ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาค 2 ตอนที่ 1-5

 ภาคที่สอง ‘ใบชอุ่ม ดอกขนัด หันเหหา ประตูลึก’ ตอนที่ 1 ไปถึง

โดย

Xiaobei

                ในส่วนลึกของคฤหาสน์โอ่อ่า กิ่งก้านต้นหลิวด้านนอกกำแพงแกว่งไกวไปตามลมอ่อนพัดโชย นกขมิ้นทองสองสามตัวเร้นกายอยู่ภายในต้นหลิว พลางส่งเสียง ร้องนวลนุ่มรื่นหู


                ยามหลังเที่ยงในปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูใบไม้ร่วงอันแสนสงบเงียบ ภายในลานบ้านที่เห็นชัดว่าเพิ่งจะทาสีใหม่ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของต้นมู่มี่ซึ่งสามารถจำกัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ เสาสีแดงเข้มของระเบียบทางเดินมันวาวจนสะท้อนภาพเงาออกมาได้ แม่บ้านสองนางพาสาวใช้ในชุดหลากสีหกนาง มาคอยยืนรอรับคำสั่งอยู่ภายใต้ระเบียงทางเดิน


                พวกนางเป็นบ่าวที่บ้านเสิ่นส่งมาโดยเฉพาะ ด้วยเกรงว่าคนของเว่ยฉางอิ๋งทางนี้จะไม่พอให้ใช้สอย… ความจริงแล้วก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติประการหนึ่ง ผู้คนที่ติดตามเว่ยฉางอิ๋งมาแต่งงานนั้นมีอยู่พร้อมสรรพ มีหรือจะขาดเหลือผู้คนคอยปรนนิบัติอยู่ใกล้ตัว?


                หลังจากเดินทางมาถึงเรือนหลังหนึ่งของบ้านตระกูลเสิ่นซึ่งอยู่ใกล้เขตตัวเมืองในเวลาก่อนเที่ยงเมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้พบคนเหล่านี้ก็เพียงสนทนาตามมารยาทไปสองสามประโยค และบอกกล่าวว่าต้องการน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำ จากนั้นก็บอกไปตามตรงว่านางอยากให้ผู้คนข้างกายที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วดูแลมากกว่า หลังจากที่ให้คนเหล่านั้นออกไปแล้วจึงเหลือแต่กลุ่มของบ่าวไพร่ที่ติดตามมาอยู่ด้วยพากันสาละวนทำการต่างๆ


                ยามนี้นางเพิ่งออกมาจากห้องอาบน้ำ ผิวพรรณกระจ่างใสราวกับสะท้อนภาพออกมาได้ ทั้งผุดผ่องยองใย ผมที่ยังคงเปียกปอนสยายอยู่บนบ่ายาวลงไปจนถึงเข่า ยามนั่งลงบนตั่ง ผมก็ทอดตัวยาวปกคลุมพื้นที่บนตั่งถึงครึ่งหนึ่ง นางหวงสั่งให้สาวใช้เอาผ้ามาซับผมนางให้แห้ง พลางยิ้มแล้วบอกว่าภาพของนางในยามนี้ ดังภาพจริงของดอกบัวดอกหนึ่งโผล่พ้นน้ำ   และยังเป็นดอกบัวแดงอีกด้วย


                หลังจากพูดจากระเซ้าเย้าแหย่กันสองสามประโยค นางหวงก็สั่งให้เจวี๋ยเกอและหานเกอเลือกชุดเสื้อกระโปรงออกมา ให้เป็นใส่อยู่บ้านแต่อย่าให้ปล่อยตัวสบายเกินไป แล้วอธิบายว่า “เกรงว่านายท่านรองจักมาถึงเสียตั้งนานแล้ว คาดว่าหลังจากคุณหนูใหญ่ทางนี้จัดเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว นายท่านรองก็จะต้องมาเยี่ยมดูคุณหนูใหญ่”


                ด้วยเหตุที่ยามเว่ยฉางอิ๋งถูกพาตัวไปจากเมืองหลวงนั้น นางยังอยู่ในผ้าอ้อมอยู่ จึงมิได้มีความทรงจำใดกับท่านอารองผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แต่นับจากปากคำของแม่เฒ่าซ่งและซ่งฮูหยิน รวมทั้งคำเอ่ยเตือนของซ่งไจ้สุ่ย บอกว่าตลอดมานั้น เว่ยเซิ่งอี๋เป็นผู้มีความทะเยอทะยานยิ่งนักต้องการช่วงชิงทุกสิ่งที่เป็นของบ้านใหญ่ โดยเฉพาะเห็นเว่ยฉางเฟิงเป็นปรปักษ์ตัวฉกาจ จนใจที่มีแม่เฒ่าซ่งคอยขวางทางอยู่ จึงทำได้เพียงซุกซ่อนความทะเยอทะยานนี้เอาไว้ชั่วขณะ


                แต่ครั้งเว่ยฉางอิ๋งถูกคนทำลายชื่อเสียงในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ เว่ยเซิ่งอี๋ก็ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่บ้างเช่นกัน และแม่เฒ่าซ่งก็มิได้ปิดบังนางเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าแม่เฒ่าซ่งก็มิได้คิดว่าเว่ยเซิ่งอี๋เป็นท่านอาที่ดีผู้หนึ่งด้วยสาเหตุนี้


                ในความเป็นจริงนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าได้สั่งความกับเว่ยฉางอิ๋งมาว่า “ท่านอารองของเจ้าผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เขารู้ดีว่าเมื่อกระดูกชิ้นโต ซึ่งก็คือข้า ย่าของเจ้ายังอยู่ ทั้งยังมีฉางเฟิง เช่นนั้นแล้วเรื่องตำแหน่งประมุขของตระกูล เขาอย่าหวังแม้แต่จะคิดอาจเอื้อม!หากเขายังคงเอาแต่โง่งมงายต่อไป ก็รังแต่จักทำให้ภรรยาและบุตรต้องลำบาก! ครานี้เขาจึงกลับเปลี่ยนความคิดเสีย คิดจะแสดงท่าทีนอบน้อมไปก่อน เพื่อวางแผนให้ท่านปู่ของเจ้าปกป้องเขา ทำให้ข้าทุรนทุรายปางตาย แล้วจึงซ้อนแผนตลบหลัง! เจ้าอย่าได้ใส่ใจในไมตรีจิตของเขา อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ลูกข้า จึงมิใช่คนที่จักไว้เนื้อเชื่อใจได้! ทว่า ในเมื่อเขาต้องการจะทำตัวให้มองดูคล้ายว่าเป็นอาที่ดี หากมีเรื่องใดที่ควรจักรบกวนเขา เจ้าก็อย่าได้เกรงใจ! หากเขากล้าไม่สนใจเจ้า เจ้าก็เพียงเขียนจดหมายมาที่เฟิ่งโจว ย่าจะจัดการเขาให้เจ้าเอง!”


                เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจคำกำชับกำชานี้ของท่านย่าอย่างแจ่มชัด จึงตัดสินใจเข้าพบท่านอารองผู้นี้อย่างนอบน้อม และถือเป็นการเตรียมการป้องกันตัว ทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่คนรุ่นหลังพึงปฏิบัติอีกด้วย เมื่อได้ยินคำของนางหวงจึงบอกให้สาวใช้เร่งมือเข้า หาไม่แล้วเมื่อเว่ยเซิ่งอี๋มาถึง แล้วตนยังจัดเก็บข้าวของไม่เรียบร้อย และต้องให้ท่านอารออยู่ข้างนอกก็จักเป็นการเสียมารยาทเกินไป


                นางหวงเห็นนางร้อนรนขึ้นมาจึงยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วว่า “คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ มิใช่ว่าข้างนอกมีคนของบ้านเสิ่นอยู่หรือเจ้าคะ? ยามนี้นายท่านรองคงกำลังดื่มชาอยู่ที่ศาลาทางด้านหน้า โดยมีท่านเขยคอยต้อนรับอยู่ รอจนคุณหนูใหญ่ทางนี้พร้อมแล้ว คนบ้านเสิ่นก็จะไปรายาน แล้วนายท่านรองจึงค่อยมาเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น หากคุณหนูใหญ่ทางนี้ยังไม่สะดวกจะพบ นายท่านรองมาแล้วและต้องรออยู่ข้างนอกก็จะทำตัวลำบาก”


                ดังนี้แล้วเว่ยฉางอิ๋งจึงได้วางใจ แล้วกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านอาก็ไม่พูดให้หมด ทำเอาข้ากังวลว่าข้าทำให้ท่านอาต้องตากแดดตากลมอยู่ข้างนอกเสียอีก”


                “เจ้าค่ะๆๆ อาไม่ดีเอง” นางหวงหัวเราะแล้วว่า “คุณหนูใหญ่ลองดูเสื้อส้างหรูคอป้ายสีแดงองุ่นตัวนี้ว่าเป็นเช่นไรเจ้าคะ? ใส่คู่กับกระโปรงจีบผ้าสิบสองชิ้น แล้วคาดด้วยผ้าคาดเอวปักดิ้นทองลายกิ่งก้านดอกมู่ตาน อีกสักพักพอผมแห้งแล้วค่อยให้ฉินเกอม้วนทรงก้อนหอยเดี่ยวให้ เพราะอย่างไรก็เป็นคนกันเองภายในครอบครัว แม้จะบอกว่าเป็นคราแรกที่ได้พบกันหลังจากคุณหนูจำความได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธีจนเกินไป ให้ดูธรรมดาเหมือนอยู่บ้านสักหน่อยก็ดี ถือเป็นการแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมเจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวมาพิจารณาไม่นาน แล้วว่า “ท่านอาเป็นคนเลือกมาจะต้องไม่เลวอยู่แล้ว ใช้ชุดนี้ก็แล้วกัน”


                หลักจากนั้นสักพัก เว่ยฉางอิ๋งแต่งกายเรียบร้อยแล้วและออกไปต้อนรับท่านอารองเว่ยเซิ่งอี๋อยู่ภายในเรือน


                เว่ยเซิ่งอี๋อ่อนวัยกว่าเว่ยเจิ้งหงสามปี หน้าตาของเขาไม่เหมือนเว่ยเจิ้งหงหรือเว่ยฮ่วน แต่ก็ได้รูปงดงาม เว่ยฉางอิ๋งเดาว่าคงจักเหมือนมารดาแซ่ลู่ของเขา


                ท่าทางของอารองนี้อ่อนโยนเป็นมิตรดังที่เว่ยฉางอิ๋งคิดเอาไว้ เขามีท่าทีปลื้มปิติยินดีอย่างจริงใจยิ่งเมื่อได้พบกับหลานสาวที่ยามนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังทอดถอนใจอีกว่าเพิ่งจะได้พบหลานสาวที่โตแล้ว ทว่าหลานสาวก็กลับจะออกเรือนเสียแล้ว


                อาหลานทั้งสองต่างก็พบปะกันด้วยท่าทีแย้มยิ้ม หากพูดถึงเรื่องที่สร้างความประทับใจที่สุดก็คือ เว่ยเซิ่งอี๋ยังได้นำกล่องใส่เครื่องประดับมาด้วยกล่องหนึ่ง บอกว่าเป็นของขวัญแต่งงานที่ตนมอบให้แก่หลานสาวเพิ่มเติมอีก… เพราะเมื่อตอนต้นปี บ้านสองได้ให้ม้าเร็วมาส่งของขวัญแสดงความยินดีและของขวัญแต่งงานถึงที่เฟิ่งโจวเรียบร้อยแล้ว


                …รอจนเว่ยเซิ่งอี๋กลับไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเปิดกล่องดู กลับพบว่าภายในเป็นหยกมันแพะรูปนกเป็ดน้ำคู่หนึ่งซึ่งมีขนาดเท่าฝ่ามือของเด็กทารก หยกสลักออกมาได้สมจริงดังมีชีวิต ที่คอของนกเป็ดน้ำมีรูซึ่งสามารถเอาไว้ร้อยกับเชือกถักสำหรับห้อยประดับหรือร้อยไว้กับสายคาดเอว ใต้ผ้าปักที่รองอยู่ในกล่องนั้นก็มีเชือกถักยาวแปดเส้นวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ มีหลากหลายสีสันและหลายรูปแบบแตกต่างกัน เพื่อมอบให้เว่ยฉางอิ๋งเลือกใช้ได้ตามใจ


                ของขวัญชิ้นนี้พูดไม่ได้ว่ามีราคามหาศาล แต่ก็ไม่นับว่าราคาถูก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการแสดงถึงเจตนาอันดี นางหวงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยไปประโยคหนึ่งว่า “นี่คล้ายว่าเป็นหยกมันแพะชั้นเลิศที่นายท่านรองซื้อเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน และเก็บเอาไว้ไม่ได้แตะต้องมาโดยตลอด คาดว่าครานี้ตั้งใจนำไปสลักเป็นรูปนกเป็ดน้ำ ดูฝีมือการแกะสลักนี้คล้ายป็นของบ้านเยี่ยเจ้าค่ะ”


                สกุลเยี่ยช่างแกะสลักก็เป็นเช่นเดียวกับสกุลจี้ที่เป็นตระกูลแพทย์ ที่ต่างก็สืบทอดงานของตนมานานกว่าร้อยปี แม้จักเป็นงานที่ถือว่าเป็นระดับงานช่างเช่นเดียวกัน ทว่าเพราะรู้จักกับตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ต่างๆ อย่างกว้างขวางมาหลายชั่วอายุคน จึงพอจะมีฐานะทางสังคมอยู่บ้าง คนธรรมดานั้นยากจะเชิญพวกเขามาทำงานให้ได้ เมื่อสามารถเป็นที่ยอมรับของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ ฝีมือของพวกเขาย่อมจะไม่ต่ำต้อย ทว่าเว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นความมั่งคั่งมาแต่เล็กเสียจนเคยชิน ออกเรือนครานี้ แม่เฒ่าซ่งยังได้เปิดคลังของตระกูลเว่ยและเลือกทรัพย์สมบัติล้ำค่ามากมายมอบให้แก่นางไว้เป็นขวัญถุง ทั้งยังพานางไปเปิดหูเปิดตาในคลังสมบัติของตระกูลอีกด้วย


                เช่นนั้นแล้ว แม้หยกสลักนกเป็ดน้ำคู่นี้จะมิได้เลวร้ายสิ่งใด ทว่านางเพียงมองผ่านๆ คราหนึ่งก็มอบแก่นางหวง ให้นำไปเก็บไว้ในหีบที่ยังมีที่ว่างอยู่


                เว่ยเซิ่งอี๋มาเยี่ยมเยือนและมอบหยกนกเป็ดน้ำคู่ให้ พรุ่งนี้มาส่งตัวเจ้าสาว… ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการแสดงท่าทีเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมิได้เลือกของล้ำค่าจริงๆ มาให้ หยกมันแพะชั้นดีซึ่งเป็นงานฝีมือของสกุลเย้ ขอเพียงเหมาะควรแก่โอกาสก็ใช้ได้แล้ว


                เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า ท่านย่าให้ตนคอยระวังท่านอาผู้นี้เอาไว้สักหน่อย ทว่าเรื่องที่ควรจะไปหาเขาก็อย่าได้รู้สึกเกรงใจ ดูไปแล้วยามนี้เว่ยเซิ่งอี๋ก็คงคิดเช่นนั้นด้วย ฉากหน้านั้นสิ่งที่ผู้เป็นอาควรทำเขาก็เต็มใจยิ่ง และหาได้บ่ายเบี่ยงไม่ ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นก็มีแต่เพียงรู้ได้เมื่อภายหลังเท่านั้น


                ทว่าเมื่อพูดกลับมา ยามนี้ตนแต่งเข้าตระกูลเสิ่น เช่นนั้นก็นับเป็นคนบ้านเสิ่น หากต้องไปหาญาติข้างฝั่งของตน…เกรงว่าในเมืองหลวงนี้ก็ใช่ว่าจะมีเว่ยเซิ่งอี๋เพียงผู้เดียว ท่านอาหญิงรองที่แต่งเข้าตระกูลซูก็เป็นถึงบุตรสาวแท้ๆ ของท่านย่าของตน


                อีกประการ ตลอดทางที่เดินทางมานี้ แม้เสิ่นจั้งเฟิงจะยึดตามธรรมเนียม มิได้มาพบนางด้วยตนเอง ทว่าก็ส่งคนมาคอยสอบถามอยู่ทุกวัน หากแม้นนางแสดงความต้องการใด อย่างเช่นว่าระหว่างทางที่เมืองเมืองหนึ่ง นางเอ่ยชมออกมาประโยคหนึ่งว่าทิวทัศน์งดงามนัก เสิ่นจั้งเฟิงก็จะใช้ข้ออ้างว่าม้าของตนอ่อนล้า แล้วสั่งให้ขบวนหยุดพักสองวัน แต่กลับส่งคนมาอย่างลับๆ และพานางออกไปท่องเที่ยวใกล้ๆ สักพัก…


                จนถึงยามนี้ ดูไปแล้วก็นับว่าสามีผู้นี้เอาใจใส่นางอย่างยิ่ง และเมื่อเข้าเรือนมาในวันนี้ บ่าวของบ้านเสิ่นที่นางได้พบก็ล้วนมีมารยาทและนอบน้อมยิ่ง มิได้มีท่าทีดูแคลนหรือเสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย ต่อไปหากต้องทำการใดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องให้บ้านฝั่งแม่ของตนต้องออกโรงเอง


                วันนี้เป็นวันที่ห้าเดือนสี่ ส่วนวันเข้าบ้านอย่างเป็นทางการซึ่งได้มีการกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้นานแล้วนั้น คือวันที่เจ็ดเดือนสี่ เช่นนั้นนางจึงต้องพักอยู่ที่เรือนแห่งนี้สองคืน เมื่อถึงวันที่เจ็ดจึงค่อยเข้าไปในเมือง


                เนื่องด้วยเว่ยเซิ่งอี๋ต้องมาส่งตัวเจ้าสาว ทั้งยังต้องมาแสดงท่าทีว่าให้ความสำคัญกับหลานสาวผู้นี้ จึงได้ลาราชการมาเป็นการพิเศษและมาหาในวันนี้ ส่วนท่านอาหญิงรองแท้ๆ เว่ยเซิ่งอินถือเป็นสะใภ้ของบ้านอื่นแล้ว ไม่อาจทำสิ่งใดได้อิสระเช่นเว่ยเซิ่งอี๋ จึงได้ส่งบ่าวคนสนิทมาเยี่ยมเยือนล่าช้าไปหนึ่งวัน


                ผู้ที่เว่ยเซิ่งอินส่งมานั้นเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของนางหวง นางแซ่ชวี่ ซึ่งอยู่ในวัยของพวกแม่นมแล้ว ทว่าดูไปก็ยังคงมีเรี่ยวมีแรงดีอยู่ นางคำนับเว่ยฉางอิ๋งอย่างเคารพนอบน้อมยิ่ง รอจนเว่ยฉางอิ๋งบอกว่าไม่ต้องมากพิธี นางใช้น้ำเสียงแสนถ่อมตนบอกถึงสาเหตุที่เว่ยเจิ้งอินไม่อาจมาเยี่ยมด้วยตนเองได้ว่า “เดิมทีฮูหยินอยากจะมาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ แต่จนใจที่สองวันมานี้ร่างกายของฮูหยินไม่ใคร่สบาย ไม่อาจไม่ประคบยาร้อนอยู่หน้าตั่งนอนได้เจ้าค่ะ”


                “เดิมทีก็ควรเป็นข้าที่ไปคารวะท่านอาหญิงหลังจากมาถึงเมืองหลวง แล้วจักให้ท่านอาหญิงลำบากได้อย่างไร?”เว่ยฉางอิ๋งแสดงท่าทีว่าเข้าใจดี “แต่กลับยังต้องให้แม่นมลำบากเดินทางมาครั้งหนึ่ง”


                แม่นมชวี่มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า พลางว่า “หาได้ลำบากเช่นคุณหนูใหญ่ว่าเจ้าค่ะ งานหนนี้เป็นข้าน้อยเองที่หน้าด้านไปขอกับฮูหยินมาเจ้าค่ะ ไม่ปิดบังคุณหนูใหญ่ บ่าวไพร่ที่อยู่ต่อหน้าฮูหยินและต้องการมาแสดงความยินดีกับคุณหนูใหญ่นั้นมีไม่น้อย เห็นแก่ที่ข้าน้อยปรนนิบัติฮูหยินมาหลายปี จึงสามารถขอโอกาสนี้มาอยู่ในมือได้เชียวนะเจ้าคะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งเอามือปิดปากหัวเราะ กล่าวว่า “แม่นมช่างเจรจาจริงๆ” แล้วเชิญให้นางรับประทานของว่างและผลไม้เล็กน้อย


                แม่นมชวี่อยู่สนทนาด้วยอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็อยู่ต่อสักพักและถามไถ่ตามมารยาทก็ขอลากลับเข้าเมืองเพื่อไปรายงานต่อเว่ยเจิ้งอิน


                ยามนางกลับไป นางหวงก็อาสาออกไปส่งด้วยตัวเอง รอจนเมื่อนางกลับมาก็มิได้มีท่าทีใด จนกระทั่งถึงกลางคืน รอจนเว่ยฉางอิ๋งเข้านอนแล้ว จึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “ยามแม่นมชวี่กลับไปนั้นได้บอกกับข้าน้อยประโยคหนึ่งว่า นับแต่สองวันก่อน มีคุณหนูตระกูลหลิวผู้หนึ่ง มาพักอยู่ที่บ้านตระกูลเสิ่นเป็นเวลาสั้นๆ เจ้าค่ะ”


                “หือ?” ครานี้นางหวงไม่มีทางพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน เว่ยฉางอิ๋งจึงขมวดคิ้ว


                ปรากฏว่านางหวงกล่าวว่า “คุณหนูหลิวผู้นี้เป็นน้องสาวร่วมตระกูลของฮูหยินน้อยใหญ่ซึ่งเป็นภรรยาของบุตรชายคนโตของตระกูลเสิ่น บอกกับภายนอกว่าฮูหยินน้อยใหญ่คิดถึงน้องสาวจึงได้เชิญนางมาอยู่สักพักเป็นการพิเศษ แต่แม่นมชวี่บอกว่า…คุณหนูหลิวผู้นี้ ก่อนหน้านี้สนใจท่านเขยของพวกเรายิ่ง”


                “แล้วจะอย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วขบคิดอยู่เป็นนาน แล้วกลับยิ้มเย้ยขึ้นมาพลางว่า “ข้าเป็นภรรยาที่ออกหน้าออกตาของเสิ่นจั้งเฟิง ไม่ว่านางจะสนใจปานใดก็เพียงแอบมองสักหน่อยก็เท่านั้น ทั้งยังต้องคอยระวังมิให้ผู้ใดพบเห็นอีกด้วย…มาอยู่บ้านเสิ่นสักพักจะมีความหมายใด? หรือนางจะอยู่นานแล้วจะเป็นอย่างไร?”


                นางหวงยิ้มแล้วว่า “คุณหนูใหญ่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เพียงแต่ตามคำของแม่นมชวี่ฮูหยินซูก็ชื่นชอบคุณหนูหลิวผู้นี้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากคุณหนูใหญ่เข้าบ้านแล้วหากได้พบนางก็จักต้องระวังเอาไว้สักหน่อย เพื่อมิให้นางสบโอกาสแล้วไปเสกสรรปั้นแต่งต่อหน้าฮูหยินซูเจ้าค่ะ”


                “ท่านย่าและท่านแม่ต่างก็บอกแล้วว่าว่าที่แม่สามีข้าผู้นี้เป็นคนเคร่งในกฎเกณฑ์นัก ในเมื่อเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ แล้วจักชื่นชอบคนชอบเสกสรรปั้นแต่งได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากแล้วว่า “อีกประการหนึ่งต่อให้นางหาเรื่องไปฟ้องอย่างเหนือชั้นเพียงใด อย่างไรเสียคนห่างไกลก็ไม่เทียบคนใกล้ชิด พวกเราเองก็ใช่ว่าจะเสกสรรปั้นแต่งไม่เป็น ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีฐานะชัดเจน นางเป็นสิ่งใด?”


                นิ่งคิดอยู่สักพักเว่ยฉางอิ๋งก็เอ่ยไปอีกว่า “เรื่องที่คุณหนูหลิวผู้นี้หลงใหลได้ปลื้มเสิ่นจั้งเฟิง แม้แต่ท่านอาหญิงรองก็ยังรู้แล้ว ข้าคิดว่าว่าที่แม่สามีข้าผู้นี้ก็มิใช่ว่าไม่รู้ เช่นนี้แล้วกลับยังยินยอมให้ว่าที่พี่สะใภ้ใหญ่ของข้ารับนางเข้ามาอยู่ในบ้านเสิ่น…ทำให้ข้ากลับคิดไปถึงเรื่องปิ่นหยกคู่สีเลือดก่อนหน้านี้”


                นางหวงเพียงแต่ยิ้มไม่พูดจา


                เว่ยฉางอิ๋งมองนางหนหนึ่ง อยากจะพูดบางสิ่งแต่ก็กลับสงบปากเอาไว้ แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เอาล่ะ ท่านอาหวง ข้าเข้าใจความหมายของท่านแล้ว ข้ายังมิทันเข้าบ้าน ก็มีบททดสอบของบ้านสามีเตรียมไว้ให้ก่อนหน้าแล้ว ไหนจะเรื่องปิ่นหยกคู่สีเลือด ไหนจะเรื่องคุณหนูสกุลหลิว… ทว่าสิ่งใดที่ต้องมาหา อย่างไรก็จักต้องมา ข้าไม่คิดว่ามีสิ่งใดต้องกลัว เพราะตำแหน่งประมุขนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว เสิ่นจั้งเฟิงเก่งกาจทั้งบู๊บุ๋น ทั้งหล่อเหลาเหนือผู้ใด จะริษยาก็ดี หรือหลงใหลได้ปลื้มก็ช่าง นอกเสียจากข้าจะไม่ได้แต่งกับเขา หาไม่แล้ว สภาพการณ์เช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ช้าเร็วต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว อีกประการหนึ่ง ให้คนได้รู้ว่าข้าก็มิได้ให้คนมาหยามได้ง่ายๆ เสียแต่เนิ่นๆ ต่อไปก็จักได้อยู่อย่างสงบสักหน่อย”


                นางหวงเห็นว่านางมิได้สะทกสะท้านกับเรื่องที่ฮูหยินซูผ่อนผันให้คุณหนูตระกูลหลิวซึ่งหลงใหลเสิ่นจั้งเฟิงมาอยู่ที่บ้านเสิ่นสักพัก นางจึงรู้สึกปลื้มปิติเป็นที่ยิ่ง ทว่าก็ยังกล่าวเตือนไปว่า “คุณหนูใหญ่วางตัวอยู่เหนือปัญหาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องดีแล้ว ทว่าเรื่องที่ต้องคิดระวังเอาไว้ก็ไม่อาจขาดได้ เท่าที่ข้าน้อยทราบมา คุณหนูตระกูลใหญ่ที่หลงใหลในท่านเขยมีอยู่ไม่น้อย แต่ฮูหยินซูเพียงยินยอมให้คุณหนูตระกูลหลิวมาพักอยู่ในบ้าน เห็นได้ว่าคุณหนูตระกูลหลิวผู้นี้เก่งกาจไม่เบาเจ้าค่ะ”


                “นางจะเก่งกาจได้สักเท่าใดกัน?” เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงออกมาแล้วว่า “หญิงสาวดีๆ ที่ใดจะมาอยู่ในบ้านชายที่ตนหมายปอง ทั้งที่ตนเองมิได้มีฐานะใดๆ? ต่อให้อาศัยข้ออ้างว่ามาเยี่ยมเยือนลูกผู้พี่ แต่บ้านเสิ่นจะไม่รู้ความคิดของนางเลยจริงๆ หรือ? ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าข้าก็จวนจะเข้าบ้านอยู่แล้ว นางมาพักอยู่ในบ้านเสิ่นนี่มันเป็นเรื่องใดกัน? แล้วยังจะมาหาเรื่องข้าอีก… น่าอายหรือไม่! ข้ากลับรู้สึกว่านางไร้สมอง ถูกคนหลอกใช้เป็นเครื่องมือ!”


                นางกรอกตาแล้วหัวเราะฮิๆ ออกมา “หรือต่อให้เก่งกาจจริงๆ… ข้าก็มิใช่ว่ายังมีท่านอาหวงอยู่ด้วย?”


                “ท่านนี่!” นางหวงไม่รู้จักหัวเราะหรือร้องไห้ดี ยื่นนิ้วไปแต่ที่หน้าผากนาง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ข้าน้อยย่อมต้องคอยช่วยคุณหนูอย่างสุดกำลัง เพียงแต่ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว วันพรุ่งยังต้องตื่นแต่เช้ามาแต่งเนื้อแต่งตัว เพื่อเตรียมเข้าบ้าน คุณหนูใหญ่โปรดรีบพักผ่อน หากไม่สดชื่นในวันสำคัญจักไม่ดีเอาเจ้าค่ะ!”


_________________________________


ตอนที่ 2 พิธีแต่งงาน

โดย

Xiaobei

                ดินแดนต้าเว่ยสุขสงบมากว่าร้อยปี แม้หลายปีมานี้การปกครองจะตำต่ำย่ำแย่ ทำให้ภาพลักษณ์ของแคว้นเสื่อมถอย ทว่าเมืองหลวงก็ยังคงรุ่งเรืองเช่นหมื่นปีก่อน บ้านเรือนโอ่อ่าสูงใหญ่ มองไม่เห็นวิกฤตที่มีในยามนี้เลยแม้แต่น้อย


                อากาศในวันที่เจ็ดเดือนสี่ดีเหลือประมาณ ลมอ่อนโชยไหวๆ ท้องฟ้าปลอดโปร่งอาการสดชื่น เมื่อมองจากที่ไกลๆ อาคารสูงใหญ่โดดเด่นเป็นสง่าภายในเมืองช่างน่าเกรงขามและโอ่อ่างดงามยากจะบรรยาย สองข้างถนนหลวงที่ตรงเข้าไปภายในเมืองมีกิ่งก้านต้นหลิวห้อยระย้าปกคลุมอยู่เต็มไปหมด นกขมิ้นที่แฝงกายอยู่ท่ามกลางกิ่งก่านระย้าของต้นหลิวต้องตื่นตกใจด้วยเสียงกลองเสียงดนตรี และพากันโบยบินขึ้นในทันใด เสียงนกร้องตื่นตระหนกระงมไปทั่วท้องถนน แต่กลับเพิ่มความครึกครื้นของฤดูใบไม้ผลิให้แก่ขบวนส่งตัวเจ้าสาวซึ่งกำลังเคลื่อนขบวนไปบนถนนสายนี้มากขึ้นไปอีก


                ที่สุดทางของกิ่งหลิวระย้าและเสียงนกร้อง มองเห็นมีคนแน่นขนัดเต็มไปหมด


                …และมองได้แค่เพียงแวบเดียวเท่านี้ ม่านของเกี้ยวก็ถูกนางหวงดึงปิดลงมาอย่างมิได้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเสียงนางหวงกล่าวเสียงต่ำๆ กับคนหามเกี้ยวมาจากหลังผ้าม่านกั้นว่า “เดินให้นิ่งกว่านี้สักหน่อย…ม่านเกี้ยวเปิดออกหมดแล้ว”


                วันนี้ต้องเข้าบ้าน ฉินเกอและเยี่ยนเกอล้วนไม่ได้ขึ้นเกี้ยวมาด้วย เว่ยฉางอิ๋งต้องลุกขึ้นมาแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศตั้งแต่ไก่โห่เหมือนกับวันที่นางออกจากบ้าน ตัวนางถูกรัดรึงไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าจนไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ง่ายดาย แม้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก็ยังลำบาก… ความจริงแล้วยามนี้นางควรจะรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวล ทว่าเมื่อถูกทำให้เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กายเช่นนี้ ความคิดเดียวที่นางมีก็คือต้องอดทนและขอให้เรื่องนี้ผ่านไปเร็วๆ ทีเถิด…


                จักต้องรู้ก่อนว่ายามนี้มีเครื่องเครามากมาย ทั้งเครื่องประดับนานาที่ทำให้นางเหมือนต้นไม้ที่ต้นเต็มไปด้วยดอกไม้ บวกกับมงกุฎรูปดอกไม้ที่ประดับด้วยอัญมณีและไข่มุกแพรวพราวมากองอยู่บนหัว อีกทั้งตำแหน่งที่ปักเครื่องประดับทั้งหลายก็จะต้องไม่ไปบดบังความโดดเด่นของไข่มุกและอัญมณีเหล่านั้นด้วย เพื่อเผยความสูงส่งล่ำเลิศค่าที่เว่ยฉางอิ๋งมีให้มากยิ่งขึ้น และแม้เว่ยฉางอิ๋งจะมีผมยาวถึงหัวเข่าที่เมื่อปล่อยผมลงมาก็จะสยายตัวออกไปถึงครึ่งตั่งอยู่แล้ว แต่ครานี้ยังเสริมมวยผมปลอมที่หลังใบหูทั้งสองข้างและข้างบนหัวเข้าไปอีก ทั้งทรงผมที่สลับซับซ้อนและที่ครอบมวยผมที่ตรึงรั้งผมเอาไว้ จนยามนี้ทำให้นางรู้สึกปวดหัวเป็นหนักหนา


                ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งไม่มีแก่ใจแม้แต่น้อยที่จะมาคิดถึงปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องที่หลังจากเข้าบ้านไปแล้วแม่สามีจะไว้หน้านางหรือไม่ เหล่าพี่สะใภ้น้องสะใภ้จะพูดจานอกลู่นอกทางหรือไม่ และบรรดาท่านป้าท่านอาน้อยใหญ่ฝั่งบ้านสามีจะพึงพอใจตนหรือไม่ นางเพียงแต่ภาวนาอย่างสุดหัวใจว่าให้งานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ครานี้เสร็จสิ้นลงเสียไวๆ


                มิน่าเล่าเขาจึงพากันว่าก่อนออกเรือนจะต้องดูแลและบำรุงร่างกายให้ดี หากเป็นผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง เครื่องเคราบนหัวเหล่านี้เกรงว่าพอเอามาใส่บนตัวไม่นานก็คงจักเหน็ดเหนื่อยจนหมดสติ แล้วจะออกเรือนกันได้อย่างไรอีกเล่า…


                ในระหว่างที่กำลังคิดส่งเดชอยู่เช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ทั้งอยากรู้อยากเห็น ทั้งปวดหัวเหลือหลาย และทั้งต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตนสักหน่อย ระหว่างทางจึงลอบไปเปิดม่านของเกี้ยวออกเพื่อแอบดูเสียหน่อยว่าเมืองหลวงเป็นเช่นไรบ้าง


                เคราะห์ดีที่นางหวงขัดขวางนางเอาไว้ ทันทีที่เห็นนางเปิดม่านก็อาศัยจังหวะตอนผู้อื่นไม่ทันสังเกต แล้วผลักความรับผิดชอบไปให้แก่คนแบกเกี้ยวแทน


                ภาพทั้งหมดต่อจากนี้ไป เว่ยฉางอิ๋งล้วนมองไม่เห็น ทำได้แต่ฟัง…ว่ายามที่ค่อยๆ เข้าใกล้ประตูเมือง เสียงโห่ร้องของผู้คนยิ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็มีเสียงกลองอีกเสียงดังเพิ่มขึ้นมา


                หลังจากนั้นข้างนอกเกี้ยวก็คล้ายจะเงียบลง คาดว่าคงเข้ามาในประตูเมืองแล้ว… ปรากฏว่าผ่านไปเพียงไม่นานเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง


                นอกจากถุงเครื่องหอมรุ่ยหลินเซียงที่แขวนเอาไว้บนเกี้ยวแล้ว หลังจากเข้าประตูเมืองมาก็ยังมีกลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยโชยมา กลิ่นหอมนี้ทั้งสดชื่นและอ่อนโยน


เว่ยฉางอิ๋งสัมผัสได้ว่านั่นคือกลิ่นของหอมของซานอวิ๋นเซียง ซึ่งกลิ่นหอมนี้ให้ความรู้สึกล้ำค่าและสูงส่งยิ่ง คงเพราะรู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งแขวนถุงเครื่องหอมเอาไว้


และท่ามกลางกลิ่นนั้นยังมีกลิ่นของเครื่องหอมไป๋เหยียนเซียงผสานเข้ามา จึงทำให้กลิ่นหอมต่างๆ ไม่ปะทะกัน หาไม่แล้วจะยิ่งทำให้กลิ่นฉุนจนเกินไป และไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านเสิ่นรู้เรื่องที่ตระกูลเว่ยจุดธูปเฉินกวงเอาไว้ทั่วเมืองหรือไม่ จึงจงใจเผาเครื่องหอมทั้งสามชนิดนี้เอาไว้ต้อนรับตน?


                เพราะเสียงกลองและดนตรีดังอื้ออึงไปหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ยินเพียงเสียงคนโห่ร้องอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรี แต่กลับฟังไม่ชัดว่าพูดสิ่งใดกัน


                ในที่สุด หลังจากที่นางเฝ้าอดทนมาอย่างบากลำบาก ยามนี้ก็อดทนมาจึงถึงเวลาเชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยวเสียที


นางมีฝ้าคลุมหน้าบดบังสายตาเอาไว้ อีกทั้งเพราะมงกุฎดอกไม้และเครื่องประดับบนศีรษะทำให้ก้มหน้าไม่สะดวก เว่ยฉางอิ๋งจึงได้แต่อาศัยสาวใช้ประคองให้เดินและฟังเสียงเตือนบอกทางเบาๆ พลางเดินไปอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าแม้จะวอกแวกไปฟังเสียงพูดต่างๆ หรือคำอวยพรจากคนที่อยู่ข้างทาง… ดีชั่วอย่างไรอาคารที่บอกว่าใช้เป็นสถานที่จัดงานก็อยู่ข้างหน้านี้แล้ว ยังมิทันสิ้นเสียงพูดของสาวใช้ก็พลันได้ยินเสียงดนตรีดังสนั่นพร้อมกับเสียงประทัดดังขึ้น จนเว่ยฉางอิ๋งอดจะสะดุ้งตกใจไม่ได้ เคราะห์ดีที่แม้ว่านางจะเหน็ดเหนื่อยหนักหนาด้วยเครื่องแต่งการเต็มยศนี้ แต่เพราะฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก ฝีเท้ายามนางก้าวเดินจึงมั่นคงยิ่ง ไม่ถึงกับต้องหกล้มและเสียมารยาทไปด้วยเหตุนี้


ภายในโถงพิธีแต่งงาน เมื่อผู้ดูแลพิธีเห็นว่าเจ้าสาวมาถึงแล้ว จึงรีบร้องเพลงอวยพรขึ้นมาเสียงดังลั่น รอจนเจ้าสาวเดินตามเพลงอวยพรเข้าไปภายในและยืนประจำที่แล้ว ผู้ดูแลพิธีจึงกล่าวชมเชยไปประโยคสองประโยคว่าทั้งคู่เป็นคู่สร้างคู่สมกัน จากนั้นจึงประกาศลำดับพิธีการในโถงพิธี…หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับผู้ใหญ่ สุดท้ายสามีภรรยาคำนับกันและกัน…


เว่ยฉางอิ๋งถูกปิดหน้าเอาไว้ทำให้มองไม่เห็น และเมื่อถูกพาตัวเข้าไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ของสามี นางก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่มองลงมาจากที่นั่งของแขกผู้ใหญ่ ว่ามีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่สายตานั้นดุดันเฉียบคมยิ่ง คล้ายกับว่าแม้จะมีผ้าคลุมหน้ากั้นอยู่ก็ยังสามารถมองเห็นความรู้สึกภายในใจของนางได้เช่นนั้น


นางพลันสั่นสะท้านขึ้นมาในใจ ด้วยไม่กล้าเงยหน้า และเพราะไม่รู้ว่าเป็นเสิ่นโจ้วหรือเป็นฮูหยินซูกันแน่?


                ในขณะที่นางกำลังตื่นตระหนกอยู่นั่นเอง นางก็ถูกสาวใช้สะกิดหนหนึ่ง จึงได้ลุกขึ้นมา และหันมาคำนับซึ่งกันกับเสิ่นจั้งเฟิง


หลังจากสามีภรรยาคำนับกันแล้ว ทุกๆ คนก็ลุกขึ้นมาห้อมล้อมพวกเขา และดันพวกเขาให้เดินไปทางห้องหอกันอย่างเฮฮา… ทว่าเส้นทางนี้กลับต้องเดินอีกไกลมาก คงเพราะจวนตระกูลเสิ่นกว้างขวาง ระหว่างทางต้องเดินผ่านห้องโถงและระเบียบทางเดิน ทั้งยังมีเสียงของเด็กสาวหัวเราะอย่างยินดีดังลอยมาตลอดเวลา รวมทั้งเสียงคนร้องเพลงอวยพรให้คู่แต่งงานใหม่มีความสุขสงบสมบูรณ์ทุกประการ


                เว่ยฉางอิ๋งอาศัยว่าตนมีผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ จึงแสร้งทำเป็นว่ามิได้ยินสิ่งใด เอาแต่คอยตั้งใจระวังเท้ายามก้าวเดิน


                ในที่สุด หลังจากมีคนเตือนให้นางยกขาก้าวสูงๆ หนหนึ่ง นางก็เข้ามาภายในตัวอาคารเสียที


                ในเสียงดังเอะอะนั้น เว่ยฉางอิ๋งถูกประคองให้มานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ที่ขอบตั่งนอน รู้สึกแต่เพียงว่าตรงหน้าพลันสว่างวาบขึ้นมา


                นั่นเพราะนางถูกปิดหน้ามาตลอดทาง ยามนี้ตรงหน้ามีพุ่มดอกไม้และแสงเทียนสว่างไสว มองเห็นทุกคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรางดงาม และเครื่องประดับวับวามทั้งไข่มุกและอัญมณี ทำให้ภายในห้องยิ่งดูสุกสว่างงดงามยิ่ง จนนางต้องนิ่งเหม่อไปสองอึดใจจึงสามารถมองภาพตรงหน้าได้ชัดเจน แต่กลับมองไม่เห็นว่าห่างออกไปนั้น เสิ่นจั้งเฟิงกำลังอมยิ้มพลางส่งคันตาชั่ง[1]ให้กับผู้ติดตามที่อยู่ข้างกาย


                เหล่าพี่สะใภ้และท่านป้าท่านอาหญิงที่กรูเข้ามาในห้องได้เห็นใบหน้าของเจ้าสาวก่อนผู้ใด…ว่าใบหน้าของนางนั้นช่างงดงามผุดผ่อง แม้จะอยู่ท่ามกลางหญิงงามทั้งกลุ่มก็ยังคงชมเชยได้เช่นเดิมว่างดงามล้ำเลิศ สิ่งที่หาได้ยากยิ่งนั้นคือ ยามนี้ทั้งตัวเจ้าสาวเต็มไปด้วยอัญมณีชั้นเลิศ แต่กลับไม่รู้สึกว่าไร้รสนิยม ในทางกลับกันสิ่งนี้ยิ่งเผยให้เห็นความเรียบง่ายและสุภาพที่งดงามล้ำค่า


                ยามเหล่าคนตระกูลใหญ่มองคนนั้น เรื่องหนึ่งต้องมองที่รูปโฉม ทว่าราศีกลับยิ่งสำคัญเสียกว่า เมื่อเห็นว่าความงามและราศีของเจ้าสาวมิได้จืดจางลงเพราะเครื่องประดับและชุดแต่งงานแสนหรูหรา หากแต่ลอดผ่านอาภรณ์เหล่านั้นออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ทุกคนต่างสบตาซึ่งกันแล้วพยักหน้ารับน้อยๆ ไม่ว่าก่อนออกเรือนเจ้าสาวผู้นี้จะถูกร่ำลือกันไปเช่นไร ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวบ้านใหญ่ที่สืบสายเลือดโดยตรง ทั้งฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเว่ยก็เป็นผู้สอนสั่งอบรมมาด้วยตนเอง ดังนั้นที่สุดแล้วจึงจะไม่มีวันเสียสง่าราศีของบุตรสาวบ้านใหญ่แห่งตระกูลสูงศักดิ์ไปได้


                จากนั้นมีสตรีสวมชุดหรูหรารูปโฉมงดงามผู้หนึ่งเป็นคนเอ่ยชมรูปโฉมของเจ้าสาว พลางกระเซ้าว่าเสิ่นจั้งเฟิงมีวาสนาไม่เบา แล้วทุกคนก็พากันคล้อยตามนาง หลังจากกระเซ้าเย้าแหย่กันสักพัก เสิ่นจั้งเฟิงตอบคำของพี่สะใภ้ใหญ่ผู้นั้นไปสองสามประโยค ทว่ากับสู้ปากคอแสนคมคายของนางหลิวผู้นี้ไม่ได้ จึงยิ้มเจื่อนๆ พลางเฝ้าขอให้ลดละให้ตนด้วย จากนั้นก็เฮฮากันอีกรอบ และมีแม่นมซึ่งมีท่าทีเคร่งขรึมเข้ามาเร่งรัดว่าให้คู่สามีภรรยาใหม่ได้ทำพิธีร่วมโต๊ะอาหารและคล้องแขนดื่มสุราได้แล้ว


                นางหลิวรีบเรียกให้เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งมานั่งด้วยกัน คนสองคนที่มีความสุขพร้อมสมบูรณ์[2]เป็นผู้ยกอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ชนิดเดียวกันออกมา แล้วป้อนพวกเขารับประทานคนละคำสองคำพอเป็นพิธี จากนั้นมีเด็กหญิงเล็กๆ คู่หนึ่งซึ่งมีผิวพรรณงดงามนำกระบวยคู่ที่รินสุราอวี้จินมาจนเต็มส่งมาให้พวกเขาท่ามกลางกลิ่นอายความปลื้มปิติยินดี ภายในกระบวยคู่ซึ่งทำจากผลน้ำเต้าลูกเดียวกันฝ่าครึ่ง มองเห็นสุราที่เต็มเปี่ยมอยู่ภายในสะท้อนภาพเส้นด้ายแดงที่ผูกเอาไว้ปลายกระบวยให้ยิ่งดูสีสดงดงาม ทว่าเมื่อรสชาติขมๆ ของน้ำเต้าผสมเข้าไปในรสของสุรา ทำให้กลายเป็นว่าสุรานี้ดูแล้วหอมหวาน แต่เมื่อเข้าปากกลับฝาดขมเสียยิ่งนัก


                แต่ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งทั้งหิวทั้งกระหาย จึงมิได้มาห่วงว่าตนจะหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือไม่ หลังจากที่คล้องแขนกับเสิ่นจั้งเฟงแล้วนางก็ดื่มเสียจนหมดกระบวย ถือเป็นการอาศัยจังหวะนี้ดับกระหายไปเสียเลย


                ผู้มีความสุขพร้อมสมบูรณ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามารับกระบวยจากมือของคนทั้งสอง แล้วเหวี่ยงลงข้างล่างตั่งต่อหน้าทุกคน แต่เมื่อเห็นว่ากระบวยคู่นั้นซีกหนึ่งหงาย อีกซีกหนึ่งคว่ำ ทุกคนจึงพากันมีสีหน้ายินดี ผู้มีความสุขสมบูรณ์ซึ่งเหวี่ยงกระบวนลงพื้นยิ้มพลางกล่าวชมว่า “หนึ่งซีกหงาย หนึ่งซีกคว่ำ โชคดียิ่งใหญ่! ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสาม และฮูหยินน้อยสามเจ้าค่ะ!”


                สองแก้มของเว่ยฉางอิ๋งมีสีดังผลท้อ นางเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา เสิ่นจั้งเฟิงกลับหัวเราะและพูดคุยตามมารยาทกับทุกๆ คนขึ้นมา


                จากนั้นก็มีคนถือกรรไกรเข้ามา จากนั้นก็ตัดผมของสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันออกมาคนละปอย แล้วมัดเข้าด้วยกันด้วยเชือกห้าสี และค่อยๆ บรรจุลงในถุงผ้าปักอย่างระมัดระวัง


                เมื่อพิธีมัดผมซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายนี้เสร็จสิ้นลง ทุกคนจึงพากันกล่าวคำอวยพรให้คู่สามีภรรยาปรองดองกันตลอดไป รักใคร่กันจนผมเป็นสีขาว เว่ยฉางอิ๋งนั้นอยู่ในอาการเขินอายปนประหม่า เอาแต่กำผ้าเช็ดหน้าในมือไม่ยอมส่งเสียง เสิ่นจั้งเฟิงพานางขอบคุณทุกคน …เมื่อวุ่นวายกันดังนี้อยู่พักใหญ่ นางหลิวเห็นว่าที่ประตูห้องมีคนชะเง้อคอเข้ามามอง จึงเข้าใจในทันใด แล้วยิ้มแย้มพลางว่า “ยังพอจักมีเวลาอยู่บ้าง น้องสามรีบออกไปฉลองสักจอกสองจอก พวกเราจักช่วยเจ้าดูแลฮูหยินคนใหม่เอง”


                เสิ่นจั้งเฟิงรีบตอบไปว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่เป็นอย่างยิ่งขอรับ”


                “เจ้าไปเถิด” นางหลิวยิ้มพลางพยักหน้า เมื่อเห็นเขารับปากแล้ว แต่ฝีเท้ากลับยังรั้งรอชักช้าอยู่ จึงจงใจพูดไปว่า “หากไม่ออกไป ผู้อื่นก็จะสงสัยเอาได้ว่าเจ้าเห็นใบหน้าเจ้าสาวซึ่งงดงามเสียกว่าบุปผาในฤดูใบไม้ผลิ จึงได้หลงลืมแขกเหรื่อที่อยู่กันเต็มโถงเสียแล้ว! พอถึงเวลานั้นขึ้นมาก็จักพากันกลุ่มรุมเข้ามาดูเจ้าสาว เกรงว่าจะทำให้น้องสะใภ้สามตื่นตกใจเอาได้!”


                คำพูดนี้ทำเอาใบหน้าอันหล่อเหลาของเสิ่นจั้งเฟิงพลันแดงขึ้นมา แล้วกล่าวอย่างขัดเขินว่า “เพิ่งจะเสร็จพิธีกราบไหว้ เรื่องนี้…เอ่อ เรื่องนี้ต้องรบกวนพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว จั้งเฟิงขอตัวไปก่อนขอรับ”


                ได้ยินว่าเขาจะออกไปต้อนรับแขก เว่ยฉางอิ๋งจึงเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาคราหนึ่ง ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิ่งก็มองมาทางนางพอดี เมื่อสองคนสบตากันหน้าก็ยิ่งแดงมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่สายตาของพวกนางหลิว จึงพากันหัวเราะและเร่งให้เสิ่นจั้งเฟิงไป “หากยังไม่ไป แล้วเจ้าสาวมองเจ้าอีกสองหน เจ้าก็จะไปไหนไม่ได้แล้วนะ”


                ในจำนวนนั้นมีสาวน้อยอายุราวสิบสองสิบสามปีผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าหลายสีพลันตบมืออย่างร่าเริงแล้วว่า “พี่สะใภ้ใหญ่พูดได้ถูกต้องเป็นที่สุด ยามนี้แขกเหรื่อเต็มโถงกำลังรอพี่ชายสามท่านไปดื่มฉลองอยู่นะเจ้าคะ! หากพี่ชายสาม ท่านยังไม่ไปอีก หรือเพราะกลัวว่าพวกเราจะกินพี่สะใภ้สามไปเล่าเจ้าคะ?”


                สาวน้อยนางนี้มีคิ้วใบหลิวดวงตาสองชั้นกลมโต ใบหน้ารูปเม็ดแตงคางแหลมงดงาม ดวงตาดำขลับกรอกไปมายามพูดจา ดูไปแล้วเจ้าเล่ห์แสนกล เว่ยฉางอิ๋งคิดเปรียบเทียบกับคนในตระกูลเสิ่นที่นางหวงเคยบอกกล่าวกับตน คิดในใจว่าหรือสาวน้อยผู้นี้จะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเสิ่นจั้งเฟิง คุณหนูสี่เสิ่นจั้งหนิงที่ชอบปีนขึ้นไปบนต้นไม้และลงมาไม่ได้ผู้นั้น?


                ขณะที่นางกำลังคิด เสิ่นจั้งหนิงก็ถูกพวกพี่สะใภ้และน้องสาวร่วมแรงร่วมใจกันไล่นางออกไป


                เหลือเพียงเว่ยฉางอิ๋งที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนตั่ง เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างมองมาทางตนพร้อมกับรอยยิ้มจนตาหยี ก็อดจะกำผ้าเช็ดหน้าในมือเอาไว้แน่นๆ ไม่ได้… นางหลิวมองออกว่านางตื่นเต้น รอยยิ้มของนางจึงได้อ่อนโยนลงมาก ไม่เหมือนน้ำเสียงแจ่มชัดฟังดูเฉลียวฉลาดยามนางเย้าแหย่เสิ่นจั้งเฟิง แต่กลับเปลี่ยนมาพูดจาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสุภาพและอบอุ่นว่า “น้องสะใภ้สาม วันนี้เกรงว่าฟ้ายังไม่ทันสางเจ้าก็ต้องตื่นมาเหน็ดเหนื่อยตั้งแต่เช้า ยามนี้คงอยากจะทานอะไรสักหน่อยกระมัง?”


                วันนี้ทั้งวันน้ำสักหยดข้าวสักเม็ดเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่ได้ทาน เดิมทีเพราะนางฝึกวรยุทธ์มานานปี ปริมาณอาหารที่นางทานก็จะมากกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว และเพราะว่านางมีชาติกำเนิดที่สูงส่งมั่งคั่ง แต่เล็กมาจึงมีอาหารและยาบำรุงชั้นเลิศทานอยู่ทุกวี่วัน เพื่อมิให้ในระหว่างฝึกวรยุทธ์มีอาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่ แล้วจักมียามใดที่นางเคยหิวโหยเช่นนี้มาก่อน? ก่อนนี้เพราะเรื่องข่าวลือทำให้นางไม่กินไม่ดื่มมาสองวันสองคืน ทว่ายามนั้นจิตใจของนางดังเถ้าถ่านที่กำลังมอด ไม่ว่าอาหารรสเลิศเช่นใดมาวางอยู่ตรงหน้าก็กินไม่ลง จึงได้เพียงแต่นอนซมอยู่บนตั่งสองวัน


                แต่วันนี้กลับมิใช่ว่ากินไม่ลง แต่เพราะกินไม่ได้ ตลอดทางที่เดินทางมาต้องใส่มงกุฎเครื่องประดับมากมายทั้งชุดแต่งงานแสนหนักอึ้ง นางจึงทั้งเหนื่อยทั้งหิวอยู่ทุกขณะจิต เมื่อได้ยิงคำของนางหลิวจึงรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาจับใจ และพยักหน้าไปทันใดโดยไม่แม้แต่จะคิด เดิมทีนางหลิวนึกว่าน้องสะใภ้ผู้นี้เพิ่งจะเข้าบ้านมา ผู้เป็นเจ้าสาวก็คงจักอดเหนียมอายไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะพยายามสงวนท่าที นางยังเตรียมคำคะยั้นคะยอไว้อีกสองสามประโยค หากเว่ยฉางอิ๋งยังยืนยันว่าไม่ต้องการ เช่นนั้นก็แล้วไป หาไม่แล้วหากบังคับนางให้ทานอาหารกลับจะทำให้นางยิ่งตื่นเต้นมากเกินไป


                แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ จนนางกลับต้องนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงสั่งบ่าวไปว่า “ไปเลือกเอาของว่างดีๆ มาสักจานหนึ่ง และรินนมแพะเจือน้ำผึ้งมาถ้วยหนึ่งด้วย” บ่าวยังไม่ทันไป นางก็ถามเว่ยฉางอิ๋งไปอีกว่า “น้องสะใภ้สามมีสิ่งใดที่ไม่ทานบ้างหรือไม่?”


                “รบกวนให้พี่สะใภ้ใหญ่สอบถามแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดที่ไม่ทานเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งรีบตอบ


                เสิ่นจั้งหนิงที่อยู่ข้างๆ จับจ้องไปยังพี่สะใภ้คนใหม่ของตนด้วยความสนใจยิ่ง จึงเอ่ยออกมาในยามนี้ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ บนโต๊ะข้างนอกมีขนมฮวายฮวากวนแป้งที่เพิ่งจะทำเสร็จเมื่อเช้าวางอยู่เจ้าค่ะ!”


                เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง นางหลิวเองก็เอ่ยถามไปอย่างแปลกใจว่า “ขนมฮวายฮวากวนแป้งรึ? สองวันนี้ในบ้านวุ่นวายกันยิ่งนัก ข้าจำได้ว่าในงานเลี้ยงก็มิได้มีของว่างนี้นี่ เป็นผู้ใดเอามากัน?”


                “พี่ชายสามกำชับกำชามาโดยเฉพาะเจ้าค่ะ” เสิ่นจั้งหนิงพูดอย่างได้อกได้ใจว่า “สองวันก่อน พี่ชายสามให้คนกลับมาสั่งความว่าให้คนในห้องครัวไปเก็บดอกฮวายฮวาในสวนดอกไม้มา ข้าไปพบเห็นเข้าจึงได้สอบถามไป…ท่านยายแม่บ้านยังบอกว่าพี่ชายสามรู้สึกอยากกินขนมฮวายฮวากวนแป้งขึ้นมา ข้าก็คิดว่าแต่ไรมาพี่ชายสามมิได้มีความสนใจเรื่องอาหารการกิน ในขณะที่กำลังวุ่นวายกันเรื่องงานแต่งงานเช่นนี้ แล้วพี่ชายสามจะส่งคนกลับมาสั่งความเป็นพิเศษได้อย่างไร? คิดว่าเพื่อเตรียมเอาไว้ให้พี่สะใภ้สามกระมังเจ้าคะ?”


                คำกล่าวนี้ทำเอาทุกคนในห้องหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน และมีหญิงผู้หนึ่งที่ก่อนนี้เอาแต่ยิ้มไม่พูดจาเอ่ยปากออกมาว่า “มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้น้องสามจึงเอาแต่ละล้าละลังไม่ยอมออกไปต้อนรับแขกเหรื่อสักที!”


                เห็นชัดว่าเสิ่นจั้งหนิงเป็นคนที่กลัวว่าในใต้หล้าจะไม่เกิดความวุ่นวายเพียงพอ นางพลันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แล้วว่า “พี่สะใภ้รองพูดถูกเป็นที่สุดเจ้าค่ะ!”


                เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็หน้าแดงไปทั้งหน้าอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งแดงลงไปถึงลำคอ… นางหลิวสั่งให้สาวใช้ยกขนมฮวายฮวากวนแป้งเข้ามาแล้ววางไว้ข้างๆ ตัวนาง นางกลับมีท่าทีจะหยิบก็ไม่ใช่ ไม่หยิบก็ไม่ถูก วางตัวไม่ถูก ขัดเขินเป็นที่สุด…


__________________________


[1] คานตาชั่ง คือตัวคานของตาชั่งที่เป็นคานเดียว ข้างหนึ่งมีถาดเอาไว้ใส่ของที่ต้องการชั่ง ส่วนอีกข้างเป็นที่เกี่ยวกับทุ่นน้ำหนักเวลาชั่งน้ำหนัก ใช้เป็นอุปกรณ์เมื่อเจ้าบ่าวเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว มีความหมายว่าให้ทุกเรื่องราบรื่นสมดังใจ


[2] ผู้มีความสุขสมบูรณ์ คือ สตรีที่แต่งงานแล้ว มีสามีที่ดี บ้านสามีรัก มีบุตรธิดาครบพร้อมและยังมีชีวิตอยู่


ตอนที่ 3 เข้านอน

โดย

Xiaobei

            นางหลิวผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งตกที่นั่งลำบากยิ่งนัก จึงรีบปรามเสิ่นจั้งหนิงไม่ให้กระเซ้าเย้าแหย่พี่สะใภ้ที่เพิ่งจะเข้าบ้านมา ทั้งยังบอกกับน้องสะใภ้รองแซ่ตวนมู่ว่า “น้องสะใภ้สามเพิ่งจะเข้าบ้านมา ยากจะไม่ให้รู้สึกขัดเขิน เรื่องที่พวกเขาสามีภรรยารักใคร่กัน พวกเราเพียงมองเห็นอยู่ในสายตาและรับรู้เอาไว้เป็นพอแล้ว ไยต้องกล่าวออกมา ทำเอาแม้แต่ขนมฮวายฮวากวนแป้งนี้ น้องสะใภ้สามก็ยังไม่กล้าชิมเสียแล้ว!”


            เว่ยฉางอิ๋งโล่งอก พลางมองไปทางนางหลิวด้วยสายตาซาบซึ้งใจ ไม่คิดว่าพอนางหลิวกรอกตาหนหนึ่ง ก็กล่าวออกมาอย่างขึงขังว่า “พวกเจ้าลองคิดดูสิ น้องสามเขาเคยสนใจเรื่องอาหารการกินเช่นนี้แต่เมื่อใดกัน? นี่นับเป็นหนแรกที่กุลีกุจอตระเตรียมเอาไว้ให้คนสักคน แต่ปรากฏว่าผู้ที่เขาเอาใจใส่ตระเตรียมไว้ให้ผู้นี้ กลับถูกพวกเจ้าเย้าแหย่เสียจนไม่กล้าลิ้มรสขนมเสียแล้ว ยามน้องสามกลับมาและรู้เรื่องนี้เข้า แล้วจะไม่รู้สึกผิดหวังได้หรือ? คนเป็นพี่สะใภ้และเป็นน้องสาวเช่นพวกเจ้าก็ไม่รู้จักทำตัวให้น่ารักสักหน่อย! ทำเสียเรื่องเสียได้!”


            เพิ่งจะสิ้นเสียงนาง ภายในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น


            นางตวนมู่และเสิ่นจั้งหนิงต่างพยักหน้าด้วยสีหน้าขึงขัง พากันบอกว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเป็นที่สุด เช่นนั้นยามนี้พวกเราจะไม่พูดสิ่งใดแล้ว!”


            แต่ตอนนี้เว่ยฉางอิ๋งยื่นมือออกไปไม่ได้จริงๆ ด้วยขวยเขินเหลือประมาณ อดจะกล่าวไปไม่ได้ว่า “ข้านึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่เอ็นดูข้าเสียอีก ที่แท้แล้วพี่สะใภ้ใหญ่ต่างหากที่ร้ายที่สุด!”


            นางหลิวแสร้งเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับที่หางตา พลางทอดถอนใจว่า “น้องสะใภ้สาม คำกล่าวนี้ทำร้ายจิตใจข้าเสียจริง พี่สะใภ้ ข้านั้นล้วนพูดความในใจ! แล้วจะร้ายได้อย่างไร?”


            “พี่สะใภ้สามท่านเพิ่งรู้หรือเจ้าคะ?” เสิ่นจั้งหนิงกลับหักหน้านางอย่างไม่ไว้หน้า บอกว่า “ก่อนนี้ตอนพี่สะใภ้รองเข้าบ้านก็ถูกพี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรองเย้าแหย่เช่นนี้ และเป็นพี่สะใภ้ใหญ่เข้ามาประนีประนอม พี่สะใภ้รองก็เห็นว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนดี แต่ปรากฏว่า…เหอๆ!”


            “คนที่ร้ายที่สุดก็คือน้องสี่แล้ว!” นางหลิวหรี่ตาพลางว่า “ยามนี้กำลังอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้สามของเจ้า แต่เจ้ากลับโยงไปถึงเรื่องหลายปีก่อน นี่เพราะอยากเห็นพี่สะใภ้สามของเจ้าถูกหักหน้าเช่นกันรึ! น้องสี่เจ้านี่ร้ายกาจเกินไปแล้ว วันพรุ่งคอยดูข้าจะไปบอกกับแม่เจ้า!”


            เสิ่นจั้งหนิงแลบลิ้น “พี่ชายสามกลับมาแล้ว ข้าจะกลัวสิ่งใด? ท่านแม่จะตีข้า ข้าก็คอยหลบข้างหลังพี่ชายสามเป็นพอ! ถึงเวลาก็ปล่อยให้ท่านแม่ตีไป อย่างไรก็มีพี่ชายสามช่วยบังข้าไว้อยู่แล้ว!”


            นางตวนมู่พลันหัวเราะลั่นขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “น้องสี่เจ้านี่ช่างไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ ก่อนนี้เจ้าวิ่งไปหลบหลังพี่ชายสามก็มิเป็นไร แต่ยามนี้น้องสะใภ้สามเข้าบ้านมาแล้ว น้องสามเองก็รักใคร่น้องสะใภ้สามถึงเพียงนี้ แล้วจักยังคอยคุ้มครองเจ้าอยู่ได้อย่างไร? หากเจ้ายังคงไปรบกวนพี่ชายสาม เกรงว่าท่านแม่จะมีแต่ทำโทษเจ้าหนักขึ้นน่ะสิ?”


            แรกเริ่มนั้นเว่ยฉางอิ๋งเพียงคิดว่าเป็นการหยอกล้อระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ และน้องสามีตัวน้อย เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศครื้นเครงในยามส่งตัวเท่านั้น แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้กลับรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาในใจ ปรากฏว่าเสิ่นจั้งหนิงพลันพูดออกไปด้วยท่าทีไม่พอใจว่า “พี่สะใภ้สามเข้าบ้านแล้วจะเป็นอย่างไร? ข้ากับพี่ชายสามอย่างไรก็เป็นพี่น้องร่วมท้อง หรือถ้าข้ามาที่เรือนของพี่ชายสามนี่ แล้วพี่สะใภ้สามจะคอยขวางประตูเอาไว้ไม่ให้ข้าเข้ามา?”


            หลังจากนางพูดจบก็เบิกตากว้างมองมาที่เว่ยฉางอิ๋ง ดูไปแล้วหากเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ออกไป ก็คงต้องเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นเป็นแน่แท้ เห็นชัดว่าในบ้านเสิ่นนี้นางถูกเอาอกเอาใจเป็นอย่างยิ่ง… หาไม่แล้วนางตวนมู่ก็ไม่จำเป็นต้องมายุแยงนางเช่นนี้


            “น้องสี่ว่ามาเช่นนี้ ข้าเห็นว่าน้องสี่เป็นผู้ที่ใครเห็นใครก็รัก กลัวแต่ว่าถึงเวลาขึ้นมา ข้าจะเชิญเจ้ามาไม่ได้เสียมากกว่า” เว่ยฉางอิ๋งยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก พูดพลางหัวเราะเบาๆ และไม่หันไปมองนางหลิวและนางตวนมู่อีกแม้สักหน


            แต่กลับเห็นว่านางหลิวมีสีหน้าประหลาดขึ้นมา จากนั้นก็ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ส่วนนางตวนมู่ก็ไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ยังคงอมยิ้มอยู่เช่นนั้น


            เสิ่นจั้งหนิงจึงได้หายไม่พอใจและกลายมาเป็นยินดี นางมองไปทางนางตวนมู่ด้วยท่าทีโอ้อวด พลางว่า “พี่สะใภ้รองท่านดูสิ พี่สะใภ้สามมิได้เป็นคนใจคอคับแคบเช่นนั้นสักหน่อย!”


            นางตวนมู่เองก็มิได้มีท่าทีอึดอึดใจ ยิ้มตาหยีแล้วว่า “โธ่เอ๊ย ข้าก็เพียงพูดไปเช่นนั้นเอง นี่เจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังเสียแล้วรึ?”


            นางยังคงยืนยันเสียงแข็งว่าเป็นเพียงการล้อเล่น แล้วครานี้ก็กลับมาเป็นช่วงเวลากระเซ้าเย้าหยอกเจ้าสาวจริงๆ อีกหน และไม่เหมาะจะไปไล่เรียงเอาสิ่งใดกับนางอีก เว่ยฉางอิ๋งลอบเยาะอยู่ในใจหนหนึ่ง คิดว่าวันเวลายังอีกยาวนาน จึงไม่ได้ใส่ใจว่าจะต้องมาจัดการนางตวนมู่ให้ถึงที่สุดในวันที่ตนเข้าบ้านมาวันนี้ และมิได้ต่อความนางอีก


            เมื่อเป็นดังนี้แล้วบรรยากาศก็เย็นสบายขึ้น นางหลิวมองถังทองแดงหยดน้ำที่อยู่ที่มุมห้อง เม้มปากยิ้ม กล่าวว่า “เราอยู่เป็นเพื่อนคุยกับน้องสะใภ้สามมาสักพักแล้ว คาดว่าน้องสามคงจะต้อนรับแขกเหรื่อข้างหน้าจนครบ เวลานี้คงจะจวนกลับมาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด ให้น้องสะใภ้สามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อสักพัก… คืนนี้พวกเขายังมีเรื่องต้องวุ่นวายกันอีกนะ!”


            เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งกำลังขุ่นเคืองอยู่ว่าตนเพิ่งจะเข้าบ้านมา เหตุใดนางตวนมู่ที่แต่งกับบุตรจากอนุตระกูลเสิ่นจึงอดจะเสี้ยมเสิ่นจั้งหนิงให้หันมาเล่นงานตนไม่ได้ เมื่อได้ยินคำของนางหลิว หน้าแดงๆ ที่เพิ่งจะจางลงก็พลันแดงขึ้นมาอีก นางอุทานออกมาทั้งใบหน้าที่แดงก่ำจนร้อนว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวสิ่งใดกันเจ้าคะ!”


            นางหลิวหัวเราะรื่นพลางว่า “เอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้ว สรุปก็คือ พวกเราจะไม่ทำให้พวกเจ้าเสียเวลาอีก อย่าได้กลายเป็นว่าสักพักน้องสามกลับมาแล้วเห็นพวกเรายังไม่ไป แม้ปากจะไม่ว่า แต่ก็ไม่แน่ว่าในใจจะต่อว่าว่าพวกเราไม่รู้จักกาลเทศะ!”


            นางตวนมู่หัวเราะและช่วยพูดประหนึ่งไม่เกิดเรื่องใดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวถูกต้องเป็นที่สุดเจ้าค่ะ พวกเราอยู่ที่นี่ แม้แต่ของว่างเล็กน้อย น้องสะใภ้สามก็ยังไม่กล้าทานเลย หากยังไม่ไป จักไม่ถูกรังเกียจเอาหรอกหรือ?”


            เสิ่นจั้งหนิงกลับคิดอยากจะอยู่ต่อ แต่แล้วพี่สะใภ้ทั้งสองต่างก็ทั้งลากทั้งดึงนางออกไป นางจึงไม่อาจไม่ออกไปได้ ขณะที่ถูกนางตวนมู่ดึงตัวออกไป นางก็ยังไม่ลืมหันหน้ากลับมาพูดว่า “ซูเหยียนอยากจะมาพบพี่สะใภ้สามเอามากๆ แต่วันนี้นางปวดหัวเล็กน้อยจึงมิได้ออกมา ไว้วันพรุ่งนางหายดีแล้ว ข้าจะพานางมาหาพี่สะใภ้สามนะเจ้าคะ!”


            เว่ยฉางอิ๋งกำลังสงสัยว่าซูเหยียนคือผู้ใดและยิ่งประหลาดใจว่าเหตุใดนางจึงอยากจะพบตน นางหลิวผลักเสิ่นจั้งหนิงไปพลางและหันมาอธิบายกับนางไปพลางว่า “ซูเหยียนเป็นบุตรสาวของน้องสะใภ้รอง เป็นลำดับที่สี่ในรุ่นหลานสาว”


            เมื่อว่ามาดังนี้ก็นับว่าเป็นหลานสาวของตน? ฟังดูแล้วเหมือนนางจะอายุไม่มาก แล้วเด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้จะมาหาตนทำสิ่งใด? เว่ยฉางอิ๋งอดคิดไปไม่ได้ว่า “หรือนางตวนมู่จงใจยุยงให้เสิ่นจั้งหนิงไม่พอใจตน และเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเสิ่นซูเหยียนด้วย? นี่เป็นเรื่องใดกัน?”


            เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนไปกันหมดแล้ว นางหวงจึงรีบให้สาวใช้เข้ามาช่วยปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งบนตัวเว่ยฉางอิ๋ง ถอดมงกุฎดอกไม้ เครื่องประดับต่างๆ และชุดแต่งงานออก เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสบายตัวขึ้นมาโดยพลัน เพราะยามนี้กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ชุดแต่งงานมีน้ำหนักมากและไม่สบายตัว เมื่อถอดออกแล้วเสื้อตัวในล้วนเปียกชุ่มไปหมด นางจึงเร่งร้อนอยากจะไปอาบน้ำ


            นางหวงปลอบนางว่า “ข้าน้อยได้สั่งให้คนไปเอาน้ำร้อนมาตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่รับประทานอะไรสักเล็กน้อยก่อน ส่วนห้องอาบน้ำนั้นตระเตรียมไว้เรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่คุณหนูไม่ได้ดื่มกินอะไรมาทั้งวัน เกรงว่าหากไม่ทานอะไรสักหน่อย เมื่อลงน้ำแล้วจักไม่ใคร่ดีเจ้าค่ะ”


            เว่ยฉางอิ๋งหิวมากจนเกินไป ยามนี้กลับกลายเป็นว่าไม่อยากจะกินสิ่งใดเลย แต่เมื่อได้ยินนางหวงกล่าวเตือนเช่นนี้ จึงดื่มนมแพะที่นางหลิวส่งมาให้ภายหลัง และทานขนมฮวายฮวากวนแห้งไปสองชิ้น เมื่อขนมกวนแป้งเข้าปาก รสหอมวานก็แผ่ซ่านออกมา ในปากยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกฮวายฮวาด้วย เว่ยฉางอิ๋งอดคิดถึงเรื่องเมื่อต้นเดือนสามที่เกิดขึ้นในลานต้นฮวายไม่ได้… เป็นตนนั้นเองที่ตอนนั้นบอกว่าจะเก็บดอกฮวายฮวาไปให้นางหวงทำขนมฮวายฮวากวนแป้ง เขาจึงจำได้กระมัง?


            ฝีมือทำขนมฮวานฮวากวนแป้งของห้องครัวบ้านตระกูลเสิ่นนี้คล้ายยังไม่สู้ที่นางหวงทำ ทว่า..รสชาตินั้นกลับ…หวาน…เป็นธรรมดา คาดว่าเพราะตัวดอกฮวายฮวาทานแล้วก็จะมีรสหวานกระมัง?


            เมื่อครู่นี้ยังบอกว่าไม่กิน แต่หนนี้กลับอดจะไปหยิบมาอีกชิ้นไม่ได้


            เพียงแต่เมื่อปลายนิ้วแตะลงไป เมื่อมองเห็นขนมกวนแป้งสี่อ่อนๆ นางก็พลันนิ่งเหม่อ ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวมุมปากของนางก็โค้งขึ้นมา…จนกระทั่งนางหวงจงใจกระแอมไอหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้รู้ตัวขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำไปหมด!


            นางหวงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้สัมผัสถึงบางสิ่ง เพียงกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ห้องอาบน้ำเตรียมพร้อมแล้ว คุณหนูใหญ่จะรีบไปอาบน้ำเลยหรือไม่เจ้าคะ?”


            “อ่ะ? ได้!” เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงพลางโยนขนมฮวายฮวากวนแป้งชิ้นนั้นกลับลงใบบนจานกระเบื้อง พยายามฝืนวางท่าแล้วกล่าวว่า “เห็นขนมฮวายฮวากวนแป้งแล้ว ข้าก็คิดถึงต้นฮวายแก่ในรุ่ยอวี่ถังของเรา ท่านอา ท่านว่าต้นฮวายต้นนั้นยามนี้ยังอยู่ดีหรือไม่?”


            มุมปากขอนางหวงโค้งขึ้นเล็กน้อย เพราะกำลังพยายามกลั้นไม่ให้ตนหัวเราะออกมา แล้วกล่าวไปด้วยท่าทีขึงขังว่า “ในเมื่อมันอยู่มาเป็นร้อยปีก็ยังคงมีดอกใบเต็มต้น คิดว่ายามนี้ก็ยังคงดีเช่นเดิมกระมังเจ้าคะ”


            “อืม เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นมา วางท่าทำเป็นว่าเพียงสอบถามไปลอยๆ เช่นนั้น แล้วว่า “ไปกันเถิด”


            ….หลังอาบน้ำเสร็จ ฉินเกอและเยี่ยนเกอคอยช่วยนางสวมเอี๊ยมซับใน นางหวงหยิบเสื้อเกาะอกผ้าไหมเค่อซือ[1]สีแดงส้มภาพลายเมฆหรูอี้ดิ้นทองที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยนานแล้วมาจากถาดวางเสื้อผ้าที่เจวี๋ยเกอถืออยู่ออกมา บอกให้ฉินเกอสวมให้แก่เว่ยฉางอิ๋ง จากนั้นก็คลี่เสื้อคลุมเยวี่ยหลัวผ่าหน้าสีแดงเข้มทับทิมปักภาพลูกเต็มบานหลานเต็มเมืองออกมาและเอามาคลุมให้นาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “คุณหนูใหญ่ของพวกเราสวมสีแดงแล้วขึ้นเสียจริงๆ”


            ผ้าเยวี่ยหลัวที่อ่อนนุ่มบางเบาจนรู้สึกเหมือนไม่ได้สวมใส่นี้คลุมอยู่ที่หัวไหล่ของนาง หลังจากอาบน้ำแล้วเว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง เมื่อคลุมตัวด้วยเสื้อคลุมหลัวซานตัวยาวนี้เข้าไป จู่ๆ นางก็คิดถึงหนังสือภาพที่นางหวงนำมาสอนตนก่อนหน้านี้ แม้วันนั้นนางจะรู้สึกอายเกินไป จึงไม่กล้าดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็พอจะจดจำภาพเหล่านั้นได้รางๆ และในใจกลับรู้สึกขลาดกลัวอย่างไม่รู้ที่มา อดจะกำมือแน่นหนแล้วหนเล่าไม่ได้


            นางหวงมองเห็นความตื่นเต้นของนาง เมื่อรอจนพวกของฉินเกอช่วยปรนนิบัติเว่ยฉางอิ๋งสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็สั่งให้พวกนางออกไป แล้วจึงปลอบประโลมเว่ยฉางอิ๋งเสียงเบาๆ ว่า “คุณหนูใหญ่อย่าได้กลัวไปเลยเจ้าค่ะ สตรีทุกคนย่อมต้องผ่านเรื่องเช่นนี้ ดูไปแล้วท่านเขย… ท่านเขยก็มิใช่คนที่จะไม่เมตตาปราณีคน คุณหนูใหญ่อดทนสักหน่อย ผ่านไปสักสองวันก็จะดีเองนะเจ้าคะ?”


            ตอนดูหนังสือภาพครานั้น เว่ยฉางอิ๋งอายเสียจนไม่กล้าลืมตา แม้นางหวงจะพยายามช่วยให้ความกระจ่างกับนางอย่างสุดชีวิต อีกทั้งนางหวงเองก็เป็นบ่าวในบ้านใหญ่ที่พอจะรู้หนังสืออยู่บ้าง ยามพูดจาก็สุภาพอ่อนโยน ทว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่ยอมตั้งใจ จึงทำให้เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง จำได้แต่เพียงว่าพอเรื่องนี้ผ่านไปแล้วก็จะรู้สึกเจ็บ… นอกนั้นกลับเข้าใจอย่างคลุมๆ เครือๆ เมื่อถูกนางหวงปะเหลาะเช่นนี้ จึงรู้สึกอายจนโกรธ แล้วกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ก็มิใช่แค่เจ็บนิดหน่อยเท่านั้น! ท่านอาวางใจเถิด ยามข้าฝึกวรยุทธ์ก็เคยลำบากมานักต่อนักแล้ว มีสิ่งใดต้องกลัวเล่า! อีกประการเขารึจะกล้าทำข้าเจ็บ? ถึงเวลายังมิรู้ว่าผู้ใดจักทำผู้ใดเจ็บกันแน่!”


            แม้จะบอกว่านางหวงเพิ่งมาดูแลนางได้ไม่กี่เดือน แต่ก็สามารถสัมผัสถึงนิสัยแข็งกร้าวไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาของคุณหนูใหญ่ผู้นี้ได้อย่างชัดเจน มาได้ยินดังนี้ก็รู้ว่าเรื่องที่นางอธิบายไปนั้นเปล่าประโยชน์เสียแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ทว่าเมื่อลองคิดดูใหม่ ดีชั่วอย่างไรเสิ่นจั้งเฟิงทางนั้นก็คงจะไม่ใช่ว่าไม่มีคนชี้แนะมา ยามนี้ก็ไม่มีเวลาจะมาอธิบายรายละเอียดให้เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้ว ทั้งยังคร้านจะจ้ำจี้จ้ำไชนาง จึงเพียงกำชับไปว่า “คืนนี้ให้ทำตามท่านเขยสักหน่อย ท่านเขยต้องการให้คุณหนูใหญ่ทำสิ่งใด ก็ให้คุณหนูใหญ่เชื่อฟังก็แล้วกันนะเจ้าคะ”


            เว่ยฉางอิ๋งพลันไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด “ข้าไม่ได้อยากเชื่อฟังเขาสักหน่อยนี่ แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ต้องเชื่อฟังข้าบ้าง?”


            “คุณหนูใหญ่…” เมื่อเห็นนางหวงชักสีหน้า คล้ายว่าคงจะต้องเกิดเรื่องให้ว่ากันอีกยาว เว่ยฉางอิ๋งจึงสูดหายใจลึกๆ แล้วพูดกลบเกลื่อนไปว่า “ตกลง ตกลง”


            …เชอะ! ข้าเชื่อฟังเขาก็บ้าแล้ว! ลองกล้าไม่เชื่อฟังข้าสิ คืนนี้จะเล่นงานเขาให้ดู!


            เว่ยฉางอิ๋งถูกนางหวงส่งออกมาจากห้องอาบน้ำพร้อมกับความคิดเช่นนี้ เมื่อถึงในห้องกลับเห็นว่าพวกของฉินเกอที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่อยู่แล้ว จึงอดจะรู้สึกงงงันไม่ได้ กำลังจะร้องเรียกคน ข้างหลังกลับมีคนกระแอมไอเบาๆ หนหนึ่ง


            นางหวงรีบหันหลังไปคำนับ “ท่านเขย”


            “ท่านอาออกไปก่อนเถิด” เสิ่นจั้งเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


            และนางหวงเองก็มิได้ขัดข้อง อมยิ้มด้วยความยินดีแล้วว่า “เจ้าค่ะ!”


            เว่ยฉางอิ๋งกำมือแน่น เมื่อหันหน้าไปมองกลับเห็นว่าเสิ่นจั้งเฟิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดยาวใส่อยู่บ้านตามปกติ ถอดครอบม้วยผมทองที่ใส่ในงานแต่งงานออก มีเพียงผ้ารัดผมสีเข้มมัดไว้หลวมๆ และเขากำลังมองมาทางนางด้วยรอยยิ้มบางๆ แม้สีหน้าเขาจะอ่อนโยน ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังคงเฉียบคมเร่งเร้าใจคน


            เมื่อถูกเขามองมา เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกลนลานโดยไม่รู้สาเหตุ จากนั้นก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา ‘มันเรื่องใดที่ข้าต้องกลัวเขาด้วย!’ แล้วยกคอเสื้อขึ้นแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน กล่าวว่า “เจ้ามองสิ่งใด?”


            เพราะกราบไหว้ฟ้าดินแล้ว ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงจึงได้ดูผ่อนคลายลงมาก เมื่อถูกนางซักไซ้เช่นนี้ นอกจากจะไม่หันเหสายตาไปที่ใดแล้ว กลับยิ้มอย่างใจเย็นว่า “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่? อยากจะกินอะไรสักหน่อยหรือไม่? ข้าจะสั่งคนให้เตรียมสุราอาหารมาให้”


            พูดไปก็ขยับเข้ามาคว้าแขนเว่ยฉางอิ๋ง


            เว่ยฉางอิ่งสะดุ้งแล้วขยับหลบไปตามสัญชาตญาณ เพียงแต่เสิ่นจั้งเฟิงก็ก้าวตามเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งอดไม่ไหวจึงถอยหลังไปอีกก้าว เสิ่นจั้งเฟิงชะงักเล็กน้อย แล้วยกแขนขึ้นมา… ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ก้าวถอยไปอีกก้าวอย่างไม่ทันรู้ตัว เสิ่นจั้งเฟิงยืนนิ่งไม่ได้ขยับตามเข้าไปอีก แต่กลับหัวเราะออกมาแล้วว่า “ยามนี้พวกเรากราบไหว้ฟ้าดินแล้ว เจ้ายังกลัวสิ่งใด?”


            เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าบอกว่าข้ากลัวเขา…


            เว่ยฉางอิ๋งหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันใดแล้วเอ่ยออกไปด้วยความโกรธจนตัวสั่นว่า “เข้าไม่ได้กลัวเจ้า ข้าเพียงแต่ไม่อยากกินเท่านั้น”


            “…” แววตาของเสิ่นจั้งเฟิงมีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างชัดเจน กล่าวว่า “ตกลง เช่นนั้นพวกเราเข้านอนกัน?”


            เข้านอน? เว่ยฉางอิ๋งเผลอหันไปมองตั่งนอนโดยไม่ตั้งใจ ตะขอเกี่ยวมุ้งเป็นรูป ‘ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง’ เกาะมุ้งให้เปิดแยกออกสองข้าง เผยให้เห็นผ้าห่มสีแดงทับทิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของสิริมงคล บนผ้าห่มหนาปักภาพต่างๆ และลายดอกไม้ที่แสดงถึงความเป็นมงคลและครบสมบูรณ์เอาไว้เต็มไปหมด… บนหมอนก็ยังวางหยกหรูอี้เอาไว้คู่หนึ่ง


            นางพลันรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อย ในขณะที่กำลังขบคิดว่าจะตอบไปอย่างไร เอวของนางกลับถูกรัดรึงไว้แน่น กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเข้ามาโอบเอวนางเอาไว้ในขณะที่นางกำลังเหม่อลอย


            “เจ้าทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ่งตื่นตกใจยิ่งและพยายามเอี้ยวตัวออก แต่แล้วเพียงมือของนางทาบลงไปที่แขนของเสิ่นจั้งเฟิง ก็กลับถูกเขาหันมือกลับมาเกาะกุมเอาไว้ แล้วก้มหน้าลงมาจูบเบาๆ ที่ปอยผมหลังใบหูครั้งหนึ่ง…จูบนี้แม้จะแผ่วเบา แต่จนใจเหลือที่ตรงหน้านั้นเป็นกระจกที่จัดวางเอาไว้ให้เว่ยฉางอิ๋งใช้แต่งหน้าทำผม และนางมองเห็นภาพในกระจกได้อย่างแจ่มชัด… เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่ามีเสียงก้องอยู่ในหัวหนหนึ่ง และราวกับว่าเลือดในกายทั้งหมดพลันไหลย้อนขึ้นมาในบัดดล!


            นางนิ่งเหม่อไปพักใหญ่ๆ แล้วพลันใช้ศอกถองไปข้างหลังหนหนึ่ง… ไม่คิดว่าเพียงกำลังถอง เสิ่นจั้งเฟิงกลับตาไวมือเร็วจับแขนนางเอาไว้ กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้ายังจักกลัวข้าทำสิ่งใด?”


            เจ้าหมอนี้กล้าบอกว่าข้ากลัว!!!


ทั้งยังกลัวเขา!!!


เว่ยฉางอิ๋งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน!


นางดิ้นรนอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่อาจสะบัดให้หลุดได้ แต่กลับรู้สึกว่าแผ่นอกแกร่งของชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังค่อยๆ ร้อนระอุขึ้นมา ลมหายใจของเสิ่นจั้งเฟิงที่อยู่ใกล้หูตนนั้นก็ค่อยๆ กระชั้นขึ้น ความคิดของนางก็หมุนวนไปต่างๆ นานา ทันใดนั้นเองพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในสมอง นางหยุดดิ้นรน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ในเมื่อเป็นสามีภรรยา แล้วเจ้ามารั้งตัวข้าไว้เช่นนี้ทำสิ่งใด? ยังไม่รีบปล่อยอีก!”


_______________________________


[1] เค่อซือ เป็นเทคนิกการทอผ้าไหมให้ออกมาเป็นภาพทั้งภาพ (ไม่ใช่แค่ลายรูปทรงเลขาคณิตเหมือนกันทั้งผืน)


ตอนที่ 4 หนึ่งจอกลบล้างความแค้น (1)

โดย

Xiaobei

              เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะออกมาหนหนึ่ง ริมฝีปากแทบจะแนบอยู่ที่หูของนาง แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “มิใช่ว่าจะเข้านอน?” ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ในปากยังคงมีกลิ่นเหล้าหลงเหลืออยู่ ผมยาวปอยหนึ่งไหลหลุดลงมาจากผ้ามัดผม ระลงมาบนไหล่ของเว่ยฉางอิ๋ง และผมนั้นยังคงเปียกชื้นอยู่บ้าง…ยามเขากลับมาคงจักรีบไปอาบน้ำมาแล้ว


              แย่จริง ดูท่าจะจนปัญญาหลอกล่อเขาให้ไปอาบน้ำเสียแล้ว…


              เว่ยฉางอิ๋งกรีดร้องอย่างว้าวุ่นอยู่ในใจ นางพยายามหาวิธี แล้วกล่าวออกไปด้วยสีหน้าอย่างคนถูกรังแกว่า “เจ้านี่! เข้านอนก็เข้านอน แล้วเจ้ามาทำมือไม้ไม่อยู่สุขเช่นนี้…ใช้ได้ที่ใดกัน!” ระหว่างที่นางพูดไปก็พลันออกแรงหยิกที่แขนเขาหนหนึ่ง ด้วยหวังว่าเขาจะเจ็บจนต้องคลายมือ


              “คืนนี้หากมือไม้ไม่อยู่สุข แล้วจะใช้ได้ที่ใดกันเล่า?” ว่าแล้วเสิ่นจั้งเฟิงก็ทำประหนึ่งว่าไม่รู้สึกใดและปล่อยให้นางหยิกไป ท่าทีเย้าหยอกในคำพูดยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพลันก้มหน้าลงจูบแรงๆ ที่คอนางหนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งร้องอ๊ะเสียงต่ำๆ ออกมาพลางเอื้อมมือไปปิดที่ลำคอเอาไว้


              อาศัยจังหวะที่นางกำลังลนลานทำอะไรไม่ถูก เสิ่นจั้งเฟิงพลันม้วนชายเสื้อขึ้น ก้มตัวลงและอุ้มนางขึ้นมาในท่านอนอย่างรวดเร็ว!


              จู่ๆ เว่ยฉางอิ๋งก็ตัวลอยขึ้นมาจากพื้น นางตกใจเสียจนรีบเข้าไปกอดคอเสิ่นจั้งเฟิงไว้ตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็โมโหโกรธา ยกมือกำหมัดพุ่งเข้าใส่หน้าของเสิ่นจั้งเฟิง แล้วกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “เจ้า! เจ้าบังอาจนักนะ!”


              สีหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงยังคงไม่เปลี่ยน รอจนหมัดเข้าใกล้จะถึงแก้มเขาจึงค่อยหันหน้าหลบไปได้ทัน แต่กลับอาศัยชั่วเวลาสั้นๆ นี้อุ้มนางไปถึงข้างตั่งนอน เว่ยฉางอิ๋งยังคงคิดจะสู้ต่อ แต่กลับถูกเขาวางไว้บนตั่งอย่างไม่เบาและไม่หนักมือเกินไป พลางยกมือขึ้นรับหมัดของนางหนแล้วหนเล่า แล้วพูดอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีว่า “ข้าเป็นสามีเจ้านะ!”


              “ช่างเจ้าว่าเจ้าจะเป็นผู้ใด!” เว่ยฉางอิ๋งไม่พอใจเป็นที่สุด ตวาดเสียงต่ำไปว่า “ข้าว่าเจ้าอยากจะหาเรื่องสู้!” นางลุกพรวดพราดขึ้นมาคลาน และมิได้สนใจว่ายามนี้ผมเผ้าจะยุ่งเหยิง เสื้อผ้าจะหลุดลุ่ย ยังมิทันนั่งดีๆ นางก็กวาดขาออกไปทางเสิ่นจั้งเฟิงที่ยืนอยู่ข้างตั่งนอน


              เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตา แล้วลงมือดังสายฟ้าแลบ จับขาของนางที่กวาดออกมาเอาไว้ เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งสวมรองเท้าผ้าไหม แต่ตอนที่นางดิ้นยามถูกเสิ่นจั้งเฟิงอุ้มขึ้นมารองเท้าก็หลุดออกไปหมด ถุงเท้าผ้าก็หลุดออกครึ่งหนึ่ง ยามนี้ใต้กระโปรงจึงมีผิวขาวดังหิมะเผยออกมาให้เห็น ยามอยู่ใต้แสงเทียนช่างบริสุทธิ์ไร้มลทิน วาบวามเย้ายวนนัก ยามถูกเสิ่นจั้งเฟิงจับเอาไว้ในมือ สัมผัสได้ถึงผิวที่เกลี้ยงเกลาเนียนนุ่ม เขาเริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ


              เมื่อจู่โจมหลายครั้งไม่เป็นผล ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งลนลานเหลือล้นอยู่นั้น นางทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว คิดอยากจะหดขากลับ แต่กลับรู้สึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงจับขานางเอาไว้แน่นนัก อุ้งมือที่มีรอยนูนหยาบนั้นรุ่มร้อน ยามจับที่ข้อเท้านางช่างหนักแน่นดังขุนเขา ทำให้นางรู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่าไม่เข้าทีเสียแล้ว


              “…” ทั้งสองคนหยุดนิ่งไปพักใหญ่ หลังจับจ้องกันไปมาอยู่นาน เว่ยฉางอิ๋งพลันลุกขึ้นมาแล้วพุ่งตัวเขาใส่อกของเสิ่นจั้งเฟิง!


              ในเวลาเดียวกัน ผ้าห่มที่ทั้งสองใช้ห่มนอนก็ถูกนางลากออกมาจากในตั่ง แล้วเอาไปคลุมหัวเสิ่นจั้งเฟิง!


              สายตาของเสิ่นจั้งเฟิงชะงักงัน และไม่อาจไม่ปล่อยข้อเท้าของนางไปชั่วคราว เพียงแต่แม้เขาจะเห็นว่าผ้าห่มคลุมเข้ามาที่หัว แต่เขากลับไม่ได้คิดจะหลบ แต่กลับย่อตัวลงต่ำ… เว่ยฉางอิ่งลอบแค่นเสียงอยู่ในใจ ในขณะที่กำลังคิดว่า ‘เจ้านึกว่านี่คืออาวุธลับรึ? ที่พอก้มหัวลงก็จะหลบพ้น… ดูสิว่าข้าจะเอาเท้ากดเจ้าเอาไว้แล้วตีจนกว่าจะตาย! ให้เจ้าได้รู้ความร้ายกาจของข้า’ อยู่นั่นเอง


              ไม่คิดว่ายังไม่ทันจะคิดจบ นางกลับถูกผลักเอวอย่างแรงหนหนึ่ง จากนั้นทั้งตัวนางก็ถูกผลักให้ลงไปนอนหงายอยู่บนตั่ง… เสิ่นจั้งเฟิงคร่อมอยู่บนตัวนางด้วยใบหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วหัวเราะพลางว่า “ลูกไม้นี้ไม่เลวเลย ไปร่ำเรียนที่ใดมา? ยามเข้าหอผู้ใดทำกับสามีเช่นนี้กัน?”


              เว่ยฉางอิ๋งจึงเพิ่งจะเข้าใจว่า หลังจากที่เขาย่อตัวลงนั้นก็อาศัยช่วงเวลาที่ผ้าห่มยังไม่คลุมตัวเขาพุ่งตัวเข้ามาที่ขอบเตียง แล้วในจังหวะที่ตนลุกขึ้นมาคุกเข่า เขาก็ยกแขนดันผ้าห่มขึ้น แล้วลอดใต้ผ้าห่ม พุ่งตัวมาที่เอวของตนและกดตนลงบนตั่ง…เช่นนี้แล้ว ผ้าห่มที่ตนดึงออกไปเมื่อครู่ก็มาห่มที่ตัวทั้งสองคนพอดิบพอดี!


              …ปรากฏว่าเสิ่นจั้งเฟิงพูดต่อไปว่า “จะว่าไปแบบนี้ก็พอดีเลย กลับต้องรบกวนอิ๋งเออร์เจ้าให้ต้องมาห่มผ้าให้สามีเสียแล้ว”


              เว่ยฉางอิ๋งลอบกระอั่กเลือดอยู่ในใจ แล้วทิ้งกลยุทธผ้าห่มไปเสีย หันมายกข้อมือขึ้น จะสับลงไปที่ข้างลำคำของเขา


              เสิ่นจั้งเฟิงอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่า เขารีบคว้าข้อมือของนางแล้วดึงมาที่ริมฝีปากบรรจงจูบหนแล้วหนเล่า พลางหัวเราะแล้วว่า “เจ้ายังอยากจะช่วยถอดเสื้อให้สามีด้วยหรือ?”


              “เจ้า!” เว่ยฉางอิ๋งแทบกระอั่กเลือด พูดด้วยน้ำโหว่า “เหตุใดฝีมือเจ้าจึงดีถึงเพียงนี้?” นี่มันเกินคาดเกินไปแล้ว!!


              เจ้าหมอนี่…มิใช่ว่าควรจักชำนาญการต่อสู้บนหลังม้าหรอกรึ? เหตุใดการต่อสู้ประชิดตัวก็ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้?!


              หรือว่าพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของตนนั้นความจริงแล้วต่ำต้อยเกินไป ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่ของตน ท่านลุงเจียงจึงจงใจฝืนชมมาสิบกว่าปี?


              เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าคำตอบนี้นางเกินจะทนรับได้…


              เมื่อเห็นว่านางคอพับด้วยท่าทีหดหู่ เสิ่นจั้งเฟิงก็หยุดหัวเราะพลางว่า “ถูกท่านพ่อท่านอาฝึกฝนมามาก ก็ย่อม…” เขายังพูดไม่ทันจบ เว่ยฉางอิ๋งอาศัยจังหวะที่เขาประมาท อีกมือหนึ่งของนางกำหมัดเข้ารวบรวมกำลังทั้งหมดและจู่โจมไปที่ใต้ชายโครงของเขาเต็มแรง!


              หนนี้ไม่เบา คำพูดของเสิ่นจั้งเฟิงถูกทำให้ชะงักลงโดยฉับพลัน เขาแค่นเสียงออกมาอย่างกลัดกลุ้ม มือที่จับเว่ยฉางอิ๋งอยู่ก็คลายลงทันใด!


              เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้โมโหโกรธายเป็นนักหนา พลิกตัวกลับมาทันใด แล้วผลักเสิ่นจั้งเฟิงจนกระเด็นออกไป ตนเองก็ตามไปกดบนตัวเขา ทั้งสองคนกลับมาอยู่ในตำแหน่งบนล่างอีกครั้ง… ยามนี้ผมหางม้าที่เว่ยฉางอิ๋งรีบรวบเอาไว้หลังจากอาบน้ำก็แทบจะหลุดออกจนหมด ภาพของนางยามผมเผ้าสยาย สองแก้มมีสีดังดอกท้อด้วยความเขินอายจนเป็นความโกรธ ลมหายใจกระหืดกระหอบหลังต่อสู้กันไปมา… ทั้งแสงเทียนนอกมุ้งสั่นไหวเบาๆ ยามนี้ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ของตนช่างงดงามเย้ายวนใจยิ่งนัก เสิ่นจั้งเฟิงหรี่ตามองนาง มุมปากพลันยกขึ้นมา เขากลับไม่ตอบโต้ เพียงแต่ยิ้มแล้วว่า “อิ๋งเออร์คิดจักทำเช่นใดกับสามี?”


              เว่ยฉางอิ๋งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางดันตัวขึ้นมาจากตัวเขา มือหนึ่งกดไปอกของเขาเพื่อไม่ให้เขาลุกขึ้น อีกมือหนึ่งกำหมัดแล้วยกขึ้นมาที่คิ้วของตน แล้วยักคิ้วพลางยิ้มเยาะว่า “ก็จะชกเจ้าอย่างไรเล่า!!!”


              นางมิได้มีท่าทีจะออมมือแต่อย่างใด นางชกลงมาอย่างแรง…เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจหนหนึ่งแล้วปล่อยให้นางซัดกำปั้นมาบนแผงอกของตน… หลังจากเว่ยฉางอิ๋งชกลงมา กลับร้องเสียงต่ำออกมาว่าหนหนึ่งว่าเจ็บ พลันมีแววตาเคลือบแคลงสงสัย ยามนี้นางกำลังโกรธจัด ดีชั่วในห้องนี้ก็ไม่ได้มีบุคคลที่สาม เป็นเวลาที่ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น…


              เช่นนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงได้ออกแรงเปิดเสื้อของเสิ่นจั้งเฟิงออกต่อหน้าเขาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งมองไม่พูดจา ปล่อยให้นางดึงเปิดเสื้อของตนลงมาจนแทบจะหมดตัว


              กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่จับจ้องตรงจุดที่ก่อนหน้านี้นางชกตนผ่านเสื้ออยู่เป็นนาน และเห็นว่าบนแผงอกขาวของเขากลับมิได้มีร่องรอยบาดเจ็บใดแม้แต่น้อย และอดจะยื่นปลายนิ้วจิ้มลงไปหนแล้วหนเล่าไม่ได้ พลางว่า “นี่เจ้าฝึก…”


              เมื่อสัมผัสว่าปลายนิ้วของนางไล้ไปบนแผงอกของตน เสิ่นจั้งเฟิงพึมพำออกมาว่า “ข้าไม่รู้สึกว่าข้าจะมีอารมณ์มา สนทนาปัญหาเรื่องวรยุทธ์ใดกับเจ้าในยามนี้…” ยังมิทันสิ้นคำ สองแขนของเขาก็โอบไหล่ของเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้และกดนางลงไปข้างๆ เต็มแรง!


ตอนที่ 4 หนึ่งจอกลบล้างความแค้น (2)

โดย

Xiaobei

จากนั้นตำแหน่งบนล่างก็สลับกันอีกครั้ง เว่ยฉางอิ๋งถูกกดลงบนเตียงใหม่อีกหน ไม่เพียงเท่านั้น เสิ่นจั้งเฟิงยังบดจูบลงที่ริมฝีปากของนาง ขยับริมฝีปากพลิกไปมาเม้มดูดริมฝีปากนาง…เว่ยฉางอิ๋งยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นไปอีก!


              ทั้งสองคนใช้ศอก ใช้หมัด เท้าถีบ ใช้นิ้วจิ้ม ฝ่ามือตบตีอยู่ภายในมุ้ง บนตั่งขนาดหกฉื่อนั้นไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครผ่อนผันให้ใคร การต่อสู้สุดแสนจะดุเดือด เสียงตั่งสั่นสะเทือนดังอยู่ไม่ขาด เวรยามเฝ้าประตูยามค่ำคืนที่อีกฝั่งหนึ่งของประตูต่างปิดปากแอบหัวเราะอย่างรู้กันในที


              แต่หารู้ไม่ว่าสถานการณ์ภายในห้องนั้นทั้งไร้แก่นสารทั้งน่าอึดอัด แรกเริ่มนั้นเสิ่นจั้งเฟิงเพียงต้องการจะเย้าหยอกภรรยาสักหน่อย จนที่สุดถึงได้พบว่าความจริงแล้ววรยุทธ์ของเว่ยฉางอิ๋งมิได้ด้อยเลย หากเพียงเชยชมนางสักเล็กน้อยก็พอทำเนา แต่ถ้าอยากจะเล่นบทอัศจรรย์พันลึกกันจริงจังโดยไม่ต้องทำให้นางบาดเจ็บก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายจริงๆ


              เสิ่นจั้งเฟิงที่ยามนี้ยากจะลงจากหลังเสื้อจึงทำได้เพียงรับมือนางต่อไปเรื่อยๆ…ในที่สุด เรี่ยวแรงของเว่ยฉางอิ๋งก็ค่อยๆ อ่อนล้าลง นับแต่แรกที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ก็มาอยู่ในสภาพที่ถูกผ้าห่มกดทับตัวเอาไว้และไม่อาจพลิกตัวไปที่ใดได้อยู่เนิ่นนาน นางจึงอดจะกล่าวออกมาอย่างขัดเคืองไม่ได้ว่า “ข้ารู้แล้ว จะต้องเป็นเพราะวันนี้ข้าหิวเกินไป ข้าถึงได้แพ้!”


              การต่อสู้รอบนี้ เริ่มจากเสิ่นจั้งเฟิงถูกเว่ยฉางอิ๋งถอดเสื้อออก ซึ่งก็ต้องได้รับผลตอบแทน ยามนี้เสื้อคลุมหลัวซานของเว่ยฉางอิ๋งถูกดึงออกไปแล้ว เหลือเพียงเอี๊ยมบังอกที่ปิดด้านหน้าหน้าอกเอาไว้เท่านั้น ล้วนคือ…เอ่อ เสิ่นจั้งเฟิงจนใจเหลือ จะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังคงแข็งขืนไม่ยอมแพ้


              เมื่อได้ยินคำนางดังนี้ เสิ่นจั้งเฟิงจึงเอ่ยออกไปด้วยคอที่แหบพร่าว่า “หิวจริงๆ รึ?”


              “แน่นอน!” สองแขนของเว่ยฉางอิ๋งเมื่อยล้าเสียจนรู้สึกชา ซึ่งเป็นผลมาจากที่นางทั้งชนทั้งกระแทกยามต่อสู้ประชิดตัวกับเสิ่นจั้งเฟิง ยามนี้แม้แต่เรี่ยวแรงจะดิ้นรนก็ยังไม่เหลือแล้ว แต่กลับยังคงไม่ยอมแพ้อยู่เช่นนั้น นางพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ก็เจ้าไม่เคยต้องต้องใส่เครื่องประดับผมหนักสิบกว่าจินไว้บนหัว และต้องใส่ชุดแต่งงานนักหลายสิบจินนี่! ตื่นขึ้นมาทำผมแต่งหน้าตั้งแต่ดึกดื่น น้ำสักหยดก็ยังไม่ถึงปาก…”


              เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางลุกขึ้นมาจากตัวนาง ถอนหายใจแล้วว่า “ข้าบอกแล้วอย่างไร เช่นนั้นข้าจะเรียกคนเอาสุราอาหารมาให้ เจ้าทานสักหน่อยเถิด อย่าได้หิวจนเกินไป”


              ไม่คิดว่าจะสามารถเอาตัวรอดมาได้จริงๆ!


              เว่ยฉางอิ๋งมองเขาด้วยความยินดียิ่ง แล้วรีบดึงเสื้อคลุมที่อยู่บนเตียงมาคลุมตัวเอาไว้ให้ดี พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าเป็นคนดีจริงๆ!”


              เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งอึ้งอยู่เป็นนาน พลางมองไปยังอาหารต่างๆ บนโต๊ะที่ยามนี้ไม่ร้อนแล้ว จึงว่า “อาหารคงเย็นหมดแล้ว ข้าจะเรียกคนเปลี่ยนอีกชุดมาให้”


              “ไม่ต้อง!” เว่ยฉางอิ๋งมองไปตามสายตาของเขา พลันเกิดความคิดดีๆ ความคิดหนึ่งขึ้นมา…


              ว่าแล้วนางก็หาปิ่นยาวๆ อันหนึ่งมาม้วนผมยาวของนางขึ้น ไปนั่งที่ข้างหน้าต่างแล้วทานอาหารไปเรื่อยเปื่อยคำสองคำ จากนั้นนางก็หงายจอกสุราคู่หนึ่งขึ้นมาและรินสุราจนเต็ม กล่าวว่า “ข้าคิดว่าพวกเราสู้กันต่อไปก็ไม่ใช่หนทางที่ดี มิสู้มาเจรจาสงบศึกกันดีกว่า เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร?”


              เสิ่นจั้งเฟิงจ้องไปยังกาสุราที่นางกำลังรินลงไป กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มพลางสวมเสื้อคลุมของตนและเดินเข้ามา กล่าวอย่างเป็นนัยว่า “เจ้าคิดจะ…ใช้สุรานี้มาเจรจาสงบศึก?”


              “เป็นเช่นนั้น” เว่ยฉางอิ๋งคิดคำนวณในใจว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ถูกไล่ให้ออกไปต้อนรับแขกพอกลับมาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ยามพูดจายังได้กลิ่นสุรา เห็นชัดว่าคืนนี้จะต้องดื่มไปแล้วไม่น้อยเลย… ยามนี้หากมอมสุราเขาไปอีกสักไม่กี่จอกก็คงจะนอนหลับล้มพับไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ใช่ว่ารอดตัวแล้วหรอกหรือ?


              ไม่ถูก เป้าหมายของข้าจะมีแค่เพียงให้รอดตัวได้อย่างไร? ข้าควรจักรอให้เขาเมาจนหลับไปแล้วซัดเขาให้หนักสักรอบ! ชกจนเขาตื่นขึ้นมา! ให้เขาได้รู้จักความร้ายกาจของข้า ดูซิว่าต่อไปยังจะกล้าไม่เชื่อฟังข้าอีกหรือไม่!


              เช่นนั้นนางจึงยื่นข้อเสนอไปด้วยความหวังอันเปี่ยมล้นว่า “พวกเรามาดื่มหนึ่งจอกลบล้างความแค้นกัน เป็นเช่นไร?”


              พลันได้ยินเสิ่นจั้งเฟิงพูดออกมาอย่างเต็มใจว่า “ตกลง!”


              “ใจคอกว้างขวางยิ่งนัก!” เว่ยฉางอิ๋งเบิกบานหายโกรธ พลางยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาชมเชยเขา จากนั้นก็ยกสุราจอกหนึ่งส่งให้แก่เสิ่นจั้งเฟิง แต่ครั้งเสิ่นจั้งเฟิงรับจอกสุรามาเขาก็กลับไม่ดื่ม หากแต่พูดจาไปในทางอื่นว่า “แต่คืนนี้ก็เป็นคืนเข้าหอ ก็ควรจักทำตามประเพณี! แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้ข้า สุรานี้หาได้เอาไว้ดื่มเช่นนี้ไม่!”


              เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง รู้สึกว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว จึงกล่าวไปอย่างโกรธเคืองว่า “แล้วเจ้าจะเอาเช่นไร?”


              เสิ่นจั้งเฟิงมองไปที่จอกสุรา ครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วว่า “เอาเช่นนี้… หากเจ้าดื่มติดต่อกันสามจอก ข้าก็จักยกโทษให้เจ้า เป็นเช่นไร?”


              เว่ยฉางอิ๋งมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง แล้วว่า “ยกโทษ? ข้าดื่มสามจอก ที่เหลือนั้นเจ้าต้องดื่มให้หมด!” กาสุราเงินกานี้ยังสูงไม่ถึงสามชุ่น สุราเต็มจอกก็เพียงแค่หนึ่งอึก ครั้งเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่บ้านของตน ยามเทศกาลปีใหม่พวกญาติผู้ใหญ่ล้วนอนุญาตให้นางดื่มได้หลายๆ จอก นางจึงคอแข็งไม่เลวทีเดียว ลำพังแค่สามจอกจะนับสิ่งใดได้…กลายเป็นว่าข้อเสนอนี้ของเสิ่นจั้งเฟิงกลับทำให้นางรู้สึกเคลือบแคลงว่า เจ้าหมอนี่ดื่มต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงยื่นขอเสนอเช่นนี้มารึ?


              จะอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยโอกาสมอมสุราแล้วจัดการทุบตีเขาไปได้!


              เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มตาหยีจ้องมองนาง กล่าวว่า “เจ้าดื่มสามจอกแล้ว อยากทำสิ่งใด ข้าล้วนทำตามเจ้า!”


              “คำไหนคำนั้น?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางยกจอกสุราขึ้นมา


              “คำไหนคำนั้น” เสิ่นจั้งเฟิงกล่าวยืนยันพลางกลั้นหัวเราะ


              เว่ยฉางอิ๋งเปรมปรีดิ์เป็นนักหนา พลันดื่มสุราหมดจอกในอึกเดียว แล้วรินอีกสองจอก เมื่อดื่มหมดก็มองลงไปที่ก้นจอกแล้วกล่าวอย่างได้ใจว่า “ตอนนี้จะทำสิ่งใดก็ล้วนว่าตามข้าแล้วใช่หรือไม่? วันนี้เจ้าไม่ต้องนอนในห้องแล้ว ออกไป…”


              พูดถึงตรงนี้ นางพลันรู้สึกว่ามีความร้อนวูบหนึ่งแผ่ขึ้นมาจากท้องน้อย แล้วแผ่ซ่านไปทั้งตัวอย่างรวดเร็ว รู้สึกกระหายน้ำอย่างประหลาด… เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วน้อยๆ คิดในใจว่า อาจเป็นเพราะตนกระหายน้ำมากเกินไป? จึงได้ไปรินสุรามาอีกจอก…เมื่อดื่มไปหนนี้ นางพลันรุ่มร้อนขึ้นมาทั้งตัว รู้สึกทรมานเหลือแสน


              นางรู้สึกแปลกใจ นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะพลางใคร่ครวญดูว่ามีที่ใดไม่ถูกต้อง เสิ่นจั้งเฟิงเห็นว่าผิวขาวนวลของนางแต่เดิมทีนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสีท้อ ก็รู้อยู่ภายใจ แล้วเอ่ยถามอย่างมีนัยยะว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าสุราที่เจ้าดื่มไปนี้เป็นสุราใด?”


              เว่ยฉางอิ๋งถามไปอย่างงวยงงว่า “อะไรนะ?”


              “….ก่อนเจ้าออกเรือน จักต้องมิได้ฟังคำสอนของท่านอาอย่างละเอียดเป็นแน่!” เสิ่นจั้งเฟิงลูบที่ใต้คาง กล่าวอย่างไม่ประสงค์ดีว่า “ทว่า ก็มิเป็นไร…อืม ยามนี้เจ้ายังจะไล่ข้าไปหรือ? จะไล่ข้าไปจริงหรือ?”


              เว่ยฉางอิ๋งอยากจะพูดไปว่า ‘แน่นอน’ ทว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงถามออกไป เขาก็พลันลุกขึ้นมาจากที่นั่ง มือกดอยู่บนโต๊ะอาหารที่อยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วโน้มตัวไปจูบนาง… สัญชาตญาณบอกเว่ยฉางอิ๋งให้หันตัวหลบ แต่ในขณะที่นางกำลังคิดจะหลบอยู่นั้น ในใจพลันเกิดความรู้สึกประหลาดที่ไม่รู้ที่มา ทำให้นางเคลื่อนไหวได้ช้าลงอย่างน่าแปลก จนถึงขั้นเงยหน้าขึ้นรับริมฝีปากของเสิ่นจั้งเฟิงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


              แรกเริ่มนั้นนางนิ่งเหม่อและปล่อยให้เสิ่นจั้งเฟิงจูบตน ทว่ายามเขาขบริมฝีปากนางเบาๆ แล้วมีหนหนึ่งขบลงแรงไปหน่อย ทำให้นางเผลอส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ริมฝีปากนางจึงเปิดออกเล็กน้อยและถูกเสิ่นจั้งเฟิงฉวยโอกาสรุกล้ำเข้ามาภายใน แทรกผ่านฟันเข้ามาเย้าหยอกกับปลายลิ้นแสนหอมหวานอย่างชำชอง


              เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกอ่อนระทวยไปทั้งตัว ร่างของนางโอนเอน คล้ายจะล้มลงไปที่พื้น…เสิ่นจั้งเฟิงสัมผัสได้จึงเอื้อมมือไปโอบตัวนางเอาไว้ แล้วออกแรงดึงตัวนางจากอีกฝากของโต๊ะอาหารมากอดเอาไว้ในอ้อมอก มือหนึ่งรั้งเอวนางไว้ อีกมือหนึ่งประคองท้ายทอยของนาง ทั้งริมฝีปากและลิ้นกระหวัดรัดกันไปมา จุมพิตนางอย่างเคลิบเคลิ้มดูดดื่ม


              เสียง ‘ตึ้ง’ หนหนึ่ง เป็นปิ่นยาวที่เว่ยฉางอิ๋งใช้มวยผมร่วงลงมาบนที่นั่ง เสิ่นจั้งเฟิงไม่เพียงไม่เก็บให้นาง แต่กลับสอดนิ้วมือเข้าไปในผมสลวยดำขลับนั้นแล้วสยายผมยาวของนางให้แผ่ออกมาจนหมด…


_______________________


ตอนที่ 5 คืนเข้าหอ

โดย

Xiaobei

              ค่ำคืนต้นฤดูร้อน นิ่งสงบสงัดเงียบ


              บนผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มีดวงดาวพราวเต็มฟ้า


              ลมอุ่นจากทิศใต้พาเสียงต่ำๆ ของแมลงในฤดูร้อนส่งเข้ามาภายในหน้าต่าง ทว่าจากนั้นก็ต้องเขินอายจนต้องกลับตัวออกมาด้วยภาพที่อยู่เบื้องล่างหน้าต่าง…แต่คงเพราะรีบร้อนกลับตัวออกมา จึงได้เอาเสื้อผ้าออกไปด้วย…


              ในขณะที่แสงเทียนสั่นไหว เสื้อคลุมสีทับทิมที่เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งเอาคลุมตัวไว้หลวมๆ ก็ไหลหลุดลงมา เผยไหล่งามเนียนละเอียดดังหิมะขาวออกมาให้เห็นกว่าครึ่งหนึ่ง แสงเทียนฉายส่องไปยังความเปล่งปลั่งที่มีเฉพาะในสาวแรกแย้ม ใบหน้าของนางงดงามอ่อนโยน ผุดผ่องเป็นยองใย


              เสิ่นจั้งเฟิงก้มหน้าลงมาอยู่เนิ่นนาน จุมพิตนัวเนียกับนางไปมา มือที่โอบเอวนางไว้กลับค่อยๆ เลื่อนขึ้นมา ไม่ทันรู้สึกตัวก็สอดเข้ามาภายในเอี๊ยมซับในของนาง แล้วเคล้าคลึงเบาบ้างหนักบ้าง… เว่ยฉางอิ๋งพลันกดมือเขาเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ทว่าเรี่ยวแรงนั้นช่างบางเบาเสียจนคล้ายกำลังออดอ้อน และยิ่งคล้ายเป็นการเชิญชวน


              มือที่มีปมด้านแข็งลัดเลาะไประหว่างหยกอ่อนนุ่มหอมหวนตามใจชอบ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ไม่เคยคุ้น สัญชาตญาณของเว่ยฉางอิ๋งที่กำลังถูกจูบเสียจนฟ้าหมุนดินสะเทือนบอกว่าไม่ถูกต้อง แต่กลับไม่มีแก่ใจจะมาใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน กลายเป็นว่าท่ามกลางความเคลิบเคลิ้มนั้น นางกลับหันมือเข้ามาเกาะกุมที่ข้างแขนของสามีเอาไว้


              …และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสิ่นจั้งเฟิงยืนตัวตรงขึ้นมา เพียงชั่วอึดใจริมฝีปากของคนทั้งสองจึงได้แยกจากกันอย่างรวดเร็ว เสิ่นจั้งเฟิงมองเห็นว่าความต้องการอันแสนลึกล้ำในแววตาของนาง จึงก้มหน้าลงอีกครั้ง ขบเม้มริมฝีปากของเว่ยฉางอิ๋งอย่างถี่ถ้วนด้วยลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะ ความเร้าร้อนฉาบอยู่บนใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋ง จิตใต้สำนึกของนางคิดอยากจะหลบหนี แต่ท้ายทอยกลับถูกเสิ่นจั้งเฟิงจับเอาไว้แน่น ไม่มีทีท่ายอมปล่อยนางออกไปเลยแม้แต่น้อย


              เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา ความรู้สึกสับสนงวยงงปรากฏออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าที่แดงดังลูกท้อ ทำให้เสิ่นจั้งเฟิงหยุดจูบนางในทันใด ทั้งยังดึงมือออกมาจากเสื้อของนางด้วย


              เว่ยฉางอิ๋งจับจ้องไปที่เขาอย่างไม่เข้าใจ มีความรู้สึกอยู่ภายในมากมายแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด คิดอยากจะเอ่ยบางสิ่งแต่จู่ๆ ก็กลับคิดถ้อยคำที่เหมาะสมออกมาไม่ได้… แต่เห็นชัดว่ายามนี้เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่อยากรู้ว่านางต้องการจะเอ่ยสิ่งใด เขาก้มตัวลงอุ้มภรรยาตนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปที่ตั่งนอน


              เมื่อถูกวางไว้บนตั่งอีกหน ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเรียบร้อยกว่าเมื่อชั่วยามก่อนมากนัก นอกจากจะไม่พุ่งหมัดเข้าใส่ กระทั่งยามเสิ่นจั้งเฟิงยืนอยู่ที่ข้างตั่งและปลดมุ้งลงมา นางยังไปคว้าจับชายเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว… แม้จะรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์จากสุราปลุกเร้าอารมณ์ที่นางดื่มเข้าไปติดต่อกันสี่จอก ทว่าอาการแอบอิงไม่ยอมปล่อยเช่นนี้ก็ยังทำให้หัวใจของเสิ่นจั้งเฟิงอ่อนระทวยจนกลายเป็นน้ำในฤดูใบไม้ผลิแสนรันจวนใจ


         หลังจากปลดมุ้งลงมา มองเห็นภายในมุ้งเพียงรางๆ จนดวงตายากจะแยกแยะได้ ทว่าท่ามกลางการขัดขืนที่แสนจะแผ่วเบาอ่อนแรงนั้น เว่ยฉางอิ๋งที่ถูกหว่านล้อมด้วยเสียงแผ่วเบา และค่อยๆ ถูกปลดเปลื้องเสื้อคลุม เสื้อเกาะอก และเอี๊ยมปิดหน้าอกออกไปทีละชิ้นก็โผเข้าไปในอ้อมอกของเสิ่นจั้งเฟิงอย่างลนลานและตัวสั่นสะท้านอยู่น้อยๆ ภาพนี้ทำให้เขาคิดไปถึงเครื่องหอมเจี๋ยปู้หลัว[1]ที่มีบันทึกเอาไว้ใน ‘บันทึกเมืองตะวันตก’ เล่าลือกันว่าเครื่องหอมชนิดนี้สกัดออกมาจากต้นไม้จำพวกสนชนิดหนึ่ง แต่กลับไม่ได้มีสีเหลืองอำพันเช่นเครื่องหอมจากต้นสนทั่วไป หากแต่มีสีขาวบริสุทธิ์ดังหิมะ


              ทันใดนั้นผิวกายของเว่ยฉางอิ๋งก็พลันหอมหวนไปทั่วทุกอณู กลายเป็นความหอมหวนที่เครื่องหอมเลื่องชื่อล่ำค่าใดในใต้หล้าก็มิอาจเทียบเทียมได้ ประหนึ่งยาพิษที่มีพิษร้ายแรงเป็นที่สุด ซึ่งเย้ายวนให้เสิ่นจั้งเฟิงอยากจะดำดิ่งลงไปด้วยความยินยอมพร้อมใจเสียเหลือเกิน จนถึงขั้นไม่อาจทนรั้งรอต่อไปได้…


              เขาจึงอาศัยแสงสว่างเลือนรางที่ลอดผ่านมุ้งเข้ามาชมผิวกายหอมหวนเนียนละเอียดดังหิมะที่ไร้ตำหนิใดๆ รอบหนึ่ง แต้มพรหมจรรย์สีแดงเลือดสดดังเพลิงกำลังลุกไหม้ที่ลำแขนของนาง และกำลังเฝ้ารอเพียงเขาให้มาลบเลือนมันออกไป ให้ผิวกายดังหยกนี้ได้ขาวหมดจดดังหิมะไปจนถ้วนทั่ว


              แม้จะรุ่มร้อนไปทั่วทั้งตัว สัญชาตญาณของนางก็โอนอ่อนไปตามความต้องการของเสิ่นจั้งเฟิง ว่าแล้วยามนี้ริมฝีปากร้อนของเสิ่นจั้งเฟิงก็ขบเม้มไปตามอำเภอใจจนทำให้เว่ยฉางอิ๋งต้องผลักเขาออกโดยไม่รู้ตัว พลางเอ่ยแผ่วเบาดังเสียงยุงว่า “อย่า…อย่าทำเช่นนี้…”


              แรงที่นางผลักบางเบาถึงเพียงนั้น เหมือนขนนกสัมผัสผ่าน เสียงกังวานเสนาะหูในยามปกติ ยามนี้กลายเป็นเสียงต่ำๆ ที่ทั้งอ่อนโยนทว่าอ้อนออดด้วยความอ่อนล้าจากอารมณ์ปรารถนา เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจว่า เหตุไฉน…เขาฟังดูแล้ว ซุ่มเสียงเช่นนี้…เหมือนกับเป็นการ…ยั่วยวนนะ?”


              เขาจึงอดจะงับและดูดที่หน้าอกของนางขึ้นมาไม่ได้


              อาการดิ้นรนขัดขืนของเว่ยฉางอิ๋ง ไม่นานก็กลายมาเป็นเสียงครางอย่างอ่อนโยน เรื่องที่นางตวนมู่หาเรื่องตน ความทรงจำนานาของคำสอนสั่งก่อนแต่งงาน สิ่งที่นางหวงกำชับกำชามา โทสะที่ตนไม่ยอมทำตามสามี…ทุกสิ่งหมุนวนอยู่ในสมองของตนดังโคมม้าหมุน ทว่าเมื่อใคร่ครวญถึงอย่างละเอียดแล้วกลับเหมือนเป็นเพียงความว่างเปล่า


              ความร้อนรุ่มในกายและสัมผัสที่ร้อนผ่าวพลันเข้าครอบงำตัวนาง ท่ามกลางสติที่เลือนรางบังเกิดมีแสงสว่างวาบฉายขึ้นมา


              จึงทำให้นางมีสติขึ้นมาเล็กน้อย แล้วผลักอกเสิ่นจั้งเฟิงด้วยความตื่นตระหนก พลางกล่าวไปอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เจ้า? เจ้าทำสิ่งใด?”


              “อย่าดื้อ” เสิ่นจั้งเฟิงอดทนมาจนยามนี้ หน้าผากของเขามีเหงื่อบางๆ ฉาบอยู่ชั้นหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาจูบที่ข้างแก้มภรรยาหนแล้วหนเล่า พลางปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ากอดข้าไว้แน่นๆ”


              เว่ยฉางอิ๋งงงงันอยู่สักพัก จึงค่อยเอื้อมแขนไปโอบไหล่ของเขาเอาไว้ตามคำเขา…แรกเริ่มนั้นนางรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก พยายามจะหุบขาทั้งสองเข้าและผลักเสิ่นจั้งเฟิงออกไป แต่แล้วเสิ่นจั้งเฟิงกลับขืนกดนางเอาไว้ ทั้งปลอบทั้งขู่ ทั้งรับประกับว่าผ่านไปสักพักก็จะดีเอง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ยอมให้เขาทำต่ออย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง… จากนั้นเมื่อความเจ็บปวดแผ่ผ่านขึ้นมานางก็รู้ว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว ด้วยโทสะล้นเหลือนางจึงกัดที่หัวไหล่ของเสิ่นจั้งเฟิงไปอย่างแรงหนหนึ่ง รอยกัดนี้ไม่เบาเลย นางแทบจะได้รสชาติฝาดเค็มขึ้นมาท่ามกลางริมฝีปากและฟันในทันที…


              เสิ่นจั้งเฟิงแค่นเสียงออกมาหนหนึ่ง แล้วถอนหายใจทั้งความรู้สึกโกรธและรู้สึกขำ “ดุถึงเพียงนี้… เคราะห์ดีที่ไม่ได้กัดที่คอ…หาไม่แล้ว…วันพรุ่งเจ้าจะออกไปข้างนอกได้อย่างไร?”


              ทางหนึ่งเขาพูดไป แต่กลับมิได้หยุดการเคลื่อนไหว เพราะยังมิได้ลิ้มรสคืนแรกของภรรยาอย่างถึงอกถึงใจ การค่อยๆ สอดแทรกล่วงล้ำเข้าไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างระมัดระวังเช่นนี้ ไม่เพียงเป็นการขัดเกลาตนอย่างหนึ่ง ทว่าการได้นำพาภรรยาจากหญิงสาวให้กลายมาเป็นภรรยาของตนด้วยตนเอง ได้สัมผัสถึงช่องทางอ่อนนุ่มไร้ที่ติซึ่งเป็นดังดอกไม้ค่อยๆ เบ่งบานออกรับร่างกายส่วนล่างของตน กลับเป็นความภาคภูมิใจและสุขสมอย่างหาที่สุดมิได้อย่างหนึ่ง


              เนิ่นนานจากนั้น เขาก็ลุกขึ้นมาจากตัวเว่ยฉางอิ๋งด้วยความเหนื่อยอ่อนและอาลัยอาวรณ์ แล้วก้มตัวลงไปจูบแก้มภรรยาหนแล้วหนเล่า ยามนี้จึงเพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บแสบที่อยู่บนแผ่นหลัง ไม่ต้องดูก็เดาได้ว่า…ภรรยาของตนผู้นี้เป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ เกรงว่านี่คงจะเป็นหลักการว่า หากมีผู้ใดไม่ยอมให้นางอยู่อย่างเป็นสุข นางก็จะไม่ให้ผู้นั้นอยู่อย่างเป็นสุขยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว


              เขาทั้งปลอบทั้งหลอกล่อจนสำเร็จ พอเรื่องดำเนินไประหว่างทาง เว่ยฉางอิ๋งมานึกเสียใจก็สายไปเสียแล้ว นอกจากจะกัดเขาไปหนหนึ่ง ยังจงใจข่วนแผ่นหลังเขาจนยับเยิน…ทั้งรอยหยิก รอยข่วน ที่ใดที่เว่ยฉางอิ๋งหยิกข่วนไปถึงก็เกรงว่าล้วนจะได้รับการต้อนรับอย่างถ้วนหน้า


              เสิ่นจั้งเฟิงหยิกแก้มนางด้วยความรักปนขัดเคือง ส่ายหัวแล้วว่า “นี่ถือเป็นการตอบโต้ให้สามีทำอีกครั้งเช่นนั้นหรือ?”


              ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งกลับมีสติขึ้นมามากแล้ว นางนอนก่ายหน้าผากย้อนคิดกลับไป แล้วรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมา ไม่รู้จริงๆ ว่าควรเอ่ยปากอย่างไรจึงจะดี เนิ่นนานจึงได้เอ่ยถามเสียงเบาๆ ว่า “เจ้าทำดีนักนะ…ถึงกับวางยาไว้ในสุรา?”


              “คิดว่าเป็นสามีวางยารึ?” เสิ่นจั้งเฟิงทอดถอนใจ “ข้าบอกแล้วว่า อิ๋งเอ๋อร์ก่อนเจ้าออกเรือนจะต้องไม่ได้ฟังคำที่พวกท่านอาหรือแม่นมบอกกับเจ้า..สุราปลุกอารมณ์กานี้ เดิมทีก็ตระเตรียมเอาไว้เพื่อค่ำคืนนี้ เพื่อมิให้พวกเราอ่อนล้าเกินไปจนไม่มีอารมณ์…อีกประการ สามีก็มิได้บังคับให้เจ้าดื่มนี่” พูดถึงตรงนี้เขาก็มีร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ปนท่าทีได้อดได้ใจ “เจ้าเอาตัวส่งมาถึงประตูเอง…นี่ไม่เรียกว่าผลกรรมตามสนองหรอกหรือ?”


              เว่ยฉางอิ๋งตะลึงงันไปพักใหญ่ นึกย้อนกลับไปสักพัก พลันรู้สึกอับอายจนโกรธ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “จากเฟิ่งโจวมาเมืองหลวงใช้เวลาตั้งหลายวัน แล้วข้าจะไปจำได้อย่างไรตั้งมากมาย?” แล้วโทษเขาว่า “ยามข้าดื่ม แล้วไยเจ้าไม่บอกข้า? เจ้าตั้งใจตลบหลังข้าชัดๆ!”


              “ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็เป็นคนของข้า” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถามไปอย่างรู้สึกขันว่า “ยามนั้นอิ๋งเอ๋อร์กลัวสามีถึงเพียงนั้น สามีคิดว่า พอดื่มสุรานี้ไปแล้วทั้งคู่ก็จะได้เบาแรงลงไปสักหน่อย และเพื่อมิให้เจ้าต้องเจ็บปวดเกินไป…แล้วจะบอกเจ้าไปทำสิ่งใด? ดังนั้นนี่ก็เป็นลิขิตฟ้า”


              เว่ยฉางอิ๋งตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง ว่าแล้วจึงหันหลังให้ไม่สนใจเขา ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะเข้ามากอดนางจากด้านหลัง แล้วหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหูว่า “ความจริงแล้วสุรานั้นเป็นอิ๋งเอ๋อร์ดื่มถือว่ายังดี หากเป็นสามีดื่มแล้วล่ะก็…อืม วันนี้เจ้าก็คงน่าสงสารน่าดู” พูดไป เขาก็ยกหัวขึ้นมาค่อยๆ บรรจงเม้มที่แก้มของนางเบาๆ


              “เจ้าน่ะสิน่าสงสาร!” ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย และพูดออกมาไม่ได้ว่ามีอารมณ์เช่นใด ทั้งใจคอห่อเหี่ยวปนเวิ้งว้าง ในความเสียใจก็มีความอับอายและหวาดกลัวอยู่ด้วย ในใจนางเคว้งคว้างว่างเปล่า เมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทางหนึ่งหันหน้าหนีไม่ยอมให้เขาจูบ อีกทางหนึ่งก็โต้แย้งไปด้วยใจล่องลอยว่า “วันนี้ถือเป็นเหตุบังเอิญ! เจ้าคอยดูเถิด ข้าจะต้องตีเจ้าให้เชื่อฟังแต่โดยดีให้จงได้!”


              คำกล่าวนี้ดูแล้วดุดันมีพลัง แต่เมื่อนางใช้น้ำเสียงที่โรยแรงทั้งยังนิ่มนวลพูดออกมา เสิ่นจั้งเฟิงจึงมิได้สะทกสะท้านใดๆ กลับหัวเราะเสียงดังออกมาเสียอีก อาศัยจังหวะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังขบริมฝีปาก เขาก็พลันดึงให้นางหันหน้ามาแล้วจูบเสียงดังลั่นที่แก้มของนาง พลางกล่าวเย้าหยอกว่า “อิ๋งเอ๋อร์ไยเจ้าต้องลำบากลงไม้ลงมือเช่นนี้? ขอเพียงเจ้าเชื่อฟังสักหน่อยยามอยู่ข้างกายสามี ไม่ต้องให้เจ้าตี สามีก็จะเชื่อฟังแต่โดยดี! หรือต่อให้เจ้าอยากจะตีสามี สามีก็จะยกมือขึ้นยอมแพ้ ยอมรับแต่โดยดี!”


              “เจ้าสิต้องเชื่อฟัง!” เว่ยฉางอิ๋งพลันหน้าแดงขึ้นมา แล้วโพล่งออกไปโดยไม่ทันได้คิด


              เสิ่นจั้งเฟิงจับมือนางมาที่ริมฝีปากแล้วจูบอย่างอ่อนโยน พลางยิ้มแล้วว่า “ตกลง เจ้าจะให้ข้าเชื่อฟังเช่นใด? จะให้ถอดเสื้อผ้าตัวเอง หรือจะให้ช่วยเจ้าถอดเสื้อผ้า แล้วแต่ว่าเจ้าต้องการอย่างไร… ข้าล้วนฟังเจ้า เริ่มจากหนนี้ได้เลย เจ้าว่าเป็นเช่นไร?”


              ว่าแล้วก็พลันเอียงหน้ามางับใบหูของเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางอิ๋งร้องเสียงต่ำไปหนหนึ่ง รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหนักหนา พลางออกแรงสะบัดตัวออกและกล่าวอย่างร้อนรนว่า “เจ้า… เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก?”


              “เมื่อครู่นี้เจ้าเอาแต่คิดจะทับอยู่บนตัวข้า ข้าจึงคิดว่า หนนี้ควรจะลองตามใจปรนนิบัติเจ้าอีกสักหน?” เสิ่นจั้งเฟิงเอื้อมมือไปกอดนางไว้ ไม่ให้นางสะบัดตัวออก แล้วกอดนางแน่นไว้ในอก พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยนเอาใจ


              …ไอ้เจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้! เว่ยฉางอิ๋งเกือบจะกรีดร้องออกมา “เจ้ามันพวกเอาแต่ได้! ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว!” ยังมิทันสิ้นเสียง นางก็ร้องออกมาอย่างร้อนรนว่า “เจ้า!”


              เสิ่นจั้งเฟิงพลันพลิกตัว แล้วกดนางไว้ใต้ตัวเขา หัวเราะเบาๆ พลางว่า “อย่าดื้อนะ ข้าชอบฟังที่เจ้าบอกว่า… ‘ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว’ ฟังเจ้าพูดประโยคนี้ข้าก็ต้องการเจ้าขึ้นมาอีกหน…อย่าดื้อ!”


              “เจ้าสิอย่าดื้อ!” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันใด…ความเจ็บปวดระบมเมื่อครู่จนยามนี้ก็ยังมิทันจางหายไปหมด ของเหลวเหนียวข้นที่เสิ่นจั้งเฟิงปล่อยออกมาทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวจนหุบขาเข้าหากันไม่ได้ แต่กลับไม่คิดว่าคะ…คนผู้นี้ยังไม่ทันไร ยังคิดจะ…มากเกินไปแล้วจริงๆ! “ลงไปนะ ลงไป ข้าไม่…อุ๊!”


              ริมฝีปากร้อนผ่าวปิดปากนางไว้อีกครั้ง แผงอกแกร่งทาบลงไปบนตัวนาง ทำให้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงยากจะขัดขืนยากจะผลักไส ระหว่างที่สองมือเคล้าคลึงเย้าหยอกไปตามใจ เว่ยฉางอิ๋งอดจะเกร็งไปทั้งตัวไม่ได้


              หนนี้เสิ่นจั้งเฟิ่งยิ่งเอาแต่ใจตนมากขึ้น ยามเขาจูบนาง ก็จับสองแขนของนางที่อยู่ไม่สุขคอยจะผลักไสเขาหรือยิ่งทำให้บาดแผลเดิมของเขาบาดเจ็บยิ่งกว่าเก่า เอาเกาะกุมไว้แน่นหนาและขืนยกขึ้นไปไว้เหนือหัวนาง…


_______________________________


[1] เครื่องหมอเจี๋ยปู้หลัว เป็นเครื่องหอมที่สกัดมาจากต้นยางแดง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม