ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาค 2 ตอนที่ 27-33
ตอนที่ 27 วันหยุด
โดย
Xiaobei
เพียงพริบตาก็มาถึงวันหยุดแล้ว ระหว่างนั้นตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่สามารถเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาได้ นางจึงไปดูแม่เฒ่าเติ้งเองอีกหนหนึ่ง ทว่าก็ไม่รู้ว่านางแน่ใจว่าตนไม่มีกำลังเพียงพอหรือเพราะจงใจทำ อาการของแม่เฒ่าเติ้งจึงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ต้นจนยามนี้ยังไม่คงที่เลย
ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ในวัยนี้ เพียงแค่ปวดหัวตัวร้อนสักหนล้วนไม่อาจไม่ให้ความสำคัญได้ ประสาอะไรกับอาการวิงเวียนตาลายที่มีอยู่เนืองๆ? จนยามนี้ได้ยินคนบอกว่านางผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สุขภาพจิตก็ย่ำแย่นัก ฮูหยินซูจึงไม่อาจวางใจได้ อย่างไรเสียในบ้านก็มีสะใภ้สามคนแล้ว จึงเพียงแค่สั่งความกลับมาบอกเหล่าสะใภ้ว่าให้คอยช่วยเหลือกัน และดูแลบ้านให้ดี ส่วนตนก็คอยปฏิบัติหน้าที่ลูกกตัญญูอยู่ต่อหน้ามารดา
ทว่าเพราะเสิ่นจั้งเฟิงรับปากเว่ยฉางอิ๋งแล้วว่าวันหยุดครานี้จะอยู่ที่เรือนจินถงเป็นเพื่อนนาง ดังนั้นก่อนหน้านั้นสองสามวัน ทุกวันหลังเลิกงานเขาก็จะไปที่บ้านซู ก่อนนี้เขาไปรับเจ้าสาวที่เฟิ่งโจว เมื่อรีบเร่งกลับมาถึงเมืองหลวงก็แต่งงาน หลังแต่งงานได้พักอีกสองวันก็ต้องไปทำงานแล้ว… เมื่อต้องลำบากติดต่อกันเป็นเวลานานเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงดี วิ่งวุ่นเช่นนี้ได้ไม่ถึงสองวันก็ย่อมต้องมีความอ่อนล้าปรากฏให้เห็นบนใบหน้า
ทั้งฮูหยินซูและท่านลุงท่านน้าของเขาล้วนมองเห็น ต่างพากันเกลี่ยกล่อมเขาว่าคนที่คอยปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าเติ้งนั้นมีไม่ขาด บอกเขาว่าอย่าได้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ทว่าแม้เสิ่นจั้งเฟิงจะรับปากเต็มปากเต็มคำ แต่วันต่อก็ยังคงไปคอยดูแลป้อยหยูกยาด้วยความกระตือรือร้นยิ่ง ทันใดนั้นเองชื่อเสียงเรื่องความกตัญญูของเสิ่นจั้งเฟิงที่มีต่อท่านยายก็แพร่สะพัดออกไป ผู้คนต่างพากันบอกว่าคุณชายสามตระกูลเสิ่นนั้นเป็นคนกตัญญูอย่างที่สุด แต่งงานใหม่ยังไม่ครบเดือน ซึ่งควรจักเป็นเวลาที่กำลังหวานชื่นยากจะอยู่ห่างจากภรรยา แต่กลับมาคอยดูแลแม่เฒ่าเติ้งที่จวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่หลานในสายตระกูลซูแท้ๆ ก็ยังไม่เป็นเช่นนี้เลย
…ดังนั้นเมื่อถึงวันหยุดในวันนี้ ปรากฏว่านับแต่ฮูหยินซูไปจนถึงทุกคนในบ้านซูล้วนสั่งอย่างเด็ดขาดว่าให้เขาพักผ่อนอยู่กับบ้าน ห้ามเข้าไปในจวนตระกูลซูแม้แต่ก้าวเดียว!
ฮูหยินซูยังว่ากล่าวตักเตือนเขาเป็นการเฉพาะว่า “เจ้าคิดว่าว่าเจ้ากตัญญูรึ? สองวันมานี้ท่านยายของเจ้าก็อารมณ์ไม่ใคร่ดี บางคราวตื่นขึ้นแล้วมาเห็นหน้าเจ้าอ่อนล้าเช่นนี้ นางย่อมกลัวว่าจะทำให้เจ้าลำบากเพียงแต่ไม่เอ่ยปากเท่านั้น รอจนเจ้าไปแล้ว จึงได้ฝืนตื่นขึ้นมา แล้วตำหนิพวกท่านลุงท่านน้าของเจ้าว่าไม่สงสารเจ้าเอาเสียเลย! อาศัยโอกาสวันหยุด เจ้าจงพักผ่อนให้สบายอยู่ในเรือนจินถงให้ข้าเสียดีๆ ห้ามไปที่ใดทั้งสิ้น! และห้ามกังวลเรื่องใดๆ ทั้งสิ้นด้วย!”
เสิ่นจั้งเฟิงจึงประสานมือน้อมรับอย่างนอบน้อม… ดังนั้นวันนี้เสิ่นจั้งลี่และเสิ่นเหลี่ยนสือจึงอาศัยโอกาสในวันหยุดไปเยี่ยมท่านยายที่จวนตระกูลซู แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับถูกบ้านฝั่งมารดาปิดประตูให้อยู่ข้างนอก เดินวนเวียนอยู่หน้าประตูสักพักจึงไม่อาจไม่กลับบ้านได้
เมื่อกลับมาถึงเรือนจินถง เว่ยฉางอิ๋งกลับเพิ่งตื่นนอน นางไม่รู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงวางแผนใดไว้ เช้านี้ได้ยินว่าเขาจะไปจวนตระกูลซู จึงรู้สึกว่าถูกเขาบิดพริ้วเรื่องที่เขารับปากไว้คราวก่อนเสียแล้ว ทว่าก็ไม่อาจรั้งเสิ่นจั้งเฟิงไม่ให้ไปแสดงความกตัญญูได้ จึงทำได้เพียงหงุดหงิดเท่านั้น เพราะรู้สึกไม่พอใจนางจึงนอนหลับไปอีกสักพัก ยามนี้จึงเพิ่งมาหวีผมแต่งตัว เมื่อส่องกระจกและเห็นเสิ่นจั้งเฟิงเข้ามา นางจึงประหลาดใจ “เหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”
ยามเสิ่นจั้งเฟิงออกไปนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่านางไม่พอใจ แต่จนถึงยามนี้ก็ยังไม่ยอมเอ่ยออกมา จึงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “พวกท่านลุงท่านน้าเห็นว่าหลายวันก่อนข้าคอยไปช่วยเหลือดูแล วันนี้จึงให้ข้ากลับมาพักเสีย บอกว่าท่านยายทางนั้นมิได้ขาดเหลือคนคอยปรนนิบัติดูแล”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้ง และคิดได้ว่าหลายวันก่อนเขาล้วนกลับมาช้า… ที่แท้เพราะรับปากกับตนว่าวันนี้จะอยู่ที่บ้านหรือ? ก่อนนี้นางเอาแต่หวงเรื่องที่ตนกำชับเสิ่นจั้งเฟิงว่าวันนี้อย่าออกไปข้างนอก แต่กลับลืมไปว่าแม่เฒ่าเติ้งยังป่วยอยู่ ว่ากันตามหลักแล้ววันหยุดที่นานๆ จะมีหนหนึ่ง แล้วเสิ่นจั้งเฟิงจะไม่อยากไปเยี่ยมท่านยายได้อย่างไร ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็พยายามหาหนทางรับปากนาง แต่วันนี้นางกลับยังมาไม่พอใจเขาอีก…
นางพลันรู้สึกผิดอยู่ในใจ ใบหน้าก็แดงขึ้นมา แล้วน้ำเสียงก็อ่อนลง กล่าวว่า “เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันแล้ว… วันนี้ก็พักผ่อนให้สบายเถิด”
“ใช่หรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงลูบใต้คาง กลับมีความผิดหวังอยู่ในน้ำเสียง
ตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งเกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้เสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าทานอาหารเช้าแล้วหรือยัง?”
“ทานกับเจ้าอีกสักหน่อยก็ได้” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
หลังจากทั้งสองคนทานอาหารแล้ว บ่าวก็ยกน้ำชามาให้ล้างปาก เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงบ้วนน้ำชาแล้วก็รับผ้ามาเช็ดที่มุมปากแล้วจึงถามว่า “วันนี้ก็ถึงวันที่บอกแล้ว เจ้าอยากให้สามีอยู่ที่บ้านเพราะเหตุใด บอกสามีได้แล้วกระมัง?”
มือที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังกดผ้าเช็ดปากซับน้ำที่มุมปากพลันชะงัก แล้วก้มหน้าลงขบคิดอย่างรวดเร็ว จึงได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างหัวเราะครึ่งไม่หัวเราะครึ่งว่า “ค่อยๆ คิด ไม่ต้องรีบ ดีชั่วอย่างไรเรื่องในวันนี้ หากเจ้าไม่พูด คิดว่าตกกลางคืนสามีก็จะรู้ได้เอง”
“…” เว่ยฉางอิ๋งส่งผ้าให้แก่ฉินเกอ สะบัดมือเร่งพวกนางให้รีบออกไปสักหน่อย แล้วแค่นเสียงบอกว่า “เช่นนั้นข้าก็จะไม่คิดไปเสียเลย”
เสิ่นจั้งเฟิงลูบใต้คาง กล่าวว่า “เช่นนั้นสามีจะลองทายดู?”
เว่ยฉางอิ๋งเอียงหน้าไปข้างๆ แล้วว่า “แล้วแต่เจ้า!”
“อิ๋งเอ๋อร์คิดถึงสามีแล้ว และขัดเคืองเรื่องที่สองสามวันมานี้สามีไปทำงาน กลางวันล้วนไม่อาจอยู่กับเจ้า จนเป็นเหตุให้แม้แต่เมืองหลวงเจ้าก็ไม่อยากดูแล้ว คิดแต่เพียงให้วันนี้สามีอยู่กับเจ้าทั้งวันทั้งคืน ใช่หรือไม่?” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวพลางหัวเราะร่า
เว่ยฉางอิ๋งบ่นพลางหน้าแดงหูแดงว่า “พูดจาส่งเดช!”
“หากมิใช่ แล้วไยหน้าเจ้าต้องแดงเช่นนี้?” เสิ่นจั้งเฟิงมองไปรอบๆ แล้วพวกบ่าวก็เดินเรียงแถวกันออกไป เขาลุกจากที่นั่ง เดินมาข้างกายภรรยาอย่างช้าๆ แล้วเอื้อมมือไปเชยคางนางขึ้นมา พลางกล่าวด้วยความเบิกบานใจยิ่ง
เว่ยฉางอิ๋งปัดมือเขาออก “ไม่พูดกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว… ข้าจะไปห้องหนังสือเล็ก”
“สามีไปเป็นเพื่อนเจ้า” เสิ่นจั้งเฟิงยื่นนิ้วมือไปไล้ข้างแก้มนางเบาๆ กล่าวพลางยิ้มอ่อนๆ
ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยิ่งแดงขึ้นกว่าเก่า แล้วตีเขาไปหนหนึ่ง “ห้ามเจ้าไป!”
“เหตุใด?” เสิ่นเฟิ่งเดินตามนางไปพลางยิ้มไปพลาง “ยังกลัวสามีอยู่หรือ?”
“ผู้ใดกลัวเจ้ากัน?” เว่ยฉางอิ๋งกำหมัดและเงื้อมมือใส่เขาอีกครา
เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจนใจว่า “ใช่สิ เจ้ามิได้กลัวสามี สามีไปเป็นเพื่อนเจ้า แล้วเจ้ามีเรื่องใดต้องเป็นกังวลเล่า? ความจริงแล้วคนที่ควรต้องกลัวน่าจะเป็นสามีมากกว่า ดูสิเจ้าดุถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าพอก้าวเท้าเข้าประตูตามเจ้าไป หันหลังมาก็จะถูกเจ้าปิดประตูขังเอาไว้เสียแล้ว ถึงยามนั้นผู้ใดจักรู้ว่าเจ้าจะทำเช่นใดกับสามี? สามีหวาดกลัวที่เจ้าดุร้าย จึงไม่อาจเริ่มจาก…โธ่! คิดดูแล้ว สามีช่างน่าสงสารเสียจริง!”
ตอนนี้ทั้งสองคนออกมานอกประตูแล้ว มองเห็นว่าแม้พวกสาวใช้ที่รออยู่บนระเบียงทางเดินจะพยายามอดกลั้น แต่สองไหล่ของพวกนางกลับสั่นขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งอายเสียจนอยากจะหาโพรงมุดเข้าไปหลบ พลางกระทืบเท้าและขึ้นเสียงว่า “จะ…เจ้าหุบปาก! ข้าจะไปทำ…ทำเรื่องเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร?”
“จริงหรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงทำท่าประหลาดใจ กล่าวว่า “เจ้าจักไม่…สามีจริงๆ หรือ”
ด้วยเกรงว่าเขาจะเอาแต่เอ่ยคำที่ทำให้ตนยิ่งไม่รู้จะเอาหน้าไปไวที่ใดออกมาอีกอย่างไม่ยอมเลิกรา เว่ยฉางอิ๋งอดจะคิดมากไม่ได้ พลันเอื้อมมือไปปิดปากเขาไว้ แล้วลากเขาเดินไปที่ห้องหนังสือเล็ก ทางหนึ่งเดินไป อีกทางหนึ่งก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “มิใช่เจ้าบอกว่าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือเล็กหรือ? รีบไปสิ!”
นางทั้งลากทั้งดึงเขาให้เข้าไปในห้องหนังสือเล็ก เว่ยฉางอิ๋งรีบปิดประตูเอาไว้ แล้วเอื้อมมือไปดึงหูเขาด้วยความเดือดดาลยิ่ง “จะ…เจ้าพูดสิ่งใดกัน!”
ทางหนึ่งเสิ่นจั้งเฟิงก็ยิ้มพลางก้มหน้าลงมาหานาง อีกทางหนึ่งก็แก้ตัวว่า “สามีพูดสิ่งใดไปเล่า?”
“เจ้า…!” เว่ยฉางอิ๋งคิดจะพูดบางสิ่ง แต่ใบหน้ากลับยิ่งแดงขึ้น จึงได้เหยียบเท้าเขาด้วยความโกรธไปเสียเลย “เจ้าหน้าไม่อายจริงๆ คำพูดเช่นนั้นยังกล้าเอ่ยต่อหน้าพวกบ่าว! ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ!”
เสิ่นจั้งเฟิงประหลาดใจ “เจ้าตีสามีก็มิใช่เพียงหนสองหนแล้ว ว่ากันว่าตีก็คือจูบ ด่าก็คือรัก สามีล้วนไม่ได้ใส่ใจ ต่อให้ผู้อื่นรู้เข้าแล้วจักเป็นอย่างไร?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้ง แล้วปล่อยหูเขาออก พลางเอ่ยอย่างระแวงว่า “ที่เจ้าว่าข้าจะปิดประตูแล้ว…เจ้า…คือตีเจ้ารึ?”
“ไม่อย่างนั้นจะเป็นสิ่งใด?” เสิ่นจั้งเฟิงจัดเสื้อผ้าที่ถูกนางดึงจนเบี้ยว พลางย้อนถาม “เจ้าคิดไปถึงที่ใดกัน?”
เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วพลันยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้าพลางกล่าวด้วยโทสะว่า “ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดทั้งนั้น!”
“ความจริงแล้ว…” เสิ่นจั้งเฟิงยกมือขึ้นมาลูบที่ริมฝีปาก จ้องมองนางคล้ายกำลังคิดบางสิ่ง กล่าวว่า “หากเจ้าคิดอยากจะทำเรื่องอื่น สามีก็ยินดีจะให้ความร่วมมือยิ่ง ยามนี้ก็พอดีไม่มีคน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ลองดูสักหน่อย?”
เว่ยฉางอิ๋งลดแขนเสื้อลง ใบหน้าแดงราวกับจะมีเลือดหยดออกมา “ลองดูกะผีสิ! จะ…เจ้าคิดสิ่งใดของเจ้าอยู่?”
เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ พลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “สามีหมายความว่าหากเจ้าคิดจะคัดอักษรหรือวาดภาพทำนองนั้น ก็สามารถอาศัยจังหวะที่ไม่มีคน ให้สามีช่วยเจ้าฝนหมึกเตรียมกระดาษ… ก่อนนี้เจ้าบอกว่าจะมาที่ห้องหนังสือเล็ก ก็มิใช่จะทำเรื่องเหล่านี้หรอกหรือ? เจ้า… อื่ม เจ้านึกว่าจะทำสิ่งใด?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งลอบกระอักเลือดในใจ ชั่วอึดใจหนึ่งจึงกล่าวว่า “ข้ามิได้คิดสิ่งใดทั้งนั้น…”
“เช่นนั้นอาจอยากดูหนังสือภาพ?” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
เว่ยฉางอิ๋งสับสนว้าวุ่นในใจไปหมด รู้สึกแต่เพียงว่านางขัดเขินจนพูดไม่ออก แล้วรู้สึกว่าตนถูกเขาเย้าแหย่ติดต่อกันสองครั้งสองครา แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับสรรหาเหตุผลต่างๆ ออกมาได้แก้ต่างได้หมด จนปัญญาจะจับได้ไล่ทันเขาจริงๆ ยามนี้รู้สึกแต่เพียงว่าอยากรีบทำสิ่งใดสักเล็กน้อยเพื่อขจัดความขัดเขินไปเสีย ได้ยินคำจึงตอบไปลอยๆ ว่า “ตกลง”
________________________________
ตอนที่ 28 งานเลี้ยงสุรา
โดย
Xiaobei
ฮวายเฝยสาวใช้ข้างกายนางหลิวกำลังยืนรอคำตอบรับอยู่ที่ใต้ต้นทับทิมซึ่งเรียงรายกันอยู่ที่มุมประตู เมื่อเห็นนางหวงจึงรีบเดินเข้าไปรับสองก้าว “ท่านอาหวง ฮูหยินน้อยสามเล่า?”
นางหวงกล่าวกับนางด้วยท่าทีรู้สึกผิดปนจนใจว่า “บังเอิญจริงๆ วันนี้ฮูหยินน้อยของเราตื่นขึ้นมาก็ปวดหัวเล็กน้อย ยามนี้กำลังนอนพัก ก่อนคุณชายจะไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือก็กำชับว่าห้ามให้ผู้ใดไปรบกวนฮูหยินน้อย หาไม่แล้วเมื่อน้องสาวของฮูหยินน้อยใหญ่มา ฮูหยินน้อยก็เคยบอกไว้ว่าอยากจะไปพบสักหน”
ฮวายเฝยผิดหวังจนพูดไม่ออก ทว่านางหวงก็กล่าวเช่นนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่สบาย เสิ่นจั้งเฟิงกำชับว่าไม่ให้คนไปรบกวนภรรยา… ก็คงไม่อาจให้นางหวงไม่ฟังคำนายแล้วขืนปลุกเว่ยฉางอิ๋งขึ้นมากระมัง?
เมื่อคิดถึงว่านางหลิวแสดงออกชัดเจนว่ามิได้เห็นเว่ยฉางอิ๋งเป็นคนนอก ทั้งยังบอกกับบ้านสามไปตรงๆ ว่าตนวางแผนจะทำร้ายหลิวรั่วเหยียน้องสาวร่วมตระกูล โดยใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชาง[1]อย่างแท้จริง…ด้วยหวังจะยุยงเว่ยฉางอิ๋งให้เป็นปรปักษ์กับหลิวรั่วเหยียแม่ลูก… ยามนี้หากเว่ยฉางอิ๋งไม่ไปแล้ว แผนการของนางหลิวจะสำเร็จได้อย่างไร? ฮวายเฝยกลัดกลุ้มอยู่ในใจ แต่ก็คิดวิธีใดไม่ออก จึงทำได้เพียงลอบถอนหายใจ กำลังจะเอ่ยลานางหวง ไม่คิดว่าพลันมีร่างคนปรากฏขึ้นมาที่หลังต้นทับทิม จูเสียนสาวใช้ตัวน้อยยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามา จนมาใกล้ๆ แล้วมองไปยังฮวายเฝยหนหนึ่ง แล้วกล่าวกับนางหวงไปอย่างคลุมเครือว่า “ฮูหยินน้อยเรียกหาคนไปปรนนิบัติเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินน้อยตื่นแล้วหรือ?” นางหวงเข้าใจแล้วพยักหน้าเบาๆ
ฮวายเฝยจึงยินดียิ่ง รีบกล่าวว่า “ท่านอาหวง ท่านโปรดดู…”
“แม่นางฮวายเฝยโปรดรอสักครู่ ข้าจักเข้าไปบอกฮูหยินน้อย” นางหวงยิ้มพลางว่า “บางทีฮูหยินน้อยนอนพักสักพักก็ไม่ปวดหัวแล้ว” แล้วหันไปกำชับจูเสียนให้ไปนั่งเป็นเพื่อนฮวายเฝยที่ข้างระเบียงทางเดินสักพัก และให้บ่าวที่เดินผ่านมาเก็บผลไม้มาต้อนรับนาง
ฮวายเฝยไม่มีแก่ใจจะมาทานผลไม้ใด จึงบอกปัดจูเสียนไปสองสามประโยคแล้วชะเง้อคอยาวจับจ้องไปข้างหน้า พักใหญ่เต็มๆ ฮวายเฝยสงสัยว่าหรือเพราะฮูหยินน้อยสามมองแผนการของนางหลิวออกจึงจงใจแกล้งตน… หาไม่แล้วเหตุใดจูเสียนจึงมาอย่างปัจจุบันทันด่วนเพียงนี่? ในขณะที่กำลังกระวนกระวายใจอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงเอะอะมาจากข้างหลังประตูโค้งวงพระจันทร์ ที่สุดก็เห็นพวกของนางหวงห้อมล้อมตัวเว่ยฉางอิ๋งเดินออก
นางโล่งอก พยายามเค้นรอยยิ้มออกมาและเข้าไปต้อนรับ…
เมื่อเข้าไปคำนับตรงหน้า จึงลอบมองนางหนหนึ่ง แอบคิดสงสัยในใจว่าเหตุใดต้องรอถึงครึ่งค่อนชั่วยามฮูหยินน้อยสามผู้นี้จึงเพิ่งออกมา เว่ยฉางอิ๋งสวมชุดส้างหรูแขนกว้างผ่าหน้าสีน้ำทะเลลายกิ่งก้านใบและดอกไห่ถัง ตรงกลางของเสื้อส้างหรูเผยให้เห็นเสื้อเกาะอกผ้าไหมทอลายสีแดงทับทิมสีสดสะดุดตา บนเสื้อเกาะอกปักภาพนกเป็ดน้ำลงเล่นน้ำและดอกบัวดูสมจริงมีชีวิตชีวา เอวคาดแถมผ้าไหมห้าสี ท่อนล่างสวมกระโปรงแพรทรงพุ่ม บนกระโปรงเต็มไปด้วยลายของดอกไม้และนกกระพือปีก ยามขยับก้าวเท้าคล้ายพวกมันจะมีชีวิตขึ้นมา
อาภรณ์ทั้งตัวนี้ นับแต่เว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมายังมิเคยเห็นนางสวมใส่มาก่อน เห็นชัดว่าตั้งใจเลือกออกมาเพื่อใช้ไปพบปะกับหลิวรั่วเหยียโดยเฉพาะ อย่างไรเสียนางก็เข้าบ้านมาแล้ว หากต้องการจะมาประกาศตัวอวดอ้างต่อหน้าหญิงสาวที่หมายปองสามีของตน แต่กลับไม่ต้องการจะให้ดูจงใจจนเกินไปจนดูเสียกริยาและฐานะ ดังนั้นผมดำขลับของนางจึงเพียงเกล้าผมเป็นมวยไว้กลางหัวแบบง่ายๆ และนอกจากปิ่นสองอันก็มิได้มีเครื่องประดับใดอื่นอีก
เพียงแต่ว่า…
ฮวายเฝยแอบมองปิ่นหยกสีเลือดสดจัดจ้านคู่นั้นหนหนึ่ง คิดในใจว่า ปิ่นนี้ช่างคุ้นตานัก นี่มิใช่ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้ที่เป็นสินติดตัวของฮูหยินซูแต่ครั้งก่อนคู่นั้นหรอกหรือ? ด้วยเหตุที่ฮูหยินซูได้มอบปิ่นคู่นี้ให้แก่เว่ยฉางอิ๋งซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แต่งเข้าบ้าน นางหลิวซึ่งเห็นว่าตนเป็นสะใภ้ใหญ่และควรได้รับปิ่นคู่นี้มากกว่า ครั้งนั้นนางจึงมีท่าทีสลดลงทันใดยามอยู่ต่อหน้าสามี เมื่อกลับมาที่บ้านใหญ่ก็ปิดประตูและระบายอารมณ์ออกมาขนานใหญ่!
ครานั้นแม้แต่ฮวายเฝยซึ่งเป็นบ่าวคนสนิทเพียงนี้ยังพาลถูกหางเลขไปด้วย นางจึงจดจำได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้แต่งหน้าทาแป้งแต่อย่างใด เพียงเขียนคิ้วอ่อนๆ ทว่าสองแก้มกลับมีเลือดฝาดตามธรรมชาติ ดูแดงเปล่งปลั่งน่ารัก ยามชม้ายปรายตาก็ดูงดงามมีราศีไปทั้งตัว ที่ตีนผมคล้ายยังเปียกชื้นอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเพื่อการพบปะหนนี้ นางยังอาศัยเวลาน้อยนิดรีบไปอาบน้ำมาอีกด้วย…
ท่าทีของเว่ยฉางอิ๋งดูไม่ได้ยินดียินร้าย คล้ายเห็นว่าการไปเรือนซินอี๋ครานี้ก็เป็นเพียงการไปพบปะน้องสาวร่วมตระกูลของพี่สะใภ้ใหญ่สักหน่อยเท่านั้น แต่ความจริงแล้วนางกลับกำลังขบคิดจนหัวแทบแตกว่าจะแสดงแสนยานุภาพต่อหลิวรั่วเหยียเช่นใดดี… ฮวายเฝยอดจะแอบยิ้มในใจไม่ได้ ดูไปแล้วฮูหยินน้อยสามผู้นี้ก็มิใช่คนที่จะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็รู้ความคิดอ่านของคุณหนูสิบเอ็ดอยู่แล้ว วันนี้หากคุณหนูสิบเอ็ดเผยท่าทีชัดเจนสักหน่อย เกรงว่าทั้งสองคนคงจะทะเลาะกันขึ้นมาในทันใด…
สำหรับฮวายเฝยแล้วเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องดี ความจริงลึกๆ และเป้าหมายที่แท้จริงของนางหลิวก็มิใช่ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันหรอกหรือ?
เมื่อไปถึงเรือนซินอี๋ เพิ่งจะเข้ามาในลานบ้านยังมิทันได้เข้าไปในตัวอาคาร ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงมาจากภายใน ทั้งยังได้กลิ่นหอมของสุราโชยมาอ่อนๆ… เว่ยฉางอิ๋งจึงย่างก้าวให้ช้าลง แล้วว่า “นี่คือ…?”
“ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่านานๆ คุณหนูสิบเอ็ดจะมาสักหน จึงได้ตระเตรียมงานเลี้ยงเล็กๆ ไว้ต้อนรับเจ้าค่ะ” ฮวายเฝยก้มหัวพลางกล่าวเสียงเบา
เว่ยฉางอิ๋งร้องอุ๊ออกมาหนหนึ่ง แล้วพลันรู้สึกว่าถูกนางหวงถองศอกใส่เบาๆ ครั้งหนึ่ง… นางจึงค่อยๆ ขบคิดก็รู้ว่ามีเรื่องใดไม่ถูกต้อง แม่เฒ่าเติ้งกำลังป่วยอยู่นี่ วันนี้ นอกจากเสิ่นจั้งเฟิงที่สองสามวันก่อนกระตือรื้อรนเกินไปจนเกือบเป็นการบังคับให้รุ่นหลานทั้งหมดของตระกูลซูต้องมาคอยเฝ้าอยู่ต่อหน้าแม่เฒ่าเติ้งทั้งวันแล้ว บรรดาหลานฝั่งบุตรสาวล้วนไปเยี่ยมที่จวนตระกูลซูจนหมด
แม้ฮูหยินซูจะเป็นคนสั่งเองว่าให้บรรดาสะใภ้คอยเฝ้าอยู่ที่บ้านไม่ต้องไปคอยช่วยดูแล แต่กลางวันแสกๆ มาจัดเลี้ยงสุราในบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือนของน้องสาวคนหนึ่ง…นี่ก็ไม่สมควรเกินไปแล้วกระมัง? หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เมื่อฮูหยินซูกลับมาแล้วไม่ค่อนแคะนางหลิวก็แปลกแล้ว!
นางหลิวได้รับความไว้ใจและชื่นชอบจากฮูหยินซูเสมอมา เรื่องนี้สามารถแอบมองได้จากที่ครานั้นฮูหยินซูเรียกขานนางว่า ‘อี๋เอ๋อร์’ แต่กลับเรียกนางตวนมู่ว่า ‘เยี่ยนอวี๋’… ซึ่งชื่อเต็มของนางหลิวก็คือรั่วอี๋
ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ฮูหยินซูคอยเฝ้ามารดาอยู่ที่บ้านเดิมของตน เรื่องต่างๆ ในบ้านล้วนไหว้วานให้นางหลิวเป็นคนจัดการทั้งหมด ว่ากันตามจริงแล้วนางหลิวซึ่งได้รับความชื่นชมจากฮูหยินซูถึงเพียงนี้ไม่น่าจะทำความผิดที่ชัดแจนและล่วงเกินแม่สามีเช่นนี้…
เว่ยฉางอิ๋งเดินเข้าไปด้วยความระแวง และพบว่าในบ้านมีการจัดงานเลี้ยงจริงดังว่า นางหลิวและหลิวรั่วอวี้กำลังนั่งในที่นั่งหลักและที่นั่งแขก ที่นั่งตรงข้ามกับหลิวรั่วอวี้มีจอกเงินวางเรียงอยู่ แต่นี่นั่งกลับว่างเปล่า
เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งมา นางหลิวพี่น้องก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มแล้วบอกว่าพวกนางเกรงใจเกินไป “ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น และหาใช่ว่าไม่เคยพบกันมาก่อน ไยต้องถือเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้?” เพราะไม่เห็นหลิวรั่วเหยียซึ่งพวกนางจะมาต้อนรับในวันนี้ นางจึงหันซ้ายหันขวาพลางถามไปว่า “น้องสิบเอ็ดของพี่สะใภ้ใหญ่เล่าเจ้าคะ? มิใช่บอกว่านางมาแล้วและอยากจะพบข้า? ยามนี้ข้ามาแล้ว คงมิใช่ว่าวันนี้ข้าปวดหัว เมื่อครู่ไปงีบสักพักจนมาล่าช้า และนางกลับไปเสียแล้วนะเจ้าคะ? โธ่ เป็นข้าไม่ดีเอง”
นางหลิวรีบกล่าวว่า “น้องสะใภ้สามปวดหัว? เป็นสิ่งใดมากหรือไม่?”
หลิวรั่วอวี้ก็สอบถามตามไปด้วย
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางโบกไม้โบกมือ “คงเพราะเมื่อคืนข้าสระผม ยามเช็ดผิดมิได้ปิดหน้าต่างจึงโดนลมโกรกทั้งคืน ได้นอนพักทั้งก่อนและหลังเที่ยงสักพักหนึ่ง ยามนี้ดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่คล้ายจะมาไม่ทันคุณหนูสิบเอ็ดเสียแล้ว…”
“น้องสะใภ้สามเจ้าก็ช่างไม่ระวังเสียเลย ยามนี้แม้จะเข้าฤดูร้อนแล้ว แต่ลมยามกลางคืนก็ยังเย็นอยู่ดี ต่อไปต้องระวังสักหน่อยนะ อย่างไรเสียสุขภาพของตนย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด อย่างได้หลงคิดว่ายังสาวและไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เล่า!” นางหลิวจึงได้ยิ้มออกมาคล้ายคลายความกังวลลง แล้วตำหนินางไปอย่างอบอุ่น แล้วว่า “รั่วเหยียยังไม่ได้กลับ งานเลี้ยงของพวกเราที่นี้ก็ยังไม่ทันกินกันเสร็จ… เมื่อครู่นี้นางไม่ระวังทำเสื้อผ้าสกปรก จึงเข้าไปเปลี่ยนอยู่ข้างหลังต่างหาก!”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจ แล้วมองตาขวางไปทางนางหวงที่อยู่ข้างๆ “จะว่าไปต้องโทษท่านอาหวง ทั้งที่ฮวายเฝยมาแล้วก็ไม่ยอมไปปลุกข้า ทำเอาเขาตื่นนอนแล้วจึงรู้เรื่องนี้! ทำให้คุณหนูสิบเอ็ดเสียเวลาแล้วจริงๆ อีกประเดี๋ยวพี่สะใภ้คงต้องช่วยข้าพูดสักหน่อยนะเจ้าคะ หาไม่แล้วคุณหนูสิบเอ็ดจะนึกว่าข้าจงใจวางท่าให้มาสายๆ เอาได้!”
นางหวงยิ้มอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยจะตำหนิข้าน้อยไม่ได้นะเจ้าคะ เป็นคุณชายกำชับมาด้วยตนเองว่าห้ามไปรบกวนยามฮูหยินน้อยพักผ่อน แม้แต่คุณชายจะอ่านหนังสือยังตั้งใจหลบไปอ่านในห้องหนังสือเล็กเลยเจ้าค่ะ เพื่อมิให้มีเสียงพลิกเปิดหนังสือและไปรบกวนฮูหยินน้อยเอาได้…พวกเข้าน้อยมีหรือจะกล้าไม่ฟังคำคุณชาย?”
เว่ยฉางอิ๋งรอจนนางพูดจบจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ท่านอา ท่านพูดส่งเดชสิ่งใดกันเล่า! ทั้งที่จริงๆ แล้ว…” พูดถึงตรงนี้ใบหน้าของนางก็แดงขึ้นมาน้อยๆ แล้วพึมพำว่า “ไม่พูดกับท่านแล้ว!”
นางหลิวยิ้มออกมาอย่างรู้อยู่ในที “จริงด้วย ไม่พูดแล้ว เรื่องที่น้องสามรักใคร่น้องสะใภ้สามก็มิใช่เรื่องใหม่ใดๆ พวกเรามีผู้ใดไม่รู้กันเล่า?”
“พี่สะใภ้ใหญ่!” เว่ยฉางอิ๋งมองค้อนนางหนหนึ่ง แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทั้งหน้าแดงก่ำ “ข้ามาเยี่ยมเยือนน้องรั่วอวี้และคุณหนูสิบเอ็ดนะเจ้าคะ พี่สะใภ้ใหญ่อย่าพูดนอกเรื่องสิเจ้าคะ!”
นางหลิวหัวเราะพลางเชิญนางเข้าที่นั่ง มีถ้วยเงินและตะเกียบเงินสะอาดสะอ้านที่สาวใช้ผู้คล่องแคล้วน้ำออกมาจัดวางไว้นานแล้ว นางทำสัญญาณมือให้เงียบเสียง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านยายกำลังป่วยอยู่ เดิมทีไม่ควรดื่มสุรา เพียงแต่คราวก่อนรั่วเหยียเคยเอ่ยถึงสุราลิ้นจี่เขียว หนนี้จึงนำมาต้อนรับไหหนึ่ง สุรานี้ดื่มแล้วไม่เมา แต่อย่างไรก็ยังเป็นสุราอยู่ดี… น้องสะใภ้สามอย่าได้เอ่ยออกไปเชียว!”
ก่อนนี้แม้แต่เรื่องที่นางวางแผนทำร้ายน้องสาวร่วมตระกูลของตนก็ยังนำมาบอกแก่นางหวง ยามนี้พูดเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเกินคาดกระไรมากมาย แต่กลับเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจยิ่งอย่างหนึ่ง
หลิวรั่วอวี้อมยิ้มนั่งฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่ในใจ หากเป็นเมื่อก่อนนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่มีวันเห็นชอบให้พี่สาวร่วมตระกูลทำเช่นนี้… ด้วยนิสัยอ่อนแอของนางแต่ไรมา แม้จะถูกข่มเหงรังแกอยู่ในกำมือของแม่เลี้ยงมาตลอดหลายปีนี้ แต่ล้วนไม่เคยมีความคิดจะตอบโต้เลยสักหน… นิสัยที่แท้จริงของนางนั้นไม่กล้าไปทำร้ายใคร หรือไปตำหนิคนที่ไปทำร้ายผู้อื่น แต่นั่นก็เพราะนางยังพอมีความหวังว่าการแต่งงานออกไปจะเป็นทางออกของตน ยามนี้แม้แต่อนาคตที่ตนจะได้แต่งงานและมีบุตรก็ถูกวางแผนจัดการไปด้วยจนหมด แม้แต่ทางให้มีชีวิตรอดสักน้อยนางจางก็ไม่ยอมละเว้นให้นาง หากนางยังไม่ยอมตอบโต้ ไม่ยอมเรียนรู้สักหน่อยแล้ววันหน้าจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ?
ยามคนถูกบีบบังคับจนอับจนหนทาง ย่อมสามารถทำเรื่องที่ยามปกติจะคิดก็ยังไม่กล้าคิดถึง
ดังนั้นครานี้ ต่อให้นางรู้สึกผิดต่อเว่ยฉางอิ๋งทั้งนายบ่าวอยู่เต็มอก นางก็จะไม่ส่งเสียง… พี่สาวร่วมตระกูลบอกไว้แล้วว่า แม้แต่คนซึ่งร่างกายอ่อนแอมาแต่ไรเช่นนางนี้ ทั้งยังถูกพิษที่มีฤทธิ์เย็นมาหลายเดือนยังได้รับยาถอนพิษที่รักษาได้จนหายขาดมาจากท่านหมอเทวดาจี้ ประสาอะไรกับเว่ยฉางอิ๋ง? ฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นผู้นี้มีนางหวงคอยดูอยู่ข้างกาย จักต้องไม่ดื่มสุราที่มีปัญหาแน่นอน หรือต่อให้ดื่มไปแล้วนางหวงก็ยังสามารถช่วยนางได้ ดังนั้นนางจะไม่เป็นไร… ดังนั้นอย่างมากวันนี้ก็นับว่าเป็นเพียงการจงใจวางแผนใช้งานเว่ยฉางอิ๋ง แต่มิใช่ทำร้ายนาง…เมื่อคิดได้ดังนี้ นางจึงพอสบายใจขึ้นมาได้บ้าง…
เพียงแต่ แม้หลิวรั่วอวี้จะคิดว่าตนพยายามให้ความร่วมมือนางหลิวอย่างสุดความสามารถแล้วและพยายามทำทีคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ในสายตาของพวกนางหลิวแล้วยังคงมองออกว่านางนั่งไม่เป็นสุขและดูร้อนรน นางหลิวเป็นกังวลว่าเมื่อหลิวรั่วเหยียกลับมาจะระแวงนาง จึงกล่าวอย่างราบเรียบว่า “รั่วอวี้เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วกระมัง? หากรู้สึกว่าสู้ฤทธิ์สุราไม่ไหวก็ไปนอนพักสักหน่อยเถิด… พี่เว่ยของเจ้าก็หาใช่คนอื่นไกล ไม่ถือสาเจ้าหรอก”
ว่าพลางส่งสายตาที่เป็นที่รู้กันไปหาเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าคงเป็นนางหลิวตัดสินใจจะลงมือแล้ว จึงทำให้หลิวรั่วอวี้ซึ่งหวาดกลัวแม่เลี้ยงและน้องสาวมาจนเคยชินรู้สึกกระวนกระวายยิ่ง ด้วยเกรงว่าหลิวรั่วอวี้จะมีพิรุธและทำให้เสียการ นางจึงพยักหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ หากน้องรั่วอวี้เหนื่อยแล้วก็ไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด ร่างกายของเจ้าก็อ่อนแออยู่แล้ว”
หลิวรั่วอวี้กลัวว่ายามนางมองเว่ยฉางอิ๋งจะมีพิรุธออกมาจึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวไปประโยคหนึ่งอย่างร้อนรนว่า “เข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอตัวไปก่อนนะเจ้าคะ… พี่เจ็ด พี่เว่ย โปรดอย่างถือโทษเจ้าค่ะ!”
เมื่อมองนางเดินโซเซจากไป เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าหลิวรั่วเหยียยังไม่กลับมา จึงเอ่ยกับนางหลิวอย่างมีนัยยะว่า “น้องรั่วอวี้ร่างกายอ่อนแอจริงๆ จึงทนฤทธิ์สุราไม่ไหว” เดิมทีนางยังหวังจะได้เห็นหลิวรั่วอวี้ปะทะกับหลิวรั่วเหยียเชียว ปรากฏว่าคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นี้กลับใช้การไม่ได้จริงๆ ดีที่ยามนี้หลิวรั่วเหยียไม่อยู่ หาไม่แล้วอย่างไรก็ต้องรู้สึกสงสัยนางขึ้นมา
หากหลิวรั่วอวี้ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ายาที่นางหวงไปขอมาจากจี้ชวี่ปิ้งก็คงจะเสียเปล่าแล้ว
นางหลิวยิ้มหนสองหน กล่าวว่า “ก็มิใช่รึ? ต้องรู้เสียก่อนว่าวันนี้นางเพิ่งจะดื่มไปสองจอก”
…เว่ยฉางอิ๋งยิ้มน้อยๆ คิดในใจว่าดีที่หลิวรั่วอวี้ยังมีพี่สาวร่วมสกุล ดูท่าทีเรียบเฉยผ่อนคลายที่นางหลิวเป็นในยามนี้ เหมือนกับคนที่กำลังจะลงมือกับน้องสาวร่วมตระกูลที่ใดกัน?
ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน ที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากหลังฉากกั้นลม พร้อมกับเสียงเครื่องประดับกระทบกันดังติงตัง สาวใช้ในชุดหลายหลากสีกลุ่มหนึ่งกำลังเดินออกมาพร้อมกับเด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่ง
__________________________________
[1] กลยุทธ์ลอบตีเฉินชาง เป็นกลยุทธ์หนึ่งในสามก๊ก โดยการหลอกเข้าโจมตีศัตรูซึ่งหน้า แล้วลอบเข้าโจมตีในพื้นที่ที่ศัตรูไม่ทันระวัง
ตอนที่ 29 หลิวรั่วเหยีย
โดย
Xiaobei
เด็กสาวผู้นี้สวมเสื้อส้างหรูแบบสั้นแขนแคบสีแดงชาดปักลายช่อดอกเหมยขนาดเท่าเล็บมือประปรายอยู่ทั้งตัว สวมกระโปรงจีบรอบคาดอกสีน้ำทะเล ตรงหน้าอกคาดเชือกถักสีแดงทับทิมคู่หนึ่ง ถักเป็นลายหรูอี้คล้องหัวใจ ยามนางเลี้ยวออกมาจากฉากกั้นลม พอดีมีลมโชยผ่านมาวูบหนึ่ง และพัดเอากระโปรงกว้างๆ ไปข้างหลัง ผ้าคล้องแขนลายนกกระเรียนร้อยตัวในแปลงดอกไม้บนแขนของนางพลันถูกพัดให้สูงขึ้นและพลิ้วไปตามลม ลับกับใบหน้าแสนงดงามของนางประหนึ่งเทพธิดาร่อนลมลงมางดงามจับใจคนนัก
เมื่อนางเดินพ้นฉากกั้นลม เด็กสาวผู้นี้ก็มองมาทางเว่ยฉางอิ๋ง ยิ้มแย้มพลางว่า
พี่เจ็ด นี่ก็คือพี่สาวตระกูลเว่ย?”
เว่ยฉางอิ๋งอมยิ้มแล้วพยักหน้า และรอให้นางหลิวแนะนำ ตนเคยได้ยินมาตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่เฟิ่งโจวว่านางหมายปองเสิ่นจั้งเฟิงนักหนา จึงอาศัยโอกาสนี้สังเกตรูปร่างหน้าตาของคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวอย่างละเอียด… หลิวรั่วเหยียหน้าตาไม่เหมือนนางหลิวและหลิวรั่วอวี้เลยแม้แต่น้อย ดูเค้าหน้าของนางคงจักเป็นทรงเม็ดแตง เพียงแต่เพราะอยู่ในวัยนี้ สองแก้มจึงดูอวบสักหน่อย มองเผินๆ กลับดูคล้ายใบหน้ารูปไข่ห่านเช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง ด้วยความอวบอิ่มมีน้ำมีนวลอย่างเด็กน้อยนี้ ทำให้นางมีกลิ่นกายใสซื่ออย่างเด็กน้อย จึงทำให้คนลดความระแวดระวังตัวลงเอาได้ง่ายๆ
มองดูใบหน้า มองแวบแรกรู้สึกว่าละเอียดอ่อนงดงาม หากมองให้ละเอียดยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าวาดออกมาเช่นนั้น ไม่มีที่ใดเลยที่ไม่งดงามเหมาะเจาะ คิ้วโค้งดังพระจันทร์ ตาดังเมล็ดท้อ ลูกนัยน์ตาเคลื่อนไหวแคล่วคล่อง ดูไปแล้วเผยให้เห็นว่านางเฉลียวฉลาดมีปฏิภาณไหวพริบ ระหว่างนางและหลิวรั่วอวี้สองพี่น้องต่างมารดามีเพียงสิ่งเดียวที่คล้ายคลึงกันก็คือต่างมีปากเล็กๆ รูปโค้งแสนงดงาม มีสีแดงเป็นธรรมชาติ เมื่ออยู่กับผิวดังหิมะขาวยิ่งขับให้ปากสีแดงสดยิ่งขึ้น ยามแย้มริมฝีปากยิ้มเผยให้เห็นความเย้ายวนที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับอายุและใบหน้าของนางเลย
ความเย้ายวนนี้ไม่แจ่มแจ้งแต่ก็กลับไม่ธรรมดา เป็นความยั่วยวนอีกประเภทหนึ่งที่คาบเกี่ยวระหว่างเด็กหญิงและสาวน้อย
แม้เว่ยฉางอิ๋งจะมาด้วยเจตนาบ้างอย่าง แต่เมื่อได้เห็นหลิวรั่วเหยียผู้นี้ก็อดจะทอดถอนใจหนหนึ่งไม่ได้ว่าเด็กสาวผู้นี้มีรูปโฉมไม่เลวเลยจริงๆ ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลที่นับว่ามักจะพบเห็นผู้มีรูปโฉมงดงามมากที่สุดในตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหกในเขตทะเล และในบรรดาพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย รูปโฉมของเว่ยฉางอิ๋งก็อยู่ในอันดับต้นๆ ตลอดมา ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่แม่เฒ่าซ่งภาคภูมิใจเป็นที่สุด ทว่าแม้รูปโฉมหลิวรั่วเหยียจะไม่ถึงกับข่มตนได้ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าพอจักมีเสน่ห์ทัดเทียมกับนาง ซึ่งหมายถึงว่าต่างคนต่างมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตน
จะว่าไปแล้วหญิงงามที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นหลิวรั่วอวี้ เดิมทีก็ทำให้คนพบเห็นแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาได้ง่ายๆ แต่หากหลิวรั่วเหยียและหลิวรั่วอวี้ยืนอยู่ด้วยกัน ความงามที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายที่อ่อนโยนเหมือนเด็ก และความไร้เดียงสามีชีวิตชีวาที่อยู่ภายในดวงตาสุกใสแวววาวเช่นนี้ พลันทำให้คนขี้โรคเช่นหลิวรั่วอวี้ดูไม่น่าชื่นชมขึ้นมาถนัดตา
ก็มิน่าเล่าบิดาของพวกนางจึงไม่ค่อยรักใคร่บุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาคนก่อนเท่าใดนัก… คนเป็นบิดา ผู้ใดเล่าจักยอมให้บุตรสาวของตนมีท่าทีเซื่องๆ ซึมๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน? อย่างไรย่อมต้องชื่นชอบคนที่ร่าเริงสดใส ยิ้มแย้มซุกซน และรู้จักทำให้ตนเองเบิกบานใจ
ประสาอะไรกับเสียงอย่างลมปราณส่วนกลางไม่พอที่พูดไปไม่กี่ประโยคก็พลันหายใจไม่ทันเสียแล้วอย่างที่หลิวรั่วอวี้มี ผิดกับเสียงของหลิวรั่วเหยียที่กังวานดังทองและหยกประทบกัน แจ่มชัดเสนาะหู จังหวะการพูดไม่ช้าไม่เร็วเกินไป พูดจาชัดถ้อยชัดคำ ฟังดูก็รู้ได้ทันทีว่าได้รับการชี้แนะจากผู้ใหญ่มาแต่เล็ก และเจตนาฝึกฝนออกมาให้เป็นเช่นนี้
เว่ยฉางอิ๋งเองก็เป็นเช่นนี้ ทั้งน้ำเสียงและการออกเสียงคำพูดจา เมื่อมองดูแล้วคล้ายเพียงพูดไปตามสบาย แต่ความจริงแล้วกลับผ่านการฝึกฝนและขัดเกลาหนแล้วหนเล่า หากจะสามารถใช้น้ำเสียงได้ไพเราะเสนาะหูอย่างแท้จริง หรือรู้จักกลบความบกพร่องในน้ำเสียง ไม่ว่าจะพูดสิ่งใด ก็ต้องทำให้คนฟังแล้วไม่รู้สึกอกสั่นขวัญกระเจิงหรือทนฟังไม่ไหว แต่กลับอยากฟังต่อไปเรื่อยๆ… ยิ่งไม่ต้องบอกว่าการพูดจาที่ต้องผ่านการฝึกฝนมาครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะสามารถทำได้เช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดออกไปก็ล้วนสามารถทำให้คนผู้นั้นมีท่าทีเชื่อมั่นในตนเองและดูมีความสุขุมเยือกเย็น
เมื่อโตขึ้นสักหน่อย ก็จะค่อยๆ เป็นไปเองตามธรรมชาติ และเพียงอาศัยน้ำเสียงในการพูดจาเช่นนี้ก็จะทำให้เป็นคนผู้นั้นมีท่าทีสุภาพสุขุมเยือกเย็นอย่างชัดเจน
นี่เป็นหนึ่งในท่วงท่ากริยาที่ลูกหลานตระกูลใหญ่ล้วนต้องเรียนรู้ ฟังออกว่าหลิวรั่วเยียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี แทบไม่แตกต่างกับที่แม่เฒ่าซ่งอบรมเว่ยฉางอิ๋งมาด้วยตนเอง และซ่งไจ้สุ่ยที่แต่เล็กมาก็ได้รับการฝึกฝนเพื่อเตรียมตัวให้เป็นฮองเฮา… เห็นได้ว่าแม้นางจางจะโหดร้ายกับหลิวรั่วอวี้ซึ่งเกิดจากพี่สาวบุตรแม่ใหญ่ของตน แต่กลับตั้งใจอบรมฝึกฝนบุตรสาวของตนอย่างเต็มกำลัง
เมื่อเว่ยฉางอิ๋งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นางหลิวก็ได้แนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน และเชิญทั้งสองคนเข้าที่นั่งอีกครั้งหนึ่ง หลิวรั่วเหยียยิ้มแย้มและเป็นฝ่ายกล่าวชมเว่ยฉางอิ๋งด้วยน้ำเสียงแจ่มชัดไปก่อนว่า “หลังจากที่พี่ชายสิบหกกลับมาจากเฟิ่งโจว ก็ชื่นชมในฝีมือล้ำเลิศของพี่สาวตระกูลเว่ยที่ดึงปิ่นหยกออกมาซัดใส่งูเขียวหางไหม้และสังหารมันได้อย่างเฉียบขาดเจ้าค่ะ และก็ไม่รู้ว่าพูดไปกี่รอบต่อกี่รอบ…ข้าน่ะ อยากจะได้เห็นมาเสียตั้งนานแล้วพี่เว่ยผู้ไม่เป็นสองรองใครในเขตทะเลที่พี่ชายสิบหกชนนักชมหนานั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่! วันนี้อาศัยโอกาสที่ได้มาเยี่ยมพี่เจ็ด จึงถือวิสาสะเชิญพี่เว่ยมาด้วย พี่เว่ยโปรดอย่าได้ขุ่นเคืองนะเจ้าคะ!”
“คุณหนูสิบเอ็ดเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มร่าเริงพลางกล่าวทักทายนาง “ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่เคยบอกไว้นานแล้วว่ามีน้องสาวสองคนที่งามดังบุปผายองใยดังหยก ข้ายังกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเสียอีก! ยามนี้ได้มาพบแล้วก็รู้สึกจริงๆ ว่าทั้งห้องดูสว่างไสวขึ้นมาหลายเท่าทีเดียว มีแต่จะดีใจ จะให้ขุ่นเคืองที่ใดกัน? ใช่แล้ว พี่ชายสิบหกของคุณหนูสิบเอ็ด ก็คือคุณชายหลิวที่คราก่อนนำราชโองการไปที่ชิงโจวผู้นั้นใช่หรือไม่?”
นางหลิวและหลิวรั่วเหยียต่างบอกว่าใช่ เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “คำกล่าวของคุณชายหลิวนั้นช่างเกรงใจนัก ข้าไม่อาจเอื้อมจริงๆ! วันนั้นหากมิได้คุณชายเติ้งซึ่งเป็นพวกพ้องของคุณชายสิบหกช่วยลงมือ ก็เกรงว่าถ้างูเขียวหางไหม้เลื้อยเข้าไปในเสื้อ ข้าคงจักยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ! เรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น จักกล่าวว่าเป็นฝีมือล้ำเลิศได้ที่ใดกัน? ไม่ปิดบังพวกท่าน วันนั้นหลังจากมองเห็นงูเขียวหางไหม้ถูกปักไว้กับต้นเสา ข้าตกใจเอาการจริงๆ! หากมิได้พวกสาวใช้ประคองเอาไว้ ก็แทบจะลุกขึ้นไม่ไหวเชียว…”
“ที่พี่เว่ยกล่าวมา ข้าได้ยินพี่ชายสิบหกบอกว่า ในตอนนั้น หางของงูเขียวหางไหม้ตัวนั้นสะบัดไปถูกหมวกของพี่เว่ยแล้ว เมื่อพี่เว่ยหันกลับไปดู ก็มิใช่ว่าอยู่ตรงหน้าแล้วหรือ? เพียงข้าแค่คิดดูก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้วเจ้าค่ะ!” หลิวรั่วเหยียยิ้มพลางกล่าวไป “ครานั้นพี่เว่ยยังสามารถยืนขึ้นและออกไปขอบคุณคุณชายเติ้งที่นอกศาลา นี่ก็นับว่าเก่งกาจกว่าพวกเราไม่รู้เท่าใดแล้วเจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวถ่อมตัวว่า “ตอนนั้นเมื่อมองเห็นก็รู้สึกแต่ว่างูตัวนั้นน่าขยะแขยง แต่ก็คิดเพียงจะต้องรีบไปขอบคุณคุณชายเติ้ง มิเช่นนั้น หากเขาลงเขาไปแล้วก็ไปขอบคุณต่อหน้าไม่ได้อีก ภายหลังเมื่อกลับมาในห้อง ยิ่งคิดก็ยิ่ง… เฮ่อ เรื่องนี้ไม่เอ่ยถึงดีกว่า!”
หลิวรั่วเหยียยิ้มแล้วว่า “เพราะข้าไม่ดีเอง เรื่องเช่นนั้นเมื่อคิดถึงขึ้นมาก็ต้องทำให้รู้สึกไม่สบาย ข้าอยากจะเอ่ยถึงชื่อเสียงของพี่เว่ยท่าน แต่กลับทำให้พี่เว่ยต้องคิดถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมาอีกเสียนี่”
“ใช่ที่ใด?” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าสดชื่น “กลับเป็นข้าที่ขี้ขลาด เอาแต่หวาดกลัวทั้งที่ไม่มีอันตรายใด แต่กลับทนไม่ได้ยามนึกย้อนกลับไปต่างหาก”
นางหลิวเห็นว่าพวกนางยิ่งสนทนายิ่งเข้ากันได้ดี ราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ กันเช่นนั้น แน่นอนว่านางย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกนางกลมเกลียวกันเช่นนี้ต่อไป จึงพูดกระเซ้าแทรกไปว่า “รั่วเหยีย เมื่อครู่นี้เจ้ายังเป็นกังวล บอกว่าพี่เว่ยของเจ้าเพิ่งแต่งงานใหม่ และวันนี้น้องสามก็อยู่เรือน เจ้าจึงไม่สะดวกจะไปคารวะที่เรือนจินถง ก่อนนี้ฮวายเฝยไปเสียนานยังไม่กลับมา เจ้าก็ยังกลัวว่าจะเชิญพี่เว่ยของเจ้ามาไม่ได้เสียแล้ว… เจ้าน่าจะรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?”
หลิวรั่วเหยียหัวเราะออกมาบอกว่า “พี่เจ็ดท่านก็มิใช่บอกไปแล้วหรือ? ก็พี่เว่ยเพิ่งจักแต่งงานใหม่เช่นไรเล่า!” รอยยิ้มของนางไร้เดียงสาและอ่อนหวาน คล้ายมิเคยได้เห็นเสิ่นจั้งเฟิงมาก่อนเลย คล้ายกับว่ายามนี้เพียงกระเซ้าเว่ยฉางอิ๋งไปอย่างไม่คิดสิ่งใดเท่านั้น มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่านางรู้สึกอิจฉาหรือไม่พอใจ
…ยามรอยยิ้มเช่นนี้อยู่ในสายตาของทุกคน แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็อดจะรู้สึกชื่นชมไม่ได้ และนางหลิวก็อดจะสะท้านใจแทนหลิวรั่วอวี้ไม่ได้ว่า เด็กสาวหลิวรั่วเหยียผู้นี้ยังเป็นเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้แล้วว่านางจางผู้นั้นร้ายกาจเพียงใด อาศัยเพียงแค่ความโกรธแค้นที่หลิวรั่วอวี้มีอยู่เต็มอกจะสามารถไปสู้รับปรบมือกับสองแม่ลูกนี่ได้จริงหรือ?
เว่ยฉางอิ๋งยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “คุณหนูสิบเอ็ดโปรดอย่างได้ฟังพี่สะใภ้ใหญ่พูดส่งเดชเชียว วานนี้ยามข้าเช็ดผมแล้วลืมปิดหน้าต่าง โดนลมโกรกทั้งคืน ปรากฏว่าเช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาก็ปวดหัว จึงนอนพักทั้งก่อนและหลังเที่ยง ปรากฏว่าคนรอบตัวก็กลับไม่คอยเป็นหูเป็นตาให้ ฮวายเฝยไปหาแล้ว พอเห็นว่าข้ายังไม่ตื่นก็ไม่กล้าเรียก จริงๆ เลยเชียว…”
นางหลิวยิ้มน้อยๆ “น้องสะใภ้สามต่อว่าท่านอาหวงต่อหน้าไปแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าก็ได้ยินท่านอาหวงอธิบายว่า ความจริงคือน้องสามรักใคร่เจ้า จึงกำชับพวกนางว่าห้ามไปรบกวนเจ้า แม้แต่น้องสามเองอยากจะอ่านหนังสือ ก็ยังตั้งใจออกไปอ่านที่ห้องหนังสือ เพื่อมิให้เสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือไปรบกวนเจ้าเอาได้! เรื่องนี้จักโทษท่านอาหวงได้ที่ใด?”
“พี่สะใภ้ใหญ่นี่จริงๆ เชียวเจ้าคะ! เมื่อครู่นี้ก็มิใช่บอกแล้วว่าไม่ให้เอ่ยเรื่องนี้นี่เจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงมีอาการไม่พอใจนางหลิว “คุณหนูสิบเอ็ดอยู่ที่นี่ด้วยนะเจ้าคะ พี่สะใภ้ใหญ่พูดเรื่องพวกนี้… แล้วจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”
หลิวรั่วเหยียยิ้มหวาน กล่าวว่า “พี่เว่ยเจ้าคะ ท่านไม่ทราบ พี่เจ็ดออกเรือนมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว ข้ายังมิเคยได้ยินว่าสามีของพี่เจ็ดจะรักใคร่นางเช่นนี้เลย ปรากฏว่าพี่เว่ย ท่านเพิ่งจะแต่งงานมาไม่กี่วัน สามีของพี่เว่ยก็รักใคร่ท่านเพียงนี้ แล้วพี่เจ็ดจักไม่แขวะท่านสักสองสามประโยคได้หรือเจ้าคะ? พี่เว่ยท่านก็อย่าได้ถือโทษพี่เจ็ดของข้าเลย สามีที่รักใคร่พี่เว่ยเช่นนี้ ข้าโตมาจนป่านนี้ก็เห็นแต่เพียงท่านพ่อของข้าเท่านั้นที่เทียบได้! อย่าว่าแต่พี่เจ็ดกระเซ้าท่านเลย แม้แต่เมื่อข้าได้ฟัง ไม่กลัวว่าพี่สาวทั้งสองท่านจะหัวเราะเยาะ ข้าก็ยังคิดว่าวันหน้าหากสามารถได้แต่งกับสามีที่เอาอกเอาใจเช่นนี้จะดีเพียงใด?”
“…” เว่ยฉางอิ่งพลันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ใบหน้าของนางหลิวยังคงมีรอยยิ้ม แต่มือกลับเริ่มสั่นน้อยๆ แล้ว… เห็นชัดว่าถูกยั่วให้โมโหไม่เบาเลย!
คำพูดนี้ของหลิวรั่วเยียก็คือการตบหน้านางหลิวชัดๆ!
ออกเรือนมาสิบกว่าปี มีทั้งบุตรและธิดา และทั้งบุตรและธิดาก็ได้รับการอบรมเสียจนผู้ใดเห็นผู้ใดรัก ทั้งยังเป็นคนดูแลเรื่องในบ้านอย่างเป็นระเบียบร้อยทุกอย่าง! ไม่ว่าจะใช้มาตรฐานใดมาเป็นเกณฑ์ นางหลิวล้วนเป็นยอดภรรยาและมารดาที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ นางยังเป็นสะใภ้ใหญ่อีกด้วย! แต่กลับกลายเป็นว่าเว่ยฉายอิ๋งผู้เป็นน้องสะใภ้ เมื่อครั้งยังไม่ทันเข้าเรือนก็ได้รับเครื่องประดับซึ่งเป็นสินติดตัวที่ล้ำค่าที่สุดของแม่สามีเป็นของกำนัล ทั้งที่ชื่อเสียงย่อยยับ แต่สามีกลับเอาสาวใช้หน้าตางดงามออกจากเรือนไปจนหมด แม้แต่สาวใช้ที่ปรนนิบัติเขามานานตั้งแต่เขายังเล็กก็มอบให้แก่ผู้อื่น ด้วยกลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเรือนหลัง! พอแต่งเข้ามาสามีก็คอยปกป้องเอาใจใส่ คอยพิจารณาทุกเรื่องเพื่อนางอย่างรอบคอบ แม้ท่านยายจะกำลังป่วยอยู่ แต่เพื่อคำพูดของนางเพียงประโยค เขาก็ยังพยายามหาหนทางให้ได้อยู่เป็นเพื่อนนางที่เรือนในวันหยุด…
เรื่องเหล่านี้ บางเรื่องเว่ยฉางอิ๋งรู้และบางเรื่องก็ไม่รู้ ทว่าความเก็บกดและความเจ็บใจที่หลั่งไหลผ่านสายตาของนางหลิวในชั่วพริบตานั้น ยังทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสะท้านใจ ในสายตาของนางก็เห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้เก่งกาจมากอยู่แล้ว เพียงดูจากเสิ่นซูจิ่งบุตรสาวคนโตที่อายุได้สิบขวบแล้ว และนางยังให้กำเนิดบุตรชายอีกคนด้วย อีกทั้งจนถึงยามนี้บ้านใหญ่ก็ยังไม่มีบุตรชายบุตรสาวของอนุยังไม่ว่า ในสถานการณ์ที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ ชื่อเสียงอันดีงามของนางหลิวล้วนเป็นที่ประจักษ์ของทุกคน… ครั้งเว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ที่เฟิ่งโจวก็เคยได้ยินฮูหยินซ่งมารดาของตนกล่าวเตือนว่า พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองของนางล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงเรื่องคุณธรรมความดี เมื่อเข้าบ้านไปแล้วจะต้องพึงระวังไว้ให้จงดี อย่าได้ไปล่วงเกินพวกนางทีเดียว!
พี่สะใภ้ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมผู้หนึ่ง ในสายตาของผู้คนล้วนนึกคิดว่าต้องเปี่ยมไปด้วยความดีงาม สะใภ้ใหม่เพิ่งจะเข้าบ้านมาผู้คนยังไม่ทันได้รู้ว่าเป็นคนเช่นใด หากมิทันไรก็ขัดแย้งกับพี่สะใภ้เสียแล้ว อย่างไรเสียก็จักต้องเป็นสะใภ้ใหม่ที่ใช้การไม่ได้!
นับแต่เข้าบ้านมา เว่ยฉางอิ๋งก็พบว่าสิ่งที่มารดาของตนเคยเตือนเอาไว้นั้นไม่ผิดเลยสักน้อย พี่สะใภ้ทั้งสองคนนี้ดูแล้วเพียบพร้อมช่างเอาใจใส่ แต่ไม่มีแม้สักคนที่จะไปหาเรื่องหาราวเอาได้ง่ายๆ! แต่ยามนี้หลิวรั่วเหยียที่ปีนี้เพิ่งจะถึงวัยปักปิ่น กลับใช้คำพูดที่ดูคล้ายเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่มายั่วยุให้พี่สะใภ้ใหญ่ที่มีชั้นเชิงลึกล้ำและใจแข็งเด็ดเดี่ยวถึงกับเสียอาการ!
ทั้งอายุ ทั้งฐานะของหลิวรั่วเหยีย และสีหน้าน้ำเสียงที่ดูไร้เดียงสาทั้งยังหัวร่อต่อกระซิกของนาง ล้วนทำให้นางหลิวเกิดอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
…ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หลิวรั่วอวี้ไม่อยู่ หากนางอยู่ ลำพังแค่ประโยคที่ว่า “สามีที่รักใคร่พี่เว่ยเช่นนี้ ข้าโตมาจนป่านนี้ก็เห็นแต่เพียงท่านพ่อของข้าเท่านั้นที่เทียบได้!” ก็สามารถแทงหลิวรั่วอวี้ไปไม่รู้กี่แผลได้อย่างสบายๆ!
เด็กสาวผู้นี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้… ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสะท้านขึ้นมาในใจ นางก็เพิ่มความระแวดระวังตัวขึ้นมาอีกสองหมื่นเท่า ลำพังแค่เพียงคำพูดนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็รู้แล้วว่า ไม่ว่าก่อนนี้นางหลิวจะมีท่าทีจริงใจกับตนเพียงใด หรือขอบคุณที่นางหวงช่วยถอนพิษให้หลิวรั่วอวี้ปานใด นับแต่วันนี้ไป ตนและนางหลิวสองพี่สะใภ้น้องสะใภ้ก็จะไม่มีวันสนิทสนมกันได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะความโกรธแค้นและริษยาที่นางหลิวแสดงออกยามนี้นั้นช่างชัดเจนเสียเหลือเกิน แม้ว่าวันหน้านางหลิวจะมาขอโทษและอธิบายกันตน แต่อย่างไรก็จักไม่มีวันอธิบายได้ชัดเจน เพราะเว่ยฉางอิ๋งก็จนปัญญาที่จะไม่จดจำเอาไว้เสีแล้ว นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาไม่ถึงหนึ่งเดือน เพิ่งจะได้พบนางหลิวกี่หนกัน? ต่อให้ใกล้ชิดเพียงใดก็ยังมีขอบเขต นางเองก็อดจะระวังตัวขึ้นมาไม่ได้!
ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดจากฝั่งของนางหลิวแล้ว วันนี้นางถูกนำมาเปรียบเทียบกับเว่ยฉางอิ๋ง และไม่ว่าเรื่องใดนางก็ด้อยกว่าเว่ยฉางอิ๋งทั้งนั้น แล้วนางจะไม่เอาคำพูดเหล่านี้จดจำไว้ในใจได้หรือ?
คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้คนที่เป็นพวกเดียวกันอย่างนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งต้องแตกหักกัน หลิวรั่วเหยียยังทำคล้ายกับมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของนางหลิว และยังพูดต่อไปอย่างมีความสุขและไร้เดียงสาว่า “แต่ทว่า พี่เจ็ดก็เป็นคนที่ชอบเก็บเรื่องต่างๆ ไว้ในใจเสมอมา ไม่แน่ว่าโดยส่วนตัวแล้วสามีของพี่เจ็ดอาจจะเอาอกเอาใจพี่เจ็ดยิ่งกว่าที่สามีพี่เว่ยเอาใจพี่เว่ยเสียอีก เพียงแต่พี่เจ็ดไม่พูดเท่านั้น… พี่เว่ย ท่านว่าพี่เจ็ดเจ้าเล่ห์เสียยิ่งนักหรือไม่ ความดีของสามีพี่เจ็ด นางกลับไม่เอ่ยถึง ยามพวกเราอยากกระเซ้านางกลับทำไม่ได้เสียนี่! จะทำได้ก็แต่เพียงถูกนางกระเซ้าเอาเท่านั้น!”
…เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าสีหน้าของนางหลิวยังไม่ผ่อนคลายลง จึงทำได้แต่ยิ้มพยายามกู้สถานการณ์ และเอ่ยกลบเกลื่อนไปว่า “ท่านพูดถูกแล้ว ข้าได้ยินว่าแต่ไรมาพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ต่างก็ดีต่อกันยิ่งนัก…”
ในใจนางอดจะถอนหายใจไม่ได้ วันนี้นางและนางหลิวต่างรู้กันในทีว่าจะมาช่วยกันพรรณนาว่าเสิ่นจั้งเฟิงดีต่อตนมากมายเช่นไรบ้าง ก็มิใช่เพื่อยั่วยุหลิวรั่วเหยียและทำให้นางเจ็บใจหรอกหรือ? เหตุใดคำพูดเพียงบางเบาของหลิวรั่วเหยียจึงทำให้นางหลิวเสียกริยาได้ถึงปานนี้?
หรือว่า… ระหว่างนางหลิวและเสิ่นจั้งลี่มีเรื่องใดไม่ชอบมาพากล?
หาไม่แล้วจากชั้นเชิงของนางหลิวก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะถูกยั่วยุได้โดยง่ายเช่นนี้นี่…
ทว่าไม่ว่าจะเป็นดังนี้หรือไม่ เว่ยฉางอิ๋งก็กระจ่างใจแล้วว่า ต่อให้หลิวรั่วอวี้จะมีนางหลิวคอยช่วยเหลืออยู่ ก็เกรงว่ายังมิใช่คู่ปรับของหลิวรั่วเหยีย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเบื้องหลังของหลิวรั่วเหยียยังมีนางจางที่คอยข่มหลิวรั่วอวี้มาตลอดชีวิต
ดูไปแล้ว หนี้แค้นที่ต้องต้องชำระกับตระกูลหลิวที่ให้ร้ายตนแต่หนก่อนนั้น อย่างไรก็ยังคงต้องลงมือด้วยตนเอง!
พี่สะใภ้ใหญ่และหลิวรั่วอวี้ทางนี้ เกรงว่าจะฝากความหวังสิ่งใดไม่ได้แล้ว
_____________________________
ตอนที่ 30 ลอกคราบ
โดย
Xiaobei
“พี่เจ็ด…” หลิวรั่วอวี้ส่งน้ำชาให้พลางกล่าวด้วยเสียงบางเบา
นางหลิวมองไปยังน้องสาวร่วมตระกูลที่นางปกป้องประหนึ่งเป็นบุตรสาวผู้นี้หนหนึ่ง เห็นใบหน้าขาวซีดของหลิวรั่วอวี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกังวล จึงอดจะสูดหายใจลึกๆ หนหนึ่งไม่ได้ นางรับน้ำชามาและดื่มหมดในคราวเดียว รวบรวมสติแล้วกล่าวว่า “ไม่เป็นไร… ก็แค่ไม่ทันได้ระวังว่านั่งสารเลวนั่นมันจะมีพิษสงร้ายกาจเช่นนี้ ทำให้คิดถึงบางเรื่องเมื่อก่อนนี้ขึ้นมา…”
“เพราะข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ได้เรื่องเกินไป ทำให้พี่เจ็ดต้องเป็นห่วงเช่นนี้” หลิวรั่วอวี้ขบริมฝีปากพลางกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ
นางหลิวมองนางด้วยความรักและสงสาร กล่าวว่า “โทษเจ้าไม่ได้ เจ้าน่ะ ก็เหมือนท่านอาสะใภ้ห้านั่นล่ะ! ใจดีนัก! จู่ๆ ยามนี้จะให้เจ้าโหดเหี้ยมขึ้นมา เจ้าปรับตัวไม่ทันก็เป็นเรื่องธรรมดา” แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อคิดว่าวันนี้ทำงานไม่สำเร็จทั้งยังถูกหลิวรั่วเหยียโต้กลับหนหนึ่ง กลับทำให้นางและเว่ยฉางอิ๋งที่รู้กันอยู่ในทีว่าเป็นพวกเดียวกันมีอันต้องแตกหัก ในใจอดจะรู้สึกเสียใจและเสียดายไม่ได้ “พลาดโอกาสนี้ไปแล้ว กลัวว่ารั่วเหยียจะไม่ยอมตกหลุมพรางอีก อีกไม่กี่วันราชโองการก็จะลงมาแล้ว และเจ้าก็ต้องกลับบ้าน… เฮ่อ เจ้าทำได้แค่ต้องระวังเอาเองแล้ว กลับไปข้าจะกำชับนางลู่ให้ดี”
นางลู่เป็นแม่นมของหลิวรั่วอวี้ เดิมทีเป็นบ่าวติดตามมารดาของหลิวรั่วอวี้ยามแต่งงาน เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยนิดที่ยังจงรักภักดีต่อหลิวรั่วอวี้หลังจากนางจางแต่งเข้าบ้าน จึงสามารถไหว้วานได้เป็นอย่างดี
ว่าแล้วหลิวรั่วอวี้ก็ฟังออกว่าที่นางหลิวกล่าวเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะยังไม่อาจวางใจในตัวนาง จึงคิดว่ากำชับนางก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ไปบอกกันนางลู่เองดีกว่า
นางอดจะขบริมฝีปากล่างไม่ได้… เมื่อนับไปแล้วหลิวรั่วเหยียยังอ่อนกว่านางสองปี วันนี้นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งร่วมมือกันจัดการนาง แต่กลับถูกนางทำให้ต้องแตกหักกันด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค และกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ ตนเองอ่อนหัดกว่าน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ในขณะที่นางกำลังใจลอยอยู่นั้น ก็มีเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก นางหลิวพลันขมวดคิ้ว ยังมิทันเรียกคนเข้ามาสอบถามสาเหตุ ประตูก็ถูกถีบให้เปิดออกเสียแล้ว สองพี่น้องมองตามไปด้วยอาการตกตะลึง กลับเห็นว่าเสิ่นจั้งลี่พุ่งตัวเข้ามาอย่างโมโหโกรธา เข้ามาได้ก็ถามทันทีว่า “วันนี้เจ้าจัดงานเลี้ยงในบ้านรึ? ท่านยายยังป่วยอยู่เจ้ารู้หรือไม่?!”
นางหลิวพลันหนักอึ้งในใจ แล้วรีบหันไปบอกหลิวรั่วอวี้ว่า “น้องสิบเจ้ากลับไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับพี่เขยเจ้า”
หลิวรั่วอวี้ลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน เมื่อเห็นว่าใบหน้าเสิ่นจั้งลี่เต็มไปด้วยโทสะ กังวลว่าเขาจะทำไม่ดีต่อนางหลิว จึงกลับไม่อยากจะออกไปในทันที แล้วถูกนางหลิวผลักออกไปสองหนจึงก้มตัวคำนับไปอย่างไม่ทันรู้สึกตัว แล้ววิ่งโซซัดโซเซออกไป… ด้วยความขลาดของนาง เดิมทีแล้วครานี้นางก็ควรจะรีบวิ่งตาลีตาลานกลับไปร้องห่มร้องไห้กับนางลู่ว่าตนเป็นกังวลเพียงใดแล้ว
แต่เมื่อนางออกมาจากประตูคราวนี้และกลับไปที่ระเบียงทางเดิน ก็เห็นว่าบ่าวไพร่ที่อยู่โดยรอบล้วนถูกเสิ่นจั้งลี่สั่งให้ออกไปหมดยามเขาเข้ามา ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาความกล้ามาแต่ทีใด นางดึงปิ่นปักผมบนหัวออกมาอันหนึ่ง แล้วค่อยๆ ย่องไปข้างหลังห้องอย่างแผ่วเบา ใช้ปิ่นแทงหน้าต่างกระดาษบานหนึ่งจนทะลุ รวบรวมสติแล้วตั้งใจฟัง…
นางคิดในใจว่า หากมิใช่เพื่อข้า เหตุใดวันนี้พี่เจ็ดต้องเชิญหลิวรั่วเหยียมา? และก็เพราะข้า พี่เจ็ดจึงคิดจัดงานเลี้ยงต้อนรับรั่วเหยีย เพื่อให้โอกาสนางลอบทำร้ายพี่เว่ย… ปรากฏว่ารั่วเหยียกลับมิได้คารวะสุราพี่เว่ยแต่อย่างใด จนตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเรื่องที่พี่เจ็ดจัดงานเลี้ยงถูกแพร่ออกไป… หากพี่ขายตำหนิพี่เจ็ดด้วยเหตุนี้ มะ…ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้อง…
ยังคิดไม่ทันจบ กลับได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากภายในห้อง แต่กลับมิได้รุนแรงเหมือนที่นางคาดเอาไว้
เสิ่นจั้งลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไยเจ้าจึงเลาะเลือนเช่นนี้? ท่านยายยังป่วยอยู่ เจ้าเชิญน้องสาวมาพบปะที่จวนก็ไม่เป็นไร ตั้งโต๊ะเลี้ยงอาหาร จักให้พรั่งพร้อมสักหน่อยก็ดี ไยต้องมีสุราด้วย? เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อครู่นี้ข้าถูกรถม้าของบ้านหลิวรั้งไว้ระหว่างทาง น้องสิบเอ็ดของเจ้าผู้นั้นมาขอบคุณข้าผ่านม่านรถ บอกว่าสุราลิ้นจี่เขียวที่เจ้านำมาต้อนรับนางนั้นไม่เลวเลย?”
นางหลิวยิ้มเจื่อนๆ “ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า ที่วันนี้นำสุรามาต้อนรับนางก็มีเหตุผล ปีนี้สุขภาพของน้องสิบนับวันจะยิ่งย่ำแย่ลง เดิมทีนึกว่าเพราะนางเป็นกังวลเกินไป แต่กลับไม่คิดว่าเมื่อสองวันก่อนพอเชิญท่านอาหวงคนข้างกายของน้องสะใภ้สามมาตรวจดูอาการให้ ก็พบว่าที่แท้แล้วนางโดนพิษ! คนที่ลงมือก็คือนางจาง!”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง?” เสิ่นจั้งลี่ดูคล้ายจะตกใจ จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “หรือว่าจักต้องวางยาลงในสุราให้จงได้? เจ้ากับน้องสิบเอ็ดไม่ถูกกัน นางจะต้องพูดจาส่งเดชไปทั่ว เจ้าไม่คิดถึงเรื่องนี้หรือไร?”
นางหลิวหัวเราะเยาะหนหนึ่ง แล้วพูดอย่างคาดการณ์ไว้แล้วว่า “เขาก็เพียงบอกกับเจ้าเท่านั้น นางและนางจางแม่ของนาง ยามนี้ร่วมใจกันวางแผนจะให้น้องสิบแต่งเข้าตำหนักตะวันออกอยู่นะ! ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากมีเสียงร่ำลือออกไปว่าข้าไม่กตัญญู แล้วตระกูลหลิวจะมีพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างไร? นางบอกกับเจ้าก็เพื่อให้เจ้ากลับมาตำหนิข้า หากพวกเราทะเลาะกันขึ้นมาได้เป็นดีที่สุดและนางจะยิ่งดีใจ หากเป็นผู้อื่น ต่อให้ไปถามนาง นางก็จะไม่ยอมรับหรอก เพราะอย่างไรตนเองก็เป็นบุตรสาวตระกูลหลิว หากบุตรสาวตระกูลหลิวถูกผู้คนครหานินทาว่าไม่กตัญญูไม่มีคุณธรรม แล้วจะมีผลดีใดต่อนางที่ใด? แม้นางจะอายุยังน้อย ทว่าแต่ไหนแต่ไรมา นางกลับเข้าใจหลักการต่างๆ ดียิ่งนัก”
เสิ่นจั้งลี่แค่นเสียงกล่าว “อายุน้อยๆ เจ้าเล่ห์นับร้อย! คนมีจิตใจไม่ดีงามประเภทนี้ วันหน้าอย่าได้เรียกนางมาอีก หาไม่แล้วจะสอนให้ลูกสาวเราเสียคนหมด!”
“ข้าจักให้นางเข้าใกล้จิ่งเอ๋อร์ได้อย่างไร?” นางหลิวรีบอธิบายว่า “ที่นางมาในวันนี้ ข้าก็สั่งให้จิ่งเอ๋อร์พาพวกน้องๆ ไปเล่นกันในสวนแล้ว”
“นางจางผู้นั้นใจร้ายกับลูกเลี้ยงของตน ทั้งบุตรสาวนางก็ยังเจ้าเล่ห์” เสิ่นจั้งลี่กล่าวว่า “ความคิดอ่านของสองแม่ลูกนี้ล้ำลึกนัก คนเช่นนี้ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ เกรงว่าจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่ หากยังคบหากับพวกนาง ต่อให้ระวังตัวเพียงใด ก็ยากจะไม่ต้องรับเคราะห์ไปกับพวกนาง อย่างไรก็ตาม ต่อไปเจ้าไปมาหาสู่กับครอบครัวท่านอาห้าของเจ้าให้น้อยๆ สักหน่อยเป็นดีที่สุด!”
หลิวรั่วอวี้ที่อยู่นอกหน้าต่างได้ยินว่าพี่เขยของตนรังเกียจ ก็อดจะอายจนหน้าแดงก่ำขึ้นมาไม่ได้ ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะฟังต่อไปดีหรือไม่ ก็ได้ยินนางหลิวบอกว่า “ก่อนนี้คิดแค่เพียงว่าแม้รั่วเหยียจะเอาอย่างมารดาของนาง จึงได้มีความคิดอ่านที่ไม่ถูกต้อง แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะปากดีถึงปานนี้ ต่อไปจะไม่ให้นางมาแล้ว ส่วนนางจางยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แต่รั่วอวี้ไม่เหมือนกับพวกนาง… เด็กคนนี้ เจ้าเองก็นับว่าเห็นนางเติบโตมา หาได้มีเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนเช่นสองแม่ลูกนั่นไม่ นางเป็นเด็กที่มีจิตใจดีงาม เสียดายก็แต่…”
เสิ่นจั้งลี่เอ่ยขัดนางขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “จิตใจดีงามที่ใดกัน? ก็แค่พูดให้น่าฟังสักหน่อยเท่านั้น เด็กคนนี้ใช้การสิ่งใดไม่ได้เลยสักอย่าง! เจ้าปฏิบัติกับนางต่างกับที่เราปฏิบัติต่อจิ่งเอ๋อร์ที่ใด? ตลอดหลายปีมานี้ เจ้าดูสิ นางจะมีราศีได้เท่ากับจิ่งเอ๋อร์ของเราสักนิดก็หาไม่! แต่เพราะนางเป็นน้องสาวเจ้า ข้าจึงพูดลำบาก หากจั้งหนิงเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะใช้กฎของตระกูลปลุกนางให้ได้สติขึ้นมาเสียตั้งนานแล้ว! เจ้าเอาแต่บอกว่าแต่แรกนั้นหากมิใช่ว่าท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้าผู้นั้นไปช่วยเจ้า นางก็จะไม่ต้องถูกรังแกมากมายถึงเพียงนี้ แต่ข้ากลับเห็นว่าต่อให้ท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้ายังอยู่ นางก็จะไม่ดีไปกว่านี้ได้สักเท่าใด!”
นางหลิวอดจะคับแค้นใจแทนน้องสาวไม่ได้ “หากไม่ได้ถูกรังแกมากมายถึงเพียงนี้ ถูกนางจางนั่นข่มเหงอย่างสาหัส แล้วนางจะกลายเป็นคนอ่อนแอเช่นนี้หรือ? หากท่านอาสะใภ้ห้ายังอยู่ และคอยปกป้องนางเสมือนมุกในฝ่ามือ แล้วนางยังจะไม่มีราศีอย่างคุณหนูตระกูลใหญ่สักหน่อยหรือ?”
“เจ้าลองดูน้องสะใภ้สาม” เสิ่นจั้งลี่ยิ้มเยาะ “ข่าวลือเมื่อปีก่อนลือกันไปเสียจนคนทั้งบ้านเราแทบไม่กล้าออกจากบ้าน! ได้ยินว่าทางเฟิ่งโจวนั้น ป้าของนางนำผ้าขาวผืนยาวไปมอบต่อหน้านาง! ปรากฏว่าจนยามนี้นางกลับยังอยู่ดีมีสุข? เจ้าดูสินับแต่นางแต่งเข้ามาก็ล้วนยิ้มแย้มต้อนรับผู้คน มีท่าทางหดหู่เป็นทุกข์สักน้อยหรือไม่? ตอนแรกมิใช่เจ้าเองก็ยังพึมพำว่าได้มาเป็นสะใภ้ร่วมกับคนเช่นนี้ทำให้ไม่มีหน้าไปพบปะผู้คน แต่ยามนี้นางเรียกเจ้าว่าพี่สะใภ้ เจ้าจักไม่รับได้หรือ? หากไม่รับ ท่านแม่และน้องสามจักไม่มาจัดการเจ้าได้หรือ? ยืนหยัดด้วยตนเอง ต่อให้ผู้อื่นจะเกลียดชังปานใดก็ทำสิ่งใดไม่ได้ หากตนไม่ยืนหยัด ต่อให้ผู้อื่นประคับประคองปานใดก็ทำได้แค่ช่วยต่อลมหายใจให้อีกน้อยนิดเท่านั้น… ข้าจักเตือนเจ้าคำหนึ่ง น้องสิบของเจ้าผู้นี้หากยังคงอ่อนแอขี้ขลาดอยู่เช่นนี้เรื่อยไป ต่อให้เจ้าเลี้ยงนางให้เหมือนกับจิ่งเอ๋อร์สิบคนก็ไร้ประโยชน์!”
“…” ผ่านไปพักใหญ่นางหลิวก็ยังพูดสิ่งใดไม่ออก
หลิวรั่วอวี้ปิดปากตนไว้สุดแรง ปิ่นทองที่กำไว้ในมือพลันมีเลือดสดๆ ไหลลงมา แต่นางกลับไม่รู้สึกเลยสักน้อย… และไม่รู้ว่านางกลับมาถึงห้องที่นางหลิวจัดไว้ให้นางได้อย่างไร นางลู่นั่งเย็บผ้าอยู่ที่หน้าประตูเพียงลำพัง เมื่อเห็นคุณหนูบ้านตนมีน้ำตานองหน้า วิ่งโชซัดโซเซกลับมา จึงรีบวางเข็มกับด้ายลุกขึ้นมาต้อนรับ “คุณหนู…”
“เชอะ!” ไม่คิดว่าหลิวรั่วอวี้ที่เป็นคนอ่อนโยนมาโดยตลอดกลับวิ่งปรี่เข้าห้องไป แล้วก็ปิดประตูเข้าอย่างแรงจนเกือบจะโดนหน้านางลู่!
นางลู่ตกตะลึงเป็นนักหนา เอามือทาบประตูอยากจะผลักเข้าไปแต่กลับพบว่าประตูลงกลอนไว้เสียแล้ว คิดอยากจะร้องเรียกแต่กลับได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าแต่กลับพยายามจะสะกดกลั้นเอาไว้ดังออกมาหนแล้วหนเล่า นางจึงอดจะสงสัยเต็มหัวใจไม่ได้ว่า ‘มิใช่คุณหนูไปคุยธุระกับคุณหนูเจ็ดหรอกหรือ? แล้วเหตุใดจึงกลับมาในสภาพนี้? หรือว่า…หรือว่าถูกคุณหนูเจ็ดต่อว่าเอา?’
นางพลันกลัดกลุ้มขึ้นมา ‘แต่ไรมาคุณหนูก็ตัวคนเดียวไม่มีพี่น้องคอยช่วยเหลือ นางจางก็มองคุณหนูเป็นหอกข้างแคร่คอยทิ่มตำ ส่วนนายท่านนั้นก็เชื่อแต่คำนางจางมาโดยตลอด หาได้รักใคร่คุณหนูไม่! แต่ไรมาก็มีเพียงคุณหนูเจ็ดที่คอยคิดถึงบุญคุณของฮูหยินถึงได้… หากวันนี้แม้แต่คุณหนูเจ็ดก็ยังไม่พอใจคุณหนูเสียแล้ว แล้วจักทำเช่นใดดี?’
นางลู่คิดจะเคาะประตูเรียกหลิวรั่วอวี้ออกมาสอบถามให้ชัดเจน แต่เมื่อนึกย้อนกลับมาก็คิดได้ว่าคุณหนูที่นางคอยดูแลมาจนโตผู้นี้แม้จะถูกแม่เลี้ยงข่มเหงรังแกก็ยังไม่เคยมีอารมณ์ใดๆ แต่ยามนี้ร้องห่มร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจอยู่ข้างใน หากยังไปรับกวนนางก็เกรงว่าจะยิ่งทำให้หลิวรั่วอวี้รับไม่ไหว นางลู่อดน้ำตาร่วงไม่ได้ พึมพำไปว่า “คุณหนูผู้น่าสงสาร!”
นางเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูไม่กล้าเข้าไปและไม่กล้าสอบถาม ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ก็ไม่เห็นว่าเสียงร้องไห้ข้างในจะหยุดลงเสียที นางลู่จึงร้อนรนยิ่งนัก เดินวนเวียนไปมาที่หน้าประตู ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
กำลังคิดว่าจะลองเสี่ยงไปหานางหลิวดูสักหนหรือไม่ ที่สุดเสียงร้องไห้ก็หยุดลง… จากนั้นไมกี่อึดใจ ประตูก็เปิดออกแล้ว หลิวรั่วอวี้ที่อยู่ภายในเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านอา รบกวนท่านตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้าแปรงผมสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ!” นางลู่ถอนหายใจยาวๆ พลางแอบขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ แล้วจึงไปตักน้ำมา
เมื่อยกน้ำเข้าประตู ก็เห็นหลิวรั่วอวี้นั่งอยู่ที่ข้างตั่งนอนพร้อมกับดวงตาที่บวมแดงทั้งคู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ส่วนเสื้อผ้าผ่านการจัดแจงมาแล้วจึงเรียบร้อยดี มีผ้าพันที่มือขวาอย่างลวกๆ ดูคล้ายมีรอยเลือด แต่สิ่งที่ทำให้นางลู่ประหลาดใจก็คือ สีหน้าของหลิวรั่วอวี้นั้นเย็นยะเยือกเป็นที่สุด นางไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณหนูบ้านตนมาก่อนเลย… มิใช่ว่าตลอดมาคุณหนูเป็นคนอ่อนแอ ใบหน้าซีดขาว และเงียบๆ ไม่พูดจาหรอกหรือ? คุณหนูเจ็ดพูดสิ่งใดกับคุณหนูสิบกันแน่ จึงทำให้หลังจากคุณหนูสิบร้องไห้หนัก แล้วกลับกลายเป็นคนละคนเช่นนี้?
นางลู่บิดน้ำออกจากผ้าและส่งให้นางด้วยความสงสัย เดิมทีคิดจะลองถามดูว่าสีหน้าที่ไม่ปกติของหลิวรั่วอวี้นี้เป็นเพราะบาดแผลที่มือหรือไม่ นางยังคิดไม่ทันจบ หลิวรั่วอวี้รับผ้ามาและกดไว้บนหน้าอยู่พักใหญ่จึงเอาลงมา จู่ก็ถามว่า “กุ้ยหว่า กับเยวี่ยหว่าเล่า?”
กุ้ยหว่าและเยวี่ยหว่าเป็นคนที่นางจางส่งมาให้รับใช้หลิวรั่วอวี้ จึงมีนางจางคอยถือหางอยู่ ทั้งหลิวรั่วอวี้ยังเป็นคนมีนิสัยเชื่องช้า พวกนางจึงมักจะเพิกเฉยต่อหลิวรั่วอวี้ ในนามแล้วพวกนางเป็นสาวใช้ของหลิวรั่วอวี้ แต่ความจริงแล้วทุกเรื่องล้วนผลักภาระมาให้นางลู่เป็นคนทำ วันๆ เอาแต่คอยขโมยกินขโมยของเล็กๆ น้อยๆ ของคุณหนูหลิวรั่วอวี้ผู้นี้ เวลาว่างๆ ไม่มีสิ่งใดทำก็ยังชอบเอาเรื่องต่างๆ ไปฟ้องนางจาง ให้นางจางมีข้ออ้างไปหาเรื่องหาราวลูกเลี้ยง
แม้จะมาที่บ้านเสิ่น ยามมีนางหลิวอยู่พวกนางไม่อาจแสร้งทำเป็นหางานทำสักเล็กน้อย แต่ยามไม่ได้อยู่ต่อหน้านางหลิวก็พากันวิ่งออกไปแอบอู้งาน เช่นวันนี้ก็มีเพียงนางลู่ผู้เดียวอยู่ที่หน้าประตู ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าพวกนางคงจะไปหลบอยู่ที่มุมใดสักมุมหนึ่ง
เรื่องนี้ทั้งนางลู่และหลิวรั่วอวี้ล้วนรู้อยู่เต็มอก แต่ด้วยความหวาดกลัวนางจาง ตลอดมาจึงไม่เคยพูดไม่เคยเอ่ยถึงและปล่อยพวกนางไป แต่ยามนี้จู่ๆ หลิวรั่วอวี้ก็เอ่ยถามขึ้นมา นางลู่จึงอดประหลาดใจไม่ได้ “พวกนาง…” ในขณะที่กำลังคิดว่าจะบอกอย่างไรจึงจะไม่ทำให้หลิวรั่วอวี้เสียหน้าอยู่นั้น ก็ได้ยินหลิวรั่วอวี้กล่าวอย่างเย็นชาว่า “บอกว่าเป็นสาวใช้ของข้า แต่ทั้งวันกลับไม่เห็นหัว! ข้าว่าพวกนางก็อายุมากแล้วคงจะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ในเมื่อเป็นคนของท่านแม่ จึงไม่ควรให้ล่วงเลยวัยสาวของพวกนางไปเปล่าๆ! หลายวันก่อนคล้ายได้ยินว่าพ่อบ้านหลินที่เรือนนอกกำลังอยากจะหาสะใภ้ดีๆ ให้บุตรชายของเขามิใช่รึ? พ่อบ้านหลินเป็นบ่าวสูงวัยของบ้านเรา หากจะบอกว่าเขาเคยทำงานลำบากและมีคุณงามความดีก็คงไม่เกินไป ข้าว่าก็ยกพวกนางให้แก่บุตรชายพ่อบ้านหลินไปเสียทั้งหมดดีกว่า!”
นางลู่ตกตะลึงไปเป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “บุตรชายของพ่อบ้านหลินนั้น…ออกจะเป็นคนเลาะเลือนนะเจ้าคะ?” เลอะเลือนเช่นใด? พ่อบ้านหลินเคยเป็นเด็กรับใช้ของนายท่านห้า บิดาของหลิวรั่วอวี้มาแต่เล็กจนโต หลังจากแต่งงานแล้วก็มาเป็นพ่อบ้าน และกุมอำนาจมาจนถึงปัจจุบัน ได้รับความเชื่อใจจากนายท่านห้าตระกูลหลิวเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่นางจางก็ยังเกรงอกเกรงใจเขายิ่ง
พ่อบ้านหลินผู้นี้มีบุตรธิดาทั้งหมดสี่คน สามคนแรกล้วนเป็นหญิง กว่าจะได้บุตรชายมา ก็ยังต้องแลกมาด้วยชีวิตของภรรยา! บุตรชายที่มิใช่ได้มาง่ายๆ เช่นนี้ พ่อบ้านหลินย่อมจะทะนุถนอมรักใคร่เขาเป็นนักหนา แต่แล้วบุตรชายผู้นี้กลับบุญน้อยนัก ด้วยอาการไข้หนักหนหนึ่งตอนอายุสามขวบ พ่อบ้านหลินคุกเข่าขอร้องต่อนายท่านห้าตระกูลหลิวให้ออกหน้าไปเชิญแพทย์หลวงมารักษาที่จวน ทว่าแม้จะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่สติปัญญากลับหยุดอยู่ที่อายุสามขวบ
ไม่เพียงเท่านั้น แม้บุตรชายสกุลหลินผู้นี้จะไม่รู้ความก็ส่วนไม่รู้ความ แต่ร่างกายกลับแข็งแรงกำยำ มีเรี่ยวแรงมหาศาล… เขาชอบตีคนนัก ชอบตีจนถึงขึ้นที่เมื่อสองปีก่อน ภรรยาที่บ้านฝั่งแม่ของเขาขืนเอาบุตรสาวของตนแต่งเข้าบ้านมาด้วยเห็นแก่สินสอดทองหมั้นถูกเขาตีจนตายไปสามคน เคราะห์ดีที่ในเมื่อบ้านทั้งสามบ้านนั้นกล้าทำเรื่องขายลูกสาวกินออกมาได้ เมื่อได้รับเงินทองจากพ่อบ้านหลินไปแล้วเรื่องก็เงียบลง แม้ว่าจะเป็นถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้พ่อบ้านหลินก็ยังคงคิดจะหากภรรยาให้แก่เขาต่อไปเพื่อจะได้มีคนจุดธูปเทียนกราบไหว้ให้สกุลหลิน แต่กลับไม่มีใครตกปากรับคำ… แม้ผู้เป็นพ่อแม่จะไม่คำนึงถึงความเป็นตายของลูกสาว แต่คนเป็นลูกสาวก็ยอมผูกคอตายในบ้านเสียดีกว่าจะถูกตีตายทั้งเป็นๆ เมื่อแต่งเข้าบ้านไปแล้ว…
ยามนี้หลิวรั่วอวี้จะมอบกุ้ยหว่ากับเยวี่ยหว่าให้เขาไป ก็เท่ากับคิดจะให้พวกนางไปตาย แม่นางลู่จะไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูบ้านตนจู่ๆ ก็กลายเป็นคนจิตใจโหดร้านเช่นนี้ แต่ด้วยความหวาดกลัวนางจาง จึงยังบอกไปว่า “เกรงว่าบุตรชายของพ่อบ้านหลินจะไม่ใคร่เหมาะสักเท่าใดนะเจ้าคะ”
หลิวรั่วอวี้กลับหัวเราะหยันว่า “มีเรื่องใดไม่เหมาะ? ก็เพราะว่าบุตรชายคนเล็กของพ่อบ้านหลินมีปัญญาไม่สมประกอบ ลำพังแค่ภรรยาคนเดียวจะพอดูแลเขาได้อย่างไร? หากมีสองคนก็จะทำให้พ่อบ้านหลินวางใจได้สักหน่อย จักได้ตั้งใจทำงานให้ท่านพ่อยิ่งกว่าเก่า! อีกประการกุ้ยหว่าและเยวี่ยหว่าเอาแต่วิ่งไปข้างนอกทั้งวัน จิตใจเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว หากยังขืนอยู่ข้างกายข้าก็ไม่ยุติธรรมกับพวกนาง มิใช่หรือ?”
นางลู่ยิ้มเจื่อน เหตุใดจึงบอกว่าสองคนแล้วจักทำให้พ่อบ้านหลินวางใจได้สักหน่อย? นางลู่เคยเห็นมากับตายามที่บุตรชายพ่อบ้านหลินผู้นั้นคลุ้งคลั่ง เพียงหมัดเดียวก็สามารถทำให้ท่อนไม้ที่หนาเท่าปากชามหักเอาได้ง่ายๆ เพียงอึดใจเดียวชกจนหักไปเจ็ดแปดท่อนเขาก็ยังไม่หอบเลยแม้แต่น้อย… ที่คุณหนูเท่าเช่นนี้เพราะกลัวว่ากุ้ยหว่าและเยวี่ยหว่าเพียงคนเดียวจะไม่พอให้บุตรชายพ่อบ้านหลิวผู้นั้นตีตายเสียมากกว่า?
“ตกลงตามนี้ ท่านอา ท่านอย่าเพิ่งพูดสิ่งใด รกจนพวกเรากลับไปก่อน แล้วก็เอาคนไปส่งที่พ่อบ้านหลินทางนั้น แล้วพวกเราจึงค่อยกลับบ้าน!” หลิวรั่วอวี้เอาผ้าเช็ดหน้าทิ้งลงในอ่านน้ำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ก็เป็นคนเหมือนๆ กัน แล้วถือดีอย่างไรที่ผู้อื่นทำได้ แล้วข้าจะทำไม่ได้… ท่านอา ท่านว่า ใช่หรือไม่?”
นางลู่จ้องมองนางอย่างตกตะลึง อยากจะพูดบางสิ่ง แต่หลิวรั่วอวี้กลับดึงมุ้งลงมาปิดตั่งนอนไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ท่านอาออกไปก่อนเถิด”
_________________________________
ตอนที่ 31 ต่อกร (1)
โดย
Xiaobei
“วันนี้ตอนกลางวันพวกเราไปที่บ้านใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้วต้องดื่มชากัน แต่ไยจึงกลายเป็นสุราลิ้นจี่เขียวไปได้? ระยะนี้ท่านยายสุขภาพไม่ใคร่ดี ทุกคนในบ้านเรามีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้? พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนรอบคอบเพียงนั้น แต่เหตุใดจึงทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ได้? สองวันก่อนพี่สะใภ้ใหญ่ยังบอกว่าหากไม่ใช่เพราะต้องดูแลบ้าน ก็อยากจะไปดูแลท่านยายที่จวนตระกูลซูเสียตั้งนานแล้ว… กลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดเสียนี่” เว่ยฉางอิ๋งสั่งกับฉินเกอว่า “เจ้าไปที่เรือนซินอี๋และบอกกับพี่ใหญ่สักหน่อย ว่าคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวอาจไม่รู้ว่าท่านยายกำลังป่วยอยู่ จึงเอ่ยล้อเล่นกับพี่ใหญ่เท่านั้น พี่ใหญ่โปรดอย่าได้เข้าใจผิดแต่อย่างใด!”
ฉินเกอเข้าใจ คำนับหนหนึ่ง รับคำสั่งแล้วออกไป
เว่ยฉางอิ๋งมองเยี่ยนเกอหนหนึ่ง รอจนเยียนเกอเข้าใจและออกไปเฝ้านอกประตู จึงหันหน้ากลับมาถามนางหวงว่า “ท่านอามองหลิวรั่วเหยียเป็นเช่นไร?”
“เป็นผู้ที่ใจคอล้ำลึกยากหยั่งถึงเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มอ่อนๆ “ข้าน้อยอยู่ที่เมืองหลวงมาก็หลายปี ล้วนได้ยินได้ฟังเรื่องของคุณหนูบ้านต่างๆ มาทั้งนั้น คุณหนูสิบเอ็ดผู้นี้เริ่มจะมีชื่อเสียงในบรรดาตระกูลต่างๆ เมื่อสามปีที่แล้ว ทว่าก็เป็นแค่คำชมเชยทั่วๆ ไป อย่างเช่นว่าเป็นผู้ที่งดงามเรียบร้อย จิตใจดีงาม… คุณหนูบ้านใดขอเพียงมีญาติผู้ใหญ่เดินไปมาอยู่ข้างนอก ในงานต่างๆ มีหรือจะไม่ถูกชมเชยด้วยถ้อยคำเช่นนี้? ไม่คิดว่าคุณหนูหลิวสิบเอ็ดผู้นี้เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ผู้หนึ่ง มิน่าเล่าคุณหนูหลิวสิบจึงได้มีท่าทีขลาดกลัวเช่นนั้น ดูบุตรสาวรู้จักมารดา เห็นได้ว่านางจางร้ายกาจเพียงใด นางจางซึ่งร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีฐานะเป็นแม่เลี้ยง ใช้หลักการเรื่องกตัญญูมากดเอาไว้ หากคุณหนูหลิวสิบอยากจะพลิกขยับตัวก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ เจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “ก่อนนี้ข้าเคยคิดมาหลายครั้งหลายหนว่าหลิวรั่วเหยียผู้นี้เป็นคนเช่นใดกัน จนเมื่อได้พบวันนี้ จึงพบว่าก่อนนี้ล้วนคิดผิดมาตลอด พวกเราประเมินนางต่ำเกินไปแล้ว… แม้เฟิ่งโจวก็นับได้ว่าเป็นมณฑล แต่หากเทียบกับเมืองหลวงก็เป็นเพียงดินแดนเล็กๆ เท่านั้น ปรากฏว่าผู้เป็นเลิศสร้างชื่อแก่ดินแดน คุณหนูผู้นี้อายุน้อยกว่าข้าสามปีเต็ม แต่กลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ ข้านึกย้อนกลับไปตอนข้าอายุสิบห้ายังห่างไกลกับนางลิบลับเชียว!”
นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “กล่าวกันว่าคนฉลาดมักถูกความฉลาดย้อนมาเล่นงาน เมื่อคนฉลาดเกินไปก็หาใช่เป็นเรื่องดี ว่ากันให้ถ้วนถี่แล้วบุญวาสนาถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฮูหยินน้อยก็เป็นผู้มีบุญวาสนา ผู้ใดก็คิดร้ายไม่ได้เจ้าค่ะ!”
“ท่านอานี่ช่างชอบเอาใจ…” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากยิ้ม คำพูดของนางหวงเป็นการปลอบโยนแต่นางกลับใช้คำว่าบุญวาสนา ทั้งยังบอกว่าความฉลาดก็มิใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีทั้งหมด ความจริงแล้วก็ยังมิใช่เป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่าสิ่งที่ตนเอ่ยก่อนหน้านี้ว่ายามตนอายุสิบห้ายังห่างไกลกับหลิวรั่วเหยียผู้นี้นัก? อย่าว่าแต่สิบห้าปีเลย หากมิใช่ว่าถูกขัดเกลาหนแล้วหนเล่าจากเรื่องใหญ่เมื่อปีที่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งเองรู้สึกว่า จนยามนี้ก็เกรงว่าตนยังเทียบกับคุณหนูหลิวผู้นี้ไม่เลยเสียด้วยซ้ำ!
…ด้วยเหตุที่นางหลิวเสียกริยาก่อนหน้านี้ หลิวรั่วเหยียไม่ทันได้พูดสิ่งใดอีก ก็รีบอ้างว่าตนมานานแล้วจึงคิดจะกลับ ทั้งยังแสดงอาการ ‘เป็นห่วง’ ที่นางหลิวมีสีหน้าไม่สู้ดี แล้วถามถึงสุขภาพของนางไปด้วยท่าทีจอมปลอมยิ่ง และเป็นฝ่ายบอกเองว่าไม่ต้องให้นางหลิวไปส่ง เว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่นั่นด้วย จึงย่อมต้องไปส่งนางแทนนางหลิวสักสองสามก้าว ขณะนั้นนางหลิวกำลังจิตใจวุ่นวายสับสน จนแทบจะปิดบังต่อไปอีกไม่ได้แล้ว…จึงตอบตกลงพวกนางไปเรื่อยเปื่อย
เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องเดินไปส่งหลิวรั่วเหยียออกไปจากเรือนซินอี๋ หลิวรั่วเหยียยิ้มร่าเอ่ยถามเว่ยฉางอิ๋งว่า “พี่เว่ยท่านรู้ที่มาของนามของเรือนซินอี๋หรือไม่เจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งนึกว่านางเพียงหาเรื่องมาสนทนากับตน เมื่อคิดถึงเรือนจินถงที่ตนเองอยู่ จึงตอบไปลอยๆ ว่า “หรือเพราะพี่สะใภ้ใหญ่ชอบดอกซินอี๋?”
ปรากฏว่าหลิวรั่วอวี้พลันยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากพี่เจ็ดชอบดอกซินอี๋ แล้วในเรือนซินอี๋แห่งนี้ไยจึงไม่มีต้นซินอี๋สักต้นเล่าเจ้าคะ? ได้ยินมาว่าเป็นสามีของพี่เจ็ดยืนกรานจะใช้นามว่าเรือนซินอี๋เจ้าค่ะ ตอนแรกท่านป้ารองของข้ายังมาคุยเรื่องนี้กับฮูหยินซูที่จวนเป็นการเฉพาะ เพียงแต่สามีของพี่เจ็ดไม่ยอมถอยให้ พวกผู้ใหญ่จึงจนปัญญา”
เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว พลันนึกถึงท่าทีอดรนทนไม่ไหวอย่างเหลือเกินของนางหลิวในวันนี้… คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับนามของเรือนซินอี๋ นางหาได้ต้องการให้หลิวรั่วเหยียสบโอกาสนินทาบ้านใหญ่กับนาง อย่างไรก็ดีหลิวรั่วเหยียก็เป็นเพียงแขก หากนางพูดเรื่องต่างๆ ของบ้านใหญ่ อย่างมากวันหน้านางก็จะไม่ได้รับการต้อนรับจากบ้านเสิ่นอีก ด้วยเดิมทีนางหลิวคอยปกป้องหลิวรั่วอวี้ ก็ย่อมต้องไม่ชอบนางมากอยู่แล้ว
แต่เว่ยฉางอิ๋งเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่น ก่อนจะออกเรือนเว่ยเจิ้งหงบิดาของนางสอนสั่งว่า “ระวังกริยาวาจา เรื่องในบ้าน ห้ามเล่าสู่ภายนอก เรื่องไร้สาระภายนอก จงอย่านำเข้าบ้าน! ทุกคำพูดทุกการกระทำ จำไว้ให้จงดีว่า อย่าได้ขัดต่อขนมธรรมเนียมของตระกูลเว่ยของเรา!” คำสอนเสมือนยังดังอยู่ข้างหู แล้วจักยอมให้โอกาสหลิวรั่วเหยียพูดต่อไปได้ที่ใดกัน? จึงได้เบี่ยงเบนประเด็นสนทนาไปเสีย “ดอกเหมยเล็กๆ ที่ปักอยู่บนเสื้อของคุณหนูสิบเอ็ดช่างดูพิเศษจริงๆ”
“ดอกเหมยนี้ยังเป็นตอนที่ข้าได้ยินเรื่องที่พี่เว่ยสังหารศัตรูด้วยความห้าวหาญจึงสั่งให้คนไปปักออกมาเป็นพิเศษเชียวนะเจ้าคะ!” หลิวรั่วเหยียกลับสนทนาไปตามหัวข้อของนาง ว่าแล้วยังกล่าวไปถึงตัวเว่ยฉางอิ๋งเสียอีก นางยื่นมือไปลูบลายดอกไม้ปักบนแขนเสื้อ มุมปากค่อยๆ โค้งขึ้น กล่าวว่า “สัตย์ซื่อแน่วแน่ไม่ย่อท้อ ท้าหิมะรับน้ำค้าง… แม้ข้าจะเป็นหญิงอ่อนแอที่สองมือไร้เรี่ยวแรง แต่วันหน้าก็อยากจะเป็นเช่นพี่เว่ย ที่วันหนึ่งสามารถจับกระบี่สังหารศัตรู พิทักษ์ดินแดนต้าเว่ยของเรา!”
“…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปพักหนึ่ง จึงยิ้มและเอ่ยชมว่า “แม้คุณหนูสิบเอ็ดจะมีกายเป็นหญิงแต่กลับมีความกล้าหาญ ไม่เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป” นี่กลับมิใช่เป็นการดูแคลนหลิวรั่วเหยีย แต่แม้ว่าหลิวรั่วเหยียจะไม่ได้มีร่างกายอ่อนแอเช่นหลิวรั่วอวี้ แต่อย่างไรก็เป็นหญิงงามที่ดูมีสง่าราศีเท่านั้น หาได้เหมือนกับวีรสตรีห้าวหาญแม้แต่น้อย เด็กสาวตัวน้อยๆ คนหนึ่งที่มีลักษณะเช่นนี้จู่ๆ มาบอกว่าจะพิทักษ์ดินแดนต้าเว่ย หากเป็นพวกพี่สาวน้องสาวของนาง เช่นเว่ยฉางเอ๋อซึ่งเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดีมาโดยตลอดพูดออกมาเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งจะต้องหัวเราะลั่นออกมาและกระเซ้านางเป็นแน่
แต่ยามนี้เพราะมิได้สนิทสนมกับหลิวรั่วเหยีย นางจึงพยายามให้ท่าทีของตนจริงจังขึงขึงให้มากที่สุด
หลิวรั่วเหยียหันหน้ามายิ้มให้นาง แล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าที่พี่เว่ยกล่าวเช่นนี้ ความจริงแล้วไม่ใคร่เชื่อที่ข้าพูด”
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จนแทบจะคิดไปว่าที่แท้หลิวรั่วเหยียก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ซุกซนผู้หนึ่งเท่านั้น จึงแสร้งกล่าวไปด้วยท่าทีแสดงความนับถือว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“แต่เล็กมาข้ามักได้ยินท่าพ่อเล่าถึงเรื่องราวในบ้านเกิด ว่าตงหูนั้นมีอากาศหนาวเหน็บเหลือแสน ทั้งยังมีอาณาเขตติดกับเป่ยหรง ผู้คนจึงคล่องแคล่วและห้าวหาญ… ผู้ที่ไม่คล่องแคล่วห้าวหาญก็จักมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้” หลิวรั่วเหยียยื่นนิ้วมือมาลูบปาก แล้วพรรณนาออกมาช้าๆ “ท่านพอมักบอกว่าพวกเราพี่น้องเกิดและเติบโตในเมืองหลวง มิได้ต้องลมหิมะของตงหูมาก่อน นับไม่ได้ว่าเป็นคนตระกูลหลิวที่แท้จริง… เมื่อนับย้อนกลับไปหลายร้อยปีบรรพบุรุษตระกูลหลิวของข้าเดิมทีมีบ้านเดิมอยู่ที่ตงหู ด้วยทนเห็นอาณาเขตถูกพวกหรงรุกรานไม่ได้ จึงพากันขายทรัพย์สมบัติภายในบ้านรวบรวมคนหนุ่มมาปกปักษ์รักษาดินแดนบ้านเกิด ภายหลังจึงค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมา และแผ่บารมีมาถึงลูกหลาน ทั้งยังมีนายพลเลื่องชื่อที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมอยู่ทุกยุคทุกสมัย และกลายมาเป็นตระกูลใหญ่แห่งตงหูและเป็นที่รู้จักไปทั่วเขตทะเล… พี่เว่ยรู้หรือไม่? หกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเล มีเพียงตระกูลหลิวและตระกูลเสิ่นเท่านั้นที่มีกฎตระกูลเหมือนกันอยู่ข้อหนึ่ง ก็คือเฝ้าพิทักษ์บ้านเกิดเสมอไป อย่าให้ผู้ใดมารุกรานแม้ก้าวเดียว!”
น้ำเสียงของนางพลันหนักแน่นขึ้นมา “หากพวกหรงต้องการจะเข้ามาในดินแดนจงหยวน ก็จักต้องข้ามศพของตระกูลหลิวไปก่อน! หากพวกตี้ต้องการจะเข้ามาทางทิศตะวันออก ก็ต้องให้ตระกูลเสิ่นสิ้นแล้วเท่านั้น! นี่ก็คือ ‘คำสั่งสอนของบรรพบุรุษ’ ที่ล้วนมีในตระกูลเสิ่นและตระกูลหลิว!”
เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงเรื่องการสู้สรบครั้งใหญ่ทางเหนือของเฟิ่งโจวครานั้น นึกไปถึงเรื่องที่ได้เห็นได้ยินมาตลอดทางจากเฟิ่งโจวขึ้นมาทางเหนือ นางจึงกลับยิ้มขึ้นมาในใจ พลางคิดว่า หากเป็นผู้อื่นอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะหวั่นไหวไปกับนาง และในขณะที่เลือดในตัวพลุ่งพล่านก็ย่อมจะเกิดความนับถือและคล้อยตามหลิวรั่วเหยียไปโดยไม่รู้ตัว…
แต่เว่ยฉางอิ๋งรู้ความจริงเรื่องการต่อสู้ครั้งใหญ่ของเฟิ่งโจวหนนั้นว่าจนบัดนี้ความดีความชอบของชัยชนะครั้งใหญ่นี้ยังคงจารึกนามของซ่งหานและซ่งตวนเอาไว้ ส่วนโม่ปิ่นเว่ยที่เป็นผู้สร้างความดีความชอบตัวจริง แม้จะมีชีวิตรอดมาได้จากโอกาสตายเก้ารอดหนึ่งก็ยังไม่อาจลบล้างมลทินของตนได้ สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการถูกเว่ยซินหย่งหลอกและสังหารองครักษ์ตระกูลเว่ยแล้วหลบหนีไป!
จนบัดนี้ คนทั่วหล้ามีผู้ใดจักรู้ว่าฉาวอวิ๋นจวิ้นซึ่งเป็นดินแดนรกร้างเช่นนั้น แต่กลับมีแม่ทัพยอดฝีมือซุกซ่อนตัวอยู่? เขาผู้นี้ต้องลงสู่สนามรบอย่างฉุกละหุกแต่กลับเป็นผู้ที่สร้างคุณงามความดีจากหนึ่งในศึกที่ใหญ่หลวงที่สุดของต้าเว่ยในระยะไม่กี่ปีมานี้ สามารถจินตนาการได้ว่าหากไม่มีสิ่งใดผิดคาด การบันทึกเรื่องศึกครั้งใหญ่ในเฟิ่งโจวในหนังสือประวัติศาสตร์ก็จะต้องเขียนชื่อของซ่งหานและซ่งตวนลงไป โดยหาได้มีความเกี่ยวข้องใดกับโม่ปินเว่ยแม้แต่น้อยไม่
แม่ทัพเปี่ยมความสามารถซึ่งเป็นผู้ที่มีความชอบใหญ่หลวงในการต่อต้านพวกหรงอย่างแท้จริงและได้รับความสำคัญจากตระกูลซ่งผู้นี้ ท่ามกลางศึกครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น เขาเป็นที่รู้จักแต่ในฐานะเจ้าพนักงานที่รับคำสั่งจากนายอำเภอให้ไปช่วยดูแลการอพยพชาวบ้านเท่านั้น อย่างมากที่สุด เขาอาจถูกบันทึกไว้ในจดหมายเหตุของเมืองเหลียวในฐานะเช่นนี้เท่านั้น
หลังจากผ่านไปหลายยุคหลายสมัย แล้วจะมีผู้ใดได้รู้ถึงความชอบของเขา?
และการเอาความอยุติธรรมที่โม่ปินเว่ยได้รับไปไว้บนตัวลูกหลานตระกูลใหญ่นับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!
แต่เรื่องนี้ก็หาใช่จะบอกว่าเว่ยฉางอิ๋งคิดถากถางว่าหลิวรั่วเหยียเป็นหญิง แต่กลับหวังจะได้ไปปกป้องบ้านเมืองด้วยตนเอง แต่เพราะนางคิดว่าคำกล่าวนี้ของหลิวรั่วเหยียมีเจตนาแอบแฝงอยู่
เมื่อตัวนางอยู่ในตระกูลใหญ่เลื่องชื่อ เคยอยู่แต่ในที่สูงส่ง เคยชินกับการมองลงมาจากที่สูง จึงอดจะมองเห็นความสกปรกโสมมต่างๆ นานามิได้ นี่ทำให้รู้ว่า ยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างครอบครุมกว้างใหญ่ เห็นการขยายตัวของคลื่นที่ซัดสาดมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องสุขุมมากเท่านั้น
ยามซ่งหานและซ่งตวนแอบสมอ้างรับความชอบนั้น พวกเขาบอกรายละเอียดของสถานการณ์รบได้อย่างละเอียดยิบ ดังนั้นแม้เว่ยฮ่วนจะปราดเปรื่อง แต่เมื่อได้อ่านรายงานแล้วก็หาได้เกิดความเคลือบแคลงใดๆ ไม่ เดิมทีควรจะเป็นโม่ปินอวี่ที่รู้สถานการณ์เหล่านี้กระจ่างที่สุด เพียงคิดก็รู้ว่าล้วนเป็นซ่งหานหลอกถามเอามาจากเขา
ในยามที่เบื้องหลังของเจ้าพนักงานหนุ่มแห่งเมืองเหลียวผู้นั้นเต็มไปด้วยไฟสงครามที่โหมกระหน่ำอยู่ทั่วเมือง เขาช่วยเหลือนายอำเภอสูงอายุในการคุ้มครองประชาชนที่แข็งแกร่งให้ล่วงหน้าไปก่อนส่วนคนที่หวาดกลัวตามไปข้างหลัง ในยามที่เขารู้ว่าเมืองที่เขาอาศัยอยู่มาแต่เล็กจนโตล่มสลายไปแล้ว ในยามที่เขาได้ยินว่าข้างนอกเมืองเหลียวมีกองศพทับถมกันกองแล้วก็กองเล่า… ในยามที่ในอกของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาลและเคียดแค้นจึงวางแผนและสั่งการให้พวกผู้ชายที่ยังคงเหลืออยู่ในเมืองเหลียวคอยซุ่มโจมตี พากันจุดไฟแค้นให้ลุกโชนขึ้นมาและชูดาบขึ้นล้างแค้นพวกหรงอยู่นั้น เขาหรือจะเคยคิดว่าเมื่อสังหารหัวหน้าของศัตรูได้แล้วและสามารถทนรอจนกำลังเสริมจากในเมืองมาถึง สิ่งที่กำลังรอเขาอยู่หาใช่รางวัลหรือชื่อเสียง หากแต่คือการให้ร้ายและไล่ล่า?!
บางทีในยามที่เขาถูกซ่งหานและซ่งตวนสอบถามถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของศึกใหญ่อย่างละเอียดอยู่นั้น โม่ปิ่นเว่ยยังหลงนึกไปอย่างไร้เดียงสาว่า นี่คือการที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญแก่ตน หากมิใช่เพราะว่าโม่ปินอวี่แอบซ่อนเครื่องรางของหัวหน้าพวกหรงผู้นั้นเอาไว้มิให้ใครล่วงรู้ แม้แต่เว่ยฮ่วนก็จะไม่เชื่อว่าเขาคือผู้มีความชอบที่แท้จริง!
จิตใจมนุษย์เจ้าเล่ห์ยากหยั่งถึงเกินไป หากถูกล่อหลอกให้รู้สึกพลุ่งพล่านตามคำได้อย่างง่ายดายก็อดจะถูกคนหลอกใช้งานไม่ได้
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่านปู่เว่ยฮ่วนกำชับกำชานางไว้ก่อนออกเรือน ผู้สูงวัยท่านนี้เกิดมาในฐานะบุตรอนุและขึ้นมานั่งในตำแหน่งประมุขของตระกูลท่ามกลางแผนการของแม่ใหญ่และการโจมตีขุดคุ้ยของทุกคน ชั่วชีวิตเคยประสบกับอุปสรรคหลายหลากมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตลอดมากลับสามารถกำชัยชนะเอาไว้ในมืออย่างไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
หลานสาวบ้านใหญ่เพียงคนเดียวกำลังจะแต่งงาน เขารวบรวมประสบการณ์ชั่วชีวิตของตนสอนสั่งแก่นางด้วยตนเองเป็นการส่วนตัว ซึ่งก็คืออย่าได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญในยามที่กำลังเปรมปรีดิ์หรือเสียใจอย่างใหญ่หลวง เว่ยฮ่วนรู้ดีว่า การไม่ปล่อยให้ความเปรมปรีดิ์หรือเศร้าเสียใจมีผลกระทบต่อจิตใจเป็นสิ่งที่หลานสาวอยากจะเข้าใจและควบคุมได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือให้หลานสาวรำลึกเอาไว้ให้จงดีว่าอย่าได้ไขว้เขวกับการแสดงออกแต่เพียงผิวเผิน อย่าให้คนจูงจมูกเดิน
คำกล่าวของหลิวรั่วเหยียนั้นดูฮึกเหิมและร้อนแรง ทว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วกลับยิ่งระแวดระวังนางมากขึ้น เพิ่งจะพบหน้ากันคราแรก คุณหนูหลิวสิบเอ็ดผู้นี้ก็เอ่ยถึงเรื่องคำสอนของบิดาของนาง คงมิใช่ว่าบุตรสาวตระกูลหลิวล้วนชื่นชอบสนทนาเรื่องลึกซึ้งกับคนที่ไม่คุ้นเคยหรอกกระมัง? นางหลิวอยู่ในอาการเช่นนี้ ยามนี้หลิวรั่วเหยียกลับคิดจะหาพวกเสียแล้ว… แต่เว่ยฉางอิ๋งหาได้มีแก่ใจจะมาเป็นพวกเดียวกับคนที่ไม่คุ้นเคยทั้งยังเคยหมายปองสามีของตนไม่
ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงทำได้เพียงยิ้มน้อยๆ “คุณหนูสิบเอ็ดช่างใจคอกว้างขวางไม่แพ้ชายอกสามศอกจริงๆ!”
“ข้ามักได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงเรื่องบรรพบุรุษสู้รบต่อต้านพวกหรงอยู่เสมอๆ ยามได้ฟังก็รู้สึกว่าเลือดพลุ่งพล่านขึ้นมาเสียทุกครั้งเจ้าค่ะ” หลิวรั่วเหยียเห็นว่านางมิได้มีท่าทีคล้อยตาม พลันมีความตกตะลึงฉายวาบขึ้นมาในแววตา แล้วหลังจากนั้นในทันใดก็กลับมามีกริยาอ่อนโยนและยิ้มแย้มเช่นกุลสตรีตระกูลใหญ่ควรเป็นดังเดิม ทั้งยังมีท่าทีเหนียมอาย “เพียงแต่ตอนเล็กๆ หยิบโหย่งเกินไปทนลำบากไม่ไหว จึงไม่ยอมไปฝึกวรยุทธ์กับท่านพ่อเช่นเดียวกับน้องชาย จนยามนี้จะมานึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว… ดังนั้นหลังจากได้ยินพี่ชายสิบหกพูดเรื่องฝีมือของพี่เว่ยแล้วก็คิดว่าหากยามเล็กๆ ข้าใจสู้สักหน่อย ก็จะสามารถเกลี่ยกล่อมท่านพอได้ และอีกไม่กี่วันก็จะยอมให้ข้าตามน้องชายไปหาประสบการณ์ที่ตงหูแล้ว!”
นางกำหมัดขาวๆ นุ่มๆ แล้วขยับชกไปมาน้อยๆ หนหนึ่ง ใบหน้างามๆ พลันร้อนแรงจริงจังขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ทุกคราที่ได้ยินเรื่องพฤติกรรมอันชั่วร้ายของพวกหรงที่ถึงกับใช้กองซากศพของประชาชนชาวต้าเว่ยผู้บริสุทธ์เป็นเครื่องอวดอ้างผลงานอันยิ่งใหญ่… จึงอยากจะเป็นเหมือนพี่เว่ยที่ลงมือสังหารพวกหรงและพิทักษ์แคว้นต้าเว่ยอของพวกเราด้วยตนเองเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งแสดงความนับถือนางอย่างยิ่ง “แม้ข้าจะฝึกเพลงหมัดเพลงเตะจากครูฝึกมาบ้างไม่กี่กระบวนท่า แต่ก็กลับไม่เคยคิดไปไกลเกินไป คราแรกที่สังหารพวกคนร้ายก็เพราะถูกบังคับจนไม่มีทางเลือก… ยามนี้มาได้ยินปณิธานอันห้าวหาญของน้องเช่นนี้ จึงรู้สึกอายขึ้นมายิ่งนัก!” นางพูดจาน่าฟังแต่กลับมิได้มีความหมายใดเลย
หลิวรั่วเหยียเห็นนางมิได้คล้อยตามแต่อย่างใด จึงขบริมฝีปากล่างสีแดงระเรื่อของตนแล้วแย้มยิ้มเบิกบาน “พี่เว่ยโปรดอย่างได้ถือสาที่ข้าเก็บคำพูดไว้ไม่อยู่ ข้ารู้สึกคล้ายว่าพี่เว่ยมีบ้างเรื่องเข้าใจผิดข้าอยู่?”
“คุณหนูสิบเอ็ดพูดสิ่งใดกัน?” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้ม “ข้าและคุณหนูสิบเอ็ดเพิ่งจะได้พบหน้ากันคราแรก แล้วจักเข้าใจผิดกันเรื่องใด?”
หลิวรั่วเหยียเงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีครามอันแสนไกล โค้งมุมปากขึ้น “มีช่วงหนึ่งในเมืองหลวง พากันร่ำลือว่าเข้าเคยได้พบกับสามีของพี่เว่ย”
____________________________
ตอนที่ 32 ต่อกร (2)
โดย
Xiaobei
ปรากฏว่าหลิวรั่วเหยียเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเอง เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าข้าก็อยากจะดูเหมือนกันว่าเจ้ายอมวางฐานะดีงามของคุณหนูตระกูลใหญ่ซึ่งมีบิดามารดารักนักหนาทั้งเกิดมาในตระกูลสูงส่งและมีอนาคตยาวไกลลง ทั้งยังไม่รู้จักเคารพในตนเองเสียบ้าง แต่กลับไปเลียนแบบผู้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าไม่มีฐานะใดๆ เอาแต่จ้องจับยังสามีของผู้อื่น… ยามนี้ยังมีคำพูดใดจะกล่าวกับภรรยาของคนที่ตนหมายปองอีก? นางจึงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “มีข่าวลือเช่นนี้ด้วยหรือ?” แล้วแสดงท่าทีว่าไม่สะทกสะท้านใดๆ “เคยพบแล้วจักเป็นเช่นไร? จะว่าไปเราทั้งสองบ้านก็ล้วนเป็นญาติกัน พวกญาติๆ ได้พบกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“เดิมทีข้าคิดว่าพบกันคราหน้าจึงค่อยอธิบายกับพี่เว่ยเชียว เพราะอย่างไรวันนี้ข้าก็เพิ่งจะได้พบกับพี่เว่ยหนแรก หากพูดมากเกินไป ก็จะทำให้พี่เว่ยคิดว่าข้าเป็นคนเอะอะปากมาก และไม่น่าเชื่อถือเพียงพอ” เมื่อหลิวรั่วเหยียได้ยินคำพลันยิ้มเยาะน้อยๆ พร้อมกับสีหน้าว่าที่แท้เป็นเช่นนี้เอง “แต่ยามนี้ดูไปแล้ว แม้พี่เว่ยเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง แต่กลับมีคนเล่าเรื่องนี้มาถึงหูของพี่เว่ยเสียแล้วกระมัง?”
เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว “คุณหนูสิบเอ็ดคิดมากไปแล้ว”
หลิวรั่วอวี้ไม่สนใจคำแก้ต่างของนาง เพียงแต่กดเสียงต่ำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากนับกันแล้วข้าก็เป็นคุณหนูบ้านใหญ่ของตระกูลหลิวแห่งตงหู บางทีพี่เว่ยอาจเคยได้ยินพี่สิบของข้าผู้นั้นเล่าให้ฟัง อย่างไรก็ตามในบ้านข้าก็เป็นที่รักทะนุถนอมยิ่ง ท่านพ่อท่านแม่ล้วนมองข้าเป็นดังมุกในฝ่ามือ พี่เว่ยท่านว่าแม้จะเป็นข้าที่เลอะเลือนเอง บิดามารดาข้าจะยอมให้คนร่ำลือกันไปว่าข้าหมายปองชายผู้หนึ่งที่มีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้วหรือ?”
คำกล่าวนี้ของนางสมเหตุสมผลนัก หากมิใช่เพราะนางจงใจพูดเรื่องฮึกเหิมห้าวหาญเพื่อสร้างหลุมพรางก่อนหน้านี้ เว่ยฉางอิ๋งก็อยากจะพยักหน้าเสียเหลือเกิน ยามสนทนาหารือกับนางล้วนถูกนางยุยงให้แตกคอกัน ทำร้ายคนนี่แล้วก็ทำร้ายคนนั่น? ทั้งยังจัดการเสียจนคนทั้งสองกลายมาเป็นศัตรูกัน! ยามนี้ด้วยเกิดความระแวดระวังหลิวรั่วเหยียขึ้นมา นางจึงทำทีกลบเกลื่อนไปอย่างเรียบเฉยว่า “คุณหนูสิบเอ็ดท่านคิดมากไปแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยได้ยินเสียงเล่าลือเรื่องนี้เลย…”
“ปีก่อนเกิดเรื่องขึ้นมากมาย พี่เว่ยก็รับเคราะห์มาไม่น้อย” หลิวรั่วเหยียพลันหยุดยืนนิ่งแล้วมองมาที่เว่ยฉางอิ๋ง กล่าวเสียงต่ำว่า “จะว่าไปผู้คนล้วนพากันบอกว่าข้าหมายปองสามีของพี่เว่ย จึงยุยงบิดาให้เติมเชื้อไฟลงไปและซ้ำเติมเรื่องนี้! ความจริงแล้ว เด็กสาวเช่นข้า แม้คนที่บ้านจะรักใคร่เอาใจ หากเกิดความบาดหมางกับสองในหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเลแล้ว… เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คนในตระกูลมีหรือจะทำตามข้า? บอกว่าข้ายุยง ท่านพ่อท่านแม่ก็หาใช่คนไร้ปัญญา อีกประการในตระกูลยังมีญาติผู้ใหญ่อยู่ มีหรือจักยอมให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ บงการได้? หากตระกูลหลิวแห่งตงหูสามารถถูกข้ายุยงได้ แล้วจักยังอยู่ในหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเลได้อีกหรือ?”
พูดถึงขั้นนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อาจไม่แสดงท่าทีใดแล้ว จึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้ช่างเหลวไหลจริงๆ! แม้ว่าท่านพี่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองหลวง แต่ข้าคิดว่าด้วยรูปโฉมของคุณหนูสิบเอ็ดแล้วจักมีผู้ใดที่ไม่คู่ควรเล่า? จะมาหมายปองท่านพี่ที่มีคู่ครองหมั้นหมายเอาไว้นานแล้วได้อย่างไร?”
หลิวรั่วเหยียยิ้มเย็นๆ พลางว่า “พี่เว่ยไม่ทราบ หลังจากข่าวลือเรื่องข้าหมายปองสามีของพี่เว่ยแพร่ออกไป ท่านพ่อของข้าวิวาทกับท่านป้าสะใภ้และท่านอาสะใภ้เสียใหญ่โตหลายหน จนเกือบจะปิดประตูเรือนลงไม้ลงมือกัน! เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ แม้ตนจะรู้อยู่แก่ใจ แต่กลับไม่อาจวิ่งออกไปตีฆ้องร้องเป่ายืนยันความบริสุทธิ์ได้… ดังนั้นคนจึงบอกว่าเป็นหญิงต้องลำบากที่สุดก็คือสิ่งนี้ เมื่อถูกให้ร้ายแล้วกลับไม่มีทางจะไปอธิบายใดๆ ได้! พวกผู้หญิงปากยื่นปากยาวพวกนั้น พออ้าปากหุบปาก เรื่องไร้แก่นสารเช่นไรก็ล้วนพูดออกมาได้ และพวกนางกลับสุขสบายใจ โดยที่มิได้สนใจเลยว่าเมื่อเอ่ยคำพูดเหล่านั้นไปแล้วจะทำให้ผู้หญิงเช่นเราต้องรับผลเช่นไร ช่างไม่มีคุณธรรมเลยแม้แต่น้อย! ครั้งนั้นข้าขังตัวเองอยู่ในห้องหลายวันและไม่กล้าออกไปข้างนอก! ภายหลังกลับเป็นท่านพ่อรุดมาต่อว่าข้าหนหนึ่ง บอกว่าหากข้ายังอ่อนแอขี้ขลาดเช่นนี้แล้วจะคู่ควรเป็นบุตรสาวของท่านได้อย่างไร นับแต่นั้นจึงได้ออกไปไหนมาไหนอีกครั้ง!”
พูดไปดวงตาของหลิวรั่วเหยียก็พลันแดงก่ำ คล้ายจะร้องไห้ออกมา!
ในที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็คล้อยตาม… หลิวรั่วเหยียบอกถึงสิ่งที่นางประสบมา ก็มิใช่เป็นเรื่องที่นางเองก็เคยประสบมาที่เฟิ่งโจวหรอกหรือ? เพียงแค่ฮูหยินซ่งไม่มีหลักฐานจะไปวิวาทกับผู้ใด ทำได้ก็เพียงแต่แอบจดบัญชีเอาไว้ และไม่ให้ใครนำข่าวคราวนี้ไปบอกแก่สามีผู้อ่อนแอขี้โรคของตนเท่านั้น…
หลังจากเงียบงันอยู่เป็นนาน นางกล่าวเสียงต่ำอย่างไม่สบายใจว่า “จริงด้วย เรื่องชื่อเสียงของผู้หญิงนั้น…อย่างไรก็เสียเปรียบอยู่วันยันค่ำ!”
“น้องชายร่วมมารดาของข้าอยู่ในลำดับที่ยี่สิบสามของตระกูล แม้อายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถนัก” หลิวรั่วเหยียยิ้มหยันตนเอง กล่าวว่า “แต่ไรมาก็นับว่าพี่ชายสิบหกเป็นความหวังอันใหญ่หลวงที่สุดในตระกูล พี่ชายสิบหกเป็นคนดี ข้าแน่ใจว่าเขาจะไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ เพียงแต่พี่ชายสิบหกได้รับการปลูกฝั่งและสอนสั่งจากในตระกูลมาหลายปี จึงมีผู้คนมากมายให้ความสนใจเขา และยิ่งไม่หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ความจริงแล้วข้าก็เป็นเพียงปลาร่วมสระที่ได้รับผลพวงด้วยเท่านั้น… เมื่อบ้านใหญ่ คนก็มาก มีทั้งคนดีชั่วปะปน พี่เว่ยก็เกิดในตระกูลเว่ย เรื่องเหล่านี้ คิดว่าพี่อายุมากกว่าคงจักเข้าใจดียิ่งกว่าข้า”
“มักมีคนบางกลุ่ม ไม่กล้าแสดงออกในที่แจ้ง แต่กลับชอบใช้อุบายของมารร้าย!” ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันมีสีหน้ารังเกียจปรากฏขึ้นมา
หลิวรั่วเหยียรู้สึกเช่นเดียวกันล้ำลึกนัก “ได้ยินว่าน้องชายร่วมท้องของพี่เว่ย เป็นผู้ที่มีความสามารถที่สุดในรุ่นนี้ แต่คุณชายห้าตระกูลเว่ยก็ยังเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ มีศักดิ์มีสิทธิ์ กลับไม่เหมือนน้องชายของข้าที่อย่างไรก็เป็นเพียงบ้านห้า”
แม้เว่ยฉางเฟิงพอจะเรียกได้ว่า มีศักดิ์มีสิทธิ์ แต่เว่ยเจิ้งหงก็ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจรับราชการได้แต่อย่างใด ส่วนท่านอารองเว่ยเซิ่งอี๋ซึ่งเป็นบุตรของอนุกลับเก่งกาจสามารถเช่นนั้นทั้งยังมีบุตรมากมาย… หากเทียบกับคุณชายยี่สิบสามตระกูลหลิวที่แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ยังมีบิดามารดาพร้อมใจกันประคับประคอง ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็คือหลิวซีสวินที่ได้รับการสอนสั่งจากในตระกูลมาหลายปี และยังเป็นคนในรุ่นเดียวกัน ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ใดจะสบายกว่ากัน?
บางทีอาจเพียงกล่าวได้ว่าต่างมีความลำบากของตนเอง
เมื่อว่ากันมาดังนี้ และนำเรื่องของทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันก็นับว่าเป็นผู้ที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบเดียวกัน โดยมิทันรู้เนื้อรู้ตัว หลังจากเจ้าพูดไปคำข้าเอ่ยไปอีกคำ ความห่างเหินก่อนนี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจนหมด และกลับพร้อมใจกันระบายความอัดอั้นตันใจออกมา…
เมื่อหลิวรั่วเหยียอำลาในภายหลัง ก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เดิมทีวันนี้ข้าเพิ่งได้พบหน้าพี่เว่ยคราแรก ไม่ควรจะพูดมากเช่นนี้ เพียงแต่ข้าคิดดูก็รู้สึกว่าไม่ยอมใจ ข้าและพี่เว่ยมิได้มีความเคืองแค้นต่อกัน และจะว่าไปพวกเราล้วนถูกคนกลุ่มเดียวกันทำร้าย ยามนี้กลายเป็นว่าพวกเรากลับต้องมาขัดยังกัน ก็จักทำให้คนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังหัวเราะเยาะเอาได้! ถือดีอย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคืองโกรธว่า “น้องรั่วเหยียกล่าวถูกต้องไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! สตรีตระกูลใหญ่เช่นพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในกฎระเบียบ ก่อนออกเรือนต้องคอยรออยู่อย่างอึดอัด ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ได้ใกล้ ต้องฝืนทนอัดอั้นตันใจเพื่อผู้ใดกัน? ความขัดแย้งของเรือนหน้ากลับดึงเอาพวกเราออกไปให้ร้ายกันตามอำเภอใจ… ข่มเหงกันเกินไป! ข่มเหงกันเกินไปจริงๆ!”
จากนั้นทั้งสองคนที่มีความแค้นเช่นเดียวกันก็เสมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ กันเช่นนั้น นัดกันดิบดีว่าจะมาพบกันอีกคราหน้า แล้วโบกมือลากัน…
เมื่อมาส่งจนรถม้าของหลิวรั่วเหยียหายลับสายตาไป เว่ยฉางอิ๋งก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา “ช่างเป็นคุณหนูหลิวที่มีฝีปากคมคายจริงๆ มีวาทศิลป์ดียิ่ง! คำพูดเหล่านี้ หากข้าอายุน้อยกว่านี้สองปี คงจักเอานิ้วคีบดินใช้แทนธูปมาสาบานเป็นพี่น้องกับนางในทันใด!”
นางหวงมองไปซ้ายขวารอบหนึ่ง มีองครักษ์ยืนอยู่ไม่ไกลนัก จึงได้กล่าวเตือนไปด้วยเสียงต่ำว่า “ตรงนี้เป็นทางลม พวกเรากลับไปพูดในเรือนดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ส่วนในเวลาไล่เลี่ยกัน หลิวรั่วเหยียก็ให้คนปิดม่านในรถลงเสีย “เลี้ยวผ่านมุมถนน ตรงนั้นดีชั่วอย่างไรก็มองไม่เห็นแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องชะเง้อออกไปทำทีว่าหันกลับไปมองอีก”
สาวใช้นามป่ายฮวายิ้มพลางว่า “ยังนึกว่าหญิงที่คุณชายสามตระกูลเสิ่นยืนกรานจะแต่งด้วยเสียให้ได้จะงดงามประหนึ่งมีแต่บนสวรรค์และหาไม่ได้ในใต้หล้านี้เสียอีก ที่แท้ก็หาได้งดงามกว่าคุณหนูของพวกเราไม่”
“เจ้าจะรู้สิ่งใด?” สำหรับคำชมนี้ หลิวรั่วเหยียกลับระบายลมออกทางจมูกเป็นทีเยาะหยัน กล่าวว่า “เสิ่นย้าวเหยี่ยเป็นเพียงผู้มีรูปโฉมงดงามจนน่าอัศจรรย์ใจที่ใดกัน? หากเขาเป็นคนเช่นนี้ แต่แรกนั้นข้าก็จะไม่มีทางให้ท่านแม่ไปสืบเสาะดูว่ามีหนทางใดจะทำลายสัญญาแต่งงานของเขากับตระกูลเว่ยหรอก! หากเป็นพวกที่ลุ่มหลงแต่ในรูปร่างหน้าตา แล้วจักมีวันก้าวหน้าได้ที่ใด? และจักควรค่าให้ข้าไปสิ้นเปลืองสมองที่ใด? ท่านในตำหนักตะวันออกนั่นเป็นผู้ที่ใช้ตัณหาเลือกสรรคน เจ้าลองดูคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่งซึ่งเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทคนก่อนสิ นางยอมสร้างเรื่องทำลายโฉมตนและยอมเป็นตัวอัปมงคลก็ยังไม่ยอมแต่งเข้าวัง… ก็มีแต่เพียงบ้านเรา นอกจากพี่สิบแล้ว มีบุตรสาวบ้านใหญ่ในสายใกล้เคียงคนใดที่ยอมไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาท?”
นางเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “อุตส่าห์พาพวกเจ้ามาพบเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้เป็นการเฉพาะ แล้วตาของพวกเจ้ากลับเอาแต่มองว่านางงามหรือไม่เช่นนั้นรึ? ข้าจักบอกพวกเจ้า ครานั้นฮูหยินหลี่เกิดในตระกูลสังคีต ทั้งยังเข้าใจหลักการ ‘ใช้ความงามยั่วยวนผู้อื่น ยามความงามโรยรารักนั่นย่อมเลืองราง’ เจ้านึกจริงๆ หรือว่าเกิดมางดงาม ก็จะไม่มีที่ใดไม่มีชัย? ไม่เคยได้ยินหรือว่าคนงามอายุสั้น?!”
หลิวรั่วเหยียยื่นนิ้วไปกวาดผ่านหน้านุ่มนวลของไป่ฮวาจนเกิดเป็นรอยแดงที่แจ่มชัดเส้นหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากเอ่ยถึงเรื่องรูปโฉมงดงาม เจ้าก็มิได้มีหน้าตาเลวร้าย ข้าว่าเมื่อเจ้าเทียบกับพี่สิบของข้าแล้วต่างคนต่างก็มีดีกันไปคนละอย่าง แล้วถึงแม้ว่าท่านแม่ไม่ได้รักใคร่นาง แต่ไยนางกลับได้เป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท ส่วนเจ้าหากเข้าไปในตำหนักตะวันออก แม้แต่จะให้มีลูกก็ยังต้องดูว่ามีเล่ห์เหลี่ยมเพียงใด? ข้าจักบอกพวกเจ้า ผู้ที่สนใจแต่เพียงรูปร่างหน้าตาจักไม่วันทำการใหญ่สำเร็จ! วันหน้าหากพวกเจ้ายังคิดจะอยู่กับข้าต่อไปก็จงรู้จักฉลาดสักหน่อย!อย่าได้ให้ข้าได้ยินอยู่แต่เช้าจนค่ำว่าพวกเจ้าเหมือนกับสาวใช้ทั่วไป แล้วจักถูกครหาเอาว่าคุณหนูบ้านใดกันมีหน้าตางดงาม แต่สาวใช้บ้านใดชอบปากมากพูดจาแต่เรื่องไร้สาระ! จงใช้สมองกันให้มากสักหน่อย!”
ไป่ฮวารู้สึกแต่เพียงแสบร้อนบนใบหน้า แต่กลับไม่กล้าหลบเลี่ยงหรือยกมือขึ้นกันเอาไว้ ได้แต่กล่าวขอขมาด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ “ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว!”
ไป่หลิงสาวใช้อีกคนเห็นไป่ฮวายอมรับผิดแล้ว นางคิดสักพักจึงกล้าเอ่ยปาก “ข้าน้อยรู้สึกว่าฮูหยินน้อยเว่ยผู้นี้ก็ไม่เหมือนเป็นคนฉลาดเท่าใด วันนี้คุณหนูลงมือตามแผนการ ก็มิใช่ว่าพูดจนนางหักหลังฝ่ายตนแล้วหรือเจ้าคะ? น่าขันคุณหนูเจ็ดและคุณหนูสิบ นึกว่าเมื่อมีฮูหยินน้อยเว่ยเป็นพวกก็จะสามารถมาต่อกรกับคุณหนูได้หรือ?”
“ตาข้างใดของเจ้าเห็นว่านางหักหลังฝ่ายตน?” หลิวรั่วเหยียย้อนถาม
ไป่หลิงรีบขออภัย “ข้าน้อยโง่นัก เพียงแค่เห็นว่าภายหลังฮูหยินน้อยเว่ย…”
“ภายหลัง?” หลิวรั่วเหยียเอื้อมมือไปบิดแก้มนางด้วยความเหลืออดที่สาวใช้ไม่ได้ดังใจ ไป่หลิงรู้สึกเจ็บ ได้แต่กัดฟันทนเอาไว้ แล้วได้ยินหลิวรั่วเหยียกล่าวเยาะหยันว่า “ก่อนนี้ไปสอบถามจากพี่ชายสิบหกมา วรยุทธ์ของเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้ไม่เบาเลย นางสามารถซัดปิ่นไปสังหารงู ทั้งสังหารหัวหน้าพวกลอบทำร้ายต่อหน้าธารกำนัล และปกป้องน้องชายร่วมกับองครักษ์จนหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย… เดิมทีข้าคิดว่าที่นางถูกโจมตีและครหานินทาเมื่อก่อนนี้อย่างไรเสียก็คงจะทิ้งเงามืดดำอยู่ในใจนางบ้าง ยามนี้ไม่ว่าจะแสดงความนับถือเรื่องวรยุทธ์และความห้าวหาญของนางเพียงใด ทั้งยังใช้เรื่องการปกป้องพิทักษ์แผ่นดินมาโน้มน้าวนาง อย่างไรเสียก็น่าจะสามารถทำให้คล้อยตามได้บ้าง แต่พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้ว แม้วรยุทธ์ของเว่ยฉางอิ๋งจะแก่กล้า แต่กลับมิใช่จอมยุทธ์หญิงที่เอาแต่ตีรันฟันแทงแต่ไม่เชี่ยวชาญการวางกลยุทธ์ด้วยปัญญา!”
เมื่อรับน้ำชาที่ไป่ฮวาส่งมาให้และดื่มไปหนึ่งอึก หลิวรั่วเหยียจึงหลับตาลง เอนตัวไปอิงหมอนที่อยู่ทางด้านหลังแล้วพูดต่อว่า “มองแต่เพียงที่ข้าเอ่ยถึงคำสอนของบรรพบุรุษ หรือเรื่องดินแดนของต้าเว่ยพวกนั้นนางก็ลับมิได้ประทับใจใดๆ ก็รู้ได้แล้วว่าหาใช่คนที่ไม่มีชั้นเชิงใดๆ ไม่ว่าจะได้รับการสอนสั่งจากผู้ใหญ่มาหรือเป็นนิสัยดั้งเดิมของนางก็ตามที พวกเจ้าลองคิดดูสิว่า ก่อนนี้นางก็สุขุมถึงเพียงนั้น ทั้งวันนี้ยังเป็นการพบกับข้าหนแรก แล้วข้าจะสามารถดึงนางมาอยู่ฝั่งข้าได้อย่างง่ายดายหรือ? หากนับกันตามอายุนางก็โตกว่าข้าสักหน่อย ไม่แน่ว่านางอาจจะวางแผนดึงข้าไปอยู่ฝั่งนาง!”
ไป่ฮวาเอ่ยถามไปอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้น… จักลงมือกับฮูหยินน้อยเว่ยผู้นี้เช่นเดียวกับที่ทำกับคุณหนูสิบหรือไม่เจ้าคะ? คราหน้ายามมีโอกาสได้พบกับฮูหยินน้อยเว่ยอีกหน พวกเราจักได้พกยามาด้วย?”
“โง่เง่า!” หลิวรั่วเหยียเบิกตาโต แล้วมองสาวใช้ทั้งสองคนที่นึกว่ากำลังแสดงท่าทีเอาอกเอาใจตนอยู่ด้วยสายตาเย้ยหยันหนหนึ่ง และกล่าวเสียงต่ำว่า “หากเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้ยังไม่แต่งเข้าบ้าน ในเมื่อข้าหมายปองเสิ่นย้าวเหยี่ยแล้ว ย่อมใช้ทุกวิถีทางกำจัดนาง! แต่ยามนี้แต่งงานนางก็แต่งไปแล้ว ต่อให้นางตายแล้วข้าค่อยแต่งเข้าไป ก็เป็นแค่เพียงการแต่งงานอีกครั้ง! อย่างไรก็ยังต้องก้มหัวให้นาง…ถือดีอย่างไร?”
ไป่ฮวาเสนอความคิดเห็นไปสองครั้งก็ล้วนถูกตำหนิ นางอดจะกระอั่กกระอ่วนใจไม่ได้จึงเอาแต่ก้มหน้าหดตัวอยู่ที่มุมรถไม่กล้าส่งเสียงอีก ไป่หลิงเอ่ยถามอย่างขลาดกลัวว่า “เช่นนั้น.. ต่อไปคุณหนูจะทำเช่นไรกับฮูหยินน้อยเว่ยเจ้าคะ?”
“ดีชั่วข้าก็จะไม่มีวันไปเป็นตัวสำรองของผู้ใด” หลิวรั่วเหยียแค่นเสียงเยาะหนหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องลงมือกับเว่ยฉางอิ๋ง วันนี้มาลบล้างความเป็นศัตรูและความเคลือบแคลงของนาง เราก็ทำทีเกรงอกเกรงใจไปก่อนเถิด! ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจมีที่ใดจะพอใช้นางได้!”
แล้วสั่งสอนสาวใช้ทั้งสองว่า “ก่อนทำการใดต้องรู้จักใช้สมองเสียบ้าง! ให้ผู้อื่นเสียประโยชน์เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตน แม้นไม่ถูกธรรมนองคลองธรรม แต่อย่างไรก็ยังมีข้อดี! แต่ต้องให้ข้อดีนั้นมีมากกว่าการทำเรื่องไม่ถูกธรรมนองคลองธรรมจึงค่อยลงมือทำ …ทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์แต่มิได้เอื้อประโยชน์แก่ตน… ทำเช่นนี้ไม่ใช่บ้าแล้วจะเรียกว่าเป็นสิ่งใด? ผู้ทำการค้าล้วนรู้ดีกว่าไม่อาจทำการค้าที่ขาดทุน แล้วประสาอะไรกับพวกเรา?!”
ไป่ฮวา ไป่หลิงคำนับรับคำอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยจักทำตามคำสั่งของคุณหนูอย่างเคร่งครัดเจ้าค่ะ!”
_______________________
ตอนที่ 33 พี่สะใภ้น้องสะใภ้
โดย
Xiaobei
จากนั้นหลายวันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวอดรนทนไม่ได้ที่มักถูกตระกุลซูเชิญไปที่จวนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งทางจี้ชวี่ปิ้งนั้นกลับมิได้ยี่หระแม่เฒ่าเติ้งผู้นี้แต่อย่างใด จึงทำให้นางเกิดมีน้ำใจขึ้นมา… เมื่อรอจนได้รับข่าวว่าอาการป่วยของแม่เฒ่าเติ้งคงที่แล้ว และต่อไปก็เพียงต้องพักรักษาตัวระยะยาวเท่านั้น ในที่สุดฮูหยินซูที่ยามนี้ผายผอมลงไปมากจึงได้กลับบ้านเสียที
ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่เสพสุขกับการตื่นตอนตะวันขึ้นหรือสายกว่านั้น และอยู่ว่างๆ ไปวันๆ มาเกือบครึ่งเดือนก็เริ่มใช้ชีวิตในวันคืนที่อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแม่สามีอย่างจริงจังแล้ว
ในวันที่ฮูหยินซูกลับมา สะใภ้ทั้งสามคนย่อมต้องไปต้อนรับด้วยตนเอง เห็นชัดว่าฮูหยินซูที่ลงมาจากรถดูอิดโรยและผายผอมลงไม่น้อย นางหลิวเป็นคนแรกที่น้ำตาร่วง “ไยท่านแม่จึงเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้? และไม่ยอมเรียกพวกสะใภ้ไปคอยปรนนิบัติดูแลเจ้าคะ!”
นางตวนมู่ก็รีบเอ่ยทักทายตามไปในทันที “หลายวันมานี้ท่านแม่อ่อนเพลียมามาก รีบเข้าไปนั่งในห้องเถิดเจ้าค่ะ!” ดูคล้ายเป็นการแสดงความห่วงใช้ต่อจากนางหลิว แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการแอบเหยียบเท้านางหลิวว่า… เจ้าก็ไม่รู้จักดูเสียบ้างว่าแม่สามีทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งอ่อนล้าเพียงนี้แล้ว แล้วยังไปคอยยืนพูดขวางทางอยู่ข้างรถอยู่ได้ ไม่รู้จักเชิญแม่สามีเข้ามานั่งในเรือนก่อนค่อยพูดจารึ? ดูท่าว่าเจ้าแค่อยากแสดงความกตัญญูของตน มีหรือจะเหมือนข้าที่เป็นห่วงเป็นไยด้วยใจจริง?
นางหลิวพลันมีสีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมา จากนั้นจึงรีบกุลีกุจอเข้าไปประคองฮูหยินซูในทันใด “น้องสะใภ้รองกล่าวถูกแล้ว ดูสิสะใภ้เอาแต่สงสารท่านแม่เสียจนเลอะเลือน ถึงกลับลืมเขาไปประคองท่านเข้าไปข้างในเสียก่อน”
เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นสะใภ้ใหม่และยังเป็นสะใภ้คนเล็กที่สุดในตอนนี้ จึงไม่เหมาะจะเข้าไปแย่งพวกพี่สะใภ้ประคองฮูหยินซู ทำได้เพียงก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองหัวใจ ประสานมือยืนรออยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม และกล่าวไปประโยคหนึ่งอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ เชิญเข้าไปนั่งข้างในห้องเจ้าค่ะ สะใภ้สั่งให้คนเตรียมชาโสมเอาไว้แล้ว เพิ่งจะคั่วมาเมื่อครู่นี้เองเจ้าค่ะ หม่านโหลวบอกว่าท่านแม่ชอบดื่มชาโสมเติมน้ำผึ้งเล็กน้อย สะใภ้เติมน้ำผึ้งมาหนึ่งช้อน แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมากหรือน้อยเกินไปเจ้าค่ะ?”
สำหรับการแสดงออกของสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองนั้น ฮูหยินซูมองเห็นอยู่ในสายตาจึงมิได้รู้สึกว่าเกิดคาดใดๆ… ดีชั่วอย่างไรสะใภ้ทั้งสองคนก็แต่งเข้าบ้านมาหลายปีแล้ว ที่ใดดีที่ใดไม่ดี นางก็รู้ดีอยู่เต็มอก ฮูหยินซูเองก็เคยเป็นสะใภ้มาก่อน ระหว่างสะใภ้ด้วยกันย่อมมีการแก่งแย่งเพื่อให้ได้เป็นที่รัก ขอเพียงไม่เกินเลยเกินไป นางก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเสีย ก็มิใช่ว่ากันว่าหากไม่หูหนวกไม่เบาปัญญาก็เป็นผู้ใหญ่ในบ้านไม่ได้หรอกหรือ?
ดังนั้นผู้ที่ฮูหยินซูสังเกตมากที่สุดก็คือเว่ยฉางอิ๋งสะใภ้สามที่เพิ่งเข้าบ้านมา เมื่อเห็นนางมิได้เข้ามาแย่งพี่สะใภ้ทั้งสองกล่าวคำทักทาย พลันคิดในใจว่านางกลับรู้จักระงับอารมณ์ได้ดี ภายหลังยามนางหลิวประคองฮูหยินซูที่แขนข้างหนึ่ง ฮูหยินซูจึงจงใจเดินไปสองก้าว แล้วเอียงตัวให้ระยะห่างระหว่างตัวนางกับเว่ยฉางอิ๋งใกล้เคียงกับนางตวนมู่ แต่แล้วเว่ยฉางอิ๋งกลับมีแสดงอาการถ่อมตนโดยปล่อยให้พี่สะใภ้รองเข้าไปประคองแม่สามี และมิได้มีท่าทีจะแก่งแย่งแต่อย่างใด
นี่นางกลับมีความถ่อมตนอยู่ไม่น้อย!
ฮูหยินซูนึกพยักหน้าอยู่ในใจ สะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาใหม่โดยมากแล้วมักจะรีบเข้ามาแสดงท่าทีเอาอกเอาใจ เพียงแต่หากรีบเข้ามาแสดงออกในยามนี้แล้วต้องมาแก่งแย่งกับพวกพี่สะใภ้ เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่านางแข็งกร้าวเกินไป ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
เวลานี้ยังได้ยินอีกว่าเว่ยฉางอิ๋งอาศัยจังหวะที่นางหลิวบอกว่าจะประคองฮูหยินซูเข้าไปในเรือน เข้ามากล่าวคำเอาอกเอาใจตน ทั้งยังเป็นคำพูดดูเหมือนไม่มีสิ่งใดแต่กลับน่าตื่นตะลึง ฮูหยินซูอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ว่า ข้ายังนึกว่าสะใภ้สามผู้นี้จะรอให้เข้าเรือนมาแล้วจึงค่อยเข้ามาประจบ ไม่คิดว่าครานี้นางก็มีคำพูดรออยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดนี้ก็กลั่นกรองออกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ ชาโสมสามารถช่วยบรรเทาความอ่อนล้า เสริมกำลังแรงกาย ทำให้เห็นถึงความเอาใจใส่ของเว่ยฉางอิ๋ง และที่ใส่ใจเสียยิ่งกว่านั้นนางยังไปสอบถามจากทางหม่านโหลวสาวใช้ที่อยู่เฝ้าเรือนหลักมาด้วยว่าฮูหยินซูดื่มชาโสมอยู่เป็นประจำ
สิ่งนี้ก็เป็นการแสดงออกโดยนัยแล้วว่านางได้รับการยอมรับจากหม่านโหลวซึ่งเป็นสาวใช้ที่มักจะปิดปากเงียบ จึงยอมเล่าเรื่องความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันของฮูหยินซูให้ฟัง และที่บอกว่าไม่รู้ว่าต้องเติมน้ำผึ้งมากน้อยเพียงใด กลับยังเป็นการบอกเป็นนัยว่านางก็เพียงไปสอบถามเรื่องความเคยชินเล็กๆ น้อยๆ ของฮูหยินซูด้วยความใส่อกใส่ใจ หากด้ไปถามลงลึกถึงเรื่องที่ไม่ควรถาม
ไม่ว่าจะเป็นท่านอาข้างกายเป็นคนชี้แนะ หรือว่าเป็นนางเองที่มีความคิดฉลาดหลักแหลม ในเสียงร่ำเสียงลือบอกว่าด้วยเหตุที่นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบิดามารดา ทั้งยังเป็นบุตรสาวที่เพิ่งจะมีเมื่อบิดามารดาแต่งงานแล้วเกือบสิบปี จึงเป็นที่รักใคร่ของญาติผู้ใหญ่เป็นนักหนา เป็นศูนย์รวมความรักใคร่ของคนทั้งบ้านมาแต่เล็ก…เมื่อมุกในฝ่ามือเช่นนางสามารถปฏิบัติตนได้ถึงขั้นนี้ ในสายตาของฮูหยินซูก็ให้นางผ่านแล้ว
เพียงแต่ความมึนตึงบางเบาที่ยากจะสัมผัสได้ระหว่างสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองที่กำลังประคองตนอยู่นั้น ฮูหยินซูกลับสัมผัสได้ไม่ยากเย็น นางพลันแย้มยิ้มออกมา ต่อหน้าแม่สามีเช่นนาง สะใภ้สามถือว่าผ่านแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสะใภ้ผู้นี้จะรับมือกับสะใภ้อีกสองคนได้เช่นไร? นางหลิวและนางตวนมู่หาใช่คนที่คบหาได้โดยง่ายไม่…
เสิ่นจั้งเฟิงเป็นผู้สืบสกุลที่ตระกูลเสิ่นฝึกฝนมาเพื่อเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป เช่นนั้นแล้วฮูหยินซูย่อมต้องฝึกฝนภรรยาเอกของเขาเพื่อให้มีคุณสมบัติของนายหญิงของบ้านเสิ่นในอนาคต แม้จะรู้ว่าต่อไปนี้ทั้งสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองต้องมีการตอบโต้น้องสะใภ้ผู้นี้อย่างแน่นอน แต่ฮูหยินซูก็มิได้คิดจะก้าวก่ายใดๆ วันหน้าเว่ยฉางอิ๋งยังต้องจัดการกับการยั่วยุที่เป็นดังคลื่นใต้น้ำเช่นนี้อีกมากมายนัก เวลานี้ก็ถือเป็นการฝึกฝนฝีมือก็แล้วกัน ดีชั่วอย่างไรยังมีนางซึ่งเป็นแม่สามีคอยดูอยู่ เรื่องต่างๆ ล้วนมีขีดจำกัด จึงไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องจนถึงขั้นควบคุมไม่ได้
รอกระทั่งฮูหยินซูถูกประคองทั้งหน้าทั้งหลังจนเข้าไปภายในห้องและนั่งลงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงยกชาโสมเข้ามาให้ด้วยตนเองด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นที่สุด ฮูหยินซูจิบไปอึกหนึ่งแล้วพยักหน้าแสดงความชื่นชม รอจนเว่ยฉางอิ๋งกำลังจะยิ้มออกมา นางจึงกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “เติมน้ำผึ้งลงไปมากไปหน่อย คราวหน้าเปลี่ยนมาใช้ช้อนที่เล็กกว่านี้กว่านี้สักหน่อยนะ”
เว่ยฉางอิ๋งรีบน้อมตัวรับ พลางว่า “เจ้าค่ะ ต้องโทษสะใภ้ที่ไม่ได้ถามอย่างละเอียด ให้สะใภ้ไปเปลี่ยนมาให้ท่านแม่ใหม่ถ้วยหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่เป็นไร” ฮูหยินซูเห็นว่ากริยาท่าทีของนางไม่เลวเลย หาได้มีสีหน้าน้อยอกน้อยใจหรือไม่พอใจแสดงออกมาเลย จึงหาทางลงให้นาง “หลายวันมานี้ทั้งเป็นกังวลทั้งวุ่นวาย ปากคอจึงขมไปหมด กินหวานสักหน่อยกลับกลายเป็นกำลังดี คราวหน้าเจ้าปรุงชานี้อีก ค่อยใส่ให้น้อยลงก็พอ ถ้วยนี้ข้าดื่มแล้วรู้สึกว่ากำลังดี”
นางหลิวกล่าวพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ครั้งท่านแม่ให้คนนำปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นั้นส่งไปน้องสะใภ้สามที่เฟิ่งโจวก่อนหน้านี้ พวกเราบรรดาสะใภ้ยังออกจะรู้สึกอิจฉา แต่กลับมิได้พูดเป็นอื่นใด หลังจากพวกเราแต่งเข้าบ้านมา ท่านแม่ก็ปฏิบัติกับเราประหนึ่งบุตรสาวแท้ๆ เพียงแต่ก่อนพวกเราจะแต่งเข้าบ้านกลับมิเคยได้รับของใดจากท่านแม่เลย ไม่กลัวว่าท่านแม่จะถือโทษ ครานั้นสะใภ้รู้สึกอิจฉาน้องสะใภ้สามเอามากๆ! ยามนี้เห็นน้องสะใภ้สามละเอียดลออและใส่ใจต่อท่านแม่เพียงนี้ แม้แต่ตัวสะใภ้เองและน้องสะใภ้รองสองคนซึ่งเป็นสะใภ้ที่แต่งเข้าบ้านมาหลายปียังเทียบไม่ได้เลย! จึงเพิ่งรู้ว่าท่านแม่หาได้รักใคร่น้องสะใภ้สามไปเปล่าประโยชน์ น้องสะใภ้สามมีคุณธรรมเพียบพร้อมทั้งช่างใส่ใจ จนสะใภ้และน้องสะใภ้รองไม่อาจเทียบได้จริงๆ เจ้าค่ะ!”
นางตวนมู่หลบอยู่ในเรือนอู๋ฮวาหลายวัน ที่สุดก็รักษารอยแผลบนหน้าจนหายดี ยามนี้นางยิ้มน้อยๆ ด้วยสีหน้าสงบพลางกล่าวต่อนางหลิงไปว่า “สายตาของท่านแม่ เคยมองผิดยามใดกัน?”
สะใภ้ทั้งสอง คนหนึ่งว่าคนหนึ่งเสริม ซึ่งเจตนาที่แฝงอยู่ในคำพูดก็คือกำลังบอกว่าความกระตือรือร้นของเว่ยฉางอิ๋งในวันนี้ ก็ทำไปเพียงเพราะฮูหยินซูลำเอียงเข้าข้างนาง โดยเฉพาะเรื่องของปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีกเกาะกิ่งไม้คู่นั้นเท่านั้นเอง
ฮูหยินซูเองก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่ยิ้มจางๆ พลางค่อยๆ ลิ้มรสชาโสม
เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ามามองพี่สะใภ้ทั้งสองหนหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างใจกว้าง “สายตาของท่านแม่จะไม่ดีได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? ด้วยเรื่องที่พี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยถึงนี้ หากเป็นบ้านอื่น ท่านแม่เอ็นดูข้าถึงเพียงนี้ ทั้งพี่สะใภ้ก็ยังเป็นสะใภ้มาก่อนข้า อย่างไรก็ต้องเกิดความกลัว แต่พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองกลับมีจิตใจกว้างขวางไม่ถือสา นี่ล้วนเป็นเพราะท่านแม่มีสายตาหลักแหลม ที่เลือกพี่สะใภ้ที่ดีให้ข้าสองคนเจ้าค่ะ! ไม่ปิดบังท่านแม่และพี่สะใภ้ทั้งสอง คราแรกเมื่อข้าออกเรือน ท่านแม่ของข้าก็บอกกับข้าว่า หากข้าแต่งเข้าบ้านอื่น ห่างไกลออกไปนับพันลี้ บ้านเราก็อดจะเป็นกังวลเรื่องระหว่างสะใภ้ไม่ได้ แต่ด้วยความที่เป็นทั้งสะใภ้และเป็นมารดา ท่านแม่ของข้าจึงเคยบอกเอาไว้ ว่าท่านแม่เป็นผู้ที่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบเป็นที่สุด ทั้งยังมีสายตาสูงส่ง บรรดาพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ของข้าที่ข้าจะมีในวันหน้า ย่อมต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม มีจิตใจงดงามและอยู่ด้วยกันได้เป็นอย่างดีแน่นอนเจ้าคะ! ยามนี้ก็มิใช่ว่าเป็นดังคำของท่านแม่ของข้าแล้วหรือเจ้าคะ?”
นางหลิวและนางตวนมู่สะอึกขึ้นมาทันใด… ‘เกิดความกลัว’?
เว่ยฉางอิ๋งใช้คำคำนี้ ควรค่าแก่การนำมาวิเคราะห์เสียเหลือเกิน นางบอกไปก่อนว่าฮูหยินซูรักใคร่เอ็นดูนาง แล้วจึงชี้ชัดไปว่านางหลิวและนางตวนมู่ล้วนอยู่ที่นี่มาก่อนนาง จากนั้นจึงบอกว่าเกิดความกลัว… นี่หมายความว่าอย่างไร? มิใช่กำลังหมายความว่า ฮูหยินซูซึ่งเป็นแม่สามีมองข้ามหัวพวกเจ้าซึ่งเป็นสะใภ้ที่แต่งเข้าบ้านมาก่อนหลายปีทั้งยังมีบุตรธิดาแล้ว แต่กลับยอมมอบสินตัวตัวซึ่งเป็นเครื่องประดับสำคัญล้ำค่าให้แต่เพียงเว่ยฉางอิ๋ง ที่ครานั้นยังมิทันได้แต่งเข้าบ้านเสียด้วยซ้ำ พวกเจ้าซึ่งเป็นสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเป็นเพราะพวกเจ้าทำดีไม่พอ ไม่พอจนกระทั่งทำให้เวลาที่อยู่มานานกว่านั้นเปล่าประโยชน์ จนทำให้แม่สามียอมมอบเครื่องประดับนี้ให้แก่ว่าที่สะใภ้ที่ยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านแต่กลับไม่ยอมมอบให้พวกเจ้า!
แล้วพวกเจ้าจักไม่รู้สึกกลัวหรือ???
ไม่ควรต้องกลัวหรอกหรือ?
ดังนั้นที่กล่าวในภายหลังว่า “จิตใจกว้างขวางไม่ถือสา” ดูคล้ายเป็นการเอ่ยชมนางหลิวและนางตวนมู่ แต่ความจตริงแล้วกลับเป็นคำพูดประชด!
ในยามนี้ คำพูดนี้ไม่เพียงกำลังเป็นการเยาะหยันคนทั้งสองว่า พวกเจ้ายังมีหน้ามาเอ่ยถึงปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้คู่นั้นอีกหรือ? หากมิใช่เป็นเพราะพวกเจ้าทำดีไม่พอ แล้วปิ่นคู่นี้จะตกมาอยู่ในมือข้าได้อย่างไร? ตนเองไม่รู้จักมานะพยายาม แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าน้อยอกน้อยใจอีกหรือ!
นางหลิวและนางตวนมู่ล้วนเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง สีหน้าของพวกนางจึงเปลี่ยนไปทันใด!
เพียงแต่ด้วยปัญญาเฉพาะหน้าของพวกนาง จู่ๆ จึงไร้คำพูดจะมาโต้แย้ง เพราะเว่ยฉางอิ๋งยกฮูหยินซูไปดักไว้ข้างหน้าแล้วว่า ปิ่นหยกสีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้คู่นั้นเป็นฮูหยินซูมอบแก่เว่ยฉางอิ๋ง สำหรับผู้ที่เป็นสะใภ้แล้วพวกนางไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้ว่าฮูหยินซูลำเอียง เช่นนั้นฮูหยินซูก็ต้องเป็นกลาง!
แล้วฮูหยินซูที่เป็นกลางเช่นนี้ เหตุใดจึงมิได้มอบเครื่องประดับสำคัญล้ำค่าให้แก่สะใภ้ใหญ่หรือสะใภ้รอง แต่กลับมอบให้แก่สะใภ้สามที่ครานั้นยังมิทันแต่งเข้าบ้านเลย? ดังนั้นเมื่อสรุปกันได้ดังนี้ ก็คือนางหลิวและนางตวนมู่ยังทำไม่ดีพอ ไม่ดีจนกระทั่งทำให้ฮูหยินซูผิดหวัง และทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่สะใภ้สามเท่านั้น!
ฮูหยินซูค่อยๆ ละเลียดจิบน้ำชาและหันไปสบตากับแม่นมเถาหนหนึ่ง แล้วพากันยิ้มออกมาอย่างรู้กันในทีว่า สะใภ้ทั้งสามคนไม่มีสักคนที่ธรรมดาเลยจริงๆ ลือกันว่าสะใภ้สามผู้นี้เป็นคุณหนูใหญ่จอมเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจที่ถูกย่าเอาใจจนเสียคน ทั้งยังมีวรยุทธ์เก่งกาจนัก ก่อนหน้านี้ฮูหยินซูเป็นกังวลที่สุดว่าสะใภ้ผู้นี้จะเอาแต่หัวรั้นแต่กลับไม่มีสติปัญญาเพียงพอ ยามนี้ดูไปแล้ว นับว่านางเป็นเด็กสาวที่แม่เฒ่าซ่งอบรมเลี้ยงดูมาด้วยตนเองจริงๆ หาใช่ผู้ที่ไม่รู้จักหลักการของเรือนหลังแต่อย่างใด
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ยังนับได้ว่าเป็นการโจมตีได้อย่างเด็ดขาดเสียจริงๆ สามารถตัดรากถอนโคนเพื่อไม่ให้มีผู้ใดเอาเรื่องที่นางยังมิทันแต่งเข้าบ้านก็ได้รับปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้มาพูดมากอีกในภายภาคหน้า… วันหน้าหากมีใครยังเอ่ยถึงอีกก็เท่ากับเป็นการบอกว่านางหลิวและนางตวนมู่ไม่เพียบพร้อมเพียงพอ จนทำให้แม่สามีผิดหวัง ซึ่งก็คือจงใจยุยงให้แม่สามีและสะใภ้บ้านเสิ่นแตกคอกันนั่นเอง
ทว่าการกระทำเช่นนี้ แม้ยามนี้จะรู้สึกสาแก่ใจ แต่ก็เป็นการสร้างความแค้นแก่พี่สะใภ้ทั้งสองคนแล้ว
ฮูหยินซูจึงคิดว่าสะใภ้ใหม่ยังมีความวู่วามอย่างเด็กน้อย ไม่รู้จักค่อยๆ คิดวางแผน ในขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยปากช่วยนางรอมชอมสถานการณ์อยู่นั้นเอง นางตวนมู่ก็เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตาแล้วสะอื้นไห้ว่า “น้องสะใภ้สามพูดถูกไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! ท่านแม่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมมีจิตใจดีงาม โดยทั่วไปแล้ว ต่อให้พวกเราทำสิ่งใดให้ท่านแม่ผิดหวัง ท่านแม่ก็คอยอดทนไม่พูดออกมา ด้วยเกรงว่าจะทำให้พวกเราเสียหน้า! ปรากฏว่าพวกเรากลับถูกท่านแม่รักใคร่เสียจนเคยตัว ประหนึ่งมุกในฝ่ามือก็ไม่ปาน จึงทะนงตนขึ้นมาทีละน้อย! เดิมทีครั้งท่านแม่ส่งปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้ไปเฟิ่งโจว พวกเราก็ควรรู้ตัวได้แล้ว ไม่คิดว่ายังต้องให้น้องสะใภ้สามมาชี้ให้เห็นในวันนี้ ถึงได้เข้าใจความลำบากใจของท่านแม่!”
นางหลิวก็ขอขมาตามไปว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านแม่ใจกว้างเกินไป จึงทำให้ผู้เป็นสะใภ้เช่นพวกเราอดเพิกเฉยในบางเรื่องมิได้ ยามนี้คิดขึ้นมา ความทุ่มเทของท่านแม่ล้วนทำเพื่อบรรดาสะใภ้ แต่สะใภ้เช่นเรากลับโง่เง่าจนไม่รู้สึกเลย! เคราะห์ดีที่น้องสะใภ้สามหลักแหลม พอแต่งเข้ามาก็มองเห็นว่าพวกเราสะใภ้ยังมีเรื่องขาดตกบกพร่อง หาไม่แล้วสะใภ้เช่นเราก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ท่านแม่เสียใจไปอีกนานเท่าใด!”
สะใภ้ทั้งสองคนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คุกเข่าลงขอขมา พากันพร่ำพรรณนาออกมาว่าก่อนนี้เคยทำเรื่องขาดตกพร่อง จนทำให้ฮูหยินซูเสียใจผิดหวัง จึงได้นำปิ่นหยกคู่สีแดงเลือดรูปนกคู่สยายปีเกาะกิ่งไม้ไปมอบให้แก่ว่าที่สะใภ้เพื่อเป็นการเตือน แต่กลับยังโฉดเขลาไม่รู้ จนเพิ่งจะมาตระหนักเอาก็วันนี้…
ฮูหยินซูปลอบโยนพวกนางด้วยเสียงอ่อนโยน และอดจะบอกเว่ยฉางอิ๋งด้วยสายตาไม่ได้ว่า ‘เรื่องที่เจ้าเป็นคนก่อ ยามนี้ดูซิว่าเจ้าจะเก็บกวาดอย่างไร?’
ในขณะที่พี่สะใภ้ทั้งสองกำลังขอขมาเว่ยฉางอิ๋งเองก็คุกเข่าตามลงมาด้วย เมื่อได้รับสายตาจากฮูหยินซู จึงกล่าวด้วยเสียงที่บางเบาว่า “แท้ที่จริงแล้วเป็นน้องสะใภ้ทำไม่ถูก ไม่รู้จักพูดจา จึงทำให้พี่สะใภ้ทั้งสองเข้าใจผิดเสียแล้ว!” จึงหันหน้าไปหาฮูหยินซูแล้วกล่าวว่า “เห็นทีว่าท่านแม่คงให้สะใภ้เป็นคนตัดสินใจ สะใภ้จะกล้าบอกว่าพี่สะใภ้ทั้งสองไม่ถูกได้อย่างไรเจ้าคะ? เมื่อครู่นี้สะใภ้ก็พูดไปชัดเจนแล้วว่าสายตาของท่านแม่จะผิดไปได้อย่างไร? เหล่าสะใภ้ล้วนเป็นคนที่ท่านแม่เลือกมา แล้วจักไม่ดีได้อย่างไรเจ้าคะ?”
แน่นอนว่านางหลิวและนางตวนมู่ย่อมไม่ปล่อยนางไปเพียงเท่านี้ จึงยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา พลางว่า “น้องสะใภ้สามก็อย่าได้ให้อภัยพวกเราเลย เจ้าเองก็บอกไปแล้วว่าท่านแม่เป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นที่สุด หากมิใช่ว่าพวกเราทำได้ไม่ดีพอ แล้วจะ…”
“พี่สะใภ้ทั้งสอง ก็มิใช่ว่าจะพูดเช่นนั้นนะเจ้าคะ!” เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่น พลางเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกร้อนรน “ท่านแม่ย่อมต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบ แต่กฎระเบียบก็มิได้บอกว่า หากท่านแม่ให้ปิ่นแก่ข้า มิได้ให้แก่พวกพี่สะใภ้ ก็เพราะไม่ชอบใจพวกพี่สะใภ้นี่เจ้าคะ? ดังเช่นว่าซูจิ่งอายุมากว่าซูเหยียน ไม่คิดก็รู้ว่าในเวลาที่แม่นมให้นมซูเหยียนอยู่นั้น ซูจิ่งสามารถทานอาหารทานเนื้อเองได้แล้ว แต่ยามนี้ซูเหยียนยังทานเนื้อไม่ได้ หรือจะว่าในเมื่อเป็นบุตรสาวเช่นเดียวกัน พี่สะใภ้ใหญ่ให้ซูจิ่งทานอาหาร พี่สะใภ้รองกลับไม่ให้ซูเหยียนทาน ก็เพราะพี่สะใภ้รองไม่ชอบ จนถึงขั้นโหดร้ายกับซูเหยียนหรือเจ้าคะ?
นางหลิวและนางตวนมู่ได้ยินการเปรียบเทียบนี้ก็ยิ่งโกรธขึ้นมาไม่เบา หากว่ากันเรื่องอายุมากน้อย พวกนางก็ควรจะถูกเปรียบเป็นซูจิ่งกระมัง? แต่ไม่รอให้นางหลิวและนางตวนมู่เอ่ยคำ เว่ยฉางอิ๋งก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวกับฮูหยินซูด้วยท่าทีรู้สึกผิดว่า “ต้องโทษสะใภ้ที่โง่เง่านัก อยากจะพูดคำดีๆ ให้ท่านแม่ได้คลายความอ่อนล้าสักน้อย! ไม่คิดว่ากลับพูดผิดความหมายไปเสีย จนทำให้พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองเข้าใจผิด และกลับยิ่งทำให้ท่านแม่ที่เพิ่งจะกลับมาต้องเป็นทุกข์อีก!”
นางก็พูดเช่นนี้แล้ว นางหลิวและนางตวนมู่จึงไม่อาจไม่แสดงท่าทีเอาอกเอาใจฮูหยินซูตามไปด้วย และไม่มีเวลาจะมาทวงถามกับนางให้ชัดเจนอีก…
_____________________________
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น