สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 ตอนที่ 1.1-2.3

 ภาค 2 บทที่ 1 เล่ห์เหลี่ยม (1)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่ฉีเหยียนบรรจงเลือกองครักษ์ยี่สิบนายอย่างพิถีพิถันแล้วออกจากจวน คนทั้งกลุ่มเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ทว่าเพิ่งจะขี่ม้าผ่านตรอกที่อยู่ติดกันข้างๆ ก็เจอม้าเร็ววิ่งเข้ามาหาอย่างเร็วมาก


ฉู่ฉีเหยียนดึงบังเหียน


เหล่าองครักษ์รีบเตรียมพร้อมรับมือทันที


ครู่หนึ่งผู้นั้นก็ขี่ม้าเข้ามาใกล้ ยกมือทำท่าทางส่งสัญญาณ น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าว “ข้าเอง!”


บุรุษผู้นั้นคือหลี่หลินที่สวมใส่ชุดสั้นสีดำ


หลี่หลินควบม้าเข้ามาใกล้พร้อมรายงานว่า “ซื่อจื่อ เมื่อครู่ได้ข่าวจากนกพิราบสื่อสารว่า ท่านหญิงฉู่สวินหยางคุ้มกันรถม้าออกจากวังบูรพาด้วยตนเอง ดูจากทิศทางที่ไปน่าจะเลือกเดินทางออกจากประตูเมืองทางทิศตะวันออกขอรับ”


“หา? ฉู่สวินหยางอารักขาด้วยตนเองรึ?” ฉู่ฉีเหยียนยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วถอนหายใจแผ่วเบาพลางถามว่า “รถม้าคันนั้นมีลักษณะเช่นไร? เจ้าเห็นหรือไม่ว่าผู้ใดนั่งอยู่ในรถคันนั้น?”


“รถม้าคันนั้นธรรมดามาก แต่คุ้มกันอย่างแน่นหนา ข้าไม่ได้สังเกตว่าคนที่นั่งอยู่ในรถเป็นผู้ใด” หลี่หลินเล่าพลางนิ่งงันไปชั่วขณะแล้วลองถามว่า “ซื่อจื่อคิดว่าบนรถอาจจะเป็นทั่วป๋าอวิ๋นจีหรือขอรับ?”


“แล้วเจ้าคิดว่าเช่นไร?” ฉู่ฉีเหยียนถามกลับ สายตาเยือกเย็นมองไปยังท้องนภาไกล ตกอยู่ในภวังค์จิต


“ยากจะพูดขอรับ!” หลี่หลินพูด พลางวิเคราะห์อย่างตั้งใจว่า “หากท่านหญิงฉู่สวินหยางอารักขาด้วยตนเองจะต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา หากนางอารักขาทั่วป๋าอวิ๋นจียิ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอนขอรับ!”


แล้วอย่างไร? ฉู่สวินหยางเดาได้ว่าเขาจะลงมือจัดการทั่วป๋าอวิ๋นจี ถึงได้ลงมือคุ้มกันด้วยตนเองรึ?


ฉู่ฉีเหยียนหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน และค่อยๆ หลับตาลง


ท่ามกลางราตรี ไอความร้อนที่เขาหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาจับตัวเป็นหมอกขาวในชั่วพริบตาและปิดบังใบหน้าที่เย็นชา ทำให้สีหน้าของเขาแลดูคลุมเครือปนลึกลับ


เขานิ่งเงียบไม่พูดจา เพียงแต่นิ้วมือเคาะแส้ม้าในมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับกำลังคิดไตร่ตรองอยู่


ผู้ติดตามทั้งหมดต่างก้มหน้าหลับตารอยู่ข้างๆ


ท่ามกลางความเงียบสงัดที่ค่อยๆ ผ่านพ้นไปทีละน้อย


รออยู่นานมาก ในที่สุดหลี่หลินก็เหมือนอดทนไม่ไหวจึงลองเอ่ยปากถามอีกครั้งว่า “ขณะนี้นางน่าจะใกล้ออกจากเมืองแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเลยนะขอรับ!”


เพื่อปกป้องพันธมิตรอย่างทั่วป๋าไหวอัน ตอนแรกฉู่ฉีเหยียนคิดวางแผนฉวยโอกาสกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่นี้ระหว่างทางที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีกลับโม่เป่ย


ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังค่อนข้างราบรื่น ฮ่องเต้เกิดโมโหคิดจะฆ่านาง


เมื่อเป็นเช่นนี้…


แทนที่จะแอบลงมือสังหารนางอย่างเงียบๆ มิสู้เปลี่ยนมาใช้ประโยชน์จากนางสักครั้ง!


“ในเมื่อวังบูรพาวางเดิมพันกับนาง เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งนัก จะต้องยื่นมือเข้าไปช่วยนางนะขอรับ” หลี่หลินเห็นเขานิ่งเงียบจึงยิ่งร้อนใจกล่าวต่อว่า “ท่านหญิงสวินหยางปลอมตัวออกจากวังกลางดึก นางอารักขารถม้าคันนั้นจะต้องมีอุบายอะไรอีกเป็นแน่!”


ครึ่งชั่วยามก่อน ทหารและองครักษ์ลับที่ทำตามคำสั่งลอบสังหารของฮ่องเต้ออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็วและตามไปจัดการคณะทูตโม่เป่ยที่ออกจากเมืองหลวงแล้ว


เป็นไปไม่ได้ที่วังบูรพาจะไม่คำนึงถึงเรื่องนี้


องครักษ์และองครักษ์ลับถูกส่งไปพร้อมกัน ฮ่องเต้คิดจะลอบสังหารนาง จึงไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาแม้แต่น้อย…


ทั่วป๋าอวิ๋นจีไม่มีทางที่จะติดตามไปพร้อมกันกับคณะทูตกลุ่มนั้น


ดังนั้น…


ฉู่สวินหยางถึงได้คุ้มกันนางออกจากเมืองหลวงด้วยตนเองรึ?


หากเป็นเช่นนั้นจริง และหยุดนางไว้ได้ก่อนที่นางจะออกจากเมืองหลวง ทั้งยังจับได้ทั้งฉู่สวินหยางและทั่วป๋าอวิ๋นจี ถ้ามีหลักฐานมัดตัวแน่นหนาคงดิ้นไม่หลุด ตอนนี้ฮ่องเต้กำลังโกรธ จะทำให้ทั้งวังบูรพาได้รับความเดือดร้อนก็ง่ายมาก


“เจ้าคิดว่า…ฉู่สวินหยางกล้าเสี่ยงอันตรายทำความผิดร้ายแรงใหญ่หลวงเช่นนี้รึ?” ฉู่ฉีเหยียนค่อยๆ ลืมตาขึ้น


หลี่หลินไม่แน่ใจ เพียงแต่ขมวดคิ้วแน่นชั่วขณะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ


ฉู่ฉีเหยียนก็เหมือนไม่คิดจะรอคำตอบของหลี่หลินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ขณะที่พูดก็ส่ายศีรษะเบาๆ พลางยิ้มว่า “นิสัยนางเชื่อถือไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ใช้กลวิธีเล่นละครตบตาหลอกลวง”


หากว่ากันตามเหตุผลแล้ววิธีนี้เสี่ยงเกินไป มันสมองเช่นนางแยกไม่ออกหรือว่าทำเช่นนี้ส่งผลทั้งดีและร้าย?”


แต่นางอาจจะไม่คิดเช่นนี้…


นางคงเดาว่าคนจะนึกว่านางคงไม่กล้าทำเช่นนี้ จึงเลือกใช้วิธีนี้!


“เช่นนั้นซื่อจื่อ…” หลี่หลินหายใจเข้าลึก ในใจลังเล “เราจะตามไปหรือเฝ้ารอดูก่อนหรือขอรับ?”


ฉู่ฉีเหยียนเหลือบตามองอย่างครุ่นคิด ทันใดก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาเป็นประกาย หันไปถามหลี่หลินว่า “คนกลุ่มนั้น นอกจากฉู่สวินหยางและองครักษ์วังบูรพาของนาง ยังมีใครอีกหรือไม่?”


หลี่หลินขมวดคิ้วตั้งใจนึกอย่างจริงจัง ส่ายศีรษะพลางพูด “ไม่มีขอรับ! ที่เห็นมีเพียงผู้ที่อยู่ข้างกายองค์รัชทายาทและคังจวิ้นอ๋องที่ข้าคุ้นหน้า”


ฉู่ฉีเหยียนได้ฟังแล้วก็ยิ้มเยาะเย้ยตรงมุมปาก


หลี่หลินมองดูพลางถอนใจเฮือก ละอองหมอกที่ปกคลุมในใจก็ค่อยๆ หายไป เสียงทุ้มต่ำเอ่ย “ซื่อจื่อจะบอกว่าใต้เท้าเหยียนหลิงจวิน…”


“ตั้งแต่เขามาเมืองหลวง เมื่อใดก็ตามที่ฉู่สวินหยางกระทำสิ่งใดเขาจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว เรื่องใหญ่เช่นนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาไม่แปลกใจบ้างหรือไง?” ฉู่ฉีเหยียนพูดด้วยสายตาแหลมคมแวววับ


หลี่หลินไม่กล้าปล่อยปละละเลย รีบสั่งให้คนไปตรวจสอบ


ฉู่ฉีเหยียนไม่วู่วาม เขาหยุดม้าอยู่ที่มุมถนน และรอคอยอย่างสบายใจ


ไม่นานก็มีนกพิราบบินมาส่งข่าว


หลังจากหลี่หลินดึงกระดาษออกมาจากกระบอกไม้ไผ่และอ่านแล้ว สีหน้าก็ยิ่งจริงจังขึ้นมามากขึ้นว่า “ซื่อจื่อ คาดไว้ไม่มีผิด วันนี้ยามพลบค่ำมีคนเห็นใต้เท้าเหยียนหลิงกับท่านหญิงสวินหยางอยู่ด้วยกันแถวๆ ประตูวังทางทิศใต้ หลังจากนั้นทั้งสองคนก็จากไปพร้อมกันขอรับ”


ฉู่ฉีเหยียนเม้มปากเบาๆ นิ่งเงียบ


หลังจากนั้นไม่นานก็มีจดหมายลับส่งมาอีกครั้ง


หลี่หลินอ่านจบแล้วก็เปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน “แล้วก็ครึ่งชั่วยามก่อน รถม้าของหมอหลวงเฉินกับทหารองครักษ์ออกไปนอกเมือง บอกว่าไปซื้อยาสมุนไพรที่เมืองข้างๆ”


ฉู่ฉีเหยียนไม่ตัดสินใจ หลี่หลินคิดแล้วคิดอีกพูดว่า “หรือท่านหญิงสวินหยางจะเป็นแค่ตัวหลอก จริงๆ แล้วใต้เท้าเหยียนหลิงพาคนคุ้มกันทั่วป๋าอวิ๋นจีหนีไปก่อนแล้ว?”


หลี่หลินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้มีมากขึ้น ความจริงครั้งนี้ฮ่องเต้ต้องการจะเอาชีวิตทั่วป๋าอวิ๋นจี แต่ฉู่สวินหยางเข้าไปปกป้องนางด้วยตัวเอง เช่นนั้นแล้วความเสี่ยงที่รับผิดชอบช่างมากยิ่งนัก


“พวกเขาเพิ่งออกไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามแล้ว ตอนนี้จะตามไปอย่างไรก็ไม่ทัน!” หลี่หลินพูด เขาพูดจบก็สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเตรียมตามเหยียนหลิงจวินไป


“ไม่ต้องรีบร้อน!” ฉู่ฉีเหยียนพูดพลางยกมือรั้งเขาไว้


หลี่หลินสีหน้างงงวย สายตาฉงนมองไปยังฉู่ฉีเหยียน


“รอต่อไป!” ฉู่ฉีเหยียนพูดสายตาลึกลับเย็นยะเยือก พูดอย่างเย็นชา “ให้หน่วยสอดแนมที่อยู่ใกล้กับวังบูรพาอย่าเพิ่งถอยออกมา คอยจับตามองทุกฝีก้าว!”


“ขอรับ!” แม้ว่าในใจหลี่หลินจะมีข้อสงสัยหลายประการ แต่กลับไม่ลังเลในคำสั่งฉู่ฉีเหยียนแม้แต่น้อย รีบปล่อยให้นกพิราบส่งข่าวกลับไปรายงาน เขาอดไม่ไหวที่จะถามว่า “ซื่อจื่อ ข้าโง่เขลานัก ท่านจะปล่อยใต้เท้าเหยียนหลิงกับท่านหญิงสวินหยางไปเช่นนั้นหรือ? แต่หาก…”


“ไม่มีคำว่าแต่…!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ยอย่างมั่นใจและเย็นชาเล็กน้อย กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “คนที่ข้ารออยู่…ก็คือฉู่ฉีเฟิง!”


หลี่หลินอึ้งไป สีหน้างุนงงไปชั่วขณะ


“เรื่องนี้เป็นเรื่องวังบูรพา แม้เป็นเรื่องส่วนตัวของฉู่สวินหยาง แต่ฉู่ฉีเฟิงไม่แยแสแลเหลียวตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าไม่คิดว่าเขาน่าสงสัยมากหรือ?” ฉู่ฉีเหยียนถาม


หลี่หลินคิดตาม เผลอสูดเอาลมเย็นเข้าไป “ซื่อจื่อสงสัยว่านี่เป็นกลลวงที่พวกเขาวางแผนไว้เช่นนั้นหรือ? ไม่ว่าจะเป็นใต้เท้าเหยียนหลิงหรือท่านหญิงสวินหยางก็เป็นแค่ตัวหลอก เพื่อดึงความสนใจของพวกเรา ความจริงแล้ว…คนที่กำลังพาทั่วป๋าอวิ๋นจีหลบหนีก็คือคังจวิ้นอ๋องหรือขอรับ?”


ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะเยาะไม่แสดงความเห็นใด


ความสัมพันธ์สองพี่น้องระหว่างฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางลึกซึ้งเช่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรว่าจนถึงตอนนี้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้? เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ทั้งหมด ฉู่สวินหยางเป็นคนออกหน้า คงจะทำให้เขารู้สึกละอายใจ…


เพียงแต่ฉู่สวินหยางกำลังสู้กับเขาเพียงลำพัง!


หากไม่เอาเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหล่านี้มาประติดประต่อเสียใหม่ ฉู่ฉีเหยียนคงต้องถูกสองพี่น้องคู่นี้ปิดหูปิดตาหลอกให้เขาตายใจไปแล้ว


หลี่หลินไม่กล้าวางใจ รีบสั่งการให้ติดตามอีกครั้ง กำชับให้คอยสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของวังบูรพาอย่างเข้มงวด


หลังจากใช้เวลาประมาณหนึ่งเค่อความพยายามก็ไม่สูญเปล่า กลางอากาศก็มีเสียงนกพิราบกระพือปีกตัวหนึ่งบินมาจากทางวังบูรพาใกล้เข้ามา


หลี่หลินไม่นิ่งนอนใจรีบนำจดหมายลับที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่ออกมาอ่าน หลังจากที่อ่านจบเขาก็ถอนหายใจอีกครั้งพลางกล่าว ”ซื่อจื่อ คังจวิ้นอ๋องพาคนออกจากเมืองไปแล้วอย่างที่คิดจริงๆ ขอรับ!”


———————————————-


บทที่ 1 เล่ห์เหลี่ยม (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ฉู่ฉีเหยียนยิ้มเย็นชาเผยสีหน้ารู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้น เขารวบเสื้อคลุมใหญ่ที่สวมอยู่แล้วขี่ม้าออกไปนอกตรอกพลางถามว่า “พวกเขามุ่งหน้าไปทางประตูไหน?”


“ประตูเมืองทางทิศใต้ขอรับ!” หลี่หลินตอบ


“ไป!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย ควบม้าออกจากตรอกไปได้ไม่นานก็มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองทิศใต้อย่างรวดเร็ว


——————————–


ภายใต้รัตติกาลแสงจันทราสาดแสงสว่างส่องลงมา


กำแพงประตูเมืองที่สูงตระหง่าน เกราะโลหะที่เหล่าทหารรักษาเมืองสวมใส่สะท้อนแสงเย็นออกมา ท่ามกลางค่ำคืนเหมันตฤดูยิ่งทำให้หนาวเหน็บเป็นทวีคูณ


ขณะนี้เป็นเวลายามหนึ่ง ทั้งในและนอกประตูเมืองว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาผู้คน เหล่าทหารรักษาเมืองไม่กล้าประมาทเลินเล่อ คอยสังเกตความเคลื่อนไหวบริเวณโดยรอบอย่างกระตือรือร้นไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย


ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าที่คมชัดเหยียบย่ำพื้นดินที่หนาวเย็นเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ


ทหารรักษาเมืองรีบเข้าไปตรวจสอบ พอมองไปตามเสียงก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยชุดธรรมดากำลังมุ่งหน้ามายังประตูเมืองจากในเมือง


“นั่นใครจะออกจากเมืองดึกดื่น?” ทหารรักษาเมืองตะโกนถามอย่างไม่เกรงกลัว


ม้าเร็วตัวหนึ่งวิ่งแซงกองทหารมาก่อนอย่างรวดเร็ว


เจี่ยงลิ่วเตรียมป้ายอาญาสิทธิ์และโยนไปตรงหน้าเขาก่อนว่า “พวกข้าเป็นองครักษ์ของวังบูรพา ท่านจวิ้นอ๋องของพวกเราต้องการจะออกจากวัง หลีกทางให้บัดเดี๋ยวนี้!”


ใกล้ถึงช่วงกลางเดือนแล้ว พระจันทร์บนท้องฟ้าส่องสว่างจนเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ได้อย่างชัดเจน ทหารรักษาเมืองคนนั้นรีบเข้าไปคืนให้


จากนั้นฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ข้างก็เข้าไปใกล้ประตูแล้ว


“ข้าน้อยคำนับคังจวิ้นอ๋อง!” บรรดาทหารแสดงความเคารพ


“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงนั่งอยู่บนม้าสูงเด่นเป็นสง่า โต้ตอบน้ำเสียงเฉยชา สายตาชำเลืองมองเล็กน้อยและปรายตามองรอบข้างว่า “ข้าจะออกไปนอกเมือง ไม่ต้องลั่นดาลประตู หากไม่ติดปัญหาอันใด ข้าจะกลับมาประมาณเที่ยงคืน”


“ขอรับ!” ทหารรักษาเมืองรีบรับคำสั่ง “ท่านจวิ้นอ๋องมีธุระก็ไปจัดการได้อย่างเต็มที่ คืนนี้ข้าเข้าเวร หากท่านต้องการสิ่งใดก็เรียกได้ตลอดขอรับ!”


เนื่องจากเรื่องของทั่วป๋าไหวอันทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วไม่น้อยและต่อว่าต่อขานฉู่อี้อัน ช่วงเวลานี้ทหารรักษาเมืองกลับไปยึดนโยบายเดิม โดยให้กองพลทหารราบและกองกำลังรักษาพระนครผลัดกันรับผิดชอบ แม้ว่าคนของกองพลทหารราบจะเป็นคนเข้าเวรรักษาเมืองในคืนนี้ ทว่าสำหรับฉู่ฉีเฟิง ท่านจวิ้นอ๋องที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากนั้น ทุกคนก็พยายามประจบประแจงกันอย่างเต็มที่


ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เจี่ยงลิ่วก็หยิบเงินแท่งจากในอกเสื้อโยนไป “สองวันนี้อากาศหนาว สหายทั้งหลายเวรยามกลางคืนคงลำบากแย่ เจ้าไปซื้อเหล้ามาดื่มคลายหนาวเสียเถอะ!”


“ขอบพระคุณคังจวิ้นอ๋องขอรับ!”  ทหารรักษาเมืองรับแล้วคำนับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


ฉู่ฉีเฟิงชำเลืองมองเจี่ยงลิ่วสายตาเย็นชา พอกำลังจะออกคำสั่งให้ออกจากเมืองหลวง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าม้าอย่างรวดเร็วมาจากในเมืองทางด้านหลัง


ทุกคนนิ่งงันและหันไปมองตามเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่นานฉู่ฉีเหยียนก็มาถึง


“ซื่อจื่อ?” ทหารรักษาเมืองประหลาดใจ เผลอสติไปชั่วขณะรีบคำนับพลางกล่าว “ค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้ซื่อจื่อก็จะออกนอกเมืองเหมือนกันหรือขอรับ?”


เขายิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็ควบม้าผ่านทหารรักษาเมืองแล้วตรงไปยังฉู่ฉีเฟิงพลางเอ่ย “ฉีเฟิง!”


“ซื่อจื่อ!” ฉู่ฉีเฟิงผงกหน้ายิ้มพลางตอบเขาด้วยอารมณ์สงบนิ่ง “ไม่คิดว่าดึกดื่นเช่นนี้จะเผอิญเจอเจ้าที่นี่!”


“นั่นน่ะสิ ข้าก็นึกไม่ถึงเช่นกัน!”ฉู่ฉีเหยียนตอบพลางชำเลืองมองรถม้าที่อยู่ในขบวนของเขาแล้วถามว่า “ใครนั่งอยู่บนรถ ดึกดื่นยามค่ำคืนเช่นนี้จะออกจากเมืองรึ?”


เรื่องของทั่วป๋าไหวอันก็ผ่านไปแล้ว สองสามวันมานี้ทหารรักษาเมืองจึงเริ่มผ่อนปรนความเข้มงวด เพราะเป็นรถม้าวังบูรพา อีกทั้งหลานแท้ๆ ที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญที่สุดเป็นผู้พาออกมา ทหารรักษาเมืองนายนั้นจึงไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด


ครั้งนี้เขาถูกฉู่ฉีเหยียนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา จึงตระหนกเสียจนเหงื่อไหลโชก เกรงว่าฉู่ฉีเหยียนจะหาข้ออ้าง…


แม้นระหว่างฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนจะไม่มีเรื่องบาดหมางกัน แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าองค์รัชทายาทและอ๋องหนานเหอไม่ถูกกัน


ทหารรักษาเมืองคนนั้นเกรงว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวพันกับการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย จึงก้มหน้าปิดปากสนิททันที


แต่ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดเพราะฉู่ฉีเหยียนทำลายแผนการของเขา ขณะที่ฟังก็กวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้าปกติแล้วหันไปมองรถม้าคันนั้น “ข้าก็ไม่มีอะไรแอบแฝง เพียงแต่มารดาของข้าหลังจากเทศกาลตรุษจีนก็เป็นหวัด ไม่มีวี่แววว่าจะหายดี ข้ากังวลจึงนำยาสมุนไพรและเครื่องนุ่งห่มไปเยี่ยมนางสักหน่อย”


“อ้อ อย่างนั้นรึ? เช่อเฟยกำลังป่วยรึ?” ฉู่ฉีเหยียนยึ้มมุมปาก และก้มหน้าลูบแส้ม้าในมือสองครั้ง


ฉู่ฉีเหยียนจงใจเอ่ยอย่างช้าๆ ฟังดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก


ฉู่ฉีเฟิงมองเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไม่เปลี่ยน แต่สายตากลับแวววาวดุจหิมะขาวและยังคงแหลมคม


หากฉู่ฉีเหยียนก่อเรื่องขึ้นตอนนี้ เช่นนั้นก็จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน


ทั้งหลี่หลินและเจี่ยงลิ่วต่างระมัดระวัง ไม่กล้าประมาทแม้แต่วินาทีเดียวและรอคอยสัญญาณหรือคำสั่งจากเจ้านายของตนเอง


ทางด้านฉู่ฉีเหยียนแสร้งยิ้มพลางหันกลับไปถามอย่างกะทันหันว่า “คิดไปคิดมาข้าก็ยังไม่มีโอกาสไปพบเช่อเฟยเลย วันนี้ข้าไม่มีธุระพอดี ด้านนอกก็ดึกมากแล้ว งั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า ไปพร้อมกันเลย!”


ฉู่ฉีเฟิงแสร้งยิ้มมองเขาโดยไม่คัดค้านหรือปฏิเสธแต่อย่างใด


ฉู่ฉีเหยียนไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนพลางถามว่า “ทำไมรึ? เจ้าไม่สะดวกอย่างนั้นหรือ?”


“ไม่ใช่!” ฉู่ฉีเฟิงตอบแล้วค่อยๆ ถอนหายใจ “เพียงแต่นิสัยท่านแม่ของข้า เจ้าคงรู้ดีว่าเป็นเช่นไร นางถือศีลมาหลายปี นางยังไม่คุ้นชินกับการถูกคนรบกวน หากดูแลซื่อจื่อไม่ทั่วถึงล่ะก็…”


“ไม่เป็นไรหรอก!” ฉู่ฉีเหยียนยังดึงดันจะไปพร้อมเขา ไม่รอให้เขาพูดจบก็พูดตัดบทไปว่า “ปลายปีนี้ทั้งนอกและในเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นไม่หยุดหย่อน หากเช่อเฟยไม่สะดวกพบข้าก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าเดินทางกลางค่ำกลางคืนเยี่ยงนี้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า เช่นนี้เจ้าจะปลอดภัยมากกว่า”


ฉู่ฉีเฟิงรู้ว่าฉู่ฉีเหยียนเตรียมการไว้แล้ว จะเสียเวลาอยู่ที่ประตูเมืองนานไปก็ไม่ดี เขาชั่งใจเล็กน้อยสุดท้ายก็ถามอย่างประนีประนอมว่า “ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าเสียเวลาจริงหรือ?”


“ข้าก็แค่อยากไปดื่มเหล้าที่เรือนมีสุขเท่านั้นเอง!” ฉู่ฉีเหยียนก็ใช้แส้ม้าในมือชี้ไปยังเรือนมีสุขที่อยู่ไม่ไกล


แม้ว่าทั้งสองจะรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพียงข้ออ้าง แต่เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้วพูดมากไปก็เท่านั้น


“ซื่อจื่อช่างมีน้ำใจยิ่งนัก ข้าจะเสียมารยาทได้อย่างไร” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและยกมือหลีกทาง “เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเถิด!”


“เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฉีเฟิงเจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว” ฉู่ฉีเหยียนพูด รอยยิ้มยังคงสงบนิ่งและเย็นชา ขี่ม้าออกไปนอกเมืองก่อน


เดิมทีกลุ่มของฉู่ฉีเฟิงก็พาคนไปเกือบยี่สิบคนแล้ว รวมกับคนของฉู่ฉีเหยียนเข้าด้วยกัน ขบวนที่มุ่งหน้าไปยังอารามเมตตาจึงค่อนข้างใหญ่โต


มองตาม “ลูกพี่ลูกน้อง” ทั้งสองคนจากไปอย่างสามัคคีกลมเกลียวพูดคุยหัวเราะแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่ขดตัวอยู่ในมุมมาตลอดก็เดินออกมาแล้วถอนหายใจไม่หยุด พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ทุกคนต่างพูดกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างวังบูรพา และจวนอ๋องหนานเหอไม่สู้ดีนัก ดูเหมือนว่าข่าวลือนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง”


ทหารรักษาเมืองคนนั้นมองตาขวางพลางตำหนิ “เรื่องนี้เจ้ากล้าวิจารณ์ส่งเดชรึ? เจ้าอยากตายหรืออย่างไร?”


ประสบการณ์ของเขามากกว่าทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชา สีหน้าคังจวิ้นอ๋องและซื่อจื่อของหนานเหอดูเหมือนรักใคร่สามัคคี ความจริงภายใต้คำพูดหยอกล้อมีเจตนาแอบแทงข้างหลังอยู่ก็ได้?


“รับไป!” ทหารรักษาเมืองคิดไปก็ส่ายหน้า แล้วเก็บเงินแท่งของเจี่ยงลิ่วไป แล้วค้นหาเศษเงินที่เก็บไว้ในผ้าผูกเอวออกมาโยนให้ทหารผู้น้อยพลางพูด “ไปซื้อเหล้าที่เรือนมีสุขมาสองกา ให้ทุกคนดื่มอบอุ่นร่างกาย!”


“ครับ!” ทหารคนนั้นยิ้มหน้าบาน ขานรับแล้ววิ่งไปลิ่วๆ


ฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงออกจากเมืองไปพร้อมกัน มุ่งหน้าไปตามทางโดยไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง จนกระทั่งถึงทางแยกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดลี้ ฉู่ฉีเฟิงถึงค่อยๆ ดึงบังเหียน และหันไปมองเขาพูดว่า “เจ้าคงจะไม่ได้ตามข้าไปจนถึงอารามเมตตาจริงๆ ใช่หรือไม่?”


ฉู่ฉีเหยียนก้มหน้ามองพื้นด้านหน้าเล็กน้อยตลอด เขาได้ยินแล้วแต่ก็ไม่ละสายตาหันไปมอง และแค่ย้อนถามว่า “ทำไม? เจ้าจะไปอารามเมตตาไม่ใช่หรือ?”


แววตาฉู่ฉีเฟิงเย็นเยือกพลางค่อยๆ ถอนหายใจกล่าวว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรง ระหว่างเจ้ากับข้า ยังจำเป็นต้องเล่นลูกไม้เดากันไปกันมาด้วยหรือ?”


ฉู่ฉีเหยียนยิ้ม ในที่สุดเขาก็ดึงสายตากลับมามองเขา


ทั้งสองคนสบตากัน


ทั้งคู่แสร้งยิ้มส่งสายตาอย่างมีเลศนัย คนหนึ่งเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง อีกคนลุ่มลึกปานมหาสมุทร ทำให้รู้สึกราวกับคมมีดที่เฉียบแหลมพุ่งทะยานออกมาทุกสารทิศ ใบหน้าทั้งสองถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกน้ำแข็ง


ต่างฝ่ายต่างส่งสายตาหยั่งรู้ได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ เพียงแต่ไม่ได้แพร่งพรายออกมาเท่านั้น


——————————–


บทที่ 1 เล่ห์เหลี่ยม (3)

โดย

Ink Stone_Romance

นานมากทีเดียว แล้วก็ยังคงเป็นฉู่ฉีเหยียนที่ละสายตามองไปยังรถม้าที่อยู่ข้างหลังก่อนเอ่ย “เจ้ารู้ว่าข้าจะไม่หาเรื่องใส่ตัวลงมือทำร้ายเจ้าตรงนี้ ตอนนี้ข้ามีตัวเลือกให้เจ้าเลือกสองข้อ ทิ้งรถม้าคันนี้ไว้ที่นี่ เจ้าจะไปไหนก็เรื่องของเจ้า เราแยกทางกันไป ไม่งั้น…”


เขาพูดไปก็หันไปมองฉู่ฉีเฟิงอีกครั้ง แล้วยิ้มเยาะตรงมุมปากว่า “ข้าคิดว่าทำตามที่เจ้าพูดตอนอยู่ที่หน้าประตูเมืองเมื่อครู่ดีกว่า เจ้ากับข้าไปอารามเมตตาด้วยกัน จากนั้นข้าค่อยคุ้มกันเจ้ากลับวังบูรพาเอง จะได้แน่ใจว่าเจ้าไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย!”


ทหารที่ฮ่องเต้ส่งไปตามคณะทูตนั้นกลับชะตาลิขิตแล้วว่าจะคว้าน้ำเหลว ไม่แปลกที่ฉู่ฉีเหยียนจะระมัดระวัง


ต่อให้เขาสามารถนำตัวทั่วป๋าอวิ๋นจีมาจากฉู่ฉีเฟิงได้ วังบูรพาก็คงเคราะห์ร้ายในเวลาเดียวกัน หากฮ่องเต้ยังคงไล่ล่าต่อไปโดยที่ฉู่ฉีเหยียนไม่รีบรายงานจะทำให้เขาได้รับความผิดอาญาโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้


เหตุใดต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยน! สุดท้ายก็เสียผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย?


ฉู่ฉีเฟิงดูออกว่าในใจเขากำลังวางแผนอะไรอยู่ หลังจากฟังจบก็ยิ้มเย็นชา สายตาลุ่มลึกและแฝงความนัยบางอย่างมองไปยังรถม้าคันนั้นพลางถามกลับไปว่า “เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียว คนที่เจ้ากำลังตามหาอยู่ในรถคันนี้น่ะ?”


ฉู่ฉีเหยียนใจสั่นระรัวและนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง


จากนั้นเขาก็ได้สติกลับมาและมองเข้าไปในตาฉู่ฉีเฟิงอย่างลึกมากจนจะหยั่งรู้ได้


ฉู่ฉีเฟิงกลับหลบสายตาไม่ยินดียินร้าย


ฉู่ฉีเหยียนเม้มปากพลางพินิจพิจารณาเขาชั่วขณะ ระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่ก็หัวเราะอย่างไม่แยแสแล้วกล่าวว่า


”ไม่เป็นไร! ระหว่างเจ้ากับฉู่สวินหยางต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นคนพาทั่วป๋าอวิ๋นจีหลบหนี แม้ว่าข้าจะเดาผิด….ในเมื่อข้ามาแล้วก็ต้องดูให้เห็นกับตา!”


ฉู่ฉีเฟิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นึกไม่ถึงว่าเขาจะยืนกรานเช่นนี้


จากนั้นก็โต้ตอบกลับไปว่า “อีกอย่าง…ข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะเดิมพันผิดฝั่ง!”


ความจริงมีสามทาง แต่เขาไม่ได้สนใจเหยียนหลิงจวินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว…


เขากล่าวว่าจะร่วมมือกับวังบูรพา หากเพ่งพินิจให้ดีต้องพูดว่าทุกอย่างที่เหยียนหลิงจวินทำก็เพื่อฉู่สวินหยางจะเหมาะกว่า เขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อฉู่สวินหยาง ทว่าสถานการณ์ของฉู่สวินหยางในตอนนี้…


กล่าวได้ว่าฉู่ฉีเหยียนไม่เชื่อว่าเหยียนหลิงจวินจะไม่สนใจไยดีนาง และไปคุ้มกันคนอย่างทั่วป๋าอวิ๋นจีที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับเขาแม้แต่น้อย!


เหยียนหลิงจวินและฉู่ฉีเหยียนรวมทั้งฉู่ฉีเฟิงต่างไม่เหมือนกัน เหยียนหลิงจวินไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงเงินทอง เอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่มากเกินไป ไม่สนว่าใครจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร


 สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงแค่ฉู่สวินหยางเท่านั้น!


ฉู่ฉีเฟิงเห็นเหยียนหลิงจวินโง่เง่าเช่นนี้สีหน้าเขาก็ห่อเหี่ยวแล้วหุนหันพูดออกไปว่า “ก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน!”


พอพูดจบเขาก็ปลีกตัวออกมาไม่สนใจแล้วควบม้าออกไป


ฉู่ฉีเหยียนหันกลับไปมองดูเมืองหลวงที่อยู่ด้านหลัง ขณะที่หันกลับมาสายตายังคงมองรถม้าคันนั้น จากนั้นก็สลัดความคิดที่ปะปนอยู่ในหัวออกไป แล้วตามฉู่ฉีเฟิงไปต่อ


ความจริงฉู่ฉีเฟิงพูดถูก เขากำลังเดิมพันอยู่ แม้เขาเชื่อมั่นถึงเก้าส่วนว่าทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่บนรถคันนี้ แต่ยังมีความเป็นไปได้อยู่อีก


เนื่องจากว่าเป็นการเดิมพัน…


ฉะนั้นความเสี่ยงนี้ก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้


ขณะที่ฉู่ฉีเฟิงถูกฉู่ฉีเหยียนมัดมือชกให้ออกจากเมืองไปด้วยกัน ฉู่สวินหยางก็พาคนมาถึงประตูเมืองทางทิศตะวันออกแล้วเช่นกัน


เนื่องจากวังบูรพาตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลวง แสดงว่าฉู่ฉีเฟิงออกมาช้ากว่านางหนึ่งเค่อ ทว่าประตูเมืองทางทิศใต้อยู่ใกล้วังบูรพาหน่อย หากเทียบดูแล้วฉู่สวินหยางจะไปถึงประตูเมืองทางทิศตะวันออกล่าช้ากว่าก้าวเดียวเท่านั้น


“ท่านหญิงฉู่สวินหยางใช่หรือไม่?” ทหารรักษาเมืองแปลกใจมาก รีบลงมาจากป้อมปราการ มองไปทางรถม้าที่อยู่หลังนางพลางเอ่ย “ท่านหญิง ยามวิกาลเช่นนี้ นี่ท่านจะ…”


“ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องออกจากวัง หลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ฉู่สวินหยางพูด นางกระวนกระวายใจสีหน้าเป็นกังวล “อย่างช้าที่สุดหนึ่งชั่วยามครึ่งข้าก็กลับมาแล้ว”


ว่ากันตามเหตุผลแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ทหารรักษาเมืองกลับตะขิดตะขวงใจ ลองต่อรองด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ท่านหญิง ค่ำมืดเช่นนี้ท่านออกไปนอกเมืองตัวคนเดียว เกรงว่าองค์รัชทายาทจะเป็นห่วง ท่าน…”


“เรื่องของเสด็จพ่อและข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” ฉู่สวินหยางตัดบทเขาอย่างหงุดหงิด


ชิงหลัวที่เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวของบุรุษและอยู่ด้านข้างเหมือนกับอดรนทนไม่ไหวจนควบม้าเข้ามาแล้ว สะบัดแส้ม้าตบหน้าผากทหารรักษาเมืองพูดอย่างไม่แยแส “ท่านหญิงบอกให้เจ้าหลีกทาง เจ้าก็หลีกทางสิ มัวพูดจาเหลวไหลอยู่ได้ ข้าว่าเจ้าทำงานแย่เช่นนี้คงไม่อยากทำต่อแล้วใช่หรือไม่?”


ขณะพูดก็สะบัดแส้ลง


ทหารรักษาเมืองคนนั้นถูกชิงหลัวขู่จนกุมหัวและรีบหลีกทางให้ทันที


“หึ” ฉู่สวินหยางแสดงความไม่พอใจพลางโบกมือสั่งการ “พวกเราไป!”


ทหารรักษาเมืองสีหน้ากระวนกระวายอยากที่จะตามมาและพูดอะไรบางอย่าง กลับถูกชิงหลัวส่งสายตาเย็นขู่เข็นเขาจึงล่าถอยไป


ฉู่สวินหยางท่าทางหยิ่งยโสนำขบวนจากไป จากนั้นรีบเร่งออกจากประตูเมืองไป ทหารรักษาเมืองนายนั้นเห็นว่ารั้งไว้ไม่อยู่เขาก็เหงื่อไหลท่วมตัว วิ่งไปร้องเรียกทหารผู้น้อยอีกคนว่า “แย่แล้วๆ ท่านหญิงก่อเรื่องอีกแล้ว ข้าคิดว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ เจ้ารีบไปส่งข่าวที่วังบูรพาด่วน หากว่าเกิดเรื่องโกลาหลขึ้นจริง องค์รัชทายาทจะต้องตำหนิอย่างหนัก เจ้ากับข้าคงได้หัวหลุดจากบ่าเป็นแน่!”


ทหารคนนั้นเข้าใจเหตุผลแจ่มแจ้ง ตกปากรับคำวิ่งพรวดไปทันที


ทหารรักษาเมืองนายนั้นครุ่นคิด เขาคิดว่าไม่ควรที่จะรอดูสถานการณ์เช่นนี้ เขาคิดอยู่นานจึงตัดสินใจกัดฟันเรียกเหล่าทหารรักษาเมืองที่เข้าเวรคืนนี้มาพลางสั่งการว่า “เร็วเข้าๆ พวกเจ้ารีบตามข้าออกตระเวนไป ทางที่ดีห้ามใช้กำลังโดยเด็ดขาด!”


ทุกคนต่างกุลีกุจอวิ่งออกไป


อีกด้านฉู่สวินหยางเพิ่งจะพาพวกชิงหลัวออกมาจากเมืองก็ขมวดคิ้ว นางดึงบังเหียนหยุดทันที และกวาดสายตาเฉียบคมมองรอบด้าน


ความสามารถในการสังเกตการณ์ของชิงหลัวดีไม่แพ้นางเลยทีเดียว นางรู้สึกไม่ชอบมาพากล จึงรีบหวดม้าไปขวางหน้าฉู่สวินหยางอย่างเยือกเย็น และตะโกนเสียงทุ้มออกไปท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บว่า “เจ้าเป็นใครเหตุใดทำตัวลับๆ ล่อๆ? ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก!”


เสียงของนางยังไม่ทันจางหาย ก็มีเสียงดังออกมาจากป่าไพรทั้งซ้ายและขวาตรงหน้าดังมาก กองกำลังรักษาพระนครนับร้อยถือทวนพุ่งออกมา


ท่ามกลางยามราตรีนั้นปลายทวนเปล่งแสงเย็นและชี้ไปยังกลุ่มของฉู่สวินหยางที่อยู่หน้าประตูเมืองโดยพร้อมเพรียงอย่างเย็นชาและเย็นยะเยือก


“บังอาจนัก!” ชิงหลัวตะโกนว่า “พวกเจ้าไม่รู้จักท่านหญิงหรืออย่างไร? พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาแอบซุ่มอยู่ที่นี่ ทั้งยังกล้าใช้อาวุธจ่อหน้าท่านหญิงเช่นนี้ ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”


ท่ามกลางฝูงชนก็ปรากฏความปั่นป่วนขึ้น…


ที่แท้ก็เป็นฉู่สวินหยาง? พวกเขาสั่งให้ซุ่มโจมตีคนๆ หนึ่งรอครึ่งค่อนวันเป็นท่านหญิงสวินหยางเช่นนั้นหรือ?


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


จากนั้นยังไม่ทันปล่อยให้ความกระวนกระวายของคนเหล่านั้นกระหน่ำออกมา ก็ประจันหน้ากับผู้ที่สวมเสื้อคลุมล้ำค่าสีน้ำตาลเข้มที่นั่งอยู่บนหลังม้าสูงตระหง่านและกำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้


มงกุฎประดับศีรษะ สีหน้าสง่างาม


ไม่ใช่ผู้อื่นใด…


พี่ชายคนโตของฉู่สวินหยางนามว่า หวงจ่างซุนฉู่ฉีฮุย!


“หวงจ่างซุนรึ?” ชิงหลัวฉงนและเหม่อลอยไปเล็กน้อย ฉู่สวินหยางใช้ปลายแส้ดันนางออกและขี่ม้าไปข้างหน้าเอง


ภายใต้แสงจันทร์ ฉู่ฉีฮุยสีหน้าเย็นชากอปรใบหน้าสง่างามที่ไม่เหมาะกับท่าทางเหี้ยมโหดอำมหิต จ้องเขม็งมาที่ฉู่สวินหยางที่นั่งบนหลังม้าฝั่งตรงข้าม


“พี่ใหญ่?” ฉู่สวินหยางสบสายตาเขา และกวาดสายตามองเหล่าทหารเบื้องหน้าด้วยสายตาเยือกเย็นเป็นประกายถาม “ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”


ฉู่ฉีฮุยมองดูนางแต่ไม่พูดโต้ตอบ แค่สูดลมหายใจลึกพลางพูดอย่างไม่ไยดีว่า “เจ้าจะยอมมอบตัวโดยดีหรือจะให้ข้าจับตัวเจ้าไปรับโทษ เจ้าคิดดูให้ดีแล้วกัน!”


น้ำเสียงหยิ่งยโสโอหัง ในใจเขาภูมิใจกระหยิ่มยิ้มย่อง


คิ้วทั้งสองข้างของฉู่สวินหยางบรรจบกัน เห็นท่าทางของนางเช่นนี้แล้วแต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้ายินดียินร้าย ขณะเดียวกันกลับเฉยเมยพลางพูด “ข้าว่าพี่ใหญ่เสียสติไปแล้ว พูดพล่ามอะไรของท่าน? ท่านมีธุระอะไรหรือไม่? เช่นนั้นก็หลีกทางให้ข้าแล้วท่านก็ไปสะสางธุระของท่านต่อเถอะ เพลานี้ก็ดึกมากแล้ว ข้ายังต้องรีบกลับมาเมืองหลวงอีก”


ฉู่สวินหยางถึงตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ? เหตุใดต้องให้ข้าบังคับจึงจะยอมก้มหัวให้? ฉู่ฉีฮุยพูดดักไว้ทุกทาง ค่อยๆ ยกแส้หางม้าที่อยู่ในมือชี้ไปที่นาง “หากเจ้าอยากไปใช่ว่าจะทำไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็รีบเรียกคนที่อยู่ในรถม้าออกมาให้ข้าตรวจดูเสียก่อน หากไม่มีปัญหาข้าจะปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!”


ขณะที่กล่าวก็เชิดหน้าส่งสัญญาณให้ฉางหลินพลางสั่งว่า “ไปค้นซิ!”


สายตาฉู่สวินหยางเพ่งตามองไม่ละสายตา


————————————-


บทที่ 1 เล่ห์เหลี่ยม (4)

โดย

Ink Stone_Romance

ชิงหลัวชักดาบออกมาจากฝัก กางแขนขวางข้างหน้า และเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใครกล้าลองดีต่อหน้าท่านหญิง! ใครกล้าผลีผลามเข้ามาล่ะก็ ข้าจะตัดหัวมันก่อน!”


ฉางหลินถือเป็นคนสนิทของงฉู่ฉีฮุย เขารู้ว่าฉู่ฉีฮุยตัดสินใจทุ่มหมดหน้าตักกับเรื่องนี้ เหตุใดต้องเกรงกลัวการข่มขู่นี้เขาจึงชักดาบออกมาทันที ผลักดาบยาวที่อยู่ในมือของชิงหลัวออกไป ก้าวเท้ามุ่งไปยังรถม้าคันนั้น


ชิงหลัวท่วงท่าแน่วแน่มั่นคง ใช้มือผลักอานม้ากระโดดลงมาในฝ่ามือเดียว จงใจแทงไปยังแผ่นหลังของฉางหลิน


ฉางหลินรีบป้องไว้ พลิกฝ่ามือขัดขวางการสังหารของนาง ต่อสู้เอาชนะนางด้วยใบหน้าที่เฉยชา


ขณะนั้นเหล่าทหารรักษาเมืองด้านในทราบข่าวก็วิ่งออกมา


ทั้งสองแววตาดุจดาบคม ทหารรักษาเมืองที่รออยู่ก็อกสั่นขวัญหาย รีบพาคนวิ่งเข้าไปแทรกตรงกลางระหว่างทั้งสองคน และเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “หวงจ่างซุน ท่านหญิงสวินหยาง ได้โปรดออมมือ พวกท่านเป็นพี่น้องกันมีเรื่องอะไรเจรจากันดีๆ ได้หรือไม่? เหตุใดต้องใช้กำลังด้วย?”


เขาพูดไปก็จะให้ชิงหลัวเก็บดาบ


ชิงหลัวใยเลยจะไว้หน้าเขา นางบิดข้อมือดาบคมเกือบเฉือนนิ้วของทหารรักษาเมืองขาด


ทหารรักษาเมืองคนนั้นมองดูทั้งสองฝ่ายราวจะกินเลือดเนื้อกัน เหงื่อแตกท่วมตัวพูดวกไปวนมา “มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันเถอะขอรับ…”


วันนี้ฉู่สวินหยางอดทนได้ไม่ดีเอาเสียเลย ไม่มีกะจิตกะใจจะเสียเวลากับฉู่ฉีฮุยต่อไป รีบลงแส้ม้ามุ่งไปด้านหน้าพลางกล่าว “ท่านต้องการอะไรกันแน่? ท่านขวางทางข้ายังพอไหว แต่ยังใช้ดาบชี้หน้าข้าอีกรึ? หวงจ่างซุนท่านวางอำนาจบาดใหญ่เช่นนี้ วันนี้หากท่านไม่สามารถให้เหตุผลที่เหมาะสม เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างเราสองพี่น้อง รอไปถกปัญหาต่อหน้าท่านพ่อก็แล้วกัน!”


“เจ้าไม่ต้องเอาท่านพ่อมาอ้าง ครั้งนี้เจ้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่มีทางตามใจเจ้าหรอก!” ฉู่ฉีฮุยโต้กลับแววตาสะท้อนความเลือดเย็นจ้องรถม้าที่อยู่ข้างหลังนางตาไม่กระพริบพลางกล่าว “เจ้ากล้าขัดคำสั่งฮ่องเต้ แอบคุ้มกันนักโทษสถานหนักที่ฮ่องเต้หมายหัวไว้ออกจากเมืองหลวง สวินหยาง…ดูท่าท่านพ่อจะยอมให้เจ้ามากไป รักเจ้าจนไม่ลืมหูลืมตา!”


“ฮ่องเต้ทรงหมายหัวนักโทษสถานหนักงั้นรึ?”


ทุกคนได้ยินต่างประหลาดใจ แล้วกวาดสายตามองไปบนรถม้าคันนั้นพร้อมเพรียงกัน


“นักโทษอย่างนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางยิ้มเมินเฉยไม่สะดุ้งสะเทือน เบนสายตาเยือกเย็นไปพลางเอ่ย “แต่ก็เป็นเพียงเรื่องภายในวังบูรพาของเรา พี่ใหญ่…ข้ารู้ว่าปกติแล้วท่านพ่อเอ็นดูข้าคงทำให้ท่านและเช่อเฟยไม่พอใจ แต่เรื่องราวในตระกูลที่ไม่ดีงามก็ไม่ควรแพร่งพรายให้ผู้อื่นรู้ สิ่งที่ข้าพูดท่านควรตรองดูให้ดีก่อน หากเรื่องนี้แดงขึ้นมาคงส่งผลเสียต่อท่านไม่น้อย!”


ฉู่ฉีฮุยแววตาเป็นประกาย ใจพะวักพะวนอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับโต้เถียงกลับไป…


ฉู่สวินหยางประหม่าอย่างเห็นได้ชัด!


นางต้องการจะคุ้มครองทั่วป๋าอวิ๋นจีออกจากเมืองหลวง นี่เป็นโทษอาญาฐานหลอกลวงฮ่องเต้ หากว่าครั้งนี้ทำสำเร็จ เช่นนั้นจะกำจัดนางก็ไม่ใช่เรื่องยาก


ช่วงนี้ท่านพ่อ นับวันยิ่งไม่ค่อยอยากพบฉู่สวินหยาง ท่านแม่พูดถูกสองพี่น้องฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางเป็นกาลกินี จะต้องตัดรากถอนโคนกำจัดให้สิ้นซาก!


“ทำไมล่ะ เจ้ากลัวอย่างนั้นหรือ?” ฉู่ฉีฮุยสงบนิ่งยิ้มเยาะพลางเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าเจ้าน่ะตัวคนเดียวไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ยังอยากจะลากคนในวังบูรพามาเป็นแพะรับบาปหรืออย่างไร? ท่านพ่อโปรดปรานเจ้ามาก สถานการณ์แบบนี้เจ้ายังคิดว่าท่านพ่อจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเจ้างั้นหรือ? เขารู้จักแยกแยะถูกผิด ข้าไม่อ้อมค้อมแล้วกัน วันนี้ข้าได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้มารอเจ้าอยู่ที่นี่ เห็นแก่ที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง…”


ฉู่ฉีฮุยโต้กลับไปทวีความเย็นเยือก แล้วชี้ไปยังรถม้าอย่างโหดเหี้ยมพลางเอ่ย “ส่งตัวคนที่อยู่ในรถให้ข้า พอกลับไปถึงเบื้องหน้าพระพักตร์แล้ว ข้าจะช่วยขอร้องให้ฝ่าบาทละเว้นชีวิตเจ้าเอง!”


คำพูดของเขาดูน่าเชื่อถือ ทว่าเนื่องจากฐานะของฉู่ฉีฮุยและฉู่สวินหยาง บรรดาทหารรักษาเมืองที่อยู่บริเวณนั้นไม่สามารถวางมือนิ่งเฉยได้ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะโจมตีตลอดเวลาและแอบวางท่าอยู่อีกด้านยืนรวมกันอยู่ทางฝั่งฉู่ฉีฮุย คอยระมัดระวังฉู่สวินหยาง


ฉู่สวินหยางกวาดสายตามองทวนที่สว่างไสวราวกับหิมะรอบตัว แต่สีหน้ากลับเยือกเย็นและยิ้มอีกครั้ง


“ช่างน่าขันสิ้นดี!” นางเผชิญหน้ากับฉู่ฉีฮุย แสร้งยิ้มพลางพูด “เดิมทีข้าได้รับมอบหมายจากท่านพ่อให้ออกจากเมืองหลวงไปทำธุระ เหตุใดจึงเกิดเรื่องขัดแย้งขึ้นเช่นนี้ ซ้ำยังส่งท่านมาขัดแข้งขัดขาข้าอีก บนรถม้าของข้าไม่มีนักโทษสถานหนักหรอก ท่านพี่…ข้าจะบอกให้อย่างหนึ่งนะ หากเรื่องนี้เป็นเพียงเหตุผลส่วนตัวของท่าน แล้วไม่คิดแยกแยะผิดถูก ท่านจงใจจะหาเรื่องข้าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ท่านจะเมินเฉยแสร้งว่าเป็นคำสั่งของท่านพ่อและฝ่าบาทเช่นนี้…”


ขณะที่นางพูดก็ส่ายศีรษะเล็กน้อยไม่ยินยอมการกระทำของฉู่ฉีฮุยพลางเอ่ย “ช่างมันเถอะ!”


เรื่องในวันนี้ฉู่ฉีฮุยตัดสินใจวางแผนจัดการฉู่สวินหยางโดยพลการ ถึงแม้ค่อนข้างอันตราย แต่หากได้ตัวทั่วป๋าอวิ๋นจีมา ต่อให้นางอมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อ ถึงตอนนั้นฉู่ฉีเฟิงก็คงไม่เห็นใจช่วยนางแก้ต่าง ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงกริ้วมหันต์ ฉู่สวินหยางอย่างไรก็ต้องตายอยู่แล้ว ส่วนฉู่ฉีเฟิง…


หากเขาไม่ตายก็คงไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป!


ขณะที่เขากำลังคิดเขาก็ตั้งใจแน่วแน่ เขาโบกมือพลางพูด “อย่าฟังคำพูดเหลวไหลของนาง รีบนำตัวนางไป!”


เหล่าองครักษ์ที่ถือทวนเตรียมเข้าโจมตี ฉู่สวินหยางกวาดสายมองไปรอบๆ อย่างเย็นยะเยือก และพูดอย่างเย็นชา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าทบทวนให้ดี พวกเจ้าได้รับคำสั่งจากท่านพ่อให้มาขัดขวางข้าไว้เช่นนั้นรึ?”


กองกำลังรักษาพระนครกลับไปอยู่ใต้อำนาจฉู่อี้อัน แต่เขาเป็นองค์รัชทายาท ไปตรวจการที่ศาลาว่าการพระนครได้สิบถึงสิบห้าวันถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนใหญ่แล้วศาลาว่าพระนครจะเป็นคนจัดการหนังสือราชการที่สำคัญและส่งเข้าไปในวังให้เขาอนุมัติที่ตำหนักช่างหมิงเซวียนเอง


วันนี้ฉู่ฉีฮุยก็ไปศาลาว่าการพระนครกะทันหัน นำป้ายอาญาสิทธิ์ของวังบูรพาไปด้วย บอกว่าจะโยกย้ายกำลังทหารแปดร้อยนายตามเขาไปทำภารกิจนอกเมือง


ฉู่ฉีฮุยเป็นหลานของฮ่องเต้ ซ้ำยังเป็นลูกชายคนโตขององค์รัชทายาท ขอโยกย้ายกำลังทหารแปดร้อยนาย หากเป็นคำสั่งของฉู่อี้อันคงไม่มีปัญหาอะไร


แต่ว่าใครจะคิดว่าจุดประสงค์การโยกย้ายกำลังทหารก็เพื่อ…


แท้จริงก็เพื่อขัดขวางฉู่สวินหยาง!


สองพี่น้องต่างคนต่างความคิด จึงทำให้เหล่าทหารต้องรอปฏิบัติตามคำสั่งอย่างยากลำบาก ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนว้าวุ่นใจและกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


ฉู่ฉีฮุยมุ่งมั่นพยายาม ไม่ปล่อยให้นางถ่วงเวลาไว้ เปล่งเสียงดังขึ้นมา “ฉางหลินไปลากตัวคนที่อยู่ในรถม้ามาให้ข้า จับให้ได้คาหนังคาเขาพร้อมของกลางจะได้ดิ้นไม่หลุด ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมาไม้ไหนอีก!”


ฉางหลินเบี่ยงไปด้านข้างพลางพุ่งตรงไป ชิงหลัวเคลื่อนตัวจะเข้าไปขวางกลับช้าไปหนึ่งก้าวไม่ทันการณ์เสียแล้ว


ฉางหลินวิ่งตรงไปยังรถม้าคันนั้นเอื้อมมือจะเปิดม่านประตูรถม้า


ฉู่สวินหยางสีหน้าโกรธเคือง ทันใดนั้นก็กระโดดจากหลังม้าขึ้นไปกลางอากาศ


ในเวลานั้นทุกคนเทความสนใจไปรวมอยู่ที่ฉางหลิน นางคล่องแคล่วว่องไวมากและพุ่งเข้าไปหาฉู่ฉีฮุยอย่างฉุนเฉียว


องครักษ์ที่คุ้มกันอยู่ข้างกายฉู่ฉีฮุยตกใจมากจนหน้าซีด และเผลอยกทวนแทงไปในอากาศโดยไม่รู้ตัว แล้วร้องอย่างตกใจว่า “คุ้มกันหวงจ่างซุน!”


ฉู่สวินหยางยิ้มเย็นชาและสะบัดแขนเสื้อ นางสะบัดแส้นุ่มในมือออกไปพันทวนในมือขององครักษ์สี่คนไว้ด้วยกันให้หมด ในขณะที่พลิกตัวหย่อนลงมาแตะพื้นดิน นางก็พลิกมือกางแขนหนีบทวนไว้ที่ใต้รักแร้ ปลายทวนที่แหลมคมและเย็นเยียบยันอยู่กับลำคอของฉู่ฉีฮุยที่อยู่บนม้าพอดี หากเขากล้าขยับแม้แต่นิดเดียวทวนคงทิ่มทะลุกลางลำคอเลือดพุ่งกระฉูดแน่


ฉู่ฉีฮุยหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา และมองนางอย่างหวาดผวาและทำอะไรไม่ถูก


แม้ฉู่สวินหยางจะยืนอยู่ข้างม้า แต่กลับก้มมองเขาด้วยสายตาเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะขวางทางข้า?”


ฉู่ฉีฮุยรู้ดีว่าฉู่สวินหยางโหดเหี้ยมไร้ความปราณี ท่ามกลางสายตาทุกคนที่จ้องมองอยู่เขาก็โกรธพุ่งพล่าน


ทันใดนั้นก็มีแถวแสงไฟคดเคี้ยวยาวเหยียดออกมาจากในเมือง มีคนเปล่งเสียงแหลมทลายอากาศที่ว่างเปล่ายามราตรี


“ฮ่องเต้เสด็จ!”


———————————–


บทที่ 2 จบเห่! (1)

โดย

Ink Stone_Romance

“ฮ่องเต้เสด็จ…”


“องค์รัชทายาทเสด็จ…”


เสียงขานสองเสียงดังขึ้นต่อเนื่องทลายบรรยากาศเคร่งขรึมตรงหน้าจนมลายสิ้น


ทุกคนตะลึงงันไม่ไหวติงไปชั่วระยะหนึ่ง


เวลานี้ฮ่องเต้บังเอิญเสด็จออกจากวังกะทันหันได้อย่างไร?


ปีนี้นอกจากฮ่องเต้อายุมากแล้ว บางครั้งในฤดูร้อนก็จะไปหลบร้อนที่ตำหนักนอกเมือง และทุกครั้งที่ถึงเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ฮ่องเต้ก็จะไปเซ่นไหว้ที่หอบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงออกจากวังน้อยมากแล้ว


จะว่าไปตอนนี้อากาศหนาวจนพื้นกลายเป็นน้ำแข็ง ซ้ำยังดึกดื่นเช่นนี้ เหตุใดฮ่องเต้จึงเสด็จออกจากวังอย่างกะทันหัน?


อีกทั้ง…


บังเอิญขนาดมุ่งหน้ามาที่นี่ด้วย?


ฉู่สวินหยางขมวดหัวคิ้วที่มีเสน่ห์ของนางเล็กน้อยและมองไปยังฉู่ฉีฮุยว่า “ท่านเป็นคนวางแผนรึ?”


ครั้งนี้ฉู่ฉีฮุยเตรียมการพร้อมเสร็จสรรพหมายจะเอาชีวิตนางให้ได้จริงๆ!


จงใจขัดขวางให้นางติดกับดักอยู่ที่นี่แล้วหาโอกาสให้คนไปเชิญฮ่องเต้มา


คนหนึ่งก็ทำนาบนหลังคน อีกคนก็ต้องการจะจับขโมยให้ได้คาหนังคาเขา


เดิมทีฉู่ฉีฮุยหวาดกลัวปลายทวนที่อยู่ในมือนาง ครั้งนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ สายตาเยาะเย้ยก้มมองทวนของฉู่สวินหยางที่ค้ำอยู่ตรงซอกคอว่า “ข้าเตือนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าให้ยอมจำนนแล้วตามข้าไปแต่โดยดี เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้…เจ้าจะเสียใจภายหลังก็สายไปเสียแล้ว!”


รถม้าของฮ่องเต้มาเร็วมาก องครักษ์สามพันนาย บวกกับขันทีและนางในที่ตามเสด็จมา แค่เสียงฝีเท้าเหยียบย่ำพื้นที่ดังสะเทือนเลือนลั่นก็สลายฝันของทุกคนยามค่ำคืนทันที


อาจเพราะอกสั่นขวัญเสียกับสถานการณ์ในครั้งนี้ ทันใดนั้นก็แว่วเสียงร้องไห้ผู้หญิงดังมาจากในรถม้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะถูกคนปิดปากไว้ทันควัน เสียงนั้นจึงเงียบไปเร็วมาก


ฉู่ฉีฮุยตกใจ แสงไฟในดวงตายิ่งลุกโชนจนปิดไม่มิด เขาเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “ลากตัวคนที่อยู่ในรถม้าออกมาเดี๋ยวนี้”!


ฉู่สวินหยางโมโหจึงดันทวนในมือไปข้างหน้า


ทวนคมกริบกรีดซอกคอฉู่ฉีฮุยเป็นแผลทันที


“องค์รัชทายาท!” ฉู่ฉีฮุยหน้าซีดเผือด องค์รักษ์ที่อยู่ข้างเขากลับทำอะไรไม่ถูก คมทวนที่สว่างราวกับหิมะนับไม่ถ้วนเล็งมาทางนี้ แต่กลับเกรงว่าฉู่สวินหยางจะบันดาลโทสะจนทำร้ายฉู่ฉีฮุย จึงไม่กล้าผลีผลาม


ฉู่ฉีฮุยมองฉู่สวินหยางอย่างเย็นชา แต่กลับไม่มีความหวาดหวั่นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว จึงแสร้งพูดว่า “สวินหยางเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าขอเตือนให้เจ้าเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตนเองดีกว่า!”


“ข้าจะแก้ปัญหาอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาสอนข้า!” ฉู่สวินหยางเหมือนถูกเขากระตุ้นนิสัยดื้อรั้นขึ้นมา ปฏิเสธความความหวังดีด้วยใบหน้าเฉยเมย สายตาแหลมคมมองรอบด้านพลางกล่าว “พวกเจ้าทุกคนหลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น…ข้าจะไม่เกรงใจเจ้านายของพวกเจ้า!”


สายตานางโหดเหี้ยมแฝงความรู้สึกขู่เตือนอย่างไม่ปิดบัง ในสายตาคนอื่นคิดว่านางยอมทุ่มสุดตัวแล้ว


ระหว่างที่พูดนางก็มองไปทางรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูเมืองสั่งว่า “รีบไปเอารถม้ามาเดี๋ยวนี้!”


จากนั้นสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เป็นการเตือนเหล่าองครักษ์ที่ล้อมเตรียมบุกโจมตีอีกครั้ง


ท่านหญิงสวินหยางคนนี้สติฟั่นเฟือนไปแล้วหรืออย่างไร?”


พริบตาเดียวฮ่องเต้ก็มาถึง นึกไม่ถึงว่านางยังคงดิ้นรนอย่างสุดชีวิต


คนอื่นยังไม่กล้าลงมือกับนาง ละล้าละลังอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ลังเลไม่บุกเข้าไป


ก่อนหน้านั้นคนขับรถม้าก็ถูกฉางหลินลากลงมาแล้วเหวี่ยงตัวออกไปไกลแล้ว ตอนนั้นเห็นว่าผ้าม่านบนรถถูกเปิดออกมุมหนึ่ง ชิงเถิงออกมาจากข้างในและหยิบแส้ที่ตกอยู่ข้างๆ จะฝ่าเข้าไป


“มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังโง่ดักดานอีกเหรอ?” นัยน์ตาของฉู่ฉีฮุยฉายแววบ้าคลั่งและเอ่ยเสียงดังว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ฟังคำเตือนของข้า เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าทำร้ายญาติของตนเองเพื่อรักษาความถูกต้องแล้วกัน!”


เขาจงใจจะเปล่งเสียงดังแสร้งขึงขังแสดงถึงทัศนคติและความยุติธรรม แต่ไม่รู้ว่าจะดังไปถึงรถม้าประจำตำแหน่งของฮ่องเต้หรือไม่


“หึ” ฉู่สวินหยางเปล่งเสียงดูหมิ่นไม่แม้แต่จะแยแส ตะเบ็งเสียงข่ม “ชิงเถิง เจ้าส่งรถม้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ใครกล้าขวาง ฆ่าไม่ละเว้น!”


“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงเถิงคุกเข่าลงตอบ


ขณะนั้นฉู่ฉีฮุยกลับแอบดีใจ…


โชคดีที่ท่านพ่อรักนางมากตามใจเสียจนนางกลายเป็นคนไม่รู้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ ใช่ว่าเขาไม่ว่ากล่าวตักเตือนหรือไม่สนใจญาติของตนเอง แต่เป็นเพราะนางแกว่งเท้าหาเสี้ยน ใครก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น


ยิ้มเยาะในใจ ทันใดนั้นสายตาฉู่ฉีฮุยก็ดูเลือดเย็นขึ้นมาพลางยกมือโบกพูดเสียงดัง “ฉู่สวินหยางขัดราชโองการมีความผิดใหญ่หลวง มือธนูขัดขวางนางไว้อย่าให้นางหนีไป ไม่ว่าจะเป็นตายจับตัวนางไว้ให้ได้!”


คนที่อยู่ในรถฟังแล้วนิ่งเงียบ ทันใดนั้นก็มีเสียงโอดครวญออกมา “อย่านะ…”


ทุกคนต่างเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน…


ท่านหญิงสวินหยางขาดสติและพาลโกรธแล้วจริงๆ


อีกอย่างยังมีหวงจ่างซุนนั่งกำกับดูแลอยู่ ขอเพียงแค่ได้ตัวนักโทษกระทำผิดร้ายแรงที่อยู่ในรถม้าไป เช่นนั้นฮ่องเต้ต้องประทานรางวัลให้แน่ พวกเขาแต่ละคนต่างมีส่วนได้รับส่วนแบ่ง แต่ความผิดของฉู่สวินหยางนั้น…


นี่เป็นคำสั่งของหวงจ่างซุน ต่อให้องค์รัชทายาทต้องการสืบสวน ก็ไม่มีทางสืบสาวไปถึงพวกเขาแน่นอน


ด้วยผลประโยชน์เหล่านี้ ทุกคนต่างเลือดเดือดพล่าน จึงให้มือธนูคอยจับตามองง้างธนูรอเตรียมพร้อม ส่วนคนอื่นก็ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว หลีกทางให้มือธนูเล็งเป้าหมายได้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น


“พี่ใหญ่ ท่านเสียสติแล้วรึ?” ฉู่สวินหยางอุทานน้ำเสียงฉุน


แล้วนางก็เงียบไป ฉู่ฉีฮุยยิ้มมุมปาก สีหน้าดุร้าย โบกมือขึ้นอย่างเยือกเย็นเป็นสัญลักษณ์สั่งการ


“ยิง!”


อธิบายได้คำเดียวว่า ‘โหดเหี้ยมอำมหิต’ ซ้ำยังแสดงถึงความวางอำนาจบาตรใหญ่


ฉู่สวินหยางหันไปมองรถม้าคันนั้นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ยังไม่ทันได้พูดก็…


ห่าฝนธนูปกคลุมไปทางรถม้าอย่างมืดฟ้ามัวดิน


ชิงเถิงที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับรถม้าตื่นตกใจจนลืมกิริยาท่าทาง สีหน้าซีดเผือด


ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ชิงหลัวที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ไม่ไกลก็กระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว นางกระโดดจากที่สูงลงต่ำ แล้วกลิ้งไปบนพื้นสองรอบและหลบไปด้านข้าง


ถึงกระนั้นธนูดอกหนึ่งก็ถากต้นขาจนเป็นแผล


มือธนูนับร้อยยิงโดยพร้อมเพรียงกัน


ทว่าทหารองค์รักษ์ที่อยู่ข้างๆ และขันทีของวังบูรพาอีกหกคนที่อยู่ข้างๆ รถม้าคันนั้นกลับไม่ถอยไปแม้จะรู้ว่ามีภัยมาถึงตัว และหยิบดาบขึ้นมาประจันหน้าอย่างไม่กลัวตาย พยายามปัดป้องลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างคับคั่ง


แต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลเพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ มือธนูไม่รีรอที่จะง้างธนูครั้งที่สอง ภายในรถม้าก็มีเสียงสตรีกรีดร้องโหยหวนน่ารันทดทิ่มแทงจิตใจชวนน่าขนลุก


“เพล้ง!” ฉู่สวินหยางหน้าเขียว ทวนยาวที่อยู่ในมือของนางตกเสียงดัง มองไปยังรถม้าคันนั้นอย่างงุนงง เหมือนนางตกใจมากเกินไปจนแน่นิ่งไป


ฉู่ฉีฮุยเห็นกับตาและเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยความภาคภูมิใจราวกับเป็นผู้ชนะ


แต่เพียงชั่วพริบตาก็แสร้งทำหน้าห่อเหี่ยวทันที


ในเวลานี้หยางอวิ๋นชิงผู้บัญชากองทหารองครักษ์ที่อารักษ์ขาฮ่องเต้ออกจากวังก็ขี่ม้าเร็วมาก่อนแล้ว สีหน้าเยือกเย็นพลางพูดเสียงดังฟังชัด “ใครกล้ายิงธนูในสถานที่แห่งนี้ทำให้ฮ่องเต้ทรงตกพระทัย พวกเจ้ามีกี่หัวพอให้รับผิดชอบ?”


ขณะที่พูด เบื้องหลังเขาก็มีเหล่าองครักษ์ที่ถือทวนในมือและสวมเกราะป้องกันอยู่เดินขบวนเรียงรายมาแน่นขนัด ล้อมสถานที่เกิดเรื่องทั้งหมดตรงนอกประตูเมืองนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา


ฉู่อี้อันควบม้าออกจากในเมืองมาคุ้มกันข้างราชรถของฮ่องเต้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


ฉู่ฉีฮุยตัดสินใจพลิกตัวลงจากม้า วิ่งเต็มเหยียดไปอยู่ตรงหน้าราชรถของฮ่องเต้แล้วคุกเข่าลง น้ำเสียงดังขรึมเปี่ยมด้วยความอ่อนน้อม “ฉีฮุยขอคาระวะเสด็จปู่!”


จากนั้นหันไปแสดงความเคารพฉู่อี้อันกล่าวว่า “ลูกขอคำนับท่านพ่อ!”


สีหน้าฉู่อี้อันเมินเฉยไม่แม้จะเหลียวมองฉู่ฉีฮุยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ยามวิกาลเช่นนี้เจ้าให้คนไปรายงานแล้วเชิญเสด็จพ่อออกมา ซ้ำยังเจาะจงให้ทหารดักซุ่มรอ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


“ท่านพ่อ ลูกไม่มีทางเลือก ท่านพ่อและเสด็จปู่โปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่ฉีเหยียนพูดขึ้นแต่สีหน้าดูปกติปนเคร่งขรึมและดูน่ายำเกรง ท่าทางอกผายไหล่ผึ่งตรงดิ่งไปยังราชรถของฮ่องเต้พลางเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับข่าวที่น่าเชื่อถือมาว่ามีคนแอบกระทำการขัดราชโองการของฝ่าบาท บุกรุกราชสำนัก อีกทั้งยังคิดร้ายฉวยโอกาสตอนที่กำลังชุลมุนส่งคนออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ กระหม่อมเกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่กล้าแพร่งพรายออกไป และแอบพาคนมาขัดขวางตรงนี้ ตอนนี้ก็จับได้คาหนังคาเขาพร้อมหลักฐานแน่นหนา จึงต้องรบกวนให้ฝ่าบาทเสด็จออกจากวัง และทรงไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


จากนั้นผ้าม่านของราชรถก็ถูกเปิดขึ้น ฮ่องเต้พิงอยู่บนเตียงนุ่มด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า หลังจากฟังจบนัยน์ตาก็ฉายแววเย็นชาและมืดมน แล้วค่อยๆ เลือนหายไป


“หือ?” ทันทีฮ่องเต้ก็เอ่ยปากขึ้นมา ดูเหมือนไม่ได้สนใจนักพลางตรัสว่า “นักโทษสถานหนักรึ?”


“พ่ะย่ะค่ะ..” ฉู่ฉีฮุยคิดว่าเวลาที่ต้องแสดงมาถึงแล้ว กระตุ้นให้เขาตื่นตัวขึ้นมาขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ฉู่อี้อันที่อยู่ข้างๆ ก็ขี่ม้าไปข้างหน้าแล้วเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เห็นงฉู่สวินหยางที่ยืนอยู่ไกลๆ และเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


“สวินหยาง?” สายตาฉู่อี้อันฉายแววสงสัยเล็กน้อย เขาตกใจมากทันที


ฉู่ฉีฮุยยิ้มเยาะในใจ…


ฉู่สวินหยางกระทำการประมาทเลินเล่อก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ครั้งนี้เกรงว่าฉู่อี้อันคงไม่อาจเข้าข้างนางอีกแล้ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกียรติยศชื่อเสียงของทั้งวังบูรพา…


————————————-


บทที่ 2 จบเห่! (2)

โดย

Ink Stone_Romance

ท่านพ่อคงไม่เหลือซึ่งความเมตตาตัดหางปล่อยวัดนังเด็กคนนี้แน่แท้!


“ท่านพ่อ เย็นไว้ก่อนขอรับ เรื่องนี้…” ฉู่ฉีฮุยถอนหายใจสายตาของเขาแฝงด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง


หลังจากเสียงของเขาเลือนหายไป ฉู่อี้อันสีหน้ามืดลงดูหดหู่ฉับพลัน แล้วเอี้ยวตัวลงจากม้า จากนั้นเดินตรงไปยังรถม้าคันนั้นอย่างรวดเร็ว


ฉู่ฉีฮุยรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากและพยายามควบคุมสีหน้าท่าทางไม่ให้ดีใจจนลืมตัว


ฉู่อี้อันสาวเท้าก้าวเดินไป


คนที่อยู่ในรถคันนั้นน่าจะบาดเจ็บไม่น้อย เลือดแดงสดหยดลงมาจากรถม้าที่สภาพผุพังไหลไปตามคานและช่องโหว่ส่วนล่างของรถม้าไม่หยุด


ขณะที่กลิ่นคาวเลือดกำลังจางหายไป รถม้าคันนั้นดูช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก


“ฝ่าบาท ทรงระวังอันตรายด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์คนหนึ่งรีบร้อนจะเข้าไปสกัดกั้น แต่องครักษ์คนนั้นกลับถูกฮ่องเต้ผลักจนซวนเซ


ฉู่อี้อันกระโดดขึ้นรถทันทีโดยไม่ให้ซุ่มเสียง สีหน้าเคร่งเครียดแค้นใจ ทุกคนล้วนคิดว่าเขาบันดาลโทสะโกรธเคืองฉู่สวินหยาง จึงไม่กล้าว่ากล่าวตักเตือน


จากนั้นก็เห็นเขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าเงียบๆ เขายอบตัวครึ่งหนึ่งลงพลางเหยียบที่นั่งคนขับ แล้วคว้าม่านบังของรถม้าเปิดออกมา


ความกว้างของรถคันนั้นไม่ใหญ่มากนัก การประดับตกแต่งภายในไม่เหมือนรถม้าของผู้ดีมีตระกูล ไม่ได้จัดวางเก้าอี้และไม่ได้จุดตะเกียง ข้างในมืดสนิท ขณะนั้นผ้าม่านถูกเปิดออกไป แสงจันทร์สาดลงมาเห็นสภาพโล่งโจ้งด้านใน


ในนั้นมีห่อผ้าวางทับซ้อนอยู่ตรงซอกมุม ข้างๆ ก็มีสตรีคนหนึ่งที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังขดตัวอยู่ ที่แท้นางนั่งอยู่โดยที่ลำตัวท่อนล่างยังปกติอยู่ ท่อนบนไล่ตั้งแต่หน้าอกจนถึงท้องน้อยเต็มไปด้วยบาดแผลจากธนู


เลือดสดจากแผลไหลลงชุ่มกระโปรงแดงที่นางสวมใส่ นางนั่งโงนเงนจมกองเลือดไปทั้งตัวด้วยท่าทางแปลกประหลาด


ขณะนั้นนางบาดเจ็บยังไม่ถึงตาย ตาเหลือกตาพอง หายใจแผ่ว เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด สภาพน่ากลัวสยดสยอง


“อ๊ะ…” พอเห็นหน้านางชัด ก็มีเสียงสูดลมหายใจเข้าแว่วมาจากด้านนอก โดยเฉพาะบรรดามือธนูที่ก่อนหน้าดูท่าทีกล้าหาญแข้งขากลับอ่อนปวกเปียก สีหน้าไร้ความรู้สึกใจเต้นตึกตัก ล้มคุกเข่าสะบักสะบอมอยู่บนพื้น เนื้อตัวสั่นเครือ


ฉู่ฉีฮุยพยายามควบคุมเก็บซ่อนสีหน้าอาการไว้แทบไม่ทัน ทันใดนั้นก็เสียขวัญล่าถอยกระเจิดกระเจิง


“นี่…นี่…นี่มัน…” เขาปากซีด ตาเหลือก ลูกตาราวกับจะถลนออกมา ม่านตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด นิ้วสั่นพลางชี้ไปยังสตรีที่หายใจพะงาบๆ อยู่ในรถม้า เขาพูดไม่ออกมัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ


ฉู่ฉีอันสีหน้าห่อเหี่ยว แต่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้ และต่อว่าเสียงเย็นชาแทบจะทันที “ยังไม่รีบเข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายคนออกไปอีก?”


“อ้อ ขอรับ!” เหล่าองครักษ์ตอบราวเพิ่งตื่นจากฝัน รีบวิ่งเข้าไปพยายามไม่สัมผัสถูกบริเวณรอยบาดแผลของนาง พวกเขารวมกำลังแบกร่างสตรีคนนั้นออกมาจากรถม้า


ฉู่อี้อันกระโดดลงมาจากรถม้า ชายเสื้อคลุมสัมผัสโดนกองเลือดบนรถม้าจนเป็นสีแดงเลือดแสบตา


ฉู่ฉีฮุยตกละลึง และจ้องมองชายเสื้อคลุมที่ชโลมไปด้วยเลือดหยดติ๋งๆ ด้วยแววตาสับสนวุ่นวาย พอเห็นเลือดที่หยดลงมาบนแส้ของเขาก็ขนลุกสั่นเทา


สตรีคนนั้นถูกย้ายลงมาจากรถม้า ตาเบิกกว้างแข็งทื่อ ถึงแม้ว่านางจะหายใจรวยริน แต่กลับพูดไม่ได้แม้แต่คำเดียว เพียงแต่กล้ามเนื้อมือเท้ายังคงชักกระตุกไม่หยุด


หลังจากหลี่รุ่ยเสียงตรวจสอบแน่ชัดแล้วก็กลับไปที่ราชรถแล้วกล่าวรายงานว่า “ฝ่าบาท ผู้นั้นเป็น…เช่อเฟยแห่งวังบูรพา คนแซ่เหลยพ่ะย่ะค่ะ!”


ฮ่องเต้เหมือนกับอึ้งไป แล้วถึงทำเสียง ‘หืม’ ออกมาอย่างงุนงง


ต่อหน้าฉู่อี้อัน แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหลยเช่อเฟยเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาก็ยังแสดงท่าทีเสแสร้ง หลี่รุ่ยเสียงเดินเข้ามาปลอบใจพลางเอ่ย “องค์ชาย อย่าเพิ่งเศร้าไปขอรับ ตอนนี้รีบนำเช่อเฟยกลับไปให้ใต้เท้าเซวียนรักษาก่อนเถอะขอรับ!”


“อืม!” ฉู่อี้อันยังคงเยือกเย็นมาก และโบกมือส่งสัญญาณให้องครักษ์หามเช่อเฟยไป


ส่วนฉู่ฉีฮุยประหนึ่งกำลังตกอยู่ในฝันร้าย สีหน้าสับสนงงงวยตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน


ใบหน้าฉู่อี้อันมองดูเต็มไปด้วยเมฆหมอกมืดสลัว


เวลานั้นฉู่สวินหยางเดินมาเงียบๆ จนมาถึงข้างตัวเขาแล้วคุกเข่าลงพูดเสียงต่ำ “เป็นเพราะลูกไร้ความสามารถ กระทำความผิดที่ร้ายแรงในใต้หล้า ขอท่านพ่อได้โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ!”


ฉู่อี้อันมองดูนางอย่างสับสนงงงวย


นิ้วที่อยู่ข้างในแขนเสื้อขยับเล็กน้อย ราวกับว่าจะประคองนางขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจไม่ได้


ฉู่สวินหยางหลุบสายตามองเหลยเช่อเฟยที่นอนเลือดท่วมตัวอยู่บนพื้น…


นี่เป็นครั้งแรกที่นางลงมือกับคนในวังบูรพาต่อหน้าฉู่อี้อัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมีที่ไปที่มา แต่ว่า…


จุดเริ่มต้นนี้…


นางเข้าใจดีว่า สำหรับฉู่อี้อันแล้วไม่มีทางเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างแน่นอน


และตอนที่ระหว่างสองพ่อลูกกำลังจนปัญญา ฉู่ฉีฮุยที่ยืนอยู่ข้างๆ พอได้ยินเสียงฉู่สวินหยางกลับได้สติกลับมาทันที


“นางอสรพิษ!” ฉูฉีฮุยตะคอกเสียงดังอย่างบ้าคลั่งแล้วคว้าเอาทวนอันแหลมคมที่อยู่ในมือฉางเซินมา ทีท่าโกรธแค้นพลางด่าทอว่า “เจ้าฆ่าท่านแม่ของข้า ข้าจะฆ่าเจ้าแก้แค้นให้ท่านแม่!”


เนื่องด้วยเกี่ยวโยงถึงชื่อเสียงขององค์รัชทายาท อีกทั้งยังเกิดเรื่องขึ้นต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้และองค์รัชทายาทอีก ทุกคนจึงวุ่นวายสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรห้ามปราม


ชิงหลัวกลับไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อน นางเดินเข้าไปกุมข้อมือของฉู่สวินหยางเอาไว้โดยไม่พูดให้มากความ


ลึกๆ แล้วฉู่ฉีฮุยก็เป็นเพียงบัณฑิตผู้อ่อนแอ แม้ว่าฉู่สวินหยางจะเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง แต่นางก็เก่งพอที่ตวัดรัดคอเขาได้อยู่หมัด


“นางเลวสถุล! เจ้ากล้าขวางข้างั้นเหรอ?” ลองขัดขืนมาหลายคราวแต่ก็ไม่มีประโยชน์ ฉู่ฉีฮุยโกรธจนควันออกหู โมโหจนเลือดขึ้นหน้า นัยน์ตาปรากฏเส้นเลือดแดง ราวกับจะกลืนชิงหลัวลงไปทั้งตัว


ฉู่สวินหยางคุกเข่าต่อหน้าฉู่อี้อัน นางไม่เอ่ยปากแก้ตัวแม้แต่คำเดียว


สาวใช้ของนางกลับไม่สนใจเรื่องพวกนี้ และคิดแต่จะปกป้องเจ้านายเท่านั้น


ชิงหลัวจับมือฉู่สวินหยาง สีหน้าเยือกเย็นไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย พลางมองเขาแล้วพูดว่า “หวงจ่างซุน ก่อนหน้าที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาที่นี่ ท่านกำลังเขม็งตามองแล้วพูดจาปรักปรำให้ร้ายท่านหญิง ท่านเอาฮ่องเต้เละองค์รัชทายาทไปไว้ที่ไหน? แล้วท่านหญิงของข้าฆ่าเช่อเฟยที่ไหนกัน เมื่อครู่ทุกคนต่างรู้เห็นเป็นพยานได้ ท่านลองถามใจตัวเองดูว่าจริงๆ แล้วใครเป็นคนทำร้ายเช่อเฟยกันแน่?”


ฉู่ฉีฮุยเสียสติสัมปชัญญะไปโดยสิ้นเชิง…


ประการแรกเขาวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อล้มฉู่สวินหยางแต่กลับคว้าน้ำเหลว ประการที่สองเรื่องราวกลับตาลปัตรกลายเป็นเหลยเช่อเฟยที่ต้องมารับเคราะห์ เรื่องที่ประเดประดังเข้ามานี้ทำให้เขาเสียสติไปแล้ว


เขาจ้องชิงหลัวไม่วางตาอย่างคลุ้มคลั่ง


ชิงเถิงที่อยู่ข้างๆ กุมแผลที่ข้อมือเดินไปข้างหน้า แสดงสีหน้าราวไม่ได้รับความเป็นธรรมคุกเข่าลงต่อหน้าฉู่อี้อันพลางกล่าว “องค์รัชทายาทผู้ปราดเปรื่อง ท่านหญิงเพียงแค่จะออกจากเมืองเพื่อไปส่งเช่อเฟยที่ตำหนักตากอากาศนอกเมืองเท่านั้น แต่ท่านชายจ่างซุนกลับนำกองกำลังทหารมาขัดขวางการเดินทางโดยไม่มีเหตุผล ซ้ำยังพูดจาใส่ร้ายป้ายสี เห็นได้ชัดว่าจงใจจะกำจัดท่านหญิงของพวกเรา! ข้าน้อยมิทราบว่าเขามีจุดประสงค์อันใด ท่านหญิงเพียงแค่โมโหจึงเกิดการถกเถียงกันเล็กน้อย เขาก็สั่งยิงทันทีจึงทำให้เช่อเฟยเกิดบาดเจ็บ แล้วจะโยนความผิดมาให้ท่านหญิงได้อย่างไร?”


เมื่อครู่ผู้ที่สั่งให้มือธนูยิงก็คือฉู่ฉีฮุย ในที่เกิดเหตุมีคนนับพันสามารถเป็นพยานได้


ดังนั้นแล้ว…


เป็นเขาที่ออกคำสั่งให้ฆ่ามารดาของตน?


ราชสำนักซีเยว่ถือหลักความกตัญญูปกครองใต้หล้าด้วยความชอบธรรม เขาเป็นถึงหวงจ่างซุน เวลานี้จึงตกอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้อง และมือของเขาก็เปื้อนเลือดของมารดาตนเอง?


ฉู่ฉีฮุยฟังดูแล้วช่างน่าตลกขบขันเสียจริง แต่ตอนนี้เขาจะยิ้มออกมาได้อย่างไร


“ไม่ใช่…” ฉู่ฉีฮุยได้สติกลับมา เขาลนลานแก้ตัวแล้วมองไปที่ฉู่อี้อันก่อน แต่กลับถูกสีหน้าของฉู่อี้อันหม่นหมองและฉายแววเย็นชา ในใจสั่นระรั่วจึงรีบหันไปยังทางราชรถของฮ่องเต้พลางคุกเข่าลง เอาศีรษะแตะพื้น และบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยเสียงดังฟังชัด “เสด็จปู่ขอทรงให้ความเป็นธรรม เรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้น เป็นแผนลวงที่นังเด็กคนนี้จงใจจะฆ่ากระหม่อม กระหม่อมไม่รู้ กระ…กระ…กระ…”


ขณะที่เขากำลังพูดก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน จนแทบจะพูดจาไม่ปะติดปะต่อกัน


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮ่องเต้ทรงลูบไรผม และค่อยๆ ถาม


ฮ่องเต้สีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก แต่สีหน้ากับน้ำเสียงกลับไม่ตื่นตระหนก ยิ่งแสดงให้เห็นความโกรธถึงขีดสุดในใจเขาเวลานี้


นี่เป็นความเงียบและเยือกเย็นที่ประหลาดที่สุดก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น


การที่ฮ่องเต้ไม่ได้วิตกกังวลแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้และคนเหล่านี้…


นี่บ่งบอกว่าฮ่องเต้ทรงเลิกล้มความตั้งใจที่จะรับฟังเรื่องที่เกิดขึ้น!


“กระหม่อม…” ในใจฉู่ฉีฮุยเต้นระทึกราวกลองรัว ตื่นตกใจจนไม่สามารถควบคุมได้ “กระหม่อมนึกว่าคนที่อยู่ในรถม้าคือ…คือ…”


คือใคร? คือทั่วป๋าอวิ้นจี?


แต่ความจริงแล้ว? มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น!


ฉู่ฉีฮุยไม่มีหลักฐาน ตอนนี้เรื่องยิ่งน้อยยิ่งดี ไม่เช่นนั้นหากว่าฮ่องเต้สงสัยวังบูรพาขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าฉู่อี้อันจะไม่มีกำลังใจจะแก้ต่างขอร้องให้ฮ่องเต้ละเว้นโทษ


ดังนั้นแผนการทั้งหมดที่ฉู่ฉีฮุยวางไว้ด้วยใจจริงก็ต้องพักไปด้วย เขาร้องไห้ฟูมฟายคลานไปอยู่แทบเท้าฉู่อี้อัน และกอดขาข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ และร้องไห้อย่างหวาดกลัวว่า “ท่านพ่อ ข้าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเรื่องจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นเพราะสวินหยาง เป็นเพราะนาง…”


—————————————-


บทที่ 2 จบเห่! (3)

โดย

Ink Stone_Romance

ขณะที่เขาพูดก็หันไปมองฉู่สวินหยางทันที พูดด้วยน้ำเสียงดุร้ายว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบบอกตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าคนที่อยู่บนรถคือท่านแม่ของข้า? แล้วยังหลอกให้ข้าลงมือครั้งแล้วครั้งเล่า! ฉู่สวินหยาง เจ้าทำร้ายข้าเช่นนี้ จะมีประโยชน์อันใดกับเจ้าหรือ?”


“ข้าเคยพูดไปตั้งแต่แรกแล้วว่านี่เป็นเรื่องภายในวังบูรพาของเรา” ฉู่สวินหยางพูดพลางตอกหน้าเขาโดยการตำหนิติเตียนอย่างไม่น่าเชื่อว่า “เพลาบ่ายวันนี้เช่อเฟยเพิกเฉยคำสั่งของท่านพ่อแอบกลับเมือง ไม่ใช่ว่าแอบไปพบท่านพี่รึ? หรือท่านไม่รู้? ข้าผิดที่ปิดบังท่านพ่อ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้ท่านพ่อไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ และ…พี่ใหญ่พากองกำลังทหารเป็นจำนวนมากมาที่นี่โดยพลการ ไม่ใช่เพราะต้องการจะกีดกันไม่ให้เช่อเฟยออกจากเมืองหรือ?  ข้ายังนึกแปลกใจไม่หาย ท่านโกรธเคืองกันข้าก็ไม่ว่า หากต้องการฆ่าคนใกล้ตัวข้าเพื่อระบายความแค้นก็พอให้อภัยได้ เหตุใดจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อความเป็นความตายของเช่อเฟย ลงมือต่อหน้าทุกคนอย่างเลือดเย็น!”


องครักษ์ที่ฉู่สวินหยางพามาด้วยไม่กี่นาย รวมทั้งชิงหลัวที่ได้รับบาดบาดเจ็บหนักเบาไม่แพ้กัน คนที่อาการหนักที่สุดถูกยิงเข้าที่เอวกับท้อง เอนกายอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อน ขนาดยืนยังยืนไม่ไหว


ทั่วรอบๆ บริเวณรถม้าเต็มไปด้วยกองเลือด


เรื่องทั้งหมดต้องพุ่งประเด็นไปที่ฉู่ฉีฮุยโดยการลงโทษให้สาแก่ใจ


“เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยอ้าปาก ไม่สามารถพิสูจน์ตนเองได้อีกแล้ว ทำได้เพียงกัดฟันพูด “เจ้าระวังคำพูดของเจ้าด้วย ทั้งหมดนี้ต้องเป็นแผนการที่เจ้าใส่ร้ายข้า! เจ้าค่อยๆ บีบให้ข้ารับโทษที่ฆ่าแม่ตัวเอง สวินหยาง ไม่คิดว่าเจ้าจะหน้าเนื้อใจเสือเยี่ยงนี้”


“พี่ใหญ่!” ฉู่สวินหยางสีหน้าอึมครึมโกรธขึ้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ได้โปรดพูดจาให้เกียรติข้าด้วย เดิมทีข้าได้พูดกับท่านชัดเจนแล้ว ข้าออกจากวังก็เพื่อไปเป็นธุระให้วังบูรพา ก่อนหน้านี้ข้าใช้กำลังเพื่อให้ท่านหลีกทางให้ ข้ายอมรับว่าข้าทำเกินกว่าเหตุ แต่อย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกัน ข้าไม่ควรใช้ดาบชี้หน้าท่าน แต่ท่านกลับสติแตกโกรธข้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง สั่งให้มือธนูลอบทำร้ายข้าหมายจะเอาชีวิตข้างั้นรึ? หากเทียบดูระหว่างข้ากับท่าน ข้าชั่วร้ายหรือเป็นท่านที่โหดเหี้ยมอำมหิตกันแน่? ท่านลองเล่าให้เสด็จปู่กับท่านพ่อฟังเอาเองก็แล้วกัน!”


“นี่เจ้ายังเล่นลิ้นกับข้าอีกรึ? เจ้า…” ฉู่ฉีฮุยอึดอัดใจ และจะประคารมกับนางด้วยสีหน้าดุร้าย


ฉู่สวินหยางไม่ให้เขามีโอกาสได้อ้าปากพูด นางยกมือชี้หน้าองครักษ์ไม่กี่คนที่ยืนรออยู่ข้างๆ และพูดขึ้น


“ท่านจะลงไม้ลงมือไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยเตือน ตอนนี้ทุกคนพยายามที่จะช่วยให้เช่อเฟยรอดปลอดภัย น้ำน้อยแพ้น้ำมากท่านมีกำลังมากว่าก็ยากที่จะต้านทานได้ วันนี้ท่านจะปัดสวะมาให้ข้า ข้าคงไม่ติดใจเอาความ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่กลัวเพราะข้าไม่ได้ทำผิด ข้าหวังว่าพี่ใหญ่กลับไปคงไม่เป็นกังวลเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเชียวล่ะ!”


แรกเริ่มเดิมทีเรื่องราวยุ่งเหยิง ระหว่างที่กำลังปะทะคารม ฉู่ฉีฮุยก็พูดไม่หยุดปากว่าบนรถม้าซุกซ่อนนักโทษสถานหนักและต้องการจะนำตัวมาให้ได้ ต่างจากฉู่สวินหยางที่พูดแค่ประโยคเดียว…


ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ เหล่าทหารที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก


สองพี่น้องโต้เถียงไม่หยุดหย่อน ฮ่องเต้ก็ยังทรงไร้ความรู้สึกและไม่ตรัสแม้แต่คำเดียว


หลี่รุ่ยเสียงเหลียวมองเมฆหมอกบนท้องฟ้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ พลางกล่าวเตือนว่า “ฝ่าบาทท้องฟ้ามืดสลัว อีกประเดี๋ยวหิมะคงใกล้จะตกแล้ว ส่วนเรื่องนี้…กลับไปถึงวังแล้วค่อยไต่สวนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”


ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดแต่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าพลางตรัส “อืม! กลับวังเดี๋ยวนี้!”


“เตรียมเสด็จกลับวัง!” หลี่รุ่ยเสียงขานเสียงสูง


ทุกคนกุลีกุจอสีหน้าเคร่งขรึมคุกเข่าลงน้อมส่งฮ่องเต้


“ฝ่า…” ฉู่ฉีฮุยกระวนกระวายยังอยากจะพูดต่อแต่ก็ไม่ทันการณ์ ทำได้เพียงคุกเข่าน้อมส่งฮ่องเต้เสด็จกลับด้วยความไม่เต็มใจ


ฉู่อี้อันไม่ได้กลับไปพร้อมกัน เพียงเฝ้ารอให้ฮ่องเต้เสด็จเข้าไปในเมือง จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองรอบๆ สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก


ฮ่องเต้อายุมากแล้ว กำลังวังชาก็คงไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่องค์รัชทายาทกลับตรงกันข้าม เมื่อครัดเคร่งขึ้นมาทันใดก็สามารถทำให้ทุกคนหวาดหวั่นพรั่นพรึง


ใครที่สบสายตาของเขาเข้าไปหัวใจจะเต้นสั่นระรัว จนต้องถอยหลังกลับเข้าไปในเมือง


ลู่หยวนและชิงหลัวพร้อมทั้งคนอื่นๆ ต่างถอยไปด้วยอย่างรู้สถานการณ์


ฉู่ฉีฮุยมองดูกลุ่มคนล่าถอยอย่างรวดเร็วก็ยิ่งร้อนใจ ฝืนมองไปยังฉู่อี้อัน ขณะที่เอ่ยปากกลับขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัดว่า “ท่านพ่อ…”


ฉู่ฉีฮุยต้องการจะพูดแก้ตัวแต่ตอนที่เผชิญหน้ากับฉู่อี้อันกลับรู้สึกว่าเหมือนถูกล่วงรู้ความคิดทั้งหมดจนไม่เหลือทางหนีทีไล่แล้ว กระทั่งรู้สึกว่ายากลำบากกว่าตอนที่เผชิญกับฮ่องเต้ด้วยซ้ำ


สายตาฉู่อี้อันมองผ่านลูกทั้งสองคนไปตามลำดับ แววตาเยือกเย็นและสงบนิ่ง ขณะที่จ้องมองบุตรทั้งสองก็ไม่มีความแตกต่างกันเลย


ท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยปากถามว่า “แม่ของเจ้ากลับเมืองมาทำไม?”


คำเดียวตรงประเด็น!


หัวใจของฉู่ฉีฮุยที่เต้นแรงพลันหยุดนิ่ง จิตใจสับสนวุ่นวาย ก้มหน้าลงก่อนตอบเสียงต่ำ “ไม่…ไม่มีอะไร…ท่านแม่…เพียงแต่…เพียงแต่บอกว่าคิดถึงลูกเท่านั้น!”


ตอนบ่ายเหลยเช่อเฟยลอบกลับเมืองหลวง หนำซ้ำยังแอบไปพบฉู่ฉีฮุย ฉู่ฉีฮุยคิดว่าเรื่องนี้เป็นความลับของพวกเขาสองแม่ลูก หลังจากส่งเหลยเช่อเฟยไปหลบยังบ้านมารดาของนางชั่วคราวเพื่อปิดหูปิดตาแล้ว นึกไม่ถึงว่า…นางจะตกอยู่ในกำมือของฉู่สวินหยาง


ฉู่อี้อันยืนขึ้นแต่ไม่ได้มองเขา สายตามองผ่านเลยไปยังขอบฟ้าไกลโพ้น


ขณะเดียวกันแสงจันทร์กลางท้องนภาก็ถูกเมฆมืดมัวบดบัง สีหน้าของเขาก็ไม่ชัดเจน


ฉู่ฉีฮุนหัวใจเต้นตึกตัก เกรงว่าฉู่อี้อันจะถามต่อไปแล้วเขาไม่สามารถตอบได้


แสงราตรีที่เหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยวใจส่องผ่านความว่างเปล่าที่หมองมัว ผนวกเข้ากับกลิ่นคาวเลือดที่เหมือนจะคลุ้งกระจายแต่ก็ไม่เหมือน…


ค่ำคืนนี้สำหรับทุกคนแล้วราวกับว่าไม่ใช่ค่ำคืนที่น่าเพลิดเพลินใจ


ในขณะที่ฉู่อี้อันกลับถอนหายใจอย่างไม่สามารถอธิบายได้ทันใด เขาหันหลังเดินไปยังประตูเมืองก่อน แล้วพูดทิ้งท้ายไว้เพียงไม่กี่คำอย่างห่างเหินและเฉยชาว่า “พวกเจ้ากลับวังไปเถอะ!”


ฉู่สวินหยางไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัว ช่วงเวลานี้แม้ว่านางและเหลยเช่อเฟยรวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างมารดาของฉู่ฉีฮุยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันไม่น้อย แต่ยังคงเหลือเยื่อใยอยู่บ้าง


การนองเลือดครั้งนี้เปลี่ยนไปโดยปริยาย เดิมทีเขาขวัญผวา เชื่อว่านางคงมีเหตุผลสำคัญ ตอนนี้ท่าทีของฉู่ฉีฮุยแสดงให้เห็นชัดเจน ไม่จำเป็นจะต้องพูดให้มากความ


ฉู่สวินหยางได้ยินเสียงถอนหายใจของบิดาตนเองที่แผ่วมาตามสายลม ในใจกลับเจ็บปวดรวดร้าวทันใด


ส่วนฉู่ฉีฮุยในใจเย็นเฉียบ สั่นสะท้านรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที


แผ่นหลังของฉู่ฉีฮุยยืดตรง ขาสองข้างก้าวเดินอย่างมั่นคงตรงดิ่งไปข้างหน้าทีละก้าว


ฉู่ฉีฮุยลุกขึ้นมาจากพื้นหันขวับไปมองฉู่สวินหยางด้วยสายตาอาฆาตแค้น “ฉู่สวินหยาง เจ้ามันคนใจไม้ไส้ระกำวางแผนคิดร้ายต่อข้า เจ้าไม่กลัวว่าสักวันสวรรค์ต้องลงโทษเจ้ากรรมจะต้องตามสนองหรืออย่างไร?


“ข้าคิดร้ายกับท่านตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปาก โน้มตัวช้าๆ สะบัดกระโปรงแกว่งไปโดนดินโคลนต้นหญ้า “ข้าเป็นคนลักพาตัวคนแซ่เหลยกลับมาเมืองหลวง แล้ววางแผนจะทำร้ายตัวข้าเองกับท่านงั้นหรือ? ข้าเป็นคนสั่งให้ท่านไปขอกำลังทหารจากกองกำลังรักษาพระนครมาลอบสังหารข้างั้นรึ? ซ้ำยังทำร้ายตัวเองและตั้งใจไปเชิญฝ่าบาทมาโดยเฉพาะ เพื่อแย่งความดีความชอบของคนอื่นมาเป็นของตนเองรึ? ใครเป็นคนคิดร้ายกับใครกันแน่? ต่อให้ข้าวางแผนนี้จริงแล้วจะทำไม? มันวัดกันที่ความสามารถ! หากพวกท่านสองแม่ลูกซื่อสัตย์ หากไม่ใช่ว่าพวกท่านต้องการจะสังหารข้าให้ตาย นั่นหมายความว่าหากข้าต้องการจะคิดบัญชีกับท่าน ข้าจะหาโอกาสเหมาะเจาะเช่นนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ?”


ฉู่ฉีฮุยกัดฟันอดทนกลั้นใจ สายตาจ้องมองราวจะพ่นพิษ มองนางไม่ละสายตา หายใจไม่ทั่วท้องแต่ก็ยังไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้นี้ เขาอดทนอดกลั้นอีกครั้งพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่ไม่พอใจนี้ลงไป แล้วสะบัดแขนเสื้อพลางพูด “ได้! งั้นก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน ถือเสียว่าข้าพ่ายแพ้ก็ต้องแพ้อย่างไร้ข้อกังขา งั้นข้าถามเจ้าหน่อยทั่วป๋าอวิ๋นจีอยู่ที่ไหน? เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับนางใช่หรือไม่? ท่านแม่ของข้าไม่มีทางโกหกข้าแน่ เจ้าเอานางไปซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่?”


เหลยเช่อเฟยถึงแม้เป็นคนคิดการใหญ่ เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง ทว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้นางคงไม่พูดส่งเดชแน่ เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับนางและอนาคตของลูกชายนาง เพียงแค่นางพูดออกมาก็แสดงว่าเป็นเรื่องที่มีมูลความจริง


หากไม่ใช่เพราะความเชื่อใจเหลยเช่อเฟยที่จะไม่ทำร้ายเขา ฉู่ฉีฮุยคงจะไม่ทุ่มสุดตัว แล้วตัดสินใจส่งคนไปส่งข่าวให้ฮ่องเต้มา เพียงแค่ต้องการจับฉู่สวินหยางให้ได้คาหนังคาเขา สุดท้ายทำให้เรื่องวุ่นวายจนไม่สามารถปิดฉากได้


คำถามนี้เขาถามด้วยความขุ่นเคือง


ฉู่สวินหยางกำลังจะเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาจากในเมืองอีกครั้ง


นางหรี่ตามองไป ก็เห็นฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนควบม้ามาจากประตูเมืองทางทิศใต้อย่างรีบเร่ง


เนื่องจากล่วงรู้แผนการของฉู่สวินหยาง พอเห็นสถานการณ์ยุ่งเหยิงเช่นนี้ สายตาฉู่ฉีเฟิงก็เยือกเย็นสงบนิ่ง เพียงแต่มองฉู่สวินหยางด้วยความห่วงใยพลางถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”


“ยังไหว!” ฉู่สวินหยางยิ้มให้เขา


ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านข้างสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาเม้มปากแน่นนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสูงเด่นเป็นสง่ามองดูหญิงสาวสะพรั่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า


——————————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม