สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 ตอนที่ 11.1-12.3
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (1)
โดย
Ink Stone_Romance
การตัดสินใจของฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาต่างไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนตระกูลจางแม้แต่น้อย เพียงแต่…
เพื่อเป็นการไว้หน้าของฮองเฮาและความหน้าเลือดของพวกเขาแต่ละคนแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นจำเป็นต้องตาย!
คนแซ่เจิ้งคิดที่จะจู่โจมเข้าไปแต่กลับถูกคนติดตามของเย่าสุ่ยฉุดรั้งตัวไว้ทำให้นางไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน
ทั้งหมดดูราวกับว่าเป็นเรื่องที่ถูกจัดฉากไว้ ทันใดนั้นข้างนอกก็มีขันทีคนหนึ่งสีหน้าหวาดกลัววิ่งตุปัดตุเป๋เข้ามาแล้วเขาก็ลื่นล้มลงไปกองบนพื้นน้ำเสียงโศกเศร้าพลางพูด “ฝ่าบาท ฮองเฮา ยะ…แย่แล้ว! หวงจ่างซุน…หวงจ่างซุนเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
วันนี้เวลาเช้าตรู่ กระทรวงราชทัณฑ์ส่งคนไปคุ้มกันและนำตัวฉู่ฉีฮุยที่ถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง
ขันทีคนนั้นแสดงสีหน้าตระหนกตกใจและหวาดกลัวสุดขีด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก
ในสถานที่เกิดเหตุทุกคนต่างตกตะลึง
คนแซ่เจิ้งชำเลืองมองเป็นครั้งคราว รอโอกาสตอนที่เย่าสุ่ยเผลอไผล รีบจู่โจมเข้าไปผลักเหล้าพิษที่อยู่ในมือแม่นมเหลียงพลิกคว่ำตกลงพื้น ฉู่หลิงอวิ้นก็ถูกคนแซ่เจิ้งผลักล้มลงไป นางประคองลำคอสำลักออกมาแทบเป็นแทบตาย
“อวิ้นเอ๋อร์…อวิ้นเอ๋อร์…” คนแซ่เจิ้งขวัญหนีดีฝ่อ อีกทั้งยังไม่กล้าตะโกนร้องโหวกเหวก เพียงแต่กอดอุ้มฉู่หลิงอวิ้นไว้แน่น
“ท่านแม่! ท่านแม่!” ฉู่หลิงอวิ้นน้ำตาไหลพราก ร่างกายอ่อนปวกเปียกซบอยู่ในอ้อมกอดของนาง ใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่คว้าไหล่คนแซ่เจิ้งราวกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้าย เล็บมือนางจิกคนแซ่เจิ้งทำให้นางพลอยเจ็บปวดเหงื่อไหลท่วมตัว
เมื่อครู่เหล้าพิษที่อยู่ในมือของแม่นมเหลียงได้หกเข้าไปในปากของนาง เดิมทีพยามยามจะดิ้นรนเอาชีวิตรอดโดยการกระฉอกเหล้าพิษออกมา นางรู้สึกว่าตนเองกลืนเหล้าลงไปนิดเดียว แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้กลืน ทว่าครั้งนี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทำให้นางมักรู้สึกว่าลำคอแสบร้อนราวกับถูกเผาไหม้
“ท่านแม่ ข้า…ข้ากลัว!” ฉู่หลิงอวิ้นฉายแววตาหวาดกลัว น้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็สั่นสะท้าน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกขู่กระโชกจะฆ่าให้ตาย ความรู้สึกนี้ราวกับยืนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความตายที่ไร้สิ้นกำลังจะดิ้นรนต่อสู้…
ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
พอนึกถึงว่าหากนางดื่มเหล้าพิษจนตัวตายก็รู้สึกขนลุกขนชันไปทั่วตัวราวกับจะบ้าคลั่ง
ฮ่องเต้จ้องมองนางด้วยแววตาเดียดฉันท์ คราวนี้กลับช่วยอะไรนางไม่ได้ กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาถามขันทีคนนั้นว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ขณะหวงจ่างซุนกำลังจะถูกนำตัวไป ระหว่างทางถูกปองร้ายพ่ะย่ะค่ะ…” ขันทีคนนั้นกราบทูลหมอบต่ำดูไร้เรี่ยวแรง นิ่งชะงักไปนาน สุดท้ายเขาก็กัดฟันพูดเหงื่อไหลพรากน้ำตานอง “ถูกคนร้ายลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ!”
ร่างกายของฮ่องเต้สั่นเทา
สีหน้าคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง
ฉู่อี้หมินแสดงออกชัดเจนสูดลมหายใจเข้าลึก ยากจะทนไหวก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวฉุดกระชากขันทีคนนั้นขึ้นมาจ้องสายตาของขันทีพลางถาม “เจ้าว่าอะไรนะ? พูดอีกทีซิ? เกิดอะไรขึ้นกับฉู่ฉีฮุย?”
ฉู่ฉีฮุยเป็นลูกชายคนโต เดิมทีถูกลดฐานะให้เป็นสามัญชนธรรมดา เช่นนี้มิเท่ากับเปล่าประโยชน์หรอกหรือ
แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว!
ฉู่อี้หมินไม่สามารถยั้งคิดชั่งใจต่อสถานการณ์เหล่านี้ได้ สายตาเปล่งประกายร้อนรุ่ม
“หวงจ่างซุนตายแล้ว!” ขันทีคนนั้นพูดขึ้นอีก เขาเกรงกลัวขนาดจะร้องไห้ออกมา
สายตาของเขามองผ่านฉู่อี้หมินไปพลางหันไปมองฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ข้างหลัง สีหน้าอมทุกข์ เปิดปากพูดอีกว่า “อยู่บริเวณห่างจากโรงเตี๊ยมไปประมาณยี่สิบลี้ กลุ่มทหารที่รับผิดชอบคุ้มกันหวงจ่างซุนออกจากเมืองก็ถูกฆ่าตายหมดเหมือนกัน ผู้บัญชาการประจำเมืองนั้นได้นำร่างหวงจ่างซุนส่งกลับมาที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ขณะที่ขันทีคนนั้นกำลังเล่าเรื่อง เขาก็หันหน้ามองออกไปยังนอกตำหนักโดยไม่รู้ตัว
ซากศพถูกนำกลับมาแล้วแสดงว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ
แม้นว่าไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับฉู่ฉีฮุยมากนัก แต่นั่นก็เป็นหลานแท้ๆ ของเขาเอง ฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้าหม่นหมอง ไม่อาจทราบได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ฉู่อี้หมินแววตาวูบไหว ก่อนจะถลากายออกไปด้านนอก ไม่นานนักก็ย้อนกลับมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
หลัวฮองเฮามองดูเขา นัยน์ตาไม่อาจบ่งบอกได้ว่ามีความหวังอยู่หรือไม่
ฉู่อี้หมินเพียงแต่ส่ายหน้าให้หลัวฮองเฮาและถอนหายใจพลางพูด “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมขอแสดงความเสียใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้น…ได้จากไปแล้ว!”
ฮ่องเต้ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดทันใดนั้นก็หลับตาลง หลังจากนั้นไม่นานขณะที่กำลังจะลืมตาสีหน้าก็ยังไม่มีความรู้สึกที่ผิดแปลกไปจากเดิม เพียงแต่โบกมือพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ!”
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยถึงประเด็นเรื่องของฉู่หลิงอวิ้น คนแซ่เจิ้งสองแม่ลูกราวกับฝันไปว่าได้รับประทานอภัยโทษ รีบร้อนประคองกันลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ในใจของฉู่อี้หมินกลับรู้สึกคันไม้คันมือไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ฉู่ฉีฮุยถูกลอบสังหาร เรื่องนี้ช่างหน้าพิศวงยิ่งนัก จะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน
คนไร้ค่าที่ถูกถอดถอนยศถาบรรดาศักดิ์เช่นเขา ใครกล้าลงมือฆ่าหมายเอาชีวิตได้ลงคอ?
ไม่ต้องพูดก็เห็นชัดว่า…
มีเพียงคนเดียวที่มีเหตุจูงใจและเหตุผลที่ต้องระวังเขาเช่นนี้ก็คือ…
ฉู่ฉีเฟิงเพียงคนเดียวเท่านั้น!
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับฉู่ฉีเฟิง ผ่านมาหลายปีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง โอกาสที่หาได้ยากและมีค่าเช่นนี้ ปรากฏให้เห็นด้วยตาแล้ว ฮ่องเต้ไม่สามารถนิ่งเฉยจึงพูดเลี่ยงๆ ไม่กี่ประโยคออกไป
หากทำให้ฮ่องเต้ระแวงใจ ฉู่ฉีเฟิงก็คงไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป…
ภายภาคหน้าตำหนักบูรพาก็ไม่เหลือผู้รับตำแหน่งแล้ว ทุกอย่างก็จบสิ้น
“ท่านพ่อ…” ฉู่อี้หมินพินิจคำพูดที่เขาจะพูดออกมา พอกำลังจะอ้าปากพูดก็เหลือบไปเห็นเงาสลัวของคนคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้แสงไฟตรงหน้าประตู เป็นฉู่ฉีเหยียนที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น
เขาไม่ได้รับเชิญจากฮ่องเต้แต่เขาเข้ามาโดยพลการ ส่งกระแสจิตไปยังฉู่อี้หมินแต่ไกลเพื่อไม่ให้เขาบุ่มบ่าม
โอกาสดีมาถึงแล้วเหตุใดจึงคิดจะยอมแพ้ ในใจฉู่อี้หมินรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก แต่เพราะถูกรบกวนจึงไม่ทันระวัง ทำให้ฮ่องเต้มองเลยเขาออกไปข้างนอกตำหนักโดยไม่รู้ตัว
“เสด็จปู่!” ฉู่ฉีเหยียนโค้งตัวคำนับแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ฮ่องเต้เพียงแต่มองเขาแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ พระองค์ให้หลี่รุ่ยเสียงพยุงมือเสด็จกลับไป…
ฉู่หลิงอวิ้นเกิดเรื่องเดือดร้อน ฉู่ฉีเหยียนเข้าวังมาดูลาดเลาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่แปลกใจ
จากนั้นแม่นมเหลียงก็ประคองมือหลัวฮองเฮาแล้วเดินออกจากตำหนักไป
คนแซ่เจิ้งจับตัวฉู่หลิงอวิ้นรออยู่ด้านข้าง เพราะเมื่อครู่คนที่ลงมือกับฉู่หลิงอวิ้นก็คือฮองเฮา ครั้งนี้นางได้เจอกับยายเฒ่าคนนี้ก็รู้สึกเยือกเย็นในใจ เพียงแค่พยายามสงบสติอารมณ์พลางพูดอย่างใจเย็นว่า “เสด็จแม่…”
ผ่านเรื่องราวครั้งนี้ไปหลัวฮองเฮาก็ระแวดระวังฉู่หลิงอวิ้นมากขึ้น เพระนางมองสองแม่ลูกคู่นั้นเย็นชาพลางพูด “ทำตามรับสั่งครั้งก่อน ในส่วนของฮองเต้ พอตกดึกก็ส่งนางกลับไปซะ!”
เมื่อครู่ฮองเฮากำลังโกรธกริ้วก็เกิดความอาฆาตมาดร้าย เพียงแต่ฉู่หลิงอวิ้นลึกๆ เป็นคนที่นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต อีกอย่างทั้งสองคนก็เป็นหลานแท้ๆ หากว่านางยังพยายามจะส่งคนไปลอบสังหาร หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะทำให้เสียชื่อเสียง
“เสด็จแม่…” คนแซ่เจิ้งคิดไม่ถึงว่านางยังไม่สามารถวางใจได้ นางรีบเรียกขาน
“จงไปทำตามที่ข้าสั่ง!” หลัวฮองเฮาตัดบทนางอย่างหุนหัน รับสั่งแค่คำเดียวก็หันหลังเสด็จออกไป
“เสด็จ…” คนแซ่เจิ้งไม่อาจทอดทิ้งลูกสาวแท้ๆ ของนางได้ รีบร้อนจะตามไปขอร้อง แต่กลับถูกฉู่อี้หมินรั้งไว้ แล้วตักเตือนอย่างเยือกเย็นว่า “ยังอับอายขายขี้หน้าไม่พอหรืออย่างไร? ไปซะ!”
ขณะที่พูดก็ฉุดกระชากแล้วผลักนางกระเด็นออกไป แล้วฉู่อี้หมินก็กระฟัดกระเฟียดสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
คนแซ่เจิ้งสีหน้าเปี่ยมด้วยความรีบร้อนจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายรีบรุดไปประคองฉู่หลิงอวิ้น
ฉู่หลิงอวิ้นยังไม่หายหวาดกลัว ยืนตกตะลึงท่วงทีขวัญหายหลุดลอยไป
นางผมเผ้ายุ่งเหยิงตามเนื้อตัวเลอะเหล้าพิษ ใบหน้าท่อนล่างแก้มทั้งสองข้างบวมเป่ง ดูท่าทางคับอกคับใจ
ฉู่ฉีเหยียนเพียงแค่มองนางแวบเดียวแล้วพูดปึ่งชาว่า “กลับไปซะ!”
หลังจากพูดจบก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวหันหลังเดินตรงออกไปยังประตูวัง
————————————–
ตำหนักช่างหมิงเซวียน
ฉู่ฉีเฟิงนั่งพิงโต๊ะทำงานกว้างที่อยู่ข้างหลังเขาเพียงลำพัง แววตาบริสุทธิ์สดใส มองดูราตรีที่อยู่ข้างนอกบานประตูใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้น
ยามนี้เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างจัดการสะสางปัญหาที่อยู่ในมือเรียบร้อยแล้วแยกย้ายกันกลับ ฉู่ฉีเฟิงหาข้ออ้างจะหยุดอ่านหนังสือราชการที่เหลือเพียงไม่กี่เล่มไว้ชั่วคราว
ค่ำคืนอันเงียบสงัดไร้เงาผู้คน บ้านหลังนี้ขาดสมาชิกในครอบครัวไปยิ่งดูเคว้งคว้าง มองจากประตูใหญ่เข้าไปในบ้าน ก็เห็นเงาเขานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานยิ่งดูเลือนรางมากยิ่งขึ้น
เจี่ยงลิ่วเดินเข้าไปข้างในพลางเอ่ย “คังจวิ้นอ๋อง…”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับแล้วค่อยๆ ละสายตาที่มองไกลกลับมาพลางถามว่า “รั้งไว้ได้มั้ย?”
“ขอครับ!” เจี่ยงลิ่วตอบ “คนในสกุลอ๋องหนานเหอออกจากวังแล้ว ท่านหญิงอันเล่อมีคนประคองออกมาน่าจะแค่ตกใจกลัว คงไม่ถึงตายขอรับ!”
“เข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงพูดอย่างเฉยชา นั่งหลังตรง หลังจากนั่งได้สักพักก็สะบัดชายกระโปรงลุกขึ้นพูดว่า “ไปเถอะ กลับเมือง!”
“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วน้อมตัวลงขานรับ เขาปิดประตูแล้วเดินตามฉู่ฉีเฟิงออกไปข้างนอก แต่อารมณ์ความรู้สึกของเขาสองสามวันมานี้ผิดแปลก เขาไม่เพียงสังเกตทุกการกระทำของฉู่ฉีเฟิง ซ้ำยังดูท่าทางระมัดระวังเป็นพิเศษ
ฉู่อี้หมินออกเดินทางไปก่อนล่วงหน้าเพื่อจะได้ไม่พบเจอหญิงนอกคอกฉู่หลิงอวิ้น หลังออกจากวังก็ไม่ได้รอคนแซ่เจิ้งและฉู่หลิงอวิ้น รีบรุดกลับไปยังเมืองหนานเหอคนเดียวก่อน
ตอนที่ฉู่ฉีเหยียนออกมาก็ไม่เห็นกระทั่งเงาของเขา
“ซื่อจื่อ!” หลี่หลินนำตัวทหารคุ้มกันร่างเล็กคนหนึ่งที่มีใบหน้าไม่สะดุดตายืนรออยู่นอกวัง
————————————
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (2)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่ฉีเหยียนมุ่งตรงไปยังสองคนนั้น สายตามองผ่านใบหน้าของทหารคุ้มกันคนนั้นไปด้วยความซับซ้อนซ่อนเร้น
ทหารคนนั้นกำลังอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง ฉู่ฉีเฟิงก็ยกมือขึ้นมายั้งไว้พูดด้วยเสียงทุ้มลึก “กลับเมืองค่อยว่ากัน”
“ขอรับ!” ทั้งสองก็รู้ดีว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะพูดคุยจึงรีบปิดปากทันที แล้วเดินตามเขาไปยังรถม้าประจำตระกูล
ฉู่ฉีเหยียนกำลังเอี้ยวตัวขึ้นม้า ในประตูวังหลวงที่อยู่ด้านหลังเขาก็ปรากฏเงาของคนแซ่เจิ้งที่กำลังตามมาอย่างชุลมุนวุ่นวาย
“เหยียนเอ๋อร์!” คนแซ่เจิ้งตะโกนเรียก ทุกคนเบิ่งมองนาง ครั้งนี้นางลืมสงวนท่าทีเพียงเพราะว่านางเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวมาก จึงไม่อาจสนใจกิริยาท่าทางที่อาจดูไม่เหมาะสมของตนเองได้
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นมารดาที่แท้จริงของตนเอง ต่อให้ฉู่ฉีเหยียนไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่สามารถทำร้ายนางได้ เขาไม่มีทางเลือกนอกเสียจากจะควบคุมสติและสงบปากสงบคำ
“ท่านแม่ ให้ลูกส่งท่านกลับเมืองเถอะ!” ฉู่ฉีเหยียนพูดพลางแอบสูดหายใจลึก แล้วกุมมือคนแซ่เจิ้งไว้
คนแซ่เจิ้งนัยน์ตาแดงก่ำ รอยน้ำตาบนใบหน้าก็ยังคงอยู่ นางผละมือเขาออกไป และมองดูด้วยดวงตาที่อึกอักพลางพูด “เหยียนเอ๋อร์เจ้าลองคิดหาวิธีดูว่าจะทำเช่นไรเพื่อไม่ให้พวกเขานำตัวพี่สาวเจ้าไป! แม่เหลือแค่เพียงพวกเจ้าสองคนเท่านั้น หากเหลือแค่คนใดคนหนึ่งแม่ก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!
เรื่องของฉู่หลิงอวิ้นที่ก่อขึ้นครั้งนี้ช่างหนักหนานัก หากไม่ใช่เพราะว่าตอนสุดท้ายเกิดปัญหาขึ้น ตอนนี้นางคงกลายเป็นศพไร้วิญญาณไปแล้ว แต่ตอนนี้สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ถือว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
ในใจฉู่ฉีเหยียนรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ไม่สามารถปลดปล่อยออกมา
แหงนหน้าไปก็มองเห็นสาวใช้คนหนึ่งกำลังประคองแขนขาที่บอบบางของฉู่หลิงอวิ้นออกจากประตูวังค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
นางย่างก้าวทีละก้าว ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความสับสน สีหน้าอำมหิตที่มีพลังเปล่งประกายกลับทรุดโทรมไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
สีหน้าท่าทางเช่นนี้เป็นครั้งแรกที่ปรากฏบนใบหน้าของนาง
แม้ว่าสองเดือนก่อนตอนที่ถูกจับได้ว่าเล่นชู้คาเตียงต่อหน้าสาธารณชนในสายตานาง…
ก็แค่แค้นใจแค่นั้น!
แต่ครั้งนี้รู้สึกล้มเหลวบอบช้ำเหลือแสน นางสูญเสียความโกรธแค้นเหล่านั้นไป
สำหรับพี่สาวคนโตคนนี้ ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ความรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นหน้านางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ
เขากุมมือคนแซ่เจิ้งไว้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะพูดไม่จา แต่ว่าในทางกลับกันกลับพูดปลอบใจว่า “หากนำตัวพี่ใหญ่ไปชะล้างร่างกายที่อารามสักระยะก็คงดีขึ้น ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธ หากท่านแม่ต้องการยืนยันจะให้นางอยู่ในเมืองต่อ…อาจไม่เป็นผลดี”
ฉู่หลิงอวิ้นวางอำนาจกระทำการโดยพลการหลายครั้งหลายคราจนทำให้ฉู่อี้หมินเสียหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากครั้งนี้ยังขัดคำสั่งเสด็จปู่อีก ด้วยนิสัยของฉู่อี้หมินแล้วนั้นแม้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้ขัดขวาง หากเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาก็อาจจะกำจัดฉู่หลิงอวิ้นที่ทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้านี้ก็เป็นได้
คนแซ่เจิ้งเดิมทีไม่เพียงทนไม่ได้ที่ลูกสาวตนเองเดือดร้อน พอได้ยินเช่นนั้นในใจก็สั่นระรัวแล้วก็เอะอะโวยวายขึ้นมา
สุดท้ายฉู่หลิงอวิ้นก็ถูกสาวรับใช้ประคองเดินมาจนถึงที่
หลังออกมาจากห้องทรงอักษร ท่าทางของนางก็คล้ายกับไร้วิญญาณ เดินออกมาอย่างเมินเฉย ครั้งนี้ไปพบฉู่ฉี
เหยียนค่อยรู้สึกว่าสติกลับคืนมา นางค่อยๆ ลืมตาทีละนิดมองไปยังฉู่ฉีเหยียน
สองพี่น้องสายตาจดจ้องมองประสานกัน
ฉู่หลิงอวิ้นเม้มปาก ตามองต่ำทันใดนั้นก็มีแสงสว่างขึ้นมา เผยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาดั่งสภาพอากาศแปรปรวนมองดูฉู่ฉีเหยียน
น้ำตาคนแซ่เจิ้งพรั่งพรูลงมา กระโดดเข้าไปกอด ร้องไห้แทบขาดใจ “ลูกของแม่ เจ้าช่างอาภัพยิ่งนัก…”
แม้ฉู่หลิงอวิ้นจะถูกโอบกอดแน่น แต่ใบหน้าของนางก็ยังคงไร้ความรู้สึก นางไม่แม้แต่จะกระดุกกระดิก
แววตาของนางซึมเซาเฉื่อยชา หากเมื่อเพ่งให้ดี นางก็ดูเหมือนไม่ได้เศร้าสร้อยเสียทีเดียว แต่ยามที่นางมองสีหน้าของฉู่ฉีเหยียนกลับมีความสดชื่นแฝงอยู่เล็กน้อย
ฉู่ฉีเหยียนกับนางจ้องมองกันสักพัก แล้วเขาก็ก้าวไปข้างหน้าประคองไหล่คนแซ่เจิ้งพานางเดินไปอีกด้านแล้วส่งให้แม่นมกู้พลางเอ่ย “ท่านแม่เหนื่อยมากแล้ว เจ้าประคองนางขึ้นรถเถอะ ข้ามีเรื่องจะฝากฝังพี่ใหญ่สักหน่อย”
คนแซ่เจิ้งร้องไห้จนแข้งขาอ่อนดึงรั้งมือของฉู่หลิงอวิ้นไม่ยอมปล่อย
การลาจากของฉู่หลิงอวิ้นในครั้งนี้ เกรงว่าบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่ยากที่จะได้หวนกลับมา นางเปรียบดั่งดอกไม้ที่เลอโฉมและมีค่าราวหยกมรกตและถูกชุบเลี้ยงจบเติบใหญ่ จะต้องใช้ชีวิตที่เหลือภายใต้แสงเทียนต่อหน้าพุทธองค์ คนแซ่เจิ้งจะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร?
“พระชายาขึ้นรถก่อนเถิดเจ้าค่ะ!” แม่นมกู้ก็ขอบตาบวมแดง ฝืนดึงมือคนแซ่เจิ้งให้ผละออกจากนาง “ตอนนี้ฮ่องเต้ยังทรงกริ้ว รอผ่านไปสักระยะ หากคลายโทสะแล้ว พระชายาค่อยเข้าวังขอร้องฮองเฮาให้ทรงอภัยโทษ ฮองเฮาโปรดปรานนางมากเช่นนั้น ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
คนแซ่เจิ้งก็รู้ว่านางหมดปัญญาที่จะรั้งไว้ได้ น้ำตาไหลนองแล้วถูกแม่นมกู้ประคองขึ้นรถไป
ฉู่ฉีหยียนยกมือขึ้นโบกเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้ที่ติดตามเขาถอยห่างออกไป
ร่างกายของฉู่หลิงอวิ้นยิ่งปรากฏชัดเจนว่านางรูปร่างผอมบาง ยืนเพียงลำพังท่ามกลางค่ำคืนที่ลมพัดเหน็บหนาว ราวจะถูกพัดล้มลงไป
นางมองดูฉู่ฉีเหยียนแล้วค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยนัยน์ตาเปลี่ยนเป็นประกาย แล้วหันหลังไปมองวังหลวงพลางพูดว่า “เจ้าเป็นคนสั่งให้คนไปจัดการใช่หรือไม่?”
ไม่ต้องพูดให้มากความ ฉู่ฉีเหยียนก็พอจะเข้าใจ
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้านิ่งสงบและไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ฉู่หลิงอวิ้นเพียงแต่มองเขาแต่ก็ไม่พูดไม่จา เวลาผ่านไปสักพักก็มีน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสาย นางรีบก้มหน้า หัวเราะปกปิดความรู้สึกพลางใช้แขนเสื้อซับน้ำตา “ข้าคิดมาตลอดว่าเจ้าปฏิบัติต่อข้าไม่เหมือนกับปฏิบัติต่อผู้อื่น ฉีเหยียน เราเป็นพี่น้องที่มีสายเลือดเดียวกัน เรื่องครั้งนี้ทุกอย่างเจ้าเป็นคนวางแผนทั้งหมดใช่หรือไม่? เจ้าก็รู้ดีว่าอย่างไรข้าก็ต้องกระโดดลงไปในหลุมกับดักนี้ แต่เจ้ากลับเลือกที่จะมองดูไม่แยแสข้าเลยรึ? เจ้า…”
ขณะฉู่หลิงอวิ้นพูดเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างยากจะทนไหว
นางละสายตากลับมาแล้วมองใบหน้าแสนว่างเปล่าของน้องชาย สีหน้าว้าเหว่ระคนสับสนแล้วพูดว่า “แม้กระทั่งข้าเจ้ายังกล้าหลอกใช้รึ? ฉีเหยียน…นอกจากตำแหน่งที่เจ้าต้องการนั้นใต้หล้ายังมีอะไรให้เจ้าใช้ใจไปแลกมาได้อีก?”
นางราวกับลูกไก่ในกำมือที่ถูกคนบีบคั้นให้ตาย
หากบังเอิญไม่มีเรื่องฉู่ฉีฮุยเกิดขึ้นพอดิบพอดี ชาตินี้นางอาจจะต้องก้มหน้าชดใช้กรรมที่ถูกคนปัดสวะมาให้ แต่นางต้องใช้ชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน น้องชายแท้ๆ ของนางกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว ภายในช่วงเวลาที่เหมาะสม เขาสั่งให้คนไปลอบสังหารฉู่ฉีฮุย เพื่อจุดชนวนให้ฮ่องเต้ทรงระแวงฉู่ฉีเฟิง
เขาอยู่เบื้องหลังคิดอุบายวางแผนชักใยบงการเรื่องทั้งหมดและไม่สนใจว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร?
ฉู่หลิงอวิ้นตะโกนถามด้วยความรู้สึกโกรธแค้นฝังใจ
ฉู่ฉีเหยียนเพียงแค่มองนางนิ่งๆ สีหน้าของเขาสงบและไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย รอให้นางระบายความทุกข์ใจออกมาจนหมดแล้วจึงค่อยๆ อ้าปากถามกลับไปว่า “ถ้าหากข้าเตือนท่าน ท่านจะยอมฟังงั้นรึ?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำสงบนิ่งเลือนรางพลางถอนหายใจ
ฉู่หลิงอวิ้นถูกเขาพูดดักทางไว้ น้ำตาที่ไหลรินก็หยุดภายในพริบตา
ฉู่ฉีเหยียนยังคงแสดงสีหน้าไม่ยินดียินร้ายเช่นเดิม เปิดเผยความจริงเหมือนทองไม่รู้ร้อน “…ตั้งแต่เล็กจนโตมานี้ ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องที่ท่านเห็นดีเห็นงาม ไม่มีทางแก้ไขได้ ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เหตุใดข้าต้องเปลืองน้ำลายด้วย? ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างท่านกับข้าจำเป็นต้องยกยอปอปั้นแสร้งว่ารักใคร่ปรองดองกันด้วยหรือ?”
หากเขาใช้เหตุผลในการติเตียนฉู่หลิงอวิ้นล่วงหน้าจะต้องทะเลาะวิวาทเป็นแน่ แล้วตอนนี้ฉู่หลิงอวิ้นก็ไม่มีแม้แต่โอกาสเหมาะที่จะถาม เพียงแต่ว่า…
ดูเหมือนว่าจุดจบเรื่องนี้คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย
เทียบกับการแสร้งเล่นละครตบตา ตอนนี้ระหว่างพวกเขาสองพี่น้องเริ่มจริงใจต่อกันมากขึ้น
ฉู่หลิงอวิ้นปากสั่น ในที่สุดก็ไม่มีคำพูดจะโต้ตอบ
ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่รีบร้อนแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ยืนเป็นเพื่อนนาง ต่างนิ่งเงียบไม่ยอมพูดจา
ฉู่หลิงอวิ้นใช้พละกำลังที่มีอยู่ค่อยๆ ระงับอารมณ์จนสงบสติลงได้ สายตาสว่างสดใสและเงยหน้าประชันสายตากับฉู่ฉีเหยียนพลางพูด “เรื่องราวในวันนี้ ใครเป็นคนคิดร้ายกับข้ากันแน่?”
“เรื่องที่ส่งจดหมายไปยังจวนเฉินเป็นฝีมือเหยียนหลิงจวินที่จงใจแพร่งพราย ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น…”
ฉู่ฉีเหยียนพูดแล้วสูดลมหายใจลึก “เป็นลายมือของฉู่ฉีเฟิง!”
แรกเริ่มเหยียนหลิงจวินนำจดหมายส่วนตัวที่รายละเอียดข้างในมีความหมายกำกวมส่งไปเพื่อก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำ และจงใจส่งไปกระตุกหนวดเสือคนตระกูลจาง แล้วฉู่ฉีเฟิงก็ใช้กลยุทธ์ปล้นชิงตอนไฟไหม้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉู่อี้หมินต้องถูกคน ตระกูลจางสร้างความอับอายซ้ำยังทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะนั้นบังเอิญจางติ่งดันไปก่อเรื่องทุจริตเบี้ยที่จะนำไปซ่อมแซมเขื่อนพอดี ฉู่ฉีเฟิงจึงนำหลักฐานที่ใช้มัดตัวจางติ่งส่งมอบให้ฉู่อี้หมินรับต่อ ฉู่อี้หมินจะต้องนำหลักฐานเหล่านี้ไปเล่นงานและแก้แค้นคนตระกูลจางอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้จึงบีบให้คนตระกูลจางไร้หนทาง จางอวิ้นอี๋กลายเป็นสุนัขจนตรอก ส่วนฉู่หลิงอวิ้นก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องครั้งนี้ นอกจากนี้ชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอก็พลอยด่างพร้อยไปด้วย
เป็นการแสร้งตีหน้าตาย ยืมดาบฆ่าคนที่ดีเสียยิ่งกระไร!
ในใจของฉู่ฉีเหยียนแสยะยิ้ม ใบหน้าไม่อาจคาดเดาได้แล้วพูดกับฉู่หลิงอวิ้นว่า “ท่านถือเสียว่าหนีไปตั้งหลักก่อนเถอะ ทางด้านวัดกว่างเหลียนไว้วันหลังข้าจะส่งคนไปช่วยเตรียมการ ตอนนี้ท่านรออยู่ที่เมืองหลวงไปก่อน ถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่ท่านได้รับ หากว่าหลบไปสักพักน่าจะเป็นผลดีกับตัวท่าน!”
ฉู่หลิงอวิ้นอดกลั้นกัดฟันทนฟังเงียบเชียบ
ฉู่ฉีเหยียนเชื่อว่านางสามารถตัดสินใจแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่อนาง ดังนั้นจึงไม่อยากเสียเวลากับนางจึงพูดว่า “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องกลับไปสะสาง รถม้าและทหารคุ้มกันข้าได้จัดเตรียมไว้ให้ท่านแล้ว ท่านออกจากเมืองกลางค่ำกลางคืน ต้องระวังตัวให้มากล่ะ!”
———————————–
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (3)
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อพูดจบเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบม้านำหน้าผู้ติดตามเขาทั้งสองคนไกลพ้นออกไป
ฉู่หลิงอวิ้นยืนอยู่ที่เดิมไม่ไหวติง
นางคอตกเมื่อถูกส่งตัวออกจากเมืองไป ในใจคิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด แต่หากนางไม่ไป…
หากเป็นจริงตามที่ฉู่ฉีเหยียนพูดล่ะก็ นางยังคงอยู่ที่นี่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตนเองขายหน้า!
ทางด้านฉู่หลิงอวิ้นขณะที่กำลังพะวักพะวนอยู่ ก็มีเสียงแช่งด่าของหญิงคนหนึ่งที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน “เจ้ามันเลว! เจ้าทำให้ตระกูลจางของข้าต้องทนทุกข์ทรมาน ข้าจะสู้จนตัวตาย!
ไม่ต้องหันหลังไปมองนางก็รู้ทันทีว่าเป็นฮูหยินจางและจางอวิ๋นเจี่ยนกำลังเดินมา
เวลานี้นางไม่ได้อยู่ที่ห้องทรงพระอักษร ทุกคนต่างมีสัญชาตญาณระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ฮูหยินจางพูด นางดูราวกับสัตว์ร้ายตัวเมียตัวหนึ่งที่คลุ้มคลั่งร้องคำรามแล้วกระโดดพุ่งเข้ามา
ทหารคุ้มกันที่ฉู่ฉีเหยียนให้ติดตามมาด้วยก็รุดหน้าไปฉุดดึงฮูหยินจาง
ตอนนี้ตระกูลจางก็ไม่มียศศักดิ์ ส่วนฮูหยินจางก็กลายเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เหล่าทหารคุ้มกันไม่รอช้าจ้องมองนางไม่คลาดสายตา แล้วกดนางคว่ำลงกับพื้น
“โอ๊ย!” ฮูหยินจางล้มลงไปนอนบนพื้นร้องอุทานออกมา
“ท่านแม่!” จางอวิ๋นเจี่ยนและภรรยารีบวิ่งกรูเข้าไปพยุงฮูหยินจางขึ้นมา
ฮูหยินจางก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีกำลังคนมากกว่านางไม่สามารถเอาชนะได้ แล้วยังแผดเสียงกึกก้องร้องกระวนกระวาย
จางอวิ๋นเจี่ยนนิ่งเงียบ สายตาจับจ้องมองฉู่หลิงอวิ้น แววตาร้ายกาจราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนางอย่างเลือดเย็น
เมื่อครู่ฉู่หลิงอวิ้นขวัญผวา นางถูกเขาจ้องเขม็งจนขนหัวลุกชาไปทั่ว หมุนตัวตะกายขึ้นม้าหนีไปโดยไม่พูดสักคำ
—————————–
ณ จวนอ๋องหนานเหอ
ฉู่ฉีเหยียนนำคนมาเพิ่งลงจากม้า พ่อบ้านก็โค้งคำนับตั้งแต่อยู่ในบ้านแล้ววิ่งออกมา “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องเชิญท่านไปพบที่ห้องหนังสือขอรับ”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนขาไม่หยุดก้าวเดินไปพลางตอบกลับ สาวก้าวเท้ายาวเดินตรงเข้าไป
สีหน้าฉู่อี้หมินไม่สู้ดีนักเต็มไปด้วยโทสะที่สามารถปะทุได้ทุกเมื่อนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เห็นเขาผลักประตูเข้ามาก็พูดน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เจ้านำตัวนังหญิงถ่อยนั่นไปส่งแล้วรึ?”
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย แต่กลับไม่แยแสในหัวข้อสนทนานี้ เขาไม่สนใจว่าฉู่อี้หมินมีทัศนคติอย่างไรต่อฉู่หลิงอวิ้น เพราะว่าภูมิหลังของฉู่หลิงอวิ้นเกิดที่จวนอ๋องหนานเหอความจริงนี้ไม่อาจแก้ไขได้ ไม่จำเป็นจะต้องปวดศีรษะกับเรื่องเช่นนี้
พอฉู่อี้หมินพูดถึงเรื่องของฉู่หลิงอวิ้นก็รู้สึกหายใจติดขัดจึงพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่า “ครั้งนั้นตอนที่อยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเจ้ามีอะไรจะพูดรึ?”
“ใช่!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ “แผนการของท่านอ๋องข้ารู้ดี แต่ว่าตอนนี้ข้าว่าเรื่องของวังบูรพา เราไม่สมควรเข้าไปก้าวก่าย ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ เรื่องที่ท่านกับข้านึกขึ้นได้ มีหรือฝ่าบาทจะเดาไม่ออก? ตอนนี้เราพูดมากไปผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ซ้ำยังก่อให้เกิดข้อกังขา โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ สังเกตจากการกระทำของคนวังบูรพาก็รู้แล้ว!”
ฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวง ตอนนี้อายุมากขึ้นอารมณ์ก็ยิ่งแปรปรวน
ฉู่อี้หมินชั่งใจไตร่ตรอง แม้ว่าในใจร้อนรนแต่ก็คิดว่าคำพูดของฉู่ฉีเหยียนฟังดูมีเหตุผล จึงผงกหน้าพลางเอ่ยว่า“อืม เรื่องนี้ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร!”
นิ่งเงียบไปชั่วขณะแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองไปยังลูกชายของตนเองอีกครั้ง คิดอีกหนและกำลังอ้าปากพูด “เรื่องของฉู่ฉีฮุย…”
“ข้าก็ไม่รู้” ฉู่ฉีเหยียนตอบกลับไป “ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ข้ายืนยันคำพูดเดิมว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นได้เสมอ เพื่อที่จะไม่พลอยติดร่างแหไปด้วย เรื่องนี้เราคอยดูอยู่ห่างๆ ก็พอ ไม่ว่าใครเป็นคนทำ ข้าคิดว่าสำหรับเราแล้วทำกำไรเป็นกอบเป็นกำเชียว เรื่องอื่นท่านไม่ต้องอยากรู้หรอก”
ฉู่อี้หมินขมวดหัวคิ้วแสดงออกว่าเขาไม่เชื่อใจ “ไม่ใช่เจ้าจริงๆ…”
“ไม่ใช่ข้า!” ฉู่ฉีเหยียนตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจ
“งั้นก็ดี!” ฉู่อี้หมินเห็นเขาสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้ทำอย่างขอไปที เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขานวดวนขมับพลางพูด “ชั่วชีวิตของเขาที่ยากได้เจอก็คือเรื่องพรรค์นี้ ขอเพียงไม่เกี่ยวโยงกับเจ้าก็ดีแล้ว”
คำว่า ‘เขา’ ในที่นี้กำลังกล่าวถึงฉู่อี้อัน
เป็นพี่น้องแท้ๆ กันมาหลายสิบปี เขาปฏิบัติต่อฉู่อี้หมินดั่งคนเป็นพี่เป็นน้อง ลักษณะนิสัยของพี่ชายตนเองเขาย่อมรู้ดีไม่แพ้ใคร ฉู่อี้อันวางตัวปฏิบัติต่อบุตรของตนเองอย่างฉู่ฉีฮุย ไม่เหมือนกับฉู่สวินหยางที่รักใคร่โปรดปรานแม้แต่น้อยแต่ท้ายที่สุดเขาทั้งสองต่างก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง
“ลูกเข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ เห็นเขาเผยสีหน้าที่อิดโรย “ท่านพ่อเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย พักผ่อนก่อนเถิด!”
“ก็ได้!” ฉู่อี้หมินพยักหน้า สองพ่อลูกลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องหนังสือ
ฉู่อี้หมินไปยังห้องแต่งตัว ส่วนฉู่ฉีเหยียนก็เดินผ่านห้องหนังสือของลานบ้าน
ขณะนั้นหลี่หลินกำลังพาตัวทหารคุ้มกันคนรูปร่างเล็กรอฉู่ฉีเหยียนอยู่
“ซื่อจื่อ!” พวกเขาเห็นฉู่ฉีเหยียนกลับมารีบโน้มคำนับ
“เกิดอะไรขึ้น? เรื่องที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าไปทำมีปัญหาหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ
เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่กับฉู่อี้หมินเขาไม่ได้พูดความจริง…
ความจริงแล้วเขาเป็นคนส่งคนไปสังเกตการณ์ลอบฆ่าฉู่ฉีฮุย กอบโกยประโยชน์จากคนๆ นี้หลอกใช้ให้ได้มากที่สุด ส่วนคำพูดของฉู่อี้หมินที่มีความกังวลต่อฉู่อี้อัน…
ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
ใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่คำนึงถึงผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจะได้รับ ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะต่อสู้กับวังบูรพาเพื่อช่วงชิงบัลลังก์นั้น ความลังเลเหล่านี้ควรที่จะเลิกล้มไปให้สิ้น ในเมื่อเป็นศัตรูกันแล้ว ตอนที่จะลงมือไม่ควรยั้งมือหรือลังเลเป็นอันขาด นี่เป็นหนทางสู่การเป็นผู้ชนะที่ได้เป็นเจ้า และหากแพ้ต้องกลายเป็นโจร หากวันนี้เขาไม่ลงมือ วันหลังจะต้องพ่ายแพ้ อีกฝ่ายไม่มีทางใจอ่อนละเว้นชีวิตแน่นอน
ทว่าแม้ฉู่อี้หมินจะเป็นกังวล เขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งโดยอาศัยเรื่องนี้เป็นเหตุผลในการปิดบัง
“เกิดเรื่องขึ้นจริงขอรับ” ทหารคุ้มกันรูปร่างเล็กนามว่าต่งเหลียงอี้ ข้าตอบว่า “ข้าน้อยไปช้าหนึ่งก้าว หวงจ่างซุน…พวกเราไม่ได้เป็นคนสังหารเขา!”
ฉู่ฉีเหยียนสายตาเพ่งมอง ในมือที่ถือถ้วยชาแล้วนิ่งไปชั่วขณะ “ไม่ใช่เจ้า? แล้วเป็นใคร?”
“ไม่ทราบขอรับ!” ต่งเหลียงอี้ตอบว่า “ตอนกลางดึกที่ข้าน้อยรีบพาคนติดตามไปหวงจ่างซุนเขาได้ตายไปแล้ว พยานปากที่รอดชีวิตก็ตายหมดแล้ว อีกทั้งยังไม่พบเบาะแสร่องรอยแต่อย่างใด เดิมทีข้าน้อยอยากตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุว่ามีเบาะแสหรือไม่ แต่ต่อมาคนของศาลาว่าการพระนครก็โผล่มา เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกข้าน้อยจึงรีบกลับมารายงานขอรับ!”
ฉู่ฉีเหยียนถือถ้วยน้ำชาในมือ มือของเขาคลึงเคล้นผิวภายนอกของถ้วยน้ำชา ผ่านไปนานก็ยังไม่พูดออกมาสักคำ
จนแล้วจนรอดเขาก็วางถ้วยชาลง หยิบเอาผ้ามาเช็ดมือพลางเอ่ย “พวกเจ้าออกไปเถอะ!”
จนกระทั่งประตูห้องหนังสือปิดสนิท หลี่หลินสีหน้าเป็นกังวลเอ่ยปากถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดว่า…เรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือคังจวิ้นอ๋องจริงๆ หรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนกระตุกมุมปาก แววตาเผยท่าทีสนใจขึ้นมา ถามกลับไป “ก็ใช่น่ะสิ หรือว่า…จะเป็นฉู่ฉีเฟิงจริงๆ งั้นรึ?”
นิสัยใจคอของฉู่อี้อัน เขารู้ดี ฉู่ฉีเฟิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
ถือเสียว่าฉู่ฉีฮุยไม่อาจกระทำการใหญ่สำเร็จ แต่ว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เป็นถึงพี่น้องที่ร่วมพ่อต่างมารดา หากฉู่ฉีเฟิงเป็นคนทำจริงๆ…
เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเสี่ยงไปสำหรับเขาหรอกหรือ?
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเหตุผลที่จะกำจัดฉู่ฉีฮุย แต่พอเป็นเช่นนี้กลับกระตุ้นให้ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างเขากับฉู่อี้อันดูมีพิรุธแม้ว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย?
แต่ถ้าไม่ใช่ฉู่ฉีเฟิง…
นอกจากตนเองแล้ว จะมีใครต้องการจะเดินหมากผลุบๆ โผล่ๆ ใส่ร้ายป้ายสีฉู่ฉีเฟิงเช่นนี้อีก?
ค่ำคืนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย หลี่หลินท่าทางสูญเสียความรู้สึกเฉยเมยที่มีเมื่อก่อนเคยเป็นไป เขาใจร้อนดั่งไฟเดินไปเดินมาอยู่ในห้องแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ สุดท้ายแล้วคนที่ซื้อตัวทหารคุ้มกันฉกฉวยข่าวที่หวงจ่างซุนถูกลอบทำร้ายไปรายงานก็คือคังจวิ้นอ๋อง ก่อนหน้าเขาเสียน้ำแรงเพื่อจะเอาชีวิตท่านหญิงฉู่สวินหยางให้ตายคาที่ สุดท้ายไม่รู้ว่าทำไมจึงเปลี่ยนความคิด? เขาอาจจะมีแผนสำรองหรืออุบายที่เตรียมกันเอาไว้หรืออย่างไร?”
พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของฉู่ฉีเหยียนก็เย็นชากล่าวว่า “มีอะไรที่ยากจะเข้าใจหรือ? เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้พี่ใหญ่มีชีวิตอยู่อีกเพียงแค่หนึ่งวัน แต่สำหรับอ๋องหนานเหอ นางถือเป็นภาระใหญ่หลวง นางถูกฮ่องเต้เกลียดชัง ซ้ำยังสูญเสียความโปรดปรานจากหลัวฮองเฮา การที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นเสี้ยนหนาม ต่อแต่นี้เป็นต้นไปไม่ว่าใครหน้าไหนเพียงแค่นึกถึงอ๋องหนานเหอต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงนาง จะว่าไปอุบายนี้ของฉู่ฉีเฟิงช่างร้ายกาจยิ่งนัก เขาต้องการจะดึงเอาอ๋องหนานเหอลงมาตกหลุมพรางจนไม่อาจรอดไปได้!”
หากดูวิธีการวางแผนของฉู่ฉีเฟิง ความตั้งใจเริ่มแรกของเขาคล้ายกับว่าจะทุ่มสุดกำลังเพื่อที่จะเอาชีวิตฉู่หลิงอวิ้น แต่สุดท้ายโอกาสที่สำคัญก็มาพลิกฉับพลัน จึงต้องเปลี่ยนแปลงกลอุบายอีกครั้ง
เพราะเหตุใด? เป็นเพราะเขาวางแผนไว้นานแล้ว?
หรือเป็นเพราะคิดขึ้นมาได้กะทันหัน?
ในสมองของฉู่ฉีเหยียนเปล่งรัศมีออกมา ส่งผลให้การหายใจระงับฉับพลัน…
ฉู่ฉีฮุยถูกฆ่า ฉู่ฉีเฟิงจึงเร่งรีบนำข่าวนี้ไปเปลี่ยนแปลงแผนที่เขาเคยวางไว้ ทำให้ฉู่หลิงอวิ้นรอดชีวิตมา ตอนนี้มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกการตายของฉู่ฉีฮุยทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้หยิบเอาข่าวร้ายที่บังเอิญเกิดขึ้นพอดิบพอดีนี้ เป็นเครื่องมือในการวางแผนครั้งใหม่ ส่วนอีกหนึ่งความเป็นไปได้…
————————————-
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ข่าวอุบัติเหตุการตายของฉู่ฉีฮุยไปกระตุ้นโทสะของฉู่ฉีเฟิง ดังนั้นจึงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ โดยการใช้ฉู่หลิงอวิ้นมาดึงชื่อเสียงของจวนอ๋องหนานเหอให้ตกลงมา
กล่าวอีกนัยหนึ่งในครั้งนี้เขาต้องการคิดบัญชีกับสกุลจวนอ๋องหนานเหอแทนงั้นหรือ?
การกระทำของฉู่ฉีเฟิงช่างทำให้สับสนงุนงงยิ่งนัก!
ฉู่ฉีเหยียนกำลังครุ่นคิดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ
หลี่หลินไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของเขา เพียงแต่กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด แล้วเอ่ยปากถามว่า “ซื่อจื่อ ท่านจะส่งท่านหญิงฉู่หลิงอวิ้นไปวัดก่วงเหลียนหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนเรียกสติกลับมา แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
หลี่หลินก็รีบก้มหัวลงพลางละสายตามองต่ำลง
“ให้นางไปเถอะ!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก
หลี่หลินเห็นว่าฉู่ฉีเหยียนไตร่ตรองถี่ถ้วนจึงไม่ได้พูดอะไร เขาโน้มตัวโค้งคำนับพลางถอยหลังแล้วเดินออกไป
ฉู่ฉีเหยียนมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเห็นเงาตะคุ่มๆ ก็ฝืนยิ้มเยาะออกมา
สำหรับจวนอ๋องเหอหนานการมีชีวิตอยู่ของฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้มีความหมายใดใดอีกต่อไปแล้ว ขณะที่มีชีวิตอยู่ไม่สู้ยอมตายอย่างไร้มลทิน หากเขาต้องการจะปกป้องนางจริง เช่นนั้นก่อนหน้าไม่จำเป็นต้องรอให้ฉู่ฉีเฟิงเปลี่ยนความคิดแล้วเขาค่อยออกหน้า แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น และบังคับตัวเองมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนั้นเขาก็พายเรือตามน้ำรอให้ปัญหาของฉู่หลิงอวิ้นพลอยสิ้นสุดลงพร้อมๆ กัน
เขามีความรู้สึกฉันท์พี่น้องต่อฉู่หลิงอวิ้น แต่ความรู้สึกนี้ไม่สามารถเทียบเท่ากับการวางแผนเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ฉะนั้นยามที่ฉู่หลิงอวิ้นกำลังตกที่นั่งลำบากเขาจึงเลือกที่จะยืนมองดูอย่างนิ่งเฉย
เมื่อครู่หลี่หลินแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่า หากฉู่หลิงอวิ้นยังคงชีวิตอยู่ต่อไปเขาจะต้องรับภาระอันหนักอึ้งนี้ เขาควรที่จะตัดสินใจเด็ดขาด แต่ว่า…
เขาตัดสินใจเลือกที่จะยืนมองดูฉู่หลิงอวิ้นกระเสือกกระสนอย่างเลือดเย็น แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะลงมือด้วยตนเอง
ฉะนั้นในเมื่อดวงยังไม่ถึงฆาต เช่นนั้นก็แค่ปล่อยนางไป!
ฉู่ฉีเหยียนบอกกับตัวเองเช่นนี้
————————————-
ณ วังบูรพา
ศพของฉู่ฉีฮุยก็ได้ถูกคนของศาลาว่าการพระนครนำกลับมายังเมืองหลวง
ในค่ำคืนของวันที่เกิดเหตุ เดิมทีฉู่สวินหยางเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะนอนแล้ว แต่พอได้ยินข่าวนี้ก็ใจหายตั้งนานกว่าสติจะกลับมา
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ฉู่สวินหยางสูดลมหายใจเข้า ขมวดคิ้วหันไปมองชิงหลัวที่กำลังเดินเข้ามานำข่าวมารายงาน “เจ้าว่าใครตายกัน?”
“หวงจ่างซุนตายแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ สีหน้าของนางแสดงออกแฝงความหวั่นใจ “คนของจวนหย่งโจวส่งศพกลับมา ตอนนี้ไปถึงจวนแล้ว ได้ยินว่าจวนหย่งโจวอยู่ใกล้กับโรงเตี๊ยมที่เขาถูกลอบสังหาร องครักษ์จึงนำร่างเขาลงมาทางตอนใต้เพื่อส่งร่างไร้วิญญาณ!”
ฉู่สวินหยางมีปฏิกิริยาตอบสนองครู่หนึ่ง ตอนนั้นสติของนางก็กลับมาครบถ้วน รีบตอบกลับไปว่า “เร็วเข้า เปลี่ยนเสื้อให้ข้าเร็ว!”
ชิงเถิงวิ่งไปหยิบชุดมา เด็กสาวสองคนรีบใส่ชุดให้นางมือไม้เป็นระวิง
ฉู่สวินหยางใจเต้นตึกๆ ไม่เป็นจังหวะ…
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับฉู่ฉีฮุยในครั้งนี้ ต่อให้ไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ ทุกอย่างพุ่งประเด็นไปที่วังบูรพาของพวกเขาอย่างแน่นอน นั่นก็คือฉู่ฉีเฟิง!
เมื่อก่อนเหตุใดฉู่สวินหยางถึงคิดไม่ถึงประเด็นนี้ นึกว่าตอนนี้ฉู่ฉีฮุยกลายเป็นคนไร้ค่าจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องของเขา!
“ท่านพ่อล่ะ? ท่านรู้เรื่องนี้หรือยัง?” นางรีบร้อนสวมเสื้อพลางถามว่า “แล้วท่านพี่กลับมาแล้วหรือยัง?”
“พ่อบ้านเจิงไปเชิญองค์รัชทายาทแล้วเจ้าค่ะ” ชิงหลัวตอบ “คังจวิ้นอ๋องถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตอบกลับมา แต่ว่าเรื่องใหญ่อย่างนี้ ผู้ว่าการพระนครจะต้องมาที่วังหลวงชี้แจงเรื่องการตายก่อนแน่นอน เมื่อได้รับการยินยอมจากฮ่องเต้แล้วถึงจะนำร่างของฉู่ฉีฮุยส่งกลับไป คาดว่าตอนนี้คังจวิ้นอ๋องคงน่าจะรู้ข่าวแล้วเจ้าค่ะ”
ในใจของฉู่สวินหยางสับสนวุ่นวาย เมื่อสวมเสื้อผ้าแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็รีบรุดไปยังลานหน้าบ้าน พอดีตอนนั้นนางกับฉู่อี้อันคลาดกันแค่นิดเดียว
มองออกไปไกลยังหน้าลานบ้านก็หยุดชะงักลงเมื่อเห็นร่างศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าห่อศพสีเหลือง ขณะที่ฉู่สวินหยางกำลังเผชิญหน้า ในใจก็เกิดความรู้สึกเป็นกังวลยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด แล้วตะโกนเรียกเขา “ท่านพ่อ!”
ฉู่อี้อันไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่มองแวบเดียวแล้วก็เดินต่อไป
พ่อบ้านเจิงเหงื่อโชกท่วมตัว จิตใจรุ่มร้อนกระสับกระส่ายเดินตามเขาไป
ฉู่อี้อันก้าวเดินมั่นคง ดูเหมือนกับอารมณ์ความรู้สึกสงบนิ่ง ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกตกใจกับข่าวร้ายได้ยิน
ฉู่สวินหยางยืนมองแผ่นหลังกว้างของเขาจากด้านหลัง แต่ไม่รู้ว่าในใจเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทำให้นางสัมผัสได้ว่ามุมข้างหลังของเขานั้นให้ความรู้สึกหดหู่ใจก็ไม่ปาน
ฉู่อี้อันเดินไปยังผ้าห่อศพสีเหลืองแล้วยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
นี่เป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา ต่อให้เขาจะไม่ได้เรื่อง แต่เขาก็เป็นลูกชายคนหนึ่งของตน เป็นสายเลือดแท้ๆ ของตน
แต่ตอนนี้ ผ้าห่อศพสีเหลืองม้วนนี้วางอยู่บนร่างเย็นเยียบนอนแน่นิ่งไร้วิญญาณ…เป็นเขาจริงๆ ใช่หรือไม่?
“ขอแสดงความเสียใจกับองค์รัชทายาทอย่างสุดซึ้งด้วยขอรับ!” องครักษ์ที่นำร่างฉู่ฉีฮุยกลับมาส่งคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงอยู่ตรงหน้าฉู่อี้อัน ไม่กล้าหายใจแรง มีเพียงผู้บัญชาการองค์รักษ์ที่แสดงสีหน้าเปี่ยมด้วยความโศกเศร้าเป็นคนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ
ฉู่อี้อันเงียบเชียบมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งองครักษ์หยุดพูดไปพักหนึ่ง เขาก็ค่อยๆ คุกเข่าลงไปช้าๆ เอื้อมมือไปจับผ้าหุ้มศพสีเหลืองตรงมุมข้างหนึ่งเปิดออก
ข้างล่างเป็นร่างของฉู่ฉีฮุยนอนนิ่งไม่ไหวติง บนใบหน้าโลหิตจับตัวกันเป็นลิ่มเลือด คงเป็นทางการที่เกรงว่าเรื่องนี้จะลากยาวจึงรีบนำศพส่งกลับ สภาพร่างกายของเขาไม่มีใครใส่ใจดูแล เวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างถลนดูน่าสยดสยองนัก นัยน์ตาเป็นแสงเงาแตกฉานซ่านเซ็น มองออกชัดเจนว่าวินาทีก่อนที่เขาจะตายคงรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง
ฉู่สวินหยางไร้ความรู้สึกต่อฉู่ฉีฮุย แต่อย่างไรก็อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ใช้ชีวิตเติบโตมาพร้อมกันสิบกว่าปี ตอนนี้เห็นเขากลายเป็นร่างศพแข็งทื่อเยือกเย็นปานน้ำแข็งถูกยกเข้ามา ในใจก็รู้สึกอัดอั้น ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
ฉู่อี้อันคุกเข่าอยู่ข้างๆ ร่างของฉู่ฉีฮุย เขานิ่งเงียบไม่พูดไม่จานานสองนาน
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ฉู่อี้อัน พวกเขาต่างเป็นกังวลใจจนเหงื่อไหลท่วมตัวโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาคนนั้น…
หากว่าองค์รัชทายาทจะโกรธเคืองเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดอาจจะถูกลากออกไปตัดหัว ต่อให้หวงจ่างซุนถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้ว สายเลือดของฉู่ฉีฮุยเป็นผู้สืบทอดตระกูลไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี เขายังคงเป็นลูกชายแท้ๆ ขององค์รัชทายาท
ฮูหยินใหญ่และคนอื่นๆ ได้ยินข่าวก็รีบรุดออกมาจากท้ายเรือนตรงดิ่งมาที่นี่ บริเวณลานบ้านเต็มไปด้วยผู้คนแต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดออกมา ภายใต้สถานการณ์ที่เงียบสงัด ฉู่ฉีเฟิงเดินแหวกว่ายกลุ่มคนที่กำลังยืนมุงอยู่ออกมา โน้มตัวลงไปประคองไหล่ฉู่อี้อัน
“ท่านพ่อ!” เขากลับมาทัน เขาพยายามที่จะควบคุมเสียงลมหายใจตนเอง
ไหล่กว้างของฉู่ฉี้อันสั่นระริก แม้กระทั่งฉู่สวินหยางที่ยืนอยู่ข้างหลังเขายังสัมผัสได้
ต่อมาในที่สุดเขาก็ยื่นมือออกไปปิดตาของฉู่ฉีฮุยที่เบิกกว้างค้างอยู่
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา ฉู่ฉี้อันก็ไม่ได้รั้งรอ เขาหันไปแล้วเดินไปยังห้องหนังสือท้ายเรือนพลางเอ่ยสั่งอย่างไม่โอนอ่อนว่า “เจิงจีเตรียมการจัดพิธีฝังศพเถอะ! ฉีเฟิงเจ้าไปเตรียมกระดาษเขียนแจ้งความประสงค์จัดพิธีฝังศพ พรุ่งนี้เช้าตรู่ส่งจดหมายเข้าไปในวัง เพื่อขอพระราชทานพิธีฝังศพของพี่ใหญ่เจ้า ส่วนเรื่องพิธีแสดงความไว้อาลัย ฮูหยินใหญ่เจ้ารีบไปจัดการ”
ระหว่างที่พูดเขาไม่ได้หันมามองหน้าและไม่ได้สบสายตาแม้แต่น้อย
พ่อบ้านเจิงสั่งให้บ่าวรับใช้นำร่างของฉู่ฉีฮุยไปจัดการตามพิธี แล้วส่งคนไปส่งพวกองครักษ์กลับไป ฮูหยินใหญ่…ต่างแยกย้ายกันกลับไปเตรียมการ
ก่อนที่จะจากไปฮูหยินใหญ่มองดูฉู่สวินหยางแวบเดียวด้วยสายตาที่สับสน แล้วก็ถอนหายใจจูงมือฉู่เยว่หนิงเดินไปหลังเรือน
ฉู่สวินหยางยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนไหว
ฉู่ฉีเฟิงเดินตรงมาทางที่นางยืนอยู่จวนเจียนถึงไหล่ของนางเขาก็หยุดก้าวเดิน ยกมือตบที่ไหล่ของนางพลางพูด “ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ!”
“ท่านพี่!” ฉู่สวินหยางเม้มปากหันหน้าไปมองเขา
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร” ฉู่ฉีเฟิงยิ้ม รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้งที่เขายิ้มให้ นางมองดูทั้งในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ฉู่สวินหยางรู้ว่าตนเองไม่ควรสงสัยในตัวของเขา อีกอย่างนางไม่แม้แต่จะคิดสงสัยเขา แต่เรื่องนี้…
นอกจากนางแล้ว เกรงว่ากระทั่งท่านพ่อก็คงอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นคนลงมือ!
นางจ้องมองเขา ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด นางหันกลับไปซบที่ไหล่ของเขาแล้วกอดเขาไว้แน่นสุดกำลังพลางพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านพี่ ข้าเชื่อใจท่าน!”
ระหว่างที่พูดน้ำตาก็ไหลออกจากตาทั้งสองข้าง พาให้หัวไหล่ของเขาเปียกชุ่ม
————————————–
บทที่ 12 ความทรงจำในอดีต (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ทันใดนั้นร่างกายของฉู่ฉีเฟิงก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ใจจริงเขาอยากยื่นมือไปกอดนาง แต่มือของเขากลับหยุดอยู่กลางอากาศ นิ้วมือกระดิกเล็กน้อย เขาลังเลสักพักแล้วประคองไหล่ทั้งสองข้างของฉู่สวินหยางพลางผละนางออกไป
“ร้องไห้ทำไมกัน?” ฉู่ฉีเฟิงยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้านาง
“ข้า…” ฉู่สวินหยางแย้มปากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
เดิมทีการตายของฉู่ฉีฮุยมีความเป็นไปได้ห้าส่วน เป็นเพราะตอนนี้เกิดเรื่องกะทันหันจนทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
ความจริงแล้วเรื่องที่เกิดไม่ถือว่าเลวร้าย อย่างน้อยก็แค่ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าคนร้ายคือฉู่ฉีเฟิง แต่ไม่อาจปิดหูปิดตาฮ่องเต้ได้ แม้กระทั่งฉู่อี้อันก็ยังหลงเหลือบาดแผลลึกในใจ
“ท่านพี่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เชื่อใจท่าน” สุดท้ายนางเพียงแต่เม้มปากแล้วพูดทวนอีกรอบอย่างหนักแน่น
ฉู่ฉีเฟิงยิ้มตาหยีพลางเอื้อมมือไปลูบเสยเส้นผมยุ่งเหยิงของนาง แล้วยังมีกระจิตกระใจพูดล้อเล่นว่า “เชื่อใจข้าเรื่องอะไร? เชื่อว่าเรื่องนี้ข้าไม่ได้เป็นคนทำงั้นหรือ?”
ฉู่สวินหยางขมวดหัวคิ้ว
นางมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉู่ฉีเฟิง หากฉู่ฉีเหยียนเป็นคนวางอุบายนี้จริงเขาต้องใช้วิธียุแยงตะแคงรั่วคนในของตระกูลฉู่ฉีฮุยให้หวาดระแวงกันเอง แผนนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงนัก
หากถูกคนใส่ร้ายป้ายสี เดิมทีนางนึกว่าฉู่ฉีเฟิงคงไม่อยากจะคุยเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
ตอนนี้ฉู่ฉีเฟิงเปิดปากพูด แต่นางกลับไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไรดี
ฉู่ฉีเฟิงจัดทรงผมให้นางเป็นระเบียบเรียบร้อย เขายังคงสีหน้านิ่งสงบมองดูนางพลางพูด “สวินหยาง ข้าไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร แม้กระทั่งฮ่องเต้จะทรงมองว่าข้าคนอย่างไรก็ตามแต่ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้าหรอก เพียงแต่…”
ขณะที่เขาพูดทันใดนั้นก็หยุดชะงัก พอเขากำลังจะอ้าปากรอยยิ้มของเขาก็ค่อยเลือนหายไป จากนั้นสายตาของเขาก็จดจ่ออยู่ที่นางแล้วพูดต่อว่า “หากเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำจริงๆ ล่ะ?”
ฉู่สวินหยางไม่แม้แต่จะไตร่ตรองให้ดีก่อน นางก็พูดโพล่งออกไป “ถึงอย่างนั้นท่านก็ทำถูกแล้วล่ะ!”
แน่นอนว่าเป็นเพียงคำพูดล้อเล่นก็เท่านั้น ทำให้ฉู่ฉีเฟิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ท่านพี่…” ฉู่สวินหยางกุมมือเขาแน่น เมื่อครู่เขาเร่งรุดมาที่นี่ เพราะว่ารีบร้อนมากทำให้มือของเขาร้อนผ่าว
“ไม่ว่าท่านทำอะไรลงไปหรือท่านจะทำอะไรก็ตาม เขาจะเชื่อใจท่านตลอดไป ข้าก็จะอยู่ข้างท่านเสมอ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
เสียงของฉู่สวินหยางหนักแน่น ทุกๆ คำที่นางพูดออกมาช่างเด็ดเดี่ยวทรงพลัง
ฉู่ฉีเฟิงมองดูแสงที่อยู่ในดวงตาของนางสะท้อนออกมา หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จนสุดท้ายเขายิ้มเจื่อนๆ แววตาของเขาก็มองไปไกลยังที่ที่ฉู่อี้อันเพิ่งเดินออกไปพลางพูดว่า “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อก่อน จะว่าไปคนที่เจ็บปวดใจกับเรื่องนี้มากที่สุดก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น!”
สายตาของฉู่สวินหยางหม่นหมองแลตาตามสายตาของเขาไปครู่หนึ่ง นางฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราสองคนอยู่ที่นี่คงจะไม่เหมาะเท่าไรนัก!”
ฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงถูกมองว่ารวมหัวสมรู้ร่วมคิดกัน ตอนนี้ทุกคนต่างใช้สายตาที่หวาดระแวงพิเคราะห์ฉู่ฉีเฟิง หากว่าพวกเขาสองคนมีคนใดคนหนึ่งที่เข้าไปใกล้ฉู่อี้อันล่ะก็จะถูกมองว่าเป็นวัวสันหลังหวะ
“เจ้ารีบไปเถอะ!” ฉู่ฉีเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจแล้วพูดต่อว่า “ไม่ว่าฉู่ฉีฮุยจะเป็นคนไร้น้ำยาก็ดี หรือเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตก็ดี สำหรับท่านพ่อแล้วไม่มีใครสามารถแทนที่เขาได้ แม้ว่าตอนี้ท่านพ่อไม่พูดอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อเถอะ ถือเสียว่าทำแทนข้าก็แล้วกัน”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกหน้า ก่อนที่นางจะหันกลับไปนางรู้สึกว่าตนเองไม่อาจปล่อยวางได้จึงแหงนหน้ามองเขา “ท่านพี่ ท่านพ่อจิตใจใสดุจกระจกเงา ภายในใจท่านพ่อรู้ดีกว่าใครว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ท่านพี่ก็อย่าได้คิดมากไปเลย คนตายไปแล้วย่อมไปสู่สุคติที่ดี แต่ว่าอย่างน้อยท่านพ่อยังมีท่านอยู่นะ!”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มพลางขานรับ แววตาส่องแสงแวววาวราวกับอารมณ์ที่ลอยละล่องไปไกลที่ไม่อาจอธิบายได้ พอฉู่สวินหยางกำลังเพ่งมองดูให้แน่ชัดกลับไม่อาจจับต้องความรู้สึกนั้นได้
เมื่อมองนางเดินกลับไป ฉู่ฉีเฟิงก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัว
เหลือเพียงไม่กี่ชั่วยามก็ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป
เจี่ยงลิ่วกระวนกระวายใจเดินไปข้างหน้าสองก้าวพลางเอ่ยปากถาม
“คังจวิ้นอ๋อง ท่านจะไม่ไปดูไท่จื่อหน่อยหรือขอรับ?”
“ไปดูอะไร?” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มเย็นชา สำหรับเรื่องการตายของฉู่ฉีฮุยเขาไม่มีแม้แต่ความรู้สึกโศกเศร้า เขาหันไปมองเจี่ยงลิ่วแวบหนึ่ง พูด “จะให้ไปหาท่านพ่อให้เขาช่วยแก้ต่าง อธิบายให้ทุกคนรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับข้างั้นรึ?”
คนนั้นก็ลูก คนนี้ก็ลูก จะตัดเนื้อก้อนไหนทิ้งไปฉู่อี้อันคงเจ็บปวดใจ
เจี่ยงลิ่วพูดไม่ออกทำตัวไม่ถูก สายตามองต่ำพูดว่า “ข้าน้อยเพียงแต่รู้สึกว่า…”
เขาพูดถึงกลางคันก็ไม่กล้าพูดจนจบ
เมื่อฉู่ฉีฮุยตายไปเขาจะต้องตกเป็นขี้ปากของคนนอกเป็นแน่ อย่างน้อยคังจวิ้นอ๋องก็ควรที่จะออกมาพูดถึงทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องการตายของพี่ชายคนโตสักหน่อยหรือไม่?
ฉู่ฉีเฟิงมองเขาทะลุปรุโปร่งภายในพริบตาเดียว แล้วเดินผ่านข้างลำตัวเจี่ยงลิ่วไปยังเรือนจิ่นโม่พลางพูดน้ำเสียงไร้ความรู้สึกว่า “หากทุกคนประจักษ์แก่ตาว่าใต้หล้านี้มีเพียงข้าคนเดียวที่ปรารถนาจะให้เขาตาย แม้ว่าข้าสมความมุ่งมาดปรารถนาแล้ว เหตุใดต้องจงใจปิดบังด้วยเล่า?” เจี่ยงลิ่วเมื่อได้ยินเช่นนั้นใจก็สั่นระรัว ซ้ำยังเหงื่อออกไม่หยุด เดิมทีเขาจะสังเกตการณ์รอบๆ แม้เขาจะแน่ใจว่าบริเวณนั้นไม่มีคนแอบฟังก็ตาม แต่เขาก็ยังนึกถึงความปลอดภัยรอบบริเวณนั้น
หลายปีมานี้แม้ว่าฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีฮุยไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่แย่ หากไม่เกิดเรื่องที่ฉู่ฉีฮุยคิดจะลงมือลอบสังหารฉู่สวินหยาง ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะเรื่องที่พวกเขาสองคนบาดหมางกันจึงทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ขึ้น
แต่สำหรับการตายของฉู่ฉีฮุยในครั้งนี้…
ท่าทีของฉู่ฉีเฟิง ทำให้กระทั่งเจี่ยงลิ่วที่เติบโตมาพร้อมกันและคอยติดตามเขามาโดยตลอดยังรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่อยากพูดอะไรมาก เขานิ่งเฉยแล้วเดินกลับไปยังลานบ้านเพียงคนเดียว
ณ เรือนซืออี้
ห้องหนังสือของฉู่อี้อัน
ฉู่สวินหยางผลักประตูห้องหนังสือ นางถืออภิสิทธิ์เข้ามาโดยที่ไม่ได้บอกกล่าว
ตอนนั้นฉู่อี้อันปิดประตูห้องขังตนเองอยู่ด้วยความรู้สึกเศร้าโศกราวกับไม่ได้นึกหวังว่าจะมีผู้ใดเข้ามาในห้อง เขานั่งอยู่หลังโต๊ะแล้วหรี่ไฟจัดการเอกสารราชการต่อ
ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปมองดูเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอีกทั้งไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว นางอึดอัดใจสุดจะทนพลางเรียกเขา “ท่านพ่อ!”
“อืม!” ฉู่อี้อันตอบอย่างนิ่งๆ แต่ไม่เงยหน้าขึ้นมา ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วก็วางพู่กันลงไป จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมาพูดว่า “พี่รองของเจ้าส่งเจ้ามาหรือ?”
ฉู่สวินหยางนิ่งงันเบิกตากว้างจ้องมองเขา ตกตะลึงชั่วขณะแล้วจึงพยักหน้าตอบว่า “ใช่ค่ะ! ท่านพี่เป็นห่วงท่านจึงให้ข้ามาดูสักหน่อย ท่านพ่อเรื่องของพี่ใหญ่แม้ว่าจะเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ว่า…”
“ซินเป่า!” ฉู่ฉีอันยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น พอพูดถึงเรื่องนี้ดูเหมือนเขาจะยิ่งฟุ้งซ่าน เขายังไม่ทันพูดจบนางก็ตัดบท “หลายปีมานี้ท่านพ่อยังมีอะไรที่ไม่กระจ่างอีกหรือ? โชคชะตาฟ้าลิขิต ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
“แต่ว่า…” การตายของฉู่ฉีฮุย ไม่ใช่ว่าฉู่อี้อันจะไร้ความรู้สึก แต่ท่าทีของเขาให้ความรู้สึกคลุมเครือยิ่งนัก
ฉู่อี้อันเหลือบมองสายตาที่วิตกของนาง ริมฝีปากขยับเม้มปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีเขาตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คืนนี้ในใจรู้สึกเหนื่อยล้าอิดโรย ขณะกำลังตะขิดตะข่วงใจก็หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งพลางเอ่ย “ข้ายังมีเอกสารราชการอีกหลายฉบับที่ต้องสะสาง ภายในช่วงเวลานี้เจ้าไปบอกฉู่ฉีเฟิงให้เขาหาวิธีจัดการปิดปากเสียงนกเสียงกาให้เรียบร้อย เรื่องภายในของเราห้ามเกิดเรื่องวุ่นวายโดยเด็ดขาด!”
หากฟังจากคำพูด ฉู่อี้อันแฝงเจตนาไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูดออกมา
ฉู่สวินหยางได้ฟังคำพูดเหล่านี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก มองดูท่าทีของฉู่อี้อันก็ดูออกว่าเขาต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียวจากนั้นนางได้บอกให้เขาระวังสุขภาพ แล้วก็ขอตัวลาเดินออกมาจากห้องนั้น
หลังจากที่ฉู่สวินหยางออกไป ฉู่อี้อันก็วางพู่กันแล้วหลับตาเอนพิงเก้าอีกสักพัก เม้มปากยิ้มขื่นออกมา
โชคชะตาฟ้าลิขิต? โชคชะตาฟ้าลิขิต!
ที่แท้เขาไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา แต่เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหกราวกับกงเกวียนกำเกวียนเมื่อคราวเขายังหนุ่มเยาว์ช่างโง่เขลา ฮึกเหิมกล้าได้กล้าเสีย ผ่านมาถึงตอนนี้กรรมที่เขาได้รับก็คือ ‘ชะตาชีวิต’ เมื่อเขาต้องการพลิกฝืนชะตาฟ้าลิขิตก็ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ต้องตัดสินใจเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะสิ้นสุดลง…
ทันใดนั้นเขาก็เลี่ยงไปนึกถึงเหลียงซี พลางหวนนึกถึงคราที่นางไม่ยอมรับคำพูดของเขา ในขณะนั้นเป็นการปฏิเสธครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้ายของนาง
ตอนนั้นเขาหาทางเข้าวังไป ตามหานางด้วยจิตใจว้าวุ่น ในสุดท้ายเขาก็เจอนางที่ห้องหนังสือที่กว้างขวาง
ตอนนั้นนางรูปร่างแลอรชนอ้อนแอ้นกำลังจัดเก็บรวบรวมตำราหนังสือที่อยู่บนโต๊ะของตนเอง นางแหงนหน้ามองเขาพลางยิ้มหยดย้อยแล้วขานเรียกเขาว่า “ศิษย์พี่!”
————————————–
บทที่ 12 ความทรงจำในอดีต (2)
โดย
Ink Stone_Romance
“หานซิน…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพลางยันบานกบประตู พยายามที่จะสงบสติอารมณ์และควบคุมลมหายใจนานนม จากนั้นจึงก้าวเดินออกไปยังโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าแล้วนั่งลง
ที่นี่เป็นห้องที่เขาไม่ได้มานานสามปีเต็ม รูปร่างกำยำล่ำสันนั่งลงบนโต๊ะรู้สึกได้ว่าพื้นที่คับแคบอึดอัดขึ้นมาทันใด
ทว่าสำหรับเหลียงซีลมฝนก็ไม่อาจหยุดยั้งนางได้ ทุกวันยังคงมาที่นี่เพื่อฟังท่านอาจารย์ใหญ่อบรมบ่มวิชาให้ นางบอกว่านางชอบบรรยากาศการศึกษาวิชา เพียงแค่นางมีเวลาหนึ่งวันก็จะรีบรุดมาที่นี่ จนกระทั่ง…
“เจ้า…” เขาเบนสายตามองไปยังมือที่กำลังรวบรวมกองหนังสือบนโต๊ะ ทันใดนั้นจิตใจก็หวาดหวั่นฉับพลัน
ก่อนที่เขาจะมาได้ให้คนมาสืบแล้วว่าฮ่องเต้ได้ทรงถ่ายทอดคำสั่งให้นางอภิเษกสมรสแล้วจริงๆ
“เจ้ารักเขาหรือไม่?” เขาถามออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ
กลัวว่าจะได้ยินคำตอบยืนยันแน่วแน่ของนาง
“นี่ไม่เกี่ยวเลยว่าข้ารักหรือไม่รักเขา เพียงแต่..” เหลียงซีตามองต่ำ รอยยิ้มบนใบหน้าสง่างามและสงบนิ่งพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ท่านยังไม่อวยพรงานมงคลสมรสครั้งนี้ให้ข้าเลยนะ!”
แววตาของนางใสบริสุทธิ์ไม่ตระหนกแม้แต่น้อย
ครั้งหนึ่งเขาเคยนึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะสำเร็จเหมือนดังน้ำมาคลองก็เกิด ไม่จำเป็นต้องจงใจพูดออกมา แต่ครั้งนี้มองแววตาที่สงบนิ่งของนางทำให้เขารู้สึกว่าเขาคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า?
“หานซิน”เขาควบคุมสติที่ล่องลอยและพยายามที่จะระงับจิตใจที่คลุ้มคลั่งพลางพูดว่า “หาก…ข้าต้องการให้ถอนหมั้นครั้งนี้ล่ะ?”
ทั้งสองจดจ้อง สายตาประสานกัน
สายตาของเขามีความจริงใจและมีศรัทธาอันแรงกล้า กระวนกระวายใจจนแทบลืมหายใจ
ผ่านไปสักพักเหลียงซีก็หัวเราะออกมาพลางพูด “หากข้าไม่อยากแต่งงาน เอาใครมาฉุดก็หยุดข้าไม่ก็อยู่หรอก เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ศิษย์พี่ท่านก็รู้ดี ช้านานข้าก็ต้องไปจากเมืองหลวงแห่งนี้”
นางไม่ได้ซักไซ้ว่าเหตุใดเขาจึงอยากให้นางถอนหมั้น ลึกๆ แล้วนางเข้าใจดีว่าเขามีใจให้ นางจึงไม่ได้หันหน้าหนีแล้วปฏิเสธเขาทันที นางเลือกที่จะแต่งเข้าเป็นเจ้าสาวที่สุภาพอ่อนโยนอยู่ข้างกายชายอื่น
“เพราะเหตุใด?” ฉู่อี้อันถามนาง เขานึกแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็รุ่มร้อนดุจไฟเผาไหม้ น้ำตาเอ่อล้นไหลรินเจ็บปวดแสนสาหัส “เจ้ารู้ดีแก่ใจว่าข้าคิดเช่นไรกับเจ้า อย่างน้อยเจ้าให้โอกาสข้าสักหน่อย ตอนนี้…”
“ข้าแค่ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับท่านแล้ว” เหลียงซีพูดขัดจังหวะและนำเอาตำราที่ตระเตรียมเรียบร้อยแล้วส่งให้นางกำนัลรับใช้ถือไว้ นางมองตาของเขาพลางถามอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านเพิ่งกลับมาจากเมืองเจียงเป่ยใช่หรือไม่?”
ฉู่อี้อันหัวใจสั่นสะท้าน…
ที่ผ่านมาเขารู้ดีมาโดยตลอดว่าฉู่เป้ยบิดาของฉู่อี้อันเป็นคนความมักใหญ่ใฝ่สูงและจิตใจป่าเถื่อน เพียงแต่ก่อนหน้าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าความทะเยอทะยานของฉู่เป้ยนับวันยิ่งทวีคูณ เห็นว่าการปกครองของอดีตฮ่องเต้เซี่ยนจงที่ร้ายกาจและไร้ความสามารถทำให้บ้านเมืองค่อยๆ เสื่อมสลาย ฉู่เป้ยจึงคิดคดเจตนาจะแทนที่อดีตฮ่องเต้
เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้ก่อนที่ฉู่อี้อันจะกลับมาก็ได้มีปากเสียงกันกับฉู่เป้ยอย่างดุเดือด
นึกไม่ถึงว่าเหลียงซีที่อยู่ห่างไกลพันลี้เช่นนี้จะมองแผนการที่ฉู่เป้ยวางไว้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ฉู่อี้อันจึงรู้สึกหวาดหวั่น เมื่ออยู่ต่อหน้านางคราใดก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่งพลางพูดว่า “ข้าจะลองเกลี้ยกล่อมเขาดู หากว่าไม่สำเร็จ…”
“การผลัดเปลี่ยนการปกครองจะทำให้ราชวงศ์ล่มสลาย เดิมทีหากต้องการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จะต้องผ่านกฎระเบียบข้อบังคับ ไม่ใช่ว่าจะทำตามอำเภอใจได้” เหลียงซีตัดบทเขาไปว่า “ข้าก็แค่สตรีต่ำต้อยคนหนึ่ง ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจโกรธเคืองท่านหรอก ไม่ว่าเรื่องจริงเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมาเมื่อใด อย่างน้อยก่อนเรื่องนี้จะแดงขึ้นมา ข้ายอมรับว่าท่านเป็นศิษย์พี่ร่วมเรียนด้วยกันมานานถึงเจ็ดปี ส่วนเรื่องอื่นๆ ชะตาฟ้าลิขิตคงแล้วแต่วาสนา คิดจะอ้อนวอนขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์!”
ราชวงศ์ที่ฟอนเฟะเช่นนี้ยากเกินจะเยียวยาดูแลไหว หากไม่ใช่เพราะฉู่เป้ยมีใจคิดกบฏก็ไม่อาจยื้อไว้ได้นาน และไม่ใช่ว่านางเลือดเย็น แต่เป็นเพราะ…
นางเหลือบ่ากว่าแรง เหตุใดจะต้องกลัดกลุ้มใจด้วยเล่า?
ทว่าฉู่อี้อันเป็นลูกชายแท้ๆ ของฉู่เป้ย ความจริงนี้จึงไม่อาจลบล้างได้
“แต่ข้าไม่เคยเชื่อในโชคชะตา!” ฉู่อี้อันก็ลุกขึ้นมาแววตาแสดงออกถึงความเจ็บปวดชัดเจนพลางยื่นมือไปจับมือนางไว้แน่น “ขอเพียงเจ้าเต็มใจ เราหนีไปจากที่นี่ดีหรือไม่? หนีไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จักเรา เจ้าต้องการชีวิตแบบไหนข้าจะหามาให้เจ้า เจ้าพูดถูกเจ้ากับข้ายังเยาว์วัยนัก การเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่เกี่ยวข้องกับเราแม้แต่น้อย…”
“คิดจะปิดบังชื่อแซ่ แต่มิอาจเปลี่ยนแปลงสายเลือดและหน้าตาที่แท้จริงได้!” เหลียงซีน้ำเสียงแหลมคม ไม่เว้นช่องว่างให้เขาได้พูด “ตอนนี้ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าท่านสามารถละทิ้งชื่อแซ่และชาติกำเนิดของท่าน เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ล้มเหลวแล้วให้ท่านต้องเป็นกังวลหรือต้องเข้าไปช่วยเหลือเกื้อกูล หากเป็นเช่นนี้ใครจะปฏิเสธได้เหรอ? บางเรื่องเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตข้างหน้าได้”
“หานซิน…” ฉู่อี้อันเอ่ยปากเรียกนางอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
กาลเวลาผ่านไปนานคนที่เขาหมายปองตั้งแต่แรกพบก็ยังคงเป็นนาง ในใจเขาจึงเริ่มวางแผนอนาคตชีวิตของพวกเขาทั้งสองคน ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นจะต้องมีนางอยู่ด้วยจึงจะสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ตอนนี้…
กลับเกิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ เขายังไม่ทันเผยความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจระบายออกมาให้นางได้รู้ ก็บังเอิญเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด แม้แต่โอกาสอันน้อยนิดก็ไม่ยอมให้เขาได้ทำฝันให้เป็นจริง
ไม่อยากเริ่มต้นใหม่!
ดังนั้นจึงไม่ยอมให้เรื่องลงเอยเช่นนี้!
นางฉลาดหลักแหลมซ้ำยังมีความกล้าหาญเด็ดขาด แต่การตัดสินใจครั้งนี้ของนางไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
“เจ้าให้เวลาข้าสักหน่อยเถอะ” สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เพียงพยายามจนสุดความสามารถพลางพูด “ข้าจะรีบกลับไปยังเมืองเจียงเป่ย ข้าจะโน้มน้าวให้ท่านพ่อเปลี่ยนความคิด ถึงตอนนั้นข้าจะกลับมาหาเจ้าดีหรือไม่?”
เหลียงซีจ้องมองเขา นางเพียงแต่ยิ้มละไม แววตามองเขาราวกับมองคนแปลกหน้าดุจอาวุธคมบาดลึกในจิตใจ
นางไม่ควรทำเช่นนั้น กระทั่งให้คำสาบานไว้ก็ยังไม่กล้า
ขณะนั้นใจของฉู่อี้อันไม่อาจโกรธนางได้ลงคอ ในใจมีเพียงความรู้สึกเดียวคือ นางดูเหมือนยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ใกล้แค่เอื้อม แต่เขากลับรู้สึกว่านางอยู่ไกลแสนไกลจนไม่อาจไล่ตามนางทัน
ทันใดนั้นเขาก็ไม่กล้าสู้หน้านางอีก แล้วหันกลับไปด้วยความรู้สึกรีบร้อน อยากจะหนีไปให้พ้นจากที่นี่
นางยังคงยืนอยู่ในห้องสมุดที่กว้างขวาง นางมองเขาเดินจากไปท่าทางซวนเซ
สีหน้าของนางยังคงรู้สึกเมินเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ สาวรับใช้คนสนิทกลั้นน้ำตาไม่อยู่พลางพูดว่า “องค์หญิง เรื่องการอภิเษกสมรสท่านเลื่อนไปก่อนเถอะเพคะ ไม่แน่ว่าท่านนายพลอาจจะสามารถพูดเอาชนะใจฉู่เป้ยได้”
หากว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนี้ องค์หญิงกับท่านนายพลคงได้เป็นคู่สร้างคู่สมแน่แท้ ผู้อื่นไม่เข้าใจแต่นางเข้าใจทุกอย่างมากที่สุด เหลียงซีมีความรู้สึกพิเศษต่อฉู่อี้อัน เพียงแต่น่าเสียดายที่…
องค์หญิงมีนิสัยชอบทำตัวใหญ่คับฟ้า นางเป็นคนหัวรั้นคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แต่ที่สำคัญยิ่งคือนางสะบั้นใจสิ้นรักและไม่ไปทำเรื่องสิ้นคิดเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
“ไม่จำเป็น!” เหลียงซีส่ายหน้าแล้วนำเอาหนังสือที่นางถืออยู่ในมือเดินออกไปข้างนอก
วันนั้นฉู่อี้อันก็เดินทางไม่หยุดหย่อนควบม้าออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปเมืองเจียงเป่ยแล้วตรงไปยังฐานที่ตั้งประจำการนายพลฉู่เป้ย
แท้จริงแล้วเหลียงซีไม่ได้ลังเลใจ นางยึดตามกำหนดการล่วงหน้า ครึ่งเดือนหลังจะต้องแต่งกายเต็มยศแต่งออกจากบ้านไปไกลถึงเมืองสวินหยาง
ส่วนฉู่อี้อันหลังจากที่ออกจากเมืองหลวงก็ไม่อาจหันกลับทางเดิมได้อีกแล้ว เพราะระหว่างทางที่เขามุ่งตรงไปยังฐานทัพที่เมืองเจียงเป่ย ฉู่เป้ยได้ปล่อยข่าวว่าจะยกทัพไปโจมตีลากฮ่องเต้เซี่ยนจงลงจากบัลลังก์แล้ว…
เปิดสงครามกับฮ่องเต้เซี่ยนจงแห่งต้าหรง
ค่ำคืนนั้นฉู่อี้อันนั่งอยู่คนเดียวบนหลังคาร้านเล็กๆ ที่รกร้างว่างเปล่าดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล ทันใดนั้นเขาคิดว่าเขาหมดสิ้นซึ่งหนทางที่จะไปต่อ
อยากที่จะหวนกลับไปหาเหลียงซี แต่ทางกลับถูกตัดขาด จำต้องตามท่านพ่อนำออกทัพขึ้นไปทางทิศเหนือเพื่อสร้างผลงาน
แต่นั่นไม่ใช่หนทางที่แท้จริงที่เขาอยากเดิน
เขาวนเวียนไร้ซึ่งหนทางที่จะไปราวกับจมดิ่งลงสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่เคว้งคว้างเนิ่นนาน จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้รับข่าวร้าย เซี่ยนจงต้องการที่จะข่มขู่ให้ฉู่เป้ยประนีประนอมจึงได้สังหารคนตระกูลฉู่ตายยกครัว
สังหารเจ็ดชั่วโคตร!
เวลานั้นเขาจำเป็นต้องยอมรับ สายตามองการณ์ไกลของเหลียงซีทุกอย่างถูกต้องไม่มีผิด แท้ที่จริงพวกเขาถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้ มีหลายอย่างที่ไม่อาจทำตามใจตนเองได้
หากลองคิดดูว่าตอนนั้นนางตกปากรับคำหนีไปด้วยกันไกลแสนไกล พอมาวันนี้เขาได้ยินข่าวเช่นนี้ เขาควรจะตัดสินใจอย่างไร? หากทำเพื่อนาง เขาสามารถที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ในใจคงมีบาดแผลที่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดเช่นนี้ไปชั่วชีวิตหรือไม่?
ตั้งแต่ครานั้นเป็นต้นมาเขาจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ กลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดตระกูลฉู่ กลับมาอยู่ข้างกายฉู่เป้ย
หลายปีต่อมาเขานำทัพควบม้ากลางทะเลทรายไปแย้งชิงชนเผ่าแซ่เหลียงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเจียงซาน
เหลียงซีดั้นด้นไปพักอาศัยอยู่กับสามีของนางที่เมืองสวินหยางโดยไม่สนใจโลกภายนอกว่ากำลังเกิดเรื่องใดขึ้น ผ่านไปไม่กี่ปีนางก็สามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสามีอย่างร่มเย็นสงบสุข จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง…
————————————-
บทที่ 12 ความทรงจำในอดีต (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่อี้อันยกกองทัพมาถึง
เขาไปตามหานาง แต่เขากลับค้นพบว่าเส้นทางที่เขาและนางเดินมาได้มาถึงจุดที่ว่างเปล่าและยากจะอธิบาย
“ให้ข้าส่งเจ้าไปดีกว่านะ!” ฉู่อี้อันพูด
“จะไปทางไหนได้อีกเล่า?” นางถามกลับ
หากนางอยากจะไป นางคงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียนานแล้ว
เซี่ยนจงแม้ว่าจะเป็นทรราช แต่เขากลับโปรดปรานเหลียงซีลูกสาวคนนี้มาก นางยังจะสามารถมีชีวิตรอดอีกหรือ?
อีกอย่าง…
ฉู่เป้ยไม่มีทางละเว้นชีวิตนางแน่นอน
ดังนั้นในค่ำคืนนั้นฉู่อี้อันจึงยืนรอนางอยู่ที่ประตูทางเข้าเมืองสวินหยาง เขาแหงนหน้ามองเงาสลัวของนางภายใต้เปลวไฟของคบเพลิงที่ร้อนระอุ
มองดูเลือดที่ไหลนองจากการต่อสู้ทำให้จินตนาการได้ว่า ขณะที่เงื้อดาบฟันลงไปคงเป็นภาพที่น่าอนาถใจยิ่ง
เขาเจ็บปวดรวดร้าวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ต้นจนจบสิ่งที่เขาทำได้ก็คือยืนมองดูอย่างไร้เยื่อใย แม้นในใจอยากจะตะโกนเรียกชื่อนางแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้
ทันใดนั้นเขาได้หวนคะนึงถึงเมื่อหลายปีก่อน เมื่อตอนที่นางอำลาจะจากไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา แท้จริงแล้วตั้งแต่ครานั้นเป็นต้นมานางคาดเดาแล้วว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะต้องมีคนใดคนหนึ่งที่มีจุดจบเช่นนี้
บิดาของนางแข็งข้อต่อต้านเขามาโดยตลอด ความขัดแย้งไม่ลงรอยระหว่างตระกูลฉู่และต้าหรงอ๋องเป็นดั่งศัตรูคู่อริกันมาช้านานเข่นฆ่าโรมรันกันไม่หยุดหย่อนผ่อนปรน
ครานั้นฉู่อี้อันหมดหนทางไปต่อเขาต้องยอมแพ้ เรื่องในอดีตทำให้เขาโกรธแค้นนางและหมดอาลัยตายอยาก
แต่ว่าตอนนี้เขายกทัพมาถึงแล้ว กำลังมองหญิงสุดที่รักเต็มใจยอมพลีชีพอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจช่วยนางได้
นางยอมแพ้แล้วหลบหนีออกมาก็เพื่อ…
เพียงเพื่อหลงเหลือโอกาสรอดชีวิตระหว่างนางและฉู่อี้อัน
พวกเขาทั้งสองถูกความคลุมเครือเหล่านี้ครอบงำรอจนสุดท้ายต้องกวัดแกว่งกระบี่ต่อสู้กัน ฉะนั้นไม่สู้ตัดความสัมพันธ์นี้จากเขาตั้งแต่แรก ตัดความรู้สึกที่เคยงอกงามในใจให้ขาดสะบั้นไปเสียดีกว่า
การตัดสินใจแน่วแน่ของนางนั้น บางทีตอนที่นางหันกลับไป นางคงกำลังรอคอยจุดจบที่ต้องฟาดฟันดาบกันอย่างเหี้ยมโหด นางกับเขาไม่เคยคุยกันเรื่องความรู้สึกของตนเองให้ฝ่ายตรงข้ามฟัง แม้ว่าตอนที่เขาเคยถามตรงๆ นางกลับเรียกเขาด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้เย็นชาว่า “ศิษย์พี่!”
นางบอกว่าไม่อยากเริ่มต้นใหม่ก็เพื่อจุดจบที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เขาหดหู่ใจวางมือแล้วหันกลับไปตามทางของเขาหรือเปล่า? ว่าสุดท้ายเขาไม่อาจทำให้นางเปิดใจรับได้สำเร็จ
ความรักของเขาถูกลิขิตให้ต้องรักนางจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เขาไม่เคยได้มีโอกาสพูดออกมา แต่ความรู้สึกนั้นดุจกระดาษทรายที่ขัดถูจิตใจของเขา ทุกครั้งที่ข่มตาลงมันเจ็บปวดทิ่มแทงลึกลงไปทั้งหัวใจ
ช้านานมาแล้ว เขาเคยจ้องมองทารกน้อยคนหนึ่งนานสองนาน เด็กคนนั้นตัวเท่าลูกแมวแต่ไม่งอแงเลยสักนิด เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนขนตาก็ค่อยๆ ยาวขึ้นเค้าโครงร่างเริ่มเหมือนตอนที่เหลียงซีโตเป็นเด็กสาวสะพรั่ง
เหลียงซีไม่เคยขอร้องเขา และไม่เคยคิดที่จะทำให้เขาลำบากใจ แต่วินาทีที่เขาสั่งคนลงมือสังหารนาง เขาได้ใช้ชีวิตของเขาสาบานว่า…
ในเมื่อเขาไม่อาจปกป้องนางได้ เช่นนั้นเขาจะปกป้องเด็กคนนี้แทนนางก็แล้วกัน!
นี่เป็นสิ่งเดียวที่ชาตินี้เขาสามารถทำให้นางได้
ปีนั้นเซี่ยนจงผู้ไร้ความสามารถซ้ำยังใจคอโหดเหี้ยม ที่ผ่านมาเขาคลั่งไคล้มักมากในกามารมณ์กับบรรดานางใน เขาพบปะเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ของเหล่าอำมาตย์นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ต้องพูดถึงเหลียงซีนางเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักไม่ค่อยออกไปไหนนอกจากห้องสมุด นอกนั้นก็ไม่ได้ออกไปในที่สาธารณะพบปะผู้อื่นนัก ปัจจุบันฉู่สวินหยางก็เช่นกัน รูปปากของนางเหมือนกันกับเหลียงซีไม่มีผิด ตอนยังเล็กพวกนางหน้าคล้ายกันอย่างน้อยห้าส่วนช่างบังเอิญเสียนี่กระไร หลังจากฉู่เป้ยเข้ายึดครองเมืองหลวงได้แล้วอย่างแรกที่เขาทำก็คือสังหารยกวัง แล้วนำคนที่ใบหน้าคล้ายคลึงกับเหลียงซีมาฆ่าปิดปากจนหมดสิ้น
หลังจากที่ตีเมืองได้สำเร็จ ให้คนขนย้ายตำราต่างๆ ที่อยู่ในห้องใต้ดินออกมาจากคลังตำราจากห้องหนังสือไปจนหมดไม่เหลือแม้แต่เล่มเดียว สาเหตุเพราะว่าเหลียงซีชื่นชอบการอ่าน ตำราเหล่านี้เมื่อครั้งก่อนนางเคยอ่านผ่านตาจนหมดแล้ว เมื่อเขาอ่านตำราไปนานๆ กลับค่อยๆ รู้สึกว่าฉู่สวินหยางเป็นความทรงจำที่แท้จริงที่เหลียงซีหลงเหลือไว้ให้เขา
เขาจึงมองลูกสาวคนนี้ราวกับสมบัติล้ำค่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหลียงซี ส่วนตอนนี้…
หากลองคิดทบทวนดูให้ดีความจริงแล้วเขาถือว่าเด็กคนนี้เป็นลูกในไส้ของเขามากกว่า ปกติเขาทำเช่นนี้มาโดยตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
แต่ว่าตอนนี้…
การดำรงอยู่ของฉู่สวินหยางเหมือนกับอดีตที่ผ่านมาของเหลียงซี ซึ่งสวนทางกับชีวิตที่สงบมั่นคงของเขาตอนนี้
เรื่องการตายของฉู่ฉีฮุย โชคชะตาเขาเหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยทำให้เขาต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากอีกครั้ง
“ลู่หยวน!” ฉู่อี้อันใช้มือคลึงขมับแล้วหันไปทางประตูแล้วตะโกนเรียก
“ไท่จื่อ!” ลู่หยวนผลักประตู เขายืนอยู่ตรงประตูแล้วทำการคารวะ
“ไปเรียกเจิงจีเข้ามา!” ฉู่อี้อันพูด
“ขอรับ!” ลู่หยวนรับคำสั่ง เขาออกไปได้สักพัก พ่อบ้านเจิงก็รีบร้อนกุลีกุจอเข้ามาพบ
“นายท่าน…” พ่อบ้านเจิงสีหน้าอิดโรยจึงไม่อาจอดกลั้นถอนลมหายใจแรง
“คราก่อนเรื่องที่ข้าให้ท่านไปจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่อี้อันถาม
ผ่านไปสักพักเจิงจีจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องที่ฉู่อี้อันถาม แล้วก็พยักหน้า “จัดการเสร็จสรรพแล้วขอรับ นายท่านโปรดวางใจ ไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอนขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” ฉู่อี้อันพยักหน้า พอดีว่าที่นั่นไม่มีใครอื่น เขาจึงฝืนยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรผิดหรือเปล่า? หากว่าข้าตั้งใจจะช่วยเหลือฉู่ฉีฮุย เขาคงไม่…”
ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดออกมา
พ่อบ้านเจิงหัวใจรู้สึกอัดอั้นขึ้นมาทันที เขาพูดปลอบใจว่า “ในเมื่อเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านอย่าคิดมากไปเลย จริงๆ แล้ว…”
ขณะที่เจิงจีพูดอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจว่าอย่างไรดีจึงชะงักไปสักพัก แล้วเบี่ยงเบนประเด็นว่า “เกิดเป็นราชนิกุลล้วนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ทั้งนั้น นายท่านรีบส่งตัวนายน้อยกลับไปแต่เนิ่นๆ เถิด ไม่ว่าจะดีหรือเลวอย่างน้อยยังหลงเหลือเลือดเนื้อเชื้อไข ข้าน้อยเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่านอย่าได้เป็นกังวล!”
นายน้อยที่เจิงจีเรียกขานก็คือลูกชายของฉู่ฉีฮุย หลังจากที่ฉู่ฉีฮุยเกิดเรื่อง ภรรยาและลูกของเขาถูกปลดฐานะเป็นสามัญชน แต่กระนั้นฮ่องเต้ก็ยังทรงละเว้นหลงเหลือไว้หนึ่งชีวิต เพราะว่าฝ่าบาทยังเห็นแก่ฉู่อี้อัน ฉะนั้นจึงไม่ได้ตัดสินโทษสองแม่ลูก เพียงแต่เนรเทศฉู่ฉีฮุยไปกานโจว ภรรยาและลูกของเขาถูกละเว้นโทษเพราะว่าฉู่อี้อันออกหน้าแทนทั้งนั้น
ครานั้นฉู่อี้อันเป็นคนเลือกคู่ครองที่มีนามว่าเลิ่งซื่อให้กับฉู่ฉีฮุย นางเป็นลูกสาวของบัณฑิตฮั่นหลินตระกูลเลิ่ง นางทั้งรู้หนังสือมีเหตุผล รู้จักกาลเทศะ แม้ว่าจะมีแม่ยายเหล่ยเช่อเฟยค่อยโขกสับอยู่ตลอด นางก็ยังคงชอบเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใด ฉู่ฉีฮุยไม่ชอบใจนิสัยของเลิ่งซื่อนัก ดังนั้นความสัมพันธ์พวกเขาสองสามีภรรยาเป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
แม้ว่าฉู่ฉีฮุยถูกปลดฐานะเป็นสามัญชน แต่เลิ่งซื่อแต่งเข้าเป็นสะใภ้ถือว่านางเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ นางไม่อาจสมรสใหม่ได้ นางจึงประสงค์ที่จะไปบำเพ็ญปฏิบัติธรรมที่อาราม
แล้วทอดทิ้งบุตรของนางไว้ ฉู่อี้อันไม่ได้ต้องการให้นายน้อยอยู่ที่วังหลวงอีกต่อไป เขาจึงได้ให้เจิงจีแอบไปจัดการสรรหาตระกูลที่อยู่ห่างไกลออกไปพันลี้ช่วยคุ้มครองให้นายน้อยอยู่รอดปลอดภัยและไปส่งตัวเขาไปอย่างลับๆ แม้กระทั่งรายละเอียดว่าจะให้ไปส่งยังสถานที่แห่งหนใดเขาไม่ได้ถามพ่อบ้านเจิง แสดงว่าเขาไม่ต้องการให้ตามตัวนายน้อยกลับมา
ฉู่อี้อันวางแผนหาทางหนีทีไล่ให้หลานชายของเขามีชีวิตรอดปลอดภัย ความจริงแล้วเขาตั้งใจช่วยวางแผนล่วงหน้าแทนฉู่ฉีฮุยไปแล้ว เพราะเขารู้ว่าฉู่ฉีฮุยจะต้องถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ฉู่อี้อันก็ยังคงไม่อาจวางมือนิ่งเฉย เขายังเตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งหากเกิดเรื่องก็ให้ฉางเซินเก็บรวบรวมแก้วแหวนเงินทองที่ฉู่ฉีฮุยเคยทุจริตมาได้ฝังลงดินแล้วปกปิดความสัมพันธ์คนที่ฉู่ฉีฮุยคบค้าสมาคมให้หมด เขาเตรียมการไว้อย่างรอบคอบรอเพียงแค่เวลานั้นมาถึง
เพราะเหตุนี้ฉู่อี้อันจึงรู้สึกผิดหวังในตัวฉู่ฉีฮุยมาก เขาจึงไม่อาจก้าวก่ายเรื่องที่ฉู่ฉีฮุยถูกเนรเทศไปกานโจวได้ เพียงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้นมากลางคัน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นพ่อลูกกัน เจิงจีก็ไม่รู้ว่าจะจะปลอบใจเขาเช่นไรดี ครู่เดียวนายบ่าวคู่นี้ก็เงียบขรึมขึ้นมาทันทีทันใด
ขณะนั้นฉู่อี้อันก็เริ่มเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “หลังจากที่เสด็จลุงไปฉู่โจวแล้ว ข้าให้เจ้าส่งจดหมายไปยังหาจูหย่วนซาน บอกให้เขานำคนที่คบค้าสมาคมกับฉู่ฉีฮุยเรียกกลับคืนมา เจ้าส่งจดหมายฉบับนั้นไปแล้วหรือยัง?”
“ขอรับ ส่งไปนานแล้วขอรับ!” เจิงจีรีบดึงสติกลับมาแล้วพูดว่า “ประมาณสองสามวันนี้คงน่าจะมาถึงขอรับ”
“รอเขากลับมา เรื่องนี้ก็ส่งให้เขาจัดการต่อก็แล้วกัน” ฉู่อี้อันพูด “เรื่องที่ฉีฮุยทิ้งไว้จัดการเรียบร้อยแล้วล่ะสิ!”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” เจิงจีรับคำสั่ง เขาครุ่นคิดแล้วถามต่อว่า “นายท่าน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของหวงจ่างซุน ท่านต้องการให้…”
ฉู่อี้อันแหงนหน้าพลางพูดแทรกว่า “ให้ฉู่ฉีเฟิงกับซินเป่าไปเถอะ!”
เรื่องของฉู่ฉีฮุยจะต้องเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ ส่วนเรื่องนี้อ๋องหนานเหอเป็นคนทำหรือไม่ก็ไม่แน่ เรื่องนี้ไม่เพียงล้ำเส้นเกินกว่าที่ฉู่อี้อันจะรับได้ ยัง…
ฉู่ฉีเฟิงคงไม่คิดอะไรมาก แต่สำหรับฉู่สวินหยางนางคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน
นิสัยของฉู่สวินหยางเขาเข้าใจดี ดังนั้นให้นางรู้ด้วยตัวเองคงทำให้นางสบายใจมากกว่า
ฉู่อี้อันและเจิงจีไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ต้องจัดการแก้ปัญหา ฉู่อี้อันเพียงแต่มอบหมายงานให้เขาไปจัดการ จากนั้น
ฉู่อี้อันกลับขัดจังหวะตอนที่เจิงจีกำลังจะถาม แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาสะสางเอกสารราชการต่อ
ฉู่สวินหยางกลับจวนแล้วก็เปลี่ยนชุดออกมา ส่วนชิงเถิงก็รออยู่ในห้องรับแขกพลางพูดว่า “ท่านหญิง!”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าพร้อมกับเดินออกไปข้างนอก “ตอนนี้เรื่องไปถึงไหนแล้ว?”
——————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น