พันธกานต์ปราณอัคคี 198-204

ตอนที่ 198 การพัวพันแห่งโชคชะตา

 

ที่มั่วชิงเฉินไม่รู้ก็คือ วันนั้นยามที่ไปตามหาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนางกระโดดลงไปในทะเลสาบเหมันต์ช่วยคุณชายหก ทะเลสาบเหมันต์นั้นมีอานุภาพพิเศษบางอย่างต่อหญิงสาว และเพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีหญิงสาวไปมาก่อน คุณชายหกจึงไม่รู้เรื่องนี้ พิษเย็นจึงหลงเหลืออยู่ในร่างมั่วชิงเฉิน


 


 


ที่จริงนี่ก็คือความสมดุลชนิดหนึ่ง พวกคุณชายหกรู้เพียงว่าหญิงสาวมีพลังต่อต้านเสียงเพลงของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ กลับไม่รู้ถึงอานุภาพที่น่าสยองของทะเลสาบเหมันต์ที่มีต่อหญิงสาว


 


 


เผ่าพันธุ์ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ พูดได้ว่าเป็นความมีอยู่ที่สูงส่งที่สุดในบรรดาอสูรปีศาจในโลกนี้ จะธรรมดาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน


 


 


เพราะว่ามั่วชิงเฉินรากวิญญาณธาตุไฟโดดเด่นบวกสภาพร่างกายพิเศษของเพลิงแก้วใจกระจ่าง ปกติยังไม่พบถึงความผิดปกติ ทว่าในสถานการณ์หนาวเย็นอย่างยิ่งยวดนี้ ภูมิต้านทานลดลงเพียงเล็กน้อย พิษเย็นในร่างกายก็จะถูกกระตุ้นให้กำเริบ


 


 


ที่จริงพูดไปแล้ว การที่พิษเย็นถูกกระตุ้นกำเริบออกมาสำหรับมั่วชิงเฉินแล้วกลับเป็นเรื่องโชคดี หากนางสับสนมึนงงไม่รู้ว่าในร่างกายมีภัยแฝงเช่นนี้ไปตลอด การเลื่อนขั้นเล็กระดับสร้างรากฐานก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหาหรอกนะ ทว่าหากทะลวงก่อแก่นปราณ ผลลัพธ์ก็ยากจะคาดการณ์แล้ว


 


 


มองจากระยะยาวแล้วพิษเย็นถูกกระตุ้นออกมาล่วงหน้าย่อมเป็นเรื่องโชคดี ทว่าสำหรับมั่วชิงเฉินในยามนี้กลับไม่ต่างอะไรกับการลงทัณฑ์อย่างโหดร้าย


 


 


เยี่ยเทียนหยวนและมั่วชิงเฉินต่างเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน อยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่ใช้จิตตระหนักตรวจสอบ ก็จะมีการเหนี่ยวนำของคลื่นพลังของทั้งสองฝ่าย


 


 


เดิมทีเยี่ยเทียนหยวนกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ ทันใดนั้นคลื่นพลังที่ทำให้เขาคุ้นเคยและสบายใจก็หายไป


 


 


เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนทันที หยั่งเชิงส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์น้องมั่ว?”


 


 


ฐานะหญิงสาวของมั่วชิงเฉิน ทำให้เขาไม่สะดวกใช้จิตตระหนักตรวจสอบโดยตรง


 


 


ทว่าการส่งเสียงทางจิตกลับเหมือนหินจมลงทะเล ไม่มีการตอบรับใดๆ


 


 


เยี่ยเทียนหยวนไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว พุ่งทะยานออกไปเตะประตูใหญ่ของห้องศิลาที่มั่วชิงเฉินอยู่ให้เปิดออกในทีเดียว


 


 


ภาพที่เห็น กลับทำให้เขาตกใจหน้าถอดสี


 


 


เห็นเพียงมั่วชิงเฉินหงายหน้าล้มอยู่บนเตียงหยกน้ำแข็ง สองมือกอดเข่าหดเป็นก้อน ทั้งตัวสั่นไม่หยุด สีหน้าขาวซีด


 


 


เยี่ยเทียนหยวนรีบรุดเข้าไป จับข้อมือของมั่วชิงเฉินขึ้นก็จะถ่ายพลังวิญญาณ กลับต้องชะงักในทันที ในระหว่างที่โกลาหลไม่คิดว่าตนจะลืมไปว่าที่นี่ไม่อาจเคลื่อนพลังวิญญาณได้


 


 


ข้อมือของมั่วชิงเฉินเย็นเฉียบไม่มีอุณหภูมิสักนิด เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือไปใต้จมูกนาง มีเพียงลมหายใจรวยรินเย็นเยียบ ดูแก้มของนางอีก ได้เริ่มแข็งเป็นน้ำแข็งแล้ว ริมฝีปากยิ่งขาวดุจหิมะ ไม่มีสีเลือดสักนิด


 


 


เยี่ยเทียนหยวนร้อนใจยิ่งนัก นี่นางเป็นอะไรไป ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้วแท้ๆ เหตุใดจู่ๆ ก็ต้านทานไม่ไหวขึ้นมาแล้วล่ะ?


 


 


ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ชีวิตนางมิยากจะรักษาไว้ได้หรอกหรือ?


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินที่หลับตาสนิทสั่นไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก สุดท้ายก็กัดฟันตัดสินใจแน่วแน่ สะบัดรองเท้าออก แล้วนอนลงบนเตียงหยกน้ำแข็งพร้อมมั่วชิงเฉิน


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว ขอล่วงเกินแล้ว” ต่อให้ยามนี้เป็นไปไม่ได้ที่มั่วชิงเฉินจะได้ยิน เยี่ยเทียนหยวนยังคงมองหน้าของนางพลางพูดเสียงเบา พูดจบก็ยื่นมือโอบนางเข้าในอ้อมกอด


 


 


ในถ้ำน้ำแข็งนี้แม้ไม่สามารถเคลื่อนพลังวิญญาณในกายได้ ทว่ากลับสามารถควบคุมไฟจริงได้ เยี่ยเทียนหยวนเคลื่อนไฟจริงในตันเถียน ให้กระจายไปทุกส่วนในร่างกายเขาอย่างทั่วถึง เพราะว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยเทียนหยวน ไฟจริงนี้อยู่ในสภาวการณ์จะปะทุไม่ปะทุแหล่ ดังนั้นจะไม่ลวกมั่วชิงเฉินบาดเจ็บ


 


 


หากมีผู้อื่นอยู่ ก็จะเห็นว่าเยี่ยเทียนหยวนที่ถูกห่อหุ้มด้วยไฟจริงไปทั้งตัวเปล่งรัศมีจางๆ เพียงแต่ที่แปลกคือ รัศมีนั้นไม่ใช่สีเหลืองตามปกติ กลับเป็นสีม่วงเข้มอมแดง ช่างค่อนข้างประหลาดจริงๆ


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเพิ่งทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ก็พบทันทีว่าบนร่างของคนในอ้อมกอดดูเหมือนเกิดน้ำวนขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน จะดูดไฟจริงที่กระจายไปทั่วร่างเขาเข้าไปจนหมด ส่วนมั่วชิงเฉินแม้ยังคงหมดสติอยู่ ในที่สุดร่างกายก็กลับมีปฏิกิริยาแล้ว นางเกาะเกี่ยวเข้ามาอย่างแน่นแฟ้นเหมือนปลาหมึกอย่างไม่คาดคิด ระหว่างสองคนไม่เหลือช่องว่างสักซอกอีกต่อไป


 


 


เยี่ยเทียนหยวนในสมองดังโครม สติที่ถูกปลุกปั่นเกือบธาตุไฟเข้าแทรก โชคดีที่ปกติเขาเป็นคนยับยั้งชั่งใจมีจรรยาบรรณ ถึงรักษาสติไว้ได้อย่างหวุดหวิด ต่อให้เป็นเช่นนี้ สถานการณ์ตรงหน้าสำหรับเขาแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทัณฑ์อันโหดร้าย


 


 


คนในอ้อมกอด คือคนในดวงใจที่เขาละเมอเพ้อหา บัดนี้สองคนก็อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีก อีกทั้งเขายังต้องควบคุมไฟจริงให้พอดิบพอดี ทั้งไม่สามารถทำให้มั่วชิงเฉินบาดเจ็บ อีกทั้งยังต้องอบอุ่นร่างกายให้นาง รสชาติในนี้ สำหรับเขาแล้วเหมือนน้ำแข็งอัคคีต่างกันสุดขั้ว เกรงว่าชีวิตนี้คงยากจะลืมเลือน


 


 


“ศะ…ศิษย์น้องมั่ว เจ้าได้ยินหรือไม่?” เยี่ยเทียนหยวนเปิดปากอย่างลำบาก


 


 


สิ่งที่ตอบเขา กลับเป็นการเกาะเกี่ยวที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น


 


 


เยี่ยเทียนหยวนครวญอย่างอัดอั้นเสียงหนึ่ง กัดริมฝีปากไว้แน่น ไม่นานนักเหงื่อเย็นเม็ดเป้งก็ไหลลงมาตามหน้าผากเขา ริมฝีปากถูกกัดจนเลือดออกทั้งอย่างนั้น กลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับ เขากลัวว่าหากตนเองขยับเพียงทีเดียว ก็จะควบคุมไม่ได้แล้วทำเรื่องอัปยศอดสูออกมา


 


 


ไฟจริงของเยี่ยเทียนหยวนกดพิษเย็นในกายมั่วชิงเฉินที่มาอย่างรุนแรงลงไป มั่วชิงเฉินแม้ยังคงหมดสติ สีหน้ากลับเปลี่ยนจากเขียวเป็นขาว ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้น น้ำแข็งที่เกาะอยู่กลายเป็นหยดน้ำใสกระจ่าง ไหลอาบแก้มลงมา ผสานเข้าด้วยกันกับเหงื่อเย็นของเยี่ยเทียนหยวน


 


 


เยี่ยเทียนหยวนโล่งใจ ดูท่าแล้ว ผ่านไปอีกครู่เดียวตนก็จะได้หลุดพ้นแล้ว


 


 


ทว่าในยามนี้เอง เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน พลังดูดที่ประหลาดในร่างมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น ในพริบตาก็ดูดไฟจริงสีม่วงเข้มอมแดงที่ปกคลุมเขาไว้ไปจนหมดสิ้น ไฟจริงนั่นเข้าสู่ร่างมั่วชิงเฉิน ไม่รู้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น พิษเย็นที่ถูกกดลงไปดูเหมือนดิ้นรนขึ้นมาเป็นเฮือกสุดท้าย


 


 


แล้วก็เห็นบนร่างมั่วชิงเฉินประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดง ตัวสั่นไม่หยุด สีหน้าเจ็บปวดยิ่งนัก


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องมั่ว เจ้า…เจ้าอดทนไว้…” เยี่ยเทียนหยวนมองหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างเขียวและแดงไม่หยุดหย่อน ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความสงสาร


 


 


เมื่อเยี่ยเทียนหยวนอ้าปากเช่นนี้ ลมหายใจจึงพ่นถึงหน้ามั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินที่ดิ้นรนเหมือนอสูรที่ถูกกักไว้ในนรกอัคคีน้ำแข็ง ราวกับหาทางระบายเจอทันที จู่ๆ ปากกระจับก็ทาบขึ้นมา ประทับลงบนริมฝีปากที่ถูกกัดจนแดงบวมของเยี่ยเทียนหยวน


 


 


ในยามนี้ เยี่ยเทียนหยวนเหมือนถูกฟ้าผ่า สมองว่างเปล่าไปหมด ไฟจริงในร่างเขากลับพุ่งขึ้นจากตันเถียนตรงไปที่ริมฝีปากที่ประสานกันของทั้งสองคนอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


และยามนี้ ในร่างมั่วชิงเฉินก็มีไฟจริงอุ่นๆ เย็นๆ สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่าคิดไม่ถึงเช่นกัน เกาะเกี่ยวผสานกับไฟจริงโหมแรงของเยี่ยเทียนหยวน


 


 


ในที่สุดสติสัมปชัญญะของเยี่ยเทียนหยวนก็พังครืน ตักตวงความหวานฉ่ำของคนในอ้อมกอดอย่างลืมตัวและบ้าคลั่ง ยามที่มือเรียวยาวร้อนกร้านของเขาลูบไปถึงเอวมั่วชิงเฉินกลับปรากฏกระบี่บินเล่มหนึ่งขึ้นกลางอากาศ แทงเข้าท้องน้อยตนอย่างโหดร้าย


 


 


ความเจ็บปวดอันชัดเจนทำให้เยี่ยเทียนหยวนได้สติกลับมา มือเขาจับกระบี่บินไว้แน่นสั่นไม่ยอมหยุด เหงื่อเย็นหยดลงมาไม่ขาดสาย กลับควบคุมไฟจริงต่อเพื่อไล่ความหนาวให้มั่วชิงเฉิน


 


 


ดูเหมือนผ่านไปชั่วอึดใจ อีกทั้งดูเหมือนผ่านไปนับพันหมื่นปี ในที่สุดพิษเย็นที่ดั่งอสูรร้ายก็กลายเป็นควันสีขาวสายหนึ่ง มุดออกจากปากและจมูกมั่วชิงเฉิน


 


 


เยี่ยเทียนหยวนโล่งใจ ในที่สุดก็จัดการเรียบร้อยแล้ว


 


 


ส่วนมั่วชิงเฉินก็ปล่อยมือเท้าออกในที่สุด ราวกับเข้าสู่ฝันหวาน


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองหน้าของมั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน ผมหนาๆ ข้างหน้านางเปียกเหงื่อตั้งนานแล้ว ผมเป็นริ้วๆ แนบอยู่บนผิวขาวเนียนดุจหยก เผยให้เห็นความงามเลิศล้ำที่ทำให้คนไม่กล้าจ้องมอง


 


 


เยี่ยเทียนหยวนไม่คิดเลยว่าหญิงสาวที่บุกเข้ามาในชีวิตเขาด้วยวิธีการเช่นนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ที่แท้งดงามเช่นนี้


 


 


ที่จริงสิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้วไม่สำคัญเลย ตั้งแต่เขายังเยาว์วัย ก็มีหญิงสาวนับไม่ถ้วนเป็นฝ่ายยื่นไมตรีมาให้ งามหยดย้อยควรเมืองไม่ใช่ไม่มี ทว่ามีเพียงนางคนเดียวที่ยึดครองจิตใจเขาอย่างโอหัง ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป


 


 


เยี่ยเทียนหยวนไม่ใช่ไม่เคยโกรธตนเองมาก่อน เหตุใดโดยที่ไม่มีใครอธิบายได้ก็วางนางไม่ลงเสียแล้วนะ


 


 


อาจเพราะความขัดแย้งรุนแรงและแรงดึงดูดที่บอกไม่ถูกทุกครั้งที่สองคนพบหน้ากันนับวันยิ่งสลักลึกลงไปในใจเขากระมัง เยี่ยเทียนหยวนคิดไม่ออก ได้แต่อึดอัดอยู่คนเดียว


 


 


ด้านหนึ่งควบคุมใจตนเองไม่ได้ อีกด้านหนึ่งกลับเพราะความเย็นชาและการหลบหลีกของมั่วชิงเฉินจึงต้องพยายามยับยั้งชั่งใจให้ตนเองอยู่ให้ห่างนาง


 


 


สวรรค์คงเห็นตนเองอยู่ดีเกินไปมาหลายสิบปีแล้วกระมัง ถึงทรมานตนเช่นนี้


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา มือหนึ่งปิดท้องน้อยไว้ อีกมือหนึ่งลูบแก้มที่ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นของมั่วชิงเฉิน ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากนางเหมือนแมลงปอต้องน้ำ แล้วเก็บกวาดรอยเลือดและร่องรอยต่างๆ ถึงเดินโซซัดโซเซกลับห้องศิลาของตน


 


 


เพิ่งเข้าไปในห้องศิลา เยี่ยเทียนหยวนก็ทนไม่ไหวแล้ว เลือดเอ่อออกจากมุมปาก


 


 


เขานิ้วมือสั่นเล็กน้อย หยิบยามังกรเหลืองออกมาทาลงบนบาดแผลที่น่าสยดสยองบนท้องน้อย ถึงหลังพิงเตียงหยกน้ำแข็ง หอบหายใจแผ่วเบาแล้วหลับตาลง


 


 


สามวันให้หลัง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ฟื้นขึ้นมา นางนวดขมับ มองรอบๆ อย่างงงงัน ถึงนึกขึ้นได้ว่ากายอยู่ที่ใด


 


 


นี่ตนเป็นอะไรไปแล้ว?


 


 


มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิด รู้สึกเพียงว่าตนเองดูเหมือนฝันเห็นแสงสีมากมายหลายหลากและพิลึกกึกกือ ทว่าในฝันนั้นตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่กลับจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว มีเพียงหนาว ร้อนสองความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในก้นบึ้งของหัวใจไล่ก็ไม่ไป


 


 


ใช่แล้ว ยามนั้นตนดูเหมือนพิษเย็นกำเริบ ต่อจากนั้นก็หมดสติไป ทว่าหลังจากนั้นไยถึงรู้สึกร้อนนะ?


 


 


หรือว่า ศิษย์พี่เยี่ยช่วยตนไว้?


 


 


ความคิดนี้แวบขึ้น มั่วชิงเฉินพิจารณารอบข้าง กลับไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ทันใดนั้นนางสะดุดกึก ตาจ้องเชือกเขียวที่ผูกมุกจื่อหวาสงบจิตบนข้อมือไว้ บนเชือกเขียวมีร่องรอยสีแดงเข้มที่หนึ่ง หากนางดูไม่ผิด น่าจะเป็นรอยเลือด


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกตกใจ บนร่างตนเองไม่มีสิ่งผิดปกติเลย หรือว่ารอยเลือดนี้เป็นของศิษย์พี่เยี่ย?


 


 


นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านอยู่หรือไม่?”


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ด้านนั้นถึงมีเสียงนิ่งเรียบเสียงหนึ่งส่งมา “อยู่”


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง ยังคงถามว่า “น้องพิษเย็นเข้าร่าง หลายวันมานี้หมดสติตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใช่ศิษย์พี่เยี่ยช่วยข้าไว้หรือไม่?”


 


 


นิ่งเงียบอีกพักหนึ่ง เสียงนิ่งเรียบไร้คลื่นของเยี่ยเทียนหยวนส่งมา “ยามบำเพ็ญเพียรหลายวันนี้บังเอิญเข้าสู่สภาพอัศจรรย์ ข้าไม่ได้สังเกตความเคลื่อนไหวทางด้านศิษย์น้องมั่วเลย”


 


 


“เอ่อ เช่นนั้นรบกวนศิษย์พี่เยี่ยแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินแม้พูดเช่นนี้ ตากลับไม่ออกห่างจากรอยเลือดบนเชือกเขียว นางจำได้ว่ายามที่พิษเย็นกำเริบกระหน่ำรุนแรง ยามที่ตนหนาวจนเกือบแข็งกลับจู่ๆ มีกระแสความอุ่นห่อหุ้มร่างกายไว้ทั้งร่าง ทำให้อวัยวะภายในที่เกือบจะแข็งเป็นน้ำแข็งของนางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


 


 


กระแสความอุ่นนั้นมาจากนอกเข้าในชัดๆ ยิ่งกว่านั้นตนเกือบขาดใจ จะช่วยตนเองได้อย่างไรกัน


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ช่วยตนไว้ต้องเป็นศิษย์พี่เยี่ยแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ทว่าไยเขาถึงไม่ยอมรับ?


 


 


มั่วชิงเฉินคิดไม่เข้าใจ จึงโยนทิ้งไว้ข้างๆ ให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้วนั่งขัดสมาธิ ดูสภาพการณ์ในร่างกายขึ้นมา


 


 


เมื่อได้ตรวจสอบ นางอดตกตะลึงไม่ได้ เห็นเพียงเพลิงแก้วใจกระจ่างที่วนเวียนอยู่เหนือตันเถียนในตอนแรกแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่นขึ้นมาก ส่วนพลังวิญญาณที่ไหลอย่างช้าๆ ในร่างยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นแล้ว 

 

 


ตอนที่ 199 คนหาเรื่องมาแล้ว

 

ปกติไฟจริงที่วนเวียนอยู่ในตันเถียนของผู้บำเพ็ญเพียร คือไฟในทรวงของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ได้ก่อเกิดจากพลังวิญญาณ มีเพียงเมื่อใช้ไฟจริงเกินขนาด เช่นหลอมโอสถ หลอมอาวุธ พลังวิญญาณในร่างผู้บำเพ็ญเพียรถึงจะแปรเปลี่ยนเป็นไฟจริงอย่างไม่ขาดสาย ทว่าไฟจริงที่แปลงมาเทียบไม่ได้กับไฟในทรวง ยิ่งกว่านั้นยังทำให้พลังวิญญาณในกายผู้บำเพ็ญเพียรเผาผลาญอย่างรวดเร็ว


 


 


ดังนั้นเหมือนมั่วชิงเฉินยามที่หลอมโอสถที่ระดับสูงสักหน่อย ก็จะห่างโอสถเติมวิญญาณไม่ได้เด็ดขาด


 


 


ส่วนมั่วชิงเฉินบัดนี้ที่แข็งแกร่งคือไฟในทรวงของนาง ประโยชน์ในนี้ย่อมไม่ต้องพูดก็รู้


 


 


เรื่องประหลาดเช่นนี้ มั่วชิงเฉินคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก ดีที่การเปลี่ยนแปลงในร่างเป็นเรื่องดี จึงทิ้งไปข้างๆ ไม่ทำให้ตนเองลำบากใจอีก แล้วตั้งใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา


 


 


การอุตสาหะบำเพ็ญเพียรในถ้ำน้ำแข็งย่อมแห้งแล้งเป็นธรรมดา นี่ต่างกับผู้บำเพ็ญเพียรกักตนบำเพ็ญเพียรด้วยความเต็มใจน้ำมาคลองเกิด[1] หากแต่เป็นการขัดเกลาความมุ่งมั่น นิสัยของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง


 


 


โส่วเต๋อเจินจวินลงโทษพวกเขาสองคนเข้าถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดพร้อมกัน ด้านหนึ่งตั้งใจจะขัดเกลาศิษย์ที่โดดเด่นในสำนักเสียหน่อย ดูว่าในหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรพวกเขามีพลังแฝงกี่มากน้อยกันแน่ อีกด้านหนึ่ง ก็กลับคำนึงถึงว่าพวกเขาตบะไม่สูง มีคนอยู่พูดคุยเป็นเพื่อน อย่างไรเสียก็สามารถลดความกดดันได้บ้าง


 


 


ทว่าที่เขาคาดไม่ถึงคือ สองคนนี้อย่าว่าแต่เจอหน้ากันเลย แม้แต่คุยกันในหนึ่งเดือนก็มีเพียงไม่กี่ประโยค


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ได้แสร้งทำเย็นชาสูงส่งต่อหน้าผู้ชาย เป็นคนนิสัยประหลาดแต่อย่างใด ทว่านางกลับระแวดระวังศิษย์พี่เยี่ยผู้นั้นจากใจจริง


 


 


สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ย่อมคือพลังดึงดูดอย่างประหลาดระหว่างสองคนที่ทำให้นางหลบยังเกรงว่าจะหลบไม่ทันนั่นเอง


 


 


มั่วชิงเฉินความคิดกระจ่าง นิสัยเข้มแข็ง ย่อมรู้อย่างชัดเจนว่าตนไม่มีความคิดเช่นชายหญิงต่อศิษย์พี่เยี่ย ดันเมื่อติดต่อพบปะกับเขา ก็จะบังคับตนเองไม่ได้ นางไม่หลบให้ไกลไม่ได้ มิเช่นนั้นหากชั่วเวลาหนึ่งควบคุมไม่อยู่ สองคนเกิดอะไรขึ้นมา มิใช่ทำร้ายคนทำร้ายตนหรอกหรือ


 


 


เพียงแต่การบำเพ็ญเพียรในถ้ำช่างทรมานคนเหลือเกิน มั่วชิงเฉินจึงเริ่มสะสางเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จบวกจัดระเบียบสวนสมุนไพรพกพานอกเหนือจากการบำเพ็ญเพียร


 


 


การเดินทางที่ทะเลขนาบใจ ปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณตวนมู่จิ้งไหว้วานตนไปตามหาผลแย่งลิขิต ของรางวัลในการสำเร็จภารกิจแม้น่าเย้ายวนใจ กลับไม่ใช่สิ่งที่ตนจะสามารถทำได้ในยามนี้ ยิ่งกว่านั้นต่อให้ถึงระดับก่อกำเนิด จะได้เจอผลแย่งวิญญาณหรือไม่ก็ได้แต่ดูลิขิตสวรรค์แล้ว เรื่องนี้สามารถกองทิ้งไว้ข้างๆ ไม่สนใจเป็นการชั่วคราวได้


 


 


นอกจากนี้ตนรับปากหัวหน้าตระกูลหวังว่าแปดปีให้หลังจะมอบโอสถอายุวัฒนะให้เขาเม็ดหนึ่ง วัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมโอสถอายุวัฒนะ ตนขาดเพียงหญ้าดอกเหลืองอย่างเดียว ทว่าฤทธิ์ยาอันพิเศษไม่เหมือนใครของหญ้าดอกเหลืองกลับกำหนดว่ายามที่ตนหลอม จำเป็นต้องไปปราณภูเขาไฟไหลด้วยตนเอง ตนต้องถูกขังอยู่ในถ้ำน้ำแข็งสามปี บวกกับเรื่องเหนือความคาดหมายต่างๆ อีก เกรงว่าหลังจากออกไปก็ควรเตรียมจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว


 


 


อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือหลอมสมุนไพรทิพย์ที่สามารถเพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณโดยมีน้ำตาปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเป็นกระสาย เรื่องนี้แม้ไม่รีบ ทว่าซื้อสมุนไพรทิพย์เกื้อหนุนที่ขาดไว้ก่อนก็ดี มีการเตรียมการไว้ย่อมไม่ห่วงเหตุร้ายเกิดตามหลังมา


 


 


ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือมั่วชิงเฉินคิดไว้นานแล้ว ว่าจะหาวัสดุไม้ชั้นเยี่ยม เตรียมการไว้สำหรับหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาหลังจากก่อแก่นปราณในอนาคต ความสำคัญของสมบัติวิเศษเจ้าชะตาไม่จำเป็นต้องพูดมาก มั่วชิงเฉินได้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้กระบี่เป็นสมบัติวิเศษเจ้าชะตาของตน


 


 


บัดนี้สิ่งที่นางใช้หนีและป้องกันมีไหมเกล็ดน้ำแข็งและชามใหญ่ ชามใหญ่ต้องซ่อมเสียหน่อย ไหมเกล็ดน้ำแข็งจะใช้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงระดับก่อกำเนิดก็ไม่เป็นปัญหา


 


 


ด้านการโจมตี ก็คืออาวุธเวทก้อนอิฐ เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้และวิชาคาถาธาตุไม้แล้ว


 


 


ในนี้ อาวุธเวทก้อนอิฐไม่มีลูกไม้เอาเสียเลย ก็คือใช้แข็งปะทะแข็ง พบผู้บำเพ็ญเพียรที่ตบะไม่เกินตน หรือว่าอาวุธเวทไม่ค่อยเท่าไรยังพอไหว ทว่าหากอาวุธเวทของคู่ต่อสู้โดดเด่น หรือตบะล้ำลึก เช่นนั้นก็จะไร้ประโยชน์


 


 


ส่วนวิชาคาถาธาตุไม้ที่ตนใช้มากที่สุดก็คือพัน คลุมของเถาวัลย์ กระบวนท่าแหฟ้าตาข่ายดินนั้นอานุภาพไม่เลว เพียงแต่อย่างไรเสียพลังโจมตีของวิชาคาถาธาตุไม้ด้อยไปสักหน่อย ยิ่งเน้นวิถีแห่งจังหวะและอัศจรรย์ และในความเป็นจริงการใช้พฤกษาวิญญาณแต่ละชนิดของตนยังน้องเกินไป จังหวะกลับพอแล้ว คำว่าอัศจรรย์กลับยังไม่โดดเด่น


 


 


เมื่อนับเช่นนี้แล้ว สิ่งที่ควรตั้งใจที่สุด ก็คือเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ตนแล้ว


 


 


พูดไปแล้วกระบี่บินแม้เป็นอาวุธเวทโจมตีที่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรใช้มากที่สุด พูดกันตามปกติผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้กระบี่บินได้โดดเด่นนั้นมีไม่มาก กระทั่งมีผู้บำเพ็ญเพียรตกอับบางคนการโจมตี หนีเอาชีวิตรอดล้วนอาศัยกระบี่บินเล่มเดียว ทว่าเป็นที่นิยมในวงกว้าง ย่อมมีเหตุผลที่เป็นที่นิยมในวงกว้าง


 


 


ที่จริงกระบี่บินเป็นอาวุธเวทที่มีทั้งความคล่องแคล่วและอานุภาพที่สุดในบรรดาอาวุธเวท และสมบัติวิเศษ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรที่จับแก่นของกระบี่ได้อย่างแท้จริง พลังความสามารถในการต่อสู้ปกติแล้วจะเหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน


 


 


ก็ยกตัวอย่างเช่นนักพรตเหอกวงกู้หลี เขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรกระบี่ที่แท้จริง กลับได้เคล็ดกระบี่สองชุดมาด้วยโอกาสวาสนา ชุดหนึ่งเหมาะสำหรับหญิงสาวฝึก ชุดหนึ่งเหมาะสำหรับชายฝึก


 


 


เขาก็อาศัยเคล็ดกระบี่ชุดนี้แหละ มือถือกระบี่ ท้าประลองผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเจ็ดท่านแห่งนิกายเหอฮวนโดยลำพัง


 


 


หลังจากที่มั่วชิงเฉินกลับสำนักได้รู้แจ้งเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นที่สองโล่แห่งชิงมู่โดยบังเอิญในน้ำตก จึงยิ่งรับรู้ได้ถึงความอัศจรรย์ของเคล็ดกระบี่ชุดนี้ เพียงแต่นางมักรู้สึกว่ายามที่ตนร่ายเคล็ดกระบี่ ไม่ได้สำแดงอานุภาพที่แท้จริงที่อยู่ภายในออกมาแต่อย่างใด


 


 


ตกลงเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ มั่วชิงเฉินคิดไม่ออก เพราะยังไม่ทันได้หาอาจารย์แก้ข้อข้องใจ ก็ถูกเตะมาโถงลงทัณฑ์แล้ว เพียงคำว่าซวยคำเดียวจะอธิบายได้หมดได้อย่างไร


 


 


ในเมื่อกำหนดทิศทางที่จะพยายามในอนาคตแล้ว การตามหาวัสดุไม้ชั้นยอดมาหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาก็เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินคิดดีแล้ว รอหลังจากออกไปก็ไหว้วานอาจารย์และสหายสองสามท่านช่วยนางสังเกต มีที่เหมาะสมนางย่อมใช้หินวิญญาณซื้อไว้ และวันหลังยามเดินทางฝึกตน ก็ยิ่งต้องใส่ใจในด้านนี้สักหน่อย หากหาที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ ในสวนสมุนไพรของตนมีต้นท้อกลายพันธุ์ต้นหนึ่งมิใช่หรือ คิดว่ายามที่นางก่อแก่นปราณ นั่นก็เป็นต้นท้อหมื่นปีแล้ว หลอมกระบี่ดอกท้อเล่มหนึ่งก็ไม่เลว


 


 


ยังมีเรื่องที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนาง นั่นก็คือช่วยท่านปู่แก้แค้น! ปีนั้นนางยินยอมเข้าพรรคเหยากวงด้วยฐานะศิษย์จิปาถะ ก็เพราะจุดประสงค์นี้


 


 


ทว่าตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นต่อพรรคเหยากวง นางรู้ว่าคู่ต่อสู้ที่ตนต้องเผชิญนั้นแข็งแกร่งเพียงใด


 


 


ศิษย์เสเพลคนนั้นย่อมไม่เพียงพอให้ต้องกลัว ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือเทียดระดับก่อแก่นปราณระยะปลายท่านหนึ่ง อีกทั้งเทียดของเขายังเป็นศิษย์ก้นกุฏิของโส่วเต๋อเจินจวินผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งแห่งเขาโฮ่วเต๋อ


 


 


มั่วชิงเฉินไม่กล้าทำอะไรส่งเดช เพราะสิ่งที่นางจะทำไม่เพียงแต่คือการฆ่าคุณชายเสเพลคนนั้นแก้แค้นเพื่อท่านปู่ ยังต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น หากไม่สนใจอะไรเลยพร้อมจะพินาศไปพร้อมเขา คิดว่าต่อให้ไปถึงยมโลกเจอท่านปู่ ท่านปู่ก็ต้องดึงหางเปียตนด่ากราดอย่างแน่นอน


 


 


นึกถึงภาพที่ตาเฒ่าสีหน้าอิ่มเอิบมักดื่มจนเมากรึ่มดึงหางเปียตนเอง มั่วชิงเฉินอดยิ้มละไมไม่ได้ ในใจทั้งหวานชื่นทั้งเจ็บปวด


 


 


มั่วชิงเฉินแหงนหน้ามองห้องศิลาน้ำแข็งที่สะอาดหมดจดปราดหนึ่ง พ่นลมเย็นออกมาช้าๆ เรื่องที่ตนยังไม่ได้ทำมีมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นไม่ว่าเช่นไรก็จะเดินอย่างมุ่งมั่นต่อไปตามทางสายนั้น แม้มีคนบางคนเรื่องบางเรื่องทำให้ตนเจ็บปวด ทำให้ตนปีติ ทำให้ตนหลงใหล ทำให้ตนเศร้าโศก กลับไม่มีทางและไม่ควรกลายเป็นหินขัดขา[2]ระหว่างทาง


 


 


เรียบเรียงความหนักเบารีบร้อนผันผ่อนของการกระทำ มั่วชิงเฉินหยิบสวนสมุนไพรพกพาออกมา ก้มหน้าก้มตาจัดระเบียบขึ้นมา


 


 


หลายปีมานี้มั่วชิงเฉินไปสถานที่มาไม่น้อย เห็นหญ้าทิพย์สมุนไพรทิพย์ก็ไม่สนใจว่ารู้จักหรือไม่ โยนเข้าสวนสมุนไพรพกพาไปให้หมด เพราะว่าพฤกษาวิญญาณบางอย่างแม้ยามที่อายุปีน้อยมองประโยชน์ใช้สอยไม่ออก ทว่าเมื่อถึงพันปี หมื่นปี ก็จะมีฤทธิ์มหัศจรรย์ออกมา


 


 


พฤกษาวิญญาณในสวนสมุนไพรพกพาจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน มั่วชิงเฉินถอนใจอึดหนึ่ง ทีนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะเบื่อแล้ว ดูจากสถานการณ์นี้ ยามที่ตนออกจากถ้ำสามารถค่อยๆ จัดระเบียบเรียบร้อยได้ก็ไม่เลวแล้ว


 


 


มีคำพูดประโยคหนึ่งเรียกว่าแผนการเร็วสู้การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในยามที่มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนถูกขังเข้าโถงลงทัณฑ์ หรวนหลิงซิ่วถูกสั่งให้ส่งกลับสำนักลั่วสยา เหตุการณ์ฉาวโฉ่ที่ครึกโครมไปทั้งสำนักค่อยๆ สงบลง เรื่องก็เกิดคลื่นลมอีก


 


 


ศิษย์พรรคเหยากวงมีมากมาย คนเยอะพูดมาก ไม่รู้เหตุใดก็ลือข่าวการกลับมามั่วชิงเฉินไปถึงนิกายเหอฮวน


 


 


ทีนี้นิกายเหอฮวนโกรธแล้ว ยามนั้นนักพรตเหอกวงพูดปาวๆ ว่าหากศิษย์กลับมาโดยสวัสดิภาพ ก็จะไปรับผิดและรับโทษที่นิกายเหอฮวนมิใช่หรือ คนเขาจึงส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณข้ามมาทันที บีบคั้นกันด้วยเหตุนี้


 


 


พูดไปแล้วสี่สำนักแปดนิกายล้วนนับว่าเป็นพวกเดียวกันในเรื่องใหญ่โต ยามที่ต่อกรกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร อสูรปีศาจย่อมเป็นเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา ทว่าใช้นิ้วเท้าคิดก็คิดออก ปกติจะขาดการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังได้อย่างไร


 


 


เรื่องที่นักพรตเหอกวงรุดไปนิกายเหอฮวนเพียงลำพังท้าดวลกระบี่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันเจ็ดท่าน ได้ลือไปทั่วสำนักใหญ่น้อยบริเวณใกล้เคียงหมดแล้ว ทำให้นิกายเหอฮวนเสียหน้าอย่างใหญ่หลวง


 


 


สำนักใหญ่โตเช่นพรรคเหยากวงและนิกายเหอฮวนเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้ขึ้นมาจริงๆ แล้วให้คนอื่นเป็นตาอยู่เก็บผลประโยชน์ไป ทว่าการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ยังคงเป็นเรื่องปกติมาก


 


 


นิกายเหอฮวนจึงจับจุดอ่อนจุดนี้ บังคับนักพรตเหอกวงให้ก้มศีรษะ จะได้กู้หน้าคืน


 


 


ในวันนั้น ในที่สุดนักพรตเหอกวงก็ปรากฏตัว ศิษย์ในสำนักต่างเป็นห่วงนักพรตเหอกวงที่ใจกว้างเปิดเผยจะไปขอรับโทษที่นิกายเหอฮวนจริงๆ แอบลุ้นจนเหงื่อออกฝ่ามือ


 


 


ใครจะรู้ว่านักพรตเหอกวงกลับเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “วันนั้นข้าพูดไว้ว่า หากพรรคของท่านสามารถมอบศิษย์ของข้ากลับคืนโดยสวัสดิภาพ เหอกวงย่อมยอมรับผิดและรับโทษด้วยตนเอง”


 


 


‘ซี๊ด’ เสียงหนึ่ง ศิษย์พรรคเหยากวงสูดลมเย็นย้อนขึ้นอึดหนึ่ง แย่แล้วแย่แล้ว นักพรตเหอกวงยอมรับจริงๆ แล้ว


 


 


เมื่อนักพรตเหอกวงปรากฏตัวเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนก็เกิดโกลาหลขึ้นเช่นกัน มีหญิงสาวหลายคนบนหน้าไม่เห็นความโกรธเคือง กลับกันกลับรู้สึกความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก


 


 


หญิงสาวที่เป็นผู้นำก็คือเซียนหมีเมิ่งที่เป็นผู้นำครั้นการทดสอบแห่งหุบเขาโยวเล่อเมื่อปีนั้น เพิ่งสิ้นเสียงกู้หลีนางก็หัวเราะคิกคักว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋าเหอกวงก็ตามบ่าวไปเถอะ”


 


 


นักพรตเหอกวงไม่ขยับเขยื้อน ยิ้มอย่างไม่แยแสและห่างเหิน “หรือว่าท่านเซียนฟังไม่ชัดเจน ที่เหอกวงพูดคือพรรคท่านส่งศิษย์ข้าคืนมา ทว่าบัดนี้ ศิษย์ข้ากลับมาด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวกับพรรคท่านเลยแม้แต่น้อย”


 


 


“ท่าน!” เซียนหมีเมิ่งอึ้ง นางเป็นคนน้ำกลิ้งบนใบบอนเสมอมา รูปโฉมก็งดงาม เรื่องที่ให้นางออกหน้า ยากที่จะทำไม่สำเร็จ ทว่าเฉพาะเจาะจงนักพรตเหอกวงคนนี้ ดูแล้วอ่อนโยนสง่างาม กลับไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่น ไม่มีที่ให้ลงมือ


 


 


ยิ่งกว่านั้นไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ต่อหน้าเขา วิชาเสน่ห์ของตนเหล่านั้นก็ไม่อยากใช้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว ช่างประหลาดดีแท้


 


 


เซียนหมีเมิ่งพาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คนกลับนิกายเหอฮวนอย่างหัวซุกหัวซุน ทว่าผ่านไปไม่นานเท่าไร นิกายเหอฮวนก็ส่งคนมาอีกแล้ว


 


 


ที่มาครั้งนี้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั้งหมด


 


 


ครั้งนี้ พวกนางไม่ได้โวยวาย หากแต่ยื่นเทียบสีแดงสดใบหนึ่งขึ้นมาอย่างถูกต้องตามระเบียบ ปกหน้าเขียนไว้ว่า ‘พบหน้าประตูสำนัก!’


 


 


ในดินแดนเทียนหยวน อันว่า ‘พบหน้าประตูสำนัก’ ก็คือเทียบท้ารบ พูดให้กระจ่างก็คือคนเขามาหาเรื่องแล้ว


 


 


ระหว่างศิษย์ของแต่ละสำนักที่เป็นพวกเดียวกันหากเกิดกระทบกระทั่งกันขึ้น ไม่สะดวกจะสู้กันอย่างเอิกเกริก ก็จะส่งเทียบท้ารบสีแดงสดเช่นนี้ โดยให้คนต้นเรื่องทั้งสองฝ่ายหรือส่งคนที่มีตบะทัดเทียมกันจากสองสำนักเข้าสู่กันประลอง หากฝ่ายที่ถูกส่งเทียบท้ารบไม่กล้ารับคำท้า เช่นนั้นต่อไปก็อย่าคิดจะโงหัวขึ้นมาได้เลย


 


 


ศิษย์ที่เฝ้าประตูเห็นเทียบสีแดงสด หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน รีบนำเทียบวิ่งทะยานไปทันที


 


 


 


 


——


 


 


[1] น้ำมาคลองเกิด เป็นการอุปมาว่า เมื่อเงื่อนไขสุกงอม เรื่องต่างๆ ก็จะบรรลุผลสำเร็จ


 


 


[2] หินขัดขา หมายถึง สิ่งที่ถ่วงความเจริญก้าวหน้า 

 

 


ตอนที่ 200 เหยากวงผู้อัดอั้นตันใจ

 

สารท้ารบสีแดงสดเช่นนี้ ศิษย์เฝ้าประตูย่อมไม่กล้าชักช้า ผ่านการส่งขึ้นไปเป็นขั้นๆ ส่งไปถึงมือของเจ้าสำนักโดยตรง


 


 


เจ้าสำนักของพรรคเหยากวงนามทางเต๋านักพรตฟางเหยา เป็นชายวัยกลางคนที่ดูแล้วหน้าตาธรรมดา คางไว้หนวดสั้น เขาสามารถขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้ คนผู้นี้จัดการเรื่องต่างๆ เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่แล้วต้องลื่นไหลกว่ามาก ทว่าบัดนี้ถือสารท้ารบสีแดงสดไว้กลับเหมือนถือเผือกร้อนๆ[1] ไว้ก็ไม่ปาน ร้อนใจจนหมุนไปหมุนมา


 


 


ว่าไปแล้วก็เป็นความโชคร้ายของเขา พรรคเหยากวงอยู่อันดับสามในสี่สำนักแปดนิกาย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่เป็นที่นับถือของสำนักและตระกูลใหญ่ๆ น้อยๆ นับไม่ถ้วน สารท้ารบ ‘เยือนสำนัก’ เช่นนี้ไม่ได้รับมากว่าร้อยปีแล้ว เหตุใดถึงคราวเขาเป็นเจ้าสำนัก ก็ได้รับของรับมือยากเช่นนี้


 


 


ที่จริงนักพรตฟางเหยาก็ไม่ใช่กลัวศิษย์ทั้งสองฝ่ายสู้กันหรอก สำหรับในด้านนี้ศิษย์เหยากวงยังคงมีความมั่นใจอยู่ ทว่าข้อสำคัญคือ คนเขาชี้ชื่อบอกแซ่ ข้อพิพาทครั้งนี้ในเมื่อเกิดจากศิษย์ของนักพรตเหอกวง เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางออกหน้ารับคำท้า ที่แย่คือนางหนูนั่งถูกผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งออกคำสั่งขังเข้าโถงลงทัณฑ์ด้วยตนเอง นี่ยังเพียงแค่ไม่กี่เดือนเองนะ เขาจะกล้าตัดสินใจปล่อยนางหนูนั่นออกมาได้อย่างไรกัน?


 


 


“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ไม่สู้ขอคำชี้แนะจากผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งสักหน่อย?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณข้างๆ เอ่ย เขาก็คือผู้นำพาเหล่าศิษย์ไปรับการทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อเมื่อปีนั้นนักพรตฝูหมิง


 


 


นักพรตฟางเหยาถอนใจว่า “ศิษย์น้องฝูหมิง เจ้าไม่รู้อะไร ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งไม่กี่วันก่อนเพิ่งกักตน ต่อให้ข้าอยากขอความเห็น ก็ขอความเห็นไม่ได้น่ะสิ”


 


 


เจ้าสำนักเหยากวงตบะไม่นับว่าสูงที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ทว่าเพราะฐานะที่พิเศษ ความเคลื่อนไหวของผู้เฒ่าไท่ซ่างระดับก่อกำเนิดเหล่านั้นปกติก็จะรู้ดี


 


 


นักพรตฝูหมิงชะงัก ลังเลว่า “ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับใหญ่เหตุใดจู่ๆ ถึงกักตนขึ้นมา…”


 


 


ที่จริงเรื่องนี้เดิมทีเขาไม่ควรถาม ทว่าเขาและนักพรตฟางเหยาสนิทกันมาโดยตลอด ส่วนบัดนี้ก็เกิดเรื่องเช่นนี้อีก จึงทนไม่ไหวพูดออกมา


 


 


นักพรตฟางเหยาเหลือบนักพรตฝูหมิงปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ศิษย์น้องฝูหมิง คำพูดนี้ตามหลักแล้วข้าไม่ควรพูด ทว่าเจ้าก็รู้ ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอายุหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าปีแล้ว…”


 


 


ว่ากันตามหลักการผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอยู่ได้ถึงสองพันปี ทว่านั่นคือในยามร่างกาย จิตใจล้วนยอดเยี่ยมในทุกด้าน และผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่กว่าจะเดินถึงระดับก่อกำเนิด มีผู้ใดไม่ผ่านความลำบากหมื่นพัน อุปสรรคมากล้นมาบ้าง


 


 


ว่ากันตามปกติแล้วผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะต้นหากไม่สามารถเลื่อนขั้น อายุขัยส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างหนึ่งพันสองร้อยปีถึงหนึ่งพันห้าร้อยปี ผู้บำเพ็ญเพียรระยะกลางจะอยู่ระหว่างหนึ่งพันห้าร้อยปีถึงหนึ่งพันแปดร้อยปี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายอยู่ระหว่างหนึ่งพันแปดร้อยปีถึงสองพันปี ทว่าก่อนถึงอายุขัยไม่ถึงสองร้อยปี ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับผู้เฒ่าที่ค่อยๆ แก่แล้วคนหนึ่ง ทั่วทั้งร่างจะเปล่งกลิ่นอายแห่งความตายรางๆ ออกมาสายหนึ่ง


 


 


โส่วเต๋อเจินจวินอายุหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าปี ดูแล้วยังกระชุ่มกระชวย งามสง่าดุจเซียน นับว่ารักษาสุขภาพได้ดีมากแล้ว


 


 


นักพรตฝูหมิงก็เป็นคนเข้าใจอะไรทะลุปรุโปร่งเช่นกัน ย่อมเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของนักพรตฟางเหยา บนใบหน้าจึงฉายแววหนักหน่วงส่วนหนึ่ง


 


 


ใครไม่รู้บ้าง การเรียงอันดับของสี่สำนักแปดนิกาย ดูกันที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเป็นนสำคัญ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะกลาง ปลายนั้นยิ่งสำคัญยิ่งกว่าสำคัญ หากเมื่อใดที่ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งดับสูญ เหยากวงยังไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนใหม่ปรากฏขึ้นอีก เช่นนั้นตำแหน่งของพรรคเหยากวงต้องสั่นคลอนเป็นแน่แท้ ส่วนสิ่งที่ตามมาหลังจากตำแหน่งสั่นคลอนนั้นก็คือการแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรที่ควบคุมไว้ต้องรั่วไหลเป็นแน่


 


 


“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก เช่นนั้นท่านมีแผนการอย่างไร?” นักพรตฝูหมิงถามขึ้น


 


 


นักพรตฟางเหยาส่ายศีรษะ “แผนในยามนี้ มีเพียงถ่วงเวลาเท่านั้น! ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะกักตนนาน”


 


 


“ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ มิถูกนิกายเหอฮวนจับจุดอ่อนไว้หรอกหรือ โดยเฉพาะศิษย์หลานชิงเฉินคนนั้น เกรงว่าจะกระทบไปถึงชื่อเสียง” นักพรตฝูหมิงขมวดคิ้วว่า


 


 


นักพรตฟางเหยายิ้มมองเขาปราดหนึ่ง “ศิษย์น้องฝูหมิง ดูท่าเจ้าจะประทับใจไม่เลวต่อศิษย์หลานชิงเฉินคนนั้นนะ”


 


 


นักพรตฝูหมิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าจำได้ว่าปีนั้นยามที่นำพาเหล่าศิษย์ไปทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อ นางหนูนั่นยังเป็นแม่นางน้อยอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปด เหมือนกับศิษย์คนสุดท้ายของศิษย์พี่ยั่วซี เด็กผู้หญิงสองคนอายุน้อยๆ ยืนอยู่ด้วยกันสะดุดตายิ่งนัก ข้ายังแอบคิดอยู่ อายุดั่งบุปผาเช่นนี้ก็ไปหุบเขาโยวเล่อ มิใช่ไปตายหรอกหรือ ทว่าไม่คิดว่าพวกนางไม่เพียงแต่กลับมาโดยสวัสดิภาพ สมุนไพรทิพย์ที่มอบขึ้นมายังแลกโอสถสร้างรากฐานได้ไม่เพียงแค่เม็ดเดียว กระทั่งยังช่วยนางหนูมั่วไว้อีก พูดตามตรง นางหนูน้อยสองคนในปีนั้นทิ้งความประทับใจไว้อย่างลึกซึ้งในใจศิษย์น้องจริงๆ”


 


 


นักพรตฟางเหยายักคิ้วว่า “เอ่อ ยังมีเรื่องในอดีตเช่นนี้หรือ ศิษย์น้องฝูหมิงเอ๋ยในเมื่อปีนั้นเจ้าเห็นว่าพวกนางสองคนไปรนหาที่ตาย ไยไม่รั้งไว้ล่ะ?”


 


 


นักพรตฝูหมิงหัวเราะว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักหัวเราะเยาะข้าอยู่มิใช่หรือ ที่นางหนูสองคนนี้ทิ้งความประทับใจไว้ในใจข้า ย่อมเป็นเพราะพวกนางลุล่วงการทดสอบโดยสวัสดิภาพ มิเช่นนั้นจะต่างอะไรกับศิษย์ที่อายุน้อยโผงผาง สงบใจบำเพ็ญเพียรอย่างจริงๆ จังๆ ไม่ลงร้อนใจจะให้ประสบความสำเร็จพวกนั้น ข้ามีปัญญารั้งอย่างนั้นหรือ?”


 


 


สองคนประสานสายตาหัวเราะออกมา ไม่พูดมากอีก


 


 


เจ้าสำนักตัดสินใจถ่วงเวลาต่อไป ข้ออ้างต่อนิกายเหอฮวนย่อมบอกว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งกักตนไม่ได้ ได้เพียงบอกว่าศิษย์ของนักพรตเหอกวงหลังจากกลับมาแล้วก็กักตน ชั่วเวลาหนึ่งเกรงว่าจะออกมาไม่ได้


 


 


น่าสงสารมั่วชิงเฉินที่อยู่ไกลถึงถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดกำลังทนการทรมานกับสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปยากจะทนได้ ยังโดนหางเลขโดยไม่รู้เรื่องอีก


 


 


นิกายเหอฮวนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิง อีกทั้งปากจัด บัดนี้ก็พำนักอยู่ใต้เชิงเขาพรรคเหยากวง ทุกวันจะตะโกนเสียงดังใส่ประตูสำนักสักสองสามประโยค แต่ละประโยคล้วนหันหัวหอกไปที่มั่วชิงเฉิน บอกว่านางเสียทีที่เป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ กลับเป็นคนขี้ขลาดตาขาว เป็นหญิงไม่เอาไหนที่รู้จักเพียงหลบอยู่หลังผู้ใหญ่


 


 


ถึงตอนท้ายพูดไปพูดมา บอกว่าการที่มั่วชิงเฉินทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้พรรคเหยากวงเสื่อมเสีย ยังทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั่วหล้าเหมือนโงศีรษะไม่ขึ้นเอาเสียเลย


 


 


ต้องรู้ว่าพรรคเหยากวงตั้งอยู่ที่เทือกเขาฟางจู แม้เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทว่าสำนักและตระกูลใหญ่ๆ น้อยๆ ที่เทือกเขาฟางจูยังคงมีนับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดินทางผ่านเชิงเขาเหยากวงในแต่ละวันมีมากมาย นานวันเข้า เรื่องนี้จึงลือสะพัดออกไป อย่างช้าๆ ไม่คิดว่าก็มีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สาระบางคนทุกครั้งที่ถึงเวลาที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของนิกายเหอฮวนตะโกน ก็จะออกมาดูความครึกครื้นตามเวลา


 


 


ผ่านไปอีกสิบกว่าวัน เชิงเขาพรรคเหยากวงได้ตั้งวงพนันขึ้นมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งล้อมวงวางหินวิญญาณอยู่ตรงนั้น พนันว่ามั่วชิงเฉินจะกล้าออกมาเมื่อไร


 


 


พรรคเหยากวงปิดประตูสำนักสนิท หากมีศิษย์ที่บังเอิญเข้าออก หรือออกไปไม่มีสักคนที่ไม่แข็งใจ หนีหัวซุกหัวซุนท่ามกลางสายตาเย้ยหยันของผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่เชิงเขา ศิษย์ที่อยู่ในสำนักก็อัดอั้นตันใจเช่นเดียวกัน


 


 


“ไม่ได้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าต้องจัดการนางมารพวกนั้นให้ได้!” ศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่ใส่ชุดของศิษย์ในสำนัก รูปร่างกำยำตบโต๊ะอย่างแรงด้วยมือใหญ่ปานพัดกก ยกขาขึ้นก็จะพุ่งออกไปข้างนอก


 


 


ศิษย์สองสามคนดึงเขาไว้แน่น “ศิษย์พี่หวัง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ อาจารย์อาเจ้าสำนักสั่งพวกเราไว้อย่างเคร่งครัดว่าห้ามปะทะกับศิษย์นิกายเหอฮวนเด็ดขาด เจ้าอย่าลืมนะ คนเขามา ‘เยือนสำนัก’ อย่างเป็นทางการ หากเจ้าตัวไม่ออกมา พวกเราออกไปจัดการพวกเขาแล้ว เช่นนั้นพรรคเหยากวงก็จะกลายเป็นเรื่องตลกในใต้หล้าแล้ว”


 


 


ศิษย์รูปร่างกำยำโมโหกัดฟันว่า “ท่านย่าเจ้าสิ ช่างอัดอั้นจริงๆ เลย ถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอุดอยู่ในสำนักเย้ยหยันเช่นนี้ ศิษย์น้องมั่วผู้นั้นมิใช่ถูกท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งสั่งให้ขังในโถงลงทัณฑ์สามปีหรอกหรือ หรือว่าสามปีนี้พวกเราก็ต้องรองรับอารมณ์เช่นนี้ทุกวันหรือ?”


 


 


ศิษย์ระดับสร้างรากฐานรูปร่างผอมบางคนหนึ่งว่า “ศิษย์พี่หวัง เจ้าสงบใจลองคิดดู อาจารย์อาเจ้าสำนักไม่ได้บอกว่าไม่รับคำท้าหรอกนะ เพียงแต่บอกว่าศิษย์น้องมั่วกำลังกักตนอยู่ เกรงว่าต้องช้าสักระยะ นางมารกลุ่มนั้นตั้งใจโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ เพื่อทำให้พรรคเหยากวงของเราเสียหายเท่านั้น ข้าคาดว่า อาจารย์อาเจ้าสำนักต้องขอคำชี้แนะจากท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างโดยเร็วที่สุด ปล่อยศิษย์พี่มั่วออกมาก่อนกำหนดแน่นอน”


 


 


ในที่สุดศิษย์รูปร่างกำยำก็สงบลงมา ทว่ามีศิษย์อีกคนหนึ่งว่า “พวกเจ้าว่า ต่อให้ศิษย์น้องมั่วคนนั้นออกมา นางจะชนะได้หรือ หากพ่ายแพ้ เหยากวงเราก็เสียหน้าไม่ต่างกันมิใช่หรือ”


 


 


ศิษย์รูปร่างผอมบางว่า “นี่ก็พูดยากแล้ว อย่างไรเสียศิษย์น้องมั่วอายุน้อยนัก เพิ่งเข้าระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อให้พรสวรรค์จะสูงสักเพียงใดตบะก็วางอยู่ตรงนั้นก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้นะ ยิ่งกว่านั้นแม้ศิษย์น้องมั่วจะมีชื่อมากในสำนัก ที่จริงแทบจะไม่มีคนเคยเห็นนางลงมือเลยกระมัง ประสบการณ์การสู้จริงเป็นเช่นไรยิ่งยากจะคาดเดา เป็นที่รู้กัน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรตบะเท่ากัน พลังการต่อสู้กลับอาจต่างกันราวฟ้าดินก็ได้”


 


 


เมื่อพูดออกไป ศิษย์ทุกคนก็กลัดกลุ้มอีกแล้ว ยามนี้เองมีเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “น้องกลับรู้สึกว่าศิษย์พี่มั่วต้องมีที่ที่โดดเด่นกว่าผู้อื่นเป็นแน่”


 


 


เห็นทุกคนกวาดตามา กระแอมสองทีว่า “เอ่อ ข้าจำได้ว่าหลายปีก่อนบังเอิญเห็นศิษย์พี่จ้าวแห่งเขาต้วนจินเกาะแกะศิษย์พี่มั่วอยู่บนถนนใหญ่ ถูกศิษย์พี่มั่วดึงก้อนอิฐออกมาก้อนหนึ่งตบจนสลบ แค่กๆ ยามนั้นศิษย์พี่มั่วเพิ่งจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะต้นเองนะ”


 


 


สีหน้าทุกคนมีสีสันขึ้นมาทันที คนหนึ่งนึกขึ้นได้ว่า “ใช่แล้ว ปีนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องตลกใหญ่โตในบรรดาศิษย์ในสำนักแล้ว น่าสงสารศิษย์พี่จ้าวตามขอความรักคนในดวงใจไม่สำเร็จ กลับถูกก้อนอิฐในมือของคนในดวงใจตบจนสลบ เกรงว่าคงจะเป็นคนแรกแล้ว”


 


 


“ฮ่าๆ ถูกต้อง ไม่แน่อาจมีคนข้างหลังอีกก็ได้ ไม่สู้พวกเจ้าคนไหนลองไปขอความรักศิษย์น้องมั่วดู?”


 


 


คนอื่นตกใจจนชะงักทันที เนิ่นนานถึงมีคนเอ่ยอย่างเหลอหลาว่า “ศิษย์น้องมั่วดูแล้วไม่โดดเด่นนี่นา นิสัยยังแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ พวกเจ้าว่า ไยศิษย์พี่เยี่ยถึงชอบแบบนี้นะ?”


 


 


ทุกคนนิ่งงัน


 


 


มั่วชิงเฉินที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งไม่รู้หรอกนะว่าชื่อเสียงตนได้กระจายจากพรรคเหยากวงสู่ภายนอกแล้ว อีกทั้งยังเป็นชื่อเสียด้วย


 


 


ยามนี้นางกำลังดูของสองสามอย่างที่นางค้นพบเฉพาะกิจอย่างดีอกดีใจ


 


 


ว่าไปแล้วในถ้ำนี้ก็ประหลาด ไม่สามารถเคลื่อนพลังวิญญาณร่ายคาถาต้านหนาวได้ กลับสามารถใช้ถุงเก็บวัตถุได้ และก็ไม่กระทบกระเทือนการศึกษาของเล่นพวกนี้ สาเหตุคงเพราะใช้พลังวิญญาณน้อยนั่นเอง?


 


 


ไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ทางสำนักตั้งโถงลงทัณฑ์นี้ขึ้นมา คงไม่ทำไว้เพียงเพื่อสั่งสอนศิษย์อย่างเดียวแล้วให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นแน่


 


 


มั่วชิงเฉินหยิบขวดกระเบื้องสีขาวขึ้นมาใบหนึ่ง ข้างในใส่ผงสีชมพูไว้ เก็บจากดอกไม้ไร้นามอายุพันปีดอกหนึ่ง ตอนนั้นนางสังเกตได้อย่างหลักแหลมว่าของนี่ไม่ธรรมดา จึงเอาออกมาลองเล็กน้อย ไม่คิดว่าในพริบตาเดียวศีรษะของนางก็กลายเป็นหัวหมู ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ในสภาพหัวหมูนั่นสองชั่วยามเต็มๆ ถึงกลับคืนสภาพเดิมได้ ทำมั่วชิงเฉินตกใจแทบตาย


 


 


หน้าตาขี้เหร่สักหน่อยนางไม่กลัว ทว่ากลายเป็นหัวหมูไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหวนะ!


 


 


หลังจากนั้นมั่วชิงเฉินคลำของที่หน้าตาคล้ายฟักทองออกมา ของสิ่งนี้เป็นผลที่งอกจากเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง ใส่หินวิญญาณก้อนหนึ่งเข้าไปทางด้านบนละก็ฟักทองทั้งผลก็จะเปล่งแสงสีเหลืองออกมา อีกทั้งยังส่งกลิ่นหวานหอมอ่อนๆ ด้วย ตามความเร็วในการเผาผลาญหินวิญญาณ หินวิญญาณก้อนหนึ่งสามารถทนอยู่ได้หนึ่งปี


 


 


ต่อมา มั่วชิงเฉินหยิบก้อนกลมสีดำขนาดเท่าผลทับทิมขึ้นมาลูกหนึ่ง


 


 


ยามที่นางอายุสิบกว่าปีค้นพบพฤกษาวิญญาณที่มีหนามชนิดหนึ่งบนเขาโดยบังเอิญ อายุพันปีแล้ว กลับไม่มีประโยชน์ใช้สอยใดๆ มิน่าไม่มีคนใส่ใจ จึงติดมือโยนเข้าในสวนสมุนไพร ทว่าบัดนี้จู่ๆ นางพบว่าไม้หนามพุ่มนั้นงอกก้อนกลมสีดำออกมามากมาย นับขึ้นมาแล้วไม้หนามนั้นน่าจะมีหมื่นปีแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินใช้มือช่างน้ำหนักก้อนกลมสีดำดู รู้สึกรางๆ ว่าภายในแฝงไว้ด้วยอานุภาพมหาศาล ตกลงจะทดลองหรือไม่ทดลองนะ?


 


 


แค่กๆ ได้ยินมาว่าโถงลงทัณฑ์ขังได้แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เขตอาคมต้องร้ายกาจมากแน่ๆ คงไม่มีทางเสียหายหรอกกระมัง?


 


 


มั่วชิงเฉินคิดอย่างชั่วร้าย ในที่สุดก็ต้านความคันคะเยอในใจไม่ไหว ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในก้อนกลมสีดำเล็กน้อย แล้วโยนมันออกไป


 


 


 


 


——


 


 


[1] เผือกร้อน หมายถึง เรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยาก ประหนึ่งเผือกร้อนๆ ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่าๆ

 

 

 


ตอนที่ 201 อาการบาดเจ็บของเทียนหยวน

 

ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น ตามด้วยควันตลบอบอวล ห้องศิลาส่ายไปมาทั้งห้องเหมือนแผ่นดินไหว เขตอาคมที่มองไม่เห็นที่สลักอยู่ในห้องศิลาเปล่งแสงวิญญาณขึ้นมาในทันใด ถึงหยุดการสั่นลงได้


 


 


“ศิษย์น้องมั่ว!” เยี่ยเทียนหยวนปรากฏขึ้นในพริบตาเตะประตูออก รีบปิดบังความกังวลบนใบหน้าในพริบตาที่เห็นมั่วชิงเฉิน กลับมามีท่าทางเย็นดุจน้ำแข็งดังเดิม


 


 


“แค่กๆๆ ศิษย์พี่เยี่ย น้องไม่เป็นไร” มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าควันเข้าไปเต็มท้อง สำลักจนน้ำตาไหลออกมาหมดแล้ว โชคดีที่ตนเป็นคนปล่อยก้อนกลมสีดำนั่นออกเอง มิเช่นนั้นอานุภาพเช่นนี้จะไม่ระเบิดจนตนเลือดเนื้อกระจายหรอกหรือ


 


 


เพิ่งสิ้นเสียง ก็เห็นกำแพงห้องศิลาทั้งสี่ด้านปรากฏรอยร้าวหลายแห่ง มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก ปฏิกิริยาแรกก็คือแย่แล้ว ไหนบอกว่าห้องศิลานี่ขังผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงได้มิใช่หรือ เหตุใดถึงถูกก้อนกลมสีดำระเบิดจนเกิดรอยร้าวล่ะ คงไม่…คงไม่ให้ตนชดใช้หรอกนะ?


 


 


มั่วชิงเฉินกลับลืมไป มีผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนที่โยนระเบิดเล่นส่งเดชในโถงลงทัณฑ์บ้าง อีกอย่างในห้องศิลานี้แม้มีเขตอาคม กลับมีไว้สำหรับเพิ่มพลังความหนาวเย็น ด้านป้องกันไม่นับว่าโดดเด่น ยิ่งกว่านั้นห้องศิลาไม่ใหญ่ พลังระเบิดของก้อนกลมสีดำไม่อาจกระจายออกไปอีก ทั้งหมดอัดอยู่ในนี้ อานุภาพจะไม่ใหญ่โตได้หรือ?


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉิน สีหน้ากลับแปลกประหลาดอยู่บ้าง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ในเมื่อศิษย์น้องไม่เป็นไร ข้าก็กลับไปแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินรีบว่า “ได้ ได้ ศิษย์พี่เยี่ยตามสบาย”


 


 


เพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงติ๊งเสียงหนึ่ง มุกราตรีเม็ดเป้งบนกำแพงร่วงลงบนพื้น กลิ้งหลุนๆ ไปถึงเท้าเยี่ยเทียนหยวน


 


 


มั่วชิงเฉินกระอักกระอ่วนเหลือจะกล่าวขึ้นมาทันที แสยะมุมปากยิ้มโง่ๆ ให้เยี่ยเทียนหยวนสองสามที แล้วมองมุกราตรีที่อยู่ข้างเท้าเขาตาปริบๆ


 


 


สวรรค์ ขืนสถานที่สับปะรังเคนี่ไม่มีแม้แสงสว่างสักสายละก็ เกรงว่านางจะต้องบ้าแล้วจริงๆ แม้เป็นเช่นนี้ กลับไม่กล้าเดินเข้าไป กลัวความรู้สึกประหลาดนั่นจะมากวนให้นางหงุดหงิดใจอีก


 


 


เยี่ยเทียนหยวนก้มตัวลงเก็บมุกราตรีขึ้นมา แล้วโยนให้มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินยกมือรับมุกราตรีไว้ แต่กลับหรี่ตาแล้วหรี่ตาอีก ไยศิษย์พี่เยี่ยรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย


 


 


“ศิษย์พี่เยี่ย…” มั่วชิงเฉินออกเสียงเรียก สาเหตุสำคัญที่นางหลบเขาเพราะแรงดึงดูดที่ยากจะควบคุมระหว่างสองคนทำให้นางใจสั่น ก็ไม่ใช่ว่ารังเกียจเขาถึงเพียงใดจริงๆ หรอก สองคนถูกขังอยู่ที่นี่ด้วยกัน อีกทั้งยังอยู่สำนักเดียวกัน หากเกิดเรื่องจะไม่สนใจจริงๆ ได้อย่างไร


 


 


เยี่ยเทียนหยวนกลับไม่รอให้มั่วชิงเฉินพูดจบ พยักหน้าให้นางแผ่วเบา แล้วกลับไปโดยเร็ว


 


 


มั่วชิงเฉินกำมุกราตรีไว้ ครุ่นคิด


 


 


เยี่ยเทียนหยวนกลับถึงห้องศิลา ก็พิงตัวไว้กับกำแพงแล้วหอบหายใจ ค่อยๆ ยื่นมือออกมากุมท้องน้อยไว้ เหงื่อเย็นไหลลงมาเป็นทาง


 


 


ช่างแย่จริงๆ ยามนั้นเขากลัวว่าจะทำเรื่องทำร้ายมั่วชิงเฉินขึ้นมา จึงใช้สติสัมปชัญญะหยดสุดท้ายทำร้ายตัวเอง เดิมทีนึกว่าทายามังกรเหลืองแล้ว ก็จะไม่เป็นไรแล้ว


 


 


ใครจะคิดว่าผิวนอกบาดแผลที่ท้องดูแล้วฟื้นฟูดังเดิมแล้ว ทว่าข้างในกลับไม่เห็นดีขึ้นเสียที กระทั่งตามไอเย็นในถ้ำที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น ร่างกายหลังจากได้รับบาดเจ็บภูมิต้านทานก็ยิ่งลดลง บาดแผลก็มีทีท่าแย่ลง


 


 


โอสถรักษาอาการบาดเจ็บอย่างอื่นล้วนใช้รักษาอาการบาดเจ็บภายใน บาดเจ็บภายในของผู้บำเพ็ญเพียรที่ว่ากัน ส่วนใหญ่เพราะพลังวิญญาณในกายถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกทำให้ปั่นป่วน ดังนั้นโอสถพวกนั้นสำหรับสถานการณ์ตรงหน้าของเขาแล้วไม่สามารถช่วยได้เลย


 


 


หากสามารถเคลื่อนพลังวิญญาณได้ก็ว่าไปอย่าง อาการบาดเจ็บเช่นนี้ภายใต้การหล่อเลี้ยงของพลังวิญญาณจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ทว่าในถ้ำน้ำแข็งนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรคิดจะใช้พลังวิญญาณมาเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย นั้นอย่าได้ฝันเลย


 


 


เยี่ยเทียนหยวนหัวเราะระทมอย่างไม่มีเสียงทีหนึ่ง ร่างกายแนบกำแพงนั่งลงไปอย่างช้าๆ


 


 


เดิมทีเขายังสามารถฝืนประคองไว้ ทว่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงดังสนั่นดังมาจากด้านมั่วชิงเฉินนั่น ด้วยความร้อนรนท่าทางที่รุนแรงยิ่งทำให้อาการบาดเจ็บสาหัสขึ้น บัดนี้ได้เจ็บจนเหงื่อท่วมศีรษะแล้ว ในช่องท้องยิ่งกระตุกอย่างเจ็บปวดเป็นระลอกๆ เหมือนไส้พันกัน


 


 


“ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเป็นอะไรไป?” เสียงของมั่วชิงเฉินดังมา ร่างกายศิษย์พี่เยี่ยเกิดเรื่องแล้วจริงๆ กระทั่งแม้แต่ประตูศิลาก็ไม่ทันได้ปิดให้ดี ดูแล้วเหตุการณ์ไม่สู้ดี


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้ามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง กลับเบือนหน้าไป เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์น้องมั่วไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าไม่เป็นไร”


 


 


“ศิษย์พี่เยี่ย!” มั่วชิงเฉินเรียกอีกเสียงหนึ่ง


 


 


เยี่ยเทียนหยวนกลับกัดริมฝีปากไว้ ไม่ออกเสียงสักแอะ


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นเขาหน้าซีดจนน่าตกใจแท้ๆ ริมฝีปากยิ่งไม่มีสีเลือดสักนิด เหงื่อเม็ดเท่าถั่วจะทำเสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว กลับยังทำท่าทางดื้อรั้น จึงอดโมโหไม่ได้ว่า “ได้ ได้ ในเมื่อศิษย์พี่เยี่ยไม่เป็นไร น้องก็ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้ว!”


 


 


พูดจบสะบัดแขนเสื้อ สะบัดหน้าไปแล้ว


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองดูเงาหลังของนาง เม้มปากแน่น หลุบตาลงจ้องมือของตนไว้


 


 


ใครจะรู้ว่ามั่วชิงเฉินเพิ่งเดินออกไปก็ย้อนกลับมาเหมือนดั่งลมพัด ไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างกายเยี่ยเทียนหยวนแล้วเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านเป็นอะไรกันแน่ คนอย่างท่านนี่ไยดันทุรังถึงเพียงนี้ กับคนอื่นเป็นเช่นนี้ กับตนเองก็เป็นเช่นนี้!”


 


 


มองดูเสื้อผ้าขาดวิ่นบนร่างมั่วชิงเฉิน บนใบหน้าดำปื้นหนึ่งขาวปื้นหนึ่งยังดันทำท่าโกรธอีก ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยเทียนหยวนกลับหัวเราะออกมาเบาๆ โฉมหน้าน้ำแข็งแกะสลักที่หล่อเหลาไม่มีที่ติก็ดุจดั่งหิมะแรกละลายในพริบตา ท่วงท่าอันสง่าที่หลั่งไหลออกมาหากหญิงสาวปกติได้เห็นแล้ว ต้องกรีดร้องออกมาเป็นแน่


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้สังเกตถึงสิ่งเหล่านี้ เพียงเพราะเมื่อใดที่นางเข้าใกล้เยี่ยเทียนหยวน กะจิตกะใจส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับการต้านทานแรงดึงดูดประหลาดนั่นจนหมด ยังจะมีกะจิตกะใจที่ไหนมาสนใจสิ่งนี้อีก


 


 


ได้ยินเสียงหัวเราะของเยี่ยเทียนหยวนมั่วชิงเฉินรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง ไฟโกรธในใจยิ่งโหมแรงขึ้น กำลังจะพูดสายตากลับต้องหยุดอยู่บนมือที่เขาปิดบริเวณท้องไว้ตลอด


 


 


“ศิษย์พี่เยี่ย ท่านบาดเจ็บใช่หรือไม่?” มัวชิงเฉินนั่งยองๆ ลงมา สายตาไม่ออกห่างจากตรงนั้น


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเบือนหน้าไป เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ศิษย์น้องมั่วคิดมากไปแล้ว”


 


 


“เอามือออก ข้าขอดูหน่อย” มั่วชิงเฉินฝืนกลั้นไฟโกรธไว้


 


 


เยี่ยเทียนหยวนไม่ขยับเขยื้อน


 


 


มั่วชิงเฉินยักคิ้ว เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ตกลงท่านจะปล่อยออกเอง หรือจะให้ข้าตีท่านให้สลบแล้วค่อยดู?”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งทันที นางหนูนี่ไยถึงรุนแรงขึ้นทุกครั้งนะ?


 


 


มองดูสีหน้าที่ไม่ยอมให้สงสัยของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนรู้ว่านางไม่ได้พูดเล่นหรอกนะ และด้วยสภาพของเขาในยามนี้ มั่วชิงเฉินตีเขาสลบนั้นง่ายเหมือนเป่าฝุ่น[1]


 


 


ด้วยความเย่อหยิ่งของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่จะปล่อยให้ผู้อื่นตีสลบ แล้วปล่อยให้คนทำโน่นทำนี่ขณะไม่รู้สึกตัว ต่อให้คนผู้นั้นคือมั่วชิงเฉินก็ตาม


 


 


“ศิษย์พี่เยี่ย…” มั่วชิงเฉินดึงก้อนอิฐออกมาแล้ว


 


 


เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งตึง เขยิบมือออกอย่างช้าๆ


 


 


มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงยื่นมือไปที่บริเวณท้องของเยี่ยเทียนหยวน นางยอมรับ การแตะต้องตัวเขาเช่นนี้ภายใต้สติสัมปชัญญะแจ่มชัดเช่นนี้ของทั้งสองคน ต้องการความกล้าอย่างใหญ่หลวงจริงๆ


 


 


เมื่อมือของมั่วชิงเฉินวางลงตรงนั้น เยี่ยเทียนหยวนก็หลับตาลงทันที เขาไม่เต็มใจให้นางเข้าใกล้ตน ก็เพราะสภาพในยามนี้พลังในการควบคุมตนเองต้องตกลงแน่นอน เขาไม่มั่นใจว่าจะไม่เสียกิริยา


 


 


มั่วชิงเฉินเปิดเสื้อตรงนั้นออกเบาๆ บริเวณท้องน้อยที่เหมือนหยกขาว คือกล้ามท้องแน่นตึงที่ลายเส้นชัดเจนกลับไม่เกินไป เผยให้เห็นถึงเสน่ห์แข็งแกร่งของชายชาตรีที่ต่างจากความงามอันอ่อนช้อยของหญิงสาวอย่างสิ้นเชิง


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าร้อนผ่าว คิดไม่ถึงว่าจะนึกถึงฉากที่เห็นกลางหุบเขาในปีนั้นอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


นางกลับริมฝีปาก พลางดูถูกตนเองพลางฝืนพิจารณา


 


 


ตรงนั้นดูแล้วไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย ทว่ามีที่หนึ่งกลับเป็นสีแดงรางๆ โปร่งใสเล็กน้อย


 


 


นิ้วมือมั่วชิงเฉินแตะลงตรงนั้น ถามว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ตรงนี้ท่านใช้ยามังกรเหลืองใช่หรือไม่?”


 


 


ความรู้สึกเย็นแผ่วเบาส่งผ่านมาจากปลายนิ้วมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนลืมตาขึ้น แล้วพยักหน้า


 


 


“ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ?” มั่วชิงเฉินถามขึ้นอีก ทันใดนั้นรอยเลือดสีแดงเข้มบนเชือกเขียวก็แวบผ่านสมอง อดหน้าถอดสีไม่ได้ หรือว่ายามนั้นพิษเย็นกำเริบศิษย์พี่เยี่ยเข้ามาช่วยไว้ แล้วตนทำร้ายเขาระหว่างที่ไม่รู้สึกตัว?


 


 


หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นตนก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้จริงๆ แล้ว


 


 


นิ้วมือของมั่วชิงเฉินกดลงบริเวณบาดแผล เยี่ยเทียนหยวนครวญออกมาเสียงหนึ่ง


 


 


“ศิษย์พี่เยี่ย ตรงนี้คือแผลภายนอกสินะ ดูท่าทางบาดแผลค่อนข้างลึกทีเดียว ยามังกรเหลืองแม้เป็นยาดีในการรักษาแผลภายนอก คนธรรมดาได้รับบาดเจ็บภายนอกทาทีหนึ่งก็หาย ทว่าพวกเราผู้บำเพ็ญเพียรกลับไม่ได้ เมื่อใดที่สูญเสียพลังวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง ยามังกรเหลืองจึงทำได้เพียงทำให้ผิวนอกบาดแผลดูแล้วเหมือนฟื้นฟูดังเดิม ข้างในกลับไม่ดีขึ้น ยิ่งกว่านั้นพวกเราอยู่ในถ้ำน้ำแข็งนี่ยังต้องคอยต้านไอเย็นเป็นระยะๆ ภาระของร่างกายจึงยิ่งหนักขึ้น ท่านดูตรงนี้เริ่มโปร่งใสแล้ว เห็นได้ชัดว่าข้างในกลายเป็นหนองแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเบา


 


 


ประโยชน์ของยามังกรเหลืองที่มีต่อคนธรรมดาและผู้บำเพ็ญเพียรต่างกัน ที่สำคัญเพราะร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรอาวุธธรรมดาทำร้ายไม่ได้ เมื่อใดที่ได้รับบาดเจ็บภายนอก เช่นนั้นย่อมเกิดจากอาวุธเวทหรือคาถา


 


 


ตนจะลงมือโหดไปหน่อยหรือไม่ มั่วชิงเฉินมองที่บาดแผลแล้วรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย


 


 


เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินอย่างเหม่อลอย เขาไม่คิดว่านางจะมียามที่พูดจาอย่างอ่อนโยนกับตนเช่นนี้ด้วย


 


 


ความเย็นที่ปลายนิ้วดูเหมือนยังหลงเหลืออยู่ตรงนั้น จู่ๆ ใจของเยี่ยเทียนหยวนเต้นอย่างบ้าคลั่งทีหนึ่ง เขารีบสงบจิตใจ เอ่ยเสียงแหบว่า “ไม่คิดว่าศิษย์น้องมั่วจะเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโอสถ…”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่ได้รับคำ กลับมองเยี่ยเทียนหยวนว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปไม่ได้ รอร่างกายท่านต้านไอเย็นในถ้ำไว้ไม่อยู่เมื่อใด เมื่อนั้นก็จะทรุดลงทันที ข้า…ข้าจำเป็นต้องกรีดบาดแผลท่านให้เปิดออกใหม่ เพื่อใส่ยารักษาให้ท่าน”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนยิ้ม “ได้”


 


 


กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือมั่วชิงเฉิน แล้วทำท่ากรีดที่บริเวณท้องเยี่ยเทียนหยวนอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงทำใจลงมือไม่ได้ อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่แท้จริง ทำถึงขั้นลงมีดกับคนไข้โดยที่ใจไร้ระลอกคลื่นไม่ได้ ต้องรู้ว่านี่กับการฆ่าคนในระหว่างการต่อสู้เป็นความรู้สึกคนละอย่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเห็นท่าทางทำใจลงมือไม่ได้ของมั่วชิงเฉิน มุมปากทนกระดกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ ทันใดนั้นยื่นมือจับมือของมั่วชิงเฉินไว้ แล้วกดลงไปที่บริเวณท้องของตนเองพร้อมกริช


 


 


รู้สึกถึงเนื้อหนังถูกกรีดออกอย่างชัดเจน มั่วชิงเฉินขนหัวลุก ร้องด้วยความตกใจว่า “ศิษย์พี่เยี่ย!”


 


 


ยกตามองไปเห็นเยี่ยเทียนหยวนฝืนทนความเจ็บปวดไว้แต่ตากลับยังคงอมยิ้มไว้ จู่ๆ ก็ไม่กล้ามองอีก รีบก้มหน้าลงจัดการบาดแผลให้เขา


 


 


รอถึงสุดท้ายมั่วชิงเฉินเทผงสีขาวเล็กน้อยลงบนบาดแผล แล้วใช้เข็มเงินเย็บบาดแผลอย่างละเอียดลออ สุดท้ายทายามังกรเหลืองอย่างระวังลงไปอีก ถึงหลุบตาลงว่า “เสร็จแล้ว ศิษย์พี่เยี่ย หลายวันนี้ข้าจะทำอาหารที่บำรุงปราณเพิ่มโลหิตเพื่อปรับสภาพร่างกายให้ท่าน ท่าน…ท่านก็ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรแล้วนะ พักผ่อนให้ดี”


 


 


พูดจบมั่วชิงเฉินไม่กล้ามองไปตรงนั้นอีกแม้สักปราด พุ่งทะยานกลับห้องศิลาของตน


 


 


กลับถึงห้องศิลา มั่วชิงเฉินลูบแก้มที่ร้อนผ่าวของตน


 


 


นางว่าแล้ว เข้าใกล้เขาตนก็จะควบคุมตนเองไม่ได้ สวรรค์ดันดูเหมือนชอบกลั่นแกล้งนาง มักให้สองคนต้องพัวพันกัน


 


 


เมื่อคิดถึงว่าหลายวันนี้ต้องพบหน้าเขา มั่วชิงเฉินก็ปวดศีรษะ ทว่าเมื่อคาดเดาได้รางๆ ว่าเกรงว่าตนเป็นคนทำร้ายเขา จะทำเป็นไม่ใส่ใจก็ไม่ได้อีก


 


 


มั่วชิงเฉินกรอกสุราเข้าไปอึกหนึ่งอย่างดุดัน กัดฟันว่า “กลัวอะไร ก็ถือเสียว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจในทางแห่งการบำเพ็ญเพียรก็แล้วกัน!”


 


 


พูดเสียเต็มภาคภูมิ สุดท้ายก็ไม่มั่นใจ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ง่ายเหมือนเป่าฝุ่น หมายถึง เรื่องนี้ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมาย เป็นเรื่องง่ายๆ

 

 

 


ตอนที่ 202 เซียงอ๋องมีใจหรือไม่

 

“ศิษย์น้องเหอกวง อาจารย์เคยบอกข้าว่า ในศิษย์หกคนมีเพียงเจ้าที่ความเข้าใจยอดเยี่ยมที่สุด พอดีศิษย์พี่ช่วงนี้มีข้อสงสัยในความเข้าใจเกี่ยวกับทางสวรรค์ ไม่รู้จะถกกับศิษย์น้องสักหน่อยได้หรือไม่?” นักพรตจื่อซีมือข้างหนึ่งยันคางไว้อย่างเอกเขนก มือหนึ่งเคาะพื้นโต๊ะไม้ไผ่


 


 


ไม่รอให้กู้หลีพูด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชุดเหลืองที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์บอกแล้วว่าทางสวรรค์ในสายตาของแต่ละคนต่างกัน หากสามารถใช้คำพูดมาพูด นั่นก็ไม่ใช่ทางแล้ว”


 


 


ตาหงส์เรียวยาวของนักพรตจื่อซีลอยมา ถลึงตาใส่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองปราดหนึ่งว่า “ศิษย์น้องสาม ยามที่อาจารย์ใช้คำพูดนี้สอนข้า เจ้ายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ น้ำมูกไหลอยู่เลยนะ! ทางสวรรค์ได้เพียงสื่อความ มิอาจหาถ้อยคำมาพรรณนาได้ ทว่าก็ไม่ขัดต่อการแลกเปลี่ยนความเห็นกันนี่นา มิเช่นนั้น พวกเรายังจะสืบทอดสำนักไปทำอะไร ยังจะให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแสดงธรรมให้ศิษย์ในสำนักเป็นระยะทำอะไร? ต่างคนต่างนั่งในห้องตน คิดให้หัวแตกให้รู้แล้วรู้รอดไปก็สิ้นเรื่อง”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองยิ้มอย่างเจี๋ยมเจี้ยม ภายใต้พลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของศิษย์พี่ใหญ่ไม่กล้าส่งเสียงอีก อย่างอื่นเขาล้วนไม่กลัว ทว่าหากทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้ไม่พอใจ ต่อให้ต่อหน้าศิษย์รุ่นเล็ก นางก็จะเตือนสติเขาด้วยเรื่องสมัยที่ยังน้ำมูกไหลเปลือยก้นอย่างไม่เกรงใจ จะให้คนเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ


 


 


กู้หลียิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบศิษย์พี่ใหญ่อยากถกอะไรกับเหอกวง?”


 


 


“ระยะนี้ข้าคิดมาตลอด อันว่าทาง ก็คือกฎเกณฑ์ ระเบียบหรือ? ทางสวรรค์ก็คือกฎเกณฑ์ฟ้าดิน? ทว่าหากเป็นเช่นนี้ ทางสวรรค์เดิมก็อยุติธรรมอยู่แล้ว จะพูดถึงกฎเกณฑ์ได้อย่างไร?” นักพรตจื่อซีคำพูดลื่นไหล พูดอย่างช้าๆ


 


 


กู้หลีหน้าตานิ่งเรียบ จ้องนักพรตจื่อซีว่า “ไม่ทราบศิษย์พี่ใหญ่รู้สึกว่าทางสวรรค์อยุติธรรมตรงไหน?”


 


 


นักพรตจื่อซีว่า “หากทางสวรรค์ยุติธรรม ไยคนมีสวยงามขี้เหร่ฉลาดโง่เขลา อีกทั้งยังมีคำพูดว่าคนดีอายุสั้นคนชั่วอยู่พันปี? ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเรา พรสวรรค์รากวิญญาณก็คือที่สุดของความอยุติธรรม”


 


 


กู้หลียิ้มว่า “เมื่อครู่ศิษย์พี่สามเพิ่งพูดถึง เราทุกคนต่างเข้าใจ ‘ทาง’ ต่างกัน เหอกวงได้เพียงพูดถึงการตระหนักของตนเองสักหน่อย เท่าที่เหอกวงเห็น ทางสวรรค์เดิมก็ไม่อยู่ที่ยุติธรรม หากแต่อยู่ที่สมดุล”


 


 


“สมดุล?” นักพรตจื่ดซีและผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองถามขึ้นพร้อมกัน


 


 


กู้หลีพยักหน้าเบาๆ “ตะวันตกเฉียงเหนือฟ้าไม่พอ ตะวันออกเฉียงใต้ดินไม่เต็ม ฟ้าดินยังมีบกพร่อง สรรพสิ่งแรกเริ่ม จะมีความยุติธรรมที่แท้จริงได้อย่างไร สิ่งที่ทางสวรรค์ต้องการ เป็นเพียงความสมดุลเท่านั้น แน่นอน ความสมดุลนี้หาใช่ความสมดุลเพียงชั่วครู่ชั่วยามไม่ หาใช่ความยุติธรรมของหนึ่งสำนักหนึ่งตระกูลไม่ หากแต่เป็นความสมดุลนับหมื่นปี ความสมดุลแห่งใต้หล้าสี่มิติแปดทิศ”


 


 


นักพรตจื่อซีฟังตาไม่กะพริบ ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองพยักหน้าอย่างใช้ความคิด


 


 


กู้หลียิ้มละไมว่า “นี่เป็นเพียงแค่คำพูดของเหอกวงคนเดียวเท่านั้น ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่สามฟังแล้วก็ให้แล้วกันไปเถอะ”


 


 


นักพรตจื่อซีกลับถามต่อว่า “เช่นนั้นศิษย์น้องเข้าใจทางที่ยิ่งใหญ่ไร้น้ำใจว่าเช่นไรนะ ผู้บำเพ็ญเพียรเน้นบำเพ็ญใจบำเพ็ญนิสัย ใจสะอาดลดกิเลส ทว่าไยจากที่ข้าเห็น ความต้องการความปรารถนาของผู้บำเพ็ญเพียร จะรุนแรงยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก ต่อให้เป็นอาจารย์และท่านอาจารย์ลุงอาจารย์อาทั้งหลาย ก็คงไม่ได้ตัดขาดเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนากระมัง”


 


 


เหอกวงกวาดสายตาใส่นักพรตจื่อซีปราดหนึ่ง “อันว่าทางที่ยิ่งใหญ่ไร้น้ำใจ ไม่สู้บอกว่าไท่ซ่างลืมรัก ลืมรักคือเงียบสงบไม่หวั่นไหว คือผู้ลืมเลือน” พูดถึงตรงนี้เบาเสียงลง “มีรักไม่ถูกรักนำ ไม่ถูกรักกักขัง สามารถทำถึงขั้นใจกว้างอยู่อย่างอิสระถึงเป็นสิ่งที่รุ่นของเราปรารถนากระมัง”


 


 


เจ็ดความรู้สึกหกปรารถนาเดิมทีก็มิอาจเลี่ยงได้อยู่แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรบำเพ็ญใจบำเพ็ญนิสัยมิใช่เพื่อตัดขาดเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนา หากแต่ควบคุมเจ็ดความรู้สึกหกปรารถนาได้ตามใจ ไม่ให้เจ็ดความรู้สึกหกปรารถนามัวเมาจิตใจ


 


 


ก็เปรียบเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรเพื่ออายุยืนยาวแล้วพยายามทำทุกอย่างแม้จะมีข้อบกพร่องบ้างทว่ายังให้อภัยได้ ทว่าหากไม่เลือกวิธีการไม่มีขีดจำกัด เช่นนั้นก็คือกลับถูกความปรารถนาควบคุม จะต้องได้รับโทษทัณฑ์จากทางสวรรค์


 


 


นักพรตจื่อซียิ้มว่า “ศิษย์น้องเหอกวงช่างมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่งนัก ไม่ทราบศิษย์น้องทำได้หรือยัง?”


 


 


กู้หลียิ้มอย่างไร้เสียง ในฐานะศิษย์คนแรกของหลิวซางเจินจวิน ถกเรื่องทางสวรรค์ก็ช่างเถอะ เรื่องลืมความรักไยตนต้องพูดมากด้วย?


 


 


“เหอกวงละอายใจนัก” กู้หลีเอ่ยเสียงเบา สีหน้ากลับไม่สะทกสะท้าน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองอดเหลือบมองนักพรตจื่อซีปราดหนึ่งไม่ได้ แอบว่าศิษย์พี่ใหญ่วันนี้ถูกมารครอบงำจิตใจแล้วหรือไร อยู่ดีๆ ก็ลากตนมานั่งอยู่ที่ศิษย์น้องเล็กนี่พูดเรื่องพวกนี้ ไม่ยอมไปเสียที


 


 


นักพรตจื่อซีถลึงตาใส่เขาอีกปราดหนึ่ง หันหน้าลากกู้หลีถกขึ้นมา


 


 


จนกระทั่งอาทิตย์ตกดิน นักพรตจื่อซีถึงลุกขึ้นยืนอย่างได้ใจ ยิ้มว่า “วันนี้ถกเต๋ากับศิษย์น้องเหอกวง ทำให้ข้าได้ประโยชน์ไม่น้อย เวลาสายมากแล้ว ข้าและศิษย์น้องสามก็ขออำลาแล้ว”


 


 


กู้หลีลุกขึ้นเอียงตัวแผ่วเบา “ศิษย์พี่ใหญ่ศิษย์พี่สามค่อยๆ เดิน”


 


 


นักพรตจื่อซีเท้าเหยียบดอกบัวบินไปทางป่าไผ่ ยามที่กำลังจะออกจากป่าจู่ๆ ก็หันหน้ามา “ศิษย์น้องเหอกวง พรุ่งนี้ข้าจะมาอีกนะ”


 


 


กู้หลีที่ยิ้มอย่างนิ่งเรียบมาตลอด ในที่สุดก็สีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังระฆังเงินของนักพรตจื่อซีดังมาจากทางด้านป่าไผ่


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ หมิงจ้าวของตัวแล้ว” สองคนออกจากหุบเขารองของกู้หลี ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเหลืองกอบมือ


 


 


นักพรตจื่อซีเม้มปากยิ้ม “ก็ได้ ศิษย์น้องสาม อย่าลืมพรุ่งนี้ไปที่ศิษย์น้องเล็กนั่นพร้อมข้า”


 


 


นักพรตหมิงจ้าวสะดุดกึก หน้าถอดสีว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ยัง…ยังจะไปอีกหรือ?”


 


 


นักพรตจื่อซีเหล่มองมา “เป็นอันใด เจ้าไม่เต็มใจไปเป็นเพื่อนข้าหรือ?”


 


 


เสียงนั้นแม้ไพเราะไม่มีใครเทียม เข้าไปในหูนักพรตหมิงจ้าวกลับหนาวจับใจ รีบว่า “หมิงจ้าวจะมีเหตุไม่เต็มใจที่ไหนกัน เพียงแต่ เพียงแต่ศิษย์น้องเล็กช่วงนี้อารมณ์เกรงว่าจะไม่ค่อยดีกระมัง พวกเรารบกวนหลายครั้ง จะไม่ค่อยเหมาะสมใช่หรือไม่?”


 


 


ในที่สุดนักพรตจื่อซีก็อดเหลือกตาไม่ได้ “ก็เพราะเช่นนี้ พวกเราถึงยิ่งต้องไปนะสิ”


 


 


“หา?” นักพรตหมิงจ้าวเหลอหลา


 


 


นักพรตจื่อซีเอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้าลืมเรื่องที่เมื่อไม่นานนี้ศิษย์น้องเล็กไปท้าประลองนิกายเหอฮวนด้วยความโกรธเพราะศิษย์รักของเขานั่นแล้วหรือ บัดนี้นางหนูน้อยไม่รู้จักตายไม่กี่คนที่เชิงเขานั่นมาเอะอะโวยวายทุกวัน ข้ากลัวว่าเขาทนไม่ไหวขึ้นมาถือกระบี่ไปฆ่านางหนูไม่กี่คนนั่นเสีย เช่นนั้นพรรคเหยากวงเราก็ไม่มีหน้าพบผู้คนแล้ว”


 


 


นักพรตหมิงจ้าวอ้าปากกว้าง “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกกระมัง ศิษย์น้องเล็กปกติสุขุมใจเย็น ภูเขาถล่มตรงหน้าก็หน้าไม่เปลี่ยนสีฝึกฝนได้เข้าขั้นกว่าพวกเราอีก”


 


 


นักพรตจื่อซีเหลือกตา แอบพึมพำคนเดียวว่า สุขุมใจเย็นก็ต้องดูว่ากับใครแล้ว กับเจ้าคนเขาย่อมต้องสุขุมใจเย็นอยู่แล้ว ปากกลับไม่อาจพูดตรงๆ ได้ “ศิษย์หลานชิงเฉินเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของศิษย์น้องเล็ก เขาเห็นความสำคัญก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน เอาเป็นว่าในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์คนโตแห่งเขาชิงมู่ต้องป้องกันไม่ให้ศิษย์น้องเล็กทำเหลวไหล มิเช่นนั้นหากนางหนูน้อยไม่กี่คนของนิกายเหอฮวนถูกเขาจัดการจริง พรรคเหยากวงจะกลายเป็นเรื่องตลกในใต้หล้า เขาชิงมู่เราก็จะยิ่งเป็นเรื่องตลกในเรื่องตลก”


 


 


นักพรตหมิงจ้าวหน้าถอดสี พยักหน้าติดๆ กันว่า “ศิษย์พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง อ้อ ไม่สู้หมิงจ้าวนี่ก็กลับไปชวนศิษย์น้องเล็กจุดเทียนคุยทั้งคืนกันสักหน่อย?”


 


 


นักพรตจื่อซีเกือบพลาดตกจากดอกบัว โบกมืออย่างหมดแรงว่า “ไม่ต้องแล้ว ศิษย์น้องสาม พรุ่งนี้รอข้าเรียกเจ้าเถอะ”


 


 


หน้าเรือนไม้ไผ่ กู้หลียังคงนั่งอยู่ตรงนั้น กลับล้วงสุราออกมาขวดหนึ่งรินเองดื่มเองขึ้นมา


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้าส่งสายตาให้อินทรีวิญญาณหยกหิมะและอีกาไฟปราดหนึ่ง แล้วอสูรวิญญาณสามตัวก็ล้อมเข้ามาพร้อมกัน


 


 


“เป็นอันใดหรือ ต้าฮวา?” กู้หลียื่นมือลูบหัวเสือ


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้าหรี่ตาอย่างเพลิดเพลิน ถึงเอ่ยว่า “เจ้านาย ท่านดื่มสุราคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ให้พวกเราเป็นดื่มเป็นเพื่อนท่านสิ”


 


 


“ใช่ ใช่ แว้ดๆ” อีกาไฟพยักหน้าติดๆ กันอย่างตื่นเต้น ในใจมันเสียใจภายหลังนับครั้งไม่ถ้วนว่ายามนั้นควรจะอยู่ในถุงอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉินแต่โดยดี เช่นนั้นก็สามารถตามนางไปโถงลงทัณฑ์พร้อมนางแล้ว


 


 


แค่กๆ เจ้านายมีเคราะห์อสูรวิญญาณก็ควรร่วมต้านไงล่ะ ว่างๆ ก็ถือโอกาสดื่มสุรากินผลไม้ทิพย์อะไรนิดหน่อยเป็นเพื่อนด้วย อย่างไรก็ดีกว่าหลายเดือนมานี้ในปากต้องไร้รสชาติ


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้ายื่นอุ้งเท้าตบอีกาไฟกระเด็นไป “หลบไป ดื่มสุราก็ไม่มีส่วนของเจ้า ใครไม่รู้ว่าเจ้าขวดเดียวจอด”


 


 


อีกาไฟติดที่พลานุภาพของอสูรวิญญาณชั้นห้าไม่กล้าคัดค้าน จึงใช้ปีกปิดหน้าอย่างน้อยใจ


 


 


กู้หลีกลับอารมณ์ดี หยิบสุราทิพย์ออกมาสามขวดแบ่งให้อสูรวิญญาณสามตัว


 


 


อีกาไฟกอบขวดสุราดื่มอย่างบ้าคลั่งมื้อหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างดีใจออกนอกหน้า “แว้ดๆ นักพรตเป็นคนดีที่หนึ่งเลย มิน่ายามที่เจ้านายเดินทางฝึกตนอยู่ข้างนอก กลับคิดถึงนักพรตอยู่ตลอดเวลาเลยนะ”


 


 


มือที่ถือขวดสุราของกู้หลีแข็งทื่อทันที


 


 


อีกาไฟกลับพูดเองเออเองว่า “มีคุณชายหกคนหนึ่งมอบมุกจื่อหวาสงบจิตที่สลักคาถาลับคู่หนึ่งให้เจ้านาย คนเขาอยากขอเม็ดหนึ่ง เจ้านายก็บอกว่าเม็ดหนึ่งในนั้นจะมอบให้นักพรตนะ ยังถักเชือกเขียวร้อยไว้ด้วยตัวเองอีก แตะก็ไม่ให้ข้าแตะ ช่างใจแคบจริงๆ เลย”


 


 


กู้หลีไม่ขยับเขยื้อน สีหน้ายิ่งสงบขึ้นอีก


 


 


อีกาไฟใช้ปีกคลำปากสะอึกทีหนึ่งว่า “ทว่าเจ้านายแปลกจังเลยนะ ยามอยู่ข้างนอกมักพูดว่าอยากกลับมา ทว่าหลังจากกลับมาข้าเห็นนางร้องไห้ครั้งหนึ่งนะ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป ยังร้องเพลงที่ประหลาดมาก เนื้อร้องอะไรนะ ใช่แล้ว!”


 


 


พูดพลางอีกาไฟบีบเสียงเล็กร้องว่า


 


 


“ปิดประตู จันทร์เย็นกลับถิ่นเก่า


 


 


เพ่งมองไป หญ้าเ**่ยวเฉากลางหมอกควัน


 


 


หมอกควันเปลวไฟหนึ่งอึก ดื่มไม่สิ้น ร้อนรุ่มในคอความทรงจำช่วงใด


 


 



 


 


มองหิมะหมื่นลี้ ซ่อนชุดเขียว


 


 


คนละฟากฟ้า ไม่หวังการพบเจอ


 


 


สาดสุราเซ่นไหว้ เมาถามฟ้าดิน


 


 


…”


 


 


ในที่สุดกู้หลีก็หน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นจากไปโดยไม่พูดอะไร


 


 


เสียงปิดประตูไม้ไผ่ทำให้อสูรวิญญาณสามตัวชะงักงัน อสูรเสือพายุทะลุฟ้าหน้าบึ้งเอ่ยอย่างโมโหว่า “ขวดเดียวจอด เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”


 


 


อีกาไฟลุกขึ้นมาเดินสองก้าว สีหน้าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรนี่นา เอื้อก~ข้า…ข้าเกรงว่าเมาแล้ว…” เพิ่งสิ้นเสียงก็หัวทิ่มลงบนโต๊ะ ปีกยังกอดขวดสุราไว้แน่น


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้าโมโหไม่มีที่ระบาย โมโหจนหนวดกระดิก หันหน้ามองไปที่อินทรีวิญญาณหยกหิมะ “เสี่ยวอวี้ เจ้าเอาแต่เหม่อเสียทุกครั้งไป ไม่พูดอะไรสักแอะ!”


 


 


อินทรีวิญญาณหยกหิมะอ้าปาก จู่ๆ ก็อาเจียนออกมา


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้าตกใจแทบกระโดด แปลกใจว่า “เจ้า เจ้าก็ดื่มมากเช่นกันหรือ?”


 


 


อินทรีวิญญาณหยกหิมะส่ายหน้าอย่างอึดอัดว่า “เปล่า เมื่อครู่อีกานั่นร้องได้ห่วยเหลือเกิน ทนไม่ไหวจริงๆ”


 


 


อสูรเสือพายุทะลุฟ้า…


 


 


โถงลงทัณฑ์ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปด


 


 


มั่วชิงเฉินตามศิษย์ผู้ดูแลเดินถึงนอกถ้ำ มองท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาวพลางน้ำตานองหน้า ในที่สุดสวรรค์ก็ขี้เกียจทรมานตนแล้วใช่หรือไม่ ไม่คิดเลยว่าจะได้ออกมาก่อนกำหนด


 


 


นึกถึงตรงนี้ก็เหลือเยี่ยเทียนหยวนที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่ง ดูแลเขามาหลายวัน สำหรับตัวเองแล้วช่างเป็นการทรมานทั้งกายใจสิ้นดี บัดนี้ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเห็นแววตาของมั่วชิงเฉิน ดูเหมือนเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ภายใน นัยน์ตาฉายแววสลดแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์น้องมั่ว ขอบใจเจ้ามาก ข้าขอตัวก่อนแล้ว” พูดจบก็ก้าวขึ้นอาวุธเวทรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว


 


 


มั่วชิงเฉินมองลำแสงสีแดงสายนั้นแล้วเม้มปาก ในที่สุดก็หันหน้าไป ยิ้มดั่งบุปผาว่า “ศิษย์น้องสองท่านไม่ต้องส่งไกลแล้ว ข้าจะกลับเขาชิงมู่เดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินอัญเชิญอาวุธเวทเรือบินออกมา แล้วกระโดดขึ้นไปอย่างประเปรียว ศิษย์ผู้ดูแลสองคนประสานสายตากันปราดหนึ่ง คนหนึ่งในนั้นว่า “ศิษย์พี่ช้าก่อน”


 


 


“อืม ไม่ทราบศิษย์น้องมีเรื่องอันใด?” มั่วชิงเฉินอารมณ์ดีมาก ลักยิ้มข้างปากปรากฏอย่างชัดเจน


 


 


คนนั้นสูดลมเข้าอึดหนึ่งว่า “ศิษย์พี่ไปตำหนักหลักเขาโฮ่วเต๋อก่อนเถอะ ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนักกำลังรอท่านอยู่”


 


 


มั่วชิงเฉินยักคิ้ว จ้องสองคนนั้น


 


 


อีกคนหนึ่งรวบรวมความกล้าขึ้นว่า “ศิษย์พี่รีบไปเถอะ ใต้เชิงเขาสำนักยังมีผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนกลุ่มหนึ่งรอประลองกับท่านอยู่นะ ความหมายของท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก วันนี้เวลายังเช้าอยู่ อย่างไรเสียก็สามารถสู้กันได้สักสองยก”


 


 


มั่วชิงเฉิน… 

 

 


ตอนที่ 203 เศร้าสลดตามลำพัง

 

“อะไรนะ เทียนหยวน เจ้าจะออกไปฝึกตน?” บัดนี้ได้เข้าสู่เดือนสิบสองฤดูหนาวแล้ว เสวียนหั่วเจินจวินยังถือพัดกกขาดๆ อันหนึ่งอยู่ ดูแล้วหัวมังกุท้ายมังกร เขากลับไม่ใส่ใจเอาเสียเลย สองตาจ้องเยี่ยเทียนหยวนเขม็ง


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบว่า “ขอรับ ท่านเทียด”


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกขาดๆ ไม่หยุด ส่ายศีรษะว่า “ไม่ได้ เจ้าออกไปฝึกตนหลายปี กลับมายังไม่ครบปีดี เข้าโถงลงทัณฑ์สองครั้งอีก บัดนี้ไม่ใช่เวลาของการออกไปฝึกตนโดยสิ้นเชิง หากแต่ควรสงบใจบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนัก”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนหลุบตาลง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ท่านเทียด เทียนหยวนรู้สึกตัวว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาในการสงบใจบำเพ็ญเพียร อยากออกจากสำนักฝึกตนอีกสักครั้ง”


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินกวาดสายตามองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง “เทียนหยวน หลายปีมานี้แม้เวลาส่วนใหญ่เจ้าล้วนอยู่ข้างนอก กลับเป็นคนรู้เวล่ำเวลา บัดนี้ไยจิตใจว้าวุ่นเสียแล้ว…เอ๊ะ คงไม่ใช่ คงไม่ใช่เจ้ากับเด็กสาวคนนั้นในถ้ำน้ำแข็ง…”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนหน้าบึ้งทันที นี่เขาตาลายไปใช่หรือไม่ เหตุใดท่านเทียดยามที่เดาส่งเดชไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิ ยังตื่นเต้นรางๆ?


 


 


“ท่านเทียดคิดมากไปแล้ว เทียนหยวนตัดสินใจออกไปฝึกตน ไม่เกี่ยวอะไรกับศิษย์น้องมั่วแม้แต่น้อย” บนหน้าเยี่ยเทียนหยวนไม่มีเกลียวคลื่นแม้แต่น้อย ในใจกลับมีความระทมเอ่อขึ้นสายหนึ่ง


 


 


ในเมื่อนางไม่อยากเห็นตนเองถึงเพียงนั้น เช่นนั้นก็ไม่ต้องพบกันตลอดไปก็แล้วกัน ขอเพียงในใจนางพอใจ


 


 


“เทียนหยวน เช่นนั้นเจ้าไปฝึกตนครั้งนี้ กะจะกลับมาเมื่อไร?” เสวียนหั่วเจินจวินเข้าใจนิสัยของทายาทของตนคนนี้ เมื่อใดที่เขาตัดสินใจแล้วก็ยากจะเปลี่ยนแปลง นี่ นี่มันดื้อรั้นชัดๆ นี่นา ก็ไม่รู้ว่าเหมือนใคร!


 


 


เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากว่า “การฝึกตนเป็นเรื่องตามอารมณ์ เทียนหยวนยากจะคาดเดา หรือว่ารอหลังก่อแก่นปราณ…”


 


 


ยังพูดไม่จบ ก็ถูกเสวียนหั่วเจินจวินขัดขึ้น “เจ้าเด็กบ้า หากเจ้ากล้าก่อแก่นปราณข้างนอก ข้าจะหักขาของเจ้าให้ได้!”


 


 


“ท่านเทียด…” เยี่ยเทียนหยวนหน้าถอดสี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดมิใช่ควรสำรวมตนบ่มนิสัยหรอกหรือ เหตุใดเขากลับมาเจอท่านเทียดเช่นนี้เข้าล่ะ


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินจู่ๆ ก็ส่ายศีรษะเงาวับเขยิบเข้ามา ขยิบตาว่า “เทียนหยวน ครั้งนี้หากเจ้าคิดจะฝึกตนข้างนอกเป็นเวลานาน เทียดก็ไม่รั้งเจ้า ทว่าก็ได้แต่กำหนดเรื่องแต่งงานของเจ้าให้เสร็จสิ้นก่อน อืม ทางเขารั่วสุ่ยนั่นเกรงว่าไม่เต็มใจให้เราเข้าไปแล้ว เขาต้วนจินและเขาโฮ่วเต๋อก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรที่โดดเด่นอะไร จิ๊ๆ เทียนหยวนเอ๋ยข้ารู้สึกว่าเด็กสาวที่ขังอยู่ด้วยกันกับเจ้าในถ้ำน้ำแข็งเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดนะ”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนใจเต้นตึกตัก สีหน้าเย็นชาว่า “ท่านเทียด เทียนหยวนคิดเพียงไล่ตามทางสวรรค์ ไม่อยากให้เรื่องอื่นมาทำให้ว่อกแว่ก ขอท่านเทียดเห็นใจด้วย”


 


 


ไอ้เด็กบ้าปากไม่ตรงกับใจคนนี้! เสวียนหั่วเจินจวินบ่นอยู่ในใจ ปากกลับว่า “ไม่ให้ข้าไปสู่ขอก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องมาก่อแก่นปราณในสำนัก จำได้หรือไม่?”


 


 


เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าอย่างจำใจ หนีออกจากที่พำนักของเสวียนหั่วเจินจวินเหมือนหลุดพ้น


 


 


เสวียนหั่วเจินจวินจ้องแผ่นหลังที่หนีหัวซุกหัวซุนของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ถอนใจเสียงหนึ่ง พึมพำว่า “เจ้าเด็กนี่ เกรงว่าเคราะห์รักจะมาถึงแล้ว เช่นนี้ก็ดี เต็มเกินไปต้องล้น คนคนเดียวครอบครองเรื่องดีๆ ในใต้หล้าจนหมด สุดท้ายจะเป็นความพินาศ…”


 


 


มั่วชิงเฉินภายใต้สถานการณ์มีศิษย์ผู้ดูแลสองคนเป็นเพื่อนแท้จริงคือคอยสังเกตการณ์ ก็มาถึงตำหนักหลักเขาโฮ่วเต๋ออย่างรวดเร็ว


 


 


กระโดดลงจากอาวุธเวทเหินหาว มั่วชิงเฉินมองป้ายชื่อแวววับบนตำหนักหลักแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง ถึงเดินเข้าไป


 


 


ที่นั่งประธานกลางตำหนักมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่หน้าตาธรรมดา ไว้หนวดสั้นคนหนึ่งนั่งอยู่ คือเจ้าสำนักเหยากวงนักพรตฟางเหยานั่นเอง


 


 


“ศิษย์มั่วชิงเฉินกราบคารวะท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินคารวะอย่างถูกต้องตามระเบียบครั้งหนึ่ง


 


 


ศิษย์ระดับสร้างรากฐานธรรมดาเรียกนักพรตฟางเหยาว่าอาจารย์อาเจ้าสำนัก ทว่าศิษย์ก้นกุฏิเช่นพวกเขา กลับเรียกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนอื่นตามตบะของอาจารย์อย่างเคร่งครัด


 


 


แม้นักพรตเหอกวงและนักพรตฟางเหยาต่างอยู่ระดับก่อกำเนิดระยะกลางเช่นกัน ทว่าระยะเวลาที่นักพรตฟางเหยาหยุดอยู่ที่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลาง เกรงว่าจะมากกว่าอายุของนักพรตเหอกวงเสียอีก มั่วชิงเฉินย่อมเรียกว่าอาจารย์ลุงเป็นธรรมดา


 


 


นักพรตฟางเหยาหัวเราะคิกคักว่า “ศิษย์หลานมั่วไม่ต้องมากพิธี อยู่ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดมาหลายเดือน ข้าดูแล้วศิษย์หลานสีหน้ายังไม่เลว ดูแล้วรากฐานศิษย์หลานมั่วมั่นคงมากทีเดียว”


 


 


สีหน้าไม่เลว? มั่วชิงเฉินด่ามารดาอยู่ในใจ ปากกลับเอ่ยอย่างว่านอนสอนง่ายว่า “ขอบคุณอาจารย์ลุงเจ้าสำนักที่ชมเจ้าค่ะ”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินถ่อมตนมีมารยาท นักพรตฟางเหยาค่อนข้างยากที่จะโยงเด็กสาวตรงหน้ากับนางหนูที่มือถือก้อนอิฐสู้กันดุเดือดกับนางหนูหรวนในโถงดอกไม้เข้าด้วยกัน สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนว่า “ศิษย์หลานมั่วเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าไยถึงได้ออกมาจากโถงลงทัณฑ์ก่อนกำหนด?”


 


 


มั่วชิงเฉินก้มหน้าเล็กน้อย เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ศิษย์ไม่รู้เจ้าค่ะ คิดว่าคงเพราะท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งสงสาร อาจารย์ลุงเจ้าสำนักกรุณาเจ้าค่ะ”


 


 


นักพรตฟางเหยากระตุกมุมปาก ยิ้มแห้งๆ สองเสียงว่า “ศิษย์หลานมั่วเคยได้ยิน ‘เยือนสำนัก’ มาก่อนหรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายหน้าอย่างงงงัน “ศิษย์ไม่ทราบเจ้าค่ะ”


 


 


นักพรตฟางเหยาจึงอธิบายว่าอะไรคือเยือนสำนัก กฎเกณฑ์ดั้งเดิมและความสำคัญของการเยือนสำนักรอบหนึ่ง สุดท้ายเปลี่ยนหัวข้อว่า “ศิษย์หลานมั่วเอ๋ย บัดนี้ใต้เชิงเขาศิษย์นิกายเหอฮวนต่างกำลังรอเจ้าอยู่นะ เจ้าเห็นว่า…”


 


 


มั่วชิงเฉินมองฟ้าอย่างจนด้วยคำพูด เรื่องมาถึงขั้นนี้ยังสามารถปฏิเสธได้อีกหรือ เหตุใดไม่ว่าใครทำเรื่องอะไรไว้ สุดท้ายความยุ่งยากล้วนต้องมาตกที่ตนนะ?


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์ย่อมรับมือสุดความสามารถเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าสงบ


 


 


“แค่กๆ ในสารท้ารบสีแดงระบุไว้ว่า พวกนางจะส่งศิษย์เจ็ดคนลงประลอง ตามหลักแล้วพวกเราทางนี้นอกจากศิษย์หลานชิงเฉินที่นอกจากจำเป็นต้องรับมือสามคนติดกันแล้ว ยังสามารถส่งศิษย์สี่คนช่วยรบ ไม่รู้ศิษย์หลานมั่วมีตัวเลือกเสนอหรือไม่?” นักพรตฟางเหยาถามขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินสายตาเป็นประกาย ถามว่า “บังอาจถามอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ศิษย์นิกายเหอฮวนที่มาท้าประลอง ล้วนมีตบะอะไรบ้างเจ้าคะ?”


 


 


นักพรตฟางเหยาว่า “ย่อมต้องเป็นระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั้งหมดอยู่แล้ว ศิษย์เพียงคนเดียวที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย คือผู้นำทีม ตามกฎเกณฑ์แล้วไม่เข้าร่วมการรบ”


 


 


ระดับสร้างรากฐานระยะกลางเช่นนั้นหรือ? มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างชั่วร้าย “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นศิษย์จะออกไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”


 


 


“หรือว่าศิษย์หลานมั่วจะออกไปโดยลำพัง?” นักพรตฟางเหยาตะลึง


 


 


ศิษย์น้องเหอกวงกวาดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับก่อแก่นปราณนิกายเหอฮวนราบเรียบนั้นเขาไม่แปลกใจเลย ศิษย์น้องเหอกวงพรสวรรค์เป็นเลิศ ยามที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นพลังความสามารถในการสู้จริงก็อยู่ระดับแนวหน้าในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณหลายสิบคนในพรรคเหยากวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อเลื่อนขั้นระยะกลาง


 


 


ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนแม้ไม่ถนัดด้านพลังรบ การมาครั้งนี้ต้องเตรียมตัวมาเต็มที่แน่นอน ศิษย์หลานมั่วเช่นนี้ออกจะชะล่าใจเกินไปแล้วกระมัง


 


 


นักพรตฟางเหยากำลังครุ่นคิดอยู่ มั่วชิงเฉินพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป เดินถึงหน้าประตูจู่ๆ ก็หยุดแล้วหันหน้ามา


 


 


นักพรตฟางเหยารีบว่า “ศิษย์หลานมั่วต้องการศิษย์คนอื่นไปเป็นเพื่อนใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินส่ายหน้า เอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก ‘เยือนสำนัก’ นี้ ตีคนตายได้หรือไม่เจ้าคะ?”


 


 


นักพรตฟางเหยาชะงัก ครึ่งค่อนวันถึงว่า “เน้นความปรองดองเป็นหลัก…”


 


 


มั่วชิงเฉินแย้มหนึ่งยิ้ม “ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


มองทิศทางที่มั่วชิงเฉินจากไป นักพรตฟางเหยาลุงขึ้นมาเดินได้สองก้าว สุดท้ายไม่ค่อยวางใจ จึงเรียกศิษย์เข้ามาสั่งการสองสามประโยค


 


 


“เอาล่ะ ไปทำตามที่ข้าว่าเถอะ” นักพรตฟางเหยาเอ่ยนิ่งเรียบ เห็นศิษย์ผู้ดูแลนั่นไม่ขยับเขยื้อน ยักคิ้วว่า “อืม ไยยังไม่ลงไปอีก?”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลยกตามองนักพรตฟางเหยาปราดหนึ่ง ลังเลชั่วครู่ ถึงกัดฟันว่า “ท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ศิษย์ยังมีเรื่องหนึ่งจะรายงาน…”


 


 


“พูด!”


 


 


“เอ่อ…” ศิษย์ผู้ดูแลลังเลแล้วลังเลอีก ถึงรวบรวมความกล้าว่า “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดห้องหมายเลขสามถูกระเบิดแล้ว…”


 


 


“อะไรนะ!” นักพรตฟางเหยาชะงัก สีหน้าโกรธา “ตกลงเรื่องอะไรกันแน่ ผู้ใดบังอาจทำเหลวไหลในโถงลงทัณฑ์?”


 


 


ศิษย์ผู้ดูแลเหล่เจ้าสำนักที่สีหน้าโกรธเกรี้ยวปราดหนึ่ง แข็งใจว่า “ห้องหมายเลขสาม…เป็นห้องศิลาของศิษย์พี่มั่ว ตามที่พวกศิษย์สองสามคนตรวจสอบ คิดว่าน่าจะเป็นศิษย์พี่มั่วใช้ยันต์ที่มีอานุภาพรุนแรงอะไรบางอย่าง…”


 


 


นักพรตฟางเหยาโกรธจนมือสั่น เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “ไปเชิญนักพรตเหอกวงมาให้ข้า ไม่ ข้าไปหาเขาเองดีกว่า!”


 


 


พูดจบเหยียบขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาว ตรงไปเขาชิงมู่


 


 


มั่วชิงเฉินย่อมไม่รู้ว่าอาจารย์ลุงเจ้าสำนักผู้นั้นบัดนี้ไปฟ้องอาจารย์ตนแล้ว นางเดินตามทางลงเขา ก็มีสายตาศิษย์เหยากวงนับไม่ถ้วนกวาดมา


 


 


โบราณว่าไว้คนกลัวโด่งดังหมูกลัวอ้วนท้วน ตัวมั่วชิงเฉินเองไม่ชอบถูกผู้คนสนใจ ทว่ากลับต้องเป็นจุดเด่นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนนางเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่เขตแดนที่สูงขึ้นหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกแล้ว ดังนั้นจึงหน้าไม่เปลี่ยนสี เดินด้วยฝีเท้ามั่นคง


 


 


ยามนี้จู่ๆ นางก็เข้าใจศิษย์พี่เยี่ยขึ้นมาบ้างแล้วว่าไยมักทำหน้าเป็นภูเขาน้ำแข็งไร้ความรู้สึก ถูกสายตานับไม่ถ้วนกวาดผ่านเหมือนไฟฉายทั้งวัน ต่อให้ใครก็ไม่กล้ามีสีหน้าที่มากเกินความจำเป็นน่ะสิ


 


 


ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งดังมา “อ๊าก นั่นคืออาจารย์อามั่ว อาจารย์อามั่วออกมาแล้ว อาจารย์อามั่วจะไปจัดการนางมารพวกนั้นแล้ว!”


 


 


มั่วชิงเฉินเดินสะดุด นี่คือศิษย์หลานคนไหนน่ะ เป็นเสียงผู้ชายชัดๆ ไยถึงแหลมเล็กกว่าหญิงสาวเสียอีก


 


 


เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น บรรดาศิษย์พวกนั้นที่คิดเอาเองว่าทำตัวลับๆ ล่อๆ แล้วแท้จริงกลับขาดเพียงแปะสายตาไว้บนหน้ามั่วชิงเฉินแล้วในที่สุดก็ได้สติขึ้นมา อึกทึกครึกโครมขึ้นมา ล้วนตามมั่วชิงเฉินวิ่งไปที่เชิงเขา


 


 


ใต้เชิงเขา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนด่าเสร็จ ค่อยๆ นั่งลงมาดื่มชาชุ่มคอ ทันใดนั้นเห็นประตูสำนักพรรคเหยากวงเปิดออก ศิษย์เสื้อเขียวนับไม่ถ้วนกรูออกมาเหมือนสายน้ำ


 


 


“ศิษย์พี่!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนคนหนึ่งตกใจจนหน้าถอดสี กรีดร้องออกเสียงว่า “หรือว่าพวกเขาจะเล่นหมาหมู่?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ใส่ชุดสีรุ้งคนหนึ่งในนั้นแข็งใจทำใจเย็นว่า “ลนอะไร อย่าให้เสียกระบวนทัพ!” แม้พูดเช่นนี้ สีหน้าก็ไม่ดีนัก


 


 


ศิษย์ชุดเขียวกลุ่มนั้นหยุดลงที่เชิงเขา หันรีหันขวาง ในที่สุดก็มีคนเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์อามั่วล่ะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินเดินออกจากสำนักมองดูศิษย์ที่อัดอยู่ข้างหน้าจนดำทะมึนแล้วรู้สึกจำใจ คนกลุ่มนี้ช่างบ้าคลั่งเหลือเกิน แต่ละคนวิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก ถึงสุดท้ายกลับเบียดเจ้าของเรื่องไปไว้หลังสุดแล้ว


 


 


“หลีกทางหน่อย” มั่วชิงเฉินดึงศิษย์ข้างหน้า


 


 


ในศิษย์กลุ่มนี้ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานด้วย จะให้ตนบินผ่านเหนือศีรษะพวกเขาไปคงไม่ดีกระมัง


 


 


ศิษย์ข้างหน้าหันหน้าตะคอกอย่างรำคาญว่า “หลบอะไรเล่า อาจารย์อามั่วหายไปแล้ว…อ๊าก อาจารย์อามั่ว!”


 


 


มั่วชิงเฉินขมับเต้นตุ๊บ ถือว่านางโชคร้าย คนที่ดึงไว้ไม่คิดว่าจะเป็นศิษย์ที่กรีดร้องเมื่อครู่อีก


 


 


ที่โชคดีคือเมื่อศิษย์นั่นร้องเช่นนี้ปุ๊บ ศิษย์มากมายที่กำลังร้อนใจมองหามั่วชิงเฉินอยู่หันหน้าขวับมาพร้อมกัน ต่อจากนั้นศิษย์สองข้างต่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว โดยมีตำแหน่งที่นางยืนเป็นจุดศูนย์กลาง หลีกทางออกมาสายหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกอึดหนึ่ง แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าสงบ


 


 


ตรงข้ามเชิงเขา ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสิบกว่าคนยืนอยู่ ทุกคนมีตบะของระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั้งหมด มีเพียงคนเดียวในนั้นอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย


 


 


“เจ้าก็คือศิษย์ของนักพรตเหอกวง?” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งในนั้นใช้สายตาพินิจพิจารณามั่วชิงเฉิน ยกคางขึ้นถามอย่างจองหอง 

 

 


ตอนที่ 204 กระบี่ปะทะนิกายเหอฮวน

 

ตอนที่ 204 กระบี่ปะทะนิกายเหอฮวน


มั่วชิงเฉินเพิกเฉยต่อความจองหองของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถูกต้อง อาจารย์ข้าก็คือนักพรตเหอกวง”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งมองหน้ามั่วชิงเฉิน เอ่ยด้วยความหมายประหลาดว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงรูปร่างยั่วยวน กระโปรงยาวไม่พ้นเข่า เผยให้เห็นขาเรียวงามดั่งหยกคู่หนึ่งที่อยู่ข้างหลังหัวเราะว่า “ว้าย ข้ายังนึกว่าหญิงที่สามารถให้นักพรตเหอกวงที่เลื่องชื่อเห็นความสำคัญจะมีหน้าตาเช่นไร วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวันยังเทียบนางหนูน้อยที่ยกน้ำชาเทน้ำของนิกายเหอฮวนเราไม่ติดเลย หึๆๆ สายตาของพรรคเหยากวงช่างพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ…” พูดพลางแววตาเป็นประกาย กวาดสายตายั่วยวนผ่านศิษย์เหยากวงทั้งกลุ่มรอบหนึ่ง


 


 


“ถุย นางมาร เห็นเหยากวงเราเหมือนนิกายเหอฮวนหรืออย่างไร หน้าตาพอดูได้หน่อยก็สามารถเข้ามาได้แล้วน่ะ?”


 


 


“ใช่เลย วันๆ เอาแต่ดัดจริตดีดดิ้น ตกลงบำเพ็ญเพียรหรือขายยิ้มกันแน่น่ะ!” คนที่พูดคำพูดนี้เห็นชัดว่าเคยอยู่ในโลกฆราวาสมาก่อน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพรรคเหยากวงอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชายก้มหน้าอย่างเจี๋ยมเจี้ยมอายที่จะออกเสียง อาจารย์อามั่วยืนอยู่ตรงข้ามคนเขา แตกต่างมากไปสักหน่อยจริงๆ…


 


 


“ซื้ด…” ผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่งสูดลมเย็นเข้าอึดหนึ่ง กัดฟันเอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงข้างๆ ว่า “ศิษย์น้อง เจ้าหยิกข้าด้วยเหตุใด?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่อยู่ข้างๆ ฮึเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “เห็นนางมารกลุ่มนั้น ตามองจนไม่กะพริบแล้ว คอยดูข้าต่อไปยังจะสนใจเจ้าหรือไม่!”


 


 


มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากขึ้น ตาเพียงแต่มองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งว่า “ในเมื่อมา ‘เยือนสำนัก’ จะพูดไร้สาระมากมายไปไย ตกลงคนไหนจะเข้ามาก่อน?”


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกมา ฝูงชนก็สงบลงทันที


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งหัวเราะเย้ยว่า “พูดจาผยองนัก สหายเต๋ามั่ว พวกเรารอเจ้าอยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือนกว่า วันนี้จะได้ประจักษ์ท่วงท่าอันสง่างามเสียทีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า นอกจากเจ้า พรรคของเจ้ายังส่งใครออกศึกอีก?”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “หากน้องสู้ไม่ได้ ย่อมมีศิษย์พี่คนอื่นออกหน้า สหายเต๋าทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง เชิญเถอะ”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเบนสายตาไปที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงคนหนึ่ง “ศิษย์น้องหวัง ก็ให้เจ้าพบกับศิษย์ผู้เก่งกาจของนักพรตเหอกวงก่อนแล้วกัน”


 


 


ครั้งนี้นางพาผู้บำเพ็ญเพียรหญิงมาสิบกว่าคน แทบจะเป็นศิษย์ระดับสร้างรากฐานที่พลังความสามารถเก่งกาจที่สุดชุดหนึ่งของนิกายเหอฮวน แต่ละคนล้วนฝีมือไม่ธรรมดา ต่างมีสิ่งที่ถนัด


 


 


ศิษย์น้องหวังผู้นี้แม้ไม่มีส่วนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ กลับชนะที่ทำอะไรเรียบร้อย ไม่ว่าอาวุธเวทสมบัติวิเศษอะไรก็สามารถใช้ได้หมด จุดเด่นของนางก็คือความสมดุล ออกศึกเป็นคนแรก จะได้ลองตื้นลึกหนาบางของสหายเต๋ามั่วผู้นี้พอดี


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงออกมาจากฝูงชน ยิ้มว่า “ศิษย์พี่วางใจ คนที่หลบอยู่ในสำนักหนึ่งเดือนกว่าถึงกล้าออกมา น้องยังไม่กลัวจริงๆ”


 


 


‘เยือนสำนัก’ ผลที่อยากได้ก็คือให้ผู้คนมุงดู หนึ่งคือเพื่อความยุติธรรม สองคือเพื่อกู้หน้าสำนักคืน จะได้ยืมปากผู้คนลือเรื่องนี้ออกไป ดังนั้นสถานที่ประลองจึงจัดอยู่ที่ที่ราบแห่งหนึ่งใต้เชิงเขานี่โดยตรง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงและมั่วชิงเฉินเดินเข้าไปพร้อมกัน


 


 


ศิษย์สำนักอื่นและผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่ตั้งวงพนันไว้ข้างๆ เชิงเขาสีหน้าตื่นเต้น ลังเลอยู่ว่าจะแทงฝ่ายไหนดี


 


 


หากมีคนเดินเข้าไปใกล้ก็จะเห็นว่าที่สามารถแทงได้มีแปดที่ด้วยกัน แบ่งเป็นตั้งแต่หนึ่งชนะศูนย์ถึงหนึ่งชนะเจ็ด อัตราส่วนการจ่ายต่างกันไป


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนแทงที่หนึ่งชนะสอง หนึ่งชนะสามนั่น ส่วนหนึ่งชนะศูนย์และหนึ่งชนะสี่คนที่แทงมีไม่กี่คน ที่ตรงหนึ่งชนะเจ็ดนั้นยิ่งไม่มีหินวิญญาณเลยแม้แต่ก้อนเดียว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชายหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งถือหินวิญญาณไว้ก้อนหนึ่ง ลังเลไปมาระหว่างหลายที่ หนึ่งชนะศูนย์เลือกไม่ได้แน่นอน ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ถูกท้าดวลเป็นศิษย์ของนักพรตระดับก่อแก่นปราณ คงไม่ถึงกับตีไม่ชนะสักคนหรอก เช่นนั้นตกลงเป็นหนึ่งชนะสองดีนะ หรือหนึ่งชนะสามดีนะ เฮ้อ คนที่แทงสองที่นี้ก็ช่างมากเหลือเกิน ต่อให้แทงถูกแล้วก็ได้หินวิญญาณไม่กี่ก้อน


 


 


พนันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีหรือไม่ แทงที่หนึ่งชนะสี่?


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชายมือจับหินวิญญาณเลื่อนไปทางนั้น แต่ก็ไม่กล้าวางลงเสียทีอีก จิ๊ๆ นี่เป็นหินวิญญาณก้อนหนึ่งเชียวนะ ปีหนึ่งตนยังหาไม่ถึงสี่ห้าก้อน นี่หากแทงผิดแล้วต้องเสียดายแย่เลย


 


 


คนข้างหลังเห็นผู้บำเพ็ญเพียรชายยึดที่ไว้ไม่แทงเสียที รีบร้อนขึ้นมาผลักเขาทีหนึ่ง “เจ้าเร็วหน่อยสิ ขืนลังเลอีกคนเขาก็ประลองกันเสร็จแล้ว เจ้ายังจะแทงอะไรอีก!”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรข้างหน้าที่หน้าตาซื่อๆ ใจจดจ่ออยู่กับการครุ่นคิด ถูกคนข้างหลังดันปุ๊บ ข้อมือสั่นปั๊บ หินวิญญาณก็หล่นลงไปแล้ว พอดีหล่นไปที่หนึ่งชนะเจ็ดนั่น


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าซีดทันที ทนยื่นมือเข้าไปไม่ได้ กลับถูกคนคนหนึ่งกดไว้ “สหายเต๋า ไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหน้าตาซื่อๆ ร้อนใจจนจะร้องไห้แล้ว “ข้า ข้ามือลื่น…”


 


 


มั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงยืนมั่น คารวะกันและกันหนึ่งครั้ง ในมือปรากฏกระบี่ชิงมู่ธรรมดาขึ้นเล่มหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงเห็นแล้วในตาฉายแววเย้ยหยัน ในมือปรากฏกระบี่บินเล่มหนึ่งขึ้นเช่นกัน กลับเป็นอาวุธเวทระดับสูง


 


 


ผู้มาเยือนคือแขก มั่วชิงเฉินมือถือกระบี่ชิงมู่ รออีกฝ่ายลงมือ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ชี้กระบี่บินในมือ ปล่อยลำแสงกระบี่ออกสามสายทันที


 


 


มั่วชิงเฉินตัดสินใจขัดเกลาเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ของตน จึงไม่ได้ร่ายคาถาใดๆ เห็นเพียงเมื่อกระบี่ชิงมู่สั่น บุปผาที่เกิดจากพลังวิญญาณหลายดอกก็บินออกไปทันที


 


 


ลำแสงกระบี่ปะทะกับบุปผา ต่างกลายเป็นแสงวิญญาณแผ่กระจายในไปอากาศ


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง พลิกข้อมือ ลำแสงกระบี่นับไม่ถ้วนประดุจคลื่นแสง กระจายไปทางมั่วชิงเฉินจากทุกมุม


 


 


มั่วชิงเฉินอมยิ้ม กระบี่ชิงมู่ในมือร่ายรำเหมือนเมฆาล่องลอยสายน้ำหลั่งไหล ที่ที่ร่ายผ่านลำแสงกระบี่สีเขียวร่วงหล่นติดๆ กัน ก่อเกิดเป็นโล่วิญญาณสีเขียวรอบตัวนาง ดูดกลืนคลื่นแสงที่จู่โจมมาจนสิ้น


 


 


นี่ก็คือขั้นที่สองของเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ โล่แห่งชิงมู่!


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงเห็นท่าไม่ดี กระบี่บินทะยานออกจากมือ แขวนอยู่กลางหาวส่องแสงวิญญาณเจิดจรัส ภาพนกสีเขียวบนด้ามกระบี่กลายเป็นของจริง กางกรงเล็บอันแหลมคมขันพลางโฉบมาที่มั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น กระบี่ชิงมู่วาดเส้นโค้งเป็นวงกลมกลางอากาศ แล้วก็เห็นบุปผานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในพริบตากลิ้งรวมเป็นก้อนกลมดอกไม้ จากนั้นตะโกนเสียงกังวาน “ไป!”


 


 


ก้อนกลมบุปผานั่นและนกสีเขียวปะทะกัน นกสีเขียวที่แปลงจากพลังวิญญาณเหมือนสิ่งมีชีวิตถูกชนจนหมุนไม่หยุด จากนั้นตกลงบนพื้น แตกกระจายออกเป็นแสงวิญญาณจุดๆ


 


 


ก้อนกลมบุปผากลับไม่ได้แตกออก บินไปทางผู้บำเพ็ญเพียรชุดแดงดั่งผีพุ่งไต้


 


 


“ไฟ!” ทางด้านนิกายเหอฮวนส่งเสียงเตือนมา


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงลนลานเล็กน้อยรีบเสกคาถาเตรียมตัวร่ายคาถาเปลวไฟระเบิด ทว่าคาถาเปลวไฟระเบิดเป็นคาถาระดับกลาง นางยังทำถึงขนาดปล่อยออกในพริบตาไม่ได้ คาถายังไม่สมบูรณ์ก้อนกลมบุปผานั่นก็บินมาหล่นลงเหนือศีรษะนางแล้ว


 


 


ในชั่วเวลาหนึ่งก้อนกลมบุปผากระจายออกตกลงเหมือนสายฝน ระหว่างที่กลีบบุปผาร่วงหล่นกลับเต็มไปด้วยอันตรายถึงชีวิต


 


 


ได้ยินเพียงเสียงโหยหวนลอยมาเสียงหนึ่ง ดูอีกทีผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงก็ถูกกลีบบุปผานับไม่ถ้วนแทงเข้าไปทั้งตัวแล้ว จากนั้นกลีบบุปผากลายเป็นแสงวิญญาณหายไป กลับทิ้งบาดแผลไว้ไม่นับ


 


 


เพราะกลีบบุปผาบางยิ่งนัก แม้กรีดเสื้อผ้าขาดกลับมองไม่เห็นผิวพรรณภายใน แต่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงกลับเจ็บจนกลิ้งไปทั่ว อย่าพูดถึงภาพพจน์เลย


 


 


ผู้คนรวมทั้งศิษย์พรรคเหยากวงต่างชะงักงัน ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่คิดว่าการสู้กันจะจบลงเร็วปานนี้ อีกทั้งยังเป็นการแพ้อย่างราบคาบเพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้ ต้องรู้ว่าพวกนางล้วนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางนะ


 


 


ทุกคนอดมองไปที่มั่วชิงเฉินพร้อมกันไม่ได้ กลับเห็นนางหน้าไม่เปลี่ยนสี ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น


 


 


“ซื้ด ทำลายดอกไม้อย่างอำมหิตนะนี่” ศิษย์ชุดเขียวคนหนึ่งอดพูดขึ้นไม่ได้


 


 


ศิษย์อีกคนหนึ่งเหลือบมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดแดงที่กลิ้งไปทั่วปราดหนึ่งอย่างทำใจไม่ได้ เดิมทีคนงามที่สดใสบัดนี้ร่างกายเต็มไปด้วยธุลีดิน ทุลักทุเลเหมือนไก่เปียกน้ำแล้วยังดันตกลงไปในหลุมโคลนอีก จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์อามั่วคงไม่ได้เอาคืนอยู่หรอกนะ…”


 


 


ศิษย์หญิงคนหนึ่งรีบคัดค้านว่า “เอาคืนอะไร อาจารย์อามั่วนี่คือสร้างชื่อเสียงให้สำนัก สร้างชื่อเสียงให้สำนักเข้าใจไหม?”


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งโบกมือหน้าถอดสี “รีบพาศิษย์น้องหวังลงไปรักษาอาการบาดเจ็บ” จากนั้นมองไปที่มั่วชิงเฉินด้วยสายตาเย็นชา “สหายเต๋ามั่วฝีมือดี ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ของนักพรตเหอกวงจริงๆ!”


 


 


มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “คนต่อไป”


 


 


น้ำเสียงสงบเย็นชาเช่นนั้นทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งโกรธมาก เบือนหน้าว่า “ศิษย์น้องจ้าว เจ้ามา!”


 


 


ในเมื่อเจ้าใช้เคล็ดกระบี่ธาตุไม้ เช่นนั้นก็ใช้คาถาธาตุทองรับมือเจ้า ที่ศิษย์น้องจ้าวถนัดก็คือคาถาธาตุทอง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ขึ้นมาใส่ชุดสีเขียว มือถือห่วงทองส่ายเบาๆ ก็เห็นอสูรยักษ์เขาเดียวนัยน์ตาเกรี้ยวกราดตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ในคลื่นพลังวิญญาณกลางอากาศ มันสาดส่องสายตาไปทั่วมองเห็นมั่วชิงเฉินที่อยู่ตรงข้ามแล้วเปล่งเสียงคำรามอันตื่นเต้นออกมา ยกเท้าวิ่งไปที่นาง


 


 


มั่วชิงเฉินร่ายเคล็ดกระบี่ กลีบบุปผานับไม่ถ้วนล่องลอยห่อหุ้มอสูรยักษ์เขาเดียวไว้ ทว่าเมื่อยามที่กลีบบุปผาหล่นไปบนตัวมัน กลับส่งเสียงติ๊งของโลหะกระทบกันขึ้น


 


 


อสูรยักษ์เขาเดียวสะบัดตัว กลีบบุปผาร่วงหล่นติดๆ กันแล้วสลายไป มันก้มหัวลง เขาเดียวสีทองแทงมาที่มั่วชิงเฉิน


 


 


“ว้าย!” ศิษย์เหยากวงไม่น้อยส่งเสียงร้องตกใจ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรหญิงส่วนหนึ่ง เห็นอสูรยักษ์เขาเดียวมองด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วชนมาที่มั่วชิงเฉินเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ ตกใจจนหน้าซีดทันที


 


 


มั่วชิงเฉินฮึเย็นเยียบเสียงหนึ่ง ในยามที่อสูรยักษ์เขาเดียวกำลังจะชนถูกตัวนางก็ขยับเท้า ร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง หายไปต่อหน้าอสูรยักษ์เขาเดียวทันที


 


 


มาถึงหลังอสูรยักษ์เขาเดียวกระบี่ไม้ในมือมั่วชิงเฉินเปล่งลำแสงกระบี่ พุ่งไปยังท้ายทอยอสูรยักษ์


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวร้อนรน รีบเคลื่อนพลังวิญญาณเร่งห่วงทอง อสูรยักษ์เขาเดียวนั่นแผ่ลำแสงออกรอบด้านทันที ต้านลำแสงกระบี่ที่ซัดมาให้หายไป


 


 


ทว่ายังไม่รอให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวโล่งอก ก็เห็นกระบี่ชิงมู่ในมือมั่วชิงเฉินขยับอีกแล้ว กลีบบุปผาที่รวมพลังวิญญาณไว้อย่างมากมายรวมตัวเป็นดาวกระจายห้าแฉกอันหนึ่งโดยไม่คาดคิด หมุนพุ่งตรงไปยังผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียว


 


 


ดาวกระจายชนเข้ากับห่วงทองบนข้อมือของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวอย่างแม่นยำ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวรู้สึกข้อมือชา ห่วงทองตกพื้นทันที


 


 


อสูรยักษ์เขาเดียวแตกออกในพริบตา หายไปในอากาศ


 


 


มั่วชิงเฉินก้มตัวเก็บห่วงทองขึ้นกวาดตามอง แล้วยิ้มว่า “ของนี่น่าสนใจทีเดียว เก็บไว้ให้ข้าศึกษาสักหน่อยเถอะ” พูดพลางเก็บขึ้นอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวบ้าคลั่งขึ้นมาทันที ห่วงทองนี้ ห่วงทองนี้เป็นของที่อาจารย์มอบให้โดยเฉพาะ หากทำหาย ตนยังจะมีหน้ากลับไปได้อย่างไร!


 


 


เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวถลาเข้ามาท่าทางเหมือนคลุ้มคลั่ง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หมดความอดทน พลิกมือดึงก้อนอิฐออกเล็งนางให้แม่นแล้วตบลงไปอย่างดุดัน จากนั้นไม่แม้แต่จะมองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวที่ถูกก้อนอิฐตบไปกองอยู่บนพื้น แล้วยิ้มละไมให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งว่า “คนต่อไป”


 


 


“เฮ ชนะแล้ว ชนะอีกแล้ว!” ศิษย์เหยากวงเสียงดังเกรียวกราวขึ้นมา


 


 


ศิษย์นิกายเหอฮวนสีหน้าถอดสีหมดแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองคนหนึ่งแข็งใจเดินขึ้นไปด้วยคำสั่งของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้ง


 


 


หนึ่งในยอดเขารองเขาชิงมู่


 


 


กู้หลียืนอยู่ลานบ้านด้านหน้า สายตามองออกไปไกลดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แล้วก็ได้ยินความเคลื่อนไหวส่งผ่านมาจากเขตอาคมที่ป่าไผ่


 


 


“ศิษย์น้องเหอกวง ข้าเอง” เสียงที่คุ้นเคยทำให้กู้หลีขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว กลับยังคงเปิดเขตอาคมออกให้คนเข้ามา


 


 


ไม่นานนักก็เห็นนักพรตจื่อซีเหยียบดอกบัวลอยเข้ามา ด้านหลังยังตามมาด้วยนักพรตหมิงจ้าว


 


 


“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่สาม” กู้หลีทักทาย มองดูท่าทางนักพรตจื่อซีที่คึกคักด้วยความดีใจ จู่ๆ ก็รู้สึกปวดศีรษะ


 


 


นักพรตจื่อซีกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ศิษย์น้องเหอกวง ศิษย์หลานชิงเฉินถูกปล่อยออกมาแล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม