ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาค 2 ตอนที่ 20-26

 ตอนที่ 20 กระเรียนระทม

โดย

Xiaobei

                “กระเรียนระทม?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย “เป็นสิ่งใดกัน?”


                “เป็นยาเย็นที่พวกเป่ยหรงผลิตขึ้นมา” นางหลิวกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้านว่า “ตระกูลหลิวของข้าต้องคอยสู้รบกับพวกหรง มักจะพบเจอยาชนิดนี้อยู่บนตัวของพวกหรง… มีฤทธิ์รักษาพิษร้อยได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากคนที่ปกติดีอยู่ใช้ยาชนิดนี้ ต่อให้เพียงเล็กน้อยก็จะ….”


                หลิวรั่วอวี้ตัวโอนเอนคล้ายจะล้มพลางกล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “ของชนิดนี้หากใช้มากไปก็จะมีกลิ่นแปลกๆ แต่ว่าร่างกายข้าอ่อนแอเพียงนี้ เพียงเล็กน้อยก็สามารถ… สามารถทำให้ข้าอยู่ในสภาพนี้แล้ว!” นางกล่าวประโยคนี้ออกมาด้วยลมที่แสนจะแผ่วเบา แล้วจู่ๆ ก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง ปัดไม้ปัดมือไปทั่ว กรีดร้องออกมาว่า “ข้าไม่เคยยื้อแย่งสิ่งใดกับพวกนาง ขอเพียงแค่ถึงวัยอันควรแล้วได้แต่งงานกับคนดีๆ ซื่อตรง ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข! กระทั่งไม่เคยคิดจะแก้แค้นพวกนาง…. พวกนาง… พวกนางก็ยังคงไม่ยอมปล่อยข้าไปเช่นนี้?! ให้ข้าแต่งกับองค์รัชทายาทที่แม้แต่ซ่งไจ้สุ่ยซึ่งอยู่ไกลถึงเจียงหนานก็ยังรู้ว่าเป็นคนเจ้าชูสำมะเลเทเมายังไม่พอ… ยามนี้แม้แต่ชีวิตข้าก็ยัง…”


                “น้องสิบ! เจ้าสงบใจหน่อย!” นิ้วมือของนางหลิวซีดขาวด้วยออกแรงกดอยู่ลงบนโต๊ะ สีหน้าซีดเผือดดังหิมะ แต่ยังนับว่าสามารถควบคุมสติเอาไว้ได้ยามเจอปัญหา จึงร้องห้ามน้องสาวร่วมตระกูลที่เสียใจจนฟูมฟาย แล้วหันไปยิ้มขออภัยกับเว่ยฉางอิ๋งและนางหวง “ขออภัยจริงๆ… น้องสะใภ้สาม ท่านอาหวง เด็กคนนี้… สองวันมานี้อารมณ์ไม่ใคร่ดี วันนี้จึงเลอะเลือนเสียแล้ว และพูดคำพูดส่งเดชเช่นนี้…ช่าง…”


                เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าวว่า “คนเราเมื่อกำลังป่วยก็มักจะอารมณ์ไม่ดี หากจะพูดออกมาด้วยความโกรธบ้างก็คงจะหลีกเลี่ยงได้ยาก ผู้ใดจักเห็นเป็นจริงเป็นจังเล่าเจ้าคะ? สุขภาพของน้องรั่วอวี้สำคัญกว่า ตามความเห็นของข้า น่าจะลองถามท่านอาว่าพอมีวิธีหรือไม่เถิดเจ้าค่ะ?” คำนินทาองค์รัชทายาทนั้น ยามที่อยู่ในเฟิ่งโจว มิรู้ว่านางและซ่งไจ้สุ่ยเคยพูดกันไปมากมายเพียงใดแล้ว


                เมื่อเทียบกันแล้ว คำพูดที่หลิวรั่วอวี้โพล่งออกมาด้วยความอัดอั้นใจเพียงประโยคเดียวนี้จะนับอะไรได้


                กับท่านผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกรังเกียจมาจากขั้วหัวใจ ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าวันหน้าซ่งไจ้สุ่ยจะต้องเผชิญกับชะตากรรมยากยิ่งไปชั่วชีวิต จึงยิ่งคาดหวังอย่างสุดหัวใจว่าอยากให้ราชสำนักล่มสลายไปเสีย… แม้จะบอกว่าวันนี้ตนเพิ่งจะได้พบหลิวรั่วอวี้เป็นหนแรก ทั้งเพราะคำพูดของแม่นมชวีนางจึงรู้สึกเคลือบแคลงในตัวเด็กสาวผู้นี้ แต่เมื่อได้ยินว่านางจะต้องแต่งกับองค์รัชทายาทต่อจากซ่งไจ้สุ่ย เว่ยฉางอิ๋งก็ยังรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเช่นกัน… เพราะได้รับอิทธิพลจากซ่งไจ้สุ่ย ความรู้สึกที่นางมีต่อองค์รัชทายาทจึงเลวร้ายเสียเหลือเกิน


                เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเตือน นางหลิวพี่น้องจึงพากันมองไปยังนางหวงด้วยความหวังล้นปรี่


                ทว่านางหวงกลับขมวดคิ้วอยู่เป็นนาน แล้วส่ายหน้าไปมา บอกว่า “กระเรียนระทมมีฤทธิ์เย็นเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งคุณหนูสิบในเวลานี้ก็อ่อนแอนัก หากใช้ยาที่มีฤทธิ์ร้อน ก็เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว ต่อให้ค่อยปรับธาตุให้ แต่หากไม่ใช้เวลาสักปีครึ่งปี หากต้องการจะตั้งครรภ์ ก็….”


                หลิวรั่วอวี้ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังหน้า ทั้งตัวสั่นเทาไปหมดเหมือนตะแกรงที่กำลังสั่นร่อนอยู่


                นางหลิวเองก็มีสีหน้าหม่นดังเถ้าถ่าน แล้วร้องเสียงหลงไปว่า “ปีครึ่งปี! นะ…น้องสิบจะอยู่รักษาที่นี่ปีครึ่งปีได้อย่างไร?!”


                กระเรียนระทมนี้ นางหวงเพียงแค่บอกว่าเป็นยาที่มีฤทธิ์เย็น แต่นางหลิวและหลัวรั่วอวี้กลับเอ่ยชื่อของมันออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งยังบอกว่าเป็นยาที่ผลิตอยู่ในเป่ยหรง แล้วจะเป็นผู้ใดที่วางยาชนิดนี้แก่หลิวรั่วอวี้ได้?


                หากสามารถถอนพิษได้ในสามวันห้าวัน ยามหลิวรั่วอวี้กลับไปและคอยระวังตัวสักหน่อย บางทีอาจจะสามารถตบตามารดาใหม่ให้คิดว่ายังคงถูกพิษอยู่ เมื่อแต่งเข้าตำหนักตะวันออกก็อาจจะปลอดภัยขึ้นสักหน่อย แต่ยามนี้นางหวงกลับบอกว่าต้องใช้เวลาปีครึ่งปีจึงจะสามารถถอนพิษได้ ช่วงระยะเวลานี้หลิวรั่วอวี้ก็ต้องแต่งเข้าตำหนักตะวันออกไปเรียบร้อยแล้วน่ะสิ!


                ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่นางหวงต้องการบอกก็คือยังต้องคอยปรับธาตุไปตลอดเวลาปีครึ่งปีโดยไม่ขาดตอน!


                สำหรับหลิวรั่วอวี้ที่กำลังจะออกเรือนนั้น เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?


                นางหลิวสูดหายใจลึก และเสนอความคิดว่า “สามารถรอให้น้องสิบออกเรือนไปก่อนแล้วค่อยเชิญท่านอาไปรักษาได้หรือไม่?”


                นางหวงส่ายหน้าทันที “พิษนี้ไม่อาจประวิงเวลา ยิ่งรอก็จักยิ่งเข้าลึก พอเลยเวลาแม้แต่ยาก็ยังไม่อาจปรับธาตุกลับมาได้ เกราว่าแม้แต่ท่านหมอเทวดาจี้ก็ยังไร้หนทางเลยเจ้าค่ะ!”


                “เช่นนั้นจักสามารถเชิญท่านหมอเทวดาจี้…มาตรวจเองสักหน่อยได้หรือไม่?” นางหลิวลังเลสักพัก แม้จะรู้ว่าพูดเช่นนี้ออกไปอาจล่วงเกินนางหวง แต่ก็ยังอดถามออกไปไม่ได้


                เว่ยฉางอิ๋งเองก็หันมองนางอย่างต้องการจะสอบถามด้วยเช่นกัน แม้จะบอกว่าจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้ไม่เพียงแค่เคยช่วยชีวิตบิดานางนางเอาไว้ หากไม่ได้จี้ชวี่ปิ้งกระทั่งแม้แต่ตัวนางและเว่ยฉางเฟิงก็จะไม่ได้มีชีวิตบนโลกนี้ แต่ว่าจนทุกวันนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่เคยได้พบกับหมอเทวดาท่านนี้เลยสักหน… และไม่รู้ว่าบ้านของตนนั้นมีความสัมพันธ์เช่นไรกับจี้ชวี่ปิ้งกันแน่ จะสามารถเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาได้เช่นเดียวกับที่ตวนมู่ซินเหมี่ยวทำได้หรือไม่?


                นางหวงนิ่งคิด เนิ่นนานจึงค่อยๆ พยักหน้าน้อยๆ ให้แก่นางหลิวที่เฝ้ารอด้วยความหวังเต็มเปี่ยม และเว่ยฉางอิ๋งที่มีแววตาอยากจะไถ่ถามเสียยิ่งนัก กล่าวว่า “วันพรุ่งข้าน้อยจักไปที่บ้านพักของท่านหมอเทวดาสักหน เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านหมอเทวดาจักว่างหรือไม่ จึงไม่กล้ารับประกันเจ้าค่ะ”


                นางหลิวกล่าวอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณท่านอาหวงมาก… ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอย่างไรดี ท่านอามีบุญคุณล้นเหลือทั้งมีคุณธรรมยิ่ง ข้าและน้องสิบจะไม่มีวันลืมเลย!” นางตื่นเต้นดีใจจนพูดออกมาเช่นนี้ รอจนมองไปเห็นเว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนพลั้งปากพูดไปแล้ว แม้จะบอกว่าผู้ที่ทั้งทำการรักษาและยังรับปากจะไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมานั้นคือนางหวง แต่นางหวงเป็นบ่าวที่ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาหลังแต่งงาน หากจะขอบคุณก็ควรจะขอบคุณเว่ยฉางอิ๋งก่อนจึงจะถูก


                ยิ่งไปกว่านั้นด้วยฐานะของนางหลิว แล้วกล่าวกับนางหวงว่า “มีบุญคุณล้นเหลือทั้งมีคุณธรรมยิ่ง จะไม่มีวันลืมเลย” ก็ออกจะเป็นการเสียกริยาจริงๆ


                ดีที่เว่ยฉางอิ๋งกู้สถานการณ์ในเวลาชั่วอึดใจ “พี่สะใภ้ใหญ่อย่างเพิ่งกล่าวเช่นนี้เจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้ามิใช่เคยบอกแล้ว? น้องรั่วอวี้ทั้งงดงงามและแสนดีเพียงนี้ คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีผู้ใดใจคอโหดร้ายนัก น่าน้อยใจแทนนางเสียจริงๆ! ในเมื่อได้มาพบกันยามนี้แล้ว ผู้ใดเล่าก็จักไม่ออกแรงช่วยอย่างเต็มที่เจ้าคะ?”


                แม้นางหวงให้คำมั่นว่าจะไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาตรวจดูด้วยตนเอง แต่นางก็บอกแล้วว่าไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นหลิวรั่วอวี้ถูกมารดาใหม่ข่มเหงมาอย่างหนักแต่เล็ก ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ให้นางต้องแต่งงานอย่างกระชั้นชิดเพื่อกำจัดนางไปเสียให้พ้นๆ กระทั่งยังวางแผนทำลายชีวิตของนางในอนาคตอีก… ไม่ว่าผู้ใดถูกข่มเหงรังแกจนถึงขั้นนี้ก็ล้วนไม่อาจจะทนต่อไปได้อีก


                ไม่ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะยอมรักษาหรือไม่ หลิวรั่วอวี้จะมีทางเยี่ยวยาหรือไม่ สรุปแล้วความแค้นระหว่างนางและมารดาใหม่ของนางก็นับว่าใหญ่หลวงนัก! ประเด็นนี้ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและนางหลิวด้วยกระจ่างดี นางหลิวเร่งร้อนปลอบโยนน้องสาว เว่ยฉางอิ๋งย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ นางหวงจัดยาปรับธาตุแก่หลิวรั่วอวี้ไปชุดหนึ่งก่อน และให้คนไปจัดหามาและดื่มในทันที แล้วนายบ่าวทั้งสองจึงกล่าวคำอำลา


                เมื่อออกมาจากเรือนซินอี๋ เว่ยฉางอิ๋งจึงแอบถามนางหวงว่า “พิษของคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นั้น ท่านอาจำเป็นต้องใช้เวลาปีครึ่งปีจึงจะรักษาได้เชียวหรือ?”


                นางหวงยิ้มน้อยๆ แล้วมองนาง กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยนับวันยิ่งปราดเปรื่องขึ้นเรื่อยๆ”


                คำกล่าวนี้เท่ากับเป็นการตอบรับการคาดเดาของเว่ยฉางอิ๋ง ความจริงแล้วนางหวงไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานถึงเพียงนั้นเพื่อถอนพิษของกระเรียนระทม เว่ยฉางอิ๋งอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ “ข้าก็เพียงแค่เดา ท่านย่าบอกว่าท่านอาเก่งกาจนัก ลำพังแค่เพียงยาที่มีฤทธิ์เย็นเหตุใดจึงจะถอนไม่ได้? แต่กลับไม่รู้ว่าไยท่านอาต้องถ่อมตนเพียงนี้?”


                 นางหวงได้ยินคำกลับมีท่าทีงงงัน พร้อมสีหน้าไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยอย่าได้ดูถูกกระเรียนระทมนี่เชียวนะเจ้าคะ! คุณหนูสิบตระกูลหลิวกำลังจะเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เมื่อนางล้มป่วย ผู้คนในสำนักแพทย์หลวงหรือจะไม่มาดู? มารดาใหม่ของนางใช้กระเรียนระทมนี้ ประการแรกเพราะแน่ใจว่ายากจะถอนพิษได้ ประการที่สองเพราะเห็นว่ามันอยากจะวินิจฉัยออกมาได้… แม้แต่แพทย์หลวงในสำนักแพทย์หลวงก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถวินิจฉัยหาร่องรอยของยาชนิดนี้ได้! แต่ที่วันนี้ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวล้วนสามารถเอ่ยชื่อยาชนิดนี้ออกมาเป็นเสียงเดียวกัน นั้นล้วนเป็นเพราะตระกูลหลิวอยู่ที่ตงหูมาหลายชั่วคน จึงคุ้นเคยกับของที่พวกหรงผลิตเป็นอย่างดี หากเป็นบ้านอื่น เกรงว่ายังต้องให้ข้าน้อยไปอธิบายที่มาที่ไปของกระเรียนระทมนี้ให้พวกนางฟังเสียอีกเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ใดทางการแพทย์เลย แต่ด้วยเชื่อมั่นในตัวนางหวง จึงรู้สึกว่าวิชาแพทย์ของนางหวงจะต้องเก่งกาจเป็นพิเศษ ยามนี้ได้ฟังแล้วจึงถึงกับลิ้นรัว “รักษายากหรือ?”


                “ยากมากเจ้าค่ะ” นางหวงพะยักหน้าอย่างจริงจัง “ดังนั้นข้าน้อยจึงบอกว่า ท่านหมอที่ฮูหยินน้อยใหญ่เชิญมารักษาคุณหนูสิบตระกูลหลิวนั้นมีฝีมือไม่เลวแล้ว อย่างน้อยเขาก็เอ่ยออกมาว่าคุณหนูสิบตระกูลหลิวจะมีปัญหายากยิ่งในการมีผู้สืบสกุล … หากเป็นท่านหมอที่ไม่สามารถวินิจฉัยออกว่านี่คือกระเรียนระทม ก็จะนึกว่าร่างกายของคุณหนูสิบตระกูลหลิวค่อนข้างเย็นอยู่เป็นทุนเดิม แล้วการปรับธาตุเพียงหนก็จักไม่ใคร่เป็นผลใดนัก แต่หากใช้ยาที่พวกเขาใช้ปรับธาตุให้กับคนที่มีธาตุเย็นอยู่เป็นทุนเดิม กลับกันยิ่งจะเสริมให้ฤทธิ์ยาอยู่นานขึ้น พอถึงยามนั้น คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็หมดหวังเรื่องมีผู้สืบสกุลแล้วเจ้าค่ะ!”


                นางหวงยิ้มเยาะกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ ในภายหลังต่อให้มีหมอวินิจฉันออกว่านางต้องยาที่มีฤทธิ์เย็น แต่แพทย์หลวงที่เคยวินิจฉัยผิดก่อนหน้านี้ก็จะต้องพยายามปฏิเสธอย่างสุดกำลังเพื่อปกปิดความผิดพลาดของตน…. แล้วจะไม่เป็นการปกปิดเรื่องนี้ต่อไปหรอกหรือ ผู้ที่ต้องได้รับความทุกข์ทนและถูกทำร้ายก็จะมีเพียงคุณหนูสิบตระกูลหลิว ส่วนมารดาใหม่ของนางก็จะไม่ได้มีตำหนิเลยแม้แต่น้อย! สำหรับผู้ที่ทำร้ายผู้อื่น ยาฤทธิ์เย็นชนิดนี้ช่างใช้งานได้ดีจริงๆ!”


                เว่ยฉางอิ๋งอดจะคล้อยตามไม่ได้ “เช่นนั้นท่านอาก็เก่งกาจจริงๆ แม้แต่ยาพิษที่ถอนยากเช่นนี้ก็ยังสามารถถอนพิษได้!”


                นางหวงกลับหัวเราะออกมา “เป็นข้าน้อยเก่งกาจที่ใดกันเจ้าคะ? ก็เพียงแค่… กระเรียนระทมนี้ ท่านหมอเทวดาจี้เคยนำมาทดลองฤทธิ์ของมันมาก่อน และเป็นดังที่คุณหนูหลิวตระกูลหลิวว่าในวันนี้ กระเรียนระทมเมื่อใช้มากเกินไปก็จะมีกลิ่นแปลกๆ และทำให้คนรู้สึกได้ ครานั้นท่านหมอเทวดาจี้กลับใช้ยาสองสามชิดมาผสมกัน และทำให้มันไร้สีทั้งไร้กลิ่น… ครานั้นข้าน้อยรับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าให้คอยดูแลที่พักให้แก่ท่านหมอเทวดา ใช้วิธีครูพักลักจำเอา แล้วจดจำวิธีแก้พิษกระเรียนระทมเอาไว้ หาไม่แล้วใช้เวลารักษาปีครึ่งปีก็นับว่าโชคดีแล้วเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “ในเมื่อท่านอาสามารถแก้พิษชนิดนี้ได้ แต่เหตุใดยังต้องไปเชิญท่านหมอเทวดามาเล่า? มิใช้บอกว่าพิษชนิดนี้ยิ่งประวิงเวลายิ่งไม่ดีหรอกหรือ?”


                “ฮูหยินน้อยไม่ทราบ แม้ท่านหมอเทวดาจะอนุญาตให้ข้าน้อยเข้าบ้านไปคารวะยามงานเทศกาล แต่ก็เคยบอกไว้ว่ายามปกติไม่ชอบถูกคนรบกวน เพียงแต่หากข้าน้อยพบเจอเรื่องขัดข้องในทางการแพทย์ ก็สามารถไปขอคำชี้แนะได้ตลอดเวลา ฮูหยินน้อยท่านว่าจะพลาดโอกาสดีเช่นนี้ได้อย่างไร? ดีชั่วข้าน้อยไปหนหนึ่ง ต่อให้ไม่อาจเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาได้ ก็ยังสามารถขอคำชี้แนะ อย่างไรก็ไม่เสียเที่ยวเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างงงงันว่า “ท่านอามิใช่บอกว่า ท่านเคยเห็นวิธีถอนพิษนี้จากท่านหมอเทวดาแล้ว?”


                นางหวงมองนางด้วยความสงสารหนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยว่า “ฮูหยินน้อยลองคิดดูสิเจ้าคะ ฮูหยินน้อยใหญ่ขอให้พวกเราช่วยตรวจอาการให้คุณหนูสิบตระกูลหลิว ก็เพื่อสิ่งใดเล่า? ก็มิใช่เพราะตำหนักตะวันออกหรือ.. ด้วยหวังว่าเมื่อคุณหนูสิบตระกูลหลิวมีสุขภาพดีแล้วก็จะสามารถมีบุตรธิดาสักคน วันหน้าก็จะได้มีความหวัง! หากเพียงแค่ถอนพิษได้ แล้วเกิดทำให้ลมปราณต้นกำเนิดของคุณหนูสิบตระกูลหลิวเสียหายนัก แล้วที่ต้องการผู้สืบสกุลจักต้องรอไปอีกกี่ปีกี่เดือนกัน? ยิ่งมิต้องบอกว่าก่อนคุณหนูสิบตระกูลหลิวจะออกเรือนมารดาใหม่ของนางก็ลงมือถึงเพียงนี้แล้ว มีหรือวันหน้าจะไม่ทำร้ายนางอีก? ข้าน้อยไปคราวะท่านหมอเทวดาจี้ และขอคำชี้แนะว่าจะปรับธาตุให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวอย่างให้ ให้คุณหนูสิบได้ตั้งครรภ์ในเร็ววัน มิใช่ดีที่สุดหรอกหรือเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบ คิดสักพักจึงว่า “มารดาใหม่ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็ทำเกินไปจริงๆ ข้าฟังแล้วก็รู้สึกรังเกียจคนผู้นี้นัก”


                นางหวงยิ้มอ่อนๆ แล้วว่า “มารดาใหม่นี่เจ้าคะ มีสักกี่คนจะดีเล่า? โดยเฉพาะเมื่อฮูหยินใหม่ผู้นี้ยังมีบุตรสาวของตนเอง!”


                “แต่คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็เป็นเด็กผู้หญิง ต่อให้ไม่ชอบปานใด พอถึงวันก็จักต้องออกจากบ้านไป ข้าดูคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็มิได้เป็นคนดื้อรั้นไม่กตัญญู…” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่เป็นสุขว่า “ผู้ที่เป็นแม่เช่นนี้ก็ไร้ความเมตตาเกินไปแล้ว!”


                นางอดจะสอบถามไปไม่ได้ว่า “มารดาใหม่ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวผู้นี้เป็นบุตรสาวของบ้านใดกัน? ช่างไร้คุณธรรมถึงเพียงนี้ บ้านแม่นางก็ไม่มีคนคอยตักเตือนสอนสั่งเสียบ้าง!”


                นางหวงยิ้ม “จะว่าไปก็นับเป็นเรื่องบังเอิญนัก นางก็คือบุตรของอนุซึ่งเป็นน้องสาวของมารดาแท้ๆ ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนั่นเอง! หากมิใช่ด้วยเหตุนี้ บ้านฝั่งแม่ของคุณหนูสิบตระกูบหลิวผู้นี้จะไม่ช่วยสักนิด แล้วยังต้องให้ฮูหยินน้อยใหญ่พี่สาวร่วมตระกูลทนดูไม่ไหวจนต้องยื่นมือเข้าช่วยหรือ?”


                “เอ๋?”


                “คำเล่าลือในเรือนหลังเป็นการภายใน บอกว่าเมื่อมารดาของคุณหนูสิบตระกูลหลิวยังมิทันเสียชีวิตนางก็ส่งสายตาไปมากับบิดาของคุณหนูสิบแล้ว แม้ฐานะของตระกูลจางจะไม่สู้ตระกูลหลิว แต่อย่างไรก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ แล้วจะยอมให้บุตรสาวไปเป็นอนุภรรยาได้อย่างไร? ปรากฏว่ามารดาของคุณหนูสิบล้มป่วยด้วยโรคไข้รากสาดใหญ่เพราะไปช่วยฮูหยินน้อยใหญ่ แล้วทุกอย่างก็จบสิ้น” นางหวงยิ้มหยัน “นายท่านห้าของบ้านหลิวก็รับนางเข้าบ้านมาเป็นภรรยาหลวงอย่างยินดีปรีดา… นางก็โชคดีนักยามเข้าบ้านมา นอกจากคุณหนูสิบตระกูลหลิวแล้ว แม้แต่บุตรธิดาของอนุก็ไม่มีให้มาเป็นอุปสรรคสำหรับนาง! ปีต่อมาหลังจากนางเข้าบ้านก็ให้กำเนิดหลิวรั่วเหยียซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาของคุณหนูสิบ หลังจากนั้นอีกปีก็ให้กำเนิดหลิวรั่วเวยซึ่งจนถึงยามนี้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านห้าตระกูลหลิว นับแต่นั้นมานางคอยควบคุมนายท่านใหญ่เสียจนอยู่ในโอวาท… หากมิใช่ว่าฮูหยินน้อยใหญ่คอยปกป้องนางอยู่สุดชีวิตเสมอมา คุณหนูสิบผู้นี้จะเติบใหญ่มาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ยังไม่แน่เลยเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “ตระกูลจาง? ตระกูลจางของทางจางผิงซวีนั้นหรือ?”


                นางหวงกล่าวว่า “แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ? ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลจางเสียไปตั้งแต่มารดาของคุณหนูสิบตระกูลหลิวยังไม่ได้ปักปิ่น หนำซ้ำคุณหนูสิบก็ไม่มีท่านลุงท่านอาแท้ๆ เสียอีก… หาไม่แล้วฮูหยินใหม่ผู้นี้มีหรือจะรังแกนางจนถึงเพียงนี้?”


                เว่ยฉางอิ๋งอดมีน้ำโหขึ้นมาไม่ได้ แล้วกล่าวด้วยความเคียดแค้นว่า “ตระกูลจางนี้ช่างน่าแค้นนัก! ท่านอาคิดจะไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้ ดีชั่วอย่างไรเบื้องหลังก็เป็นมาเช่นนี้ แล้วไยจึงไม่ช่วยรักษาให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวในยามนี้เสียเลยเล่า?”


                “ฮูหยินน้อยอย่างได้ร้อนใจเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ดีชั่วอย่างไรคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็ยื้อมาได้จนถึงวันนี้แล้ว แล้วจะยื้อต่อไปอีกสองสามวันก็จะเป็นไรไป? ข้าน้อยขอกล่าวตามซื่อเถิด คนที่ข้าน้อยคอยปรนนิบัติคือฮูหยินน้อย คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็ดี ฮูหยินน้อยใหญ่ก็ดี ไม่ว่าพวกนางจะน่าสงสารเพียงใด มีความผู้พันลึกซึ้งปานใด แล้วจักเกี่ยวกับฮูหยินน้อย เกี่ยวกับข้าน้อยเรื่องใดเล่า? ผู้คนที่มีชะตาชีวิตยากลำบากในใต้หล้านี้มีถมเถ แรกเริ่มที่ข้าน้อยร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดาจี้ ก็หาใช่เพราะวาดหวังจะได้รักษาคนตายคนเจ็บ หากจะว่ากันจริงๆ ก็ด้วยต้องการจะปรนนิบัติฮูหยินน้อยให้ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้สบายใจเจ้าค่ะ!”


                “หากเมื่อครู่นี้ข้าน้อยพูดไปตามความจริง ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็จะต้องซาบซึ้งต่อฮูหยินน้อย และต้องเคียดแค้นบ้านตระกูลจาง แต่จะรู้สึกได้ล้ำลึกเท่ากับท่านหมอเทวดาจี้มาตรวจรักษาเอง หรือให้ท่านหมอเทวดาจี้มาชี้แนะวิธีรักษาด้วยตนเองได้อย่างไร? เพราะท่านหมอเทวดาจี้นั้นเป็นถึงแพทย์เลื่องชื่อที่เป็นที่รู้จักไปทั่วเขตทะเล ทั้งยังขึ้นชื่อว่าเชิญมายากยิ่ง!”


                นางหวงกล่าวเรียบๆ ว่า “ของที่ได้มาอย่างง่ายดายอย่างไรก็ไม่ล้ำค่าจับใจเท่าโอกาสรอดที่ขอได้เพียงหนึ่งในสิบ…ยื้อไว้สักหน่อย เพราะไม่ว่าจะเป็นพิษก็ดี อาการเจ็บป่วยก็ดี ต่างก็อยู่ในตัวของคุณหนูสิบตระกูลหลิว พวกเรามีสิ่งใดต้องปวดใจ? เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงฮูหยินน้อยใหญ่จะติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงกับฮูหยินน้อยหนหนึ่ง นอกจากฮูหยินน้อยใหญ่แล้ว คุณหนูสิบตระกูลหลิวก็จะเกลียดชังบ้านตระกูลจางไปจนถึงคนตระกูลหลิวทั้งหมด! แรกเริ่มนั้นมิใช่ว่าตระกูลหลิวก็มีส่วนสร้างข่าวลือของฮูหยินน้อยด้วย? ให้พวกเขาต่อสู้กันเองในตระกูลนั้นเป็นเรื่องดีงามเพียงใด… หากคุณหนูสิบตระกูลหลิวสามารถนั่งในตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างมั่นคงเมื่อใด จนกระทั่งสามารถมีพระนัดดาของฮ่องเต้จนโชคดีเป็นองค์ฮองเฮาหรือกระทั่งไทเฮา… ฮูหยินน้อยโปรดคิดดูเถิดว่าคนตระกูลหลิวอย่างน้อยกลุ่มหนึ่งจะมีจุดจบเช่นไร!”


                “ดังนั้นจะให้อาการเจ็บป่วยของคุณหนูสิบตระกูลหลิวรักษาหายได้อย่างง่ายได้อย่างไร?” นางหวงแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ


____________________________


ตอนที่ 21 เรื่องใหญ่ที่แท้จริง

โดย

Xiaobei

                เมื่อกลับถึงเรือนจินถง เสิ่นจั้งเฟิงยังไม่กลับมา แต่บ่าวที่สั่งให้นำจดหมายไปส่งที่จวนตระกูลซ่งกลับมาแล้ว ซึ่งครานี้ผู้ที่วิ่งไปส่งคือหนีห้าวซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของนางหวง หนีห้าวโตกว่าเว่ยฉางอิ๋งหนึ่งปี ยามนี้มีบุตรสาวคนโตและบุตรชายคนรองแล้ว ด้วยเหตุที่นางหวงต้องติดตามเว่ยฉางอิ๋งมา บ้านนางทั้งบ้านจึงอยู่ในรายชื่อบ่าวติดตามเว่ยฉางอิ๋งมายามแต่งงานด้วย สามีและบุตรชายล้วนทำงานในตำแหน่งพ่อบ้าน


                เดิมทีแล้วงานส่งหนังสือเช่นนี้จะมิได้ให้เขาทำ ทว่านางหวงอยากให้บุตรชายได้มีโอกาสมาโผล่หน้าโผล่ตาต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งบ้าง จึงได้สั่งให้เขาไปทำ


                หนีห้าวรายงานอย่างนอบน้อมผ่านม่านกั้นว่า “คุณหนูใหญ่ซ่งสอบถามว่าฮูหยินน้อยสบายดีหรือไม่ และมีจดหมายตอบกลับมาด้วยขอรับ”


                เว่ยฉางอิ๋งให้จูหลานออกไปรับจดหมายมา แต่กลับเอาแต่กุมเอาไว้ไม่ยอมเปิดออก แล้วสอบถามไปอย่างเป็นห่วงว่า “เจ้าได้เข้าไปในเรือนหลัง และสอบถามท่านพี่หรือไม่ว่ายามนี้เป็นเช่นไร?”


                หนีห้าวกล่าวว่า “เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้อยเพียงได้กล่าวด้วยคุณหนูใหญ่ซ่งสองประโยคผ่านฉากกั้นขอรับ น้ำเสียงของคุณหนูใหญ่ซ่งตื่นเต้นยิ่ง และบอกว่าเมื่อฮูหยินน้อยอยู่ที่บ้านเสิ่นครบเดือนเมื่อใดจักต้องมาเยี่ยมแน่นอนของรับ ข้าน้อยฟังได้ว่าคุณหนูใหญ่ซ่งแจ่มใส่ดีขอรับ”


                เว่ยฉางอิ๋งแอบรู้สึกโล่งใจ แย้มยิ้มพลางว่า “ครานี้ลำบากเจ้าแล้ว ฉินเกอไปเอา…”


                นางหวงรีบเอ่ยยั้งนางไปว่า “เขาได้วิ่งไปส่งข่าวให้ฮูหยินน้อย ถือเป็นวาสนา จักยังให้ฮูหยินน้อยตบรางวัลอีกได้อย่างไรเจ้าคะ?”


                “ไปเอากลเก้าห่วง[1]ให้หลานสาวตัวน้อยของท่านอาเอาไปเล่น” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะแล้วว่า “ของนี้ยามนี้ก็วางเอาไว้เฉยๆ”


                หนนี้นางหวงจึงขอบคุณและยอมรับของ แต่เมื่อเห็นว่าของที่ฉินเกอนำออกมากลับเป็นกลเก้าห่วงที่ทำจากเงินแท้ ความจริงแล้วก็ยังถือเป็นรางวัลอยู่ดี นางหวงบ่นให้เว่ยฉางอิ๋งไปสองสามประโยค เมื่อเห็นนางยืนกรานว่าจะให้ จึงให้หนีห้าวรับไปไว้และออกไปได้


                เว่ยฉางอิ๋งถือจดหมายเข้าไปภายในห้อง แล้วนั่งอิงตัวอยู่บนตั่งข้างหน้าต่างทางทิศตะวันตก อดจะฉีกออกมาอ่านไม่ได้… ยามนี้ซ่งไจ้สุ่ยอารมณ์ดียิ่ง เขียนจดหมายมาเต็มสองสามหน้าใหญ่ทีเดียว


                นางกระเซ้าเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งแต่งงานใหม่ไปสองสามประโยค บอกว่าวันที่เว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านเสิ่นนั้น นางยังสวมหมวกปิดหน้าวิ่งไปคอยดูที่ร้านสุราข้างทาง ทั้งยังบอกว่าเติ้งจงฉีที่เคยช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ที่แท้แล้วก็อาศัยอยู่ใกล้ๆ จวนตระกูลซ่ง บางครั้งซ่งไจ้สุ่ยยังได้พบกับเติ้งวานวานน้องสาวร่วมท้องของเขา และพูดคุยกันอย่างถูกคอ ยามนี้มักจะนัดคุณหนูตระกูลเติ้งผู้นี้มาสนทนากันในจวน กลับมิได้รู้สึกเหงาเลย ท้ายสุดก็นัดพบกันหลังจากครบหนึ่งเดือน… จนถึงยามนี้ ซ่งไจ้สุ่ยจึงคล้ายเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งเขียนจดหมายมานั้นด้วยวัตถุประสงค์ใด แล้วตอบไปหนึ่งประโยคว่า เรื่องของเว่ยเซิ่งเซียนนั้นนางจะไปขอร้องกับซ่งอวี่วั่งผู้บิดา คาดว่าปัญหาไม่หนักหนา ให้เว่ยฉางอิ๋งมิต้องเป็นกังวล


                เมื่อมองเห็นความแช่มชื่นเป็นสุขที่เผยออกมาท่ามกลางตัวอักษรบนกระดาษซึ่งหลั่งไหล่ออกมาดังสายน้ำ เว่ยฉางอิ๋งอดจะรู้สึกไม่ได้ว่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ทางนี้นางยังรู้สึกเป็นกังวลกับวันข้างหน้าของซ่งไจ้สุ่ยอยู่เลย ดูไปแล้วตัวซ่งไจ้สุ่ยเองกลับไม่รู้สึกเช่นไร กลับเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในจวน กินๆ เล่นๆ อย่างมีความสุข ในจดหมายยังแนบกระดาษสาดอกท้อมาแผ่นหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นวิธีทำของว่างที่นำมาจากดินแดนต้าสือ[2]ชนิดหนึ่ง!


                …ต้องรู้ว่าซ่งไจ้สุ่ยอยู่ที่เฟิ่งโจวหลายเดือน ไม่ว่าเรื่องอาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ต่างๆ นางล้วนไม่เคยเอ่ยถึงแม้สักคำ! แม้แต่เมื่อแม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งไปสอบถามด้วยความห่วงใย นางก็ล้วนตอบไปว่าตนไม่มีสิ่งใดที่ไม่ทานหรือไม่ชอบ


                ยามนี้กลับมีแก่ใจศึกษาเรื่องต่างๆ ขึ้นมาเพื่อหาความสุขใส่ตัว…


                เว่ยฉางอิ๋งนำจดหมายส่งให้นางหวงดู กล่าวว่า “เช่นนั้นวันพรุ่งท่านอาไปหาท่านหมอเทวดาจี้ต้องตระเตรียมสิ่งใดบ้างหรือไม่?”


                นางหวงมองไปรอบๆ ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ท่านหมอเทวดาไม่ใคร่สนใจของนอกกาย เอาของว่างเล็กๆ น้อยๆ ไปก็พอเจ้าค่ะ”


                “ท่านอาเพียงสั่งความไปยังห้องครัว หากว่าขาดเหลือสิ่งใดก็ให้คนออกไปซื้อ แล้วมาคิดเงินกับข้า” เว่ยฉางอิ๋งกล่าว


                “ของที่มีในห้องครัวก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ” นางหวงกล่าวยิ้มๆ “ความจริงแล้วเว้นเสียแต่ว่าเป็นคนที่ท่านหมอเทวดาไม่ชื่นชอบ หาไม่แล้ว ท่านหมอเทวดาก็เป็นคนที่พูดจาง่ายเจ้าค่ะ”


                ด้วยเหตุที่จี้ชวี่ปิ้งเคยช่วยชีวิตเว่ยจิ้งหงเอาไว้ เว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกใกล้ชิดกับจี้ชวี่ปิ้งโดยสัญชาตญาณ จึงพยักหน้าแล้วว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”


                ครานี้จูเสียนและจูหลานที่อยู่ข้างนอกก็กล่าวคำทักทายด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว ฟังได้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาแล้ว นางหวงรีบเอาจดหมายที่ตนยังอ่านไม่จบเก็บกลับไป แล้วยิ้มและเร่งรัดเว่ยฉางอิ๋งไปว่า “คุณชายกลับมาแล้ว ฮูหยินน้อยรีบไปดูสิเจ้าคะ”


                เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงและกำลังจะสวมรองเท้าผ้า เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้กลับหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ แล้วก็นั่งลงไปอีกครั้ง แสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องใดพลางกล่าวว่า “เขากลับมาก็กลับมา ไยต้องให้ข้าออกไปดูด้วย?”


                นางหวงเห็นว่านางคิดอยากจะออกไปชัดๆ แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่ไยดีเสิ่นจั้งเฟิง จึงทั้งรู้สึกโมโหและรู้สึกขำ พลางบ่นว่า “เอาเถิด เอาเถิด หนหน้าข้าน้อยไม่บอกฮูหยินน้อยแล้ว พอใจแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”


                 “อะไรเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นมาแล้วสะบัดมืออย่างไม่พอใจ กำลังจะพูด ประตูก็กลับเปิดออก เสิ่นจั้งเฟิงที่สวมชุดราชองครักษ์ชินเต็มยศก็เดินเข้ามา ที่เอวยังเหน็บดาบประดับทองสำหรับใช้ในพิธีการอยู่


                นางหวงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเอาจดหมายซุกไว้ในอก คำนับแล้วว่า “คุณชาย ข้าน้อยขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า


                เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางเดินออกไปแล้วหันหลังกลับมาปิดประตู จึงช้อนตาขึ้นมามองสามี “กลับมาแล้วหรือ?” เมื่อกล่าวออกไปดังนี้แล้ว ก็รู้สึกคล้ายว่าไม่รู้จะหาเรื่องใดมาพูดอีก จึงยกมือขึ้นมาลูบๆ ที่ผมอย่างเคอะเขิน


                เสิ่นจั้งเฟิงปลดดาบลง ยิ้มแล้วว่า “วันนี้กลับมาช้าสักหน่อย”


                “หือ?”


                “พวกพ้องมายินดีเรื่องที่ข้าแต่งงานใหม่ จึงเชิญคนจำนวนหนึ่งมากินเลี้ยงกันเล็กน้อยข้างนอก” เสิ่นจั้งเฟิงเอาดาบวางไว้บนโต๊ะ นิ่งไปสักพักจึงบอกว่า “วันนี้พระสนมเอกเติ้งนำผลไม้ตามฤดูมาถวายฮ่องเต้ที่ตำหนักเซวียนหนิง เมื่อพบข้าก็เอ่ยถามถึงเจ้า บอกว่ากลางเดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน ให้เจ้าเข้าวังไปให้นางดูสักหน่อย”


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นางจะดูข้าทำสิ่งใด?”


                “ข้าลองไปถามมา…” เสิ่นจั้งเฟิงเดินเข้ามาแล้วเอื้อมมือไปโอบเอวนางเอาไว้ เว่ยฉางอิ๋งผลักเขาพอเป็นพิธีหนหนึ่ง จากนั้นจึงคล้อยตามยอมเอนตัวเข้าไปในอ้อมอกเขา เมื่อเข้าไปใกล้ปรากฏว่าได้กลิ่นสุรา เสิ่นจั้งเฟิงจับปอยปมข้างหูนางเล่น ปากก็บอกว่า “ฮ่องเต้โปรดองค์หญิงหลินชวนยิ่ง เป็นเหตุให้ทั้งองค์ฮองเฮาและพระสนมเอกล้วนมีประสงค์ให้หลานชายอภิเษกกับองค์หญิง”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่บอกว่า…จางผิงซวี?”


                “จางผิงซวี่เปลี่ยนใจแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ กล่าวว่า “วันนี้ยามกินเลี้ยงกัน กู้จื่อหมิงแอบบอกกับข้าว่า ยามเขาและกู้เวยไปเยี่ยมนั้น พบว่าดูไปแล้วจางผิงซวีล้มป่วยไม่เบาเลย แต่กู้จื่อหมิงรู้วิชาแพทย์ จึงอาศัยจังหวะที่ไปเยี่ยมแอบจับชีพจรเขา กลับรู้สึกว่าการเต้นของชีพจรเหมือนเกิดจาก ‘ผงไร้เยียวยา’ มาก”


                ผงไร้เยียวยาสามารถทำให้เกิดอาการป่วยหนัก ยังไม่นับเรื่องที่ว่าตำรับยาชนิดนี้เป็นความลับ ทว่าในตระกูลใหญ่หลายตระกูลล้วนมีกันอยู่ หากจะบอกว่าไม่ใช่ความลับ แต่สำหรับหลายๆ คนแม้ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ยามนี้ถึงเวลาที่ต้องกำหนดตัวผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นราชบุตรเขยในองค์หญิงหลินชวนแล้ว แต่จางผิงซวีก็มาแกล้งล้มป่วยหนัก ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่ามีเจตนาใด


                เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าของสิ่งนี้คล้ายกับกระเรียนระทม เมื่อใช้แล้วก็จะตรวจสอบไม่ได้อย่างง่ายดาย กู้อี้หรานสามารถตรวจพบได้ในขณะแอบตรวจอาการเขา เห็นได้ว่าจะต้องมีวิชาแพทย์ที่ลึกล้ำยิ่ง


                แต่ยามนี้นางไม่มีแก่ใจจะมาตื่นเต้นกับความสามารถทางการแพทย์ที่ลึกล้ำของกู้อี้หราน พลันรีบถามไปว่า “ก่อนนี้มิใช่ว่าเขาตกปากรับคำ เหตุใดจึงเปลี่ยนใจเสียแล้ว?”


                “จื่อหมิ่งก็ไม่รู้” เสิ่นจั้งเฟิงพลันมีความกังวลขึ้นมาในแววตา กล่าวว่า “เมื่อเลียบๆ เคียงๆ สอบถามดูในตอนนั้น จางผิงซวีใช้ข้ออ้างว่าป่วยหนัก ไร้เรี่ยวแรงจะพูดจา เพื่อเป็นการส่งแขกทางอ้อม แล้ววันนี้ฮ่องเต้ทรงได้ยินข่าวจึงรู้สึกเคลือบแคลงและตรัสกับพระสนมเติ้งว่า ก่อนหน้านี้จางผิงซวีไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย เหตุใดเวลานี้จู่ๆ ก็มาล้มป่วย?”


                แม้ฮองเต้จะทรงคร้านเรื่องราชกิจ ทั้งยังมักทำเรื่องตามอำเภอใจ นับตั้งแต่ฮ่องเฮาจนถึงองค์รัชทายาทก็ล้วนแต่งตั้งและถอดถอนโดยใช้ความรักใคร่เป็นที่ตั้ง ทว่าบัลลังก์ของพระองค์ก็ยังคงมั่งคงดังขุนเขาตลอดมา แม้ว่าหลากหลายตระกูลใหญ่ในแคว้นต่างคิดการเพื่อตนเอง แต่ก็เพียงกล้าวางแผนกันอย่างลับๆ เท่านั้น ในทางแจ้งล้วนเคารพนอบน้อมต่อราชสำนักยิ่ง ความจริงแล้วฮ่องเต้ก็หาใช่ผู้ที่ไร้ความสามารถ… เพียงแต่มิได้นำความสามารถมาใช้ในการบริหารแคว้นสักเท่าใดเท่านั้น


                เว่ยฉางอิ๋งดาดเดาไปว่า “คงมิใช่ว่าก่อนนี้เขายังไม่มีคนรัก จึงได้ตอบจะอภิเษกกับองค์หญิง แต่มาเดือนนี้กลับพบกับคนที่ต้องใจเข้าให้แล้ว?”


                “….ก็อาจเป็นไปได้” เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง กลับเอ่ยออกมาด้วยความสงสัยว่า “แต่วันที่ข้านำราชโองการไปสอบถาม ก็มิได้พูดไปชัดเจน อย่างไรเสียราชโองการก็มิได้ชี้ชัดว่าจะต้องเป็นเขา เพียงแต่ผู้ใกล้ชิดฮ่องเต้เสนอว่า องค์หญิงหลินชวนมักจะกล่าวชมเชยจางผิงซวีว่ามีความสามารถด้านกวีเหนือผู้ใด จึงได้ให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ได้รับการคัดเลือก ความจริงแล้วฮ่องเต้ทรงรู้สึกตลอดมาว่าแม้ฝีมือทางบุ๋นของจางผิงซวีจะดี ทว่าสองมือกลับไร้เรี่ยวแรงกำลัง …แต่หากใจเขามีคนที่รักอยู่แล้ว เหตุใดจึงไม่บอกกับข้าเป็นการส่วนตัว ว่าให้ค่อยๆ ทูลกับฮ่องเต้ให้เขาเล่า?”


                เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า ฟังดูจากน้ำเสียง เจ้ากับจางผิงซวีก็มิได้ใกล้ชิดกันนักหนา เรื่องใหญ่ขนาดปฏิเสธการแต่งงานกับสตรีในพระราชวงศ์ จางผิงซวีถือสิทธิ์ใดมาเชื่อเจ้า? จึงเอ่ยปากไปว่า “คงเพราะกลัวว่าทางราชสำนักจะลงทัณฑ์”


                “องค์หญิงหลินชวนมีนิสัยหยิ่งยโส แม้จะชื่นชอบจางผิงซวี แต่หากรู้ว่าเขาไม่ได้พึงใจ ก็จะไม่ไปรบเร้าเขาแน่นอน” เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหน้า กล่าวว่า “จะอย่างไรจางผิงซวีก็เป็นบุตรชายในสายหลักของตระกูลจาง หากเขาไม่พึงใจจะมาเป็นราชบุตรเขยในราชสำนักจริงๆ ก็น่าจะแสดงท่าทีออกมาก่อนหน้านี้ให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันอยู่ในที เพราะอย่างไรเสียฮ่องเต้และองค์หญิงหลินชวนก็มิได้มีท่าทีว่าจะต้องเป็นเขาเท่านั้น กลับเป็นเขาที่ยึดยื้อมาจนถึงยามนี้ ราชโอการกำลังจะสั่งลงมาจึงไม่ได้สั่ง ซ้ำยังมาแกล้งป่วย หากให้องค์ฮ่องเต้และองค์หญิงหลินชวนทรงทราบก็จะยิ่งกริ้ว จางผิงซวีก็นับว่าเป็นคนฉลาด ตามหลักแล้วไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้”


                เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก “บางทีคนที่เขาพึงใจเพิ่งจะได้มาพบเอาสายเกินไป และเพิ่งจะได้มาเห็นในระยะนี้”


                “บังเอิญถึงเพียงนั้น?” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วก้มหัวลงจูบผมนาง


                เว่ยฉางอิ๋งหยิกแขนเขาเบาๆ หนหนึ่ง กล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะเป็นกังวลกับคนผู้นี้มาก ราวกับว่าเมื่อเขาปฏิเสธงานอภิเษกแล้ว เจ้าก็จักต้องพลอยเดือนร้อนไปด้วย?”


                ไม่ว่าจะเป็นจางผิงซวีหรือหลี่ผิงซวี…เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่ามิได้เกี่ยวข้องใดกับบ้านของตน ดีชั่วหากจางผิงซวีต้องโทษก็ดี หรืออภิเษกกับองค์หญิงก็ดี ก็เป็นเพียงเรื่องของตระกูลจาง… อีกประการ นางเพิ่งจะได้ยินนางหวงบอกว่า มารดาใหม่เของหลิวรั่วอวี้เป็นคนตระกูลจาง ยามนี้จึงอดจะรู้สึกไม่ดีต่อตระกูลจางไม่ได้ จึงรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดเสิ่นจั้งเฟิงจึงได้สนใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้


                เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ กล่าวว่า “ถูกเจ้ามองออกเสียแล้ว?”


                เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเพียงเอ่ยปากถามไปลอยๆ เมื่อได้ยินคำจึงอดจะตกใจไม่ได้ “เรื่องนี้… เหตุใดจึงเกี่ยวพันกับเจ้า?”


                “เรื่องมันยาว…” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มครึ่งไม่ยิ้มครึ่งแล้วกล่าวว่า “สามีเพิ่งจะกลับมารู้สึกค่อนข้างเหนื่อย เช่นนั้นเจ้าก็จูบสามีสักหน่อย สามีจะได้มีเรี่ยวแรง จากนั้นจะได้บอกเจ้า…อุ๊!”


                …เมื่อรู้วาตนตกหลุมพราง เว่ยฉางอิ๋งจึงเหยียบเท้าเขาไปแรงๆ หนหนึ่ง แล้วแกะมือเขาออก “ใครใช้ให้เจ้าพูดจาส่งเดช!”


                เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางไม่พอใจ จึงรีบทำใจดีสู้เสื้อและปลุกปลอบนางว่า “ส่งเดชที่ใดเล่า? เรื่องที่จางผิงซวีล้มเลิกงานแต่งงาน ย่อมเกี่ยวพันกับข้าอยู่แล้ว”


                เว่ยฉางอิ๋งยิ้มเยาะพลางมองเขาหนหนึ่ง ออกแรงผลักเขาออก แล้วเดินเข้าไปในมุ้ง เอนกายลงบนตั่งทั้งเสื้อผ้าที่ยังไม่ผลัดเปลี่ยน แล้วหันหน้าเข้าหาผนัง วางท่าทีว่าขัดเคืองและไม่อยากจะสนใจเขา


                เสิ่นจั้งเฟิงรีบเดินรวบสามก้าวเป็นสองก้าวไปนั่งที่ข้างตั่ง กุมมือนางและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “จริงๆ จริงๆ เจ้าฟังข้าพูด… หากนับกันตามลำดับแล้ว จางผิงซวีต้องเรียกพวกเราว่าพี่ชายพี่สะใภ้[3] เขาเป็นหลานของท่านอาสะใภ้รอง นับไปแล้วล้วนเป็นญาติกัน เจ้าว่าหากเขาทำให้ฮองเต้กริ้ว แล้วพวกเราจะไม่เป็นห่วงเขาได้อย่างไร?”


                เว่ยฉางอิ๋งหันหน้ากลับมาอย่างงุนงง แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “นับเช่นนี้ไม่ได้กระมัง? เรื่องนี้อาจใหญ่โตหรือเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องลงทัณฑ์ไปถึงญาติสนิททั้งสามและเครือญาติทั้งสี่ ระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งหลาย หากนับกันไปมาผู้ใดกับผู้ใดเล่าจะไม่ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ มิใช่ว่าทุกคนที่ทำผิดแล้วคนตระกูลใหญ่ทั่วหล้าล้วนต้องพลอยรับโทษทัณฑ์ไปด้วยกระมัง?”


                เสิ่นจั้งเฟิงกุมมือนางขึ้นมาจูบเบาๆ ที่ปลายนิ้ว ทอดถอนใจว่า “อิ๋งเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ เรื่องนี้ก็ช่างเถิด หากจะว่าไปเรื่องที่สำคัญที่สุดกลับคืออีกเรื่อง…” เสียงของเขาต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเคร่งขรึม ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยฉกาจ


                “เป็นสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งถูกกระตุ้นความอยากรู้ พลันลุกขึ้นมานั่งโดยไม่ทันรู้ตัว พลางถามไป


                “นั่นก็คือเมื่อครู่นี้สามีทำให้อิ๋งเอ๋อร์ไม่พอใจด้วยเรื่องเรื่องนี้ หากเทียบกันแล้ว ไม่ว่าตัวเลือกราชบุตรเขยขององค์หญิงหลินชวนจะเป็นผู้ใด จางผิงซวีจะรักใคร่ผู้อื่นอยู่หรือไม่ องค์ฮ่องเต้และองค์หญิงจะกริ้วเพียงใดเมื่อทรงทราบเรื่องที่เขาปฏิเสธการแต่งงาน… เรื่องเหล่านี้จะนับสิ่งใดได้? สามีไม่ระวังทำให้อิ๋งเอ๋อร์ไม่พอใจเสียแล้ว นี่ต่างหากคือเรื่องใหญ่ที่แท้จริงในยามนี้!” เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางแล้วหัวเราะเสียงดัง!


                เว่ยฉางอิ๋งโกรธเสียจนพุ่งตัวเข้าในอกเขาและกำหมัดชกสะเปะสะปะไปยกหนึ่ง ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็ยังเย้ายั่วตนอยู่ดี!


__________________________________


[1] กลเก้าห่วง เป็นของเล่นฝึกสมองและความอดทนชนิดหนึ่ง ต้องคิดหาวิธีให้แต่ละห่วงไปคล้องกับแกนกลางให้ได้


[2] ต้าสือ คือ ดินแดนของอาหรับ


[3] พี่ชายพี่สะใภ้ ในที่นี้คือพี่ชายพี่สะใภ้ฝั่งมารดา


ตอนที่ 22 ห้ามการวิวาท

โดย

Xiaobei

                วันรุ่งขึ้นในช่วงก่อนเที่ยง นางหวงออกไปตงเฉิงเพื่อเขาคารวะจี้ชวี่ปิ้ง เสิ่นจั้งเฟิงเข้าวังไปทำงานตามปกติ เว่ยฉางอิ๋งว่างอยู่ไม่มีสิ่งใดทำ จึงเรียกคนนำดาบคู่ชายหญิงที่เสิ่นเซียนกำนัลให้ในวันยกน้ำชาออกมาดูอย่างละเอียด


                กระบี่คู่หญิงหนึ่งชายหนึ่งนี้มีรูปร่างเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่กระบี่หญิงนั้นบางกว่าและสั้นกว่าเหมาะให้ผู้หญิงใช้มากว่า มองโดยรวมแล้วธรรมดาสามัญไร้ความงดงามเลอค่า แตกต่างกับความเรียบง่ายแต่ล้ำค่าของ ‘ลู่หู’ ลิบลับ อย่าว่าแต่ด้ามกระบี่เลย แม้แต่ปลอกกระบี่ก็ใช้เพียงหนังปลาฉลามมาพันให้พอเสร็จๆ เท่านั้น รูปลักษณ์ไม่งดงามเลยแม้แต่น้อย


                กระบี่ที่เสิ่นเซวียนมอบให้แน่นอนว่าต้องเป็นกระบี่ที่ไร้พู่ห้อย เว่ยฉางอิ๋งชักกระบี่หญิงออกมา แต่กลับเป็นตัวกระบี่ที่มืดๆ ทึบๆ ไม่แวววาบเปล่งประกายเหมือนยาม ‘ลู่หู’ เพิ่งออกจากฝักเช่นนั้น ลำพังเพียงมองจากภายนอกก็ไม่โดดเด่นเอาเสียเลย เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่รู้สึกผิดหวัง ตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลที่สืบทอดด้านบู๊ อาวุธที่เก็บสะสมเอาไว้ก็เหมือนกับตำราล้ำค่า และตัวอักษรลายมือจริงต่างๆ ที่ตระกูลเว่ยเก็บสะสมเอาไว้ หากไม่ถึงระดับที่ดีนัก ก็จะนำไปเก็บไว้ในคลังเพื่อเป็นการสั่งสมชื่อเสียงของตระกูล ของกำนัลรับไหว้ที่มอบให้กับบุตรชายที่เป็นความหวังอันใหญ่หลวงของตระกูลและบุตรสะใภ้นั้น ต่อให้มองดูธรรมดา แต่จะเป็นของธรรมดาทั่วไปจริงๆ ได้อย่างไรกัน?


                นางขยับเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นเพียงตัวกระบี่ในส่วนที่ใกล้กับด้ามมีลายทับซ้อนกันอย่างละเอียดเหมือนเกล็ดปลา และส่วนติดกับด้ามก็มีตัวอักษรขนาดเท่าเมล็ดข้าวสลักเอาไว้ว่า…เยวี่ยหยวน (เดือนเต็มดวง)


                คาดว่านี่คงเป็นนามของกระบี่ เว่ยฉางอิ๋งไปดูกระบี่ชายอีกหน ปรากฏว่าในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกันก็สลักอักษร ‘ฮวาห่าว’ (บุปผางาม) ไว้สองตัว ‘บุปผางาม เดือนเต็มดวง’ เป็นคำมงคล เพียงแต่… เว่ยฉางอิ๋งพลิกดูไปมาอยู่เป็นนานก็มองไม่ออกว่าบนตัวกระบี่ชายหญิงคู่นี้นอกจากนามของกระบี่แล้ว จะมีที่อื่นใดที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงบุปผางามเดือนเต็มตัวอยู่เลยแม้สักแห่ง


                เอ่อ… อาจเพราะพ่อสามีอยากมอบกระบี่คู่เป็นของกำนัลแต่งงานใหม่ เวลาจวนตัวจึงสั่งให้คนนำไปสลักนามที่เป็นมงคลลงไป?


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยว่าไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี


                ในขณะที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่ทั้งสองเล่มอยู่ จูหลานก็รายงานด้วยเสียงกังวานจากภายนอกว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ พ่อบ้านที่เรือนทางด้านหน้านำปลามาส่งที่หน้าประตูแล้ว ยามนี้ให้พวกเขาเข้ามาเลยหรือไม่เจ้าคะ?”


                “ปลา?” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ สระน้ำเล็กๆ ที่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ข้างนอกนั่น ก่อนหน้านี้นางว่านเคยบอกว่าน่าจะเลี้ยงปลาหลีฮื่อหรือปลาทองเอาไว้ดูเล่น เสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้สนใจว่าจะเลี้ยงชนิดไหนและให้นางเป็นคนตัดสินใจ เว่ยฉางอิ๋งจึงเลือกเอาปลาทอง… ตามกฎของบ้านตระกูลเสิ่น เมื่อแต่งสะใภ้เข้าบ้านก็จะให้เรือนเดี่ยวแก่คู่สามีภรรยาใหม่หนึ่งเรือน ค่าใช้จ่ายในการจัดแจงและตกแต่งเรือนทั้งเรือนหากไม่มากมายเกินไปก็สามารถเบิกจากกองกลางได้


                ดังนั้นหลังจากที่นางเลือกว่าจะเลี้ยงปลาทองก็ไม่ต้องให้คนออกไปซื้อหา เพียงแต่สั่งคนให้ไปบอกกับพ่อบ้านใหญ่คำหนึ่ง พ่อบ้านใหญ่ก็จะสั่งคนออกไปทำ ครานี้ได้ยินว่าพ่อบ้านที่เรือนหน้านำมาส่งให้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงสั่งความว่า “ให้พวกเขาน้ำเข้ามาได้เลย แล้วเชิญท่านอาเฮ่อไปดูสักหน่อย”


                หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งได้ยินผ่านทางหน้าต่างว่านางเฮ่อกล่าวคำทักทาย แล้วผ่านไปอีกพักใหญ่ในลานบ้านก็กลับมาสงบอีกครั้ง นางเฮ่อเข้ามารายงานว่า “พ่อบ้านนำปลามาปล่อยในสระตัวตนเอง เป็นปลาทองทั้งสิ้นยี่สิบตัว พ่อบ้านบอกว่าเป็นการอวยพรขอให้คุณชายและฮูหยินน้อยสมบูรณ์เต็มสิบงดงามเต็มสิบเจ้าค่ะ ข้าน้อยดูแล้วปลาทองยี่สิบตัวนั้น มีสีทองสิบตัว สีแดงสิบตัว ล้วนแข็งแรงดี พอลงน้ำก็ว่ายไปหาที่หลบซ่อนตัวใต้ใบบัวเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า “น้ำในสระน้ำสีฟ้าใสดังท้องฟ้า ข้างในยังปลูกดอกบัวเอาไว้ด้วย จึงควรเลี้ยงปลาทองที่มีสีสันสดใสเช่นนี้จึงจะน่าดู หากเป็นสีดำหรือขาวก็จะไม่สะดุดตา”


                นางเฮ่อบอกอีกว่า “ข้าน้อยจะไปเอาต้นบัวมาให้พวกมันอีกเจ้าค่ะ”


                “สมควรแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งว่า “เรื่องเหล่านี้ให้ท่านอาเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”


                นางเฮ่อกำลังจะถอยออกไปดูพวกสาวใช้ตัวน้อยข้างนอกสักหน่อย ไม่คิดว่านางว่านที่เป็นคนสุขุมมาโดยตลอดกลับพุ่งตัวเข้ามาด้วยความเร่งร้อน รีบคารวะแล้วรายงานอย่างร้อนรนว่า “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ มีคนจากทางบ้านสองมา บอกว่าฮูหยินน้อยรองทะเลาะกับคุณชายรองอย่างหนักด้วยเรื่องของลวี่เฉียว ยามนี้ท่านราชครู ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณชายสามล้วนไม่อยู่บ้าน ฮูหยินน้อยใหญ่สั่งคนให้ไปตามคุณชายห้าและคุณชายหกที่เรือนหน้ามาแล้ว… ยังต้องขอเชิญฮูหยินน้อยไปช่วยปรามด้วยเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ กล่าวว่า “พี่สะใภ้รองกลับมาแล้วหรือ?”


                “เฮ่อ ก็มิใช่หรือเจ้าคะ?” นางว่านถอนหายใจ “ฮูหยินให้ฮูหยินน้อยรองกลับมาเพื่อจัดการเรื่องของลวี่เฉียวโดยเฉพาะเจ้าค่ะ ไม่คิดว่า… ฮูหยินน้อยรีบไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ ได้ยินคนที่มาบอกว่าลานอู๋ฮวา[1]ทะเลาะกันหนักยิ่ง อย่าได้เกิดเรื่องใดขึ้นเลย”


                เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางเร่งตนอย่างร้อนรนนัก แม้จะมิได้เป็นห่วงบ้านสองเท่าใด แต่ทุกคนล้วนไปห้ามปรามกันหมด ตนเองก็ไม่ควรชักช้า ดีที่เสื้อผ้าที่ใช้ยามแต่งงานใหม่ล้วนเป็นของใหม่ ออกนอกเรือนจึงไม่ต้องไปผลัดเปลี่ยนใดๆ เป็นพิเศษ เพียงจัดผมเผ้าสักหน่อยเมื่อเห็นว่าไม่มีที่ใดดูเสียมารยาทแล้วจึงตามนางว่านออกจากเรือนไป


                เมื่อไปถึงที่หน้าประตูเรือนจินถง ก็เห็นว่าสาวใช้ที่บ้านสองส่งมาขอความช่วยเหลือกำลังรออยู่แล้ว เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋ง ยังมิทันเอ่ยคำใดดวงตาก็พลันแดงก่ำขึ้นมา กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยสามโปรดตามข้าน้อยมาเจ้าค่ะ”


                ตามสาวใช้ที่เกือบจะวิ่งช้าๆ มาตลอดทางก็มาถึง อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงคุณชายห้าเสิ่นจั้งจีและคุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุนกล่าวห้ามปรามหนแล้วหนเล่าดังออกมา “พี่รองท่านใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อน!”


                “พี่สะใภ้รองมีเมตตามีคุณธรรมทั้งเรียบร้อยมาโดยตลอด ในเมื่ออยากจะขายลวี่เฉียวก็จักต้องมีเหตุผล ไยพี่รองไม่ใจเย็นลงก่อน แล้วฟังพี่สะใภ้รองบอกเล่าสาเหตุเล่า?”


                ระหว่างนั้นคล้ายมีเสียงนางหลิวกำลังปลอบโยนนางตวนมู่อยู่… คิดไม่ถึงว่าตนเองอุตส่าห์รีบมาถึงเพียงนี้แต่ก็ยังมาถึงช้าที่สุด เว่ยฉางอิ๋งอดปวดหัวไม่ได้ จึงพยายามฝืนใจเข้าประตูไป และเห็นว่าภายในลานกำลังชุลมุนวุ่นวาย เสิ่นเหลี่ยนสือหน้าแดงหูแดง ใบหน้าเคร่งเครียดเอาเรื่องและกำลังถูกเสิ่นจั้งจีและเสิ่นเหลี่ยนคุน คนหนึ่งกอดเอว อีกคนรัดไหล่ กดเข้าเอาไว้แน่น นางตวนมู่เองก็อยู่ในสภาพผมสยายยาวหน้าตาอิดโรย แล้วถูกนางหลิวรั้งตัวไว้ในอ้อมแขน


                ที่เท้าของพี่สะใภ้ทั้งสองมีปิ่นหยกที่หักเป็นสองท่อนตกอยู่ ไม่รู้ว่าตกลงมาหักยามกำลังดิ้นรนขัดขืน หรือว่าจงใจโยนลงมาให้หักพังเสียหาย


                บ่าวไพร่กลุ่มใหญ่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร บ้างก็ยืนอยู่ที่ทางเดิน บ้างก็ยืนอยู่ในลานบ้าน แต่ละคนล้วนมีท่าทางกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าควรจะวางมือไม้ไว้ที่ใดจึงจะดี…


                ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ในจำนวนนี้มีหญิงสาวอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแต่กลับสวมรองเท้าเพียงข้างเดียวอีกเท้าหนึ่งเปลือยเปล่า บนหัวมีฝุ่นดินติดอยู่เต็มไปหมด นางก้มหน้าเอาผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น


                ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งก้าวเข้าประตูเรือนมา เสิ่นเหลี่ยนสือกำลังดิ้นรนและชี้หน้าด่าทอนางตวนมู่ขนานใหญ่ “เจ้า นังเมียชั่ว…”


                เสิ่นจั้งจียิ้มเจื่อนๆ รีบเอื้อมมือปิดปากเขาว้า “พี่รองท่านพูดจากันดีๆ ได้หรือไม่? ยามนี้มีคนตั้งมากาย พวกเราเขาไปพูดกันในห้องดีหรือไม่?”


                นางตวนมู่และเสิ่นเหลี่ยนสือเป็นคู่ครองที่เหมาะสมทัดเทียมกัน พี่สะใภ้ผู้นี้เข้าบ้านมาแปดปี คอยดูแลปรนนิบัติพ่อแม่สามีอย่างตั้งใจยิ่ง มักได้รับคำชมจากญาติผู้ใหญ่อยู่เสมอ แม้จนยามนี้ยังไม่มีบุตรชาย แต่ก็ให้กำเนิดบุตรสาวบ้านใหญ่สองคน อนุของเขาก็มีบุตรสาวหนึ่งคน หนึ่งในนั้นเสิ่นซูเหยียนซึ่งเป็นบุตรสาวคนเล็กยังเป็นเทพธิดาน้อยที่มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง นางตวนมู่มีชื่อเสียงดีงามทั้งในบ้านเสิ่นและในเมืองหลวง… ยามนี้เสิ่นเหลี่ยนสือด่าทอนางว่าเป็นเมียชั่วต่อหน้าคนมากมายเพราะอนุคนนึ่ง หากเรื่องแพร่ออกไป มีหรือที่บ้านตระกูลตวนมู่จะไม่มาขอคำอธิบายถึงประตูบ้าน?


                อีกประการหนึ่ง ว่ากันว่าอบรมบุตรต่อหน้าสอนสั่งเมียลับหลัง การกระทำของเสิ่นหลี่ยนสือนี้หากแพร่ออกไปก็จะทำให้ผู้อื่นวิจารณ์เขาว่าไร้เมตตาต่อภรรยาหลวง ไม่ยอมไว้หน้าคู่ครองที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย…


                คุณชายหกเสิ่นเหลี่ยนคุนก็ผลักพี่ชายตนเข้าไปในห้อง “พี่รองยามนี้ท่านโกรธจนเลอะเลือนแล้ว เขาไปในห้องดื่มน้ำชาสักถ้วยเสียก่อน และให้พี่สะใภ้รองล้างหน้าแปรงผมสักหน่อย พร้อมแล้วจึงค่อยมาคุยกันใหม่”


                เว่ยฉางอิ๋งเดินไปข้างๆ นางหลิว แล้วค่อยๆ ถามอย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใดดีว่า “พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ พี่สะใภ้รอง…?”


                “ทั้งสองคนต่างพูดจากันด้วยอารมณ์ ไยต้องทำเช่นนี้เล่า?” เวลานี้นางหลิวเองก็ไม่สะดวกจะพูดมาก เพียงแต่ส่งสายตามา แล้วประคองนางตวนมู่และกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “น้องสะใภ้รอง พวกเราไปหวีผมล้างหน้าข้างหลังสักหน่อยเถิด น้องรองดื่มชาแล้วค่อยมาค่อยพูดค่อยจากับเขา การกระทำของเจ้าพวกเราทั้งบ้านล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา แล้วจะไปทำร้ายอนุตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร? พวกเราต้องสอบถามน้องรองให้ชัดเจนว่าเป็นผู้ใดพูดจาส่งเดชยุแยงพวกเจ้าสามีภรรยา และต้องไม่ละเว้นคนผู้นั้น!”


                ทั้งสองฝ่ายทั้งปลุกปลอบทั้งฉุดลากกันดังนี้ ที่สุดก็แยกสองสามีภรรยาที่กำลังลงไม้ลงมือออกจากกันได้


                เว่ยฉางอิ๋งตามพี่สะใภ้ทั้งสองคนเข้าไปในเรือนหลังของลานอู๋ฮวา และกลับเห็นว่าในเรือนนี้ครึกครื้นกว่าเรือนจินถงนัก ในลานบ้านมีค้างปลูกต้นองุ่น ใต้ค้างองุ่นผูกชิงช้าเอาไว้ บนระเบียงทางเดินมีลูกบอลเย็บจากหนังทิ้งไว้ลูกหนึ่ง ข้างบนราวแขวนนอกฮว่าเหมยเอาไว้คู่หนึ่งและกำลังส่งเสียงร้องอย่างอ่อนโยน… นั่นเพราะบ้านสองมีเด็กอยู่สามคน


                เครื่องเรือนในห้องของนางตวนมู่คล้ายคลึงกับในห้องเว่ยฉางอิ๋ง สิ่งของภายในล้วนจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีที่ใดรกรุงรัง เมื่อนึกย้อนไปว่าตอนก่อนเที่ยงยังไม่ได้ยินข่าวนางตวนมู่กลับมา คาดว่านางเพิ่งจะกลับมาตอนนี้ ห้องที่ไม่ได้อยู่มาวันสองวันยังคงสะอาดและเป็นระเบียบ เห็นได้ว่าปกติแล้วนางตวนมู่จะต้องกำชับบ่าวไพร่ดูแลให้เป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ว่าต่อให้นางไม่อยู่ก็ต้องเป็นเช่นนี้ เตรียมว่านางจะกลับมาใช้เวลาใดก็ได้


                เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไม่ได้ว่า ดูจากการจัดสิ่งของต่างๆ ภายในห้องก็รู้ได้ว่าพี่สะใภ้ผู้นี้จะต้องเป็นคนที่เข้มงวดอย่างมาก…


                เพราะไม่มีนางหลิวอยู่ด้วย ทางนี้นางจึงใจลอย รอจนสาวใช้ตักน้ำเข้ามา นางตวนมู่ล้างหน้าทั้งน้ำตา จึงเพิ่งพบว่าแก้มข้างหนึ่งของนางมีรอยแดงสองรอย ซึ่งบวมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว


                เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้งตกใจแล้วจึงคิดขึ้นมาได้ ว่าคงเป็นรอยตบที่หลบไม่พ้น มิน่าเล่าเมื่อตนเข้าประตูมา จึงเห็นเสิ่นจั้งจีและเสิ่นเหลี่ยนคุนรั้งตัวเสินเหลี่ยนสือเอาไว้สุดแรงเช่นนั้น กระทั้งไม่มีแม้เวลาจะมาทักทายตนสักคำ ที่แท้เสิ่นเหลี่ยนสือถึงกับลงไม้ลงมือ!


                เรื่องนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าด่าทอนางตวนมู่ต่อหน้าธารกำนัลเสียอีก บุตรสาวมีพ่อมีแม่มาถูกทุบตี หากรู้เข้าภายหลังแล้วไม่เข้ามาขอคำอธิบายที่หน้าประตู แล้วหน้าตาของสตรีในตระกูลจะอยู่ที่ใด?


                แน่นอนว่าตระกูลเสิ่นมิได้หวาดกลัวตระกูลตวนมู่ ปัญหาคือมิใช่ว่าตระกูลเสิ่นจะนิ่งเฉยดูดายตระกูลตวนมู่ได้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะยามนี้แม่เฒ่าเติ้งยังคงฝากความหวังให้นางตวนมู่เชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวน้องสาวร่วมตระกูลของนางไปช่วยทำการรักษา และเมื่อไล่เรียงกันไปจริงๆ ก็คือต้องการให้นางไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมารักษาด้วยตนเอง… ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสิ่นเหลี่ยนสือก็มาตบตีนางตวนมู่เสียแล้ว ต่อให้นางตวนมู่ยังคงยอมไปเชิญคนที่บ้านแม่ของตน แต่เมื่อใบหน้าของนางเป็นเช่นนี้ แล้วจะให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวไปรักษาให้ด้วยจิตใจสงบได้อย่างไร?


                ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะไปเล่าเรื่องนี้ให้จี้ชวี่ปิ้งฟัง!


                เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไม่ได้ว่า หรือเพราะเสิ่นเหลี่ยนสือได้หลักฐานว่านางตวนมู่เป็นคนทำร้ายบุตรชายผู้สืบสกุลของตนในครรภ์ของลวี่เฉียว จึงได้โกรธเกรี้ยวจนลืมตัวเช่นนี้?


                หาไม่แล้วเสิ่นเหลี่ยนสือที่ดูท่าทางสุภาพอ่อนโยนและเป็นมิตรดังที่ตนเห็นในวันยกน้ำชาผู้นั้น กลับดูไม่เหมือนคนที่จะลงมือตบตีด่าทอภรรยาแต่อย่าใด!


                ยามนี้นางตวนมู่ล้างหน้าตาเสร็จ มองดูร่องรอยบนใบหน้าตนในกระจก แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอีกหน นางหลิวจึงต้องรีบปลอบโยนนางหนแล้วหนเล่า เว่ยฉางอิ๋งเองก็ต้องคอยปลอบนางไปด้วย… ที่สุดก็ปลอบจนนางตวนมู่สงบลงได้ แล้วบ่าวจากเรือนหน้าก็มาเชิญ บอกว่าเสิ่นเหลี่ยนสือรับปากแล้วว่าจะฟังคำอธิบายของนางตวนมู่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


                ครั้นแล้ว พี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสองจึงไปที่โถงด้านหน้ากับนางตวนมู่ ปรากฏว่าเสิ่นเหลี่ยนสือยังคงหน้าดำคร่ำเครียด และถูกน้องชายสองคนนั่งประกบอยู่ทั้งซ้ายขวา สีหน้ายังคงไม่น่าดู แต่เมื่อเห็นนางตวนมู่เข้ามา กลับเพียงแค่นเสียงออกไปหนหนึ่งและมิได้พูดสิ่งใด


                นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งประคองนางตวนมู่เข้ามานั่งที่ที่นั่งรอง หลังจากนั่งลงแล้ว น้ำตาเม็ดโตๆ ของนางตวนมู่ก็หลั่งไหลออกมาด้วยท่าทีน้อยอกน้อยใจเหลือแสน นางหลิวซึ่งเป็นพี่สะใภ้ใหญ่อดจะตำหนิเสิ่นเหลี่ยนสือไปสองสามประโยคไม่ได้… นางตวนมู่อุตส่าห์สงบสติอารมณ์ลงได้ แต่พออ้าปากพูดประโยคแรกก็กลับทำให้ทุกคนตกตะลึง “ลวี่เฉียว นางไม่ระวังทำให้บุตรแท้งเอง ด้วยกลัวว่าจะถูกตำหนิ จึงจงใจเอายาขับเลือดใส่ไว้ในถ้วยชา เพื่อจงใจให้ร้ายผู้อื่น ยุแยงให้เกิดความบาดหมางในเรือนหลังของบ้านสอง! ข้าเห็นแก่ที่นางเคยปรนนิบัติเจ้า ไม่คิดทำโทษนาง เพียงคิดว่ารอจนนางออกเดือนแล้วก็จะเอานางขายออกไป… มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?”


                เสิ่นเหลี่ยนสือเองก็สะดุ้งไปหนหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวเยาะหยันว่า “เจ้ามีหลักฐานใดบอกว่าลวี่เฉียวทำให้ตนเองแท้งลูก?”


                เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากล่าง คิดในใจว่าเป็นเรื่องจริง… เสิ่นเหลี่ยนสือคิดว่านางตวนมู่เป็นคนทำร้ายบุตรชายของตน จึงได้บันดาลโทสะถึงเพียงนี้… เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามนี้นางตวนมู่จะปิดฉากเรื่องนี้อย่างไร? ตลอดมานางขึ้นชื่อเรื่องคุณธรรมความดี หากไม่มีหลักฐานสักน้อย เสิ่นเหลี่ยนสือก็จะไม่เชื่อแน่นอน


                แล้วได้ยินนางตวนมู่สะอึกสะอื้นบอกว่า “ย่อมต้องมีแน่นอน หากไม่แล้ววันนี้ข้าจะออกปากว่าจะขายลวี่เฉียวไปได้อย่างไร?” จากนั้นก็ค่อยๆ พูดไปทีละเรื่อง และคอยเรียกบ่าวทั้งนอกบ้านในบ้านมาเป็นพยาน เว่ยฉางอิ๋งฟังดูแล้วรู้สึกแต่เพียงว่าหลักฐานต่างๆ แน่นหนารัดกุมไร้ช่องว่างให้โต้กลับได้ จึงรู้สึกดึงเครียดขึ้นมาในใจ


                นางหาช่องโหว่ของคำกล่าวนี้ไม่ได้ เสิ่นเหลี่ยนสือนิ่งคิดอยู่เป็นนาน สอบถามไปสองสามประเด็น นางตวนมู่ก็อธิบายออกมาได้อย่างรวดเร็วและสมเหตุสมผล เสิ่นจั้งจีและเสิ่นเหลี่ยนคุนล้วนแอบปาดเหงื่อ กล่าวว่า “พี่รองท่านฟังเถิด พวกเราบอกแล้วว่าพี่สะใภ้รองเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเสมอมา แล้วจักทำร้ายบุตรชายของท่านได้อย่างไร? หรือบุตรของพี่รอง มิใช่บุตรของพี่สะใภ้รองเล่า?”


                เสิ่นเหลี่ยนสือไม่อาจหาข้ออ้างมาปฏิเสธได้ ทั้งถูกพวกน้องชายค่อนแคะ นางหลิวเองก็คอยช่วยพูด เขาจึงทำได้เพียงมองนางตวนมู่ด้วยสายตาเคลือบแคลงไปตามสัญชาตญาณเป็นหนสุดท้ายและขอโทษนาง….


____________________________


[1] อู๋ฮวา แปลว่า ไร้บุปผา


ตอนที่ 23 กลับช้า

โดย

Xiaobei

                “…ข้ารู้สึกว่า พี่สะใภ้รองทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะท่านน้ากัว?” เว่ยฉางอิ๋งกลับมาถึงเรือนจินถงด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่ง และพบว่านางหวงกลับมาแล้ว แต่กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเสียอีก จะว่าไปแล้วต่อให้วันนี้เขาจะเชิญเพื่อนพ้องมากินเลี้ยงเหมือนเมื่อวาน อย่างไรก็ควรกลับมาแล้ว แต่กลับยังมิเห็นแม้แต่เงา


                ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่มีเวลามาสนใจเขา เพียงกำชับสาวใช้ที่อยู่บนระเบียงทางเดินว่าหากเห็นเสิ่นจั้งเฟิงกลับมาก็ให้ไปรายงานด้วย จากนั้นก็ดึงนางหวงไปแอบกระซิบกระซาบกัน “ท่านน้ากัวมีท่าทีว่านางสงสัยพี่สะใภ้รอง คราวก่อนยังคิดจะอาศัยโอกาสตอนที่พี่สะใภ้รองไม่อยู่ให้พี่สะใภ้ใหญ่หรือไม่ก็ข้าไปสืบสวนเรื่องที่ลวี่เฉียวแท้งลูกเสียให้ได้ เรื่องนี้ก็มิได้เป็นความลับแต่อย่างใด พี่สะใภ้รองคงรู้ได้ไม่ยาก วันนี้คงเป็นการจงใจจัดฉากให้ท่านน้ากัวดู?”


                ทั้งที่นางตวนมู่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าที่ลวี่เฉียวแท้งลูกเป็นเพราะนางไม่ระวังทำให้ตนเองสูญเสียลูกไป ภายหลังเพื่อหลบเลี่ยงความรับผิดชอบจึงสร้างเรื่องว่าถูกคนวางยาขับเลือดทำร้ายตนเพื่อจะได้พ้นผิด… แต่นางก็กลับไม่ยอมอธิบายให้ชัดเจน จนกระทั่งทำให้เสิ่นเหลี่ยนสือโมโหโกรธายกใหญ่ ทั้งตบตีทั้งด่าทอนาง เกิดเรื่องเสียจนคนทั่วจวนไม่มีผู้ใดไม่รู้ ครานี้นางจึงค่อยอธิบายเรื่องต่างๆ ทีละเรื่องออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจ


                เรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นหนนี้ ต่อให้บ้านตวนมู่ไม่ส่งคนมา เมื่อฮูหยินซูกลับมาก็จะต้องตำหนิเสิ่นเหลี่ยนสือ ส่วนเรื่องที่ท่านน้ากัวมาหานางหลิว ทั้งยังเรียกเว่ยฉางอิ๋งที่เพิ่งจะเข้าบ้านมาไปพูดคุยด้วยที่บ้านใหญ่ก่อนหน้านี้… เดิมทีนางก็เป็นเพียงอนุคนหนึ่ง เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่นางต้องมาก้าวก่ายไม่ ต่อให้หนนี้เสิ่นเหลี่ยนสือไม่ยอมรับว่าฟังความจากนาง เรื่องที่สงสัยนางตวนมู่จนบันดาลโทสะขึ้นมา แล้วผู้อื่นจะไม่คิดเช่นนี้หรือ?


                ครั้งเว่ยฉางอิ๋งยังไม่ออกเรือนก็เคยได้ยินท่านย่าและท่านแม่เอ่ยถึงว่าฮูหยินซูเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบยิ่ง เรื่องที่อนุภรรยาก้าวก่ายเรื่องหลังบ้านของสะใภ้ ลำพังเพียงประเด็นนี้ก็เพียงพอจะทำให้ฮูหยินซูโกรธเกรี้ยวได้แล้ว ประสาอะไรที่วันนี้แม่เฒ่าเติ้งกำลังล้มป่วยหนัก เพียงคิดก็รู้แล้วว่าอารมณ์ของฮูหยินซูจะต้องไม่ดีเป็นแน่แท้


                ไม่แน่ว่าแม้แต่เสิ่นเหลี่ยนสือเองก็อาจจะรู้สึกว่าที่ตนเชื่อคำมารดาปรักปรำภรรยาตนในครานี้ ก็เพราะมารดาของตนช่างเบาปัญญาเสียจริงๆ


                แม้จะบอกว่าดูจากท่าทีของท่านน้ากัวแล้วนางคงจะเป็นที่ชื่นชอบของเสิ่นเซวียนยิ่ง จึงทึกทักเอาว่าตนจะพอมีฐานะในเรือนหลังบ้าง แต่ไม่ว่าจะชื่นชอบนางปานใด นางก็เป็นเพียงแค่อนุ เสิ่นเซวียนจะไปตำหนิภรรยาหลวงหรือสะใภ้ว่าทำไม่ถูกต้องเพราะความคิดเลยเถิดของนางได้อย่างไร?


                เช่นเดียวกับคนที่เป็นสะใภ้ โดยส่วนตัวแล้วเว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องยืนอยู่ฝั่งนางตวนมู่ “คราวก่อนที่ถูกพี่สะใภ้ใหญ่เรียกให้ไปบ้านใหญ่ เมื่อเห็นท่านน้ากัว ข้าก็รู้สึกว่าท่านน้าผู้นี้ช่างเรื่องมากเสียเหลือเกิน ต่อให้ท่านแม่มิได้อยู่ใจวน แต่บ้านตระกูลซูก็อยู่ในเมืองหลวง หากส่งคนไปรายงานสักคำ เพื่อไปขอฟังความคิดเห็นนของท่านแม่จึงค่อยทำการใดๆ เช่นนี้จึงเป็นการสมควร นางไปแทรกแซงในเรื่องนี้จะนับสิ่งได้? เห็นแก่หน้าของที่ท่านพ่อและพี่รอง ข้าจึงมิได้กล่าวถ้อยคำแรงๆ กับนาง แต่นางกลับไม่ลองคิดดูบ้างว่าหากพวกเรารับปากนางแล้ว จะให้สะใภ้เช่นพวกเราไปบอกกับท่านแม่ว่าอย่างไร?”


                นางหวงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “อย่างไรคุณชายรองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านน้ากัว เรื่องของบ้านสอง มีหรือที่ท่านน้ากัวจะไม้สอดส่องดูแลสักหน่อยเจ้าคะ? ทว่าฮูหยินน้อยรองก็เกิดในตระกูลใหญ่ ย่อมมีความทะนงตนอยู่แต่เดิมที ยิ่งไปกว่านั้นตามกฎแล้ว ผู้ที่ฮูหยินน้อยรองต้องคอยปรนนิบัติก็มีเพียงฮูหยิน ท่านน้ามีหรือจะเรียกฮูหยินน้อยรองไปคอยปรนนิบัตินางอย่างนอบน้อมหรือนำเรื่องต่างๆ ไปฟ้องได้? ทว่า แม้ท่านน้ากัวจะเป็นอนุ แต่กลับไม่เหมือนว่านางคิดจะยอมปฏิบัติตนเป็นผู้น้อย เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ หากนางจะตั้งต้นเป็นฝ่ายตรงข้ามกับฮูหยินน้อยรองก็หาใช่เรื่องแปลกไม่ ความจริงแล้วนางก็เป็นมารดาของคุณชายรอง ต่อให้ฐานะของท่านน้ากัวจะต้อยต่ำกว่านี้ จะอย่างไรคุณชายย่อมต้องเชื่อนางอยู่บ้างเจ้าค่ะ”


                “นางเป็นเพียงมารดา หาใช้แม่ใหญ่ หากให้พี่สะใภ้รองปฏิบัติกับนางเช่นปฏิบัติกับท่านแม่ ยังมิต้องเอ่ยว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือไม่เลย หากว่ากันถึงทางท่านแม่แล้ว พี่สะใภ้รองจะว่างตัวเช่นไรกับท่านแม่เล่า?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วว่า “ข้าได้ยินมาตลอดว่าท่านแม่เป็นผู้ที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมาก คิดไม่ถึงว่าในจวนนี้จะมีผู้ที่เป็นคางคกขึ้นวอเช่นนี้”


                นางหวงตบที่หลังมือนางเบาๆ แล้วยิ้มอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “ดีชั่วคุณชายของเราก็เป็นบุตรของภรรยาเอก ต่อให้ท่านน้ากัวจะยุ่งย่ามเพียงใด ผู้ที่ต้องปวดหัวก็มีเพียงฮูหยินน้อยรอง คราก่อนที่บ้านใหญ่ ฮูหยินน้อยใหญ่ก็มิใช่ว่าไม่ต้องการจะพูดกับท่านน้ากัวให้มากความ และพูดกันเพียงไม่กี่ประโยคก็ให้นางไปแล้วหรอกหรือ? ตามความเห็นของข้าน้อย หากมิใช่เพราะเรื่องของคุณหนูสิบตระกูลหลิว ฮูหยินน้อยใหญ่ยังคร้านจะฟังนางเลย ทั้งต้องลำบากให้ฮูหยินน้อยไปอีกด้วย!”


                เว่ยฉางอิ๋งรีบถามว่า “ท่านอา วันนี้ไปหาท่านหมอเทวดาจี้?”


                “ท่านหมอเทวดาสั่งยามาสองสามแผ่นเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มพลางว่า “และบังเอิญทีเดียว วันนี้คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ก็อยู่ที่นั่นด้วย คุณแปดกระเซ้าท่านหมอเทวดาจนท่านอารมณ์ดีนักหนา ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องที่ข้าน้อยมา ท่านหมอเทวดาจึงตกปากรับคำเจ้าค่ะ”


                 เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางอุทานออกมา “คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่มิใช่ถูกเชิญไปรักษาท่านยายที่บ้านซูหรอกหรือ?”


                มุมปากของนางหวงพลันโค้งขึ้น ยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ใช่สิเจ้าคะ ท่านแม่ของฮูหยินน้อยรองไปหาคุณหนูแปดด้วยตนเอง แต่กลับกลายเป็นว่าคุณหนูแปดเห็นแก่หน้าท่านอาในตระกูลจึงไปบ้านซูหนหนึ่ง แต่อยู่ที่นั้นครึ่งวันก็อ้างว่าวิชาแพทย์ของตนไม่ลึกพอ ต้องกลับไปขอคำชี้แนะจากท่านหมอจี้ จึงได้ไปที่บ้านของท่านหมอเทวดาเจ้าค่ะ!”


                “นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ไม่ใคร่อยากจะรักษาแม่เฒ่าเติ้ง” เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างประหลาดใจ


                “คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ขัดเคืองเรื่องที่บ้านซูไปเชิญท่านแพทย์หลวงก่อนจึงไปเชิญนางนะเจ้าคะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “วันนี้ข้าน้อยได้ยินว่านางไปบ่นไม่พอใจกับท่านหมอเทวดาด้วยเจ้าค่ะ คนที่แพทย์หลวงจี้รักษาแล้วเหลือมาจึงค่อยไปหานาง เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? ในเมื่อไปหาแพทย์หลวงแล้ว ไยจึงไม่ไปรักษากับแพทย์หลวงให้แล้วให้รอดไปเสียเลย ไยต้องไปรบกวนนาง… นางหาได้มีแก่ใจจะไปคอยเก็บกวาดให้พวกแพทย์หลวงไม่”


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจนัก “ข้านึกว่าพี่สะใภ้รองก็เป็นพี่สาวร่วมตระกูลของคุณหนูแปดตวนมู่ หากนางเป็นคนไปบอกกล่าว คุณหนูแปดก็จักต้องพยายามอย่างสุดแรงเสียอีก”


                “พี่สาวน้องสาวในตระกูลใหญ่มีมากมาย หาใช่ว่าทุกคนล้วนสนิทสนมกันนะเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “ยกตัวอย่างฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิว หากมิใช่ว่ามารดาของคุณหนูสิบตระกูลหลิวเคยช่วยฮูหยินน้อยใหญ่ และตนเองต้องมาตายด้วยเหตุนี้ จนทำให้คุณหนูสิบตระกูลหลินต้องมาตกระกำลำบากแสนสาหัสด้วยน้ำมือของแม่เลี้ยง… และฮูหยินน้อยใหญ่เองก็นับกว่ามีจิตใจดีงาม จึงได้ปกป้องคุณหนูสิบตระกูลหลิวเช่นนี้ หาไม่แล้วฮูหยินน้อยก็ดูเอาเถิดว่าเด็กสาวในตระกูลหลิวนั้นมีมากมาย ฮูหยินน้อยใหญ่ก็หาได้พาทุกคนมาพักอยู่ในบ้านเสิ่นอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้ ทั้งยังมาขอร้องฮูหยินน้อยอย่างอ่อนโยนว่าให้ข้าน้อยช่วยไปตรวจชีพจรให้อีก”


                แล้วว่า “ก็มิใช่จะบอกว่าคุณหนูแปดตวนมู่หรือฮูหยินน้อยใหญ่ไม่รักใคร่คนในตระกูลของตนนะเจ้าคะ ความจริงแล้วที่ครานี้แม่เฒ่าเติ้งเชิญท่านหมอหลวงจี้มารักษาแล้วจึงค่อยมาคิดถึงท่านหมอเทวดาจี้ เดิมทีก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว นี่ยังมิได้เอ่ยถึงเรื่องในอดีตระหว่างบ้านตระกูลเติ้งและท่านหมอเทวดาจี้เสียด้วยซ้ำ เพียงพูดถึงเรื่องระหว่างหมอเทวดาจี้และตระกูลจี้ ที่เขาถูกบ้านตระกูลจี้บีบบังคับจนกระทั่งแม้แต้คฤหาสน์ที่สู้อุตส่าห์ซื้อกลับมาอย่างยากเย็น ตนเองก็ยังไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้ ทำได้เพียงไปซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งที่เฉิงตงและอาศัยอยู่ที่นั่น เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นเลวร้ายเพียงใด! อีกทั้งเรื่องนี้ก็หาใช่เป็นความลับใดในเมืองหลวงไม่ แต่เพื่อฐานะของฮูหยินน้อยรองในบ้านตระกูลเสิ่น ปรากฏว่าฮูหยินน้อยรองและมารดาของนางต้องไปเชิญคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่รับรักษาแม่เฒ่าเติ้งต่อจากแพทย์หลวงจี้!”


                “เหตุใดจึงไม่ลองคิดดูว่า แล้วจักให้คุณหนูแปดตวนมู่ซึ่งเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของท่านหมอเทวดาจี้ไปกล่าวอย่างไรกับอาจารย์ของนาง? ยามนี้ท่านหมอเทวดาจี้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นใดต้องอาศัยการรักษาผู้ป่วยที่ท่านแพทย์หลวงจี้รักษาไม่หายมาสร้างชื่อเสียงใดแก่ตน! ต่อให้ฐานะของเขาไม่สู้คุณหนูแปดตวนมู่ ทว่าคุณหนูแปดตวนมู่ก็คารวะเขาเป็นอาจารย์ตามธรรมเนียมแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยยังเห็นว่าคุณหนูแปดเคารพนับถือท่านหมอเทวดาเป็นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าแต่ไรมานางอาจไม่พอใจบ้านสกุลจี้เป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ด้วยเรื่องที่บ้านสกุลจี้เคยติดค้างต่อท่านหมอเทวดาจี้! แล้วจักให้ยอมรับรักษาผู้ป่วยที่แพทย์หลวงจี้รักษาไม่หาย เพื่อช่วยกู้หน้าให้แพทย์หลวงจี้ได้อย่างไร… เรื่องที่ฮูหยินน้อยรองทำครานี้คำนึงถึงแต่เพียงตนเอง แต่ไม่คำนึงถึงคุณหนูแปดตวนมู่บ้าง แม้คุณหนูแปดมิได้กล่าวสิ่งใดกับข้าน้อย แต่จากที่ข้าน้อยดู เห็นชัดว่าคุณหนูแปดไม่ใคร่พอใจนักเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็ยากจะไม่คิดไปถึงเว่ยเกาฉานและเว่ยฉางเยียน ในใจจึงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา และไม่คิดจะพูดเรื่องบ้านตวนมู่ต่อ พลางว่า “ในเมื่อท่านหมอเทวดาสั่งยามาแล้ว เช่นนั้นจักนำไปให้พี่สะใภ้ใหญ่ยามใด?”


                “ข้าน้อยจักไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านอามิใช่บอกว่าจะให้พี่สะใภ้ใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวต่างรู้สึกว่าการรักษาหนนี้มิใช่เรื่องง่ายหรือ?” ยามนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เหตุใดยังจะรีบนำไปส่งให้อีก?”


                นางหวงยิ้มพลางว่า “ใช่เจ้าค่ะ แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านหมอเทวดาจะพูดจาง่ายเช่นนี้ เดิมทีข้าน้อยคิดว่าจะลองพูดลอยๆ ไปสักหน หากท่านหมอเทวดาไม่ตกลง จึงค่อยไปอีกเป็นหนที่สอง เพื่อขอให้ท่านหมอเทวดาสั่งความใดมาสักอย่าง เมื่อข้าน้อยกลับมาจะได้บอกว่าได้รับคำชี้แนะจากท่านหมอเทวดามา จึงไปรักษาคุณหนูสิบตระกูลหลิว แต่วันนี้เพียงครู่เดียวก็ได้ยามาหลายขนาดถึงเพียงนี้ จึงไม่อาจปิดบังน้ำใจของท่านหมอเทวดาเอาไว้ได้เจ้าค่ะ… ฮูหยินน้อยโปรดคิดดู ยามนี้ฮูหยินน้อยใหญ่กำลังเฝ้าแต่คำนึงเรื่องสุขภาพของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนะเจ้าคะ เมื่อพวกเราร้อนใจในเรื่องที่นางร้อนใจอยู่ ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบจะไม่รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลได้หรือเจ้าคะ? หากรั้งรอไว้อีกวัน แม้ทางนั้นจะไม่ว่าอย่างไร แต่ก็ต้องรู้สึกว่าพวกเราเห็นมิได้ใส่ใจเรื่องสุขภาพของคุณหนูสิบตระกูลหลิวเท่าใด…ดีชั่วก็ล้วนอยู่ในคฤหาสน์เดียวกัน ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว”


                เว่ยฉางอิ๋งถามไปอีกว่า “เช่นนั้นต้องให้ข้าไปกับท่านอาด้วยหรือไม่?”


                “ไม่ต้องเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ย “ให้ข้าน้อยไปแต่ผู้เดียว จักได้เห็นว่าฮูหยินน้อยมิได้ถือสาบุญคุณหนหนี้ หากแต่เพียงเพราะสงสารคุณหนูสิบตระกูลหลิว จึงได้ช่วยเหลือคุณหนูสิบเท่านั้น เช่นนี้แล้วจะยิ่งส่งผลที่ดียิ่งขึ้นไปอีกเจ้าค่ะ!”


                “ท่านอาหลักแหลมจริงๆ” เว่ยฉางอิ๋งลอบปาดเหงื่อ เรื่องของบุญคุณในหล้านี้ มิอาจใช้คำเพียงไม่กี่คำก็จะสามารถอธิบายได้ครบถ้วน โชคดีที่นางหวงเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ เมื่อมีท่านอาหวงผู้นี้อยู่ข้างกายก็นับว่าสบายใจได้อย่างมาก


                รอจนนางหวงไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งเห็นเสิ่นจั้งเฟิงยังไม่กลับมาก็อดจะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ จึงเรียกคนไปที่เรียกเสิ่นจวี้จากเรือนชั้นหน้ามา แล้วสอบถามว่า “เจ้าติดตามคุณชายสามมานานเท่าใดแล้ว?”


                เสิ่นจวี้ประสานมือยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฉากกันลมตอบว่า “ข้าน้อยติดตามคุณชายมาตั้งแต่อายุได้สิบขวบขอรับ”


                “เช่นนั้นเจ้าคงจักรู้เวลาเลิกงานของคุณชายสามกระมัง?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามเสียงบางเบาว่า “ครานี้ไม่ใช่ว่าเลยเวลาแล้วหรือ?”


                เสิ่นจวี้กล่าวว่า “เรียนฮูหยินน้อย เลยเวลาแล้วขอรับ”


                “วันนี้ที่หน้าประตูมีคนมาบอกว่าคุณชายสามต้องกลับล่าช้าบ้างหรือไม่?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว


                “เรียนฮูหยินน้อย ข้าน้อยคอยเฝ้าอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา แต่กลับมิเห็นผู้ใดมาขอรับ”


                เช่นนั้นก็เป็นเสิ่นจั้งเฟิงกลับช้าแต่กลับมิได้สั่งให้คนกลับมาบอกให้ชัดเจน?


                เว่ยฉางอิ๋งเกิดความสงสัยขึ้นมาเต็มอก วานนี้เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาล่าช้าเช่นกัน แต่พอถึงยามนี้แล้วเขาก็จะมาบอกสาเหตุเอง ไยวันนี้ช้าถึงเพียงนี้แล้วกลับไม่ให้คนมาบอกสักคำ?


                ดูจากที่ได้อยู่ด้วยกันมาสองสามวันนี้ เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนละเอียดอ่อนเอาอกเอาใจ ไม่เหมือนคนที่เอาแต่ไปสำราญอยู่ภายนอก โดยไม่ไยดีว่าภรรยาจะตั้งตารออยู่ที่บ้านนี่…เดี๋ยวก่อน ตั้งตารอรึ?


                เว่ยฉางอิ๋งออกแรงกำผ้าเช็ดหน้าในมือ ใบหน้าค่อยๆ แดงขึ้นมา แล้วค่อนแคะตนเองไปหนหนึ่งว่า “ผู้ใดตั้งตารอเขากันเล่า? ข้าก็เพียงแค่…อื่ม สงสัย ใช่แล้ว ก็แค่สงสัย ว่ามีเรื่องใดรั้งตัวเขาไว้ จนยามนี้ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้? คงมิใช่ว่ามีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับองค์หญิงหลินชวนหรือจางผิงซวีหรอกนะ?


                นางรีบสะบัดมือให้เสิ่นจวี้ถอยออกไป แล้วให้ฉินเกอไปบอกกับทางห้องครัวว่ายังไม่ต้องเร่งร้อนตระเตรียมอาหารเย็นออกมา คิดในใจว่าอยากส่งคนไปสอบถามดูที่หน้าประตูวัง แต่ก็รู้สึกว่าเพิ่งจะแต่งงานก็คอยไปเร่งรัดเสิ่นจั้งเฟิงถึงเพียงนี้อดจะทำให้คนหัวเราะเยาะเอามิได้… อย่างไรเมืองหลวงก็อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของฮ่องเต้ แล้วจักเกิดเรื่องใดได้? โดยมากแล้วคงเป็นเพราะเสิ่นจั้งเฟิงไปกินดื่มกับที่ปรึกษาหรือสหายสนิท หรือไปทำบางสิ่งกระมัง


                นางเดินวนเวียนไปมาภายในห้องอยู่เป็นนาน คลับคล้ายว่าได้ยินเสียงเดินมาจากบนระเบียงทางเดิน จากนั้นประตูก็ถูกผลักเปิด เว่ยฉางอิ๋งพลันยินดี รีบหันหน้าไปมอง แต่กลับเป็นนางหวง


                 นางหวงเห็นว่าสีหน้ายินดีของนางกลายมาเป็นนิ่งเหม่อและผิดหวัง แล้วมองเห็นว่าภายในห้องนั้นนอกจากสาวใช้แล้วก็มีเพียงเว่ยฉางอิ๋งผู้เดียว นางก็รู้สึกตกใจอยู่ภายในใจ กล่าวว่า “เหตุใดคุณชายยังไม่กลับมาเจ้าคะ?”


                “นั่นน่ะสิ” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจ พลางเอ่ยถามอย่างซึมๆ ว่า “ท่านอาบอกกล่าวกับพี่สะใภ้และคุณหนูสิบตระกูลหลิวเรียบร้อยแล้วหรือ?”


                เดิมทีนางหวงก็คิดจะรายงายให้ฟังโดยละเอียด แต่ยามนี้เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งหาได้มีแก่ใจจะมาตั้งใจฟังนาง จึงรวบรัดตัดความไปว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่และคุณหนูสิบตระกูลหลิวล้วนซาบซึ้งยิ่ง กล่าวแต่ว่าภายหลังจักต้องหาทางตอบแทนฮูหยินน้อยให้ได้เจ้าค่ะ”


                “เรื่องนี้เป็นผลงานของท่านอา ความจริงแล้วมิได้เกี่ยวข้องกับข้าแต่อย่างใด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกไปด้วยจิตใจล่องลอย


                นางหวงยิ้มพลางว่า “จักไม่เกี่ยวกับฮูหยินน้อยได้อย่างไรเจ้าคะ? หากมิใช่ฮูหยิน้อย ไม่ว่าจะเป็นคุณหนูสิบตระกูลหลิว หรือคุณหนูสิบตระกูลจาง…แล้วจะเกี่ยวกับข้าน้อยที่ใด? ข้าน้อยบอกแล้วว่า แต่แรกที่ข้าน้อยร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดาจี้ ก็เพื่อแบ่งเบาความกังวลของฮูหยินผู้เฒ่า หาใช่เพราะต้องการออกไปกอบกู้ใต้หล้า”


                เว่ยฉางอิ๋งถอดหายใจ พึมพำกับตัวเองว่า “ไยคนยังไม่กลับมานะ?” เห็นชัดว่ามิได้ฟังคำของนางหวงอยู่เลย


                นางหวงเองก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย… สองสามวันมานี้นางเฝ้ามองอยู่ในสายตา คู่สามีภรรยาแต่งงานใหม่นี้มีความหวานชื่นอยู่ในที เว่ยฉางอิ๋งยังกระดากอายด้วยเพิ่งจะมาเป็นภรรยา จึงยังแสร้งวางท่าเหินห่าง ปล่อยวางยังไม่ใคร่ได้ แต่เสิ่นจั้งเฟิงกลับเอาใจใส่ภรรยายิ่ง หากไม่มีเรื่องใดจำเป็นตามหลักแล้วไม่น่ากลับมาดึกดื่น หรือต่อให้มีเรื่องทำให้ต้องล่าช้า ก็จะต้องสั่งให้คนส่งจดหมายมาบอกสาเหตุ


                ข้างกายเสิ่นจั้งเฟิงก็มิใช่มีแต่เสิ่นเตี๋ยเป็นเด็กชายรับใช้เพียงคนเดียว จึงไม่น่าจะจัดแบ่งคนมาส่งข่าวไม่ได้… เหตุใดจึงไรข่าวคราวจนถึงยามนี้เล่า?


                นางหวงคิดสักพัก จึงว่า “ข้าน้อยจะลองถามพี่ว่านดูเจ้าค่ะ และไปขอให้นางส่งคนไปคอยต้อนรับ”


                เมื่อนางเอ่ยเตือน เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งนึกถึงนางว่านขึ้นมาได้ กำลังจะพูด ข้างนอกกลับมีคนร้องออกมาอย่างยินดีว่า “คุณชายกลับมาแล้ว!”


________________________________


ตอนที่ 24 เบาะแสของศัตรู

โดย

Xiaobei

                เว่ยฉางอิ๋งทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี ไม่ทันได้คิดสิ่งใดมากมายก็วิ่งปรี่ออกประตูไป กลับเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่บนระเบียบทางเดินที่ยามนี้จุดโคมไฟแล้ว แต่เพราะมีลานบ้านกั้นอยู่ ทั้งแสงก็สลัว นางจึงมองไม่เห็นชัดเจนว่ามีเสิ่นจั้งเฟิงอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้นหรือไม่ นางรออยู่เป็นนานไม่เห็นว่ากลุ่มคนจะแยกกันออกมาเสียที ด้วยความร้อนใจนางจึงวิ่งปรี่ลงไปที่ลานบ้านเสียเลย จนถึงระเบียงทางเดินข้างหน้า เมื่อทุกคนเห็นว่าฮูหยินน้อยก็มา จึงรีบคารวะและกล่าวทักทายนาง


                เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งไม่มีเวลาจะมาสนใจพวกเขา เมื่อชะเง้อมองในกลุ่มคนกลับมิได้เห็นแม้แต่เงาของเสิ่นจั้งเฟิง จึงขมวดคิ้วแล้วถามว่า “คุณชายสามเล่า?”


                ได้ยินเพียงจูหลานยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า “คุณชายสามยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้เป็นเสิ่นเตี๋ยกลับมารายงานข่าวคราวเจ้าค่ะ ข้าน้อยนึกว่าคุณชายอยู่ข้างหลัง จึงได้ตะโกนบอกไป…”


                ยามนี้เองเว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มเสื้อครามที่ยืนประสานมืออยู่ที่ประตูโค้งวงพระจันทร์ก็คือเสิ่นเตี๋ย หลังจากตั้งสติแล้วจึงถามเขาว่า “เหตุใดจึงมีเพียงเจ้ากลับมาผู้เดียว? คุณชายสามเล่า?”


                เสิ่นเตี๋ยคำนับหนหนึ่งจึงว่า “เรียนฮูหยินน้อย ยามนี้คุณชายสามอยู่ที่จวนตระกูลซูขอรับ หลังเที่ยงวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเวียนหัวหนักมาก เมื่อคุณชายได้ยินข่าวจึงรีบไปเยี่ยมขอรับ และเพราะอยู่คอยปลอบฮูหยินจนล่วงเลยเวลา ฮูหยินเป็นห่วงว่าคุณชายต้องไปทำงานจะลำบาก จึงให้คุณชายพักอยู่ที่บ้านซูหนึ่งคืนเสียเลย วันพรุ่งเลิกงานแล้วจึงค่อยกลับมา จึงสั่งให้ข้าน้อยกลับมารายงานฮูหยินน้อยขอรับ”


                ที่แท้ก็อยู่บ้านตระกูลซูนี่เอง


                เว่ยฉางอิ๋งโล่งใจ กล่าวว่า “เช่นนั้นวันพรุ่งต้องส่งเสื้อผ้าไปให้กระมัง?”


                เสิ่นเตี๋ยคำนับแล้วว่า “เรียนฮูหยินน้อย คุณชายสามมีเสื้อผ้าและของใช้เก็บไว้ในห้องเวรยามในวังแล้ว ยามไปจวนตระกูลซูก็ได้นับติดตัวไปด้วยแล้วขอรับ”


                “วันนี้ท่านยายเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องให้คนในบ้านไปคอยดูแลเพิ่มอีกหรือไม่?” ก่อนนี้ยามนางหวงกลับมาก็เคยบอกว่า เมื่อแพทย์หลวงจี้ฉงหย่วนรักษาแม่เฒ่าเติ้งไม่ได้ ฮูหยินซูจึงได้ไหว้วานให้นางตวนมู่สะใภ้คนรองไปเชิญคุณหนูแปดบ้านตวนมู่มา… แม้แพทย์หลวงจี้ฉงหย่วนจะไม่อาจเทียบกับจี้ชวี่ปิ้งได้ แต่อย่างไรก็เป็นพี่น้องร่วมตระกูลจี้ที่สืบทอดงานด้านการแพทย์มายาวนานนับร้อยปีเช่นเดียวกับจี้ชวี่ปิ้ง เมื่อสามารถเป็นถึงแพทย์หลวงก็ย่อมเก่งกาจกว่าหมอธรรมดาทั่วไป


                เขาไม่อาจรักษาแม่เฒ่าเติ้งได้ จึงเห็นชัดว่าอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่านั้นยากเกินรับมือยิ่ง


                แต่ผู้ที่สืบทอดวิชาจากจี้ชวี่ปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เขายอมรับหรือไม่ กลับไม่มีแม้สักคนที่พึงใจจะไปรักษาให้ นางหวงเป็นเช่นนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่ได้ดีไปกว่าสักเท่าใด คาดว่าคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ผู้นี้หาได้มองเห็นความเป็นตายของแม่เฒ่าเติ้งอยู่ในสายตาเลยแม้สักน้อย นางหวงบอกว่าวันนี้ยามนางอยู่ที่เรือนของจี้ชวี่ปิ้งก็ยังทำให้อาจารย์สบายอกสบายใจยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะตรวจดูอาการแม่เฒ่าเติ้งเพียงผ่านๆ ก็บอกว่าจะไปสอบถามอาจารย์… จากนั้นก็วิ่งมาหัวร่อต่อกระซิกต่อหน้าอาจารย์ แล้วกลับทิ้งเรื่องของแม่เฒ่าเติ้งไปเสีย


                ปรากฏว่าพอหลังเที่ยงอาการของแม่เฒ่าเติ้งผู้น่าสงสารก็กลับยิ่งทรุดหนักขึ้น…


                แม้เว่ยฉางอิ๋งจะแต่งงานกับเสิ่นจั้งเฟิง แต่จนยามนี้ก็ยังไม่เคยได้พบแม่เฒ่าเติ้ง นางย่อมมิได้รู้สึกเศร้าเสียใจและเป็นทุกข์กับแม่เฒ่าเติ้งจริงๆ เพียงแต่ยามนี้นางเพิ่งข้าบ้านมายังไม่ครบเดือนหากต้องมาไว้ทุกข์เสียแล้ว ก็นับว่าไม่เป็นมงคลเลย ยามนี้เมื่อเอ่ยถามกับเสิ่นเตี๋ยว่าอาการของแม่เฒ่าเติ้งเป็นเช่นไร นางจึงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา


                เสิ่นเตี๋ยส่ายหน้าบอกว่า “ยามข้าน้อยกลับมารายงานนั้น ฮูหยินกำชับให้ข้าน้อยนำความมาแจ้งแก่ฮูหยินน้อย ให้ฮูหยินน้อยจัดแจงเรือนจินถงให้ดี หากมีเวลาว่างก็ไปช่วยฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองสักหน่อยขอรับ”


                ซึ่งนี่ก็เป็นการบอกว่าให้นางตวนมู่อยู่ที่จวนไม่ต้องไปแล้ว?


                เว่ยฉางอิ๋งเกิดความคิดไปมาในใจ เพราะการกระทำของตวนมู่ซินเหมี่ยวทำให้ฮูหยินซูไม่ชอบใจ จึงได้พาลโกรธมาถึงนางตวนมู่ หรือเพราะรู้ว่าเสิ่นเหลี่ยนสือลงมือตบตีด่าทอภรรยาเอกด้วยเรื่องที่ลวี่เฉียวแท้งลูก และกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวายเพิ่มมาขึ้นอีก จึงให้นางตวนมู่อยู่ที่บ้านจัดการเรื่องราวในบ้านสองให้เรียบร้อยไปเสียเลย?


                นางใจลอยไปหลายอึดใจ แล้วถูกนางหวงที่ตามมาดึงเบาๆ จึงบอกว่า “ข้ารู้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”


                “ฮูหยินกล่าวเพียงเท่านี้ขอรับ”


                เว่ยฉางอิ๋งเห็นเขามิได้เอ่ยว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีคำพูดต้องการจะบอกกล่าวกับตน พลันรู้สึกผิดหวังขึ้นมาในใจ แล้วกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถิด วันพรุ่งเจ้ายังต้องไปจวนตระกูลซูหรือไม่?”


                เสิ่นเตี๋ยกล่าวว่า “คุณชายทางนั้นมีเสิ่นเล่อคอยรับใช้อยู่ขอรับ จึงให้ข้าน้อยไปรับใช้ยามถึงเวลาเลิกงานเป็นพอขอรับ”


                “เช่นนั้นเจ้าไปเถิด” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า


                ในเมื่อคืนนี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่กลับมาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ต้องรออีกต่อไป จึงสั่งให้บ่าวเตรียมสำรับและรีบทานอาหารจนเสร็จ แล้วให้บ่าวเตรียมน้ำมาอาบ อาบน้ำแล้วก็กลับเข้าไปในห้อง ยามเข้าประตูพลันเกิดความระแวงขึ้นมาตามสัญชาตญาณ… จากนั้นจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เสิ่นจั้งเฟิงไปค้างที่จวนตระกูลซูแล้ว


                นางลอบยิ้มน้อยๆ อยู่ในใจ แล้วไปนั่งบนตั่งนอน พลางเอาผ้ามาเช็ดผมยาวของตนสองสามหน รวบรวมสติครุ่นคิด แล้วสั่งฉินเกอว่า “เจ้าไปดูว่าท่านอาหวงว่างหรือยัง? หากว่างแล้วก็ให้เชิญนางมา”


                หลังจากนั้นพักใหญ่นางหวงก็มา ซึ่งผมยาวที่นางหวงม้วนขึ้นมาลวกๆ ยังคงเปียกอยู่ เว่ยฉางอิ๋งจึงบ่นฉินเกอว่า “มิใช่บอกว่าให้ดูว่าท่านอาว่างแล้วจึงค่อยเชิญมาหรอกหรือ?”


                “มิเป็นไรเจ้าค่ะ ยามนี้เป็นฤดูร้อน ผ่านไปสักพักก็จะแห้งเอง” นางหวงยิ้มพลางว่า “ข้าน้อยก็กำลังคิดอยากจะมาคุยธุระกับฮูหยินน้อยเช่นกันเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งมองฉินเกอและเยี่ยนเกอหนหนึ่ง ทั้งสองคนเข้าใจและออกไปเฝ้าข้างนอกประตู


                นางหวงจึงว่า “แม้จะได้ยามาหลายสำรับ แต่ฮูหยินน้อยใหญ่ยังกังวลว่าเมื่อคุณหนูสิบตระกูลหลิวกลับบ้านไปแล้วจะได้รับพิษอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจเชิญคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวมาพักที่บ้านเราสักพักเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “คุณหนูหลิวสิบเอ็ด? เป็นบุตรสาวแท้ๆ คนละแม่กับคุณหนูสิบตระกูลหลิวนั่นหรือ?”


                “เป็นหลิวรั่วเหยียผู้นั้นล่ะเจ้าค่ะ” มุมปากของนางหวงพลันเผยความเย้ยหยันออกมา แล้วกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่คิดจักใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง… กระเรียนระทมชนิดนี้ ในใต้หล้านอกจากท่านหมอเทวดาจี้แล้วไม่มีผู้ใดรักษาได้ การที่คุณหนูสิบตระกูลหลิวถูกลอบทำร้ายครานี้ แม้จะสามารถช่วยได้ แต่หากถูกวางยาอีกหนก็ยากจะพูดได้แล้วเจ้าค่ะ… ฮูหยินน้อยใหญ่วางแผนจะรอให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวสามารถออกเรือนอย่างปลอดภัยเสียก่อน แล้วจึงถอนพิษให้คุณหนูหลิวตระกูลสิบในภายหลัง”


                “ใช้หลิวรั่วเหยียเป็นตัวประกัน…” เว่ยฉางอิ๋งนิ่งคิดแล้วว่า “นี่เป็นเรื่องภายในของบ้านหลิวของพวกนาง ทั้งยังมิใช่เรื่องที่ดีงามน่าฟัง แล้วพี่สะใภ้มาบอกพวกเราทำสิ่งใด?”


                นางหวงบอกว่า “ประการแรกเป็นการแสดงว่ามิได้เห็นพวกเราเป็นคนนอก ประการต่อมา ที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่ หลิวรั่วเหยียผู้นั้น… ฮูหยินน้อยมิเคยได้ยินเรื่องนางมาก่อนหรอกหรือเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก กล่าวว่า “ก็มิใช่ที่ว่ากันนั่นหรอกรึ? นางจะหมายปองอีกเพียงใดแล้วจะอย่างไร? ดีชั่วนายผู้หญิงของเรือนจินถงแห่งนี้ก็คือข้า นางก็ทำได้เพียงแอบดูเท่านั้น”


                นางหวงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ฮูหยินน้อยกล่าวถูกต้องเป็นที่สุด ความคิดเพ้อเจ้อก็ยังเป็นความคิดเพ้อเจ้อวันยันค่ำ” แล้วก็พูดอย่างจริงจังว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่คอยปกป้องคุณหนูหลิวสิบมาโดยตลอด จู่ๆ วันนี้ก็จะเชิญคุณหนูสิบเอ็ดมาที่บ้าน จะเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร? ดังนั้นความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของฮูหยินน้อยใหญ่ก็คือคิดจะอาศัยบารมีของคุณชายของเราเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจในทันใด “หรือพี่สะใภ้ใหญ่อยากให้ข้าออกหน้าไปเชิญคุณหนูสิบเอ็ดของบ้านนาง?”


                “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? เพราะพวกเราคอยดูบ้านหลิวห้ำหั่นกันเองอย่างมีความสุข ทั้งเรื่องนี้ยังทำเพื่อคุณหนูสิบตระกูลหลิว เรื่องที่เราใจกว้างช่วยเหลือก็ส่วนเรื่องใจกว้าง แต่หากให้พวกเราเข้าไปก้าวก่ายโดยตรงนั้นไม่มีทาง ที่ครานี้ช่วยคุณหนูสิบตระกูลหลิวถอนพิษก็นับว่าให้เกียรติฮูหยินน้อยใหญ่เป็นที่สุดแล้ว หากนางต้องการปกป้องน้องสาวจนถึงที่สุด แล้วจะถือสิทธิ์ใดมาดึงพวกเราลงน้ำไปด้วย?” นางหวงกล่าว “เป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยใหญ่วางแผนว่าในวันหยุดคราวหน้าจะเชิญคุณหนูสิบเอ็ดมาที่จวน เหตุผลก็คือคุณหนูหลานคนโตกำลังเรียนเขียนอักษรแบบจ้านฮวาถี่[1] คุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวมีความชำนาญในการเขียนอักษรชนิดนี้เป็นที่สุด จึงคิดจะให้นางมาสอนคุณหนูหลานคนโตที่จวนสักหน่อยเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งไตร่ตรองแล้วว่า “แล้วพวกเราจะให้ความสะดวกแก่นางได้เช่นไร?”


                “ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่าการไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาสั่งยาให้ด้วยตนเองก็นับเป็นการรบกวนฮูหยินน้อยมากแล้ว จึงไม่กล้าให้พวกเราบ้านสามทำเรื่องอื่นอีก ขอเพียงให้วันนั้นฮูหยินน้อยช่วยรั้งตัวคุณชายไว้ที่จวนเป็นพอเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มแล้วว่า “ก่อนนี้ข้าน้อยได้ยินคนแอบพูดกันว่าหลังจากที่หลิวรั่วเหยียผู้นี้บังเอิญได้พบกับคุณชายของเราหนหนึ่งนางก็สนใจคุณชายเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีคิดว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นกุลสตรีตระกูลใหญ่ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าคุณชายของเราหมั้นหมายกับฮูหยินน้อยมาแต่เล็ก แล้วยังจะคิดต่อไปได้อย่างไร? วันนี้เมื่อฮูหยินน้อยใหญ่เอ่ยปากออกมาเองเช่นนี้ เห็นท่าว่าจะจริงเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งอดรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาไม่ได้ “ก่อนนี้แม่นมชวี่เคยบอกว่าหลิวรั่วอวี้ก็เป็นเช่นนี้… ยามนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นคนเหล่านี้ หรือว่าจะมีเพียงคนตระกูลหลิวที่เป็นเช่นนี้? เหตุใดชายหนุ่มแน่นรูปงามมีอยู่เต็มเมืองหลวงกลับไม่ไปสนใจ แต่กลับจ้องแต่สามีที่มีภรรยาแล้วไม่ยอมปล่อยเสียที!”


                นางหวงรีบปลอบนาง “เป็นพวกนางไม่ดีเองเจ้าค่ะ แต่ก็เป็นการบอกชัดว่าคุณชายของเราดีอย่างไรเล่าเจ้าคะ! ให้ข้าน้อยพูดจากใจจริงสักประโยคเถิด ลำพังเพียงความใส่ใจที่คุณชายมีต่อฮูหยินน้อย ย่อมทำให้คนมากมายเหล่านั้นอดจะอิจฉาไม่ได้ ในใต้หล้านี้มีผู้เป็นสามีนับพันนับหมื่น แต่ผู้ที่กล่าวได้ว่าทั้งใส่ใจและเอาอกเอาใจเทียบเท่าคุณชายของเรานั้น หาได้ไม่กี่คนจริงๆ เจ้าค่ะ!”


                แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าจะมีผู้คนหมายปองอีกสักกี่มากน้อย ผู้ที่คุณชายรักใคร่ทะนุถนอมก็มิใช่ฮูหยินน้อยหรอกหรือเจ้าคะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งไม่พอใจนาง “ท่านอา! ท่านพูดเรื่องจริงสิ!”


                “ที่ข้าน้อยพูดนั้นไม่จริงหรือเจ้าคะ?” นางหวงยิ้ม และรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งปากแข็งจึงไม่ไปโต้แย้งนาง แล้วพูดเรื่องจริงจังต่อไปด้วยเสียงค่อนข้างต่ำ “เพื่อให้ฮูหยินน้อยรับปาก ฮูหยินน้อยใหญ่ยังบอกอีกว่าคุณชายยี่สิบสามตระกูลหลิวที่เกิดจากนางจางนั้นแม้ยังเยาว์ทว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดมาแต่กำเนิด จึงเป็นที่รักใคร่ของท่านอาห้าของนางยิ่ง และเพราะคุณชายท่านนี้ ฐานะของคุณหนูสิบตระกูลหลิวนับวันจึงถดถอยลงทุกที ส่วนนางจางก็มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ… แต่ผู้ที่ตระกูลหลิวฝากความหวังไว้มากที่สุดในยามนี้กลับเป็นคุณชายสิบหกหลิวซีสวิน เรื่องที่มีคนขวางเกี้ยวเพื่อร้องเรียนต่อเว่ยฉีเมื่อปีก่อนนั้น ในทางแจ้งว่ากันว่าเป็นตระกูลหลิวลงมือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้หลิวซีสวิน ส่วนในทางลับกลับเป็นนางจางยุยงส่งเสริมให้สามีของตนยัดเยียดความผิดให้แก่หลิวซีสวิน บอกว่าด้วยเหตุที่เขาไม่อาจเอาชนะคุณชายของเราได้จึงหันไปใส่ร้ายป้ายสีทำลายชื่อเสียงสตรีที่ยังมิได้เข้าบ้านแทน… ได้ยินมาว่าเดิมทีนั้นหลิวซีสวินมีมิตรสหายในบรรดาราชองครักษ์ทั้งสามไม่น้อยเลย แต่เพราะเรื่องนี้ ทำให้การประลองหน้าพระพักตร์ในวันชูอิกเมื่อปีก่อน เขากลับมิได้เข้ารอบแม้แต่สิบอันดับแรก ต้องรู้เสียก่อนว่าแต่ไรมาหลิวซีสวินเป็นรองก็แต่คุณชายของเราเท่านั้นนะเจ้าคะ!”


                สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งอดจะเปลี่ยนไปไม่ได้ “เรื่องนี้…ที่แท้กลับเป็นนางจางรึ?”


                …เรื่องนี้บีบคั้นนางจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาสองวันสองคืน หากไม่ใช่เพราะผ้ายาวสีขาวที่ส่งมาจากจวนจิ้งผิงกงทำให้ความโกรธของนางกลายเป็นความแค้น


และได้คิดว่านางจะต้องมีชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปให้จงได้เพื่อไม่ให้คนที่คอยเยาะหยันนางได้อกได้ใจ แม้ไม่รู้เลยว่าภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรก็ตาม!


                ครั้งนั้นนางเอาแต่คิดว่าตนเองเสียใจเป็นทุกข์ ยามนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป เมื่อครั้งที่นางเป็นทุกข์เสียจนไม่กินไม่ดื่ม เพียงคิดก็รู้ได้ว่าท่านย่าที่เอานางวางไว้บนสุดยอดของดวงใจตลอดมาจะรู้สึกเช่นไร? ขณะนั้นฮูหยินซ่งมารดาของตนยังคอยช่วยดูแลงานในเรือนหลังที่จวนจิ้งผิงกง… บิดาก็สุขภาพอ่อนแอเพียงนั้น หากวันใดตนถูกข่าวลือบีบคั้นจนต้องตาย ต่อให้ยังมีฉางเฟิงอยู่ แต่ท่านย่าก็สูงวัยมากแล้ว บิดาก็ขี้โรคมาแต่ไร แล้วจะฟังข่าวร้ายเช่นนั้นไหวได้อย่างไร!


                หากคิดให้ลึกและยาวไกลกว่านั้นสักหน่อย หากเกิดเรื่องขึ้นกับท่านย่าขึ้นมา เมื่อไม่มีท่านย่าคอยปกป้องคุ้มครองแล้วบ้านใหญ่จักเป็นเช่นใด? อนาคตของฉางเฟิง… แล้วฮูหยินซ่งที่สูญเสียทั้งสามีและบุตรสาวไปจะทำเช่นใด?


                สิ่งที่พวกเขาทำคราวนี้ อีกเพียงน้อยเดียวเท่านั้นก็เกือบจะทำให้บ้านของนางต้องล่มสลายทั้งมีคนล้มตาย ไม่สิ สำหรับทั้งสี่ชีวิตในครอบครัวเว่ยฉางอิ๋งแล้ว นี่เท่ากับเป็นแผนการสังหารยกครัว!


                เรื่องฝังใจเช่นนี้นางจะลืมลงได้อย่างไร?


                ในแผนการชั่วครานั้น บุตรชายจิ้งผิงกงถูกลอบสังหาร เว่ยฉีต้องเกษียณตัวออกจากราชการ ความจริงก็นับว่าได้แก้แค้นไปแล้ว มีเพียงบ้านตระกูลหลิวที่จนยามนี้ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน… เว่ยฉางอิ๋งหาใช่คนที่เมื่ออยู่สุขสบายก็จะไม่ไปจดจำเรื่องความแค้น ทว่าเพิ่งจะแต่งงานเข้าบ้านมา เรือนของตนยังมิทันจัดแจงให้เรียบร้อย ยังไม่มีเวลาไปสอบสวนเรื่องนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอาคืนเลย


                ยามนี้มาได้ยินว่าศัตรูตัวจริงของตนคือผู้ใด มีหรือจะระงับอารมณ์อยู่ได้? นางแทบจะเต้นออกมาทีเดียว!


                นางหวงรีบเอ่ยเตือนว่า “ที่ฮูหยินน้อยใหญ่กล่าวเช่นนี้ ฮูหยินน้อยก็อย่าได้เชื่อไปเสียหมดนะเจ้าคะ! เพราะอย่างไรตอนนี้ฮูหยินน้อยใหญ่ก็ต้องการช่วยเหลือคุณหนูสิบตระกูลหลิวอยู่เต็มหัวใจ! ผู้ใดจะรู้ว่านางจงใจอาศัยเรื่องนี้เพื่อทำให้ฮูหยินน้อยอยู่ข้างนางหรือไม่? เรื่องที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ฮูหยินน้อยเพียงจดจำไว้เป็นพอ แต่อย่าได้คิดเห็นเป็นจริงเป็นจังเชียวเจ้าค่ะ!”


                สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกลับลงมานั่ง กล่าวเย้ยหยันไปว่า “ข้ารู้แล้ว… ข้าเข้าใจความหมายของท่านอา ดีชั่วอย่างไรตระกูลหลิวก็มีส่วนทำร้ายข้า ไม่ว่าเป็นผู้ใด นั่งดูพวกนางห้ำหั่นกันเองล้วนเป็นเรื่องดี! ส่วนเป็นผู้ใดที่ลงมือทำร้ายข้าแต่แรก พวกเราค่อยๆ สืบดู อย่างไรเสียยามนี้ข้าก็อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา… หาใช่ว่าจะอยู่ในบ้านสามนี้เพียงวันเดียวเสียเมื่อใด? ท่านไปบอกพี่สะใภ้ใหญ่ทีว่าข้าตกลง ข้ากลับไม่เชื่อว่าเมื่อมีข้าอยู่ที่นี่ หลิวรั่วเหยียผู้นั้นยังจะกล้าวิ่งมาทอดสะพานถึงเรือนจินถง!”


_________________________________


[1] จ้านฮวาถี่ เป็นเทคนิคการเขียนอักษรจีนด้วยพู่กันแบบหนึ่ง ที่เขียนออกมาแล้วจะเป็นเส้นเรียวและบาง


ตอนที่ 25 เสนอให้แต่งงานอีกหน

โดย

Xiaobei

                ช่วงเย็นของวันต่อมา ที่สุดเสิ่นจั้งเฟิงก็กลับมาแล้ว สีหน้าของเขาดูไปแล้วอ่อนล้าหนัก เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าคงเพราะอาการของแม่เฒ่าเติ้งไม่สู้ดีนัก เพียงแต่นางตวนมู่เพิ่งจะเชิญตวนมู่ซินเหมี่ยวมา หากตนเองเสนอให้ไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาในทันที ก็จะมองดูว่าเป็นการชิงดีชิงเด่นกับพี่สะใภ้รองเอาได้


                ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ตวมมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของจี้ชวี่ปิ้งก็ยังไม่อาจช่วยพูดแทนแม่เฒ่าเติ้งได้ ก็ไม่รู้ว่าเพราะจี้ชวี่ปิ้งพาลโกรธมาถึงแม่เฒ่าเติ้งจนถึงขั้นใด? เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าบ้านซูล้วนไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ บางทีอาการของแม่เฒ่าเติ้งอาจไม่ได้สาหัสอย่างที่ตนคิด ตนเองจึงไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงไปล่วงเกินหมอเทวดาท่านหนึ่ง ทั้งยังเป็นหมอเทวดาที่เคยช่วยชีวิตบิดาของตนให้ต้องมาลำบากใจ เมื่อเป็นดังนี้ เรื่องนี้รั้งรอสักหน่อยค่อยว่ากันจะดีกว่า… อย่างไรเสียก็เป็นพียงท่านยาย หาได้ใกล้ชิดเช่นท่านพ่อท่านแม่ไม่


                ทั้งสองคนทานอาหาร อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมาภายในห้อง เว่ยฉางอิ๋งถามว่า “ยามนี้ทานยายเป็นเช่นไรบ้าง?”


                เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “เวียนหัวอย่างหนัก… คุณหนูแปดตวนมู่ไปดูมาแล้วก็บอกว่านางไม่อาจรักษาได้ ดีที่ได้หน้าตาของพี่สะใภ้รองนางจึงรีบไปขอคำชี้แนะจากท่านหมอเทวดาจี้” แล้วทอดถอนใจ “เพียงแต่ท่านหมอเทวดาจี้เคยมีเรื่องขัดเคืองกับตระกูลเติ้ง… เมื่อวานไปมาจนยามนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดกลับมา คาดว่าคงไม่อาจขอให้ท่านหมอเทวดาจี้มาช่วยได้”


                เว่ยฉางอิ๋งเดาจากน้ำเสียงของเขาว่าหาได้ไม่พอใจตวนมู่ซินเหมี่ยว จึงคิดว่าคงเพราะคนบ้านซูและเสิ่นจั้งเฟิงล้วนไม่รู้ธาตุแท้ของตวนมู่ซินเหมี่ยว?


                จึงลองถามไปว่า “ได้ยินว่าคุณหนูแปดตวนมู่เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่านหมอเทวดาจี้ และได้รับความรักใคร่จากท่านหมอเทวดายิ่ง คาดว่าท่านหมอเทวดาคงจะเห็นแก่หน้านางบ้างกระมัง?”


                เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “คุณหนูแปดตวนมู่กระตือรือร้นมาก ทว่าท่านหมอเทวดาจี้ไม่เคยให้การรักษาคนตระกูลเติ้งมาก่อนเลย เรื่องนี้ก็ค่อนข้างลำบากอยู่”


                …เอ่อ ข้าพอจะรู้นิสัยใจคอของคุณหนูแปดตวนมู่ผู้นี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก พลันรู้สึกขึ้นมาว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ทำทีร้อนอกร้อนใจยามอยู่ต่อหน้า แต่ลับหลังกลับมีท่าทีเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา… เหตุใดจึงเหมือนกันนางหวงเช่นนี้? ยิ่งคิดต่อไปคราก่อนนางหลิวบอกว่า ตอนแรกยามจี้ชวี่ปิ้งไปพักอยู่ที่ตระกูลเว่ยนั้น เพื่อให้สามารถครูพักลักจำวิชาจากเขา ท่านย่าจึงจงใจให้บ่าวข้างกายที่ฉลาดคล่องแคล่วที่สุดไปคอยรับใช้เขาเป็นการเฉพาะ ปรากฏว่าในบรรดาสาวใช้ทั้งกลุ่ม ที่สุดแล้วนางหวงก็ได้รับการชื่นชมจากจี้ชวี่ปิ้งและสอนวิชาแพทย์ให้สองปี


                หรือว่า…จี้ชวี่ปิ้งจักชื่นชอบศิษย์ประเภทต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ใจคออำมหิตจนถึงขั้นที่ออกจะเห็นว่าตนเป็นเลิศกว่าผู้อื่น??


                เรื่องนี้ช่างไม่เหมือนกับแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเลที่อุทิศตนช่วยเหลือผู้คนที่บาดเจ็บใกล้ตายในจินตนาการเอาเสียเลย!


                เสิ่นจั้งเฟิงถือเอาความเงียบงันของนางเป็นความกังวลใจที่มีต่อแม่เฒ่าเติ้ง เขาลูบใบหน้าของนาง แล้วปลอบไปว่า “แม้ท่านยายจะเวียนหัวหนัก แต่เรี่ยวแรงกลับยังดีอยู่ คาดว่าเรื่องของตระกูลจี้ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แรกเริ่มท่านหมอเทวดาจี้อาจยังคิดไม่ตก หากได้คุณหนูแปดตวนมู่ไปเกลี้ยกล่อมอีกสักหน่อยก็คงจักสำเร็จ”


                เว่ยฉางอิ๋งไม่พูดจาพลางจับมือเขาออก คิดในใจว่าคุณหนูแปดตวนมู่ที่เจ้าเห็นว่ากระตือรือร้นมาช่วยรักษานั้น เกรงว่ายามนี้จะหลงลืมเรื่องของท่านยายเจ้าไว้บนเมฆหมอกชั้นไหนแล้วกระมัง! ยังจะไปเกลี่ยกล่อมอีก… หากตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนเช่นเดียวกับนางหวงจริงๆ ยามเอ่ยถึงแม่เฒ่าเติ้งกับจี้ชวี่ปิ้งก็จักต้องบอกเช่นนี้ว่า ‘ความเป็นตายของยายแก่ตระกูลเติ้งนั้นเกี่ยวกับศิษย์เรื่องใด ครานั้นบ้านเติ้งบีบบังคับท่านอาจารย์ ศิษย์ล้วนจดจำได้! ท่านอาจารย์คอยดูความกตัญญูของศิษย์เถิด… แล้วท่านอาจารย์จะมีของรางวัลให้แก่ศิษย์หรือไม่?’


                หรือไม่อย่างนั้นก็ ‘ยายแก่บ้านเติ้งจะเป็นหรือตายก็มิใช่เรื่องของพวกเราศิษย์อาจารย์ เพียงแต่หากช่วยนางเอาไว้ก็มิรู้ว่าจะมีประโยชน์อันใด? ระยะนี้ท่านอาจารย์มีที่ใดต้องใช้งานตระกูลซูหรือสกุลเติ้งนี่หรือไม่? หากว่ามี ครานี้ศิษย์ก็จะยอมออกแรงให้!’


                เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปากบอกว่า “วานนี้เจ้าไม่ได้กลับมา…”


                “เช่นนั้นจึงคิดถึงสามีแล้ว?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้ม


                เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าวว่า “วานนี้พี่รองทั้งตบตีและด่าทอพี่สะใภ้รอง!”


                “ฮึ?” เสิ่นจั้งเฟิงสะดุ้งพลางหยุดชะงักไป เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ทะเลาะกันรุนแรงนัก พี่สะใภ้ใหญ่ไปถึงก่อนแต่ก็ยังปรามไว้ไม่อยู่! เคราะห์ดีที่น้องห้าและน้องหกอยู่บ้าน ทั้งสองคนทั้งลากทั้งดึงเอาไว้จึงรั้งพี่รองเอาไว้ได้… วันที่ข้าไปยกน้ำชานั้นเห็นพี่รองเป็นคนที่อ่อนโยนยิ่งผู้หนึ่ง กลับคิดไม่ถึงว่ายามเขาบันดาลโทสะขึ้นมาจะรุนแรงถึงเพียงนี้…”


                เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่งจึงถามว่า “ด้วยเรื่องใด? ลวี่เฉียวแท้งลูก?”


                “จะมิใช่หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก กล่าวเสียงเบา “ก็ไม่รู้เป็นผู้ใดไปบอกกับพี่รองว่าพี่สะใภ้รองเป็นคนทำให้ลวี่เฉียวแท้งลูก ปรากฏกว่าพี่รองจึงได้…พี่สะใภ้รอง…”


                “ยามนี้ตรวจสอบเรื่องนั้นชัดเจนแล้วหรือไม่?” เสิ่นจั้งเฟิงถามอีก


                เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “ภายหลังน้องห้าและน้องหกพยายามดึงพี่รองเข้าไปดื่มชาสงบสติอารมณ์ ข้าและพี่สะใภ้ใหญ่พาพี่สะใภ้รองไปล้างหน้าแปรงผมที่เรือนหลังพักหนึ่ง สองฝั่งแยกกันไปปลุกปลอบอยู่เป็นนาน พี่รองจึงรับปากว่าจะให้พี่สะใภ้รองอธิบาย ปรากฏว่าพอพี่สะใภ้รองเอ่ยปาก กลับเป็นลวี่เฉียวไม่ระวังทำให้ตนเองแท้งลูก และเพื่อมิให้ตนต้องถูกสอบสวน วันต่อมาจึงได้เอายาขับเลือดมาใส่ไว้ในน้ำชาที่ตนดื่มเพื่อให้ร้ายแก่ผู้อื่น!”


                “ในเมื่อเพิ่งจะมาพบยาขับเลือดในวันต่อมาหลังจากแท้งลูก เช่นนี้ก็น่าสงสัย” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างราบเรียบ “ทุกคนในบ้านต่างรู้ข่าวเรื่องนางแท้งลูก หากมีคนทำร้ายนาง ต่อให้เลอะเลือนปานใดก็คงไม่โง่ขนาดใส่ยาต่ออีก…ครรภ์ก็ไม่มีแล้วยังจะแท้งอย่างไรอีก?”


                นิ่งไปอีกพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “ซูโหรวอายุได้เจ็บปีแล้ว จนยามนี้ พี่รองก็ยังคงไม่มีบุตรชาย จึงอดจะรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ เรื่องนี้พี่สะใภ้รองไม่ได้รับความยุติธรรมแล้ว…รอให้ท่านแม่กลับมา เจ้าก็ไปบอกกับท่านแม่ ให้ท่านแม่ปลอบพี่สะใภ้รองสักหน่อย”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว… เจ้าก็เหนื่อยแล้ว พวกเรานอนกันเถิด”


                จนเช้าวันรุ่งขึ้น ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังสะลึมสะลือก็รู้สึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงลุกขึ้นจากตั่ง นางพลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่ชัดเจนว่า “วันหยุดครานี้เจ้ามีธุระใดหรือไม่?”


                เสิ่นจั้งเฟิงเพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง กำลังจะลงจากตั่ง เมื่อได้ยินเสียงจึงหยุดชะงักเสีย แล้วสอดมือเข้าไปในผมของนางพลางลูบไล้ช้าๆ และกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “มิใช่บอกแล้วว่าจะพาเจ้าออกไปดูเมืองหลวง?”


                “ฮึ?” เว่ยฉางอิ๋งงงงันอยู่สักพัก จึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า คล้ายว่าเขาจะเคยสัญญาไว้เช่นนั้นในวันกลับบ้าน เพียงแต่ครานั้นที่ตนเองเอาแต่จ้องไปนอกรถ ก็หาใช่เพราะอยากเห็นทัศนียภาพของเมืองหลวงไม่ แต่กลับทำให้เขาเข้าใจผิดเสียแล้ว ดังนั้นนางจึงมิได้นำมาใส่ใจ ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะจำได้จริงๆ… นางพึมพำออกมาว่า “ดูเมืองหลวงนั้นยังมิต้องรีบร้อน วันหยุดหนนี้เจ้าอยู่ที่บ้านเถิด”


                เสิ่นจั้งเฟิงตอบไปคำหนึ่งก่อนว่า “ได้” แล้วโน้มตัวลงมาพลางถามอย่างสงสัยว่า “เพราะเหตุใด?”


                “… ไม่บอกเจ้า!” แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่บอกเรื่องจริงกับเขา นางคิดจะอ้างเหตุผลสักข้อ แต่จนใจเหลือที่สองสามวันมานี้ล้วนไม่ต้องไปคารวะฮูหยินซู ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงยังเอาใจนาง ยามเขาตื่นนอนก็จะพยายามให้เบาไม้เบามือที่สุด นางจึงชินกับการตื่นตอนรุ่งเช้าเสียแล้ว ครานี้แม้จะถูกทำให้ตกใจตื่น แต่นางก็ยังง่วงอยู่มาก ในสมองขบคิดอย่างสับสนอยู่นานก็คิดข้ออ้างดีๆ ไม่ออกสักข้อ จึงบอกปัดไปประโยคหนึ่งแล้วก็ล้มหัวลงนอนต่อ


                คล้ายว่าเห็นเสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเสียงดัง กล่าวบางสิ่งแล้วลูบใบหน้านาง แล้วจึงออกจากมุ้งไปเปลี่ยนเสื้อมัดผม


                จนรุ่งเช้าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งตื่นนอน พอจักจำได้ว่าตนบอกกับเสิ่นจั้งเฟิงไปแล้วว่าให้เขาอยู่ที่บ้านในวันหยุดคราวหน้า และเสิ่นจั้งเฟิงก็รับปากแล้ว จึงบอกกับนางหวงว่า “อีกสักพักให้สั่งให้คนไปบอกกับพี่สะใภ้ใหญ่เพื่อให้นางวางใจให้คุณหนูสิบตระกูลหลิวรักษาตัว”


                นางหวงเข้าใจแล้วจึงออกไปเรียกจูหลานนำความไปบอก


                ครึ่งชั่วยามจากนั้น จูหลานกลับมาอย่างลิงโลด ในมือถือเงินพวงหนึ่งกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่าต้องให้รางวัลกับข้าน้อยให้ได้เจ้าค่ะ”


                “เช่นนั้นเจ้าก็เก็บเอาไว้ซื้อลูกกวาดกินเถิด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางยิ้มอย่างมิได้ใส่ใจ


                จูหลานได้ยินแล้วก็หัวเราะยกใหญ่บอกว่า “ขอบคุณฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ ทว่าข้าน้อยก็โตเพียงนี้แล้ว ไม่ได้อยากซื้อลูกกวาดกินแล้วเจ้าค่ะ!”


                นางเฮ่อบังเอิญอยู่ข้างๆ จึงตำหนิหลานสาวไปว่า “ขอบคุณฮูหยินน้อยก็ขอบคุณไป จะพูดมากไปไย!”


                เว่ยฉางอิ๋งปรามนาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาเฮ่ออย่าได้โมโหเลย จูหลานน้อยก็โตแล้ว ข้าจำได้ว่ายามจูหลานเพิ่งจะมาอยู่กับข้าอายุได้เพียงเจ็ดปี คอยคิดแต่อยากจะกินลูกกวาดกับขนมอยู่ทั้งวัน พริบตาเดียวถึงยามนี้ก็ไม่ชอบกินลูกกวาดเสียแล้ว จะว่าไปนี่ก็เป็นเรื่องดีนะ…”


                นางหวงจึงกระเซ้าขึ้นว่า “จูหลานน้อยไม่อยากกินลูกกวาดแล้ว แล้วอยากได้สิ่งใด? หรือจะเอาไปซื้อชาดกับแป้งน้ำทาหน้า?”


                “ชาดกับแป้งน้ำมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้ตน จะเอาไว้ให้พี่ชายคนใดดูกันนะ?” ฉินเกอและเยี่ยนเกอสบตากันหนหนึ่ง พลางเอ่ยรับอย่างรู้กันอยู่ในใจ


                สองสามคนผลัดกันเย้าแหย่จนทำเอาคนฝีปากแก่กล้าอย่างจูหลานพูดแทรกไม่ได้เลย นางอายจนหน้าแดงหูแดง เอาเงินใส่ไว้ในแขนเสื้อ แล้วไปหลบข้างหลังนางเฮ่อ ร้องออกไปด้วยความอายและความโกรธว่า “ท่านป้าท่านฟังสิ! พวกนางรุมรังแกข้า!”


                แต่นางเฮ่อกลับคิดขึ้นมาในใจ แล้วอาศัยโอกาสนี้บอกว่า “ฮูหยินน้อย จูหลานก็อายุไม่น้อยแล้ว ยังสามารถปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินน้อยไปอีกสองสามปี เพียงแต่ชีวิตในวันหน้าของนาง…” เพราะเป็นหลานสาว แม้พูดได้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจักไม่แล้งน้ำใจต่อคนข้างกาย แต่ลำพังสาวใช้น้อยใหญ่ที่ติดตามมาหลังแต่งงานก็มีถึงแปดคน อย่างไรก็ต้องมีลำดับก่อนหลังสูงต่ำ นางเฮ่อวางแผนให้แก่จูหลาน เรื่องการแต่งงานของบ่าวไพร่นั้นย่อมต้องให้เว่ยฉางอิ๋งอนุญาตแก่จูหลานเป็นอันดับแรกจึงจะดี


                จูหลานคิดไม่ถึงว่าป้าแท้ๆ ของตนนอกจากจะไม่ออกปากช่วยตนแล้ว กลับยังพูดไปจริงไปจังขึ้นมาเสียอีก นางจึงเขินอายจนยืนอยู่ในห้องอีกไม่ไหว พลันกระโจนออกมาและวิ่งไปข้างนอกห้อง “ไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว! พวกชอบรังแกคนอื่น!”


                เว่ยฉางอิ๋งมองนางในชุดหลากหลายสีวิ่งออกไปอย่างเร่งร้อน จึงนึกขำอยู่ในใจ “ก็มิใช่พูดเล่นกันสักหน่อย กลับลืมไปเสียว่าพวกนางก็โตแล้ว ฉินเกอ เยี่ยนเกอก็ด้วย หากมีคนที่ต้องใจ ก็เพียงบอกกล่าวกับข้า หากข้าให้ไปได้ก็จะให้ไป”


                ฉินเกอและเยี่ยนเกอไม่คิดว่าเมื่อกระเซ้าจูหลานจนหนีออกไป แล้วเรื่องกลับหันมาอยู่ที่ตัวพวกนางแทน จึงตกตะลึงหนหนึ่ง ยิ้มออกมาแล้วว่า “พวกข้าน้อยล้วนต้องปรนนิบัติฮูหยินน้อยไปชั่วชีวิต ฮูหยินน้อยกล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ?”


                เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปในทันใด และนึกขึ้นมาได้ว่าพวกของฉินเกอทั้งสี่คนล้วนถูกคัดเลือกออกมาจาก ‘ปี้อู๋’ ไม่เหมือนกับสาวใช้ทั่วไป นางจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน แล้วพูดกับทุกคนว่าในลานบ้านต้องหาตันไม้จำพวกต้นไม้ดอกมาเพิ่มอีกสักต้นสองต้นหรือไม่


                เช่นนี้เรื่อยไปจนหลังเที่ยง เว่ยฉางอิ๋งหลบไปพักผ่อนสักหน่อย เมื่อคิดได้ว่าเพราะออกเรือน หลายวันมานี้จึงไม่ได้ฝึกวรยุทธ์เลย… คาดว่าคงเป็นด้วยเหตุนี้จึงทำให้พละกำลังของนางถดถอยลงไปอย่างมาก และพ่ายแพ้ให้เสิ่นจั้งเฟิงอยู่บ่อยครั้ง…


                นางจึงเปลี่ยนเป็นชุดรัดกุม แล้วฝึกเพลงหมัดในลานบ้านรอบหนึ่ง แล้วเอากระบี่เยวี่ยหยวนมาฝึกอีกรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็อดจะมีเหงื่อท่วมตัวไม่ได้


                นางเฮ่อมองเห็นจึงเอาผ้าไปเช็ดให้นางหนสองหน สั่งให้คนไปเตรียมห้องอาบน้ำ แล้วนางกับนางหวงก็ช่วยกันปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้างดงามหรูหรา นางหวงเอาผ้ามาช่วยเช็ดผมให้เว่ยฉางอิ๋ง แต่กลับให้นางเฮ่อไปดูพวกสาวใช้ตัวน้อยสักหน่อยว่าอย่าให้พวกนางแอบขี้เกียจกัน เพราะเวลาที่พวกนางอยู่ด้วยกันก็มักจะพากันพูดนั่นพูดนี่ที่ไม่สมควร จักทำลายภาพลักษณ์ของเรือนจินถงเอาได้


                ผู้ที่เชื่อถือในความสามารถของนางหวงเป็นที่สุดก็คือนางเฮ่อแล้ว เมื่อได้ยินคำนางเฮ่อไม่แม้จะเอ่ยถามก็พุ่งตรงออกไปหาสาวใช้ตัวน้อยเหล่านั้นทันที…


                เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางเฮ่อถูกไล่ออกไปก็ยังไม่ทันคิดสิ่งใด แล้วเห็นนางหวงให้เจวี๋ยเกอและหานเกอที่เป็นเวรรับใช้ยามนี้ออกไป ครานี้จึงเพิ่งรู้สึกขึ้นมาว่านางหวงมีเรื่องอยากจะพูดกับตน จึงถามว่า “ท่านอา?”


                นางหวงทำสัญญาณมือให้เสียงเบา แล้วขยับเข้ามาใกล้หูนางกระซิบว่า “เพลานี้ฮูหยินน้อยก็ออกเรือนแล้ว… น้องเฮ่อยังสาวนัก ฮูหยินน้อยดูสิเจ้าค่ะ…”


                เว่ยฉางอิ๋งนิ่งงงอยู่สักพักจึงพึ่งเข้าใจความหมายของนางหวง…แม่นมเฮ่อแม้จะถูกเรียกขานว่าท่านอา แต่ยามนี้อายุก็เพิ่งจะสามสิบนิดๆ ยังคงมีเสน่ห์ของหญิงสาวอยู่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบุตรชายของนางเฮ่อตายไปตั้งแต่ยังเล็ก ไร้ทั้งสามีและบุตร แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเลี้ยงดูนางไปจนแก่ แต่พออายุมากแล้วและไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของตน วันหน้าก็นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าใจ


                ก่อนนี้ฮูหยินซ่งสงสารนางเฮ่อจึงเคยเสนอให้นางแต่งงานใหม่ เพียงแต่นางเฮ่ออาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากเว่ยฉางอิ๋งไป จึงไม่ยอมตอบตกลง ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ออกเรือนแล้วเป็นฮูหยินน้อยแล้ว ผู้ติดตามหลังแต่งงานนับเป็นสมบัติส่วนตัวของนาง ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีก็ไม่สะดวกจะมาก้าวก่าย นางจึงสามารถเป็นคนตัดสินใจให้นางเฮ่อเลือกหาคนดีซื่อตรงมาแต่งงานด้วย ยามนี้นางเฮ่อยังสาว ยังเร่งมีผู้สืบสกุลสักคนได้ทัน ทั้งยังไม่ถึงกับเป็นการบังคับให้นางไปจากเว่ยฉางอิ๋งที่นางเลี้ยงดูมาจนโต…ถือเป็นเรื่องดีงามสำหรับทั้งสองฝ่าย


                …ตนยังเด็กอยู่จริงๆ แม่นมที่คอยปกป้องและรักใคร่ตนเช่นนี้ ก่อนที่ตนจะออกเรือนก็ควรคิดการเรื่องนี้ให้นางแล้ว ไม่แน่ว่าแต่แรกนั้นทั้งท่านย่าและท่านแม่ก็คิดเช่นนี้ด้วย เพียงแต่กำลังคิดถึงเรื่องที่ตนต้องแต่งงานมาอยู่ไกลบ้านจึงลืมเอ่ยถึงเรื่องนี้ ปรากฏกว่าตนเองกลับไม่เคยคิดถึงเลย หากมิได้นางหวงเอ่ยเตือน มิใช่ว่าจะถ่วงเวลานางเฮ่อต่อไป?


                เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็มิได้เป็นคนที่ไม่รู้จักผ่อนปรน นางเฮ่อเลี้ยงดูนางมาจนโต ความผูกพันที่นางมีต่อนางเฮ่อนั้นยังมีเหนือกว่านางหวงเสียอีก ย่อมหวังว่านางเฮ่อจะมีชีวิตที่ดี กำลังจะพยักหน้า แต่พอกลับมาคิด จึงถามว่า “ท่านอาพูดเช่นนี้ หรือว่ามีตัวเลือกอยู่แล้ว? หรือว่า?”


________________________________


ตอนที่ 26 นางหลิว

โดย

Xiaobei

          นางหวงได้ยินคำก็รีบโบกไม้โบกมือ และอธิบายว่า “ข้าน้อยได้ยินฮูหยินน้อยกระเซ้าจูหลานเมื่อครู่นี้ จึงนึกขึ้นมาเจ้าค่ะ หาได้เกี่ยวข้องกับน้องเฮ่อที่ใดไม่ น้องเฮ่อเอาแต่จดจ่ออยู่ที่ตัวฮูหยินน้อย เกรงว่าคงมิได้คิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ฮูหยินน้อยจะเห็นอกเห็นใจนาง ก็เกรงว่ายังต้องเกลี่ยกล่อมนางอีกนานเชียวเจ้าค่ะ!”


          เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดแล้วว่า “เรื่องนี้ข้าเห็นดีด้วย เพียงแต่ท่านอาว่ามาก็มีเหตุผล ท่านอาเฮ่ออยู่กับข้ามาตั้งหลายปี ล้วนมิได้สนใจผู้ใดมาก่อน จู่ๆ ยามนี้ก็จะให้นางแต่งงานใหม่ เกรงว่าท่านอาเฮ่อจะเกิดลังเลขึ้นมา ข้าว่าท่านอาเฮ่อเชื่อฟังท่านอานัก เอาเป็นว่ามากหมอยิ่งมากความ ขอให้ท่านอาช่วยข้าเกลี่ยกล่อมนางทีเถิด? ดีชั่วยามนี้ข้าก็สามารถตัดสินใจได้เองแล้ว เรื่องนี้… ขอเพียงดีต่อท่านอาเฮ่อ เรื่องใดที่ข้าทำได้ข้าล้วนจัดการให้นาง”


          ทั้งสองคนจึงปรึกษากันในทันทีว่าหากนางเฮ่อยอมแต่งงานใหม่ จะเลือกคนเช่นไรให้นาง… เพราะนางเฮ่อก็อายุเท่านี้แล้ว จะว่าแก่ก็ไม่แก่ หากว่าไม่แก่ ก็เป็นคนในระดับท่านอาแล้ว ทั้งนางยังเป็นแม่นมของเว่ยฉางอิ๋ง หากเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อยสักหน่อยก็ไม่น่าแต่งด้วย ส่วนคนที่มีฐานะสูงสักหน่อยก็อาจจะเอื้อมไม่ถึง


          เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิด “หากหาคนในบ้านของเราเอง เช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นพ่อบ้าน”


          “ผู้ทีเป็นพ่อบ้านส่วนใหญ่ล้วนแต่งงานแล้ว หรือต่อให้เป็นพ่อหม้ายโดยมากแล้วก็จะมีลูกชายลูกสาว” นางหวงว่า “เป็นแม่เลี้ยงนั้นยากเย็นนัก… อย่าได้ดูว่ามารดาใหม่ของคุณหนูสิบตระกูลหลิวไม่ดีต่อนาง ทั้งยังกำราบสามีจนอยู่ในกำมือ นั่นก็เพราะคุณหนูสิบตระกูลหลิวไม่มีพี่น้องผู้ชาย ทั้งบุตรชายคนเดียวที่มารดาใหม่ของนางให้กำเนิดมาก็ยังเฉลียวฉลาดมาแต่กำเนิดอีก! ที่สำคัญที่สุดก็คือคุณหนูสิบตระกูลหลิวเป็นค่อนอ่อนแอบอบบางรังแกง่าย นี่หากเป็นคุณหนูท่านอื่น เช่นคุณหนูแปดตวนมู่… ไม่แน่ว่าอาจมีการช่วงชิงอำนาจกันขึ้นมาเชียวเจ้าคะ!”


          เมื่อได้ยินชื่อตวนมู่ซินเหมี่ยว เว่ยฉางอิ๋งจึงยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “นั่นนับว่าเป็นเพราะความสามารถอันสูงส่งของท่านหมอเทวดาจี้ ลำพังแค่ท่านหมอเทวดาจี้ ผู้ใดจักกล้าล่วงเกินนาง? บอกแต่เพียงว่าจะลองกระเรียนระทมสักน้อยหรือไม่ เจ้าไม่คิดมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”


          นางหวงยิ้มพลางว่า “ในใต้หล้านี้มิได้มีเพียงกระเรียนระทมชนิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นจะใช้พิษได้ก็ต้องดูว่าจะใช้กับผู้ใดด้วยเจ้าค่ะ คราวก่อนฮูหยินน้อยก็เห็นแล้ว ทั้งฮูหยินใหญ่และคุณหนูหลิวสิบล้วนมิได้ไม่คุ้นเคยกับกระเรียนระทมเลย เห็นชัดว่าโดยปกติแล้วหาได้ไม่ค่อยเคยได้ยินหรือไม่ใคร่ได้สัมผัสใกล้ชิดมาก่อน ทว่าคุณหนูสิบหลิวกลับยังถูกรักแกในบ้านตนเองจนอยู่ในสภาพนั้น เหตุใดจึงไม่เห็นว่านางจะโกรธเคืองและคิดอยากแก้แค้น หากแต่หวังเพียงให้ได้แต่งงานกับคนดีๆ สักคนในเวลาอันควรแล้วได้มีชีวิตอย่างปกติสุข?”


          “คนเช่นนางจางผู้นั้น จักต้องชอบรังแกคนอ่อนแอแต่เกรงกลัวคนที่แกร่งกว่า แต่ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางต้องแสร้งทำเป็นยอมศิโรราบไร้พิษภัย จากที่ข้าน้อยดู มิสู้เปิดศึกกันให้เห็นซึ่งหน้าเลยเสียดีกว่า! คุณหนูสิบหลิวก็มิได้ทำให้นางต้องลำบากแต่อย่างใด อีกทั้งนางจางผู้นั้นก็มีทั้งบุตรชายและบุตรสาวแล้ว แต่ยังคิดจะเอามาเปรียบเทียบกับคุณหนูสิบตระกูลหลิวอีก…เฮ่อ พูดไปเสียไกล…ข้าน้อยจักบอกว่า น้องเฮ่อเป็นคนใจร้อน อาจไม่สามารถเข้ากับลูกเลี้ยงได้ดีนัก คงต้องเลือกคนที่ไม่มีลูก วันหน้าทั้งคู่จักได้ร่วมแรงร่วมใจกันวางแผนให้ลูกๆ ได้เจ้าค่ะ”


          เว่ยฉางอิ๋งรู้ถึงความหมายของนาง นางเฮ่อดูไปแล้วเป็นคนร้ายกาจ ยามจัดการบ่าวไพร่ก็ทำอย่างรุนแรง สาวใช้ทุกคนไม่มีผู้ใดไม่กลัวนาง… เพียงแต่นางร้ายกาจแต่เพียงภายนอก เพื่อให้คนมองออกในทันทีว่าใช่จะหาเรื่องนางได้ง่ายๆ หากพอแต่งงานไปก็ต้องไปเป็นแม่เลี้ยงของผู้อื่น ถ้าได้เจอลูกเลี้ยงที่ซื่อตรงบอบบางเช่นคุณหนูสิบตระกูลหลิวก็แล้วไป แต่หากไปเจอคนแข็งกร้าว ลำพังแค่ลักษณะภายนอกที่ชวนให้คนรู้สึกว่านางเป็นคนปากร้ายใจร้าย นางก็จะต้องเสียเปรียบแน่


          ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่นางหวงกล่าวก็มีเหตุผลงอย่างมาก หากเป็นลูกต่างมารดา แล้วผู้เป็นพ่อเกิดลำเอียงขึ้นมาก็ยากจะไม่ทำให้เกิดความร้าวฉานได้ ที่ยามนี้ทั้งสองคนปรึกษากันว่าจะเกลี่ยกล่อมให้นางเฮ่อแต่งงานใหม่ ว่ากันจริงๆ ก็หวังจะเห็นนางมีชีวิตที่ดี วันหน้ายามบั้นปลายชีวิตจักได้มีความสุขที่มีลูกๆ คอยห้อมล้อม มิใช่ว่าให้เกิดเรื่องในบ้านเสียใจอยู่อย่างไม่สงบ


          เช่นนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “คนเช่นนี้เกรงว่าจะหายาก เพียงแต่พ่อบ้านของเราก็มีไม่น้อย หากคนของเราไม่มี เมืองหลวงใหญ่โตถึงเพียงนี้ ก็อาจมองไปยังชาวบ้านข้างนอก ขอเพียงเป็นคนซื่อตรงรู้จักทะนุถนอมคน ทั้งไม่มีลูก หากเขายากจนสักหน่อย รอจนพวกเขาแต่งงานกัน จึงค่อยจัดหาหน้าที่การงานที่เป็นหน้าเป็นตาให้ก็ใช้ได้แล้ว”


          เมื่อพูดเรื่องของนางเฮ่อจบแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็เป็นห่วงเรื่องแผนการของบ้านใหญ่ขึ้นมา “พี่สะใภ้ใหญ่ทุ่มเทกับคุณหนูสิบตระกูลหลิวมากจริงๆ แผนจัดการคุณหนูสิบเอ็ดตระกูลหลิวครานี้ หากถูกคนจับได้ พี่สะใภ้ใหญ่คงจบเห่แน่… และไม่รู้ว่าคุณหนูสิบจะสามารถแต่งเข้าวังตะวันออกได้อย่างราบรื่นปลอดภัยหรือไม่?”


          ในขณะที่พวกนางนายบ่าวกำลังคาดเดากันไปต่างๆ นานาอยู่นั้น ในบ้านใหญ่ นางหลิวสั่งให้ทุกคนออกไปและสั่งความกับหลิวรั่วอวี้เพียงลำพัง “…รั่วเหยียชื่นชอบย้าวเหยี่ย หากนางมาแล้ว นางก็จักต้องคิดหาวิธีเชิญเว่ยฉางอิ๋งมาพบสักหน เพื่อจักได้ดูว่าหญิงที่ย้าวเหยี่ยถึงกับขัดคำสั่งบิดามารดาว่าจะต้องแต่งเข้าบ้านให้จงได้นั้นเป็นคนเช่นไร ดังนั้นข้าจึงจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในวันนั้น เจ้าจงคอยดูไว้ให้ดี เมื่อเว่ยฉางอิ๋งมาก็ให้เจ้าแสร้งทำเป็นว่าไม่สบายและออกไปเสีย”


          หลิวรั่วอวี้เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เหตุใด? ข้าอยากจะเห็นด้วยตาตนเองว่านังคนชั่วนั่น…” เดิมทีนางถูกแม่เลี้ยงรังแกเสียชนเคยชินแล้ว ทั้งนางยังเป็นคนอ่อนแอ แม้จะรู้สึกอิจฉาน้องสาวต่างมารดาที่ได้รับความรักใคร่จากแม่เลี้ยง แต่กลับไม่อาจเกลียดนางได้ลง แต่ในเมื่อรู้ว่าแม่เลี้ยงร้ายกาจกับตนถึงเพียงนี้ ในขณะที่รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ และสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ จึงพาลไปโกรธน้องชายและน้องสาวด้วย ดังนั้นยามเอ่ยถึงหลิวรั่วเหยียขึ้นมาจึงไม่มีคำพูดดีๆ อีกแล้ว


          นางหลิวยิ้มเยาะพลางว่า “ในเมื่อนางจางใช้กระเรียนระทมทำร้ายเจ้า แล้วบุตรสาวของนางจะไม่ระวังยาชนิดนี้ได้อย่างไร?”


          “เช่นนั้นพี่เจ็ดจักลงมืออย่างไรเจ้าคะ?” หลิวรั่วอวี้ตื่นตกใจ


          “รอจนรั่วเหยียมาแล้ว ข้าก็จะบอกกล่าวเรื่องความรักใคร่ที่ย้าวเหยี่ยมีต่อเว่ยฉางอิ๋งให้นางฟังอย่างละเอียด” นางหลิวพลันมีแววตาเจ้าเล่ห์ฉายออกมา กดเสียงลงต่ำ กล่าวว่า “รั่วเหยียเป็นคนหยิ่งทะนงตนมาแต่ไร ก่อนนี้เมื่อนางหมายปองย้าวเหยีย ก็หาได้คำนึงว่าย้าวเหยี่ยหมั้นหมายมาแต่เล็กแล้ว… ภายหลังนางจึงรบเร้านางจาง อาศัยข้ออ้างว่าคำนึงถึงอนาคตของน้องยี่สิบสาม และเกลี่ยกล่อมให้ท่านอาห้าจัดการเรื่องที่มีชาวเฟิ่งโจวไปขวางเกี้ยวอดีตท่านเสนาบดีฝ่ายปกครองเว่ยฉีเพื่อร้องเรียน และให้ร้ายว่าเว่ยฉางอิ๋งสูญเสียความบริสุทธิ์ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปทั่วเมือง… เดิมทีนึกว่าเมื่อเป็นดังนี้แล้วนางก็จะได้มาแทนที่เว่ยฉางอิ๋งสมดังหวัง แต่กลับไม่คิดว่าย้าวเหยี่ยมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเกินกว่าที่นางจะจินตนาการได้ นอกจากจะไม่ทอดทิ้งเว่ยฉางอิ๋งแล้ว เขากลับยิ่งทะนุถนอมคู่หมั้นผู้นี้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่เกรงกลัวแม้ต้องขโมยกระบี่ของท่านพ่อและไล่ตามไปถึงเฟิ่งโจว…”


          พูดถึงตรงนี้ นางหลิวก็ยิ้มเยาะแล้วว่า “จะว่าไปการกระทำของรั่วเหยียครานี้กลับเป็นการช่วยเหลือเว่ยฉางอิ๋งอย่างใหญ่หลวง เพียงแต่เกรงว่าจนยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า… เดิมทีหลังจากที่สามีของนางถึงวัยเกล้าผมแล้ว ท่านแม่ก็ตระเตรียมสาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มหลายคนมาคอยปรนนิบัติเขาเอาไว้แล้ว ก่อนนั้นสาวใช้ข้างกายย้าวเหยี่ยสองคนที่มีชื่อว่าเฉี่ยนฉ่าวและเฉี่ยนเสีย ล้วนมีหน้าตาอย่างที่เขาว่ากันว่างดงามดังดอกไม้ขาวดังหยก! ตามหลักแล้ว เมื่อเว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านมาก็จะต้องรับพวกนางเข้าบ้านอย่างเป็นทางการ แต่ปรากฏว่าด้วยเรื่องชื่อเสียงของเว่ยฉางอิ๋งเสียหาย ย้าวเหยี่ยเป็นกังวลว่าหลังจากนางเข้าบ้าน หากยังมีพวกของเฉี่ยนฉ่าวอยู่ก็จะต้องได้รับความเมตตาจากมารดาและหันไปดูแคลนเว่ยฉางอิ๋ง นับจากเขากลับมาจากเฟิ่งโจวเมื่อปีก่อนจึงยกพวกนางให้แก่ผู้อื่น! พร้อมทั้งสาวใช้ที่ดูแลย้าวเหยี่ยมาแต่เล็กจนโต หากมีผู้ใดที่หน้าดีสักหน่อย หากไม่หาคู่ครองให้ก็ยกให้แก่ผู้อื่นจนหมด เพื่อมิให้เว่ยฉางอิ๋งต้องลำบากในการเป็นนายผู้หญิงยามเข้าบ้านมา… หาไม่แล้วสาวใช้ที่มีอยู่แต่เดิมในเรือนจินถง มีหรือจะเหลือแค่ถวนเยวี่ยและซินเยวี่ยซึ่งมีหน้าตาอัปลักษณ์อยู่เพียงสองคน?”


          หลิวรั่วอวี้พลันมีความอิจฉาฉายออกมาในแววตา “พี่เว่ยช่างโชคดีจริงๆ”


          นางหลิวถอนหายใจ บอกว่า “แม้นางจะได้สามีที่ดี มีย้าวเหยี่ยคอยปกป้องนางทุกอย่าง แต่ยามนี้ก็ยังไม่ครบเดือน ยังไม่ทันได้ไปมากับภายนอก… วันหน้าย้าวเหยี่ยก็ไม่อาจคอยอยู่ช่วยนางได้ตลอดเวลา” เมื่อพูดถึงตรงนี้จึงถือโอกาสสอนน้องสาวว่า “หลังจากเจ้าออกเรือนแล้วก็เช่นกัน แม้ข้าจะช่วยเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ แต่เรื่องที่ข้าสามารถช่วยได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว! อย่างไรก็ยังต้องให้เจ้ารู้จักตัดสินใจเอง! หาไม่แล้ว ต่อไปหากเจ้ายังคงเป็นคนที่นี่ก็ไม่กล้านั่นก็ใจไม่แข็ง… ต่อให้คนข้างกายมีความสามารถ แต่ไม่ได้เจ้าเอ่ยปากก็จะเอาแต่พากันนิ่งเฉยเสีย แล้วจะต้านทานเรื่องต่างๆ ได้สักเท่าใด?”


          ดวงตาหลิวรั่วอวี้พลันแดงก่ำขึ้นมา “ข้ารู้แล้ว ก่อนนี้ล้วนเพราะข้าไม่ดี พี่เจ็ดคอยตักเตือนข้าทุกเรื่อง แต่ข้ากลับเอาแต่คิดว่าอย่างไรนางจางก็เป็นภรรยาของท่านพ่อ หากนางไม่ชอบข้า ขะ…ข้าก็อดทนเอาสักหน่อยก็พอ อย่างมากต่อไปเมื่อออกเรือนแล้ว ข้าก็จักไปมาหาสู่กับที่บ้านน้อยลงเอง แต่กลับไม่คิดว่าที่ข้าอดทนตลอดมานี้นางก็ยังไม่ละเว้นข้า! ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วข้ายังจะทนต่อไปเพื่อสิ่งใด?”


          “เพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า!” นางหลิวมองไปยังน้องสาวร่วมตระกูลผู้น่าสงสารที่ยามนี้คิดได้เสียที ไม่รู้ว่าจริงๆ ว่าควรจะดีใจจนร้องไห้หรือว่าเสียใจดี ที่นางมารู้ตัวก็สายเกินไปแล้วสักหน่อย… เมื่อแต่งเข้าตำหนักตะวันออกไป หรือว่าจะเป็นการพ้นจากขุมนรกในบ้านหลิวแต่กลับเข้าไปในขุมนรกในตำหนักตะวันออกแทน?


          นางเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับที่หางตาแล้วเอ่ยว่า “วันหยุดครานี้ข้าจะเป็นคนบอกกับรั่วเหยียเองว่า ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นนางช่วยเว่ยฉางอิ๋งเรื่องใดบ้าง ด้วยนิสัยของรั่วเหยีย มีหรือนางจะทนไหว?”


          หลิวรั้วอวี้ขบริมฝีปากแล้วว่า “แม้นางจะทะนงตน แต่ท่านพ่อก็เอ่ยชมว่านางเฉลียวฉลาดเสมอมา… นางก็คงไม่ถึงกับไปหาเรื่องกับพี่เว่ยในบ้านเสิ่นหรอกกระมังเจ้าคะ? โดยเฉพาะ… เมื่อมีคุณชายสามตระกูลเสิ่นคอยปกป้องพี่เว่ยอยู่เช่นนั้น!”


          “เด็กโง่ นางย่อมไม่แสดงออกชัดเจนว่านางจงใจหาเรื่องพี่เว่ยของเจ้าผู้นั้นหรอก”  นางหลิวชี้นิ้วไปแตะที่หน้าผากนาง พลางกล่าวด้วยความรักและเวทนาว่า “เจ้าคงจะลืมไปแล้วว่าถูกรังแกเสียหนักหนาสาหัสถึงเพียงใด? หากมิใช่ท่านอาหวงผู้นั้น ก็เกรงว่าจนยามนี้พวกเราคงยังนึกว่าเจ้าตรอมใจจนทำให้ร่างกายอ่อนแออยู่เลย!”


          หลิวรั่วอวี้ฟังความหมายของนางออก พลันสะดุ้งอยู่ในใจ “เหตุใดรั่วเหยียนางจึง…จึงกล้าเอากระเรียนระทมมาใช้กับพี่เว่ย?”


          “จักไม่กล้าได้อย่างไร?” ริมฝีปากของนางหลิวแผงไว้ด้วยรอยยิ้มเยาะ “พวกเราก็ไม่รู้ว่าท่านหมอเทวดาจี้สามารถถอนพิษของกระเรียนระทมได้หรือไม่นี่? นางจางวางยาพิษกระเรียนระทมกับเจ้า ก็มิใช่เพราะมั่นอกมั่นใจว่าต่อให้เจ้ารู้ก็ยังไม่อาจถอนพิษได้หรอกหรือ? ยามนี้เจ้าได้รับข่าวว่าจี้ชวี่ปิ้งจะรักษาเจ้า ข้าก็สั่งมิให้คนแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป! รั่วเหยียวางแผนจัดการเว่ยฉางอิ๋งไม่สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นช่วยเหลือศัตรูหัวใจเสียใหญ่หลวง นางถูกนางจากเอาใจมาจนโต ย่อมต้องถือดีในตนเองเป็นที่สุด ที่นางไม่อาจแต่งงานกับน้องสาม นางก็ไม่พอใจมากพออยู่แล้ว เมื่อพวกเราก็บอกกับนางเป็นนัยๆ ไปว่านางขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ [1]แล้วนางจะทนไหวได้อย่างไร?”


          นางหลิวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อนางทนไม่ไหว ก็ย่อมต้องลงมือกับเว่ยฉางอิ๋งเป็นการระบายความแค้น… โอ๊ะ วานนี้ข้าสั่งให้คนส่งของเล็กๆ น้อยๆ ไปให้นางจาง เป็นดังที่คาดไว้ คนที่ไปส่งของพอไปถึงกลางทางก็ถูกคนสนิทของรั่วเหยียรั้งตัวเอาไว้ ดึงเข้าข้างทางให้เงินไปหนึ่งตำลึง แล้วเลียบๆ เคียงๆ ถามว่าย้าวเหยี่ยปฏิบัติต่อเว่ยฉางอิ๋งอย่างไรบ้าง… ไม่แน่ว่า ยามนางมา นางก็อาจเตรียมตัวเอาไว้แล้ว!”


          หลิวรั่วอวี้ตกตะลึงไปพักใหญ่ กล่าวว่า “เช่นนั้น… เหตุใดข้าต้องหลบออกไปเล่าเจ้าคะ?”


          “พวกเราคิดจะอาศัยโอกาสนี้วางยากระเรียนระทมแก่รั่วเหยีย ข้าบอกนางหวงไปเช่นนั้น” นางหลิวกล่าวเสียงต่ำว่า “ดังนั้นเมื่อเจ้าไป เว่ยฉางอิ๋งทั้งนายบ่าวที่พวกเราเชิญมา ย่อมต้องนึกว่าพวกเราจะลงมือกับรั่วเหยีย หรือไม่ก็ลงมือไปแล้ว จึงจงใจให้เจ้าหลบออกไปเพื่อมิให้เป็นที่สงสัย!”


          “แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?” หลิวรั่วอวี้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ


          นางหลิวถอนหายใจ “ข้าบอกแล้วอย่างไร นางจางใช้กระเรียนระทมกับเจ้า แล้วบุตรสาวของนางมีหรือจะไม่ระวังตัวว่าจะถูกคนใช้ยาชนิดเดียวกันทำร้ายเอา? ยาชนิดนี้คนบ้านอื่นมีใช้กันน้อยมาก แต่ในบ้านเรากลับมิได้เป็นของหายาก! ทั้งพวกเรายังไม่รู้เรื่องการแพทย์ใดๆ เจ้านึกว่าลำพังแค่อาศัยพวกเราเอง แล้วจักมั่นอกมั่นใจว่าจะปิดบังรั่วเหยียและวางยานางได้สักเท่าใด? ถึงเวลานั้น นางจางจะไม่ใช้วิธีเดิมมาหาเรื่องหาราวเอากับเจ้าก็แปลกแล้ว! อย่างไรนางก็เป็นแม่เลี้ยง ต่อให้มีราชโองการลงมาเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่เจ้ายังไม่ออกเรือนเจ้าก็จะถูกนางบีบอยู่ในกำมือ!”


          หลิวรั่วอวี้โพล่งถามออกไปว่า “ท่านอาหวงรู้เรื่องการแพทย์นี่เจ้าคะ…”


          “นางหวงรู้เรื่องการแพทย์ แต่นางจะไม่ลงมือเพื่อเจ้า!”


          ดวงตาหลิวรั่วอวี้พลันมีแววแห่งความผิดหวัง กำลังจะพูด ไม่คิดว่านางหลิวกลับเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า “แต่หากว่าเพื่อเว่ยฉางอิ๋งแล้ว นางหวงจักต้องลงมือเป็นแน่!”


          นางมองไปทางหลิวรั่วอวี้ “เหตุใดข้าจึงบอกว่าวันนั้นจะเตรียมจัดงานเลี้ยงเล็กๆ? ก็เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น รั่วเหยียจึงจะมีโอกาสยกสุราให้เว่ยฉางอิ๋ง… ไม่ว่านางจะลงไม้ลงมือในสุรานั้นหรือไม่ อย่างไรเสียสุราที่นางส่งถึงมือของเว่ยฉางอิ๋งจักต้องไม่มีทางสะอาดบริสุทธิ์ไปได้!”


          หลิวรั่วอวี้สะดุ้ง กล่าวว่า “พี่เจ็ด! พี่เว่ยให้ท่านอาหวงช่วยข้านะเจ้าคะ!”


          “เจ้าก็ยังคงใจอ่อนเช่นนี้! แล้วจักให้ข้าวางใจให้เจ้าเข้าตำหนักตะวันออกไปได้อย่างไรกัน?” นางหลิวถอนหายใจพลางกล่าว “เจ้าฟังคำข้า… ข้ามิได้ต้องการทำร้ายเว่ยฉางอิ๋ง แม้แต่ทำร้ายรั่วเหยียก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ ประสาอะไรที่ยังมีนางหวงคอยตามติดเว่ยฉางอิ๋ง? เพียงแต่อยากให้ทั้งเว่ยฉางอิ๋งและนางหวงรู้สึกว่ารั่วเหยียใจกล้านัก หมายปองสามีของเว่ยฉางอิ๋งยังไม่พอ มาพบกันหนแรกก็ถึงกลับกล้าลงมือกับเว่ยฉางอิ๋ง!”


          “นางหวงผู้นั้นแม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากท่านหมอเทวดาจี้ แต่ในความจริงนางถูกมองว่าเป็นศิษย์ของเขากว่าครึ่งหนึ่งแล้ว! เช่นนั้นต่อให้เว่ยฉางอิ๋งพลั้งเผลอดื่มสุรานั้นเข้าไป เพียงนางหวงหันหน้ามาก็สามารถช่วยนางถอนพิษได้แล้ว!” นางหลิวแค่นเสียงแล้วว่า “แต่นางหวงหรือจะทนเห็นนายของตนต้องเสียเปรียบเช่นนี้? คนที่รู้จักวิชาแพทย์ทั้งยังมีท่านหมอเทวดาจี้คอยหนุนหลังเช่นนาง หากต้องการจะทำร้ายรั่วเหยีย ขอเพียงพวกเราเชิญรั่วเหยียเข้ามาที่จวนบ่อยๆ ให้นางได้มีโอกาสสักหน่อย ต่อให้มีรั่วเหยียร้อยคนก็ยังตายไม่พอเลย… ผู้คนที่เคยบีบบังคับจี้อิงทั้งครัวเมื่อก่อนนี้ก็มิใช่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้วรึ!”


          “ไม่เพียงแค่นางหวงเท่านั้น ยังมีย้าวเหยี่ย… เจ้าไม่รู้ น้องชายสามีข้าผู้นี้ดูท่าทีเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ความจริงแล้วจักเป็นเช่นนี้กับคนของตนเท่านั้น เขาแบ่งแยกคนในและคนนอกชัดเจนยิ่งนัก! ตอนแรกนั้นเขายืนกรานจะแต่งเว่ยฉางอิ๋งเข้าบ้านเสียให้ได้ก็เพราะเว่ยฉางอิ๋งถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของเขาตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าอ้อม เขาจึงมองนางเป็นคนของตนเองมาตั้งนานแล้ว เขาเป็นคนใจกว้างกับคนของตัวเองยิ่งนัก เขายอมถูกผู้คนเย้ยหยันแต่จะไม่ยอมซ้ำเติมนาง แต่หากเป็นคนนอกแล้ว…เฮอะๆ! เขาเป็นถึงว่าที่ประมุขคนต่อไปซึ่งเป็นความหวังอันใหญ่หลวงของตระกูลเสิ่น หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายสักหน่อยแล้วจะกำราบบ่าวไพร่ได้อย่างไร? โดยเฉพาะยามนี้เว่ยฉางอิ๋งแต่งเข้าบ้านมาแล้ว หากกล้าเอื้อมมือมาแตะต้องภรรยาหลวงของเขา… ไม่เห็นหรือไรว่า แม้แต่น้องสิบหกที่ไม่ยอมศิโรราบแก่เขาถึงเพียงนั้น ทว่าแต่ต้นจนจบก็ยังไม่เคยเอ่ยปากว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ดีแม้สักคำ?”


          นางหลิวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อสร้างความแค้นกับบ้านสาม นางจางหรือจะมีเวลาไปสนใจเจ้าอีก? จะรีบร้อนมาปกป้องบุตรสาวสุดที่รักของนางก็ยังไม่ทันแล้ว! เช่นนี้ เจ้าก็สามารถออกเรือนได้อย่างวางใจเสียที เพียงแต่… หลังจากออกเรือน อย่างไรก็ยังต้องให้เจ้ายืนหยัดด้วยตนเอง! เพราะว่าในตำหนักตะวันออกก็มีเรื่องภายในมากมาย ต่อให้ไม่มีบ้านเดิมคอยแทงเจ้าข้างหลัง ผู้คนที่มีพระนัดดาให้แก่ฮ่องเต้แล้วพวกนั้น ก็มีเหตุจูงใจเพียงพอที่จะหันมาเล่นงานเจ้าแล้ว…”


          เมื่อได้ยินพี่สาวร่วมตระกูลกำชับสอนสั่ง หลิวรั่วอวี้ก็ขัดเคืองในดวงตาคล้ายจะหลั่งน้ำตาออกมา…


_____________________________


[1] ขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ หมายถึง ทำการไม่สำเร็จและยังต้องมีเสียผลประโยชน์อีก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม