ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาค 2 ตอนที่ 13-19

 ตอนที่ 13 คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่

โดย

Xiaobei

              ยามนี้ข้างนอกยังคงมีฝนตก ชายเสื้อของเสิ่นจั้งเฟิงจึงมีรอยเปื้อนโคลนหลายแห่ง เขาเข้ามาพูดกับเว่ยฉางอิ๋งคำหนึ่ง แล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง


              นางว่านเห็นเขากลับมาแล้ว จึงได้บอกปัดเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งชวนนางทานข้าวด้วยและออกไป


              เว่ยฉางอิ๋งรอจนเสิ่นจั้งเฟิงออกมา จึงกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ยามข้าไปคารวะท่านแม่ บ้านซูส่งข่าวมาว่าท่านยายหมดสติไป…เจ้าอยู่กับท่านพ่อรู้เรื่องแล้วหรือไม่?”


              เสิ่นจั้งเฟิงหยิบจอกน้ำเฉินเซียงที่นางดื่มไปครึ่งหนึ่งก่อนหน้านี้มาดื่มอึกหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด แล้วว่า “เมื่อครู่ได้ยินคนบอกแล้ว ท่านพ่อให้พี่ใหญ่ไปดูด้วยเช่นกัน พวกเราเพิ่งจะแต่งงานใหม่ไม่ค่อยสะดวกออกนอกบ้าน” ตามธรรมเนียมแล้วคู่สามีภรรยาที่เพิ่งจะแต่งงานใหม่ไม่ควรออกเยี่ยมเยือนผู้อื่นหรือออกไปนอกบ้าน


              ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฮูหยินซูก็ดี เสิ่นเซวียนก็ดี จึงให้แต่เพียงสะใภ้รอง และบุตรชายคนโตออกหน้า ไม่ให้บ้านสามไปเกี่ยวข้องด้วย


              เว่ยฉางอิ๋งมองไปยังจอกเงินของตนที่อยู่ในมือเขา ได้แต่เม้มปากไม่พูดสิ่งใด เพียงกล่าวว่า “ท่านแม่พาพี่สะใภ้รองและจั้งหนิงไป บอกข้าว่าหากมีเรื่องให้ขอคำชี้แนะจากพี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อครู่ข้าถามพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าให้ข้ามาจัดเรือนของตนก็พอแล้ว”


              “ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่ก็พูดเช่นนี้แล้ว เจ้าก็จัดการในเรือนของเราให้เรียบร้อยก็พอแล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “ดีชั่วอย่างไรพี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นคนที่ดูแลเรื่องในบ้านมาโดยตลอด ยามนี้เมื่อทำธุระของเราเสร็จแล้วก็ไม่มีเรื่องใหญ่ใดให้ต้องเป็นกังวล”


              เขาไม่แม้จะเอ่ยถึงหลิวรั่วอวี้ แต่กลับเอ่ยออกมาเองว่า “เมื่อครู่ท่านพ่อให้ข้าไปหาเพื่อบอกว่า วันมะรืนนี้ให้ข้าเข้าวังไปรายงานตัวหลังขอลาพัก และอย่าลืมไปขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วย”


              เว่ยฉางอิ๋งถามว่า “เรื่องที่ฮ่องเต้อนุญาตให้เจ้าลาพักหรือ?” อย่าได้มองแค่เพียงว่าวันมะรืนเสิ่นจั้งเฟิงต้องเข้าไปรายงานตัวหลังลาพักแล้ว หากนับกันตั้งแต่เขาเดินทางไปรับเจ้าสาวที่เฟิ่งโจวทั้งไปกลับ ระยะเวลาที่ฮ่องเต้ให้เขาลาพักหนนี้นับว่าไม่น้อยเลย


              “ก็ไม่ทั้งหมด” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “วันที่พวกเราแต่งงาน ฮ่องเต้ได้พระราชทานไข่มุกเม็ดหนึ่งมาให้ในโอกาสนี้ด้วย ท่านพ่อเกรงว่าข้าไม่รู้จึงได้กำชับอีกหน”


              เรื่องเช่นนี้เพียงส่งคนสักคนมาบอกก็พอแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงรับตำแหน่งราชองครักษ์ชินตั้งแต่อายุสิบห้า คอยอยู่ข้างกายฮ่องเต้มาก็ห้าปีแล้วนับเป็นที่พอพระทัยยิ่ง แต่เพียงแค่เรื่องที่ต้องไปขอบพระทัยฮ่องเต้ ก็มิต้องให้เสิ่นเซวียนเป็นคนมาบอกเอง เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าที่เสิ่นเซวียนเรียกเขาไปพบยังต้องมีเจตนาอื่นอีก มีความเป็นไปได้ยิ่งว่าฮูหยินซูต้องการจะทดสอบตนโดยลำพังสักหน… เพียงแต่ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะโชคดีหรือไม่ที่แม่เฒ่าเติ้งมารดาของฮูหยินซูจู่ๆ ก็มาหมดสติ ทำให้ฮูหยินซูไม่มีแก่ใจจะมาทดสอบสะใภ้เสียแล้ว


              เว่ยฉางอิ๋งยังคงรู้สึกกังวลต่ออาการป่วยของแม่เฒ่าเติ้ง หลังจากทานอาหารกับเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว จึงเอ่ยถามว่าโดยปกติแล้วแม่เฒ่าเติ้งรักษากับท่านหมอท่านใด


              เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “เป็นแพทย์หลวงจี้ในสำนักแพทย์หลวง”


              “เป็นจี้ชวี่ปิ้งรึ?” เว่ยฉางอิ๋งโล่งอก กล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินท่านแม่บอกว่า วิชาแพทย์ของท่านหมอจี้ท่านนี้เป็นเลิศนัก”


              หารู้ไม่ว่าเสิ่นจั้งเฟิงกลับส่ายหน้า “มิใช่ท่านหมอเทวดาจี้ แต่เป็นจี้ฉงหย่วน เมื่อนับไปก็มีศักดิ์เป็นอาในตระกูลของท่านหมอเทวดาจี้”


              เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจนัก “ท่านหมอเทวดาจี้?” ฉายาว่าหมอเทวดานี้ก็นับว่าเป็นการให้เกียรติเขาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเสิ่นจั้งเฟิงเองก็ยังเรียกขานเขาเช่นนี้ ทว่า… “หรือว่าจี้ชวี่ปิ้งมิได้เป็นแพทย์หลวง?”


              เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้าบอกว่า “ไม่ใช่”


              “เพราะเหตุใด?” เว่ยฉางอิ๋งประหลาดใจยิ่ง ครานั้นยามเว่ยเจิ้งหงมีร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด มีหมอใดที่ตระกูลเว่ยไม่ได้เชิญมารักษาเขา? สุดท้ายแล้วก็ยังมีเพียงจี้ชวี้ปิ่งที่สามารถรักษาได้ ตามฐานะของตระกูลเว่ยแล้ว แพทย์ที่เชิญมาเป็นอันดับแรกย่อมต้องเป็นแพทย์หลวงและคนในสำนักแพทย์หลวง ความสามารถทางการแพทย์ของจี้ชวี่ปิ้งนั้น มีหรือที่แม้แต่จะเข้าทำงานในสำนักแพทย์หลวงก็ยังทำไม่ได้?


              เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ไม่ยอมเข้าสำนักแพทย์หลวง หลายปีก่อนยังเปิดสำนักแพทย์ของตน ภายหลังคล้ายว่ามีเรื่องบาดหมางบางประการกับในตระกูล จนแม้แต่สำนักแพทย์ก็ยังปิดไปเสียแล้ว ยามนี้หากมิใช่คนคุ้นเคยพาเข้าไปพบก็จักไม่รักษาให้ ทั้งยังใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษอีกด้วย”


              เขากล่าวเสียงหนักว่า “ทว่าในเมื่อท่านแม่พาพี่สะใภ้รองไปด้วย หากท่านแพทย์หลวงจี้ไม่อาจรักษาได้ ก็คงให้พี่สะใภ้รองกลับไปที่บ้านมารดาของนางสักหน หากไม่อาจเชิญท่านหมอเทวดาจี้มาได้ อย่างไรศิษย์ของเขาก็จักต้องมา”


              เรื่องที่จี้ชวี่ปิ้งไม่ยอมเป็นแพทย์หลวงกลับไม่ได้ยากจะเข้าใจ เพราะอย่างไร จี้อิงปู่ของเขาซึ่งเคยเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวง แต่สุดท้ายกลับต้องเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในราชสำนัก ตัวตายทั้งยังทำให้ภรรยาและบุตรต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย แม้แต่จี้ชวี่ปิ้งเองก็ยังต้องระหกระเหินไปทั่ว ได้รับความลำบากเหลือแสน จึงอาศัยพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์ค่อยๆ ก้าวขึ้นมาที่ละก้าว จนได้ฉายาว่าหมอเทวดา


              ทว่าความหมายในคำพูดเสิ่นจั้งเฟิงนั้นคือหากบ้านซูไม่อาจเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาได้ ก็คงต้องให้นางตวนมู่ออกหน้า… เว่ยฉางอิ๋งจึงถามอย่างสงสัยว่า “ยามนี้เชิญท่านหมอเทวดาจี้มารักษายากเย็นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” ในสายตาของนาง ฐานะของตระกูลซูก็ไม่ได้น้อยหน้าตระกูลตวนมู่? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการมารักษาฮูหยินผู้เฒ่าด้วย?”


              เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวเตือนไปว่า “ท่านยายเป็นบุตรสาวตระกูลเติ้ง”


              เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เข้าใจ ก่อนนี้ฮูหยินซ่งท่านแม่ของนางมิใช่เคยบอกแล้วหรือ? ว่าข้อหาของจี้อิงคือช่วยเหลือพระสนมฮั่วในตำแหน่งสนมซูเฟยวางแผนทำร้ายองค์ชายหกพระโอรสของพระสนมเอกเติ้ง? หลังจากนั้นด้วยจี้ชวี่ปิ้งอายุยังน้อยจึงได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนที่เคยรักษากับจี้อิงยามเขายังทำงานอยู่จึงรอดพ้นจากโทษทัณฑ์มาได้ แต่เพราะอำนาจของตระกูลเติ้ง สกุลจี้จึงไม่กล้าปกป้องเขา ทำได้เพียงปล่อยให้เขาเร่ร่อนไปทั่ว


              ในเมื่อหลังจากคนผู้นี้มีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว แม้แต่สำนักแพทย์หลวงก็ยังไม่ยอมเข้า หากวันนี้จะไม่ยอมรักษาคนตระกูลเติ้งก็มิใช่เรื่องแปลก เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งนึกว่าจี้ชวี่ปิ้งซึ่งมีชาติกำเนิดในตระกูลแพทย์ที่ทำงานสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ก่อนนี้ก็คงจักเป็นคุณชายที่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ หลังจากที่บ้านเกิดเรื่องแล้วก็ต้องทนลำบากอยู่นาน หลังจากนั้นด้วยมารักษาบิดาของตน จึงเป็นการปลุกชื่อเสียงของปู่ของเขาขึ้นมาอีกหน และไปเข้าตาของตระกูลใหญ่ต่างๆ… ว่ากันตามหลักการแล้วเขาควรจักเปิดสำนักแพทย์ซึ่งทำการรักษาด้วยวิชาทางฝั่งของจี้อิง ต่อให้ไม่เข้าสำนักแพทย์หลวงก็ควรจะต้องคบค้าสมาคมกับตระกูลใหญ่ต่างๆ เอาไว้ให้มากจึงจะถูก


              แต่ยามนี้ดูไปแล้วจี้ชวี่ปิ้งก็มิได้มีความคิดเช่นนี้ กลับกันเขายังคงเก็บเรื่องโทษทัณฑ์ของปู่ของตนเอาไว้ในใจไม่ลืม จนถึงขั้นที่ความสัมพันธ์ที่มีต่อตระกูลก็ไม่ใคร่ดีนัก… หาไม่แล้วจี้ฉงหย่วนซึ่งมาตรวจรักษาให้แม่เฒ่าเติ้งในยามนี้ก็เป็นอาของจี้ชวี่ปิ้ง เหตุใดจึงต้องให้นางตวนมู่กลับไปบ้านของตนจึงสามารถเชิญมาได้เล่า?”


              ทว่าเรื่องของนางตวนมู่… หรือในบรรดาตระกูลที่เคยปกป้องจี้ชวี่ปิ้งในครานั้นก็มีตระกูลตวนมู่รวมอยู่ด้วย? เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าตระกูลเว่ยมีส่วนช่วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ฮูหยินซ่งเคยพูดจากปาก ยิ่งไปกว่านั้นนางหวงซึ่งติดตามตนมาด้วยยามแต่งงานยังได้รับการสอนสั่งเรื่องวิธีปรุงอาหารยาจากจี้ชวี่ปิ้งด้วย… หรือว่าความสัมพันธ์ของตระกูลตวนมู่และจี้ชวี่ปิ้งจะแน่นแฟ้นเสียยิ่งกว่าตระกูลเว่ย?


              นางจึงลองสอบถามไป


              เสิ่นจั้งเฟิงยิ้ม กล่าวว่า “ศิษย์เพียงคนเดียวของท่านหมอเทวดาจี้ก็คือคุณหนูแปดแห่งตระกูลตวนมู่ ก่อนออกเรือนนั้นพี่สะใภ้รองของเราคือคุณหนูรองของบ้านตระกูลตวนมู่ ดังนั้น…”


              “คุณหนูตระกูลตวนมู่ถึงกับได้คารวะท่านหมอเป็นอาจารย์หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งตกใจ “ญาติผู้ใหญ่ของคุณหนูแปดผู้นี้ยินยอมหรือ?”


              แม้ว่าจี้ชวี่ปิ้งจะถูกเรียกขานอย่างให้เกียรติว่าเป็นหมอเทวดาแต่อย่างไรก็เป็นคนในตระกูลช่าง คุณหนูในชนขั้นปกครองจะลดตัวลงไปคารวะเขาเป็นอาจารย์ได้อย่างไร? ดังเช่นเว่ยฉางอิ๋ง แม้ว่าจะร่ำเรียนเพลงยุทธ์ของตระกูลเจียงจากเจียงเจิงมาเจ็ดแปดส่วน แต่ในนามแล้วอย่างไรก็ไม่ใช่ศิษย์ของเจียงเจิง ซึ่งก็มิใช่ว่าเว่ยฉางอิ๋งดูแคลนเจียงเจิง ทว่าต่อให้นางอยากจะไหว้ครู แต่พวกแม่เฒ่าซ่งก็จะไม่มีวันเห็นด้วย


              “พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องมีร่างกายไม่สู้ดีมาโดยตลอด” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าว “พระมารดาไช่อ๋องก็คือพี่สาวแท้ๆ ของคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ ก่อนนี้ครั้งฮูหยินผู้เฒ่าบ้านตวนมู่ยังไม่เสีย นางก็รักใคร่พระมารดาไช่อ๋องเป็นที่สุด ส่วนพระมารดาไช่อ๋องก็รักใคร่คุณหนูแปดเป็นที่สุด ปรากฏว่าในภายหลัง… นับแต่นั้นมาพระมารดาไช่อ๋องก็ไม่ยอมพบใครอีกนอกจากฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูแปด ยามล้มป่วยก็ไม่ยอมให้หมอไปรักษา คุณหนูแปดจึงคอยรบเร้าฮูหยินผู้เฒ่าว่าต้องการจะเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดาจี้ ประการแรกฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่สงสารพระมารดาไช่อ๋องมาก ประการที่สองก็ทนนางรบเร้าไม่ไหว จึงได้ตกปากรับคำ”


              เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งยังคงมองตนด้วยสายตาประหนึ่งว่ามีหมอกอยู่เต็มหัว เขาพลันงงงันขึ้นมา คิดดูสักพักจึงได้เข้าใจ แล้วรีบอธิบายไปว่า “ไช่อ๋องผู้เฒ่าก็คือองค์ชายสี่”


              เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมา…องค์ชายสี่ ก็มิใช่อดีตองค์รัชทายาทองค์ที่สองในรัชสมัยนี้ซึ่งเป็นพระโอรสของอดีตของฮองเฮาเฉียนหรอกหรือ? ครานั้นองค์ชายสี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทด้วยพระมารดาอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ ภายหลังอตีดฮ่องเฮาเฉียนต้องโทษให้ปลิดชีวิตด้วยข้อหาวางแผนทำร้ายนางใน และมิได้คืนบรรดาศักดิ์ให้ องค์ชายสี่จึงถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งองค์รัชทายาทไปด้วยเช่นกัน พระองค์มิได้คลุ้มคลั่งจนปลิดชีวิตตนเองเหมือนพระเชษฐา หากแต่ตรอมพระทัยจนสิ้นพระชนม์อยู่ในแคว้นศักดินาในเวลาหลายปีต่อมา


              ดูไปแล้วเมื่อสิ้นพระชนม์จึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นไช่อ๋องผู้เฒ่า ผู้ที่เคยเป็นพระชายาองค์รัชทายาทจึงกลายเป็นพระมารดาไช่อ๋อง ส่วนเดิมทีที่เป็นพระโอรสในองค์รัชทายาทก็กลายมาเป็นไช่อ๋อง


              เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไปถึงซ่งไจ้สุ่ยลูกผู้พี่ของนางไม่ได้


              หากซ่งไจ้สุ่ยมิได้เสียโฉม หนนี้ก็เกรงว่าคงต้องแต่งเข้าวังตะวันออกไปแล้วกระมัง? เพียงไม่ทันระวังตัว ชีวิตอย่างพระมารดาไช่อ๋อง ผู้ที่อยู่ในวัยสาวสะพรั่งแต่กลับต้องถูกกักขังอยู่แต่ในเรือน ใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการเฝ้าดูแลบุตรชาย ก็จะต้องกลายมาเป็นชีวิตในวันพรุ่งของซ่งไจ้สุ่ย


              ต่อให้องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ อดีตฮองเฮาเฉียน อดีตพระสนมแซ่ฮั่ว…คนเหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว


              แต่แม้ว่าซ่งไจ้สุ่ยจะสามารถยกเลิกสัญญาแต่งงานได้ดังหวัง ทว่าอนาคตของนางก็เท่ากับถูกทำลายไปสิ้นแล้ว


              เว่ยฉางอิ๋งอดจะทอดถอนใจไม่ได้


              เสิ่นจั้งเฟิงไม่รู้ว่านางคิดไปถึงซ่งไจ้สุ่ย ยังนึกว่านางสงสัยเรื่องของพระมารดาไช่อ๋องอยู่ จึงขยายความต่อไปอีกว่า “คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่มีพรสวรรค์ในด้านการแพทย์มาก ก่อนนี้พระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่ตลอดเวลา หลายปีมานี้ได้นางเป็นคนรักษาก็กลับดีขึ้นอย่างมาก เท่าที่รู้มาท่านหมอเทวดาจี้ชมเชยว่านางเรียนรู้วิชาของเขามาได้หกส่วนแล้ว ท่านยายทางนั้นนางก็ไปดูด้วย แต่คาดว่าคงจักจนปัญญา”


              “แต่ก็หวังว่าท่านยายจะสามารถหายในเร็ววัน!” เว่ยฉางอิ๋งพูดไปดังนั้น แต่ในใจกลับคิดว่า “ก็มิน่าเล่าพี่สะใภ้รองผู้นี้จึงได้พยายามแสดงออกนักหนา ตนเพิ่งจะเข้าบ้านก็มาขัดแข้งขัดขา ที่แท้ก็เพราะนางมีบุตรสาวที่คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่าเป็นเทพธิดาน้อย ทั้งบ้านฝั่งมารดายังมีน้องสาวร่วมสกุลที่มีวิชาแพทย์สูงส่ง


              วิชาแพทย์ของคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่นั้นเก่งกล้าถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นหญิง จึงทำให้เหล่าตระกูลสูงศักดิ์สามารถเชิญนางมาได้สะดวกกว่าเชิญแพทย์หลวงมากนัก ไม่แน่ว่าผู้คนสูงศักดิ์ภายในวังก็อาจจะชอบเรียกหานางด้วย… ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปสอบถามข่าวคราวต่างๆ ก็ดี หรือบุญคุณและน้ำใจก็ดี…ก่อนนี้ที่จี้ชวี่ปิ้งสามารถพ้นภัยมาได้ ก็มิใช่เพราะบุญคุณและน้ำใจที่จี้อิงปู่ของเขาเคยสร้างเอาไว้หรอกหรือ?


              ก็ดังเช่นหนนี้ แม่เฒ่าเติ้งมารดาของฮูหยินซูล้มป่วยลง หากบรรดาแพทย์หลวงล้วนไม่อาจรักษาได้ แต่กลับเป็นเพราะเรื่องที่จี้อิงเคยประสบมา จี้ชวี่ปิ้งจึงไม่อยากจะช่วยคนบ้านสกุลเติ้งเลยแม้แต่น้อย แต่นางตวนมู่กลับสามารถเชิญคุณหนูแปดบ้านตวนมู่ซึ่งเป็นศิษย์ที่จี้ชวี่ปิ้งสอนสั่งมากับมือมาได้ เพียงคิดก็รู้แล้วว่า จี้ชวี่ปิ้งมีศิษย์ผู้นี้เพียงผู้เดียว หากคุณหนูแปดบ้านตวนมู่ไม่อาจรักษาแม่เฒ่าเติ้งได้และไปขอร้องให้อาจารย์มา แม้จี้ชวี่ปิ้งจะไม่ยอมปล่อยว่างความแค้นแล้วมารักษาด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยก็ต้องให้คำชี้แนะมาบ้าง


              หรือต่อให้จี้ชวี่ปิ้งไม่ไยดี อย่างไรบ้านตระกูลซูก็ย่อมเป็นหนี้บุญคุณนาง


              ลำพังเพียงเรื่องนี้ วันหน้าฮูหยินซูก็จะต้องดีกับนางตวนมู่มากขึ้นสักหน่อย เพราะอย่างไรสะใภ้ผู้นี้ก็เป็นผู้ที่พาคนมาช่วยมารดาของนาง


              ทว่าแม้เว่ยฉางอิ๋งพอจะรู้สึกได้ว่าไม่อาจมองผ่านนางตวนมู่ผู้นี้ไปได้ แต่กลับมิได้รู้สึกว่าต้องเป็นกังวลเกินไป ไม่ว่าฮูหยินซูจะเอาอกเอาใจหรือดีต่อนางตวนมู่เพียงใด เสิ่นเหลี่ยนสือก็มิใช่บุตรชายแท้ๆ ของฮูหยินซู


              ส่วนเสิ่นจั้งลี่นั้น นอกจากเขาจะเป็นบุตรชายแท้ๆ แล้วยังเป็นบุตรชายคนโตอีกด้วย เช่นนี้แล้วกลับมิได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้ที่จะมาเป็นประมุขของตระกูล แม้เว่ยฉางอิ๋งจะไม่รู้ว่าพี่สามีคนโตผู้นี้มีปัญหาที่ใด แต่คิดว่าตระกูลคงมิอาจฝากความหวังไว้ที่เสิ่นจั้งลี่ได้มากนัก


              …หลังจากทานอาหารเที่ยงแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่มีเรื่องใดให้ทำ ฟังเสียงฝนไป จึงเริ่มหารือกันเรื่องการจัดเรือนขึ้นมา


              ห้องพักแขกที่เรือนหน้า เว่ยฉางอิ๋งมอบหมายให้นางหวงและนางว่านไปจัดการ คิดว่ารอจนพวกนางจัดแจงเรียบร้อยแล้วตนเองไปดูสักหน หากไม่มีที่ใดขาดตกพกพร่องก็เสร็จการแล้ว อย่างไรเสิ่นจั้งเฟิงก็บอกแล้วว่า เพียงให้เพื่อนพ้อง…ซึ่งความจริงก็คือที่ปรึกษาไม่กี่คนของเขามาอาศัยพักค้างแรมบ้างบางคราว


              กลายเป็นห้องหนังสือเล็กเสียอีกที่เว่ยฉางอิ๋งเอารายชื่อสิ่งของที่จะนำเข้าไปวางไปบอกเขา เสิ่นจั้งเฟิงฟังแล้วก็เพิ่มเติมไปอีกสองสามรายการ สุดท้ายทั้งสองคนจึงไปดูพวกบ่าวจัดวางสิ่งของแต่ละชิ้นในห้องหนังสือด้วยกันเสียเลย เมื่อมองดูส่วนที่จัดออกมาแล้วจึงค่อยสั่งว่าให้เพิ่มหรือลดสิ่งใด ทั้งยังให้คนนำดอกไม้ตามฤดูกาลสองสามกระถางเข้าไปจัดวางเพิ่มอีก คอยปรับเปลี่ยนอยู่เช่นนี้จนถึงเวลาอาหารค่ำจึงตัดสินใจว่าจะนำอาวุธเข้าไปจัดวางเพิ่มเติมด้วย


              เมื่อมองดูห้องหนังสือเล็กที่จัดใหม่ทั้งหมด ทั้งสองคนล้วนรู้สึกอิ่มเอมใจที่ทำงานได้ลุล่วง


              ท้ายสุดก็เหลือเพียงผนังด้านหนึ่ง


              เสิ่นจั้งเฟิงเสนอว่า “แขวนภาพวาดโบราณ? เจ้าชอบผลงานของผู้ใด ข้าจะไปดูว่าในคลังมีหรือไม่ หากว่ามีก็จะไปขอจากท่านแม่มา”


              เว่ยฉางอิ๋งขบคิดเรื่องผนังนี้อยู่นาน ในสมองพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา จึงสั่งให้คนเอากระบี่ ‘ลู่หู’ ที่เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีออกมา


              “นี่กลับเป็นความคิดที่ดีทีเดียว” เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำ พลางหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าประหลาด… ความจริงแล้วที่วันนี้เสิ่นเซวียนเรียกเขาไปพบ เป้าหมายโดยอ้อมก็คือต้องการจะบอกว่าในเมื่อได้มอบกระบี่คู่ชายหญิงคู่หนึ่งให้เป็นของกำนัลรับไหว้ไปแล้ว ดีชั่วอย่างไรสะใภ้ก็ไม่ได้ใช้กระบี่ ‘ลู่หู’ เช่นนั้นก็…


              ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงที่หมายปองกระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มนี้มานานแล้วเช่นเดียวกับเสิ่นโจ้ว มีหรือจะยอมคืนให้เขา? ไม่ว่าเสิ่นเซวียนจะพูดเช่นใดเขาก็ไม่ยอมรับปาก บอกแต่เพียงว่าของที่มอบให้ภรรยาไปแล้วเขารู้สึกกระดากใจที่จะออกปากขอคืนมา


              เขายังรู้สึกกระดากใจ แล้วมีหรือเสิ่นเซวียนจะไม่กระดากใจและไปเอ่ยปากกับสะใภ้? เขาจึงโกรธเคืองหายใจฮึดฮัดอยู่เป็นนานจนเกือบจะปรี่เขาไปชกเสิ่นจั้งเฟิงเสียแล้ว ภายหลังมีข่าวส่งมาว่าแม่เฒ่าเติ้งหมดสติ เสิ่นเซียนจึงเรียกบุตรชายคนโตมาหาและสั่งให้เขาไปเยี่ยมดู เสิ่นจั้งเฟิงจึงอาศัยโอกาสนี้เอาตัวรอดออกมา


              ซึ่งเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่อาจให้เว่ยฉางอิ๋งล่วงรู้


              เสิ่นจั้งเฟิงคิดว่า ‘หากท่านพ่อรู้ว่าอิ๋งเอ๋อร์เอากระบี่เล่มนี้มาแขวนเป็นของตกแต่งในห้องหนังสือเล็ก… ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกกลัดกลุ้มเพียงใด?’ เมื่อกำลังคิดดังนี้สีหน้าของเขาจึงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขึ้นมา…


              เมื่อกระบี่ ‘ลู่หู’ ส่งมาถึง เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนรับมาเพื่อจะนำไปแขวนเอง เว่ยฉางอิ๋งชี้บอกตำแหน่งที่ต้องการแขวนก่อน จากนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อสำรวจดู แล้วรู้สึกว่ายังไม่ใคร่พอใจจึงขยับไปซ้ายขวาอีกหลายหน เสิ่นจั้งเฟิงขยับเปลี่ยนตำแหน่งตามคำนางหลายหนจึงทำให้นางพยักหน้าพอใจได้


              เมื่อแขวนกระบี่เสร็จแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงจึงถอยออกมา นางหวงจึงยัดผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้เว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งเอาแต่จับจ้องไปที่กระบี่จึงไม่ทันคิดสิ่งใด พลางส่งผ้าผืนให้เสิ่นจั้งเฟิงเช็ดมือแล้วว่า “ตำแหน่งนี้พอเหมาะพอเจาะจริงๆ เจ้าว่าอย่างไร?”


              เสิ่นจั้งเฟิงรับผ้ามาพลางจ้องลึกลงไปในดวงตาของ จึงยิ้มออกมา แล้วว่า “เจ้าว่าดี เช่นนั้นก็ต้องดี”


_________________________________


ตอนที่ 14 กลับบ้าน

โดย

Xiaobei

              วันรุ่งขึ้นก็คือวันกลับบ้าน[1]ตามกำหนด ฮูหยินซูไปเยี่ยมมารดาที่บ้านเดิมของนางและนอนค้างคืนไม่ได้กลับมา เสิ่นเซวียนเข้าวังไปตั้งแต่เช้า ยามเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งเฟิงออกจากบ้านก็อดจะรู้สึกวังเวงเงียบเหงาไม่ได้… มีเพียงนางหลิวที่รีบมาสั่งความสองสามประโยค แล้วนำของกำนัลยามกลับบ้านมามอบให้แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว


              ฝนยังคงตกอยู่จนวันนี้ไม่ยอมหยุด เสิ่นจั้งเฟิงและภรรยานั่งรถไปด้วยกัน


              รถม้าหมุนเคลื่อนออกจากจวนราชครู เมื่อมองผ่านม่านแพรบางไปภายนอก ท้องถนนในเมืองหลวงกว้างใหญ่เป็นระเบียบ มีต้นหลิวเรียงรายอยู่สองข้างทาง ผู้คนขวักไขว่ไปมาหนาแน่นดังผ้าทอ ดูเจริญและคึกคักกว่าเฟิ่งโจวมากนัก ทิวทัศน์ต่างๆ ก็มีหลายแห่งดูแปลกตา


              …เมืองหลวงที่ดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้ มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าชายแดนทางเหนือและทางตะวันตกกำลังร้อนระอุไปด้วยเพลิงสงคราม และในแผ่นดินต้าเว่ยอันกว้างใหญ่ไพศาลก็มีพวกโจรกำแหงอยู่ทุกทั่วหัวระแหง สร้างความลำเค็ญให้ผู้คนจนถึงขั้นที่ไม่มีใครคาดคิดถึง


              ตลอดทางจากเฟิ่งโจวถึงเมืองหลวง แม้จะมีองครักษ์คอยอารักษ์ขา แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ยังพอจะได้ยินว่าบางพื้นที่ที่ผ่านมานั้นมีความข้นแค้นและยากจนเพียงใด ความทุกข์ยากและอับจนหนทางของชาวบ้านที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งซึ่งเกิดมาก็มีแพรพรรณอาภรณ์อาหารชั้นเลิศยากจะจินตนาการถึงได้


              หลังจากเห็นชาวบ้านเหล่านั้นและได้มาเห็นความเจริญรุ่งเรืองและโอ่อ่าของเมืองหลวง ในใจของเว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกเคว้งคว้างทั้งยังร้อนใจและเป็นกังวลขึ้นมาอย่างประหลาด


              เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางมองไปนอกรถอย่างเหม่อลอย ยังหลงนึกว่านางอยากดูทิวทัศน์ของเมืองหลวง จึงกล่าวว่า “นับแต่วันพรุ่งข้าต้องไปทำงาน รอจนวันหยุดคราหน้า ข้าจะพาเจ้าออกมาดูให้ถ้วนทั่ว?”


              “อ่ะ?” เว่ยฉางอิ๋งได้สติคืนมา กล่าวว่า “ก็มิใช่ว่า…”


              ขณะที่นางกำลังพูด มีม้าสองตัววิ่งเหยาะๆ ผ่านมาที่ข้างรถ คงเพราะเห็นตราบนตัวรถ คนสวมงอบที่ขี่อยู่บนหลังม้าจึงบังคับม้าให้วิ่งช้าลงและเข้ามาทักทายคนในรถ “ในรถคงจักเป็นน้องย้าวเหยี่ยพาฮูหยินกลับบ้านกระมัง?”


              เสียงนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็จำได้ นางกล่าวเบาๆ ไปว่า “เป็นคุณชายกู้?”


              เสิ่นจั้งเฟิงพยักหน้า แล้วหันหน้าไปทางม่านหน้าต่างด้านข้างตัวเขา ตอบกู้อี้หรานไปว่า “ใช่แล้ว ท่านพี่จื่อหมิง น้องกู้เสียนไยจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”


              ก่อนหน้านี้เว่ยฉางอิ๋งเคยพบกับกู้อี้หรานมาแล้ว ยามนี้จึงเปิดม่านหน้าต่างออกและพยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย…จึงเห็นว่านอกจากกู้อี้หรานแล้ว คนที่อยู่บนม้าอีกคนเป็นชานหนุ่มหน้าตาโดดเด่นซึ่งอยู่ในวัยที่ยังไม่สวมหมวก แม้จะสวมงอบและเสื้อคลุมฟางก็ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงปราดเปรียว ทั้งสองคนตอบมาพร้อมกันว่า “ได้ยินมาว่าผิงซวีล้มป่วย ข้าจึงแลกเวรกับผู้อื่น ยามนี้กำลังจะเดินทางไปเยี่ยม”


              “ผิงซวีล้มป่วย? ไยจึงเป็นเช่นนี้?” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย


              กลับเห็นกู้อี้หรานและเด็กหนุ่มที่ยังไม่สวมหมวกสบตากันคราหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างลำบากใจว่า “พวกข้าก็เพิ่งรู้ข่าว กำลังจะเดินทางไปสอบถาม”


              แล้วสนทนากันอีกสองสามประโยค ทั้งสองฝ่ายจึงได้ร่ำลากัน


              เมื่อฟังเสียม้าห่างออกไป เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามว่า “คนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายสนิทของเจ้าหรือ?”


              “อืม” เสิ่นจั้งเฟิงตอบไปคำหนึ่งด้วยท่าทีคล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


              เว่ยฉางอิ๋งถามไปอีกว่า “ผิงซวีเป็นผู้ใด? เมื่อเขาล้มป่วย ไยเจ้าจึงดูเป็นกังวลเช่นนี้?”


              “คือจางลั่วหนิงบุตรชายบ้านใหญ่ของตระกูลจาง” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “อาจมีเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย… ก่อนข้าจะลงใต้ไปเฟิ่งโจว เคยได้ยินเสียงร่ำลือในวังว่า ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะคัดเลือกราชบุตรเขยให้แก่องค์หญิงหลินชวน ครานั้นมีคนเสนอชื่อเขา”


              เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าในรัชสมัยนี้มีการปฏิบัติต่อองค์หญิงเป็นพิเศษเพียงใด บรรดาราชนิกุลล้วนลุแก่อำนาจและเหี้ยมโหดทั้งนั้น องค์หญิงที่ทั้งลงไม้ลงมือและด่าทอราชบุตรเขยมีให้เห็นบ่อยครั้งยิ่ง หากเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่หากเป็นคนในตระกูลใหญ่ต่างๆ ที่เดิมทีก็มีเกียรติยศมีฐานะ ยิ่งไปกว่านั้นตนเองยังได้รับการเอาอกเอาใจรักใคร่อย่างยิ่งมาแต่เล็กจนโต จึงไม่อาจอดทนที่ต้องมาปรนนิบัติผู้ใด ดังนั้นเมื่อได้ยินว่ามีการคัดเลือกราชบุตรเชย บรรดาลูกหลานตระกูลใหญ่ โดยเฉพาะบุตรหลานในตระกูลสายหลักล้วนวิงวอนต่อฟ้าดินว่าอย่าได้ถูกเลือกเลย


เมื่ออ่านจากท่าทีของเสิ่นจั้งเฟิ่งในยามนี้ นางจึงได้ลองสอบถามไปว่า “เขา…ผู้นี้คงไม่ใคร่ยินยอม?”


              “ไม่” เสิ่นจั้งเฟิงลูบที่ใต้คางพร้อมสีหน้าฉงนสนเท่ห์ “ครานั้นยามข้านำราชโองการของฮ่องเต้ไปลองสอบถามเป็นการส่วนตัว จางผิงซวีกลับมิได้มีท่าทีปฏิเสธการอภิเษก” และอธิบายไปอีกว่า “แม้องค์หญิงหลินชวนจะเป็นผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง ทว่าจางผิงซวีก็มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเมืองหลวง องค์หญิงโปรดผลงานกวีของเขายิ่ง ทั้งยังเคยเอ่ยชมเขาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้หลายหน ดังนั้นผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดฮ่องเต้จึงคิดเลือกสรรเขาให้องค์หญิงหลินชวน และฮ่องเต้ก็ทรงเห็นดีด้วย… วันนี้ไยจึงล้มป่วยเสียแล้ว?”


              การบอกว่าเจ็บป่วยเป็นวิธีที่บรรดาบุตรหลานตระกูลใหญ่มักจะใช้เมื่อไม่ต้องการเข้าวัง ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เพิ่งจะมีการเอ่ยถึงเป็นการภายในเมื่อเดือนสอง จนยามนี้ก็จวนจะมีข่าวคราวที่ชัดเจนแพร่ออกมา กระทั่งจวนจะมีพระราชโองการออกมาแล้ว จางผิงซวีกลับมาล้มป่วย มิน่าเล่าเสิ่นจั้งเฟิงจึงได้รู้สึกสงสัย


              เว่ยฉางอิ๋งเม้นปาก “คุณชายกู้มิใช่บอกว่าเจ็บป่วย? และมิได้บอกว่าเป็นโรคร้ายใด อาจเพียงปวดหัวตัวร้อน อีกสักสองวันก็อาจจะดีขึ้นแล้ว?”


              เสิ่นจั้งเฟิงคิดไปก็เห็นว่าเป็นดังนั้น แม้จางผิงซวีจะทะนงในชื่อเสียงและความสามารถของตน ทั้งยังเคยคุ้นกับแหล่งประโลมโลกต่างๆ ในเมืองหลวงยิ่ง เขาค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในเรื่องเจ้าชู้ประตูดินและใช้อำนาจบาตรใหญ่อ แต่ก็มิได้เป็นคนกลับกลอกไปมา ก่อนนี้ในเมื่อเขาก็ยอมรับโดยปริยายและไม่ได้คัดค้านที่จะแต่งงานกับองค์หญิง ยามนี้ก็ไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงจึงจะถูก คงเพราะตนคิดมากเกินไปเอง


              จึงได้ยิ้มและหันมาแนะนำทั้งสองคนที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่นี้ “พี่จื่อหมิงหรือกู้อี้หราน เจ้าเคยได้พบในเฟิ่งโจวแล้วรึ? ผู้ที่อยู่ข้างๆ ก็แซ่กู้เช่นกัน แต่เป็นบุตรหลานของตระกูลกู้แห่งหงโจว และเป็นหลานชายของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน มีนามว่ากู้เวย ยามนี้ยังมิได้สวมหมวกยังไม่มีนามรอง”


              “ข้าจำได้ว่ากู้จื่อหมิงเป็นราชองครักษ์อี้?” เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างสงสัย “หรือว่ากู้เวยผู้นี้ก็เป็นด้วย?” หลานชายของฮองเฮา ด้วยฝีมือของฮ่องเฮาองค์นี้ก็คงจะไม่อาจไม่ส่งเสริมคนในตระกูลของตน


              เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัว “กู้เวยเป็นราชองครักษ์ชิน” เขากล่าวว่า “การประลองหน้าต่อหน้าพระพักตร์ พวกเราสองสามคนโชคดีมีชัยอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงมีความคุ้นเคยกันภายในเหล่าราชองครักษ์ทั้งสามอยู่บ้าง พี่จื่อหมิงเป็นคนสุภาพใจกว้าง พี่น้องในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดที่ไม่เป็นมิตรกับเขา ผู้ที่เขาคบหาด้วยนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เหล่าราชองครักษ์ทั้งสามเท่านั้น”


              “แล้วเจ้าเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “ข้าดูเจ้าก็มิได้เป็นคนใจร้าย แล้วไยดูราวกับว่าวาสนาเรื่องคนของเจ้าดีไม่สู้เขาเล่า?”


              เสิ่นจั้งเฟิงมองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “อ๋า เจ้ารู้สึกว่าข้ามิได้เป็นคนใจร้ายหรือ? ไม่ใจร้ายอย่างไร? ควรมีรางวัลหรือไม่?”


              “เจ้าก็เป็นคนใจดีถึงเพียงนี้แล้ว ยังต้องให้รางวัลใดแก่เจ้าอีก?” เว่ยฉางอิ๋งหัวไวนักพลางตอบกลับไปทันควัน


              “นี่เป็นการบังคับให้วันหน้าสามีร้ายกับเจ้าสักหน่อยหรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวยิ้มๆ พลางยื่นนิ้วไล้ที่ข้างแก้มนาง


              เว่ยฉางอิ๋งซัดหมัดเข้าหาเขาหลายหมัดตามความเคยชิน กล่าวตำหนิพลางแง่งอนว่า “เจ้ากล้า!”


              เสิ่นจั้งเฟิงลูบคาง แล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมา


              ทั้งสองคนเย้าหยอกกันไปสองสามประโยคแล้วกลับลืมคำถามของเว่ยฉางอิ๋งไปเสียแล้ว เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งลองคิดๆ ดูก็พอจะเข้าใจแล้ว ‘เสิ่นจั้งเฟิงได้ที่หนึ่งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนสุภาพอ่อนโยนเพียงใด อย่างไรก็ย่อมเป็นที่ขัดหูขัดตาคน แล้วจักเทียบกับกู้อี้หรานได้อย่างไร?’


              เช่นนี้เรื่อยไปจนถึงจวนตระกูลเว่ย คุณชายรองเว่ยฉางอวิ๋นและคุณชายสามเว่ยฉางซุ่ยรออยู่ที่หน้าประตูใหญ่นานแล้ว เมื่อเห็นสองสามีภรรยาลงมาจากรถจึงรีบเข้าไปกล่าวทักทาย


              เมื่อสนทนาปราศรัยกันสองสามประโยคแล้ว เว่ยฉางอวิ๋นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อท่านแม่คอยอยู่ในโถงแล้ว” จึงได้ต่างคนต่างเชิญกันเดินเข้าไป


              วันนี้เว่ยเซิ่งอี๋ก็ลากิจมาเพื่อรอรับพวกเขาโดยเฉพาะ ในพิธีเข้าพบปะและคราวะทั้งสองฝ่ายต่างเล่าถึงความรู้สึกของตน ต่างฝ่ายจึงต่างคอยสังเกตกันและกันอย่างขาดไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งได้พบอาสะใภ้รองเป็นหนแรก และพบว่านางมีความเป็นบุตรสาวตระกูลตวนมู่จริงๆ เค้าหน้าของฮูหยินแซ่ตวนมู่และนางตวนมู่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก การปฏิบัติตนกับผู้อื่นก็มิได้ตื้นเขิน ยังมิทันคุยด้วยถึงสองประโยค นางก็มองเว่ยฉางอิ๋งด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูยิ่ง ราวกับว่านางเป็นฮูหยินซ่งเสียเองเช่นนั้น…หากไม่รู้มาก่อน ยังนึกว่าวันนี้จวนตระกูลเว่ยกำลังรอบุตรสาวแท้ๆ กลับบ้านอยู่จริงๆ


              ลูกผู้พี่ทั้งสอง ทั้งเว่ยฉางอวิ๋นและเว่ยฉางซุ่ยช่วยเว่ยเซิ่งอี๋ต้อนรับเสิ่นจั้งเฟิง ส่วนฮูหยินตวนมู่ก็เชิญเว่ยฉางอิ๋งไปสนทนากันที่ด้านหลังโถง


              วันนี้เว่ยฉางหว่าน ซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ที่แท้จริงตามลำดับของตระกูลเว่ยก็กลับมาด้วย คุณหนูใหญ่ผู้นี้รูปโฉมงดงาม ทว่าสีหน้าเรียบเฉยนัก ทั้งยังมีท่าทีค่อนข้างเย็นชากับเว่ยฉางอิ๋ง บางครายังมองนางหวงที่ติดตามมาด้วยสายตาที่เย็นชาเสียยิ่งกว่า เว่ยฉางอิ๋งมองเห็นทุกสิ่งจึงอดจะคาดเดาไม่ได้ว่าก่อนนี้นางหวงอาจเคยทำบางสิ่งไว้กับพี่สาวคนโตผู้นี้ เป็นเหตุให้เว่ยฉางหว่านดูแค้นเคืองนางหวงเช่นนี้ กระทั้งแม้แต่ตนเองก็ยังพลอยถูกนางเคืองโกรธไปด้วย


              กลายเป็นคุณหนูเจ็ดเว่ยฉางเจวียนที่อายุเพียงสิบเอ็ดปีเสียอีกที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง นางดึงเว่ยฉางอิ๋งมาสนทนาและถามนั่นถามนี่ แม้แต่ฮูหยินตวนมู่เองก็ยังไม่อาจแทรกบทสนทนาได้ เว่ยฉางเจวียนรูปโฉมงดงามสดใส ดวงตาโตฟันขาวเรียงสวย สวมเสื้อส้างหรูแขนกว้างสีส้มแดงปักลายกิ่งก้านและดอกมู่ตาน คาดกระโปรงผ้าแพรบางสีชมพูประกายเงิน มวยผมทรงก้นหอยคู่ ทั้งการแต่งกายและอุปนิสัยดูไปแล้วคล้ายคลึงกับเสิ่นจั้งหนิงที่ล้วนเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่ร่าเริงและซุกซน


              แรกเริ่มนั้นยังให้เว่ยฉางอิ๋งตอบมาประโยคสองประโยค แต่นานเข้าก็กลายเป็นนางพูดอยู่คนเดียวเสียแล้ว


              คุณหนูเจ็ดผู้นี้พูดเร็วและมีน้ำเสียงสดใสกังวาน มีเรื่องมาพูดคุยมากมายหลายหลาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกินเสื้อผ้าเครื่องใช้ในเมืองหลวงนางล้วนพรั่งพรูออกมาไม่หยุด เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วยังรู้สึกเวียนหัวตาลาย ทั้งยังพูดไปถึงเรื่องภายในวังด้วย… เว่ยฉางเจวียนบอกว่าตนสนิทสนมกับองค์หญิงในวังหลายพระองค์ เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็ถูกฮูหยินตวนมู่กระแอมตัดบท และหันมาถามเว่ยฉางอิ๋งว่าอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่นพอจะคุ้นเคยบ้างหรือไม่ ร่วมถึงสอบถามถึงเรื่องพ่อแม่สามีและพวกพี่สะใภ้ด้วย


              เว่ยฉางอิ๋งย่อมต้องบอกว่าทุกเรื่องล้วนไม่มีปัญหาใด


              ฮูหยินตวนมู่จึงกล่าวว่า “เดิมที่ท่านอาหญิงใหญ่ และอาหญิงรองล้วนอยากมาด้วย แต่จนใจนักที่สองวันก่อนท่านอาหญิงใหญ่ของพวกเจ้าแพ้อากาศและล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ส่วนท่านอาหญิงรองของพวกเจ้านั้น เรื่องของทางบ้านซูคิดว่าฉางอิ๋งเจ้าคงจักได้ข่าว…”


              ยามนี้อาหญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ของเว่ยฉางอิ๋งมีทั้งสิ้นสามคน หนึ่งในนั้นมีอาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินเป็นอาแท้ๆ แม่เฒ่าซ่งเชื่อใจเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเท่านั้น ส่วนบุตรธิดาของอนุนางล้วนไม่ไว้ใจ ทั้งยังไม่ใคร่เอ่ยถึงนัก ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงรู้แต่เพียงว่าเว่ยเซิ่งเซียนอาหญิงใหญ่ของตนแต่งเข้าตระกูลซ่ง ส่วนเว่ยเซิ่งซืออาหญิงสามก็แต่งเข้าตระกูลจาง ส่วนรายละเอียดเรื่องบุตรธิดาต่างๆ กลับไม่รู้ชัด


              ทว่านางกลับรู้ว่าอาหญิงทั้งสองซึ่งเป็นบุตรของอนุนั้นไม่น่าจะอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้ฟังคำฮูหยินตวนมู่แล้วจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านอาหญิงใหญ่มาที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ? แล้วท่านอาหญิงสามเล่า?”


              “ท่านอาเขยใหญ่ของพวกเจ้าได้ย้ายมารับตำแหน่งใกล้เมืองหลวง ท่านอาหญิงใหญ่ของพวกเจ้าจึงกลับมาด้วย ราวห้าหกวันก่อนเพิ่งจะมาถึง คิดว่ายังไม่ทันส่งจดหมายไปแจ้งแก่พวกเจ้า” ฮูหยินตวนมู่กล่าว “ท่านอาหญิงสามของพวกเจ้ากลับยังอยู่ที่เยี่ยนโจวกับท่านอาเขยสามของพวกเจ้า”


              ในเมื่อเอ่ยถึงเว่ยเซิ่งเซียนขึ้นมา เว่ยฉางอิ๋งจึงได้เอ่ยถามอีกสองสามประโยค ฮูหยินตวนมู่ก็ถอนใจว่า “ท่านอาหญิงใหญ่และท่านอาเขยใหญ่ของพวกเจ้านั้นยังดี เพียงแต่พวกเขาแต่งงานมานานปี แต่กลับมีเพียงบุตรสาวสองคน ระยะนี้มีข่าวลือว่าทางตระกูลซ่งมีทางที่จะบอกให้พวกเขารับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงดู”


              เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้นท่านอาหญิงใหญ่?” ในเมื่อฮูหยินตวนมู่พูดเช่นนี้แล้ว ไม่แน่ว่าเพราะได้รับการไหว้วานจากเว่ยเซิ่งเซียน และรอนางกลับมาบ้านเพื่อบอกเล่าแก่นางโดยเฉพาะ


              “ซีเยวี่ยลูกผู้พี่ของพวกเจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว นอกเสียจากสวรรค์เมตตา หาไม่แล้วจักต้องรับบุตรบุญธรรมเป็นแน่” ปรากฏว่าฮูหยินตวนมู่จิบชาไปคำหนึ่ง ขมวดคิ้วแล้วว่า “เพียงแต่… ท่านอาหญิงใหญ่ของพวกเจ้าคิดว่า ในเมื่อหลายปีแล้วพวกเขาก็ล้วนไม่มีบุตรชาย เช่นนั้นไม่สู้รอให้ลูกพี่ผู้พี่ของเจ้าทั้งหรูเซวียนและซีเยวี่ยออกเรือนไปเสียก่อนค่อยว่ากัน”


              แม้ว่าซ่งหรูเซวียนและซ่งซีเยวี่ยล้วนเป็นหญิงซึ่งไม่อาจจุดธูปเซ่นไหว้บรรพบุรุษได้ ทว่าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเว่ยเซิ่งเซียนและสามี ต่อให้รับบุตรบุญธรรม อย่างไรเว่ยเซิ่งเซียนก็ต้องลำเอียงเข้าข้างธิดาของตน ทว่าวันใดที่บุตรบุญธรรมเข้าบ้าน ฐานะของเขาก็กลับต้องสูงกว่าบุตรสาวทั้งสองของนาง


              ยิ่งมิได้ต้องเอ่ยว่าหากบุตรบุญธรรมแต่งงาน แล้วภรรยาของเขามิได้มีจิตใจดีงาม… กอปรกับหากบิดามาดราอาและลุงของบุตรบุญธรรมยังมีชีวิตอยู่ แล้วคอยยุยงอยู่ข้างหลัง ยิ่งจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมา… เว่ยเซิ่งเซียนจึงหวังว่าจะสามารถให้บุตรสาวแต่งงานออกไปได้อย่างสบายใจ ได้มอบสินติดตัวที่ควรให้ ทั้งบ้านเรือนส่วนตัวที่ควรมอบให้เรียบร้อยแล้ว ครานี้ไม่ว่าจะรับบุตรบุญธรรมก็ไม่มีเรื่องใดต้องกลัวแล้ว… ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของคนทั่วไป


              เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็รู้ว่าเรื่องนี้จะต้องกำลังรอตนอยู่โดยเฉพาะ เว่ยเซิ่งเซียนกำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากับแรงกดดันจากตระกูลของสามี แต่คนในตระกูลซ่งที่นางแต่งด้วยนั้นก็เป็นอีกสาขาหนึ่งของตระกูลซ่ง ประมุขของตระกูลซ่งคือท่านตาของตน และว่าที่ประมุขคนต่อไปซึ่งคือลุงแท้ๆ ของตน ยามนี้ก็มิใช่ว่าอยู่ที่เมืองหลวงหรอกหรือ?


              แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเองก็ไม่เคยพบท่านลุงผู้นี้ แต่อย่างไรก็เป็นพี่ชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของมารดา หากไปยามเยี่ยมเยือนซ่งไจ้สุ่ยแล้วไหว้วานนางให้ช่วยบอกกล่าวให้สักคำ คาดว่าอย่างไรเสียซ่งอวี่วั่งก็คงจะเห็นแก่ตนซึ่งเป็นหลานสาวอยู่บ้าง เพราะสำหรับซ่งอวี่วั่งแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเพียงการช่วยออกปากไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น


____________________________


[1] วันกลับบ้าน หลังจากฝ่ายหญิงแต่งงานมาอยู่บ้านสามีแล้ว สามีก็จะพาภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านของตน ซึ่งในที่นี่เนื่องจากเฟิ่งโจวอยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก เว่ยฉางอิ๋งจึงเดินทางไปบ้านญาติในเมืองหลวงแทนการกลับบ้านเดิมของตนจริงๆ


ตอนที่ 15 แท้งลูก

โดย

Xiaobei

                อย่างไรก็ดีทั้งสองฝ่ายล้วนไม่คุ้นเคยกันยิ่งนัก ด้วยมิได้เป็นอาหลานที่สนิทชิดเชื้อกันอย่างจริงแท้ ดังนั้นเมื่อพูดเรื่องของเว่ยเซิ่งเซียนแล้วก็คล้ายว่าไม่มีเรื่องจะสนทนากันอีก หลังจากทานอาหารเที่ยงในจวนและนั่งพักสักครู่แล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงอ้างว่าแม่เฒ่าเติ้งล้มป่วย แม่สามีไม่อยู่บ้าน ตนเองจึงไม่สะดวกจะกลับล้าช้า หลังจากบอกปัดคำเชิญชวนให้อยู่ต่อของท่านอาและอาสะใภ้แล้ว จึงกล่าวคำอำลาพร้อมกับเสิ่นจั้งเฟิงและจากไป


                เมื่อกลับมาถึงจวนราชครูก็เห็นนางว่านยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน คล้ายว่ากำลังรอพวกตนอยู่ จึงเอ่ยถามนางว่ามีเรื่องใด


                ปรากฏว่านางว่านรายงานว่า “เมื่อครู่นี้ฮูหยินน้อยใหญ่ให้คนมาบอกว่าลวี่เฉียวในเรือนของคุณชายรอง…แท้งแล้วเจ้าค่ะ”


                “อะไรนะ?” สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปทันใด นี่มันผีซ้ำด้ำพลอยชัดๆ ตนเพิ่งจะเข้าบ้านมา ยายของสามีก็ล้มป่วย วันนี้ในบ้านก็ยังเกิดเรื่องแท้งบุตรอีก… นางรู้สึกแย่ขึ้นมาทันใด เมื่อตั้งสติแล้วจึงกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้ข้าก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ท่านอาว่าควรทำเช่นไร?”


                นางกลับไม่เคยได้ยินว่าในบ้านสองมีคนกำลังตั้งครรภ์อยู่!


                นางว่านยิ้มเจื่อนพลางว่า “ฮูหยินน้อยรองก็ไม่อยู่เสียอีก ฮูหยินน้อยใหญ่เชิญหมอมาสั่งยาให้ลวี่เฉียวแล้ว และให้นางนอนพักอยู่บนตั่ง…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวสิ่งใดกับบ้านเรา ฮูหยินน้อยใหญ่ก็เพียงให้คนมาบอกเท่านั้น ฮูหยินน้อย…ฮูหยินน้อยส่งสิ่งใดไปสักอย่างก็พอแล้วเจ้าค่ะ”


                ของกำนัลสักชิ้นกลับมิได้มีปัญหาใด สิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งกลัดกลุ้มนั้นคือตนเพิ่งจะแต่งเข้าบ้านเสิ่นไม่กี่วัน เหตุใดไม่ว่านอกบ้านในบ้านล้วนเกิดเรื่องเกิดราว? มองไปก็เห็นเสิ่นจั้งเฟิงเองก็กำลังขมวดคิ้ว สีหน้าหนักอึ้ง นางพลันตื่นตกใจและรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ขบริมฝีปากแล้วว่า “ทำตามท่านอาเถิด ข้ายังเด็ก ก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรมอบสิ่งใดให้ดี ต้องรบกวนท่านอาช่วยดูแลให้ด้วย”


                นางว่านกล่าวถ่อมตนไปสองสามประโยค อาศัยจังหวะที่นางยกจอกเงินขึ้นมาด้วยจิตใจสับสนลอบส่งสายตาให้เสิ่นจั้งเฟิงหนหนึ่ง


                เสิ่นจั้งเฟิงสะดุ้ง แล้วเห็นนางว่านมองภรรยาตนหนหนึ่ง จึงพอจะเข้าใจและพยักหน้าเบาๆ


                รอจนนางว่านออกไปเตรียมของกำนัล เสิ่นจั้งเฟิงคิดสักพักจึงกล่าวกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ลวี่เฉียวเป็นเพียงอนุในเรือนของพี่ชายรอง พี่ชายรองก็มิได้ชื่นชอบนางเป็นพิเศษ เพียงแต่…นางก็ตั้งครรภ์มาห้าเดือนแล้ว ยามครรภ์ได้สามเดือนก็ตรวจได้ว่าเป็นผู้ชาย ดังนั้นเมื่อครู่นี้ยามข้าได้ยินเรื่องจึงคิดว่าตอนนี้พี่ชายรองคงจะอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก จึงรู้สึกเป็นกังวล กลับมิได้มีความหมายใดอื่น”


                บุตรสาวทั้งสามของบ้านสองแม้ว่าทุกคนต่างก็งดงาม บุตรสาวคนสุดท้องซูเหยียนยังเทพธิดาน้อยที่มีชื่อเสียงทั่วเมืองหลวง… แต่อย่างไรก็มิได้เป็นชาย มีบุตรสาวสามคนแต่ยังไม่มีบุตรชาย แม้เสิ่นเหลี่ยนสือจะไม่ออกปาก แต่ในใจจะไม่ร้อนรนได้หรือ? ปรากฏว่ายามนี้ภรรยาน้อยก็อุตส่าห์ตั้งครรภ์บุตรชายแล้ว แต่ก็มาแท้งเสีย…


                เว่ยฉางอิ๋งฟังเขาอธิบายว่ามิได้ถือโทษโกรธตน หากแต่เป็นห่วงพี่ชายรอง คิ้วที่ขมวดอยู่จึงได้คลายลง แล้วว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไปเรือนพี่รองดูสักหน่อยหรือไม่?”


                “…ไม่ล่ะ ยามนี้พี่รองก็คงมิได้อยากพบข้า คงอยากจักอยู่เงียบๆ สักหน่อย” เสิ่นจั้งเฟิงครุ่นคิดสักพักแล้วกลับส่ายหัว พลางว่า “อีกประการพวกเราก็เพิ่งจะแต่งงานใหม่ หากทิ้งเจ้าเอาไว้ลำพังก็ไม่เป็นเรื่องไม่สมควร”


                เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินประโยคนี้ แล้วหันหน้าหานางหวง “จัดห้องทางด้านหน้าแล้วหรือยัง?”


                นางหวงเห็นว่ายามนางพูดนั้นมุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย รู้สึกขำอยู่ในใจ กล่าวว่า “ข้าน้อยจักไปถามดูเจ้าค่ะ” วันนี้นางติดตามเว่ยฉางอิ๋งกลับบ้านไปด้วย และเพิ่งจะกลับมาพร้อมกันแล้วจักรู้ได้อย่างไร?


                จากนั้นก็รอนางว่านซึ่งไปเยี่ยมลวี่เฉียวที่บ้านสองกลับมา จึงได้รู้ว่าห้องข้างหน้านั้นจัดการาเรียบร้อยหมดแล้ว


                เว่ยฉางอิ๋งไปดูหนหนึ่ง รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องจึงชมเชยนางว่ายไปสองสามประโยค… เมื่อกลับมาที่ห้อง ก็ได้รู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงไปฝึกคัดตัวอักษรที่ห้องหนังสือเล็ก ใจอยากจะไปแต่ก็กลับรู้สึกลังเลขึ้นมา


                นางหวงและนางเฮ่อส่งสายตาหากัน นางเฮ่อกระแอมไอหนหนึ่งกล่าวว่า “ดูคล้ายว่าจะลืมนำน้ำชาไปที่ห้องหนังสือเล็กเสียแล้วกระมัง? เมื่อครู่คุณชายบอกว่าอยากได้น้ำชาใช่หรือไม่?”


                นางหวงกุมขมับ กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ลืมไปเสียแล้ว!”


                เว่ยฉางอิ๋งกำลังจะพูด นางหวงก็เอาถาดไม้อูมู่ชียัดใส่มือนางแล้วว่า “ฮูหยินน้อยนำเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้พี่หวงบอกว่าเย็นวันนี้จะไปลงมือทำอาหารเอง ข้าน้อยต้องไปคอยช่วย พวกเราล้วนไม่ว่างเจ้าค่ะ”


                ท่านอาทั้งสองไม่ว่างก็มิใช่ว่ายังมีสาวใช้หรอกหรือ? ฉินเกอเยี่ยนเกอเม้มปากแน่น ไม่กล้ายิ้มให้ชัดเจนนัก


เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาน้อยๆ คิดสักพักหนึ่งจึงยอมลงให้ กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ก็ได้”


เพราะฝนยังตกอยู่ จึงปิดหน้าต่างในห้องหนังสือเล็กเอาไว้ เว่ยฉางอิ๋งยกน้ำชามาถึงหน้าประตู ฉินเกอก้าวเข้าไปเคาะประตู แล้วได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงสั่งความว่า “เข้ามาได้!”


เมื่อเปิดประตูมากลับเห็นว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ หากแต่เปิดหน้าต่างทางด้านหลังออก และนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ตั่งเตี้ยๆ ข้างหน้าต่าง ยามนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่ยังคงมีเสียงหยดน้ำจากต้นไผ่ข้างนอกหน้าต่างดังเข้ามา ต้นไผ่แห้งๆ ถูกน้ำฝนชะล้างเสียจนชุ่มชื่นส่งประกายดังหยกเขียว ชายหนุ่มที่นั่งเอนตัวอิงอยู่บนตั่งสวมชุดสีแดงเข้มใส่กว้านครอบผมทองคำ ใบหน้างดงามดังหยกมันแพะ หล่อเหลาจับตาจนบรรยายออกมาไม่ได้


เมื่อมองเห็นภรรยายกน้ำชามา เสิ่นจั้งเฟิงรีบวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นไปรับนาง “ดูเรือนด้านหน้าเสร็จแล้วหรือ?”


                “เสร็จแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอาน้ำชาวางไว้บนโต๊ะแล้วมองไปบนโต๊ะหนังสือหนหนึ่ง “มิใช่บอกว่ากำลังคัดหนังสือหรือ?”


                “เมื่อครู่นี้เขียนไปแล้วหลายแผ่น ได้ยินเสียงหยดน้ำจากต้นไผ่ข้างหลังห้องจึงรู้สึกว่าเปิดหน้าต่างแล้วมาอ่านหนังสือก็ดีเช่นกัน” เสิ่นจั้งเฟิงรินน้ำชาเองหนึ่งจอก ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวไป


                เว่ยฉางอิ๋งมองไปรอบๆ หนหนึ่ง ในนี้ไม่มีน้ำชาอยู่จริงๆ จึงลอบโล่งอก จากนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าตนตื่นเต้นเกินไป… ต่อให้ในนี้มีน้ำชาแล้ว แล้วตนจะมาในห้องหนังสือเล็กแห่งนี้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ?


                ในขณะที่เกือบๆ ใจลอยอยู่นั้นพลันได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงบอกกับฉินเกอและเยี่ยนเกอว่า “พวกเจ้าลองไปดูที่ห้องครัวเล็ก แล้วนำของวางมาสักจาน”


                ฉินเกอและเยี่ยนเกอเม้มปากหัวเราะ แล้วว่า “เจ้าค่ะ!”


                เขาต้องการของว่างที่ใดกัน เห็นชัดๆ อยู่ว่าเขาไม่อยากให้พวกนางอยู่ตรงหน้า


                เว่ยฉางอิ๋งรอจนสาวใช้ออกไปหมดแล้วจึงกล่าวว่า “ไยเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง แล้วไม่เรียกคนมาคอยปรนนิบัติ?”


                เสิ่นจั้งเฟิงมองนางยิ้มๆ เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างขัดเคืองว่า “เจ้ายิ้มเรื่องใด?”


                “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังคิดว่า เมื่อใดนะเจ้าจะยกน้ำชามาให้” เสิ่นจั้งเฟิงเห็นนางไม่พอใจ จึงเดินอ้อมโต๊ะวางน้ำชาจะไปกอดนาง เว่ยฉางอิ๋งขยับตัวหลบไปแล้วว่า “ข้าจะไม่ยกเข้ามา ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่ออกไปเอง!”


                เสิ่นจั้งเฟิงเดินตามไปก้าวหนึ่งและกอดนางเอาไว้ได้ในที่สุด เขายื่นนิ้วไปหยิกข้างแก้มนาง ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “วานนี้เจ้าส่งผ้าผืนนั้นให้ข้า ข้าจึงคิดว่าวันนี้ข้าอยู่ในนี้ไม่มีน้ำชา เจ้าก็จักต้องยกมาให้…ปรากฏว่า ก็เป็นเจ้ายกเข้ามาให้ด้วยตนเองจริงๆ” เข้าเอ่ยถามอย่างใกล้ชิดสนิทสนม “สองวันมานี้ ที่สุดเจ้าก็ไม่กลัวสามีเสียที? ฮึ?”


                “…” เว่ยฉางอิ๋งคิดสักพัก รู้สึกว่าไม่ว่าจะตอบเช่นใดก็ล้วนต้องถูกเข้าเย้าแหย่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่สู้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเสียเลย “วันนี้ท่านอารองพูดเรื่องใดกับเจ้า?”


                “ก็ไม่ได้พูดสิ่งใด” เสิ่นจั้งเฟิงตอบไปเรื่อยเปื่อยประโยคหนึ่งแล้วดึงหัวข้อสนทนากลับมา บอกว่า “ข้าได้ยินคนว่าเจ้ากล้าหาญนัก สองวันก่อนไยต้องคอยหลบข้าเล่า?”


                ที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็หมดความอดทน ยื่นมือออกไปหยิกเขาหนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “ข้าไม่ได้กลัวเจ้า!”


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางชี้มาที่แก้มของตน “จริงหรือ?”


                “เชอะ! จักต้องจูบเจ้าเสียให้ได้จึงนับว่าไม่กลัวเจ้ารึ?” เว่ยฉางอิ๋งมองแผนการของเขาออกจึงเขินอายจนหน้าแดง แล้วผลักเขาออกไป บอกว่า “เหตุใดต้องคอยฟังเจ้าว่าเช่นใดกลัวเช่นใดไม่กลัว? ข้าซัดเจ้าสักรอบ เจ้าจักได้รู้ว่าใครกลัวใครกันแน่!”


                “เหตุใดเจ้าชอบตีข้านัก?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางเอาตัวไปแนบข้างลำตัวนาง กล่าวว่า “มิใช่ว่าตีก็คือจูบ ด่าก็คือรักหรือ? เจ้าชอบจูบสามีถึงเพียงนั้นเชียว?”


                เว่ยฉางอิ๋งสูดหายใจลึก พุ่งมือออกไปพลางว่า “ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว เจ้านี่มัน…!” เสิ่นจั้งเฟิงจับข้อมือนางไว้ได้พอดี นางจึงพลิกผ่ามือขึ้นแล้วปัดมือของเสิ่นจั้งเฟิงออก


                เสิ่นจั้งเฟิงร้องอ่ะออกมาหนหนึ่ง “จะลงมือกันจริงๆ รึ?”


                “ห้ามทำมือไม้ซุกซนอีก ไม่อย่างนั้น…ข้าซัดเจ้าแน่!” เว่ยฉางอิ๋งปัดมือเขาออกแล้วซัดหมัดหลายหมัดใส่เขา พลางขึ้นเสียง


                “สามีไม่ทำมือไม้ซุกซนกับเจ้า แล้วจะให้ไปทำมือไม้ซุกซนกับผู้ใดเล่า?” เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางพลางกล่าวอย่างขำขัน “เจ้าไม่ให้สามีมือไม้ซุกซนเป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ?”


                เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงก่ำขึ้นมา พึมพำว่า “สมควรสิ่งใดกันเล่า! หากเจ้ายังพูดจาส่งเดช ข้าจะชกเจ้าจริงๆ แล้ว!”


                เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตา แต่กลับเอาชายเสื้อสอดเข้ามาใต้เข็มขัดหยก ม้วนแขนเสื้อขึ้น แล้วยิ้มอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนพลางกวักมือเรียก “มาสิ ให้สามีดูหน่อยว่าเจ้าร่ำเรียนสิ่งใดมาบ้างจึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้ วันๆ เอาแต่คิดจะตีสามีให้เชื่อฟัง?”


                “ร่ำเรียนสิ่งใดมา? ที่เรียนมาก็คือจะชกเจ้าอย่างไรเล่า!” เว่ยฉางอิ๋งเห็นเขาทำท่าให้ตนลงมือให้เต็มที่ ทั้งยังไม่มีความเกรงกลัวใดๆ เดิมทีก็รู้สึกหงุดหงิดจนโกรธอยู่แล้ว ครานี้ยิ่งไม่พอใจหนักเข้าไปอีก เท้าหนึ่งยันพื้นแล้วพุ่งตัวเข้าใส่ ซัดสันมือไปที่ข้างคอของเสิ่นจั้งเฟิง!


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ผ่ามือนี้ไม่เลว ยามฝึกคงลำบากไม่น้อยเลยสินะ?” ยังมิทันสิ้นความ เขาก็ใช้นิ้วหนึ่งนิ้วสกัดไปที่ประตูลมปราณของเว่ยฉางอิ๋ง ปากก็ไม่ลืมจะกระเซ้าไปว่า “ได้ยินว่าเจ้าฝึกวรยุทธ์ก็ด้วยกลัวว่าเมื่อแต่งเข้ามาแล้วจะคุยกับสามีไม่รู้เรื่อง เห็นได้ว่าเจ้ารักใคร่สามีปานใด ไยพอเข้าบ้านมาแล้ว สามีกลับรู้สึกว่าคำเล่าลือนี้คลาดเคลื่อนอย่างใหญ่หลวง…ที่เจ้าไปเรียนวรยุทธนี้มาก็ด้วยคิดจะตีสามีให้อยู่หมัดชัดๆ? ”


                เว่ยฉางอิ๋งรู้ดีว่าด้วยร่างการของสตรีนั้น ย่อมไม่มีวันมีเรี่ยวแรงทัดเทียมบุรุษ จึงไม่กล้าปล่อยให้เขาพิจารณาข้อเท็จจริงใดๆ ได้ พลันรีบสะบัดมือออก เปลี่ยนจากฝ่ามือมาเป็นหมัด และพุ่งตรงไปยังใบหน้าของเสิ่นจั้งเฟิง แค่นเสียงกล่าวว่า “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว!”


                “อ๊ะ เช่นนั้นก็มิใช่ว่าสามีถูกหลอกเสียแล้วหรือ?” เสิ่นจั้งเฟิงแสร้างทำท่าประหลาดใจ แล้วหลบตัวออกจากหมัดนี้ อาศัยจังหวะที่เว่ยฉางอิ๋งพุ่งตัวมาข้างหน้าตน เอื้อมมือไปลูบแก้มนางหนหนึ่ง แล้วกล่าวพลางหัวเราะตาหยี


                เว่ยฉางอิ๋งโกรธเสียจนถอดกำไลที่ข้อมือออกมาโยนใส่เขา “ข้าต่างหากที่ถูกหลอก! ท่านย่าบอกเสมอมาว่าเจ้าเป็นสามีที่ดี เจ้า…ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้! คราแรกยามข้าได้พบเจ้าบนระเบียงทางเดิน ยังหลงนึกว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษแสนซื่อตรงเสียอีก!”


                เสิ่นจั้งเฟิงตาเร็วมือไวรับกำไลหยกที่นางปามาใส่ได้ทันใด แต่กลับถูกนางอาศัยจังหวะนี้ถีบเขาไปหนหนึ่ง หนนี้ไม่หนักไม่เบา เขาเองก็ไม่ได้มีโทสะ หัวเราะพลางเอากำไลยัดเก็บใส่ไว้ในแขนเสื้อ แล้วว่า “อยู่ข้างนอกเหตุใดสามีจะไม่ซื่อตรงเล่า? แต่ความสำราญภายในห้องส่วนตัวนั้น ยังจะมาวางท่าเป็นผู้ดีอยู่แล้วจักสนุกได้อย่างไร?” ยังว่า “มีคนกล่าวไว้ว่าไม่ฟังคำผู้ใหญ่ ก็จักต้องขาดทุน เจ้าดูเอาเถิดแม้แต่ท่านย่ายังบอกว่าข้าเป็นสามีที่ดี เจ้ายังไม่รีบมาจูบสามีแสนดีของเจ้าอีก…”


                พูดถึงตรงนี้เขาก็ถูกเว่ยฉางอิ๋งไล่ตามมาทัน ว่าแล้วก็กำหมัดและพุ่งหมัดใส่แขนที่เขายกขึ้นมากันไว้ที่หน้าอกไม่ยั้ง แม้จะมิได้ออกแรงจริงจัง ทว่าเว่ยฉางอิ๋งฝึกวรยุทธ์มานานปี ว่ากันตามจริงยามชกเข้ามาก็รู้สึกเจ็บอยู่บ้างเช่นกัน เขาจึงยิ้มพร้อมกับกันไปพลางและรุกไปพลาง “เจ้าจะไม่จูบจริงๆ หรือ? ไม่จูบข้าก็จักเอาเรื่องที่วันนี้เจ้าปิดประตูห้องหนังสือและมาทุบตีสามีไปโพนทะนาให้ทุกคนได้รู้กันว่าเจ้าเป็นแม่เสือสาว ดูซิว่าวันหน้าเจ้าจะออกไปข้างนอกได้อย่างไร?”


_______________________________


ตอนที่ 16 วิกฤตในบ้านสอง

โดย

Xiaobei

                เว่ยฉางอิ๋งเลียนแบบเขาทั้งมิได้เกรงกลัวคำขู่ของเขา หัวเราะเยาะแล้วว่า “พอออกพ้นประตูนี้ไป ข้าย่อมสำรวมท่าทีเช่นกุลสตรีตระกูลใหญ่! ข้าเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ย มีสตรีใดในตระกูลที่ออกไปข้างนอกแล้วไม่ได้รับคำเยินยอจากผู้คนว่าสุภาพเรียบร้อยเป็นกุลสตรีมีคุณธรรม? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงบุตรสาวในสายหลักของตระกูล! เรื่องที่เจ้าพูด ผู้คนจะเชื่อรึ? ข้ายังจะบอกว่าเจ้าจงใจให้ร้ายข้าเสียอีก!”


                เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะพลางว่า “สามีพูดจาหวานๆ กับเจ้ามากมายเจ้ากลับไม่รู้จักเรียนรู้ ไยกลับชอบเลียนแบบแต่คำพูดที่ไม่มีเหตุผลเล่า? เจ้านี่ไม่เชื่อฟังเสียเลยจริงๆ”


                “เชอะ คนที่ต้องเชื่อฟังคือเจ้าต่างหาก!” เว่ยฉางอิ๋งตีเข้าไปอีกหนหนึ่ง แล้วกล่าวข่มขวัญว่า “หากเจ้ายังเล่นลิ้นพูดจาส่งเดชอีก ดูซิว่าข้าจะชกเจ้าอย่างไร!”


                เสิ่นจั้งเฟิ่งหน้าตาขึงขังขึ้นมา กล่าวว่า “อิ๋งเอ๋อร์ก็ดูถูกสามีเกินไปแล้ว เจ้าเห็นว่าสามีเป็นกลัวจะถูกชกถึงเพียงนั้น!”


                “เจ้า!” เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูด สักพักจากนั้นจึงทุบเขาไปอย่างแรงหนหนึ่ง “ชกเจ้ามากเข้า ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจักไม่กลัว!”


                เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สามีบอกแล้วอย่างไร ตีก็คือจูบ ด่าก็คือรัก ที่ว่า…”


                “ที่ว่า…เจ้ายังจะพูดอีก!” เว่ยฉางอิ๋งง้างกำปั้นขึ้น พร้อมกับสีหน้าข่มขู่


                แล้วเสียงประตูก็ดังขึ้นพอดี ฉินเกอและเยี่ยนเกอกระแอมไออยู่ข้างนอกหนหนึ่งจึงได้รายงานผ่านประตูว่า “คุณชาย ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ฮูหยินน้อยใหญ่ส่งคนมาบอกว่าวันพรุ่งขอเชิญฮูหยินน้อยไปที่บ้านใหญ่สักหนเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งรีบผลักเสิ่นจั้งเฟิงออกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เรียบรอย จึงบอกไปว่า “เข้ามาพูดให้ละเอียดซิ”


                “เจ้าค่ะ!”


                ฉินเกอและเยี่ยนเกอเข้ามามือเปล่า เห็นชัดว่าไม่ได้คิดว่าเรื่องที่เสิ่นจั้งเฟิงสั่งให้ไปเอาของว่างก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงจัง พวกนางบอกว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่าทางลวี่เฉียวนั้นคล้ายจะมีเรื่องเจ้าค่ะ วันพรุ่งอยากเชิญฮูหยินน้อยช่วยไปเป็นพยานด้วยกันเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็รู้สึกงงงันไปหมด กล่าวว่า “มีเรื่องใดกันหรือ?”


                “คนที่ฮูหยินน้อยใหญ่ส่งมาไปมารวดเร็ว มิได้กล่าวชัดเจน ข้าน้อยก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งมองเสิ่นจั้งเฟิงหนนึ่ง แล้วสั่งความกับสาวใช้ไปก่อนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ออกไปก่อนเถิด” รอจนภายในห้องหนังสือเล็กเหลือเพียงสามีภรรยาสองคน นางจึงถามว่า “ลวี่เฉียวผู้นี้?”


                เสิ่นจั้งเฟิงส่ายหัวบอกว่า “เรื่องนี้ต้องถามท่านอาว่าน เรื่องในเรือนหลังบ้านพี่รองข้านั้นไม่ใคร่รู้ชัดนัก ลวี่เฉียวผู้นี้ยังเป็นเพราะนางตั้งครรภ์และภายหลังตรวจครรภ์ได้ว่าเป็นบุตรชาย ด้วยความดีใจพี่รองจึงลากข้าไปดื่มสุราด้วย ข้าจึงได้รู้จักนาง”


                เสิ่นเหลี่ยนสือถึงขั้นลากน้องชายไปดื่มสุราด้วยกัน เพราะดีใจเรื่องที่ตรวจพบว่าเด็กในครรภ์ของลวี่เฉียวเป็นเด็กผู้ชาย เห็นได้ว่าเขาตั้งตารอบุตรชายจากอนุผู้นี้ยิ่ง ไม่คิดว่าการตั้งตารอหนนี้จะรอได้เพียงสองเดือนก็ต้องจบลงเสียแล้ว และไม่รู้ว่ายามนี้จะเศร้าโศกจนเป็นเช่นใดแล้ว?


                เว่ยฉางอิ๋งมิได้เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกของพี่รองของสามี สิ่งที่นางสงสัยคือลวี่เฉียวก็แท้งไปแล้ว แล้วจักมีเรื่องใดอีก จนทำให้นางหลิวผู้เป็นฮูหยินน้อยใหญ่ซึ่งคอยดูแลบ้านมาโดยตลอดไม่อาจตัดสินใจได้ ยังต้องลากเอาตนเองที่เพิ่งจะแต่งเข้าบ้านมาไปเป็นพยาน? เป็นพยานเรื่องใด?


                ในเมื่อเสิ่งจั้งเฟิงแนะนำให้ไปสอบถามนางว่าน เว่ยฉางอิ๋งจึงออกมาจากห้องหนังสือเล็ก แล้วให้คนไปตามนางว่านมาสอบถามในโถงกลาง


                พอนางเว่ยได้ยินคำก็มีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าน้อยก็ไม่ใคร่รู้เรื่องของลวี่เฉียวละเอียดนัก หลังบ้านคุณชายรองมีอนุหลายนาง ลวี่เฉียวก็มิได้โดดเด่นนัก หากมิใช่เพราะครานี้ตั้งครรภ์ก็ไม่มีผู้ใดเคยสนใจนางมาก่อน ข้าน้อยจึงไม่รู้เรื่องของนางเลยจริงๆ ไม่กล้าคาดเดาส่งเดช ด้วยเกรงว่าจะชี้นำฮูหยินน้อยให้  เข้าใจผิดเจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งพึมพำว่า “เป็นเช่นนี้หรือ? ไม่รู้จริงๆ ว่าวันพรุ่งพี่สะใภ้ใหญ่จะให้ข้าไปทำสิ่งใด”


                นางว่านกำผ้าเช็ดหน้าเอาแต่ยิ้มและไม่พูดสิ่งใดอีก


                ตกกลางคืน เว่ยฉางอิ๋งหาโอกาสไปสอบถามนางหวง นางหวงยิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยลองคิดดูนะเจ้าคะ คุณชายรองมีธิดาสามคนแต่กลับไร้บุตรชายแม้สักคน ต่อให้ลวี่เฉียวเป็นเพียงภรรยาน้อย แล้วคุณชายรองจะไม่ชอบนางได้หรือ? คุณชายรองชื่นชอบนางเสียจนคนทั้งบ้านเสิ่นต่างรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับการครรภ์ของลวี่เฉียวมากเพียงใด… แม้แต่คุณชายของเราก็มิใช่ว่ายังถึงกับหน้าเสียยามรู้เรื่องลวี่เฉียวแท้งบุตรหรอกหรือเจ้าคะ?”


                “ความจริงแล้วครรภ์ในเดือนที่ห้าก็นับว่าคงที่ดีแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เกิดเรื่อง ช้ากว่าก็นี้ก็ไม่เกิดเรื่อง แต่จักต้องมาเกิดเรื่องเอาตอนที่ฮูหยินน้อยเพิ่งจะเข้าบ้าน และฮูหยินน้อยรองก็ตามฮูหยินไปบ้านตระกูลซู” นางหวงยิ้มเย็นๆ กล่าวว่า “ฮูหยินน้อยรองมีบุตรสาวสองคน แม้จะบอกว่าจนยามนี้ยังไม่มีบุตรชาย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องยอมให้บุตรของอนุได้หน้าได้ตาไปเสียก่อนนี่เจ้าคะ? อย่างไรเสียคุณชายรองและฮูหยินน้อยรองก็ล้วนยังหนุ่มยังสาว! ผู้ใดจะบอกได้ว่าฮูหยินน้อยรองจะไม่อาจมีบุตรชายของตนได้เล่า?”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างตื่นตกใจว่า “แต่บุตรของอนุก็ยังคือบุตรของอนุวันยันค่ำ!”


                “ฮูหยินน้อยอย่าได้นำกฎเกณฑ์ของบ้านเรามาใช้กับตระกูลเสิ่นเชียวนะเจ้าคะ” นางหวงส่ายหน้าแล้วว่า “แม้จะบอกว่าส่วนแบ่งต่างๆ ของบุตรบ้านใหญ่กับบุตรของอนุของตระกูลเสิ่นนั้นแตกต่างกัน ทั้งยังมิได้มองว่ามีฐานะทัดเทียมกัน ทว่าตำแหน่งประมุขตระกูลซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดกลับมิได้กำหนดว่าต้องเป็นบุตรบ้านใหญ่หรือเป็นบุตรของอนุ หากแต่ดูเพียงความสามารถเท่านั้น อย่างไรถิ่นฐานของตระกูลเสิ่นก็อยู่ซีเหลียง วันดีคืนดีก็ต้องคอยรบรากับพวกตี๋ หากประมุขไร้ความสามารถ คนทั้งตระกูลก็จะต้องพลอยลำบากกันไปหมด! เช่นนั้นแล้วฐานะของบุตรบ้านใหญ่ในตระกูลเสิ่นจึงห่างไกลกับตระกูลเว่ยของพวกเรายิ่ง! ตระกูลเว่ยของพวกเรานั้น นอกจากบุตรจาบ้านใหญ่แล้วก็จะไม่สามารถรับตำแหน่งประมุขได้ อย่างเช่นทางจิงผิงกง หรือนายท่านใหญ่ของพวกเรา… ทว่าตระกูลเสิ่นกลับไม่เหมือนกัน!”


                “ในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีบุตรของอนุขึ้นมาสักคน วันหน้าเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตนก็จะต้องมีเรื่องยุ่งยากเพิ่มมา” นางหวงกล่าวจริงจังหนักหนาว่า “ไม่เพียงเท่านี้! ฮูหยินน้อยโปรดคิดดู คุณชายรองมีธิดาสามคนแต่กลับไม่มีบุตรชายสักคน ไม่ว่ามารดาของบุตรชายคนโตจะเป็นผู้ใด อย่างไรเขาก็ย่อมต้องถูกฝากความหวังไว้เป็นนักเป็นหนา เมื่อบุตรของอนุผู้นี้คลอดออกมาเมื่อใด คุณชายรองจักไม่อบรมสอนสั่งบุตรชายด้วยตนเองได้หรือ? ซึ่งบุตรที่จะมีในวันหน้าก็ไม่อาจได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว อย่างไรเสียคุณชายรองก็ค่อยๆ สูงวัยขึ้น ประการแรกนั้นกำลังแรงกายก็ตามไม่ทัน ประการที่สองเรื่องที่คุณชายรองต้องดูแลในวันหน้านั้นก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน โดยนามแล้วบุตรของอนุอาจจะสู้บุตรบ้านใหญ่ไม่ได้ ทว่าฐานะในใจของคุณชายรองนั้น ก็กลับไม่จำเป็นว่าจะสู้บุตรบ้านใหญ่ไม่ได้เสมอไป!”


                “ปัญหาเช่นนี้…” เสียงของนางหวงเบาลงทันที “หากเป็นเรือนของเรา ข้าน้อยก็จักต้องเตือนฮูหยินน้อยให้ตัดรากถอนโคนเสียเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งพลันสะท้านขึ้นมาในใจ “หรือจะบอกว่า… พี่สะใภ้รอง… นาง…”


                นางหวงกล่าวว่า “ฮูหยินน้อยรองเพิ่งจะออกไป จากนั้นลวี่เฉียวก็เกิดเรื่อง…นางมิได้อยู่ในจวน ก็สามารถผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปได้! กอปรกับยามนี้แม่เฒ่าเติ้งก็ล้มป่วยหนัก และยังต้องให้นางซึ่งเป็นบุตรสาวตระกูลตวนมู่ไปไหว้วานให้คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ไปเชิญท่านหมอเทวดาจี้มา ต่อให้ฮูหยินกลับมาแล้วก็จักต้องช่วยนางพูด! ทั้งนางตวนมู่ก็มิใช่คนโง่ โอกาสที่ดีเช่นนี้แล้วจักปล่อยไปได้อย่างไร?”


                “หรือว่าเรื่องที่พี่สะใภ้ใหญ่ต้องการจะพูดกับข้าในวันพรุ่งก็คือทางลวี่เฉียวนั้นได้พบบางสิ่ง?” เว่ยฉางอิ๋งอดจะพึมพำออกมาไม่ได้


                นางหวงกล่าวว่า “ในเมื่อนางตวนมู่กล้าลงมือเช่นนี้ ก็จะต้องค่อนข้างมั่นใจว่าจะหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นเช่นนี้ ฮูหยินน้อยใหญ่ก็ควรจะให้คนไปรายงานฮูหยินที่จวนตระกูลซูในทันที เหตุใดจึงมาเชิญฮูหยินน้อยไปเป็นพยานอย่างเปิดเผยเพื่อสิ่งใด? ทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนล่วงรู้ว่า… การแก่งแย่งชิงดีในเรือนหลังของตระกูลเสิ่นลุกลามไปจนถึงผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวของบ้านสองซึ่งยังมิทันลืมตาดูโลก หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ทุกคนล้วนต้องเสียหน้า ฮูหยินน้อยใหญ่จักไม่ทำเช่นนี้”


                “เช่นนั้น…” เว่ยฉางอิ๋งใคร่ครวญแล้วว่า “ท่านอาคิดว่า พี่สะใภ้ให้ข้าไปเป็นพยาน ที่จริงแล้วเป็นเรื่องใดกันแน่?”


                นางหวงยิ้มแล้วว่า “นางตวนมู่ไม่ได้ทิ้งหลักฐานเอาไว้ ทว่าก็ไม่อาจยับยั้งบางคนที่รู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ ข้าน้อยคิดว่าคงเพราะความหวังของลวี่เฉียวสูญสลายจึงรู้สึกไม่ยินยอม และต้องการกัดนางตวนมู่ไม่ยอมปล่อย ทว่าตัวนางกลับไม่อยู่ที่จวน ฮูหยินน้อยใหญ่อดรนทนไม่ไหวและไม่ต้องการจะไปวุ่นวายกับเรื่องของบ้านสองเกินไปนัก จึงตัดสินใจเชิญฮูหยินน้อยไป เพื่อจะได้ช่วยกันบอกไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้พอผ่านๆ ไปเสียกระมังเจ้าคะ!”


                เว่ยฉางอิ่งคิดอยู่เป็นนาน แล้วถามไปอีกว่า “เช่นนั้นแล้วหลังจากข้าไป?”


                “ฮูหยินน้อยก็ดูว่าฮูหยินน้อยใหญ่ทำเช่นใด นางว่านมิใช่บอกแล้วหรือ? ว่าฮูหยินน้อยเพิ่งจะเข้าบ้านมา เรื่องครานี้ล้วนไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ฮูหยินน้อยใหญ่เป็นพี่สะใภ้แล้วเชิญให้ฮูหยินน้อยไป ฮูหยินน้อยก็ไปเถิดเจ้าค่ะ! ส่วนเรื่องว่าจะจัดการเรื่องราวเช่นใด ในเมื่อมีฮูหยินน้อยใหญ่ที่เป็นผู้ดูแลบ้านมาโดยตลอดอยู่ด้วย เช่นนั้นฮูหยินน้อยไยต้องเป็นกังวลเล่า?”


                ซึ่งนี่ก็หมายความว่าเว่ยฉางอิ๋งไปก็ส่วนไป แต่ทุกเรื่องล้วนไม่เป็นคนตัดสินใจ ดีชั่วอย่างไรก็อาศัยว่าตนเพิ่งจะเข้าบ้านมา ทั้งยังมิได้เป็นคนดูแลบ้าน ทุกเรื่องล้วนผลักภาระให้นางหลิวไปปวดหัวเอง


                เว่ยฉางอิ๋งจดจำคำกำชับกำชาของนางหวงเอาไว้ แล้วจึงเอ่ยเรื่องของเว่ยเซิ่งเซียน “ท่านอาว่า ข้ารับปากเรื่องนี้จะเป็นไรหรือไม่?”


                “ให้ฮูหยินรองติดค้างน้ำใจสักหนก็มิได้มีสิ่งใดเจ้าค่ะ”


นางหวงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “คนตระกูลซ่งที่คิดอยากได้ผลประโยชน์จากการยกลูกชายให้เป็นบุตรบุญธรรมเหล่านั้น เกี่ยวพันกับพวกเราเรื่องใด? อีกประการหนึ่งแม้ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ใกล้ชิดกับบุตรธิดาของอนุ ทว่าก็มิได้ชื่นชอบจะเห็นบุตรสาวของอนุถูกรังแก… เช่นนี้มิเท่ากับตบหน้าบ้านเราหรือ? ดีชั่วอย่างไรประมุขตระกูลซ่งก็คือท่านลุงแท้ๆ ของฮูหยินน้อย นี่เป็นเรื่องที่เพียงเขียนจดหมายไปก็สิ้นเรื่องแล้วเจ้าค่ะ… เช่นนั้นวันพรุ่งก็ให้คนนำจดหมายไปส่งที่บ้านซ่งและมอบให้แก่คุณหนูไจ้สุ่ยเป็นใช้ได้เจ้าค่ะ”


                เมื่อเห็นว่านางหวงมิได้คัดค้านเรื่องนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงวางใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว วันนี้ข้าพบว่าพี่หญิงใหญ่เย็นชากับข้ายิ่ง สายตาที่มองท่านอาก็ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย… นี่เป็นเพราะเหตุใด?”


                “ก็ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ” นางหวงยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “ก่อนนี้คุณหนูหว่านไม่ใคร่ชอบข้าน้อย เคยคิดจะไล่ข้าน้อยไป แต่ข้าน้อยเป็นคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้อยู่ที่เมืองหลวง แล้วจะกล้าขัดคำฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไรเล่า? คงเพราะเหตุนี้จึงทำให้คุณหนูหว่านโกรธเคือง ดังนั้นเมื่อยามนี้มาเห็นข้าน้อยจึงรู้สึกไม่พอใจ กลายเป็นว่าพลอยทำให้ฮูหยินน้อยลำบากไปด้วย”


                นางเอ่ยถึงแต่เพียงน้อยนิด แต่เพียงคิดก็รู้ได้ว่าสิ่งที่ทำให้เว่ยฉางหว่านโกรธเคืองจนถึงยามนี้ กระทั้งโกรธมาถึงเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นไข่มุกแห่งตระกูลเว่ยที่บ้านสองไม่กล้าล่วงเกินนั้น จักต้องเป็นเพราะนางเคยตกที่นั่งลำบากมาไม่น้อยด้วยฝีมือของนางหวง!


                เพียงแต่เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะพบหน้าลูกผู้พี่ผู้นี้เพียงหน ทั้งยังเพราะได้รับอิทธิพลจากแม่เฒ่าซ่ง นางจึงรู้สึกระแวดระวังตัวกับคนในบ้านสองทั้งหมด ที่เอ่ยถามไปหนนี้ก็เพียงเพราะรู้สึกสงสัยเท่านั้น แต่กลับมิได้รู้สึกเห็นใจเว่ยฉางหว่าน จึงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ก็ไม่มีสิ่งใด วันนี้ที่ข้ากลับบ้านก็รู้สึกอยู่แล้วว่าไม่มีเรื่องใดจะสนทนากับท่านอาสะใภ้รอง และน้องเจ็ดก็เป็นคนช่างเจรจาอยู่แล้ว หากพี่หญิงใหญ่ก็ช่างเจรจาเช่นกัน ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะขอตัวออกมาอย่างไร?”


                 ทั้งสองคนสนทนากันอีกสองสามประโยค เว่ยฉางอิ๋งจึงกลับเข้าไปในห้อง เสิ่นจั้งเฟิงรออยู่ตั้งนานแล้ว เขาอาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนมาสวมชุดยาวสีเขียวอ่อนและนั่งเล่นหมากรุกอยู่ใต้แสงตะเกียงเพียงลำพัง เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งเข้ามา ก็ยกแขนเสื้อปัดหมากรุกให้กระจัดกระจาย แล้วกระเซ้าว่า “อิ๋งเอ๋อร์คุยอะไรกับท่านอาหวง? นานเพียงนี้จึงเพิ่งกลับมา ให้สามีรออยู่ตั้งนาน”


                “ไม่บอกเจ้าหรอก” เว่ยฉางอิ๋งพึมพำ


                เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มแล้วเข้ามากอดนางเอาไว้


________________________________


ตอนที่ 17 หลิวรั่วอวี้

โดย

Xiaobei

                เช้าวันรุ่งขึ้น เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหวงปลุกให้ตื่น พอมองไปท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว นางจึงอดจะตกใจไม่ได้ จากนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่าฮูหยินซูไม่อยู่ในจวนและตนไม่ต้องไปคารวะ นั่นเองจึงได้รู้สึกโล่งใจ


                ทางหนึ่งนางหวงก็ถือชุดเสื้อตัวในและช่วยนางสวม ทางหนึ่งก็บอกว่า “วานนี้แม้ฮูหยินน้อยใหญ่จะมิได้บอกว่าให้ฮูหยินน้อยไปเวลาใด แต่ไปคารวะบ้านใหญ่หนแรก ฮูหยินน้อยก็ควรจะให้เช้าหน่อยเป็นดีเจ้าค่ะ”


                “เขาไปวังหลวงแล้วหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งจัดผมดกดำซึ่งยาวถึงเข่าของนาง พลางถามไป เสิ่นจั้งเฟิงเคยบอกเอาไว้แล้วว่าวันหยุดของเขามีถึงวันนี้ และต้องเข้าไปรายงานตัวหลังลาพัก ทั้งต้องไปขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วย


                นางหวงยิ้มพลางว่า “ฮูหยินน้อยนี่ก็จริงๆ เชียว วันนี้แต่งงานมาก็หลายวันแล้ว ไยเมื่อเอ่ยถึงคุณชายก็ยังเรียกว่า ‘เขา’ นั่น ‘เขา’ นี่อยู่เล่า? ยามคุณชายไปนั้นยังสั่งพวกเราว่าให้ฮูหยินน้อยนอนอีกสักพักเลยเจ้าค่ะ!”


                “เอาเสื้อกับกระโปรงมาเถิด พวกเรารีบไปแต่เช้าสักหน่อย พี่สะใภ้ใหญ่จะได้ไม่ต้องตั้งตารอจนร้อนใจ” เว่ยฉางอิ๋งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำประโยคนั้น พลางกล่าวเร่งขึ้นมา


                นางเปลี่ยนเสื้อผ้างดงามหรูหราตามคำแนะนำของนางหวง รีบทานอาหารเช้า แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็เร่งพาคนไปที่บ้านใหญ่


                ‘เรือนซินอี๋’ ที่บ้านใหญ่อาศัยอยู่นั้นก็เป็นเรือนที่มีประตูใหญ่แยกออกมาเป็นเรือนเดี่ยวเช่นเดียวกับเรือนจินถง เพียงแต่มีจำนวนชั้นนอกในมากกว่าเรือนจินถงหนึ่งชั้น นี่ไม่ใช่เพียงเพราะเสิ่นจั้งลี่เป็นบุตรบ้านใหญ่คนโตเท่านั้น แต่ก็เพราะบ้านใหญ่ในยามนี้มีบุตรและธิดาจากสายหลักหนึ่งคู่ จึงมีพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้สอยมากกว่าบ้านสาม


                หลานสาวคนโตเสิ่นซูจิ่งซึ่งมีอายุสิบปี ยามนี้เริ่มจะเรียนรู้เรื่องการต้อนรับแขกและรับของกำนัลกับมารดาแล้ว เมื่อเว่ยฉางอิ๋งมาถึงครานี้ นางหลิวจึงโอกาสให้บุตรสาวลองฝึกมือดู… โดยให้เสิ่นซูจิ่งออกไปรอต้อนรับอาสะใภ้ที่นอกประตู แล้วเดินกลับเข้ามาพร้อมกับอาสะใภ้


                หลานสาวผู้นี้พูดจาเรียบร้อยมีมารยาท ใบหน้านิ่งเฉย กริยาท่าทางกำลังพอดี เว่ยฉางอิ๋งล้วนมองเห็นอยู่สายตาและคิดชมอยู่ในใจว่า ‘ดูราวกับเป็นท่านพี่ไจ้สุ่ยยามเด็กๆ’ หากสามารถเปรียบเทียบกับซ่งไจ้สุ่ยตอนเป็นเด็กก็เห็นได้ว่าเสิ่นจั้งจิ่งได้รับการอบรมมาอย่างดีเพียงใด


                เมื่อเข้ามาในเรือนชั้นที่สองก็ส่วนของห้องโถงหลัก นางหลิวกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ภายใน หลังจากเว่ยฉางอิ๋งเข้าประตูมาก็พบว่านอกจากนางและบ่าวไพร่แล้ว กลับยังมีสตรีซึ่งสวมชุดยาวทั้งตัวพื้นสีม่วงปักลายดอกไม้ต้นไม้กับกวางคู่หันหน้าชนกัน เกล้าผมทรงตั้วหม่าจี้[1] ปักปิ่นทองเกลี้ยงไม่สลักลวดลายสองอันเอียงๆ อยู่บนม้วยผม นั่งอยู่ที่ที่นั่งรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง


                สตรีผู้นี้ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสามสิบกว่าๆ ใบหน้างดงาม เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งนางก็หรี่ตา ก่อนนางหลิวจะเอ่ยปากแนะนำนางก็ลุกขึ้นมาแล้วว่า “ท่านนี้คงจักคือฮูหยินน้อยสามกระมัง? ช่างงดงามเหนือผู้ใด สมกับคุณชายสามของเราดังกิ่งทองใบหยกเสียจริงๆ”


                เว่ยฉางอิ๋งมองนางด้วยความรู้สึกประหลาดใจ สตรีผู้นี้แม้ว่าจะยืนขึ้นแล้ว แต่ก็กลับมิได้มีท่าทีจะคำนับนาง… คำกล่าวนี้ก็พูดออกมาไม่เหมือนอย่างบ่าวไพร่พูด แล้วนางเป็นผู้ใดกันแน่?


                แม้นางหลิวจะช้าไปก้าวหนึ่ง แต่ยังดีที่ยามนี้เอ่ยคำออกมาแล้ว “น้องสะใภ้สามเพิ่งจะเข้าบ้านมา ยังมิทันได้รู้จักท่านน้ากัวกระมัง?


                ที่แท้เป็นอนุภรรยาของเสิ่นเซวียน!


                เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งเข้าใจ ความจริงแล้วอนุภรรยาครึ่งหนึ่งก็ยังเป็นบ่าว ต่อให้เป็นอนุที่เป็นที่รักใคร่ปานใด หากว่ากันเรื่องฐานะ จริงๆ แล้วก็ไม่สูงเท่ากับภรรยาที่แต่งเข้าบ้านอย่างถูกต้อง เพียงแต่เห็นชัดว่าท่านน้ากัวผู้นี้ทะนงว่าตนเป็นที่รักใคร่ แม้มิได้ดูเย่อหยิงโอหังอย่างชัดเจน ทว่าจากกริยาวาจาแล้วก็มีการแสดงท่าที่ว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่


                นางหลิวและเว่ยฉายอิ๋งล้วนเกิดในตระกูลมีชื่อ เรียนรู้เรื่องฐานสูงต่ำมาแต่เล็ก จึงย่อมไม่ชื่นชอบท่าทางเช่นนี้ของนาง ทว่าท่านน้ากัวก็กลับมีกริยาวาจาดังนี้ และนางก็ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าตนเป็นญาติผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงไม่อาจจะทำสิ่งใดกับนางได้ เว่ยฉางอิ๋งจึงกล่าวไปอย่างราบเรียบประโยคหนึ่งว่า “ที่แท้เป็นท่านน้ากัว ข้าเพิ่งจะมา ก่อนนี้กลับไม่เคยพบเลย”


                ท่านน้ากัวมองออกว่านางมีท่าทีเฉยชากับตน จึงยิ้มแล้วว่า “ที่แท้ฮูหยินน้อยสามเพิ่งจะแต่งงานใหม่ ข้าก็มิได้เป็นคนมีหน้ามีตา แต่กลับมาก่อเรื่องก่อราวในเวลาเช่นนี้ เพียงแต่คุณชายรองอุตส่าห์ได้บุตรชายในครานี้ แต่กลับต้องมาสูญเสียไปอย่างน่าประหลาด…ทั้งในอาหารและน้ำชาที่ลวี่เชี่ยวกินดื่มอยู่ทุกวันก็พบว่ามีร่องรอยของยาขับเลือด เรื่องนี้… บังเอิญฮูหยินรองก็ไม่อยู่เสียด้วย ข้าอยากจะขอให้ฮูหยินน้อยใหญ่ช่วยตรวจสอบให้สักหน่อย แต่ฮูหยินน้อยใหญ่ไม่กล้าลงมือเอง จักต้องขอให้ฮูหยินน้อยสามมาช่วยเป็นพยานด้วย…”


                นางหลิวกระแอมไอหนหนึ่ง กล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องภายในเรือนของน้องรอง แม้ว่าน้องสะใภ้รองจะไปบ้านซูกับท่านแม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่กลับมา ข้าเป็นพี่สะใภ้คอยช่วยนางดูแลหลานๆ ก็เป็นเรื่องสมควรอยู่ ทว่าเรื่องนี้พาดพิงถึงบุตรของน้องรอง เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ข้าจะกล้าไปก้าวก่ายได้อย่างไร? อีกประการใรเรือนอู๋ฮวานั้น นอกจากน้องสะใภ้รองแล้ว ผู้อื่นข้าก็ไม่ใคร่คุ้นเคยนัก”


                เว่ยฉางอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ด้วยนางหลิวไม่ต้องการจะก้าวก่าย จึงคิดเรียกตนมาและบอกปัดท่านน้ากัวผู้นี้พอให้เรื่องนี้ผ่านไปเสีย? ซึ่งก็มิได้เป็นเรื่องแปลก ตามการวิเคราะห์ของนางหวงคืนวานนี้ หากการแท้งบุตรของลวี่เฉียวเป็นเพราะมีคนลงมือทำร้าย ผู้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือนางตวนมู่ แต่นางหลิวเองก็จักต้องยินดีกับเรื่องนี้… เพราะเมื่อบ้านสองไร้บุตรชายก็ยากจะมีหน้ามีตาขึ้นมาได้


                ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเอาความกับนางตวนมู่นั้น ยามนี้ผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นว่าที่ประมุขของตระกูลคนต่อไปก็หาใช่เสิ่นเหลี่ยนสือไม่ หากแต่เป็นเสิ่นจั้งเฟิง ยามนี้นางหลิวและนางตวนมู่คงจะเป็นพวกเดียวกันเป็นการชั่วคราว หากไม่ร่วมมือกันล้มบ้านสาม แล้วบ้านใหญ่และบ้านสองจะหันมาห้ำหันกันเองเพื่อสิ่งใด?


                ทว่านางหลิวไม่คิดจะล้มนางตวนมู่ แต่นางกัวมารดาของเสิ่นเหลี่ยนสือผู้นี้กลับไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้ ไม่ว่ามารดาจะเป็นผู้ใด เป็นลวี่เฉียวก็ดี อิ๋งเฉียวก็ดี อย่างไรก็ตามบุตรชายของบ้านสองย่อมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านน้ากัวและเสิ่นเหลี่ยนสือ ยามนี้อนุภรรยาที่อุ้มท้องบุตรชายคนโตจากอนุของเสิ่นเหลี่ยนสือถูกคนวางยาให้แท้งบุตร ท่านน้ากัวซึ่งตนเองนั้นก็เป็นเพียงอนุภรรยาทั้งยังฝากความหวังไว้กับผู้สืบสกุลของบุตรชายจึงไม่ยอมจะไม่ให้มีการสืบสวนให้ชัดเจน


                แต่ยามนี้นางตวนมู่กำลังไปแสดงความกตัญญูโดยการไปช่วยฮูหยินซูที่บ้านตระกูลซู หากพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งนางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งไม่ช่วยนางแบ่งเบาและขจัดความลำบากนี้ ทั้งยังฉวยโอกาสก้าวก่ายเรื่องหลังเรือนของนางอีก…ทำเช่นนั้นหามีเหตุผลไม่? ดังนั้นไม่ว่าท่านน้ากัวจะว่าอย่างไร นางหลิวล้วนไม่อาจรับปากให้ตนไปตรวจสอบเรื่องนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็เช่นกัน


                อย่างไรก็ตามท่านน้ากัวก็เป็นเพียงอนุภรรยา มิใช่ฮูหยินซู หากเป็นฮูหยินซูเอ่ยความใดให้นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งช่วยเสิ่นเหลี่ยนสือสืบสวนเรื่องหลังบ้านของเขา ว่าเป็นผู้ใดที่บังอาจวางแผนทำร้ายบุตรชายคนโตจากอนุของเสิ่นเหลี่ยนสือ เช่นนั้นนางก็ย่อมต้องปฏิบัติตามคำแล้ว


                ดังนั้นนางหลิวจึงยืนยันว่า “เรื่องของบ้านสองนี้ หากมิใช่ท่านแม่หรือน้องสะใภ้รองออกปาก ข้าก็ไม่มีวันกล้าเอ่ยคำใด”


                ท่านน้ากัวกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าฮูหยินน้อยใหญ่ลำบากใจ แต่ยามนี้ก็เห็นชัดว่าแม่เฒ่าเติ้งล้มป่วยหนัก หาไม่เหตุใดสองคืนแล้วฮูหยินจึงไม่กลับมา? แม้แต่คุณชายใหญ่ก็ยังไปเยี่ยมมาแล้ว และยังบอกว่าบ้านซูได้เชิญคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ไปรักษาที่จวนแล้ว… ยามนี้ฮูหยินจักต้องทั้งเป็นกังวลทั้งเป็นทุกข์ ข้าไม่กล้านำเรื่องนี้ไปรบกวนฮูหยินอีก ส่วนฮูหยินน้อยรองต้องคอยปรนนิบัติฮูหยิน เกรงว่าจะมิได้กลับมาในเร็ววัน ในช่วงเวลานี้ผู้ที่วางแผนทำร้ายลวี่เฉียวก็มิใช่ว่าจะทำลายหลักฐานไปจนหมดแล้วหรอกหรือ? เช่นนี้เมื่อฮูหยินน้อยรองกลับมา แล้วจะตรวจสอบได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ?”


                ว่าแล้วนางก็สะอื้นไห้ขึ้นมา “น่าสงสารคุณชายรองอุตส่าห์เฝ้ารอบุตรชายจากอนุ ปรากฏว่ายังมิทันได้เห็นหน้าก็กลับหมดหวังเสียแล้ว! หากเพราะร่างกายของลวี่เฉียวมีปัญหาเช่นนั้นก็แล้วไป ทว่าร่างกายของลวี่เฉียวก็ดีๆ อยู่ แต่กลับถูกคนทำร้าย หากไม่สืบดูให้แน่ชัด วันหน้าคนที่ตั้งครรภ์อยู่ในเรือนก็มิใช่ว่าต้องพากันหวาดกลัวไปเสียทุกคนหรือเจ้าคะ?”


                แล้วหันมาพูดกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ฮูหยินน้อยสามเพิ่งจะเข้าบ้านมา ท่านว่า พอเข้าบ้านมาก็เห็นว่าอนุที่กำลังตั้งครรภ์ถูกทำร้าย และยังหาตัวผู้ที่ลงมือไม่ได้ วันหน้าหากท่านตั้งครรภ์แล้วจะไม่รู้สึกหวาดกลัวได้หรือ?”


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกไม่พอใจที่นางเอาเรื่องการตั้งครรภ์ของตนมาเปรียบเทียบกันการตั้งครรภ์ของอนุภรรยา จึงกล่าวไปอย่างราบเรียบว่า “ท่านน้ากัวอย่าได้เสียใจไปเลย หากเสียใจจนเกิดเจ็บป่วย พี่รองก็จักต้องเป็นห่วงท่านน้าอีก”


                นางหลิวกล่าวอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าว่า “ท่านน้า มิใช่ว่าข้าไม่เสียใจกับน้องรอง เพียงแต่ท่านดูเอาเถิด ยามนี้ท่านแม่ไม่อยู่ เรื่องน้อยใหญ่ในจวนก็ล้วนเป็นข้าคอยดูแล หลานสาวทั้งสามของน้องรองล้วนยังเล็ก ในเมื่อข้ารับปากน้องสะใภ้รองว่าจะดูแลหลานๆ แทนนางให้ดี ย่อมไม่อาจรับพวกนางมาที่บ้านใหญ่แต่กลับไม่คอยดูแลกระมัง? ยามนี้ข้ายังไม่มีเวลาจริงๆ… คนที่อยู่ทางลวี่เฉียวข้าก็กักตัวไว้หมดแล้ว และให้คนส่งข้าวส่งน้ำให้พวกนาง รอจนน้องสะใภ้รองกลับมาแล้ว เรื่องของบ้านสอง น้องสะใภ้รองย่อมกระจ่างที่สุด ไม่ใช่หรือ?”


                ท่านน้ากัวมองเว่ยฉางอิ๋งหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง นางหลิวยกเอาเหตุผลว่าไม่มีเวลาว่าง แล้วนางก็ไม่ได้ต้องการให้ท่านน้ากัวหันเป้ามาที่ตน จึงกล่าวไปว่า “ข้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา เรื่องใดๆ ก็ล้วนยังไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่าเรื่องภายในบ้านสอง ผู้ที่คุ้นเคยที่สุดก็ยังเป็นพี่สะใภ้รอง ยามนี้พี่สะใภ้รองอยู่ที่บ้านซูกับท่านแม่ ไยไม่ให้คนส่งจดหมายไป เพื่อลองสอบถามความเห็นของพี่สะใภ้รองดู? อย่างไรเสียเรื่องหลังบ้านของพี่รอง ย่อมต้องให้พี่สะใภ้รองเป็นผู้ตัดสินใจ”


                สีหน้าแห่งความจนใจพลันฉาบอยู่บนใบหน้าของท่านน้ากัว นางกล่าวว่า “เกรงว่าฮูหยินน้อยรองจะอยู่กับฮูหยิน คงไม่ว่าง…”


                “ท่านน้าโปรดวางใจเถิด” นางหลิวรีบต่อความอย่างรวดเร็วว่า “ท่านแม่เองก็เฝ้ารอให้น้องรองได้บุตรชายไวๆ หากรู้เรื่องนี้ จักต้องไม่ยอมไม่ให้น้องสะใภ้รองกลับมาเป็นแน่!”


                “แต่ยามนี้ฮูหยินคอยดูแลแม่เฒ่าซ่งอยู่ หากยังให้ฮูหยินต้องเป็นกังวลกับเรื่องในจวนอีก…” ท่านน้ากัวขบริมฝีปาก


                นางหลิวยิ้ม “ท่านน้าอย่าได้เป็นกังวล บุตรชายจากอนุของน้องรองที่ไร้วาสานาจะอยู่ด้วยกันผู้นี้ ก็มิใช่ว่าเป็นหลานของท่านแม่เช่นกัน? ท่านแม่จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร?”


                เมื่อพูดถึงตรงนี้ ท่านน้ากัวก็ไม่มีคำพูดใดจะพูดอีก เพียงแต่ถอนหายใจ จากนั้นก็กล่าวคำไหว้วานอีกสองสามประโยคแล้วจึงจากไปอย่างรวดเร็ว


                รอจนนางไปแล้ว นางหลิวจึงยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเว่ยฉางอิ๋งแล้วกล่าวว่า “ต้องขออภัยน้องสะใภ้สามจริงๆ เจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมาก็ต้องรบกวนเจ้าเช่นนี้”


                “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งรีบบอก “เขากลับรู้สึกผิดเสียอีก เดิมทีพี่สะใภ้ใหญ่ต้องดูแลทุกเรื่องในบ้านอยู่แล้ว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าทั้งซูจิ่งและซูหมิงล้วนต้องให้พี่สะใภ้ใหญ่คอยสอนสั่งอบรม วันสองวันมานี้พวกของหลานซูโหรวทั้งสามคนก็ต้องมาอยู่ที่บ้านใหญ่อีก… มีเรื่องต้องวุ่นวายเช่นนี้ ข้ากลับช่วยสิ่งใดไม่ได้เลย ช่าง…”


                 นางหลิวโบกมือ กล่าวว่า “ก็เพียงแค่ไม่อยากไปก้าวก่ายเรื่องหลังบ้านของบ้านสอง จึงจงใจพูดให้ท่านน้ากัวฟังเท่านั้น แม้พวกหลานๆ จะยังเล็ก แต่ก็รู้ความยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรั่วอวี้คอยช่วยดูแล ส่วนเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน ท่านแม่ก็ได้จัดระเบียบต่างๆ เอาไว้นานแล้ว ข้าก็เพียงคอยดูสักหน่อยเท่านั้น”


                เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจแล้วว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่สะใภ้รองไปบ้านซูกับท่านแม่ บ้านสองก็กลับต้องมาเกิดเรื่องเช่นนี้ วานนี้ ทะ…ท่านพี่ได้ยินเรื่อง ก็ยังเป็นกังวลเรื่องพี่รองเป็นอย่างยิ่งเชียวเจ้าค่ะ!”


                “เฮ่อ ก็ไม่ใช่หรือไร?” เห็นชัดว่านางหลิวไม่อยากจะพูดถึงเรื่องของลวี่เฉียวมากนัก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “กลางวันแล้ว หากน้องสะใภ้สามไม่รังเกียจ ก็รับอาหารที่บ้านพี่สะใภ้นี่เถิด”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวคำเกรงใจไปสองประโยคจึงตกลงรับปาก


                พี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสองคนสนทนาสรรพเหระกันสักพัก เมื่อศาลาทางด้านหลังตระเตรียมพร้อมแล้วจึงได้มาเชิญ นางหลิวและนางเชื้อเชิญกันไปมาแล้วจึงเข้าไปภายใน กลับพบว่าในศาลามีคนกลุ่มหนึ่งรอยู่แล้ว


                นอกจากพวกของเสิ่นซูจิ่งซึ่งเป็นรุ่นลูกแล้ว ก็ยังมีเด็กสาวอายุน้อยผู้หนึ่งหันหลังให้พวกนาง และกำลังก้มลงไปเช็ดหน้าให้แก่เสิ่นซูเหยียนซึ่งมีอายุน้อยที่สุด เมื่อมองจากด้านหลัง เด็กสาวผู้นี้สวมเสื้อส้างหรูคอป้ายแขนแคบสีเหลืองอ่อนปักลายดอกเหมยเล็กๆ คาดกระโปรงสีขาวนวลจันทร์ลายดอกไม้เล็กๆ เอวคาดผ้าแพรห้าสี คล้องผ้าคล้องแขนไหมปักดิ้นลายดอกไม้นานาชนิด มวนผมสองช่อเป็นวงอยู่ข้างบนศีรษะและรวบผมด้านหลังเอาไว้ ปิ่นอุบะระย้าผลึกแก้วสองอันที่ปักอยู่บนมวยผมไหวโบกอยู่เบาๆ ตามลมอ่อนที่โชยผ่านศาลามา แสงต้องผลึกแก้วและหักเหออกมาเป็นลำแสงเจ็ดสี สะท้อนออกมาเสียจนมีลำแสงเปล่งประกายอยู่บนม้วยผมดำขลับของนาง เมื่อได้ยินเสียงของพวกเสิ่นซูจิ่งกล่าวคำทักทาย เด็กสาวผู้นี้จึงรีบหันหน้ากลับมา จากนั้นก็คำนับอย่างนอบน้อม “พี่เจ็ด!”


                นางหลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ทุกคนไม่ต้องคำนับ” แล้วจึงแนะนำแก่เว่ยฉางอิ๋งว่า “นี่ก็คือรั่วอวี้ บุตรสาวคนโตในสายหลักของท่านอาห้าของข้า”


                แล้วแนะนำตัวเว่ยฉางอิ๋งไปว่า “นี่คือพี่เว่ย”


                เว่ยฉางอิ๋งสังเกตดูหลิวรั่วอวี้ นางมีใบหน้าขาวผุดผ่องรูปเมล็ดแตง คิ้วโก่งดวงตากลมโต จมูกโด่งเป็นสัน และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจที่สุดก็คือปากเล็กๆ ทรงผลอิงถาว มีสีแดงตามธรรมชาติ ยามยิ้มปิดปากจึงดูนิ่มนวนอ่อนช้อยยิ่ง นับเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง เพียงแต่หลัวรั่วอวี้ผู้นี้แม้จะงดงามดังว่า ทว่าใบหน้ากลับค่อนข้างซีดขาว รูปร่างก็ดูซูบผอม ราวกับต้องใช้ชีวิตอย่างข้นแค้นมาโดยตลอด บวกกับความกลัดกลุ้มที่ปกคลุมอยู่บนใบหน้า ทั้งตัวนางให้ความรู้สึกของความอ่อนแอที่ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่ลม ความบอบบางและเก็บกดที่ถูกข่มเหงรังแกมาอย่างเต็มที่


ก่อนนั้นนางว่านก็ได้บอกเป็นนัยแล้วว่าหลัวรั่วอวี้ผู้นี้ หลังจากไร้มารดามาแต่เล็ก เมื่อมารดาใหม่เข้าบ้านก็ไม่ดีต่อนางเป็นอย่างยิ่ง แล้วนางก็ไม่มีพี่ชายหรือน้องชายแท้ๆ คอยช่วยเหลือ มีเพียงนางหลิวพี่สาวร่วมตระกูลผู้นี้ที่คอยรับนางให้มามีวันคืนดีๆ สักวันสองวันอยู่เป็นประจำ ความสุขในช่วงเวลาที่นางอยู่ในบ้านหลิวนั้นห่างไกลกับยามที่อยู่ในบ้านเสิ่นมากนัก ในยามนี้เมื่อเห็นว่าหลิวรั่วอวี้มีท่าทีคอยระวังเนื้อระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา จึงยิ้มอ่อนๆ แล้วกล่าวว่า “คราก่อนก็ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่เอ่ยว่าน้องหลิวอยู่ที่นี่ เดิมทีอยากจะมาดูน้องหลิว แต่จนใจที่ข้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา มีหลายเรื่องที่ต้องทำ จนกระทั่งวันนี้จึงเพิ่งได้พบน้องหลิว ข้าก็คิดว่าพี่สาวน้องสาวของพี่สะใภ้ใหญ่ก็มีตั้งมากมาย เหตุใดจึงรับแต่น้องหลิวเพียงผู้เดียวมาอยู่ที่นี่อยู่บ่อยครั้ง วันนี้ได้พบจึงรู้แล้ว… หากข้ามีน้องสาวที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ก็จักต้องรับนางให้มาพบปะกันบ่อยครั้งเช่นกัน”


________________________________


[1] ผมทรงตั้วหม่าจี้ เป็นทรงผมที่ม้วนเอามวยผมเอียงไว้ที่ข้างหนึ่งของศรีษะ


ตอนที่ 18 ขอให้ช่วยรักษา

โดย

Xiaobei

                เมื่อหลิวรั่วอวี้ได้ยินคำ นางพลันหน้าแดงขึ้นมา มองลงต่ำแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “พี่เว่ยกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ขะ…ข้าเป็นคนชักช้างุ่มง่ามนัก แต่เพราะพี่เจ็ดไม่รังเกียจ จึงคอยนึกถึงข้าอยู่เสมอเจ้าค่ะ” น้ำเสียงบางเบาอ่อนนุ่ม ค่อนข้างจะล่องลอย เห็นชัดว่าลมปราณส่วนกลางของนางไม่เพียงพอ


                เว่ยฉางอิ๋งมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า “น้องหลิวถ่อมตนเกินไปแล้ว เข้าเห็นว่านิ้วทั้งสิบของน้องหลิวเรียวยาว ก็รู้ว่าจักต้องเป็นคนที่ฉลาดและว่องไว” ที่นางมาวันนี้ก็ได้เตรียมการเรื่องพบปะหลิวรั่วอวี้เอาไว้แล้ว และเตรียมกำไลอันหนึ่งไว้มอบให้นาง ยามนี้จึงได้ถอดออกจากข้อมือมอบให้นางเป็นของกำนัลยามพบหน้า


                หลิวรั่วอวี้รีบบอกปัดทันใด นางหลิวยิ้มและบอกไปว่าเว่ยฉางอิ๋งเกรงใจเกินไปแล้ว แต่เมื่อเห็นว่านางยืนยันจะมอบให้ จึงให้หลิวรั่วอวี้รับเอาไว้เสีย


                เดิมทีทั้งสามคนยังจะกล่าวคำตามมารยาทไปอีกสักหน่อย แต่เสิ่นซูเหยียนเต้นโหยงเหยงวิ่งเข้ามาดึงกระโปรงของเว่ยฉางอิ๋งอยากจะให้นางอุ้ม เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องโน้มตัวลงไปอุ้มนางขึ้นมา นางหลิวเห็นดังนั้นจึงเรียกให้ทุกคนเข้าที่นั่ง


                อาศัยจังหวะนี้ เสิ่นซูเหยียนพลันดึงปิ่นทองมีอุบะห้อยบนมวยผมของเว่ยฉางอิ๋งลงมา… เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าผมของตนตกลงมา จึงเผลอร้องเสียงต่ำออกไปหนหนึ่ง แล้วยื่นมือไปจับผมเอาไว้ เสิ่นซูโหรวพี่สาววัยเจ็ดขวบของเสิ่นซูเยียนเงยหน้าขึ้นมาเห็น จึงรีบต่อว่าน้องสาว “น้องสี่อย่าดื้อ รีบเอาปิ่นอุบะคืนแก่ท่านอาสะใภ้สาม!”


                เสิ่นซูเหยียนกลับหัวเราะร่าแล้วใช้สองมือชูปิ่นอุบะขึ้นไปปักบนหัวของตน นางเป็นเด็กเล็กๆ อายุเพียงสี่ขวบ ยามนี้บนหัวนางก็ปักได้เพียงลูกปัดดอกไม้ขนาดไม่ใหญ่สองสามอันเท่านั้น ปิ่นอุบะทองของเว่ยฉางอิ๋งนี้ยาวกว่าสี่ชุ่น แล้วจะปักลงไปได้ที่ใด? กลับทำให้เปียที่ถักเอาไว้อย่างเรียบร้อยหลุดลุ่ยไปหมด


                มือหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งอุ้มนาง อีกมือหนึ่งคอยกุมมวยผมเอาไว้ แล้วหัวเราะออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว “ข้าก็หลงนึกว่าซูเหยียนชอบข้า ที่แท้นางกลับชอบปิ่นอุบะอันนี้นี่เอง?” ตัวด้ามปิ่นอุบะทองนี้เป็นทองคำแท้ หัวปิ่นกลับเป็นเส้นทองคำที่สานเป็นรูปนกหลวน[1] ปากนกหลวนคาบพวงพริกเทศ[2]เม็ดกลมเล็กๆ สีแดงเลือด สองตาฝังหินแก้วภูเขาไฟสีดำ บนตัวนกฝังหินโมรา[3]ให้ลำตัวมีห้าเฉดสี ทั้งงดงามและล้ำค่ายิ่ง


                ซึ่งแน่นอนว่าเด็กเล็กๆ ย่อมไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือความล้ำค่า กลายเป็นว่าสีสันที่หลากหลายของปิ่นอุบะนี้ดึงดูดสายตาคนยิ่งนัก มิน่าเล่าเสิ่นซูเหยียนจึงได้ผละออกมาจากคนที่นางคุ้นเคยทั้งท่านป้าใหญ่และหลิวรั่วอวี้ที่มาคอยดูแลพวกนางได้สองวัน แล้วหันมาขอให้อาสะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านมาอุ้มนางแทน


                นางหลิวเห็นแล้วก็หัวเราะออกมา กล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าซูเหยียนจะชอบเครื่องประดับถึงเพียงนี้ เช่นนั้นวันพรุ่งจะรีบให้คนหาเครื่องประดับเล็กๆ สักชุดให้เจ้า ปิ่นนี้ต้องรอให้เจ้าโตก่อนจึงจะใช้ได้นะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปขอปิ่นจากเสิ่นซูเหยียน คิดจะเอาปิ่นอุบะทองคืนให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง


                ไม่คิดว่าว่าเสิ่นซูเหยียนชอบปิ่นอุบะนี้มาก จึงเอาแต่กอดมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือ เมื่อเห็นเสิ่นซูเหยียนต้องการยึดเอาของของอาสะใภ้สามมาเป็นของตนเองต่อหน้าผู้คนมากมาย เสิ่นซูโหรวจึงอดจะหน้าแดงหูแดงขึ้นมาไม่ได้ ว่าแล้วก็ยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามา เขย่งเท้าขึ้นจะเข้าไปแย่งปิ่นมา “รีบเอาคืนให้ท่านอาสะใภ้สาม!”


                เว่ยฉางอิ๋งเห็นเสิ่นซูเหยียนรั้งคอตนไว้ แล้วยกปิ่นอุบะขึ้นสูง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเอาให้พี่สาว นางจึงรีบเอ่ยคำช่วยประนีประนอม “ไม่เป็นไรหรอก ดีชั่วอย่างไรก็เป็นเพียงปิ่นอันหนึ่ง เมื่อซูเหยียนชอบก็ให้นางเล่นเถิด”


                เสิ่นซูโรวกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ขอบคุณท่านอาสะใภ้เจ้าค่ะ แต่ท่านแม่เคยบอกไว้ว่าห้ามพวกเราเอาของของท่านป้าใหญ่และท่านอาสะใภ้ตามอำเภอใจ เพื่อมิให้กลายเป็นความเคยชิน และทำให้เสียนิสัยเจ้าค่ะ”


                 แล้วจึงขู่เสิ่นซูเหยียนว่า “เจ้าจะคืนหรือไม่คืน? ไม่คืน รอจนท่านแม่กลับมา ข้าจะบอกท่านแม่ ดูซิท่านแม่จะตีเจ้าอย่างไร!”


                เสิ่นซูเหยียนได้ยินก็หันมองไปที่ปิ่นอุบะแล้วหันไปมองพี่สาว ทั้งสองฝั่งล้วนทำให้นางลำบากใจ ว่าแล้วดวงตาโตๆ ดังลูกองุ่นดำก็เป็นประกายวิบวับขึ้นมา และเสียงร้องไห้จ้าก็ดังขึ้น… ครานี้ทุกคนจึงไม่ต้องทานอาหารกันแล้ว และต้องรีบมาปลุกปลอบนางแทน


                นางหลิวกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “อย่ากลัวไปเลย อย่ากลัว ท่านแม่พวกเจ้ายังอยู่ที่บ้านท่านยายทวดโน่น ตอนนี้ยังกลับมาไม่ได้ ตีเจ้าไม่ได้หรอก พี่รองของเจ้าแค่ขู่เจ้าเท่านั้น อย่าร้อง นะ อย่าร้องไปเลย!”


                เสิ่นซูโหรวทำปากจู๋ “ท่านป้าใหญ่เจ้าคะ เมื่อท่านแม่กลับมา ข้าจะต้องบอกท่านแม่แน่ๆ เดิมทีน้องสี่ก็ไม่ควรไปเอาของของท่านอาสะใภ้มานะเจ้าคะ!”


                เมื่อเสิ่นซูโหรวว่าเช่นนี้ เสิ่นซูเหยียนก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก เว่ยฉางอิ๋งรีบให้สัญญาว่าพอถึงเวลาก็จะช่วยนางพูดขอร้องให้ แต่แล้วเสิ่นซูโหรวก็พูดอย่างจริงจังว่า “ท่านอาสะใภ้สามเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องนะเจ้าคะ หากพวกพี่ๆ น้องๆ ทุกคนเห็นของดีๆ ของท่านอาสะใภ้สามแล้วเอาไปโดยไม่บอกกล่า แล้วจะต่างสิ่งใดกับการขโมยเล่าเจ้าคะ? อีกประการยามนี้น้องสี่ยังเล็ก เมื่อโตขึ้นแล้ว ท่านแม่จะไม่เตรียมเครื่องประดับไว้มอบให้นางหรือเจ้าคะ? ยามนี้นางเอาปิ่นอุบะของท่านอาสะใภ้สามไปแล้วจะนำไปใช้ประโยชน์ใดได้? กลายเป็นว่าพอแอบไปดึงออกไป ยังทำให้มวยผมของท่านอาสะใภ้สามหลุดออกมาเสียอีก!”


                เว่ยฉางอิ๋งคิดไม่ถึงว่าเห็นเสิ่นซูโหรวเป็นคนเงียบๆ แม้อายุยังน้อยแต่กลับมีความคิดอ่านยิ่ง จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วว่า “ใช่ๆ อาสะใภ้สามทำไม่ถูก แต่ซูเหยียนยังเล็ก…”


                “ก็เพราะยังเล็ก จึงต้องสอนนางให้ดีอย่างไรเจ้าคะ” เสิ่นซูโหรวทำหน้าบึ้งเช่นผู้ใหญ่ตัวน้อย และมองไปยังน้องสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ก่อนนี้หากน้องสี่ไม่เชื่อฟัง และชอบใช้วิธีร้องไห้โฮเช่นนี้หลบเลี่ยงความผิด ทุกครั้งท่านแม่ล้วนไม่สนใจนาง ท่านป้าใหญ่ ท่านอาสะใภ้สามและยังมีท่านอาหลิว หากพวกท่านยิ่งปลอบนาง นางก็จะยิ่งร้องหนักขึ้น อย่าไปสนใจนางเลยดีกว่า และให้นางออกไปสำนึกผิดอยู่บนระเบียงทางเดินข้างนอกนั่นเสียเจ้าค่ะ!”


                นางหลิวยิ้มเจื่อนแล้วว่า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า? นางยังมิทันได้ทานข้าวเลย”


                “เช่นนั้นก็รอจนนางยอมรับผิดแล้วจึงอนุญาตให้ทานข้าวได้เจ้าค่ะ!” น้องสาวแท้ๆ ที่ผิวพรรณขาวชมพูนวลนุ่มพลันมีน้ำตาไหลเอ่อออกมา แต่เห็นชัดว่าเสิ่นซูโหรวเป็นพี่สาวคนโตที่ยึดมั่นในหลักการยิ่ง นางไม่ใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและสีหน้าที่หนักแน่o


                นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งมองหน้ากันทำตัวไม่ถูก ตามหลักการแล้ว…เสิ่นซูโหรวเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเสิ่นซูเยียน ทั้งยังอ้างกฎเกณฑ์ของนางตวนมู่ออกมา เรื่องที่นางสอนสั่งน้องสาวก็เป็นเรื่องสมควรอยู่ ทว่าผู้เป็นเป็นป้าและอาสะใภ้ ตนเองมานั่งทานอาหาร แต่กลับจะทิ้งหลานสาวตัวน้อยให้สำนึกผิดอยู่ที่ระเบียงทางเดินเช่นนั้นหรือ…


                ในขณะที่กำลังปวดเศียรเวียนเกล้ากันอยู่นั้นเอง หลิวรั่วอวี้หันไปกระพริบตาให้เสิ่นซูเหยียน แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “เหยียนเอ๋อร์อย่าดื้อนะ เอาปิ่นอุบะคืนให้ท่านอาสะใภ้สามเสียก่อน ตอนนี้มาทานข้าวกัน ดีหรือไม่?”


                คงเพราะไม่กี่วันมานี้ล้วนเป็นหลิวรั่วอวี้ดูแล หรือเพราะกลัวว่าเสิ่นซูโหร่วจะเอาเรื่องไปฟ้อง เสิ่นซูเหยียนจึงคิดสักพักทั้งน้ำตา หันไปมองพี่สาว แล้วหันกลับมามองปิ่นอุบะครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายหันไปมองที่หลิวรั่วอวี้ และยอมปล่อยมือด้วยท่าทีอิดออดเล็กน้อย


                นางหลิวและเว่ยฉางอิ๋งล้วนโล่งใจ ช่วยกันพูดประนีประนอมว่า “เอาล่ะๆ ผู้ใดไม่เคยทำผิดบ้าง ในเมื่อซูเหยียนก็รู้ผิดแล้ว เรื่องนี้ก็เลิกแล้วกันไปเถิด”


                เสิ่นซูโหรวยามนี้หน้าตากำลังบูดบึ้งยังคงไม่พอใจอยู่บ้าง อยากจะเอ่ยบางสิ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ซูโหรวตัวเล็กเพียงเท่านี้ก็รู้จักอบรมสอนสั่งน้องสาวแล้ว เป็นเด็กดีจริงๆ เพียงแต่อาสะใภ้สามก็สงสารพวกเจ้า เพียงแค่ปิ่นอุบะอันเดียว หากทำให้พวกเจ้าทุกคนล้วนไม่พอใจ เช่นนั้นต่อไปอาสะใภ้ก็ไม่กล้าใส่อีกแล้วน่ะสิ? พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”


                นางหลิวก็บอกว่า “ให้เลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้เถิด เพื่อให้ต่อไปท่านอาสะใภ้สามของพวกเจ้ายังปักปิ่นอุบะนี้ออกมาได้ แต่หากยังต้องลงโทษซูเหยียนต่อ ท่านอาสะใภ้สามของพวกเจ้าก็จะต้องจำเรื่องนี้เอาไว้ ไม่แน่นะ อาจจะพาลไปโกรธถึงปิ่นอุบะนั่นเสียด้วย พวกเจ้าคิดดูเอาเถิด ปิ่นอุบะงามๆ ต่อไปหากไม่อาจเอามาใส่ได้อีกก็น่าเสียดายนัก?”


                เช่นนี้จึงสามารถทำให้วิกฤตินี้ผ่านพ้นไปได้ รอจนทานอาหารเสร็จแล้ว หลิวรั่วอวี้และเสิ่นซูจิ่งจึงพาคนที่เหลือขอตัวออกไป นางหลิวรั้งตัวเว่ยฉางอิ๋งให้มาดื่มชาด้วยกัน ทั้งสองคนจึงเริ่มพูดคุยสรรเพหระกัน และอดจะเอ่ยถึงเรื่องของพี่น้องบ้านสองที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้ เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “แม้ข้าจะเพิ่งเข้าบ้านมา แต่เมื่อสังเกตดูซูโหรวแล้ว ก็รู้ได้ว่าพี่สะใภ้รองอบรมบุตรสาวอย่างเข้มงวด หากนางโตกว่านี้สักหน่อยก็จะดูคล้ายกับซูจิ่งแล้วเจ้าค่ะ”


                นางหลิวยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “น้องสะใภ้รองมีนิสัยจริงจัง สอนสั่งบุตรสาวอย่างพิถีพิถันมาแต่ไร แต่ข้ากลับมิได้ควบคุมซูจิ่งเท่าใดนัก ดีชั่วหากตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ เมื่อไม่ฟังก็ต้องมีบทลงโทษตามสมควร”


                “เช่นนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ก็ ‘ให้พื้นดินเปียกชุ่มอย่างไร้ซุ่มเสียง[4]’ สินะเจ้าคะ ซูจิ่งดูสง่างามนัก มีท่าทีเช่นหลานสาวคนโต อีกไม่กี่ปีก็จักต้องมีชื่อเสียงร่ำลือไปทั่วตระกูลสูงศักดิ์”


                “น้องสะใภ้สามชมเกินไปแล้ว นางน่ะ ยังเล็กนัก ยังต้องร่ำเรียนอีกมาก” นางหลิวกล่าวไปเช่นนั้น แต่รอยยิ้มของนางกลับลึกลงไปอย่างมาก เห็นชัดว่าภาคภูมิใจในบุตรสาวคนโตของตนยิ่ง


                เมื่อเอ่ยถึงบุตรธิดาไปอีกสักไม่กี่ประโยค… เพราะเว่ยฉางอิ๋งยังไม่มีบุตร โดยมากแล้วจึงเป็นนางชมเชยเสิ่นซูจิ่งและเสิ่นซูหมิง นางหลิวถ่อมตัวแทนบุตรชายและบุตรสาว หลังจากพูดเรื่องเหล่านี้แล้ว นางหลิวก็ค่อยๆ หันเหหัวข้อสนทนามายังเรื่องของหลิวรั่วอวี้น้องสาวร่วมตระกูลของนาง กล่าวอย่างเปิดเผยว่า “มิใช่ว่าข้าช่วยน้องสาวตนเอ่ยคำ แต่รั่วอวี้เป็นคนดีจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่โชคไม่ดี น้องสะใภ้สามมิใช่คนนอก ข้าจักไม่ปิดบังน้องสะใภ้ มารดาของเด็กคนนี้เสียไปเร็ว และท่านอาสะใภ้ใหม่ของข้าก็เป็นคนใจร้อน เข้ากับรั่วอวี้ไม่ใคร่ได้ ทั้งตนก็ยังมีบุตรธิดาของตนเอง… จึงยากจะไม่ละเลยนาง”


                เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าที่นางหลิวกล่าวเรื่องนี้กับตนคล้ายกับมีเรื่องใดแฝงอยู่ ยังคงเดาเจตนาของนางไม่ออก จึงลองสอบถามไปว่า “ข้าเห็นว่าน้องรั่วอวี้มีสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก ยังนึกว่ามีร่างกายอ่อนแอมาแต่เล็กเสียอีก ที่แท้กลับเป็นเพราะ….มีทุกข์ใจเรื่องคนในบ้านหรือเจ้าคะ? พี่สะใภ้ใหญ่อย่าได้ถือโทษที่ข้าพูดตรงๆ ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่าน้องรั่วอวี้ก็โตเพียงนี้แล้ว หากเป็นทุกข์เพราะเรื่องภายในบ้าน ก็คงจะเป็นทุกข์ไปได้อีกไม่กี่วันแล้วกระมังเจ้าคะ?”


                “ก็เพราะโตแล้วจึงได้มีเรื่องให้ทุกข์ร้อนอย่างไรเล่า หากนางยังเล็ก เหตุใดยามนี้จะให้นางต้องทนทุกข์อยู่ในสภาพนี้?” นางหลิวกลับหัวเราะเยาะออกมาหนหนึ่ง ลังเลสักพัก แล้วกดเสียงต่ำๆ กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลซ่ง ก็คือลูกผู้พี่แท้ๆ ของน้องสะใภ้สาม ปีก่อนด้วยนางเสียโฉม ท่านเสนาบดีฝ่ายพิธีการเข้าไปขอถอนตัวจากตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทต่อองค์ฮ่องเต้ด้วยตนเอง น้องสะใภ้สามคงจักรู้ว่า ยามนี้องค์รัชทายาทจะรับผู้ใดเป็นพระชายา?”


                เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางให้บ่าวไพร่ออกไป ในใจยิ่งรู้สึกสงสัย ตนเองเพิ่งจะเข้าบ้านมา ก่อนนี้ก็มิได้รู้จักกับนางหลิว หากบอกว่าเรื่องที่นางพูดก่อนนี้ เป็นนางหลิวมีบ้างเรื่องแอบแฝงอยู่ เช่นนั้นคำพูดนี้ก็พอจะเดาความได้แล้ว นางหลิวคิดอย่างไรจึงเชื่อตนถึงเพียงนี้? นางคิดทำสิ่งใดกันแน่?


                ยามนี้ได้ยินนางหลิวเอ่ยถึงพระชายาองค์ใหม่ขององค์รัชทายาท ก็อดตกใจไม่ได้ กล่าวว่า “หรือว่าเป็น…?”


                “ก็คือรั้วอวี้!” นางหลิวสูดหายใจลึก กล่าวว่า “ยามนี้ไม่มีผู้อื่นอยู่ ข้าก็จะไม่ปิดไม่บังล่ะ… แม้ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทจะสูงส่งมีเกียรติ ทว่าตำหนักตะวันออกล้ำลึกนัก เหล่าภรรยาของราชนิกุลหรือจะมีอิสระเท่าคนธรรมดา? ร่างกายของรั่วอวี้ก็ไม่ดี ความคิดอ่านก็ตื้นเขิน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าวันหน้านางจะมีชีวิตอยู่อย่างไรจึงจะดี!”


                ระหว่างเอ่ยไป นางหลิวก็น้ำตาริน


                เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง พลันไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรจึงจะดี จะอย่างไร นางและนางหลิวไม่เคยพูดคุยกันเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งนางหลิวถึงขั้นพูดไปและหลั่งน้ำตาต่อหน้านางเสียอีก…


                ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? หากนางคาดเดาได้ว่าตระกูลเว่ยออกแรงช่วยเหลือลูกผู้พี่ซ่งไจ้สุ่ยให้ล้มเลิกสัญญาแต่งงานกับองค์รัชทายาท แต่ซ่งไจ้สุ่ยก็เป็นลูกผู้พี่แท้ๆ ของตน ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเว่ยและซ่ง… แล้วหลิวรั่วอวี้จะนับเป็นสิ่งใดได้? จะว่าไปแล้วตนและตระกูลหลิวยังมีความแค้นต่อกันเป็นการส่วนตัวอีกด้วย!


                หรือว่าพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นี้คิดจะให้ตนช่วยหลิวรั่วอวี้ปฏิเสธการแต่งงานอีกคน? นี่จะเป็นไปได้หรือ?


                เว่ยฉางอิ๋งไตร่ตรองเอาจากคำพูดของนาง นางหลิวกลับรีบเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหางตา ฝืนยิ้มแล้วว่า “หลายวันมานี้ข้าคอยเป็นกังวลกับรั่วอวี้มาโดยตลอด กลายเป็นเรื่องน่าขันให้น้องสะใภ้สามดูเสียแล้ว”


                “พี่สะใภ้ใหญ่รักใคร่ผูกพันกับน้องรั่วอวี้นัก น่าอิจฉาจริงๆ เจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งทำได้แต่ยิ้ม


                นางหลิวทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า “พวกเราล้วนเกิดในตระกูลใหญ่ มีพี่น้องมากมาย ท่านอาห้าของข้าก็เป็นเพียงอาในตระกูลอีกสายหนึ่ง แต่ที่ผูกพันกับรั่วอวี้มากก็เพราะมีสาเหตุ น้องสะใภ้สามคิดว่าแม่ของรั่วอวี้เสียชีวิตอย่างไร? ปีนั้นข้ายังไม่ได้ออกเรือน อายุเพิ่งจะสิบเอ็ดปี กลุ่มผู้หญิงในตระกูลหลิวพากันไปท่องเที่ยวรับฤดูใบไม้ผลิที่ทะเสสาบจิ้งหูนอกเมือง ข้าไม่ระวังพลัดตกลงไปในทะเลสาบ ตอนนั้นทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก มีเพียงอดีตท่านอาสะใภ้ห้าที่ขืนก้าวลงน้ำแสนเย็นยะเยือกในฤดูใบไม้ผลิเพื่อไปอุ้มข้าขึ้นมา ปรากฏว่าข้ารอดชีวิต แต่นางกลับมาถึงบ้านก็ล้มป่วย ไม่ถึงสองวันก็กลายเป็นไข้รากสาดใหญ่และถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านเล็กๆ นอกเมือง…ไม่กี่วันก็จากไป ยามนั้นรั่วอวี้เพิ่งจะอายุครบปีได้ไม่นาน และเพราะไข้รากสาดใหญ่ติดต่อกันได้ ท่านอาสะใภ้ห้านาง…จนนางเสียก็มิได้พบรั่วอวี้อีกเลยสักหน!”


                นางหลิวอดจะน้ำตานองหน้าไม่ได้ กล่าวว่า “ดังนั้นนับแต่นั้นมา เมื่อข้าเห็นรั่วอวี้ก็จะรู้สึกผิด! หากมิใช่เพราะข้าเห็นแก่เล่นจนตกน้ำ และทำให้ท่านอาสะใภ้ห้าต้องพลอยรับเคราะห์ หากท่านอาสะใภ้ห้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วจะให้รั่วอวี้ต้องถูกข่มเหงมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? จนยามนี้แม้แต่เรื่องแต่งงานก็… ก็ยังไม่ได้เจอคนดีแม้สักคน แต่รั่วอวี้ก็ไม่เคยโทษข้าเลยแม้สักหน ขะ…ข้ายิ่งรู้สึกผิดมากเข้าไปอีก!”


                เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงได้แต่รีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ นี่ล้วนเป็นเรื่องที่ทำสิ่งใดไม่ได้ แต่แรกนั้นพี่สะใภ้ใหญ่ก็มิได้มีเจตนาจะลงน้ำ… น้องรั่วอวี้ก็จักต้องเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงมิได้โทษพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”


                ….จะว่าไป พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านให้คนออกไปหมด ที่แท้ต้องการพูดสิ่งใดกันแน่???


                นางหลิวรับผ้ามาเช็ดหน้า แล้วที่สุดก็เอ่ยวัตถุประสงค์ของนางออกมา “ข้ารู้ว่าท่านอาหวงซึ่งเป็นผู้ที่ติดตามน้องสะใภ้สามมายามแต่งงาน เป็นผู้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลเว่ยฝึกฝนมาเป็นพิเศษเพื่อมาอยู่ข้างกายน้องสะใภ้สาม ฮูหยินผู้เฒ่าเสาะหาหนทางให้นางไปร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอเทวดามาระยะหนึ่ง จึงอยากจะขอให้ท่านอาหวงมาช่วยดูน้องสิบที่น่าสงสารของข้าผู้นี้ให้สักหน่อยว่าระ….ร่างกายของนางยังพอจะบำรุงปรับธาตุต่างๆ ได้หรือไม่?”


                ยังไม่ทันสิ้นคำ นางหลิวก็ร่ำไห้ออกมาเป็นสายฝน สะอื้นว่า “เดิมทีองค์รัชทายาทก็… หากน้องสิบเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้วยังไม่สามารถให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้ แล้วชีวิตในภายภาคหน้าของนางจะเป็นเช่นไร? แรกเริ่มนั้นองค์ชายใหญ่ถูกปลดจากตำแหน่งสุดท้ายก็ปลงพระชนม์ตนเอง พระชายาขององค์ชายใหญ่ก็เสียตามเข้าไป แต่หลังจากท่านอ๋องไช่สิ้นพระชนม์ แต่พระชายาท่านอ๋องไช่กลับยังอยู่จนถึงวันนี้ ก็มิใช่ว่าเพื่อจวิ้นอ๋องไช่หรอกหรือ? น้องสะใภ้สาม ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งจะเข้าบ้านมา มาพูดเรื่องเช่นนี้กับเจ้าในยามนี้ก็ออกจะเกินเลยไปสักหน่อย เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อข้าทั้งหมด ทว่าพระราชโองการงานอภิเษกอย่างมากอีกครึ่งเดือนก็จะออกมาแล้ว เมื่อมีราชโองการออกมา น้องสิบก็จักต้องกลับไปรอแต่งออก ถึงยามนั้นแล้วข้าก็ไปก้าวก่ายสิ่งใดไม่ได้…”


                ที่แท้ก็เพียงเพื่อจะยืมตัวนางหวง เว่ยฉางอิ๋งลอบโล่งใจ แล้วรีบปลอบนางไปว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ท่านกล่าวสิ่งใดกัน? ก็มิใช่เพียงให้ท่านอาหวงตรวจน้องรั่วอวี้สักหน่อยหรอกหรือ? ความจริงแล้วหากวันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่พูดกับข้ามากมายเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าอีกสักสองวันจะเสนอกับพี่สะใภ้อยู่แล้วเจ้าค่ะ! น้องรั่วอวี้เป็นหญิงสาวที่งดงามปานนี้ แต่สีหน้ากลับดูแย่นัก ใครพบเห็นเข้าก็ต้องรู้สึกสงสารจับใจเจ้าค่ะ!”


__________________________________


[1] นกหลวน คือ นกฟินิกซ์


[2] พริกเทศ ชื่อจีนคือ 珊瑚珠ในชื่อไทยเรียกว่า พริกฝรั่ง (Blood berry)


[3] หินโมรา หรือ อาเกต (Agate) เป็นอัญมณีที่มีหลายสี ที่นิยม คือ ฟ้าอมเทาลายขาว หรือฟ้าในเนื้อหิน


[4] ให้พื้นดินเปียกชุ่มอย่างไรซุ่มเสียง เป็นท่อนหนึ่งในบทกวีชื่อดัง หมายความว่า ปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเองตามจังหวะและเวลาที่สมควร


ตอนที่ 19 โรคกับพิษ

โดย

Xiaobei

                วันนี้เดิมทีนางหวงก็ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาที่บ้านใหญ่ด้วย เว่ยฉางอิ๋งปลอบนางหลิวได้แล้ว เห็นนางเช็ดหน้าตาเรียบร้อย จึงเรียกให้คนตักน้ำเข้ามาล้างหน้า พร้อมกับไปเรียกนางหวงมาอธิบายความต่อหน้า


                เว่ยฉางอิ๋งออกปาก นางหวงย่อมไม่ปฏิเสธและกล่าวถ่อมตัวว่า “เพียงแต่ข้าน้อยไม่อาจเทียบเท่าคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ ทว่าท่านหมอเทวดาเคยพักอยู่ในจวนตระกูลเว่ยเป็นเวลาสั้นๆ และข้าน้อยเคยได้ดูแลใกล้ชิดมาช่วงหนึ่ง ดีที่ท่านหมอเทวดาจี้ไม่รังเกียจจึงสอนสั่งข้าน้อยมาบ้าง ทว่าแม้แต่ความรู้เพียงผิวเผินก็มิได้เรียนรู้จากท่านหมอเทวดามาเจ้าค่ะ หากวิชาความรู้ไม่ละเอียดลออพอ และไม่อาจคลายเรื่องทุกข์ร้อนของคุณหนูสิบได้ ก็ขอให้ฮูหยินน้อยใหญ่โปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”


                เนื่องด้วยเว่ยฉางอิ๋งตอบตกปากรับคำแล้ว ยามนี้นางหลิวจึงกลับมาตั้งสติได้ นางยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ท่านอาหวงว่ามาเช่นนี้ ผู้ใดจักไม่รู้ว่าครานั้นยามท่านหมอเทวดาจี้พักอยู่ที่จวนตระกูลเว่ย แม่เฒ่าซ่งบรรจงเลือกสรรมือขวามือซ้ายที่เฉลียวฉลาดสองสามคนไปคอยดูแลท่านหมอเทวดาจี้ ในบรรดาสาวใช้เหล่านั้นก็มีเพียงท่านอาผู้เดียวที่ได้รับการชื่นชมจากท่านหมอเทวดา จึงได้สอนวิชาแพทย์ให้ หลายปีมานี้ ประตูบ้านท่านหมอเทวดาจี้ นอกจากคุณหนูแปดตระกูลตวนมู่แล้ว ก็เป็นท่านอาที่เข้าไปได้ เห็นได้ถึงความคาดหวังที่ท่านหมอเทวดาจี้มีต่อท่านอา อีกประการน้องสะใภ้สามเพิ่งเข้าบ้านมา ข้าก็ไปรบกวนพวกท่านทั้งนายบ่าว พวกท่านไม่ถือโทษ ข้าก็พึงพอใจมากแล้ว แล้วยังกล้าได้คืบจะเอาศอกอีกได้อย่างไรเล่า?”


                นางหวงยิ้มแล้วว่า “นั่นเป็นความใจบุญของท่านหมอเทวดาจ้าค่ะ ข้าน้อยยังคงรำลึกถึงอยู่เสมอ ไม่กล้าปฏิเสธ ข้าน้อยเบาปัญญานักเจ้าค่ะ…”


                นางหลิวปากก็พูดคุยอย่างเกรงใจกับนาง แต่ในใจยิ้มเยาะน้อยๆ ว่า ท่านหมอเทวดาจี้ใจบุญ? แพทย์ยอดฝีมือที่แต่เล็กมามีอาภรณ์ชั้นดีอาหารชั้นเลิศแล้วเมื่อที่บ้านเกิดเรื่องก็ต้องมาระหกระเหินเร่ร่อนไปทั่ว ได้ลิ้มรสความเยือกเย็นและอบอุ่นในใต้หล้าอย่างถึงที่สุด ต้องอาศัยพรสวรรค์ว่าตนมีความกระจ่างทางด้านการแพทย์และบันทึกเคล็ดวิชาแพทย์ของปู่ที่ทิ้งเอาไว้ให้จนสามารถกลับมาอยู่ในสายตาของผู้คนในตระกูลสูงศักดิ์ จนถึงขั้นที่ตราบทุกวันนี้เขากลายเป็นหมอมือหนึ่งที่แม้แต่บรรดาตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็ยังไม่อาจขอเข้าพบเพื่อรับการรักษาได้


                ….เพียงดูจากสิ่งที่เขาต้องพานพบมา แล้วจะยังคงใจบุญแสนซื่ออยู่ต่อไปได้หรือ? หาไม่ ป่านนี้คงจะตายอยู่ในซอกมุมหนึ่งข้างถนนโดยไม่มีผู้ใดรู้ไปแล้ว!


                อย่างน้อยนางหลิวก็รู้ว่า หลังจากจี้ชวี่ปิ้งรับรักษาเว่ยเจิ้งหงและได้รับการเชื้อเชิญจากแม่เฒ่าซ่งให้ไปอยู่ในจวนตระกูลเว่ย ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี ผู้คนที่เคยเข้าบ้านไปจับกุมคนในครอบครัวของจี้อิง… ก็ค่อยๆ ล้มตายไปอย่างน่าประหลาดทีละคน…ทีละคน


                แม้กระทั่งตระกูลเติ้ง ญาติพี่น้องสองสามคนในสายรองที่เคยมีส่วนร่วมในการขู่บังคับคนในครอบครัวของจี้อิงก็ล้มป่วยจนตายไปอย่างมีเงื่อนงำ…


                ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเคยเกิดความสงสัยมาก่อน


                แต่ยามนั้นแม่เฒ่าซ่งแห่งตระกูลเว่ยกำลังไร้ซึ่งความหวังใดๆ จึงต้องการจะไขว่คว้าจี้ชวี่ปิ้งซึ่งเป็นฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ให้จงได้ แล้วจะยินยอมให้จี้ชวี่ปิ้งถูกนำตัวไปสอบสวน จนทำให้การรักษาบุตรชายคนโตของนางต้องหยุดชะงักไปเช่นนั้นหรือ? ไม่เพียงแค่แม่เฒ่าซ่งเท่านั้น ฮูหยินซ่งภรรยาหลวงของเว่ยเจิ้งหงก็ยังเป็นบุตรสาวในสายหลักของซ่งซินผิงประมุขตระกูลซ่งแห่งเจียงหนาน เขาหรือจะเอาแต่นั่งดูบุตรสาวเป็นม่าย? เจ้าเมืองไปบ้านตระกูลเว่ยเพื่อบอกกล่าวอย่างอ้อมๆ ว่าต้องการจะสอบสวนจี้ชวี่ปิ้งก็ถูกแม่เฒ่าซ่งด่าเปิงเสียเกือบตาย ดูคล้ายว่าจะถูกบ่าวตระกูลซ่งไล่ตีออกมานอกประตู!


                ไม่เพียงเท่านี้ แม่เฒ่าซ่งยังไปเข้าเฝ้าฯ องค์ฮองเฮาเฉียนในยามนั้นทั้งน้ำตา และบอกว่าเจ้าเมืองก็รู้ดีว่าชีวิตของเว่ยจิ้งหงกำลังอยู่ในอันตราย ซึ่งล้วนต้องอาศัยจี้ชวี่ปิ้งที่สามารถชุบชีวิตคนขึ้นมาได้เพื่อให้เขาได้มีชีวิตยืนยาวต่อไป แต่ยังจงใจเข้าไปรบกวน เท่ากับเป็นการจงใจทำร้ายบุตรชายคนโตของตระกูลเว่ยให้ถึงแก่ชีวิตชัดๆ ส่วนซ่งซินผิงก็ไปเข้าเฝ้าฯ ต่อหน้าพระพักตร์ ร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนต่อฮ่องเต้ให้ทรงให้โอกาสบุตรเขยตนได้มีชีวิตรอดด้วย…


                คดีความยังมิทันได้สะสาง แต่เจ้าเมืองเองกลับต้องลงนรกไปเสียก่อน ไม่กี่วันหลังจากนั้นเจ้าเมืองก็ถูกสั่งเนรเทศไปไกลสามพันลี้


                ตระกูลเว่ยและซ่งมีอำนาจมากเพียงนี้ หลังจากเจ้าเมืองคนใหม่มารับตำแหน่ง ไม่ถึงครึ่งวันก็เอาเอกสารในคดีนี้ทำลายทิ้งเสีย แล้วประกาศว่าทุกเรื่องล้วนเห็นเพียงเหตุบังเอิญ มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับจี้ชวี่ปิ้ง แล้วลงโทษโจทก์ทั้งหมดในข้อหาใส่ร้ายป้ายสี… วันต่อมาทั้งเว่ยฮ่วนและซ่งซินผิงไปเข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้พร้อมกันและชมเชยว่าเจ้าเมืองคนใหม่นี้ ‘เป็นผู้มีความสามารถ ใช้การได้เป็นอย่างยิ่ง’


                หลังจากนั้นตระกูลเติ้งก็ส่งคนไปคารวะที่จวนตระกูลเว่ยคราวหนึ่ง ส่วนรายละเอียดของเรื่องที่เข้าคารวะนั้นคนนอกไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ทุกสิ่งก็เงียบลง ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ว่าจี้ชวี่ปิ้งเป็นฆาตกรหรือไม่ คนบ้านตระกูลเติ้งก็มิได้เกิดเรื่องขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปอีก


                จี้ชวี่ปิ้งพักอยู่ที่จวนตระกูลเว่ยสองปี แม้จะเป็นเพราะว่าทำการรักษาล่าช้าเกินไป จึงไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ แต่อาการป่วยของเว่ยเจิ้งหงก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก จึงทำให้เขากลับมามีชื่อเสียงลื่อลั่นไปทั่วเมืองหลวง หลังจากอำลาตระกูลเว่ย เขาปฏิเสธการสมัครเข้าเป็นแพทย์หลวง ซื้อคฤหาสน์หลังเก่าของจี้อิงคืนมา แล้วเปิดสำนักแพทย์


                ในสำนักแพทย์นี้จี้ชวี่ปิ้งรักษาผู้คนที่เป็นโรครักษายากจนหายขาดได้จำนวนหนึ่ง ฉายาแพทย์เลื่องชื่อแห่งเขตทะเลจึงได้เกิดขึ้นนับแต่นั้น แต่เพราะรอบคฤหาสน์เก่าแห่งนี้ล้วนเป็นคนในตระกูลจี้ ครานั้นจี้ชวี่ปิ้งตกระกำลำบาก คนในตระกูลเหล่านี้เกรงกลัวอำนาจของตระกูลเติ้ง จึงไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทั้งสองฝ่ายจึงต่างมีความขัดข้องใจต่อกัน สำนักแพทย์เปิดได้ไม่นาน ก็ถูกคนในตระกูลโจมตีด้วยเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยนานา


                เรื่องภายในบ้านต่างๆ ก็ไม่อาจพูดได้ชัดเจน สุดท้ายแม้แต่หัวหน้าสกุลจี้ยังต้องออกหน้า หลังจากที่บ้านสกุลจี้ไกล่เกลี่ยกันแล้ว จี้ชวี่ปิ้งจึงปิดสำนักแพทย์ ลงกลอนประตูบ้าน แล้วไปซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งในเมื่อเฉิงตงซึ่งอยู่ห่างไกลจากสกุลจี้แล้วอยู่อย่างสันโดษนับแต่นั้น ไม่ยอมพบปะแขกคนจากภายนอก


                คนที่เขายอมพบปะหลายปีมานี้ คนหนึ่งก็คือตวนมู่ซินเหมี่ยว คุณหนูแปดตระกูลตวนมู่ซึ่งเขารับเป็นศิษย์ และอีกคนก็คือนางหวงซึ่งคอยดูแลเขามาสองปียามตระกูลเว่ยเชิญเขาไปรักษาเว่ยเจิ้งหง จึงได้รับคำชี้แนะเรื่องการแพทย์จากเขาเป็นเวลาสองปีด้วย


                และก็มิใช่ว่าไม่มีคนอาศัยฐานะตระกูลของตนมาขู่บังคับเพื่อขอรับการรักษา แต่จี้ชวี่ปิ้งรังเกียจการใช้ไม้แข็งยิ่งนัก ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็จะเลือกใช้วิธีต่อให้ตายก็ไม่ยอมรักษาให้ ท่านหมอเลื่องชื่อผู้นี้มิได้แต่งงานจนทุกวันนี้ ไร้ภรรยาไร้บุตร ทั้งยังมีความแค้นกับคนร่วมตระกูล ดังนั้นต่อให้มีคนในตระกูลถูกขู่บังคับ เขาย่อมไม่มีทางยอมศิโรราบให้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวที่รับไว้เป็นศิษย์นั้นคือคุณหนูแปดแห่งตระกูลตวนมู่ และนางหวงซึ่งเป็นศิษย์ที่เขามิได้ยอมรับนั้นเป็นบ่าวรู้ใจซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลเว่ยให้ความสำคัญมาก… อีกทั้งร่างกายของจี้ชวี่ปิ้งเองก็แข็งแรงยิ่ง หากบอกว่าไม่รักษา ต่อให้มีคนมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า หรือบีบบังคับจนตาย ก็ไม่มีวันยอมรักษาให้ทั้งสิ้น


                ปัญหาคือหากผู้ที่มาเฝ้าวิงวอนขอร้องเขากลับไม่ยอมรามือ เกิดใช้ไม้แข็งขึ้นมา แล้วตีเขาจนตายหรือพิการไปจริงๆ คิดดูก็รู้ว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของเขาย่อมไม่ยอมใจบุญปล่อยให้ผ่านไปเปล่าๆ ยิ่งไปกว่านั้นแม้แม่เฒ่าซ่งจะติดตามสามีกลับไปเฟิ่งโจวแล้ว แต่ก็ได้สั่งบุตรชายของอนุซึ่งอยู่ที่เมืองหลวงว่าให้นางหวงนำของกำนัลมากมายมอบแก่เขาทุกปี… ด้วยเกรงว่าหากยามใดเว่ยเจิ้งหงอาการไม่ดีขึ้นมา ก็ยังฝากความหวังไว้ที่จี้ชวี่ปิ้งได้


                ตวมมู่ซินเหมี่ยวยังเยาว์ สำหรับหลายคนแล้วยังอาจนึกคิดไปว่านางไม่มีสิ่งใดน่าเกรงกลัว แต่สำหรับแม่เฒ่าซ่ง… ในบรรดาผู้สูงวัยของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงก็นับได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้เป็นผู้ที่มีจิตใจอำมหิตยิ่งนัก ด้วยผู้สืบสกุลหลายคนของนางต้องตายไปตั้งแต่ยังเล็ก นางจึงเห็นบุตรชายคนโตซึ่งนางเหลืออยู่เพียงผู้เดียวสำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตของตน ฮูหยินผู้เฒ่าในวัยนี้มีสิ่งใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็นหรือคาดคิดไม่ถึง? หากมีความแค้นกับนางขึ้นมาจริงๆ คนทั้งบ้านก็ล้วนต้องคอยระวังตัวเอาไว้!


                ดังนั้นเมื่อแม่เฒ่าเติ้งแห่งตระกูลซูล้มเจ็บ ฮูหยินซูจึงนำนางตวนมู่ผู้สะใภ้รองติดตามไปเยี่ยมด้วยเป็นการเฉพาะ ส่วนนางหลิวซึ่งต้องการขอการรักษาให้แก่หลิวรั่วอวี้ผู้น้องสาว จึงทำได้เพียงมาขอร้องนางหวงซึ่งติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาเสียก่อน… แม้จะบอกว่า ใจจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นฮูหยินซูหรือว่านางหลิวก็ล้วนต้องการให้จี้ชวี่ปิ้งมารักษาด้วยตนเองก็ตาม


                แต่หมอเทวดาท่านนั้น… มีตระกูลตวนมู่ และตระกูลเว่ยคอยหนุนหลัง ทั้งยังแล้วมีเงาของตระกูลซ่งแฝงอยู่ด้วย เช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเล จักมีตระกูลใดกล้าทำการส่งเดชเพื่อให้ได้ตัวหมอมือหนึ่งผู้นี้ แต่ต้องสร้างความแค้นกับทั้งสามตระกูลเล่า?


                ยิ่งไปกว่านั้นตัวจี้ชวี่ปิ้งเองก็หาใช่คนที่เมื่อถูกไม้แข็งแล้วก็จักยอมก้มหัวให้…


                หากเปรียบกับผู้ที่มาขอรับการรักษาซึ่งต้องคอยเสาะหาความสัมพันธ์อ้อมไปมา น้องสะใภ้ทั้งสองของนางหลิวล้วนสามารถเชื่อมโยงความเกี่ยวพันกับจี้ชี่วปิ้งได้ ก็นับว่าสะดวกยิ่งแล้ว


                นางหลิวกล่าวชมนางหวงสองสามประโยค ก็สั่งให้คนไปเชิญหลิวรั่วอวี้มา ไม่คิดว่าผ่านไปนานหลิวรั่วอวี้จึงเพิ่งมาถึง โดยสวมเสื้อครึ่งแขนเพิ่มมาหนึ่งชั้น ทั้งยังเปลี่ยนมาสวมกระโปรงหลัวฉวินสีน้ำทะเล พลางอธิบายด้วยท่าทีเคอะเขินว่า “เมื่อครู่นี้ข้าป้อนนมเปรี้ยวให้เยวี่ยเอ๋อร์ทาน เหยียนเอ๋อร์วิ่งเข้ามาแย่ง และทำหกใส่ตัวข้า ไม่อาจไม่ไปเปลี่ยนกระโปรงได้เจ้าค่ะ”


                เว่ยฉางอิ๋งกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “มิเป็นไร ดีชั่วเรือนจินถงก็อยู่ห่างจากที่นี่เพียงไม่กี่ก้าว? ล้วนอยู่ในเขตคฤหาสน์เดียวกัน”


                เดิมที่นางหลิวเตรียมจะตำหนิที่นางมาช้าสักสองสามประโยค คราวนี้จึงกลับขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่พอใจว่า “ไยต้องให้เจ้าป้อน? แม่นมและสาวใช้เล่า?” ที่นางบอกว่าเชิญน้องสาวร่วมตระกูลมาช่วยดูแลเหล่าหลานๆ สักหน่อย ความจริงก็เป็นเพียงคำกล่าวตามมารยาทเท่านั้น ตั้งแต่เสิ่นซูโหร่วจนถึงเสิ่นซูเหยียน พวกนางคนใดที่ข้างกายไม่มีแม่นมและสาวใช้กลุ่มใหญ่คอยดูแลอยู่เป็นการเฉพาะ? ที่ว่าดูแลก็คือการคอยดูแลว่าคนเหล่านี้ตั้งใดดูแลหรือคอยแอบละเลยเจ้านายตัวน้อยหรือไม่เท่านั้น


                จักให้หลิวรั่วอวี้ซึ่งเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ลงมือป้อนนมเปรี้ยวให้เสิ่นซูเยวี่ยทานได้อย่างไร? คงมิใช่ว่าคนเหล่านั้นรู้ถึงสาเหตุที่หลิวรั่วอวี้มักมาอยู่ที่บ้านเสิ่น รู้สึกดูแคลนนางอยู่ในใจ จึงจงใจสั่งให้นางไปทำงานที่บ่าวไพร่ควรต้องทำ?


                ไม่เพียงแค่นางหลิวเท่านั้นที่สงสัยเช่นนี้ แม้แต่เว่ยฉางอิ๋งเองก็คิดว่าก่อนทานอาหารนั้น นางมองเห็นหลิวรั่วอวี้โน้มตัวลงมาเช็ดหน้าให้เสิ่นซูเหยียน เดิมทีนึกว่านี่เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดา ยามนี้คิดๆ ไปก็รู้สึกว่า หรืออาจเป็นเพราะหลิวรั่วอวี้ถูกรังแกเสียแล้ว


                หลิวรั่วอวี้ยิ้มออกมาหนแล้วหนเล่า สีหน้าของนางซีดขาว แต่รอยยิ้มกลับอ่อนโยนและดูแล้วสบายใจนัก “ข้าเห็นว่าเยวี่ยเอ๋อร์น่ารัก จึงขอถ้วยมาจากแม่นมและป้อนนางสองสามคำเจ้าค่ะ”


                สีหน้าของนางหลิวจึงผ่อนคลายลง กล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง… ซูเหยียนน่าน่าโมโหจริงๆ ซูโหรวดุนางหรือไม่?


                “ดุไปสองสามประโยคเจ้าค่ะ แล้วข้าก็ตักเตือนนางแล้วเจ้าค่ะ” หลิวรั่วอวี้อมยิ้ม


                เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ ประมวลนิสัยของหลานๆ ออกมา… เสิ่นซูเหยียนซึ่งเป็นคนเล็กที่สุดและเห็นชัดว่าถูกตามใจมากที่สุด แน่นอนว่าออกจะเป็นเด็กที่ถูกเอาใจจนเสียคน ซึ่งนิสัยร่าเริงของนางนี้คงจะมีความเกี่ยวข้องกับท่านอาสี่ของนางเสิ่นจั้งหนิงอย่างแน่นอน…


                เสิ่นซูจิ่งและเสิ่นซูโหรวล้วนกริยาตามแบบฉบับของกุลสตรีตระกูลใหญ่ เสิ่นซูจิ่งเป็นคนที่ทำการค่อนข้างอ่อนโยนและอบอุ่นใจ เสิ่นซูโหรวค่อนข้างเป็นคนที่ยึดมั่นในเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง เสิ่นซูเยวี่ยเป็นคนที่เงียบที่สุดในบรรดาหลานสาวทั้งสี่คน ไม่รู้ว่าเพราะนางเป็นเพียงบุตรของอนุเพียงคนเดียวในรุ่นหลานทั้งหมดหรือไม่?


                ทางนี้นางกำลังคาดเดานิสัยของบรรดาหลานสาว ทางนั้นนางหลิวก็บอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ แก่หลิวรั่วอวี้ และแน่นอนว่ารายละเอียดต่างๆ นางหลิวจะต้องเคยเอ่ยกับหลิวรั้วอวี่มาก่อนแล้ว ยามนี้ก็เพียงบอกคร่าวๆ ไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น หลิวรั่วอวี้กล่าวคำขอบคุณเว่ยฉางอิ๋งและนางหวง แล้วเว่ยฉางอิ๋งก็รีบให้นางหวงเข้าไปประคองนาง


                เมื่อกล่าวคำตามมารยาทกันเสร็จแล้ว นางหวงก็เชิญให้หลิวรั่วอวี้นั่งลงแล้วยื่นมือออกมาจับชีพจรนาง


                ผ่านไปสักพัก นางหวงพลันมีสีหน้าตื่นตกใจ นางหลิวรีบถามว่า “ท่านอาหวง?”


                “ฮูหยินน้อยใหญ่โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” นางหวงส่ายหน้า แต่กลับไม่ยอมเปิดเผยอาการของหลิวรั่วอวี้ในทันที เพียงแต่กล่าวกับหลิวรั่วอวี้อย่างอ่อนโยนว่า “คุณหนูสิบเจ้าคะ โปรดเอามือข้างซ้ายมาให้ข้าน้อยดูสักหน่อยด้วยเจ้าค่ะ”


                เมื่อตรวจชีพจรที่มือทั้งสองข้างแล้ว นางหวงก็นิ่งไตร่ตรองอยู่เป็นนาน จนทำให้นางหลิวสองพี่น้องล้วนสงสัยว่านางสามารถรักษาได้หรือไม่ จากนั้นนางหวงจึงเงยหน้าขึ้นมา “อาการร่างกายอ่อนแอของคุณหนูสิบนี้เป็นมานานเท่าใดแล้วเจ้าคะ?”


                หลิวรั่วอวี้มีอาการร้อนรนเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้ามีร่างกายไม่ใคร่ดีมาแต่เล็ก แต่ที่สีหน้าย่ำแย่เช่นนี้เพิ่งจะเริ่มเป็นเมื่อต้นปี” สีหน้าของนางหม่นลง บอกว่า “ครานั้นได้ยินบางเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก ในใจจึง…รู้สึกเป็นทุกข์หนัก ยามนั้นนอนซมอยู่สองสามวัน ภายหลังแม้ว่าจะดีขึ้นแล้ว ทว่าร่างกายกลับไม่ปกติมาโดยตลอดเจ้าค่ะ”


                “ไม่ทราบว่าท่านหมอที่ตรวจดูอาการของคุณหนูสิบมาก่อนหน้านี้ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ? นางหวงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา


                สีหน้าของหลิวรั่วอวี้ยิ่งหม่นขึ้นกว่าเก่า หันไปมองทางนางหลิว นางหลิวถอนใจหนหนึ่ง เมื่อมองไปรอบทิศแล้วเห็นว่านอกจากเว่ยฉางอิ๋งนายบ่าว ก็ล้วนเป็นคนสนิทของตน จึงได้กล่าวว่า “ท่านหมอท่านนั้นกล่าวว่าเป็นร่างกายของน้องสิบอ่อนแอ โรคนั้นยิ่งทำให้ลมปราณดั้งเดิม[1]เสียหาย วันหน้า… เรื่องการมีผู้สืบสกุลเกรงว่าจะมีอุปสรรค ดังนั้นวันนี้ข้าจึง…”


                ในเมืองหลวงเองก็มิใช่ว่าจะมีจี้ชี่ปิ้งที่เป็นหมออยู่เพียงผู้เดียว ตระกูลจี้ก็มีมาอายุนับร้อยปี ทั้งแพทย์หลวงชั้นเลิศก็มิได้ขาดแคลน เหตุที่นางหลิวมาขอร้องคนของเว่ยฉางอิ๋ง หากสืบค้นย้อนกลับไปก็เป็นเพราะหมอคนอื่นที่นางเชิญมารักษาหลิวรั่วอวี้ล้วนมิอาจยืนยันว่าจะรักษาหลิวรั่วอวี้จนหายได้


                ยามนี้เมื่อพูดถึงผลการวินิจฉันของแพทย์คนก่อนๆ จึงอดจะถามนางหวงไปด้วยความพะวงไม่ได้ว่า “ท่านอาคิดว่าเป็นเช่นไรเล่า?”


                นางหวงกล่าวอย่างลังเลว่า “วิชาแพทย์ของท่านหมอท่านนี้ไม่เลวเลย เพียงแต่เขารู้สึกเป็นพะว้าพะวังและเป็นกังวลจึงไม่กล้าพูดความจริงออกมาเจ้าค่ะ”


                หลิวรั่วอวี้ตกตะลึง ส่วนนางหลิวที่เป็นผู้ใหญ่มากว่าสักหน่อยเมื่อได้ยินคำสี


หน้ายังเปลี่ยนไปทันที กล่าวว่า “ยังต้องขอให้ท่านอาบอกให้กระจ่าง!”


                “คุณหนูสิบมีร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอมาแต่เล็ก ซึ่งความจริงแล้วเรื่องนี้มิได้เป็นสิ่งใด หญิงสาวหลายคนล้วนเป็นเช่นนี้ ก่อนออกเรือนร่างกายอ่อนแอ พอแต่งงานแล้วก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้นมา” นางหวงพูดช้าๆ ว่า “ดังนั้นสาเหตุแท้จริงที่สีหน้าไม่ใคร่ดีเช่นยามนี้ กลับอยู่ที่อาการเจ็บป่วยเมื่อต้นปีเจ้าค่ะ”


                นางหลิวพลันทรุดตัวเอนไปข้างๆ โดยไม่ทันรู้ตัว “ขอฟังรายละเอียดด้วยเถิด!”


                “ความจริงแล้ว…” นางหวงถอนหายใจ กล่าวว่า “คุณหนูสิบล้มเจ็บที่ใดกันเล่า? ที่แท้แล้วเป็นเพราะถูกคนทำร้ายเจ้าค่ะ!”


                นางมองไปยังใบหน้าซีดขาวของหลิวรั่วอวี้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าสงสารว่า “ยามนี้เป็นกลางเดือนสี่แล้ว หากอีกวันสองวันยังไม่มีฝนตกลงมาอีก ก็จักต้องไปเอาน้ำแข็งออกมารับประทานกันแล้ว แต่คุณหนูสิบยังต้องไปสวมเสื้อครึ่งแขนทับบนเสื้อส้างหรูอีกชั้นหนึ่ง เมื่อครู่นี้ยามทานอาหารมิได้สวมมา คงเพราะวันนี้อากาศแจ่มใส ยามตะวันส่องลงมาบนหัวในเวลาเที่ยงก็จะรู้สึกค่อนข้างร้อน…. เมื่อผ่านเวลาเที่ยงไปเล็กน้อย คุณหนูสิบก็จะรู้สึกหนาว จึงไปสวมเสื้อครึ่งแขนเพิ่มอีก ใช่ไหมเจ้าคะ?”


                ยามนี้ในหน้าของนางหลิวซีดขาวเสียยิ่งกว่าหลิวรั่วอวี้ “เช่นนั้นน้องสิบถูกทำร้ายอย่างไร?”


                “ตามความเห็นของข้าน้อย คุณหนูสิบถูกคนวางยาเย็นที่มีฤทธิ์รุนแรงมาก ส่วนจักเป็นยาเย็นชนิดใดนั้น….” นางหวงยังคงครุ่นคิด แต่สีหน้าของนางหลิวและหลิวรั่วอวี้ต่างเปลี่ยนไปพร้อมกัน และพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “กระเรียนระทม”


__________________________________


[1] ลมปราณดั้งเดิม (元氣) คือ ลมปราณ หรือ ชี่ ที่มีมาแต่กำเนิด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม