงเอ๋อร์ก็รู้ดีว่าช่วงนี้ในเมืองหลวงเกิดเรื่องต่างๆ นานา แต่นางก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น บ่นเสร็จก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยอย่างอื่นต่อ


ฉู่เยว่ซินนั่งเงียบมาตลอดทาง นางเอาแต่จิบชาอยู่ข้างๆ อย่างสงบ ถึงจะมีพูดเออออบ้างไม่กี่ประโยค แต่ก็ไม่รู้ทำไม มักทำให้คนมองรู้สึกถึงความแปลกแยกไม่กลมกลืน


ถนนไฉ่ถังตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ห่างจากวังบูรพาไม่มาก


ถนนสายนั้นเป็นถนนสายที่ราชวงศ์ก่อนสร้างทิ้งเอาไว้ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าเก่าแก่หลากหลาย ทั้งของกิน ของใช้ หรือของเล่นต่างก็มีทั้งหมด ทุกครั้งที่ีงานเทศกาล สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยรวงร้านที่นำของแปลกๆ มาขาย


เทศกาลโคมไฟในวันนี้ ริมถนนทุกสายล้วนมีโคมไฟหลายสีแขวนเอาไว้ โคมไฟรูปร่างต่างๆ เรียงรายอยู่เต็มถนน มองดูแล้วเหมือนเป็นตัวมังกรหลากสีที่ทอดยาวไปถึงเส้นขอบฟ้า บรรยากาศของถนนทั้งสายล้วนประดับประดาไปด้วยอารมณ์รื่นรมย์สังสรรค์


ร้านค้าสองข้างทางจุดโคมไฟไสวสว่าง พ่อค้าแม่ขายต่างแข่งกันเรียกลูกค้า


หนุ่มๆ สาวๆ ที่มาเดินจับจ่ายซื้อของล้วนแต่แต่งตัวงดงามหลากสีสัน เสียงคุยจอแจไปหมด


“ไอ้หยา ดูคึกครื้นเสียจริง!” สตรีไม่กี่นางนั้นตาเป็นประกายมองไปทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะฉู่เยว่หนิง ที่ยามนี้ตื่นเต้นเสียจนหน้าแดงก่ำ


“งานฉลองของสามัญชนด้านนอกนั้นแตกต่างกับในวังเสียจริง” ฉู่เยว่หนิงเอ่ยอย่างอดไม่ได้


———————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม