เนตรเซียนทะลุสมบัติ 197-215

 ตอนที่ 197 อา


ขณะที่หยางโปจะกลับจีนช้าสักหน่อย แต่กุ้ยหรงจิ่วกับเหมยเฉาหนิงทั้งสองคนกลับรอไม่ไหวที่จะได้กลับจีน ทั้งสองคนจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวกับกู้ฉางชุ่นไปเรียบร้อยแล้ว


ตาอ้วนหลิวเห็นทั้งสองคนจะจากไป ก็เสียใจมาก รั้งพวกเขาอยู่นาน จนกระทั่งทั้งสองคนจะไปแล้ว ก็ยังถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะพูดว่า “ไม่สามารถร่วมงานกับอาจารย์ทั้งสองท่านได้ ช่างน่าเสียใจจริงๆ เลย!”


กุ้ยหรงจิ่วหัวเราะฮ่าฮ่า ปลอบว่า “ต่อไปยังมีโอกาสอีกมาก พวกเรากลับไปครั้งนี้ ถ้าทางนี้คุยกันเรียบร้อย ก็ยังสามารถที่จะกลับมาได้”


ตาอ้วนหลิวพูดอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า “งั้นก็ดีครับ ถึงตอนนั้นเอาไว้ค่อยว่ากัน”


 


หยางโปกับพวกกุ้ยหรงจิ่วและเหมยเฉาหนิงทั้งสองคนจากกันด้วยความจำใจอย่างอาลัยอาวรณ์ หลังอวยพรกันเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งทั้งสองคนขึ้นรถ


รถเพิ่งจะจากไป ตาอ้วนหลิวก็พูดอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “เร็วเข้า พวกเราไปพอทสดัมกัน!”


“พอทสดัม?” หยางโปประหลาดใจ


“แน่นอนว่าต้องไปหานักสะสมเชื้อสายจีนคนนั้นไงล่ะ เขาอยู่ที่พอทสดัม!” ตาอ้วนหลิวอธิบาย


พอทสดัมตั้งอยู่ที่ชานเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบอร์ลิน อยู่ที่ริมแม่น้ำฮาเฟิล เป็นที่ที่ใช้ในการประชุมพอทสดัมอันโด่งดังในปลายสงครามโลกครั้งที่สอง พอทสดัมที่เป็นเมืองหลวงเก่าถูกแม่น้ำเอลเบอ แม่น้ำฮาเฟิล ตลอดจนทะเลสาบและป่าไม้จำนวนมากรายล้อมอยู่


 


นั่งรถไฟความเร็วสูงจากเบอร์ลินไป ก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง เมื่อทั้งสองคนมาถึงพอทสดัม ก็เรียกรถ ก่อนที่ทั้งสองคนจะตรงไปยังเขตชานเมือง


เขตเมืองของพอทสดัมครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยโรงแรม บ่อนพนัน เลานจ์ และศูนย์กลางค้า ในสวนสาธารณะใกล้ๆ กันนั้นมีน้ำพุ ทางเดินระหว่างแมกไม้ ม้านั่งยาว สุดสายตาเป็นพระราชวังกับซากปรักหักพัง


เมื่อมาถึงชานเมือง หยางโปจึงหันไปถามตาอ้วนหลิวว่า “อีกฝ่ายทำงานอะไรเหรอ?”


“นักสะสม” ตาอ้วนหลิวกล่าว


หยางโปแปลกใจเล็กน้อย “เป็นนักสะสมอย่างเดียวเลยเหรอ?”


 


“ได้ยินว่าเป็นอย่างนั้น แต่ฉันคิดว่าเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยนะ ในจีนที่เป็นนักสะสมเพียงอย่างเดียวก็พบเห็นได้ไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่สะสมวัตถุโบราณของจีนในต่างประเทศ” ตาอ้วนหลิวกล่าว


“ก็พูดได้ว่า คุณเองก็ไม่รู้จักอีกฝ่ายเหมือนกัน?” หยางโปมอง


ตาอ้วนหลิวชะงักกึก ผงกศีรษะอย่างเก้อๆ “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ทั้งหมด ฉันรู้ข้อมูลมานิดหนึ่ง คนคนนั้นเมื่อสมัยปี 80 ได้มาทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ที่เยอรมัน หลังทำงานอย่างหนักอยู่หลายปี ก็ได้เปิดห้องอาหารเป็นของตัวเองร้านหนึ่ง จากนั้นกิจการก็ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเปิดสาขาอีกสองสาขา”


“หลังจากเปิดสาขาแล้ว เขาก็ยกกิจการให้ลูกชายดูแล ส่วนตัวเองก็มีเวลาว่าง จึงเริ่มสะสมของ พูดไปแล้ว เขาก็สะสมของมาแค่สิบกว่าปี แต่ของที่สะสมไว้ก็มีมากกว่าพันชิ้นแล้ว!”


 


หยางโปประหลาดใจเป็นอย่างมาก มีแต่คนในวงการเท่านั้นถึงจะเข้าใจ จำนวนเป็นพันชิ้นนี้ถ้าจะให้พูดแล้ว ก็เป็นจำนวนที่นับว่ามาก เขาหันไปมองตาอ้วนหลิว เห็นใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้ม จึงถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ในเมื่อคุณรู้ข้อมูลพวกนี้ดีแล้ว แล้วอีกฝ่ายชื่อว่าอะไร?”


“หลิวเจียจวิ้น” ตาอ้วนหลิวบอก


หยางโปชะงัก “เขามีความสัมพันธ์ยังไงกับคุณ?”


“นับไปแล้ว แม้พวกเราจะไม่ได้อยู่ในผังตระกูลห้ารุ่น แต่ก็นับว่าเป็นอาคนไกลนั่นแหละ” ตาอ้วนหลิวอธิบาย


หยางโปยิ้ม “อาคนไกล ก็ไม่แปลกที่คุณจะติดต่อนักสะสมในเยอรมันได้ทั้งหมด สุดยอดจริงๆ!”


 


ระหว่างที่พูดคุยกันนั้น รถก็หยุดลง จ่ายเงินค่ารถเรียบร้อย เมื่อหยางโปลงจากรถก็เห็นวิลล่าสีขาวขนาดเล็กหลังหนึ่งอยู่ไม่ไกล วิลล่าเล็กกระทัดรัดมีรสนิยม ภายนอกล้อมด้วยรั้วไม้สีขาว ในลานบ้านปลูกผลไม้เอาไว้ และยังมีแปลงผักอีกด้วย


ตาอ้วนหลิวหยิบมือถือออกมาโทร ไม่นาน ก็มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากวิลล่า คนที่มาอายุหกเจ็ดสิบปี ผมสีขี้เถ้า


ตาอ้วนหลิวรีบเข้าไปทักทาย กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “คุณคืออาเจียจวิ้น?”


หลิวเจียจวิ้นจ้องมองตาอ้วนหลิว ประหลาดใจเล็กน้อย “เธอคือลูกของเจียชาง?”


 


ตาอ้วนหลิวรีบพยักหน้า “อาครับ เป็นผมเอง!”


หลิวเจียจวิ้นพลันสวมกอดตาอ้วนหลิว น้ำตาไหลออกมา


หยางโปมองเหตุการณ์ตรงหน้า รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ดูจากท่าทางที่หลิวเจียจวิ้นแสดงออกมา ก็คงเป็นเพราะไม่ได้กลับบ้านมานานหลายปี ตาอ้วนหลิวพาเขามา หรือว่าจริงๆ แล้วมาเยี่ยมญาติกันแน่?


ผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสองคนถึงได้หยุดร้องไห้ หลิวเจียจวิ้นมองมาทางหยางโป แล้วหันไปมองตาอ้วนหลิว “ท่านนี้คือ?”


“เขาเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง เขามากับผมเองครับ” ตาอ้วนหลิวอธิบาย


 


หลิวเจียจวิ้นพยักหน้า พยักเพยิดไปทางในบ้านแล้วบอกว่า “รีบเข้าไปเถอะ วันนี้พวกเธอมากันได้ ฉันดีใจมากเหลือเกินจริงๆ จนลืมเชิญพวกเธอนั่ง พวกเธอรีบนั่งเร็ว ฉันจะรินน้ำให้พวกเธอ”


หลิวเจียจวิ้นต้อนรับทั้งสองคนอย่างอบอุ่น ในบ้านไม่มีใครอื่น หลังคุยกันหลายประโยค ตาอ้วนหลิวถึงเอ่ยปากขึ้นมา “อาครับ ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าทางอาทำธุรกิจค้าวัตถุโบราณ ผมขอรูปจากเขา แล้วก็ถามที่บ้าน ถึงรู้ว่าอาอยู่ที่นี่!”


หลิวเจียจวิ้นยิ้ม “ทำธุรกิจค้าวัตถุโบราณอะไรกัน แค่หลายปีมานี้ฉันสะสมของไว้เล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็ไม่เคยขายไปเท่านั้นเอง”


 


“งั้นให้พวกผมดูหน่อยได้ไหมครับ? ผมเองก็ทำธุรกิจนี้ที่จีนเหมือนกัน” ตาอ้วนหลิวกล่าว


หลิวเจียจวิ้นประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาทันที “งั้นก็ดีเลย หลายปีนี้ฉันสะสมอยู่คนเดียว ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับผู้เชี่ยวชาญของเยอรมันมาน้อยมาก คาดไม่ถึงว่าจะพบคนชำนิชำนาญในคนรุ่นหลังได้ พวกเรามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันเถอะ!”


“แน่นอนครับ” ตาอ้วนหลิวยิ้มพลางกล่าว


แม้จะเลื่องชื่อว่ามีของสะสมนับพันชิ้น แต่ห้องสะสมของของหลิวเจียจวิ้นไม่ได้ใหญ่โตเลยแม้แต่น้อย ใช้ห้องนอนเพียงห้องหนึ่งเท่านั้น ที่ผนังสี่ด้านติดตั้งตู้ติดผนัง และวางวัตถุโบราณเอาไว้ด้วยกัน มองแค่แวบเดียวก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก


 


“เมื่อก่อนปู่ของฉันเปิดโรงจำนำ ตอนฉันยังเด็กจำได้แม่นยำเป็นพิเศษว่าเห็นปู่หิ้วโถใบหนึ่งอยู่บ่อยๆ เอาไปแลกเงินกลับมาไม่กี่หยวน ตอนนั้นฉันนอนคว่ำดูอยู่ที่พื้นโรงจำนำ ล้วนเป็นเครื่องเคลือบชนิดนี้” หลิวเจียจวิ้นอธิบาย


ตาอ้วนหลิวพยักหน้าอยู่ด้านข้าง “ผมเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน ปู่ของอาเปิดโรงจำนำ แต่ตอนหลังก็ปิดไป”


หลิวเจียจวิ้นยิ้ม “ตอนที่ฉันเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็ได้พบสถานที่ที่ทำให้คนแปลกใจและดีใจอย่างยิ่งที่หนึ่ง เป็นถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ข้างถนนคนเดินและศาลาว่าการพอทสดัม ที่นั่นมีร้านขายวัตถุโบราณกับร้านขายแสตมป์และเงินสะสมอยู่ทุกหนทุกแห่ง”


 


“ตอนนั้น ฉันยังทำงานอยู่ที่ร้านอาหาร ทำหน้าที่ล้างจาน ทุกเดือนจะได้เงินเดือน 1,200 มาร์ค หรือประมาณ 840 ดอลล่าร์ ค่าจ้างในจีนของฉันนั้นได้แค่สามสิบห้าหยวนเท่านั้น ค่าจ้างก้อนแรกที่นี่สำหรับฉันแล้วจึงถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล ตอนฉันได้เงินก้อนแรกมา ก็เอาไปซื้อเครื่องเคลือบโบราณใบหนึ่งทันที จ่ายไป 1,090 มาร์ค จากนั้นก็หยุดซื้อไม่ได้เลย”


“ที่สะสมไว้ทั้งห้องนี้ ก็เป็นของที่ฉันจ่ายเงินหลายแสนดอลล่าร์ซื้อมา ทั้งเครื่องเคลือบสมัยหมิงชิง ทั้งที่มาจากเตาเผาที่ขึ้นชื่อทั้งห้าในสมัยราชวงศ์ซ่ง แม้แต่ถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วแห่งราชวงศ์หมิง ฉันเองก็มีอยู่ที่นี่ใบหนึ่ง!”


 


หยางโปมองอีกฝ่ายอย่างตื่นตะลึง เขามองไปทางหลิวเจียจวิ้น ในใจคิดว่า หรือว่าคนคนนี้เองก็มีพลังพิเศษเหมือนกันกับเขา มีเพียงอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถใช้เงินหลายแสนหาช่องซื้อสมบัติมาในราคาต่ำได้มากขนาดนี้


ใบหน้าตาอ้วนหลิวกลับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม มองไปทางหยางโป ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ


หยางโปไม่เข้าใจความหมายของตาอ้วนหลิวแม้แต่น้อย หลิวเจียจวิ้นกลับยิ่งพูดยิ่งคึก “ช่วงนี้ฉันดูข่าวมา มีนักสะสมชาวเยอรมันจะขายถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว แถมเรียกราคาสูงตั้งสามร้อยล้านหยวน สวรรค์ ชิ้นนี้ของฉัน อย่างน้อยก็ต้องขายได้สี่ร้อยล้านหยวน!”


ตอนที่ 198 สะสมของปลอม


หยางโปยืนอยู่ด้านหนึ่ง ฟังคำพูดของหลิวเจียจวิ้นแล้ว ก็สบตากับตาอ้วนหลิวแวบหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็ขมวดคิ้ว เพราะพวกเขาแน่ใจว่า หลิวเจียจวิ้นโดนต้มเสียแล้ว


แต่ว่าคำพูดประเภทนี้ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ในเวลานี้


ตาอ้วนหลิวหัวเราะแหะแหะ หันไปถามหลิวเจียจวิ้นว่า “อาครับ ผมกับหยางโปมาเยอรมันครั้งนี้ ก็เพราะเรื่องถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วที่อาว่านั่นแหละครับ”


หลิวเจียจวิ้นประหลาดใจมาก “ในข่าวบอกว่า มหาเศรษฐีจีนคนนั้นวิ่งมาทางนี้เพื่อคุยเรื่องเครื่องเคลือบนั่นโดยเฉพาะ หรือว่าพวกเธอก็คือคนที่มากับเขา?”


 


ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “พวกผมก็คือคนที่มากับมหาเศรษฐีคนนั้นครับ หยางโปเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมิน ส่วนผมนับว่าเป็นครึ่งหนึ่ง”


หลิวเจียจวิ้นหมุนกายมองไปทางหยางโป จ้องอยู่พักใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ใช่ล่ะมั้ง เด็กขนาดนี้เนี่ยนะ?”


“อาครับ อาเอาถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วใบนั้นมาให้พวกเราดูสักหน่อย อาอย่าเห็นว่าหยางโปอายุไม่เยอะ ฝีมือการประเมินของเขาไม่เลวเลยสักนิดนะครับ” ตาอ้วนหลิวถือโอกาสเอ่ยปาก


หลิวเจียจวิ้นใคร่ครวญเล็กน้อย หันไปพูดกับทั้งสองคนว่า “อย่างนี้ก็ดี พวกเธอพามหาเศรษฐีคนนั้นไปซื้อของจากคนต่างชาติ แถมยังแพงขนาดนั้น ไม่สู้มาซื้อใบนี้ของฉัน พอดูเสร็จแล้ว ก็ต้องช่วยแนะนำและรับรองให้ฉันด้วยล่ะ!”


 


ตาอ้วนหลิวรีบพยักหน้า “อาวางใจได้เลย ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเราต้องช่วยแนะนำและรับรองให้อาแน่!”


หยางโปไม่ได้เอ่ยคำ ในใจกอดความหวังเส้นหนึ่งไว้ หากหลังจากนี้ประเมินออกมาแล้วเป็นของจริง ก็ดีไป ถ้าไม่ ตาอ้วนหลิวเพิ่งจะได้เจออา เกรงว่าจะต้องเจ๊งเสียแล้ว


หลิวเจียจวิ้นรีบหมุนกายเดินออกไปยกเก้าอี้ ถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ววางไว้ด้านบนสุด หยิบลงมาไม่ได้ ได้แต่ต้องยืนบนเก้าอี้ถึงจะหยิบได้


ตาอ้วนหลิวหันมามองหยางโป “อีกเดี๋ยวต้องไว้หน้าด้วยนะ!”


หยางโปพยักหน้า “วางใจเถอะ ผมเข้าใจ เพียงแต่เป็นอย่างนี้แล้ว ฝันก็จะกลายเป็นฟองที่แตกสลาย คุณคิดว่าอาคุณจะรับได้เหรอ? หรือต้องพูดว่าร่างกายของเขาจะสามารถรับเรื่องนี้ได้ไหวเหรอ?”


 


ตาอ้วนหลิวลังเลขึ้นมาทันที แต่หลิวเจียจวิ้นยกเก้าอี้ย้ายมาเรียบร้อยแล้ว ขณะจะปีนขึ้นไปอย่างงกๆ เงิ่นๆ ก็ยังไม่ลืมหันกลับมาบอกทั้งสองคนว่า “พวกเธอช่วยแนะนำฉันให้เขาหน่อย อีกเดี๋ยวพอขายไป ฉันก็ไม่อยากได้ราคาสูง คนอื่นเขาเอาสามร้อยล้าน เราเอาแค่สองร้อยล้านก็พอแล้ว ถ้าขายออกไปได้จริงๆ ฉันจะให้พวกเธอสิบเปอร์เซ็นต์!”


ตาอ้วนหลิวชะงักไปในทันที เขาคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างนี้ อาการบ้าบอของหลิวเจียจวิ้นไม่เบาเลยจริงๆ!


หยางโปดึงหลิวเจียจวิ้นไว้ บอกเขาว่า “เรื่องนี้ให้ตาอ้วนหลิวทำเถอะครับ คุณอายุมากแล้ว เดี๋ยวจะตกลงมาได้”


 


ตาอ้วนหลิวตอบรับ รีบขึ้นไปบนเก้าอี้ ใช้กุญแจเปิดตู้ติดผนังด้านบนตู้หนึ่ง หยิบถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วออกมา


ตาอ้วนหลิวหยิบถ้วยลายไก่ลงมาอย่างระมัดระวัง หยางโปถึงสังเกตเห็นว่าด้านนอกถ้วยลายไก่มีกล่องใส่อยู่


หลิวเจียจวิ้นรีบบอกว่า “ช้าหน่อยๆ อย่าทำตกล่ะ”


ตาอ้วนหลิวถือกล่องไว้ ก่อนจะวางลงที่โต๊ะชาด้านหนึ่ง หลิวเจียจวิ้นรีบรับมา แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันไปบอกทั้งสองคนว่า “จะให้พวกเธอเปิดหูเปิดตากันสักหน่อย นี่ก็คือถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว!”


 


ตอนนี้หยางโปไม่ค่อยจะอยากประเมินของเสียแล้ว เพราะว่าเขาคิดว่าโอกาสที่จะเป็นของจริงนั้นน้อยมาก เขาดึงตาอ้วนหลิวหนึ่งที “ไป รีบดูเลย!”


ตาอ้วนหลิวลังเลเล็กน้อย “พวกเราดูด้วยกันดีกว่า มาดูด้วยกันเถอะ!”


หยางโปดึงตาอ้วนหลิวหนึ่งที มองไปทางถ้วยเคลือบลงสีลายไก่ตรงหน้า ถ้วยลายไก่ตรงหน้ามีสีที่แก่และสด โดยเฉพาะที่หงอนไก่ตัวผู้ เป็นสีแดงแสบตา ขีดอักษรที่จารึกหยาบและหนัก เรียงห่างกัน หยางโปดูสองจุดนี้แล้ว ก็วางถ้วยลายไก่ลง เขาแน่ใจอย่างยิ่งว่าการคาดเดาของเขาได้รับการพิสูจน์แล้ว นี่เป็นของปลอม และไม่ใช่ของที่ทำเลียนแบบขึ้นในสมัยโบราณ แต่เป็นของที่ทำเลียนแบบมาเมื่อไม่กี่ปีนี้!


ตาอ้วนหลิวรับมาจากมือหยางโป มองอยู่ครู่หนึ่ง ก็วางลง ทั้งสองคนมองตากันพลางยิ้มฝืด


 


หลิวเจียจวิ้นเห็นสีหน้าท่าทางของทั้งสองคน ในใจก็ลนลาน “ทำไมเหรอ?”


เวลานี้ตาอ้วนหลิวคิดอะไรไม่ออก จึงนิ่งค้างไป เขาคาดไม่ถึงว่าของชิ้นนี้จะปลอมได้สุดยอดขนาดนี้


หยางโปหันไปถามหลิวเจียจวิ้นว่า “คุณซื้อถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วใบนี้มาเท่าไหร่เหรอครับ?”


หลิวเจียจวิ้นเองก็เหมือนจะตระหนักถึงปัญหาของทั้งสองคน ในใจก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ยังคงเอ่ยปากตอบกลับไปว่า “สามหมื่นยูโร”


หยางโประบายลมหายใจเฮือก ราคานี้ไม่นับว่าสูง แต่คิดอีกทีของทั้งห้องนี้ มีราคาหลายแสนดอลล่าร์ มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิตของหลิวเจียจวิ้น หยางโปจึงยินดีไม่ออก


 


“ยังมีใบเสร็จอยู่ไหมครับ?” หยางโปถาม เขาจำได้ว่าการซื้อขายวัตถุโบราณของต่างประเทศกับจีนไม่เหมือนกันอยู่บ้าง ในประเทศจีนเมื่อซื้อไปแล้วก็จะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น แต่ต่างประเทศจะเป็นการซื้อที่ผ่านช่องทางที่เป็นมาตรฐาน สามารถที่จะขอคืนของได้


หลิวเจียจวิ้นพยักหน้า “ราคาของของชิ้นนี้สูงที่สุด ฉันเลยยังเก็บใบเสร็จเอาไว้”


พูดแล้ว หลิวเจียจวิ้นก็เอาแผ่นกันกระแทกที่อยู่ด้านล่างกล่องออกมา ด้านล่างมีใบเสร็จอยู่จริงๆ


หยางโปได้ยินหลิวเจียจวิ้นพูดว่าของชิ้นนี้ราคาสูงที่สุด ก็ตะลึงตาค้างไปทันที เพราะด้วยถ้วยลายไก่ใบนี้ เขาก็สามารถดูออก ว่าอีกฝ่ายไม่มีพื้นฐาน แม้แต่พื้นฐานการประเมินของก็ไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ของที่เหลือนั้นแค่คิดก็รู้แล้ว


 


ตาอ้วนหลิวรับไป หยางโปชี้ไปที่ของที่เหลือในตู้ติดผนังพวกนั้นก่อนถามว่า “ของพวกนี้ยังมีใบเสร็จอยู่ทั้งหมดไหมครับ?”


เวลานี้หลิวเจียจวิ้นเครียดจนร่างสั่นระริก แม้ว่าจะยังไม่คุ้นเคยกับตาอ้วนหลิวหลานชายคนนี้ แต่เขาก็เบิกตากว้างมองตรงไปที่ตาอ้วนหลิว “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”


ตาอ้วนหลิวรีบประคองหลิวเจียจวิ้น เห็นร่างชายแก่สั่นระริก ก็ตกใจจนสะดุ้ง ตอนนี้ไม่มีคนในบ้านของหลิวเจียจวิ้นอยู่เลย อาการของหลิวเจียจวิ้นอยู่เหนือการคาดเดาไปแล้วจริงๆ พวกเขาล้วนพูดไม่ชัดเจนเอง


เมื่อประคองชายแก่นั่งลงแล้ว ตาอ้วนหลิวก็รีบบอกว่า “อาครับ อาใจเย็นๆก่อน อย่าร้อนใจไป”


 


ตอนนั้นเอง ด้านนอกก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น “ตาเฒ่า แกไปตายที่ไหนแล้ว?”


ใบหน้าตาอ้วนหลิวปรากฏสีหน้ายินดี ตอบรับออกไปทันทีว่า “อาสะใภ้ครับ พวกเราอยู่นี่ครับ!”


ไม่นาน ประตูของห้องสะสมก็เปิดออก หญิงสูงอายุผมขาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอจ้องมองพวกหยางโปทั้งสองคน ดวงตาปรากฏแววระแวดระวัง “ตาเฒ่า พวกเขาเป็นใคร?”


“อาสะใภ้ อาไม่รู้จักผมแล้วเหรอ? ผมคือเจ้าอ้วนน้อยไง!” ตาอ้วนหลิวกล่าว


หญิงชราขยับแว่นตา มองไปทางตาอ้วนหลิว ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงจะนึกออก “โอ๊ะ เป็นเจ้าอ้วนน้อยนี่เอง พริบตาเดียวก็ผ่านไปยี่สิบห้ายี่สิบหกปีแล้ว เธอเองก็แก่ขึ้นเยอะเลยนะ!”


 


ใบหน้าตาอ้วนหลิวปรากกฎความกระอักกระอวน ปีนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปี ตอนนี้ก็อายุแค่สี่สิบกว่าปี ก็ไม่นับว่าแก่นะ


หญิงชราถามว่า “ทำไมเธอมานี่ได้ล่ะ?”


“ได้ยินข่าวของอา แล้วผมมาทำธุระที่เยอรมันอยู่พอดี ที่บ้านก็เลยให้ผมมาเยี่ยมอา ทุกคนต่างก็คิดถึงพวกอานะ!” ตาอ้วนหลิวบอก


หญิงชราเองก็พยักหน้า “ตอนที่พวกเราจากมาก็เกือบห้าสิบแล้ว ตอนนี้ก็เจ็ดสิบกว่าแล้ว นี่วางแผนกันเอาไว้ว่าอีกสองปีจะกลับไปเยี่ยมบ้านกันด้วยล่ะนะ!”


ตอนที่ 199 กลับใจ


ตาอ้วนหลิวยิ้มพลางพูดว่า “จริงเหรอครับ ในที่สุดอากับอาสะใภ้จะสวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้านเกิดแล้ว!”


หญิงชราโบกมือ “ใช่ที่ไหนกันๆ!”


พูดแล้ว หญิงชราก็ชี้ไปที่หลิวเจียจวิ้นก่อนกล่าวว่า “ตาเฒ่าเป็นอะไรไปน่ะ?”


หลิวเจียจวิ้นโบกมือไปมา กุมหน้าอก ผ่านไปครึ่งวันถึงจะคำรามเสียงต่ำออกมาได้หนึ่งคำ “ถูกยั่วโมโห!”


หญิงชราสีหน้าเปลี่ยน มองไปทางพวกหยางโปทั้งสองคน


 


ไม่รอให้เธอเปิดปาก หยางโปก็เอ่ยปากว่า “อาสะใภ้ คุณกับคุณอาใหญ่ตอนที่สะสมของพวกนี้มีวิธีดูยังไง?”


หญิงชราชะงักเล็กน้อย “เขาชอบก็ให้เขาสะสมไปน่ะสิ!”


“ของที่อาใหญ่สะสมไว้นั้นต้องจ่ายเงินไปไม่น้อยแน่ คุณคิดว่าเขาสะสมของยังไง?” หยางโปถามอีก


“เขาชอบ ก็ให้เขาสะสมไป!” หญิงชรายังคงตอบประโยคนี้


หยางโปชี้ไปที่ถ้วยลายไก่ที่อยู่บนโต๊ะชาใบนั้น “ผมเป็นนักประเมินคนหนึ่ง ถ้าคุณไว้ใจตาอ้วน ผมขอบอกคุณตามตรงว่า ถ้วยลายไก่ใบนี้เป็นของปลอมครับ”


หญิงชราตะลึงงัน “ของปลอม? จะเป็นไปได้ยังไง? ตาเฒ่าบ้านพวกเราศึกษาค้นคว้ามาตั้งหลายปี จะเป็นของปลอมไปได้ยังไง?”


 


“เธอพูดซี้ซั้ว! พวกเธอคิดอยากจะได้ถ้วยลายไก่ของฉันใบนี้ พวกเธอมีเจตนาไม่ดี!” หลิวเจียจวิ้นเองก็พูดโต้


หยางโปขมวดคิ้ว “อาใหญ่ คุณศึกษามาหลายปีแล้วจริงๆ งั้นเหรอ? ถ้วยลายไก่ใบนี้เป็นยังไง คุณเห็นบ้างรึเปล่า? ถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วนั้นจะต้องมีสีเข้มแต่ไม่ฉูดฉาด ของในสมัยเฉิงฮั่วล้วนมีหมอกมัวอยู่ชั้นหนึ่ง มีฟองอากาศเหมือนไข่มุก สีลายครามของตัวอักษรจะต้องหม่น เรื่องพวกนี้คุณรู้บ้างรึเปล่า?”


หยางโปเห็นท่าทีของหลิวเจียจวิ้นไม่ถูก เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายคล้ายจะจมอยู่ในความหลงผิดประเภทหนึ่ง ถ้าไม่ปลุกให้ตื่น จากนี้ไปเกรงว่าก็ยังจะซื้อของปลอมมาอีก ดังนั้นเขาจึงทิ้งแผนการที่จะให้อ้อมค้อมที่ปรึกษากันมาก่อนหน้าไป!


 


หลิวเจียจวิ้นจ้องมองถ้วยลายไก่ เงียบไม่พูดจา


หญิงชราหันไปมองทางหลิวเจียจวิ้น “ตาเฒ่า เธอบอกเขาไปสิ ว่าเธอเป็นฝ่ายถูกน่ะ!”


ดวงตาของหลิวเจียจวิ้นจับจ้องแน่วแน่อยู่ที่ถ้วยลายไก่ ยังคงไม่เอ่ยคำ


ตาอ้วนหลิวก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างหลิวเจียจวิ้นส่ายเล็กน้อย ก่อนจะพลันอ่อนยวบ ล้มลงมา


หยางโปตกใจจนสะดุ้ง หญิงชราร้องออกมาด้วยความตกใจยิ่งกว่า ก่อนจะหยิบยาโรคหัวใจออกมาจากกระเป๋าด้วยอาการมือเท้าพันกันวุ่น แล้วให้หลิวเจียจวิ้นกินลงไป ก่อนจะโทรเบอร์ฉุกเฉิน


ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิวเจียจวิ้นก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อลืมตาเห็นพวกหยางโปทั้งสองคน เขาก็ส่ายหัว ไม่เปิดปากพูดอะไรออกมา


 


พาหลิวเจียจวิ้นไปโรงพยาบาลแล้ว ก็นั่งรออยู่นอกห้องฉุกเฉิน หยางโปรู้สึกเครียด เขาคาดไม่ถึงว่าสุขภาพของหลิวเจียจวิ้นจะอ่อนแออย่างนี้ เขาหันกายมองไปทางตาอ้วนหลิว “คำพูดของผมรุนแรงเกินไปใช่ไหม?”


ตาอ้วนหลิวส่ายหน้า “ไม่หรอก เดิมทีพวกเราเองก็อยากจะแยกไปอยู่แล้ว ถ้าอ้อมค้อมอีกนิดก็ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดเท่านั้นเอง แต่ดูสีหน้าท่าทางตอนสุดท้ายแล้ว เกรงว่าเขาจะไม่ยอมเปลี่ยน”


หยางโปส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ


หญิงชรานั่งอยู่ที่ด้านหนึ่ง ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน ก็หันมามองตาอ้วนหลิวอย่างทนไม่ได้ “เจ้าอ้วน ถึงจะไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่ฉันก็จะเชื่อเธอ เธอบอกอาสะใภ้มาซิ ของพวกนั้นเป็นของปลอมหมดเลยเหรอ?”


 


ตาอ้วนหลิวลังเลเล็กน้อย ในใจคิดอยากจะหลอกอีกฝ่าย เขาไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องนี้เลย แล้วตรงกลับจีนไปเลยก็ได้


กำลังจะเอ่ยปาก ชายหนุ่มอายุรามสามสิบปีก็วิ่งเข้ามา “ย่า เกิดอะไรขึ้น?”


หญิงชราดึงมือหลานชายก่อนจะน้ำตาร่วง “ไม่มีอะไร ญาติจากจีนมาเยี่ยมพวกเรา ปู่เธอได้เจอพวกเขาก็ดีใจ โรคหัวใจก็เลยกำเริบขึ้นมา แต่ไม่ได้หนักหนาอะไร”


คำอธิบายของหญิงชรา ทำให้หยางโปเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา เดิมทีคิดจะวางมือไม่สนใจ ตอนนี้ก็ได้แต่ต้องรั้งอยู่ต่อไป


 


ชายหนุ่มมองไปทางพวกหยางโปทั้งสองคน พลางยิ้ม “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ สองปีมานี้ปู่คิดถึงบ้านมาก แต่ธุรกิจรัดตัว เลยไม่มีเวลาพาทั้งสองท่านกลับไปเลย พวกคุณมาหาก็เจอเรื่องนี้เข้าซะได้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”


ตาอ้วนหลิวรีบโบกมือ “อย่าพูดอย่างนี้เลย มาหาอาได้ พวกเราเองก็ดีใจมาก เป็นเพราะฉันมากะทันหันเอง”


พูดแล้ว ตาอ้วนหลิวก็ชี้ชายหนุ่ม “เธอคือเสี่ยวหย่งใช่ไหม? ไม่เจอกันหลายปี สูงตั้งขนาดนี้เชียว!”


ชายหนุ่มยิ้ม ตาอ้วนหลิวมองไปทางหญิงชรา “พ่อแม่ของเขาล่ะครับ?”


 


หญิงชราส่ายหน้า ไม่ได้บอกอะไร ก่อนจะถามว่า “ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว และเธอเองก็ไม่ต้องเกรงใจ จริงสิ เสี่ยวหย่ง เดี๋ยวเธอเอาวัตถุโบราณที่ปู่เธอสะสมพวกนั้นออกมาประเมินดูสักหน่อย ดูว่าเป็นของจริงหรือของปลอม?”


หลิวหย่งชะงักเล็กน้อย เอ่ยปากขึ้นทันทีว่า “เฮ้อ ครับ เดี๋ยวผมไปดูพรุ่งนี้”


“ฉันอยากรู้ผลการประเมินของจริง ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนเธอก็เคยประเมินภาพวาดไปหลายภาพหรอกเหรอ? ผลการประเมินภาพหลายภาพพวกนั้นเธอทำปลอมมาใช่ไหม?” หญิงชราถามขึ้นอย่างกะทันหัน


หลิวหย่งตะลึงงัน โบกมือพลางพูดว่า “ย่าครับ ย่าพูดเหลวไหลอะไร? ผมจะทำเรื่องอย่างนั้นได้เหรอ?”


 


หญิงชราชี้ไปที่พวกหยางโปทั้งสองคน หลอกเขาว่า “สองคนนี้ไม่ได้เป็นแค่ญาติเรา แต่ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินที่มีชื่อเสียงของจีนอีกด้วย!”


หลิวหย่งทึมทื่อไปทันใด ไม่มีทีท่าจะโต้กลับมา เขาผงกศีรษะ พูดเสียงแหบว่า “เป็นผมทำปลอมเอง ย่าครับ ปู่เขาสะสมของมาไม่ง่ายเลย ให้เขาสะสมไปอย่างมีความสุข ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ!”


หญิงชราเหมือนจะคาดเดาสถานการณ์นี้ได้ แต่ก็ยังยากที่จะรับได้ นานครึ่งวันถึงเอ่ยปากว่า “งั้นก็พูดได้ว่า เงินหลายแสนนี้จ่ายไปโดยไร้ค่าแล้วสินะ?”


หลิวหย่งก้มหน้า “ย่า เสียก็เสียไปแล้ว เรายังหากลับมาใหม่ได้นะครับ”


 


หญิงชราตะลึงงัน “แต่นั่นเป็นของสะสมทั้งชีวิตของเขาเลยนะ นี่เธอรู้เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่ห้ามเขา?”


“ปีที่แล้วครับ จากนั้นมา ปู่ก็ซื้อของน้อยลงมาก ปู่จากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกล และก็ไม่มีงานอดิเรกอะไรสักเท่าไหร่ ผมกลัวปู่จะเบื่อ เลยไม่ได้บอกไป” หลิวหย่งอธิบาย


หญิงชรานั่งลง เงยหน้ามองไปทางตาอ้วนหลิว ถามอย่างลังเลว่า “ของพวกนั้นยังสามารถจะขอคืนเงินได้ไหม?”


“มีใบเสร็จอยู่ก็น่าจะคืนได้ครับ ส่วนที่ไม่มีใบเสร็จบางทีอาจจะเป็นของที่ซื้อมาจากข้างนอก น่าจะลดราคาแล้วเอาไปขายได้ครับ” ตาอ้วนหลิวอธิบาย


 


หญิงชราพยักหน้า “เอาล่ะ เดี๋ยวไว้ถามเขาก็แล้วกัน!”


หยางโปไม่ได้เอ่ยปาก เพราะเขาเข้าใจถึงความหมายของเงินก้อนนี้สำหรับครอบครัวนี้


ใกล้ค่ำ ในที่สุดหลิวเจียจวิ้นก็ฟื้นขึ้นมา เขามองไปทางหลิวหย่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา


หลิวหย่งรีบส่ายหัว “ปู่ ปู่อย่าคิดมากเลย มันต้องมีวิธีแก้ไขแน่นอน”


“ของพวกนี้เดิมทีฉันคิดจะเหลือเอาไว้ให้เธอ!” ใบหน้าหลิวเจียจวิ้นเศร้าหมอง


หลิวเจียจวิ้นเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างได้เอง เขาหันไปทางตาอ้วนหลิวพูดว่า “หลานชาย เรื่องนี้ถือว่าอาขอร้องเธอ ขอให้เธอช่วยฉันจัดการของพวกนี้ หวังว่าจะแลกที่เสียไปกลับมาได้สักหน่อย”


 


ตาอ้วนหลิวหมดหนทางปฏิเสธ เขาหันไปมองหยางโปด้วยความรู้สึกผิดแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “อาครับ เรื่องนี้ให้พวกเราจัดการเถอะ คืนนี้พวกเราจะไปจัดการให้เรียบร้อย”


หลิวเจียจวิ้นส่ายหัว “ไม่รีบๆ”


“ตาเฒ่า แกไม่รีบ แต่คนอื่นเขารีบกลับประเทศกันนะ มีคนหนุ่มสาวที่ไหนไม่มีงานการกันบ้าง!” หญิงชรากล่าว


ตาอ้วนหลิวยิ้มเก้อๆ ไม่เอ่ยปาก


หลิวเจียจวิ้นจึงมีท่าที “งั้นก็ดี ให้เสี่ยวหย่งไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน ไปช่วยพวกเธอทำงานอีกแรง”


ตอนที่ 200 ดูถูก


“เสี่ยวหย่ง พ่อแม่เธอล่ะ?” เมื่อกลับมาถึงบ้าน ตาอ้วนหลิวก็เอ่ยปากถามเสียงค่อย


“ตอนที่พวกเราเพิ่งมาถึงเยอรมัน พวกท่านก็ประสบอุบัติทางรถยนต์” หลิวหย่งอธิบายประโยคหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นอีกว่า “ครั้งนี้ต้องขอบคุณทั้งสองท่านจริงๆ ความจริงแล้วกิจการร้านอาหารของที่บ้านไม่ดีมาตลอด ถ้าไม่มีเงินทุน เกรงว่าใกล้จะต้องปิดร้านแล้ว”


ตอนนี้ตาอ้วนหลิวถึงได้เข้าใจ พ่อแม่หลิวหย่งเสียไปแต่แรกแล้ว ไม่แปลกที่หญิงชราจะไม่ยอมพูดถึงตอนอยู่ในโรงพยาบาล


 


หลิวหย่งเอาของแต่ละชิ้นออกมา หยางโปทำการประเมินของ ประเมินราคา ส่วนตาอ้วนหลิวก็แยกประเภทในขั้นท้ายสุดและรวมสถิติ


ทั้งสามคนรู้กันอย่างเงียบๆ แม้ว่าของสะสมจะมีเก้าร้อยกว่าชิ้น แต่ทั้งสามคนใช้เวลาสี่ห้าชั่วโมง ก็รวมของสะสมทั้งหมดเสร็จ


ใช้เวลาอีกสิบกว่านาที ในที่สุดตาอ้วนหลิวก็เงยหน้าขึ้น หยางโปกับหลิวหย่งต่างมองไปทางเขา ทั้งสองคนใจร้อนอยากรู้ผลสถิติท้ายสุด


ตาอ้วนหลิวลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า “ทั้งหมดมีของจริงสิบสองชิ้น มูลค่าสามหมื่นยูโร ที่เหลือเก้าร้อยเจ็ดสิบเอ็ดชิ้นเป็นของปลอม มีสามร้อยสี่สิบชิ้นที่มีใบเสร็จ น่าจะคืนของได้”


 


หลิวหย่งผงกศีรษะ หันไปโบกมือให้ทั้งสองคน “ดึกมากแล้ว ทุกคนเองก็เหนื่อยแล้ว รีบพักผ่อนเถอะครับ”


เห็นหลิวหย่งเป็นอย่างนี้ พวกหยางโปทั้งสองคนก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ละคนกลับไปที่ห้อง ไม่ว่าใครก็รู้ว่าตอนนี้สภาพจิตใจของหลิวหย่งแย่ถึงขีดสุด ของราคาหลายแสนดอลล่าร์ คิดเป็นหลายล้านหยวน ราคากลับลดลงมาอย่างนี้ แต่สุดท้ายสามารถแลกเอาเงินคืนกลับมาได้สองสามแสนดอลล่าร์ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว


วันต่อมาหลิวเจียจวิ้นยืนยันที่จะออกจากโรงพยาบาล หญิงชราคิดว่าให้เขาเห็นของสะสมแต่ละชิ้นถูกขายจะทำให้เขาเจ็บปวดเกินไป จึงปฏิเสธไม่ให้เขาออกจากโรงพยาบาล


หยางโปกับตาอ้วนหลิวร่วมกับหลิวหย่งเอาของปลอมและใบเสร็จมุ่งหน้าไปคืนของที่แต่ละร้าน


 


นับกันจริงๆ แล้ว ของที่หลิวเจียจวิ้นซื้อมามีส่วนหนึ่งเป็นผลงานยุคปัจจุบัน แต่กลับถูกเขาสะสมเป็นวัตถุโบราณ ร้านส่วนใหญ่จึงยอมคืนเงินให้ มีร้านแค่ส่วนน้อยที่ไม่ยอมให้คืนของ เพราะใบเสร็จนานเกินไป คนในร้านล้วนเปลี่ยนคนไปหมดแล้ว


แน่นอนว่าก็มีส่วนหนึ่ง ที่เพราะร้านปิดกิจการไปแล้ว จึงไม่มีทางที่จะคืนของได้ เมื่อยุ่งกันตลอดช่วงสาย พวกเขาเพิ่งคืนของได้ยี่สิบกว่าชิ้น ได้เงินมาสองหมื่นกว่าดอลล่าร์คืนมา ยังมีของที่ไม่สามารถคืนเหลืออยู่มากยิ่งกว่า


ทั้งสามคนหาที่กินข้าว ตาอ้วนหลิวมองไปทางหลิวหย่ง “ประสิทธิภาพของพวกเราแย่มาก สายวันนี้ไปมาทั้งหมดหกร้าน นี่ยังเป็นเพราะร้านพวกนั้นอยู่ค่อนข้างจะใกล้กัน ในบรรดาพวกนี้ยังมีสองร้านที่ปิดกิจการแล้ว ถ้าคิดจะคืนของทั้งหมด คงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในวันสองวัน!”


 


หลิวหย่งพยักหน้า เขาเองก็เข้าใจในข้อนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงถึงจะดี


“อาเล็ก อามีวิธีไหมครับ?” หลิวหย่งมองอีกฝ่าย


ตาอ้วนหลิวยิ้ม “หาคนมาช่วย ของเยอะขนาดนี้ อาศัยพวกเราสามคน ยากที่จะทำสำเร็จ ที่สำคัญฉันกับ


หยางโปไม่รู้ภาษาเยอรมัน ไม่มีใบขับขี่ของที่นี่ ได้แต่ต้องไปคืนของด้วยกันกับเธอ ไม่มีทางที่จะทำด้วยตัวเองได้เลย”


“ครับ ผมจะโทรขอให้เพื่อนมาช่วย แต่หลังจากนี้ ยังต้องพึ่งพาทั้งสองท่านช่วยดูแลควบคุมด้วย” หลิวหย่งพูด


ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “เธอวางใจเถอะ”


 


เมื่อจ้างคนแล้ว ก็เร็วขึ้นมา พวกหยางโปทั้งสามคนทำการแบ่งประเภทใบเสร็จที่อยู่ด้านล่าง เมื่อเป็นอย่างนี้ ของของบางร้านก็สามารถวางไว้ด้วยกันได้ จากนั้นก็ส่งให้คนเหล่านั้น แล้วก็เอาใบเสร็จไปคืนของ


หลิวหย่งเองก็นับว่าเป็นคนร่ำรวย ตอนบ่ายก็หาคนมาได้ห้ากลุ่ม หยางโปรีบแบ่งประเภท ไม่ทันได้สังเกต หันกายไปก็พบว่าของส่วนใหญ่ล้วนถูกส่งออกไป ที่เหลือทั้งหมดเป็นของที่คืนไม่ได้


ร้านที่เหลือท้ายสุดมีวัตถุโบราณอยู่หกชิ้น ตาอ้วนหลิวมองแวบหนึ่ง หันไปบอกหลิวหย่งว่า “ร้านสุดท้ายมีอีกไม่กี่ชิ้น พวกเราไปด้วยตัวเองกันเลยเถอะ”


 


หลิวหย่งผงกศีรษะ ตอนแรกเขาวางแผนจะอยู่เก็บของ แต่พวกหยางโปทั้งสองคนยุ่งวุ่นวายช่วยเขาตั้งขนาดนี้ เขาจึงไม่อาจไม่ขับรถพาทั้งสองคนมุ่งหน้าไปร้านวัตถุโบราณได้


เมื่อทั้งสามคนมาถึง ก็เป็นเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะปิดร้านแล้ว หลิวหย่งรีบเข้าไปเจรจาขอคืนของ


หยางโปเดินเข้าไปในร้าน สังเกตเห็นงานศิลปะที่อยู่ทั้งสี่ด้าน ร้านงานศิลป์ของพอทสดัมมีอยู่ไม่มาก หลิวเจียจวิ้นเองก็มีงานศิลป์ส่วนหนึ่งที่ซื้อมาจากเมืองอื่น ดังนั้นจึงมีทางอยู่สองทาง ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถคืนของได้หรือเปล่า


 


ในร้านมีงานศิลปะหลายชนิด ภาพวาดสีน้ำมันตะวันตก รูปปั้นแกะสลัก เครื่องเคลือบจีน เครื่องเขินญี่ปุ่น เครื่องทองอียิปต์โบราณ แน่นอนว่าหยางโปสามารถมองออกว่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของทำเลียนแบบ และก็เป็นงานศิลปะทั่วไป ไม่แปลกที่ราคาของที่หลิวเจียจวิ้นซื้อไปจะไม่สูง


สายตาของหยางโปตกอยู่ที่เครื่องเคลือบกลุ่มหนึ่ง เครื่องเคลือบพวกนี้ทำตามแบบการเผาเครื่องเคลือบเตาเผาเกอในสมัยราชวงศ์ซ่งของจีน เครื่องเคลือบเตาเผาเกอเป็นหนึ่งในเตาเผาทั้งห้าที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งของราชวงศ์ซ่ง เป็นเตาเผาพระราชวังหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ เป็นสมบัติที่ล้ำค่าหายากอย่างยิ่งในหมู่งานเครื่องปั้นที่ราชสำนักซ่งเหนือได้ทำขึ้น เบื้องหน้านี้ คือเครื่องเคลือบเตาเผาเกอแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือที่เหลืออยู่ในโลกนี้


 


เตาเผาเกอมีลักษณะพิเศษเฉพาะที่เด่นชัดเป็นที่สุด เพราะว่าบนผิวเคลือบจะมีรอยร้าวกระดองเต่าอยู่ รอยร้าวประเภทนี้นับเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้คนหลงใหล และคนรุ่นหลังก็มีการทำของเลียนแบบขึ้นมามากมาย


ตอนที่หยางโปเห็นเครื่องเคลือบพวกนี้ ความประทับใจแรกก็คือรู้สึกเหมือนมันเป็นของเลียนแบบ เพราะสีของเครื่องเคลือบเตาเผาเกอพวกนี้สดใส ไม่เหมือนของโบราณเลยสักนิด


แต่ว่า หยางโปกวาดสายตาอย่างสนใจแวบหนึ่ง แสงสว่างวาบขึ้น หยางโปก็ชะงักไปในทันที


หลิวหย่งตกลงราคากับพนักงานขายได้เรียบร้อยแล้ว การคืนของจำเป็นต้องมีส่วนลด แต่จะให้พูดแล้วสำหรับหลิวหย่งนั้น สามารถคืนของได้ ก็นับว่าชดเชยความเสียหายได้แล้ว ดังนั้นเขาเองก็ได้แต่ยอมรับ


 


หยางโปสังเกตเห็นพนักงานขายหญิงผมทองตาฟ้าคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เขาชี้ไปที่เครื่องเคลือบเตาเผาเกอทั้งสามชิ้น ใช้ภาษาอังกฤษถามอีกฝ่ายว่า “ราคาเท่าไหร่?”


พนักงานขายกวาดสายตามองแวบหนึ่ง เงยหน้าขึ้น ไม่เอ่ยคำ


หยางโปขมวดคิ้ว ใช้ภาษาอังกฤษถามอีกครั้ง


พนักงานสาวกระซิบกระซาบประโยคหนึ่ง หยางโปฟังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย


หลิวหย่งเดินเข้ามา ก่อนจะพูดกับพนักงานหญิงอย่างโมโหด้วยภาษาเยอรมันประโยคหนึ่ง


หยางโปฟังไม่เข้าใจ แต่เห็นสีหน้าของพนักงานหญิงเมื่อกี้ เขาก็รู้ความคิดของอีกฝ่ายได้ หยางโปดึงหลิวหย่ง ก่อนจะให้เขาขอพบผู้จัดการโดยตรง


 


หลิวหย่งหันไปมองตาอ้วนหลิวแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่มีทีท่า ก็ใช้ภาษาเยอรมันขอให้อีกฝ่ายเรียกผู้จัดการออกมา


ผู้จัดการเป็นชายใบหน้ากลมอายุสี่สิบกว่าปี พอเห็นพวกหยางโปทั้งสามคน เขาก็มีสีหน้าเหยียด เปิดปากคิดจะถามเหตุผล


หยางโปไม่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายให้มากคำ จึงหยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าเงิน วางไว้บนเคาน์เตอร์ ชี้ไปที่เครื่องเคลือบเตาเผาเกอทั้งสามชิ้นอีกครั้ง “ผมต้องการซื้อ!”


เช็คใบนี้เป็นเช็คหนึ่งล้านยูโรที่หยางโปยังไม่ได้เอาไปขึ้นเงินใบนั้น


 


ตอนแรกผู้จัดการรู้สึกดูถูกอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นตัวเลขบนเช็คก็ชะงักค้างไปทันที หนึ่งล้านยูโรสามารถที่จะซื้อร้านนี้ได้ราวแปดส่วน สามารถที่จะหยิบเช็คมูลค่ามากอย่างนี้ออกมาได้ พวกเขาย่อมไม่ใช่พวกที่จะสามารถแหย่ได้อย่างแน่นอน


ผู้จัดการรีบโค้งกายขออภัย พนักงานหญิงคนนั้นเองก็ตกใจจนรีบโค้งคำนับ


หยางโปฟังคำพูดอีกฝ่ายไม่เข้าใจ เขาเก็บเช็คขึ้นมา แล้วให้อีกฝ่ายห่อเครื่องเคลือบเตาเผาเกอ ก่อนจะรูดบัตรแล้วจากไป


ตอนที่ 201 ไอ้ลูกชั่ว


วันหยุดสุดสัปดาห์ แม่หยางทำความสะอาดบ้านหันไปกล่าวกับพ่อหยาง “พวกเราไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันไหม?”


พ่อหยางนอนบนโซฟาหลังจากทานอาหารแล้ว ในเวลานี้เขาถือถ้วยชาในมือข้างหนึ่ง ลูบไล้ท้องด้วยมืออีกข้างหนึ่งอย่างสบายอกสบายใจมาก จะยังอยากออกไปที่ไหนได้อีก “ฉันไม่ไป ไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตให้เสียเงินทำไม! “


“ทำไมฉันต้องเสียเงินด้วย? ไปเดินเล่นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่จำเป็นต้องซื้อของหรอก ทำไมจะไปไม่ได้ล่ะ?” แม่หยางพูดอย่างไม่เต็มใจ


พ่อหยางขมวดคิ้ว แต่ก็คิดถึงเมื่อสองวันก่อนที่ลูกชายพาลูกสะใภ้แสนสวยมาหา ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นลูกสะใภ้ที่แสนสวย แต่การแต่งตัวเซ็กซี่มันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ แต่สำหรับลูกที่สามารถหาสาวสวยแบบนี้ได้ เขาก็ยังมีความสุขมาก


เขามองเข้าไปในห้อง เฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นที่ซื้อมาตอนย้ายบ้านยังคงอยู่เหมือนเดิม ยังมีข้าวของอยู่ไม่น้อยที่ยังไม่ทันได้ซื้อ


 


“ถ้าอย่างงั้นไปดูเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ในบ้านกันดีไหม?”


แม่หยางก็หันมองไปรอบๆ เช่นกัน พยักหน้าและกล่าว “ก็ดี ควรต้องไปแล้วล่ะ เมื่อวันก่อนเสี่ยวหล่างพาหลานเย่วมาอย่างกะทันหันมาก พวกเราไม่ได้เตรียมตัวเลย เห็นหน้าตาสาวคนนั้นดูสง่างาม ทางบ้านต้องมีฐานะดีแน่นอน เราไม่ควรทำให้คนอื่นดูถูกเราได้”


พ่อหยางพยักหน้า “ดี งั้นคุณไปเอาบัตร ATM ของพวกเราไปซื้อเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ในบ้านกัน”


แม่หยาง “เฮ้” ตอบกลับ แล้วเดินไปที่ห้องนอน


พ่อหยางสวมรองเท้า กำลังไปเข้าห้องน้ำ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอุทาน “โอ้” เขาจึงรีบวิ่งไปที่ห้องนอน


พอเข้าประตูไป เห็นภรรยานั่งอยู่ที่พื้น พ่อหยางตกใจ “เกิดอะไรขึ้น? หกล้มเหรอ?”


 


“ตาแก่ บัตรATM มันหายไป!” แม่หยางกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ


พ่อหยางนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วกระทืบเท้าทันที หยิบกระเป๋าผ้าที่มักจะใส่ของสำคัญเอาไว้ แล้วกล่าว “เป็นไปได้ยังไง?”


เปิดกระเป๋าผ้าออกมาซิ ไม่นานพ่อหยางถึงกับนิ่งอึ้งไป เพราะเปิดมาแล้วเขาก็ไม่พบบัตรATM เขาตกใจแล้วหันไปถามแม่


หยาง “แจ้งตำรวจ! แจ้งตำรวจ!แจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลย! พวกเราถูกขโมยขึ้นบ้าน!”


แม่หยางนิ่งอึ้งแล้วพยักหน้า พวกเขาสองสามีภรรยาไม่มีรายได้ใดๆ เงินนี้เป็นเงินบำนาญของพวกเขา ถ้ามันถูกขโมยไปจริงๆ ผลที่ตามมาคือหายนะ พวกเขาก็จะแก่เฒ่าอย่างไร้ที่พึ่งพิง!


หยิบมือถือออกมามือไม้สั่น กดแป้นพิมพ์ แม่หยางกำลังจะโทรออก พ่อหยางก็ห้ามเธอเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน!”


 


พูดจบ พ่อหยางก็ลุกขึ้นและมองไปที่หน้าต่าง วิ่งไปดูที่หน้าต่างของห้องครัวและห้องน้ำดูแล้วดูอีก สรุปว่าประตูนิรภัยไม่เสียหาย เขาวิ่งกลับมาที่ห้องนอน หยิบกระเป๋าผ้าขึ้นมา แล้วเอาทุกอย่างที่อยู่ข้างในออกมา


ค้นหาอีกรอบ พ่อหยางนั่งลงกับพื้นด้วยความขวัญหนีดีฝ่อ แล้วกล่าว “โฉนดบ้านก็หายไปด้วย”


แม่หยางตกใจมาก “โฉนดบ้าน? ขโมยบัตรATM ยังพอว่า จะขโมยโฉนดบ้านไปทำอะไร?”


พ่อหยางถอนหายใจ “ถ้าไม่มีรหัส ขโมยบัตรATM ก็เอาไปใช้ไม่ได้หรอก!”


“ก็จริงนะ!”แม่หยาง กล่าวแทรก แต่ว่าเธอมีปฏิกิริยาทันที มองไปที่พ่อหยาง “ที่คุณพูดหมายความว่าเสี่ยวหล่างเอาไปอย่างงั้นเหรอ?”


 


พ่อหยางนั่งอยู่ที่พื้น ไม่ได้เอ่ยปาก สักพักหนึ่งแล้วจึงกล่าว “สองสามวันมานี้มีแต่คนในครอบครัวเราตลอด ประตูและหน้าต่างยังคงดีอยู่ และก็ไม่มีคนนอกมา ในกระเป๋าก็มีเงินสดอยู่สองสามร้อย แต่โจรไม่ได้ขโมย แต่หยิบเอาเฉพาะบัตรATM ที่ไม่รู้รหัสไปทำอะไร?”


แม่หยางพยักหน้า “ฉันจะโทรไปหาเขาตอนนี้เลย”


พ่อหยางถอนหายใจเบาๆ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ


แม่หยางกดโทรเบอร์มือถือของหยางหล่าง ไม่มีใครรับโทรศัพท์เลย โทรไปสามครั้งติดๆ กันก็ไม่รับสายเลย สิ่งนี้ทำให้แม่หยางกังวลใจขึ้นมา “ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ?”


พ่อหยางส่ายหน้า “รออีกหน่อย รอเขาโทรกลับมา!”


 


ทุกๆ สองสามนาที แม่หยางจะโทรไปหนึ่งครั้ง เป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง หยางหล่างก็ไม่รับสาย แม่หยางก็อดใจรอไม่ไหวแล้ว


“พวกเราไปหาเขากันเถอะ!” แม่หยางเอ่ยปากกล่าว


“จะไปหาเขาที่ไหน?” พ่อหยางมองออกไปข้างนอก ในเวลานี้เกือบจะเที่ยงแล้ว หยางหล่างแม้ว่าจะนอนตื่นสาย ก็น่าจะตื่นแล้ว


ไม่กี่วันที่ผ่านมา หยางหล่างเริ่มไม่กลับบ้าน ในเวลานั้นเขาบอกว่าเขามีแฟน เขาทั้งคู่ไม่ได้สนใจ ต่อมาเขาได้พาแฟนสาวแสนสวยกลับมาด้วย ทั้งคู่สนใจแต่เรื่องสนุกเท่านั้น ไม่ได้คิดไปว่าเขาอยู่ที่ไหน ในเวลานี้อยากไปหาเขา แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนจริงๆ


“จะไปที่ไหนได้อีก? ร้านเหล้า บ่อนคาสิโน ร้านเกมส์ โรงแรม เพียงแค่นี้ก็จะหาเขาเจอ!” แม่หยางกล่าว


 


พ่อหยางพยักหน้าแล้วตอบกลับมา “พวกเราไปแจ้งอายัดบัตรที่ธนาคารก่อน ไม่ให้เขาเอาเงินออกไปได้!”


แม่หยางเห็นด้วย ทั้งคู่ไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ เอาบัตรประจำตัวประชาชน ล็อคประตูแล้วจึงมุ่งหน้าไปธนาคาร


แม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่โชคดีที่ย่านนี้ธนาคารยังเปิดให้บริการอยู่ พ่อหยางก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์พร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน “ผมต้องการแจ้งอายัดบัตรATMครับ!”


ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนให้ พ่อหยางรอพนักงานเคาน์เตอร์สาว ช่วยตามขั้นตอน เขารีบถาม “ในบัตรนี้ยังมีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ครับ?”


“รอสักครู่ค่ะ” พนักงานสาวเอาบัตรประชานไปทำข้อมูลเพิ่มเติม ไม่นานก็ตอบกลับมาว่า “คุณคะ ในบัตรของคุณยังเหลืออยู่สามหยวนสี่หยวน ขอถามนะคะ ยังต้องการแจ้งอายัดบัตรATMอยู่ไหมคะ?”


พ่อหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกแทบล้มทั้งยืน ส่ายตัวไปมาแทบจะตกเก้าอี้


 


แม่หยางที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินประโยคนี้ ต่อหน้าต่อตา ก็กรีดร้องอย่างโหยหวน “พระเจ้า ฉันมันทำบาปอะไร พระเจ้าถึงทำแบบนี้กับฉัน!”


แม่หยางร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้น ในบัตรมีเงินมากกว่าสามแสนหยวน พวกเขาทั้งคู่ลังเลที่จะใช้จ่าย ก็เพื่อเอาไว้ให้


หยางหล่างตอนแต่งงานมีลูก ถ้าหยางหล่างเอามันไปจริงๆ นั้นก็เหมือนเนื้อเข้าปากเสือไปแล้วย่อมไม่ได้กลับคืน!


พฤติกรรมของทั้งคู่ทำให้เป็นที่สนใจแก่คนรอบข้าง พนักงานสาวลุกขึ้นยืน เอ่ยปากถาม “ไม่เป็นอะไรนะคะ?”


เจ้าหน้าที่รปภ.ของธนาคาร รีบวิ่งมาพยุงแม่หยาง ผู้จัดการธนาคารก็วิ่งเข้ามาด้วย “เงินในบัตรหายไปหรือเปล่า? ผมจะโทรไปแจ้งความ ที่ตู้ATM ทุกตู้มีกล้องวงจรปิดอยู่ ไม่นานก็จะสามารถหาขโมยได้ พวกคุณไม่ต้องกังวล!”


พูดจบ ผู้จัดการธนาคารก็จะโทรไปแจ้งความ พ่อหยางรีบห้ามเขา “อย่าแจ้งความเลย พวกเรามาตรวจสอบอีกครั้ง มาตรวจสอบอีกครั้ง”


 


พูดแล้ว มือถือของแม่หยางก็ดังขึ้นมา แม่หยางรีบรับทันที “เสี่ยวหล่าง เสี่ยวหล่างลูกอยู่ที่ไหน?”


“แม่ ผมอยู่ที่เมืองหลวง? กำลังเดินบนกำแพงเมืองจีน ผมเลยไม่ได้ยินเสียงตอนที่แม่โทรมา โทรมาตั้งหลายสายมีธุระอะไรหรือเปล่า?” หยางหล่างถามอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่


“ลูกเอาบัตรATM ที่บ้านไปหรือเปล่า?” แม่หยางถาม


“เหอะเหอะ” หยางหล่างหัวเราะ “แม่ มันไม่ใช่แค่บัตรATMนะ ที่ผมเอามา รวมถึงเงินทั้งหมดด้วย ผมวางแผนที่จะไม่เล่นพนันอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงเอาเงินทั้งหมดมาเที่ยว!”


“นั้นมันสามแสนหยวนเลยนะ ไปเมืองหลวงต้องใช้เงินถึงสามแสนที่ไหนกัน!” แม่หยางน้ำตาไหลไม่หยุด เหมือนเลือดออกที่หัวใจของเธอ ถ้าเขาใช้เงินนี้ไปจริงๆ เธอคงต้องออกไปทำงานเพื่อคนในบ้านแน่!


 


“แม่ แม่ไม่รู้เหรอว่าโรงแรมหรูแห่งนี้ค่าพักแพงแค่ไหน สามแสนหยวนไม่มากเลย พักโรงแรมคืนหนึ่งก็หมื่นกว่าหยวนแล้ว ผมทั้งยังเช่ารถมาอีกคันหนึ่ง วันหนึ่งก็สองสามพันหยวน” หยางหล่างกล่าว


พ่อหยางนั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงไมโครโฟนตรงข้ามอย่างชัดเจน เขาโกธรจนเลือดขึ้นหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะคว้ามือถือจากมือของแม่หยาง ขว้างลงกระแทกพื้น กล่าวด้วยความโกธร “ไอ้ลูกชั่ว!”


พูดจบพ่อหยางก็ตกเก้าอี้ลงมาอยู่ที่พื้น


ตอนที่ 202 เกอเหยา เครื่องปั้นดินเผายุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ


เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลิวเจียจวิ้น ออกจากโรงพยาบาลกลับมาบ้านแล้ว เขายืนเหม่อลอยอยู่ในห้องเก็บของสะสม คุณนายโบกมือไปที่คนสามคนให้ทั้งสามอย่าไปรบกวนเขา หยางโปสามารถเข้าใจความรู้สึกนี้ การที่ทุ่มเททั้งแรงกายและสติปัญญามากกว่าสิบปีแต่กลับถูกทำลายลง ถึงแม้จะปฏิเสธทุกสิ่งอย่าง แต่ก็เป็นการทำร้ายอย่างรุนแรงจริงๆ


ชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดหลิวเจียจวิ้นก็มีปฏิกิริยา เขาหันไปมองก็เห็นว่าทุกคนมองมาที่เขา


เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ฉันไม่เป็นไร”


พูดจบ เขาก็มองไปที่ตาอ้วนหลิว “ในวันนี้ได้รับเงินคืนมาเท่าไหร่?”


“สองแสนสามพันดอลลาร์” ตาอ้วนหลิวอธิบาย เห็นหลิวเจียจวิ้นดูเศร้าสลดใจ ตาอ้วนหลิวรีบกล่าว “ยังหลงเหลือบางอย่างที่สามารถทยอยขายออกไปได้อยู่”


 


หลิวเจียจวิ้นโบกมือ “ที่ยังเหลือก็ให้ฉันก็แล้วกัน!ถึงแม้ว่าฉันจะเก็บไว้ไม่ได้ แต่การทำธุรกิจของฉันก็ไม่ได้แย่ยิ่งกว่าพวกเธอ!”


ตาอ้วนหลิว หันไปมองคุณนายเขาลังเลที่จะพูด คุณนายส่ายหน้า “ให้เขาไปเถอะ ยังเหลือบางสิ่งบางอย่างให้เขาก็ยังดี”


ตาอ้วนหลิว ไม่ได้พูดอะไรมาก


ทุกคนนั่งลงในห้องนั่งเล่น หยางโปซื้อเครื่องเคลือบเกอเหยาสามใบวางเอาไว้บนโต๊ะน้ำชา หลายปีมานี้หลิวเจียจวิ้นมีความคุ้นเคยกับของสะสมของตนเองเป็นอย่างดี เมื่อเห็นเครื่องเคลือบเกอเหยาบนโต๊ะน้ำชา เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หน้าถอดสี “เสียวหย่ง นายไปซื้อเครื่องเคลือบมาเหรอ?”


หยางโปรีบกล่าว “นี้มันเป็นของที่ผมซื้อมา คุณอย่าไปตำหนิเขาเลย”


 


หลิวเจียจวิ้นมองไปที่หยางโป แล้วมองดูเครื่องเคลือบเกอเหยาบนโต๊ะน้ำชาอีกครั้ง ก็เกิดความสนใจขึ้นมาอีก “ฉันขอดูหน่อย!”


พูดจบ หลิวเจียจวิ้นก็หยิบเครื่องเคลือบเกอเหยาใบหนึ่งขึ้นมา บนชามเครื่องเคลือบเหมือนดั่งลวดลายของเกล็ดปลาที่ซ้อนกันอย่างหนาแน่น หลิวเจียจวิ้นชำเลืองมอง ลูบแล้วลูบอีกถึงสองครั้งสองครา แล้วจึงหันไปกล่าวกับหยางโป “เครื่องเคลือบเกอ


เหยานี้ก็ธรรมดาทั่วไปนะ!”


หยางโปหัวเราะแล้วกล่าว “คุณลองเอาทั้งสามใบมาเปรียบเทียบกันดู”


หลิวเจียจวิ้นมองหยางโปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขามองไปที่เครื่องเคลือบเกอเหยาใบหนึ่งปากชามเป็นรูปกลีบทานตะวัน เครื่องเคลือบ เกอเหยาอีกใบหนึ่งก็ยังเป็นรูปทรงดอกทานตะวันเช่นเดียวกัน แต่ว่าในสายตาของหลิวเจียจวิ้นมองว่าเครื่องเคลือบเกอเหยาทั้งสามใบแทบจะไม่แตกต่างกันมาก


 


ตาอ้วนหลิวรู้ระดับของหยางโปดี ตั้งแต่เขาซื้อเครื่องเคลือบเกอเหยาทั้งสามใบมา ตาอ้วนหลิวจึงอยากรู้อยากเห็นมาก แต่เขาไม่มีเวลาถาม ในเวลานี้เขาก็ยังสังเกตอย่างระมัดระวัง


“ทั้งสามใบดูเหมือนจะมันวาวมากเลยนะ” ตาอ้วนหลิวมองดูแล้วถาม


แต่ว่า เขาก็ปฏิเสธตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วกล่าว “หรือว่านี้ไม่ใช่มันวาว นี่มันเป็นขี้ผึ้ง! นี่มันเคลือบด้วยขี้ผึ้ง!”


“ขี้ผึ้ง?” หลิวเจียจวิ้นรู้สึกประหลาดใจ เขาถูเครื่องเคลือบถูแล้วถูอีก เป็นไปตามนั้นเขารู้สึกว่ามันลื่นๆ


ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “ใช่ นี่มันคือขี้ผึ้ง ปกติแล้วเมื่อพวกเราซื้อส้มส่วนใหญ่จะดูเงางาม นั่นเป็นเพราะว่าร้านค้าเคลือบขี้ผึ้งบนผลส้ม เพื่อให้ดูมีความสดและรูปลักษณ์ที่ดี เครื่องเคลือบเกอเหยานี้ก็เคลือบขี้ผึ้งด้วยเหมือนกัน!”


 


พูดแล้ว ตาอ้วนหลิวก็หันไปมองหยางโป “ฉันพูดถูกหรือเปล่า?”


หยางโปพูดแล้วพยักหน้า “เป็นอย่างนั้นจริงๆ เครื่องเคลือบเกอเหยาทั้งสามใบนี้ต่างก็ถูกเคลือบด้วยขี้ผึ้ง ถึงแม้ว่ามันจะดูสดใส แต่สำหรับในแง่ของโบราณวัตถุ แต่ความรู้สึกทางประวัติศาสตร์ที่ล้ำลึกแบบนั้นถึงจะยังมีคุณค่า ทำแบบนี้ มันคือการทำให้เสียของแท้ๆ เลย”


พูดแล้ว หยางโปก็มองไปที่หลิวหย่ง “คุณช่วยผมหาน้ำด่างอัลคาไลน์มาหน่อยได้ไหม?”


หลิวหย่งตกตะลึง คุณนายหันไปกล่าวกับหลิวหย่ง “ไปที่ห้องครัว ฉันเพิ่งใช้ด่างอัลคาไลน์นึ่งหมันโถไป ใช้น้ำที่กลั่นแล้วก็คือน้ำด่างอัลคาไลน์”


หยางโปเตือนอย่างรวดเร็ว “จะให้ดีที่สุดต้องใช้น้ำที่ยังอุ่นอยู่”


 


หลิวหย่งพยักหน้าแล้ววิ่งไป ไม่นานหลิวหย่งก็วิ่งกลับมา ในมือถือน้ำด่างอัลคาไลน์มาหนึ่งชาม หยางโปก็เตรียมผ้าก๊อซไว้แล้ว เขาก็จุ่มผ้าก๊อซในน้ำด่างอัลคาไลน์แล้วค่อยๆ เช็ดไปที่เครื่องเคลือบเกอเหยา เครื่องเคลือบเกอเหยาก็มีขี้ผึ้งหลุดลอกออกมาเป็นแผ่นๆ รอยแตกบนพื้นผิวก็เป็นที่ซ่อนของสิ่งสกปรกในระหว่างที่ลอกออกมา หลังจากที่หยางโปเช็ดถูออกไปแล้ว ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที


เครื่องเคลือบเกอเหยาไม่ได้ถูกปรับปรุง มันจึงดูรู้สึกแปลกตามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ขี้ผึ้งหลุดออกมา ทำให้เครื่องเคลือบเกอเหยามีความงามที่โดดเด่นขึ้นมาก!


เมื่อเช็ดไปที่เครื่องเคลือบทรงดอกทานตะวัน ทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่าการเคลื่อนไหวของหยางโปนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม เขาดูระมัดระวังมากขึ้น ถึงขนาดดึงเสื่อมารองอยู่ด้านล่าง กลัวว่าเครื่องเคลือบชิ้นนี้จะตกแตก


 


ตาอ้วนหลิวในใจนี้ก็อยากรู้อยากเห็น ที่ก้นของเครื่องเคลือบเกอเหยาไม่มีรอยจารึกแต่อย่างใด แต่ด้านล่างของเครื่องเคลือบเกอเหยาปากรูปกลีบดอกทานตะวันมีจารึกคือ “ยุคสมัยจักรพรรดิคังซีแห่งราชวงค์ชิง” เครื่องเคลือบทรงดอกทานตะวันใบสุดท้ายแม้ว่าจะยังอยู่ในมือของหยางโป แต่เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบนี้ก็ไม่มีรอยจารึกที่ก้นชาม


“นายซื้อมาเท่าไหร่?” หลิวเจียจวิ้นถาม


“สามหมื่นยูโร” หลิวหย่งตอบ


หลิวเจียจวิ้นค่อนข้างประหลาดใจ เพราะราคามันสูงมาก เทียบเท่ากับสามแสนหยวน!


หลิวเจียจวิ้นมองไปที่หยางโป “ทั้งหมดนี้เป็นของแท้หรือเปล่า?”


 


หยางโปหัวเราะ “เมื่อกี้คุณพึ่งจะดูไปแล้ว ผมก็อยากจะถามคุณเหมือนกัน คุณคิดยังไงกับทั้งสามใบนี้?”


หลิวเจียจวิ้นส่ายหน้า “ผมไม่รู้ นี้มันกี่ปีแล้ว ผมก็แค่อ่านในหนังสือนิดหน่อย รู้สึกว่ามันก็ไม่เลวเลย แท้จริงแล้วผมไม่มีความรู้แม้แต่น้อย”


ตาอ้วนหลิวนั่งอยู่ข้างๆ จับเครื่องเคลือบทรงดอกทานตะวันใบสุดท้ายขึ้นมา ดูถึงสองครั้งสองคราก็กล่าวทันที “นี้คือลวดลายไหมทองเชียวเหรอ?”


พูดแล้ว ตาอ้วนหลิวก็มองไปที่หยางโป


หยางโปยิ้มและพยักหน้า กล่าวอธิบาย “มันคือลวดลายไหมทองจริงๆ รอยร้าวสีดำเข้ากันกับรอยร้าวสีแดงและรอยร้าวสีเหลืองอย่างละเอียดลออ ชนิดนี้คือลายมณีรัตน์”


 


ตาอ้วนหลิวมองไปที่หยางโปรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น เครื่องเคลือบเกอเหยาใบนี้ก็เป็นของแท้น่ะสิ?”


“นี้คือเครื่องปั้นดินเผายุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ” หย่างโปกล่าว


ตาอ้วนหลิวถึงกับตกตะลึงเลยทีเดียว เขาอุทานขึ้นทันที “นายว่ายังไงนะ? เครื่องปั้นดินเผายุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ?”


หยางโปและคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจกับปฏิกิริยาของตาอ้วนหลิว แต่ว่ามีเพียงหยางโปเท่านั้นที่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงตกใจขนาดนั้น


ตาอ้วนหลิวเห็นสีหน้าของ หลิวเจียจวิ้นและคนอื่นๆ จึงรีบอธิบาย “ในประเทศมีเครื่องปั้นดินเผายุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ใบเดียวที่อยู่ในพระราชวังต้องห้าม ถ้าหากว่าใบนี้เป็นของแท้ งั้นมันก็จะเป็นใบที่สองของโลก!”


 


หลิวเจียจวิ้นตื่นตกใจ เขาไม่สนใจเครื่องเคลือบเกอเหยาทั้งสองใบอีกต่อไป เขามองไปที่หยางโป “นี่มันเป็นเรื่องจริงเหรอ?”


หยางโปพยักหน้าแล้วกล่าว “ผมไม่ค่อยรู้จักเครื่องเคลือบเกอเหยามากนัก ตอนนี้บอกได้เพียงว่ามันมีความเป็นไปได้มาก ผมยังต้องการเอามันกลับประเทศเพื่อเอาไปตรวจสอบ ถ้าหากว่าเป็นของแท้ มันก็จะมีมูลค่ามากอย่างแน่นอน “


หลิวหย่งมองหยางโปด้วยความอิจฉา เขารู้ดีว่าเฉพาะเครื่องเคลือบใบนี้ของหยางโปจะทำให้เขาสามารถมีเงินใช้ได้ทั้งชีวิต เขาหันไปมองด้านข้าง ทั้งมองหลิวเจียจวิ้นมองแล้วมองอีก “แล้วอีกสองอันล่ะ? ผมสามารถซื้อมันเป็นมรดกสืบทอดได้หรือเปล่า?”


 


หยางโปตกตะลึงเล็กน้อย สังเกตเห็นความอิจฉาตาร้อน ที่อยู่ภายในตัวของหลิวเจียจวิ้น “เครื่องเคลือบเกอเหยานี้เป็นของปลอมแน่นอน แต่มันก็น่าจะนานกว่าสิบปีแล้ว สำหรับเครื่องเคลือบเกอเหยารูปกลีบดอกทานตะวันเป็นการสร้างเลียนแบบสมัยจักรพรรดิคังซี พบว่าปรากฏการณ์ในสมัยราชวงศ์ หมิงและชิง เครื่องเคลือบเกอเหยาที่เลียนแบบการเผาของเตาเผากวานเหยา (เตาทางการที่ผลิตภาชนะสำหรับราชสำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือและซ่งใต้) ใบนี้ก็เป็นของแท้แน่นอน!”


หลิวหย่งกำลังจะพูด แต่หลิวเจียจวิ้นห้ามเขาเอาไว้ “ไม่ต้องแล้ว ในเมื่อฉันอยากจะเลิกเก็บสะสม พูดแล้วก็ต้องรักษาคำพูดเอาไว้ฉันไม่อยากซื้อมันแล้ว”


หลิวหย่งมองแล้วมองอีกด้วยความลังเล เห็นหลิวเจียจวิ้นยืนกรานแบบนี้ เขาก็เลยต้องยกเลิกความคิดที่จะพูดต่อ


ตอนที่ 203 เงินช่วยชีวิต


ชื่อของเครื่องเคลือบเกอเหยา ไม่พบในเอกสารสมัยราชวงศ์ซ่ง เพิ่งจะมีการกล่าวถึงเครื่องเคลือบเกอเหยาในสมัยราชวงศ์หยวน ซวีจือเหิง คนในสมัยราชวงศ์ชิง บันทึกอิ่นหลิวไจพูดถึงเครื่องเคลือบลายคราม เมืองหลง


ฉวนในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ มีพี่น้องตระกูลจางทำเครื่องเคลือบเลี้ยงตัว จางเซิงอี้ผู้พี่ทำเครื่องเคลือบที่มีเนื้อลายละเอียดคุณภาพดี ลวดลายที่เป็นรอยแตกร้าวซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นจึงถูกตั้งชื่อว่าเกอเหยา ซึ่งนี่ดูจะสมกับชื่อเสียงดี หลังจากการก่อตั้งประเทศแล้วขุดค้นทางโบราณคดีในเมืองหลงฉวน ได้ค้นพบศิลาดลเนื้อแตกลายสีดำ เครื่องเคลือบลายครามเมืองหลงฉวนลวดลายละเอียด


เครื่องเคลือบเกอเหยาราชวงศ์ซ่งที่สืบทอดกันมา เครื่องมือแกะสลักสร้างในรูปแบบเครื่องทองสัมฤทธิ์มากขึ้น เช่นเดียวกับรูปแบบเครื่องลายครามที่ราชสำนักใช้ มันน่าจะมาจากเตาเผาหลวงเอง และดังกล่าวข้างต้น เกอเหยาของจางเซิงอี้เผาแค่ในเตาส่วนตัวของชาวบ้าน


 


ต่อมา หลังจากการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีแล้ว และก็ตรวจสอบความแตกต่างระหว่างทั้งสองใบด้วย ทุกคนทำได้แค่เพียงคาดเดา เครื่องเคลือบเกอเหยาราชวงศ์ซ่งดูเหมือนว่าจะมาจากเตาเผาหลวงที่สร้างในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เพียงแต่ว่าเตาเผาหลวงในเวลานั้นถูกเก็บเป็นความลับจากผู้คน เมื่อเตาถูกทิ้งและได้ทำการอีกครั้ง ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังหาที่ตั้งของเตาเผาไม่พบ เพราะรุ่นต่อมาชื่อเสียงของเครื่องเคลือบเกอเหยาของจางเซิงอี้โด่งดังมาก มันขึ้นชื่อว่าเครื่องเคลือบล็อตนี้ออกมาจากเตาหลวงในสมัยซ่งใต้ น่าจะทำให้เกิดส่วนที่ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็ถูกดึงมาวิเคราะห์ไปด้วย


หยางโปได้รับเครื่องเคลือบเกอเหยาของราชวงค์ซ่งเหนือซึ่งมันหายากมากๆ มีคุณค่าต่อการศึกษาสูงมากจริงๆ


ดังนั้น ในคืนที่ได้รับเครื่องเคลือบเกอเหยา หยางโปเลยจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ในตอนเช้ามืดฟ้าสลัว หลิวหย่งก็ได้ขับรถไปส่งทั้งสองคนถึงสนามบิน


 


หยางโปเอาใบแจ้งหนี้ติดตัวไปกับเขาด้วย เขาเตรียมตัวไว้พร้อมนานแล้ว เครื่องเคลือบเกอเหยาทั้งสามใบนี้ เขาจะต้องยื่นภาษี มูลค่าสามหมื่นยูโร ภาษีมูลค่าเพิ่มรวมแล้วเกือบ 30% ภาษีอย่างมากที่สุดก็เก้าหมื่นหยวน เขายังคงสามารถเอามันออกมาได้


แม้ว่าหยางโปนั้นจะเข้าใจดีว่าตอนนี้การตรวจสอบงานศิลปะไม่ค่อยเข้มงวดมาก ภายใต้สถานการณ์ปกติยังสามารถผ่านได้ โดยไม่ต้องยื่นภาษี แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าเครื่องเคลือบเกอเหยาของราชวงค์ซ่งเหนือถูกเปิดเผย ในการตรวจสอบจะมีผู้สื่อข่าวคอยติดตามเขา ข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆนี้ จะทําให้เสื่อมเสียได้


หยางโปรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน เขาปิดมือถือ


แม่เห็นพ่อหยางล้มลง ทันใดนั้นก็ตื่นตระหนก เลิ่กลั่กไม่รู้จะทำยังไง


 


โชคดีที่ทุกคนกระตือรือร้นมาก ช่วยโทรไปยังเบอร์รถฉุกเฉิน ไม่นาน รถพยาบาลก็มาถึง แม่หยางตามไปที่โรงพยาบาล


ถึงโรงพยาบาลแล้ว พยาบาลที่กำลังถือรายการ หันไปถามแม่หยาง “คุณต้องไปจ่ายเงินก่อน”


แม่หยางจู่ๆ ก็นิ่งอึ้งไป เธอไม่มีเงินในบัตรATM หยางหล่างก็ลั้นลาอยู่เมืองหลวง ตอนนี้คงมาไม่ทัน เธอต้องพูดโกหก “คุณพยาบาล ตอนนี้ฉันไม่มีเงินติดตัวมา ขอกลับไปเอาที่บ้านก่อนได้ไหม แล้วจะเอามาให้ทีหลัง?”


พยาบาลขมวดคิ้ว “ไม่ได้ คุณกลับไปไม่ได้ ต้องมีใครอยู่ที่นี่สักคน ถ้าหากอีกเดี๋ยวมีจุดที่ต้องเซ็นชื่อขึ้นจริงๆ คุณไม่ได้อยู่ที่นี่นั่นก็จะใช้เวลานานเกินไป ฉันคิดว่าอย่างนี้แล้วกัน คุณโทรหาคนในบ้านให้เอามาส่งนะ”


 


แม่อารมณ์เสียขึ้นมา มือถือของเธอพังเสียแล้ว มือถือของพ่อหยางที่เธอพึ่งจะหยิบขึ้นมา แต่ข้อตกลงของพ่อ


หยางและหยางโป ไม่มีเบอร์โทรของหยางโปอยู่แต่แรกแล้ว อย่างนี้แล้วจะให้เธอไปเอาเงินมาจากไหน?


“คุณรอสักครู่นะ ฉันจะโทรให้คนเอามาให้!” แม่ต้องเกลี้ยกล่อมพยาบาลให้ออกไป แล้วจึงเริ่มต้นในการดูสมุดรายชื่อ


แม่โทรไปหาหยางหล่างอีกครั้ง ไม่นานก็ติดต่อได้


“พ่อ พ่อไม่ได้ด่าว่าผมเป็นลูกชั่วเหรอ? ยังจะโทรมาหาผมทำไม? พ่อกำลังวางแผนที่จะจ่ายเงินให้ผมไปลั้นลามากขึ้นเหรอ?” พูดแล้ว ฮ่า ฮ่า หยางหล่างก็หัวเราะขึ้นมา


แม่หยางได้ยินคำพูดแบบนี้ ทันใดนั้นก็โกรธเอามากๆ กล่าวด้วยความโกรธ “พ่อของแกโกธรแกจะตายอยู่แล้ว แกยังหัวเราะได้อีก!”


 


ฮ่าฮ่า หยางหล่างยังคงหัวเราะแล้วกล่าว “โกธรมากก็ดี เขาไม่ดูถูกผมไปตลอดเลยล่ะ? เขาไม่รู้สึกมาตลอดเลยเหรอว่าผมไม่สามารถเปรียบเทียบกับลูกชายคนเล็กของเขาได้? ผมแค่อยากจะทำให้เขาโกรธมาก ให้เขาโกรธมากๆ!”


แม่ใจแทบขาด “อาเสี่ยวหล่าง พ่อแกโกธรแกจนเข้าโรงพยาบาลแล้ว แกจะให้พ่อแกโกรธแกไปจนตายจริงๆ เหรอ?”


หยางหล่างตกตะลึง จากนั้นจึงกล่าว “แม่ ผมขี้ขลาด อย่าทำให้ผมตกใจสิ!”


“ถ้าแกขี้ขลาด ถ้าแกขี้อายแกก็คงจะไม่ขโมยบัตรเครดิตATMที่บ้านออกไปเที่ยวข้างนอกหรอก!” แม่อยากจะดุด่าหยางหล่างชุดใหญ่


 


แต่เธอไม่มีแรงมากขนาดนั้น เพียงแค่ถาม “แกเอาโฉนดบ้านไปทำไม?”


“แม่โฉนดบ้านมันเป็นชื่อของผม ต่อไปก็ต้องให้ผมนี่ ผมเอามาตอนนี้ก็ไม่เร็วไปนะ!” หยางหล่างกล่าว พูดแล้ว เขาจึงถามนอกเรื่องอีกครั้ง “จริงสิ แม่ แม่โทรมามีธุระอะไร? ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ผมจะวางสายแล้ว นี้ผมยังเดินบนกำแพงเมืองจีนอยู่นะ!”


“หยางหล่าง!” แม่ตวาด “แกรีบกลับมาเดี๋ยวนี้ พ่อของแกถูกพาไปที่ห้องฉุกเฉินแล้ว แกรีบส่งเงินกลับมาหน่อย!”


หยางหล่างหัวเราะเหอเหอ “แม่ อย่าโกหกผมเลย ผมยังเดินบนกำแพงเมืองจีนอยู่ มีธุระอะไรกลับไปค่อยพูดกันอีกทีก็แล้วกันนะ!”


พูดจบ หยางหล่างถึงกับวางสายจริงๆ!


 


แม่ถือโทรศัพท์ ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอโทรกลับอีกครั้ง ครั้งนี้หยางหล่างไม่รับสาย และกดตัดสายทันที


แม่ถือโทรศัพท์ คุกเข่าบนทางเดินของโรงพยาบาล น้ำตาไหลทั้งสองตา เธอคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นอย่างนี้ โฉนดบ้านก็ถูกเอาไปแล้ว อย่างนี้ดูเหมือนว่าในอนาคตมีโอกาสสูงมากที่จะไม่มีบ้านให้อยู่


แม่คิดแล้วคิดอีก จำเบอร์มือถือของหยางโปไม่ได้ ตอนนี้เบอร์โทรก็ถูกเก็บไว้ในมือถือ เธอไม่สนใจที่จะจำ ทำให้ตอนนี้เธอจำไม่ได้


เลื่อนดูรายชื่อผู้ติดต่อ แม่คิดแล้วคิดอีก ยังคงวางแผนที่จะโทรหาญาติพี่น้องที่ลี่ซุ่ย ในเวลานี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว


 


หยางหล่างหืดหอบจึงหยุดก้าวเดิน ขั้นบันไดสูงชันมากของกำแพงเมืองจีนในส่วนนี้ เขาไม่ได้ก้าวเดินบ่อยทำให้เขารู้สึกกินแรง ไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังต้องขึ้นไปคนเดียว


หลานเย่วหยุดอยู่ในที่พักข้างบันไดที่กว้างขึ้นเล็กน้อย นั่งลงแล้ว เธอมองไปที่หยางหล่าง “เป็นยังไง? ทำไมวันนี้ยายแก่ถึงโทรหาคุณตลอดเลย หรือพวกเขาพบว่าคุณเอาบัตรATMและโฉนดบ้านมาแล้ว?”


หยางหล่างหัวเราะเหอะเหอะ “ไม่มีอะไร ยังไงผมก็ไม่ได้อยู่ในจินหลิง แม้ว่าพวกเขาจะรู้แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ฮะฮะ ขายบ้านออกไปหนึ่งล้านหยวน แล้วมีเงินสดอยู่ในมือ นี่มันดีจริงๆ!”


หลานเย่วหันไปมองหยางหล่าง “นายภูมิใจกับเงินนี้ไหม?”


เฮ้ เฮ้ หยางหล่างหัวเราะ “ภูมิใจไม่น้อยเลย”


 


หลานเย่วเงยหน้าขึ้นมอง เผยให้เห็นต้นคอที่ขาวใส ร้องอืมเบาๆ แล้วกล่าว “นายไม่มีท่าว่าจะมีอนาคตที่สดใสเลยจริงๆ นายดูน้องชายของนายสิ เขาหยิบเครื่องเคลือบลายครามชิ้นหนึ่งก็ได้สองสามล้านหยวนแล้ว ในเวลานี้นายมีหนึ่งล้านกลับมีความสุขถึงขนาดนี้!”


หยางหล่างรีบจับมือของหลานเย่ว ลูบเบาๆ ยิ้มแล้วกล่าว “เธอดูสิ ผมไม่ได้ให้ของขวัญแก่คุณไปหกแสนหกหมื่นหยวนเหรอ? เราสองคนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ดี?”


หลานเย่วดึงมือออกมา ยืนขึ้นทันที แล้วเดินไปบนกำแพงเมืองจีน หันหลังกลับแล้วตอบ “เมื่อคุณตามทันฉัน พวกเราก็จะแต่งงานกัน!”


หยางหล่างกระโดดด้วยความดีใจ รีบวิ่งไล่ตามไป แล้วพูดออกมาดังๆ “ผมตามคุณทันแน่นอน!”


ตอนที่ 204 ค่ารักษาพยาบาล


ลงจากเครื่องบินมาแล้ว เฉาหยวนเต๋อก็มารับพวกของหยางโป ได้ยินว่าหยางโปซื้อเครื่องเคลือบเกอเหยาในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ เฉาหยวนเต๋อ ตื่นเต้นที่จะติดต่อสถาบันวิจัยSICCASทันที เพื่อขอให้อีกฝ่ายให้หยางโปเอาเครื่องเคลือบเกอเหยาเข้าไปทำการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี


หยางโปถือกล่องอยู่ ในกล่องเก็บเครื่องเคลือบเกอเหยาทั้งสองใบโดยเฉพาะ


เฉาหยวนเต๋อ เขาจ้องมองมาชั่วขณะหนึ่ง ยังไม่อยากไป “รถสะเทือนมาก อย่าให้ตกนะ รอจนกว่าจะถึงที่แล้วค่อยพูด”


หยางโปหัวเราะอย่างไม่ได้ใส่ใจ แค่รักษาสมบัตินี้ ไม่ต้องระวังมากขนาดนั้นเลย


 


เฉาหยวนเต๋อดูตื่นเต้นเล็กน้อย “ถ้าเป็นเครื่องเคลือบเกอเหยาของจริงอาจจะเป็นไปได้ว่าจะเปิดเผยความลึกลับของเตาเผาเกอเหยาได้!”


หยางโปยังไม่มีเวลาพูดคุย เสียงมือถือก็ดังขึ้นมา เขามองดู พบว่าเป็นหมายเลขนั้นโทรมาจากเยอรมนี


รับโทรศัพท์แล้ว เสียงของฝ่ายตรงข้ามคือเสียงของหงอวี้ “คุณหยางโปตอนนี้คุณยังอยู่ที่เยอรมนีไหม?”


หยางโปค่อนข้างประหลาดใจ คิดว่าหงอวี้ฝั่งนั้นต้องมีปัญหาอะไร เลยเอ่ยปากถาม “ผมกลับประเทศแล้ว ฝั่งนั้นคุณไม่มีอะไรใช่ไหม?”


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” หงอวี้รีบกล่าว “แค่แม่ของผมอยากจะขอบคุณอีกครั้ง อยากจะเชิญคุณมาทานอาหารสักมื้อ”


 


“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นเลย จริงสิ คุณออกจากโรงพยาบาลแล้วหรือยัง?” หยางโปถาม


“ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน นี่จะขยับยังขยับไม่ได้ รู้สึกเหมือนมีสนิมเกาะอยู่เลย”หงอวี้ตอบ


“ฟื้นฟูร่างกายให้ดี มีเรื่องอะไรก็ให้ไปปรึกษาแพทย์ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอก” หยางโปกล่าว


“อืม” หงอวี้เอ่ย จากนั้นจึงถาม “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”


“ผมอยู่จิ่งเฉิง” หยางโปตอบ


“โอเค งั้นผมไม่รบกวนแล้ว”


 


กล่าวอำลาคำหนึ่งแล้วหยางโปจึงวางสาย เขามักจะรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายมีอะไรอยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูด แต่เขาไม่ว่างจริงๆ และก็ไม่ทันได้คิดมากความ


พอถึงห้องวิจัยSICCASแล้ว นักวิจัยได้นำเอาส่วนเล็กๆ จากฐานเครื่องเคลือบเกอเหยาทรงดอกทานตะวัน ไม่นานก็ส่งไปที่ห้องแล็บ เฉาหยวนเต๋อเลยได้รับโอกาสสังเกตมันอย่างใกล้ชิด


พลิกดูอยู่สักพัก ในที่สุดเฉาหยวนเต๋อก็ลุกขึ้นยืน ถอนหายใจแล้วกล่าว “เป็นของที่ดีจริงๆ เส้นไหมทองและสายใยเหล็ก ล้วนมีฟองอากาศในการเคลือบ”


เครื่องเคลือบเกอเหยามักจะเคลือบหนามาก ความหนาที่เท่ากันของยางและจุดที่หนาที่สุด ฟองอากาศในการเคลือบ ราวกับเม็ดไข่มุก ท่วงทำนองความงามเหมือนกับ “ไข่มุกฟองอากาศรวมกลุ่มกัน”


 


หยางโปหัวเราะ พยักหน้าแล้วกล่าว “ความงามที่แท้จริงของเครื่องเคลือบเกอเหยา มันอยู่ในลักษณะเหล่านี้”


เฉาหยวนเต๋อตื่นเต้นนิดหน่อย แม้ว่าจะพูดจากการประเมินตามที่เห็น ใบนี้เป็นเครื่องเคลือบเกอเหยาราชวงศ์ซ่ง แต่ในปัจจุบันมีเครื่องเคลือบเกอเหยาราชวงศ์ซ่งเพียงใบเดียว ที่เหลือคือเครื่องเคลือบเกอเหยาของเมืองหลงฉวนราชวงศ์ซ่งใต้ ถ้าหากได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นของจริงแล้วมันจะยิ่งใหญ่มาก


หยางโปอยู่ในอารมณ์สงบ เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถมั่นใจได้ในตอนนี้ว่าเครื่องเคลือบเกอเหยาทรงดอกทานตะวันใบนี้ มันถูกสร้างขึ้นจริงในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ นึกถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้แล้วเขาก็อดมีความสุขไม่ได้


เวลานั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ทุกคนกำลังรอคอยอย่างเงียบๆ


 


แม่หยางโทรติดต่อตลอด ในที่สุดญาติที่ลี่ซุ่ยก็เอาเงินมาให้สองหมื่นหยวน แล้วเอาไปจ่าย ในเวลานี้การปฐมพยาบาลก็เสร็จลงแล้ว


พบว่าหมอเดินออกมา แม่รีบวิ่งเข้าไป “คุณหมอ เขาเป็นยังไงบ้างคะ?”


“คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ ดูจากรอยแผลเป็นที่หน้าท้อง เขาผ่านการผ่าตัดมายังไม่นานใช่ไหมครับ?” หมอถาม


แม่หยางพยักหน้า “ใช่ค่ะ ยังไม่นานมาก”


“คนไข้เป็นโรคหัวใจ คราวนี้มันเกิดขึ้นโดยฉับพลันเพราะมาจากการช็อกหรือมีการกระทบกระเทือนทางจิตใจ ต่อไปต้องระมัดระวัง ไม่ควรจะให้ผู้ป่วยต้องกระทบกระเทือนอีก”


 


แม่รีบพยักหน้า โค้งคำนับแล้วกล่าว “ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณคุณหมอจริงๆ ค่ะ”


ส่งคุณหมอแล้ว แม่นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อหยางที่พึ่งจะหายจากมะเร็งตับ ตอนนี้ยังมาเป็นโรคหัวใจอีก น้าที่นำเงินมาช่วยเหลือแม่เข้ามาปลอบใจ


“สองพี่น้อง หยางหล่างกับหยางโปล่ะ?” พบว่าการปลอบใจนั้นไม่ได้มีผลมากนัก ที่น้านั้นถามขึ้นมา


แม่ส่ายหน้า “หยางหล่างไปข้างนอก ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ หยางโปก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน?”


“อีกคนไปข้างนอก อีกคนก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน?” น้ารู้สึกประหลาดใจ แล้วถามด้วยความโกธร “พ่อของพวกเขาเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าอยู่ข้างนอก ก็ต้องรีบกลับมา อีกคนก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน? เขาคงไม่สามารถไปถึงดาวอังคารใช่ไหม?”


 


พูดจบ น้าก็หยิบมือถือออกมา โทรไปหาหยางหล่าง กล่าวพึมพำ “โทรหาพี่ใหญ่ก่อน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้าไม่กลับมา?”


โทรไปไม่นานก็โทรติด น้าถามด้วยความร้อนใจ “หยางหล่าง แกอยู่ที่ไหน? พ่อของแกตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน แกรู้หรือเปล่า?”


หยางหล่างพึ่งจะลงมาจากการเดินบนกำแพงเมืองจีน รู้สึกอ่อนเพลีย พอได้ยินอย่างนี้แล้วก็ตกตะลึง “น้า น้าล้อกันเล่นใช่ไหม? พ่อแข็งแรงจะตาย ตอนที่ผมออกมา เขาก็ยังดีๆอยู่เลย แล้วจะไปอยู่ที่ห้องICUได้ยังไง?”


“เลอะเทอะ! พ่อแกพึ่งผ่าตัดได้ไม่นาน ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอมาก ฉันบอกให้เขาเข้าห้องICUไป จะยังโกหกแกได้อยู่อีกรึไง? ไม่ว่าตอนนี้แกจะอยู่ที่ไหน รีบกลับมาหาฉันที่นี่ทันที!” น้ากล่าวด้วยความโมโห


 


หยางหล่างรู้สึกตกใจจนตัวสั่น พึมพำอยู่ในใจ แม่เคยโทรมาแล้ว เขาไม่ได้จริงจังกับมัน ในเวลานี้เขากังวลใจ เพราะว่าเขานั้นรู้ดีว่าพ่อคือที่พึ่งทางการเงินของเขา หากพ่อเกิดเรื่องจริงๆ แล้วในอนาคตเขาจะใช้ชีวิตยังไง?


“ได้ ผมจะรีบกลับเดี๋ยวนี้เลย!” หยางหล่างกล่าว


หลานเย่วยืนอยู่อีกฝั่ง ได้ยินอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เห็นหยางหล่างตอบตกลง เธอเอ่ยปากกล่าว “ตาแก่บ้านคุณอยู่โรงพยาบาลยังไม่ตายเหรอ?”


“คุณพูดดีๆ หน่อย!” หยางหล่างกล่าวอย่างไม่พอใจ


“โอ๊ย!” หลานเย่วจ้องมองหยางหล่าง เธอเลิกคิ้วงามข้างหนึ่ง “นี่ใครจะพูดก่อน? ตอนอยู่บนเตียงก็ยอมจำนนทุกอย่าง ตอนนี้กล้าตะโกนใส่ฉันแล้ว?”


 


“หยางหล่าง คุณจำไว้นะ ฉันไม่ใช่ว่าจะโกรธได้ง่ายๆ ถ้าคุณกล้าที่จะยั่วโมโหฉัน ระวังฉันจะทำให้คุณเจ็บตัว! “


พูดจบ หลานเย่วจ้องมองหยางหล่างด้วยสายตาอาฆาตแล้วไม่ได้พูดอะไร


หยางหล่างไม่มีทางเลือก “เอาล่ะๆ ผมผิดไปแล้ว โอเคไหม? ตอนนี้พวกเราเรียกแท็กซี่ไปที่สถานีขนส่งกัน”


“หยางหล่าง คุณจะรีบกลับไปเหรอ?” หลานเย่วถาม


หยางหล่างเงยหน้าขึ้นมอง “เขาอยู่ในห้องICU จะไม่ให้ผมกังวลได้ยังไง? ก่อนนี้คุณบอกว่าจะออกไปเที่ยว ได้ พวกเราก็ออกไปแล้ว! คุณบอกว่าคุณสามารถขายบ้านได้ พวกเราก็ขายบ้านแล้ว! ผมเชื่อฟังคุณทุกอย่าง ตอนนี้ฟังผมอีกสักครั้งจะเป็นไรไป?”


 


หลานเย่วจ้องมองหยางหล่าง “งั้นคุณรู้สึกว่าฉันสำคัญตัวเองผิดไปใช่ไหม?”


“ผมไม่ได้พูดว่าอย่างนั้นเลย!” หยางหล่าง กล่าวแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


หลานเย่วใบหน้าเต็มไปด้วยความโกธร “คุณไม่มีสมองเลยสักนิด? คุณรีบกลับไปแล้วจะทำอะไรได้ในเวลานี้? แม่ของคุณไม่โทรไปหาน้องชายของคุณเหรอ? เขากระเป๋าหนักขนาดนั้น ในเวลาแบบนี้ ค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ถูกหักออกไปก่อนเหรอ? คุณจะรีบกลับไปจ่ายบิลหรือยังไง!”


ได้ยินแบบนั้นหยางหล่างก็นิ่งอึ้งไปทันที


ตอนที่205 รีบมาถึงแล้ว


ไม่นาน ผลการวิเคราะห์ก็ถูกส่งออกไป เฉาหยวนเต๋อรับผลนั้นมาแล้วเปิดไปที่หน้าสุดท้ายทันที


หยางโปยืนอยู่ข้างๆ เห็นบรรทัดสุดท้าย “มีความคล้ายคลึงกับเครื่องเคลือบเกอเหยาทรงดอกโบตั๋นสามสีในสมัยราชวงค์ซ่งเหนือถึง 98.46%”!


เฉาหยวนเต๋อมองไปที่หยางโปอย่างตื่นเต้น “มีความคล้ายคลึงกันถึงเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์ นี่มันบอกได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งสองใบมีส่วนประกอบที่เหมือนกัน! เครื่องเคลือบเกอเหยาใบที่สองของราชวงศ์ซ่งเหนือได้ปรากฏขึ้นแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่มากอย่างแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่จะได้รับการยืนยันอย่างเต็มที่มากขึ้นว่าในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือก็มีเครื่องเคลือบเกอเหยาอยู่แล้ว!”


 


หยางโปพยักหน้า “มีหลักฐานที่เพียงพอ แต่ก็ไม่เคยพบปากเตาเผาเกอเหยา และก็ไม่มีอะไรที่ชี้นำมากนัก”


เฉาหยวนเต๋อถูกคำพูดของหยางจี้จุดเข้า เขาจ้องมองไปที่หยางโป


ตาอ้วนหลิวนั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วกล่าว “อย่าถือสาคำพูดของเขาเลย อย่างน้อยของชิ้นนี้ก็นับว่าเป็นของที่หายากมาก คุณได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่แล้ว!”


หยางโปอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา แม้ว่าจะไม่คำนึงถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของเครื่องเคลือบเกอเหยานี้ แต่สำหรับเขาแล้ว มันเป็นเงินก้อนโตเลยทีเดียว!


เสียงมือถือดังขึ้นมา หยางโปเห็นว่าเป็นเบอร์ของอาโทรเข้ามาก็รู้สึกตกใจ เขาจึงรับสาย


“อา อาโทรหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า?”


 


“แกยังจะมาถามฉันว่ามีธุระอะไรอีกเหรอ? ตอนนี้พ่อของแกป่วย อยู่ในห้องฉุกเฉิน แกไม่รู้เลยเหรอ?” อากล่าวอย่างดุดัน


หยางโปตกใจ แล้วจึงถามทันที “ป่วยเป็นอะไร ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหน?”


แม้ว่าพ่อจะดุด่าแรงมาก แต่ในเมื่อพ่อป่วย หยางโปก็ต้องละทิ้งความคับแค้นใจเหล่านั้น รีบถามด้วยความกังวลทันที


“โรงพยาบาลประจําจังหวัด!” อาตอบ


พูดจบ อาก็วางสายไป


 


หยางโปกังวลใจขึ้นมา รีบโทรกลับอย่างว่องไว แต่ว่าอีกฝ่ายติดสายอยู่ หยางโปหันไปมองที่เครื่องเคลือบเกอ


เหยาทรงดอกทานตะวัน แล้วเขาหันไปมองเฉาหยวนเต๋อ


เฉาหยวนเต๋อได้ยินหยางโปคุยโทรศัพท์ก็เข้าใจว่าต้องมีเรื่องร้อนใจแน่ เขารีบกล่าว “ในเมื่อนายมีเรื่องร้อนใจ งั้นก็กลับไปก่อน


ถ้านายไว้ใจในตัวฉัน ก็ฝากเครื่องเคลือบเกอเหยาทั้งสองใบนี้เอาไว้ที่ฉันได้ ฉันจะช่วยดูแลให้อย่างดีเอง!”


หยางโปกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณมากจริงๆ!”


ตาอ้วนหลิวมองหยางโป “ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง”


 


หยางโปรีบกล่าวหยุดไว้ “พี่หลิว ผมซึ้งในน้ำใจของพี่ พี่ก็ยุ่งมาก บ้านผมอยู่จินหลิงและมีญาติอยู่หลายคน สามารถช่วยได้อยู่แล้ว พี่ยังต้องรีบกลับไปรายงานเรื่องนี้กับคุณอาหลิวเจียจวิ้นนะ!”


ตาอ้วนหลิวคิดๆ ดูก็พยักหน้าแล้วกล่าว “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นายก็ดูแลตัวเองด้วย มีปัญหาอะไรก็บอกมาได้ ฉันช่วยได้แน่นอน!”


เฉาหยวนเต๋อก็กล่าวด้วย “ใช่แล้ว หากที่จินหลิงรักษาไม่ได้ เธอสามารถพาพ่อมาเมืองหลวง เมื่อมาถึงฉันจะจัดการเรื่องโรงพยาบาลให้นายเอง!”


“ขอบคุณ! ขอบคุณครับ!” หยางโปรีบกล่าวขอบคุณ


 


หยางโปทิ้งเครื่องเคลือบเกอเหยาเอาไว้ เฉาหยวนเต๋อโทรไปช่วยจองตั๋วเครื่องบินให้หยางโปแล้วไปส่งหยางโปที่หน้าสนามบินอีกครั้ง


ระหว่างทางไปสนามบิน หยางโปคิดทบทวนดู แล้วโทรไปหาลัวย่าวหัว ขอให้เขาช่วยไปดูที่โรงพยาบาลก่อน


ลัวย่าวหัวพึ่งจะเสร็จจากงานประมูล เขากำลังว่างอยู่ก็ตอบรับทันที


พอลงจากเครื่องบินแล้ว หยางโปก็เรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลโดยตรง


เที่ยวบินจากเมืองหลวงมายังจินหลิงใช้เวลาสองชั่วโมง ถ้ารีบกลับมาบวกกับนั่งเครื่องบินมา หยางโป ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ สี่ถึงห้าชั่วโมง กระทั่งเขามาถึงโรงพยาบาลมันก็ห้าโมงเย็นแล้ว


 


พอถึงโรงพยาบาล หยางโปเห็นลัวย่าวยืนอยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วย เขาไม่รีบร้อนเข้าไป แต่กระทืบเท้าอย่างจงใจ เมื่อเห็นว่าลัวย่าวหัวนั้นมองเขาก็กวักมือเรียกหา


“ขอบใจนายจริงๆ” หยางโปกล่าวหนึ่งคำ


“นายพูดจาเกรงใจแบบนี้เห็นฉันเป็นคนอื่นคนไกลแล้วเหรอ” ลัวย่าวหัวส่ายหน้าแล้วกล่าว


ไม่เจอกันนาน ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนไม่คุ้นเคยกัน แต่ยังไงก็มีมิตรภาพหลังจากที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาจากการหาสมบัติในสุสาน


“มันเป็นยังไง? พ่อของฉันป่วยเป็นอะไร? ทำไมต้องเข้าโรงพยาบาลทันที? ” หยางโปชี้ไปที่ห้องผู้ป่วยแล้วถาม


 


ตอนที่รับสาย เขาไม่ได้คิดมาก แค่กังวลเกี่ยวกับร่างกายของพ่อ แต่รีบรุดมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็มีปฏิกิริยา ตามนิสัยของพ่อแล้วในเวลาแบบนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่จะขอเงินจากเขา เขาอยากรู้ว่าในครั้งนี้พ่อของเขาแกล้งเล่นละครหรือเปล่า


ลัวย่าวหัวไม่ได้คิดอะไรมากนัก ตอบกลับ “ฉันถามหมอก่อนแล้ว หมอบอกฉันว่าผู้ป่วยมีอาการหัวใจวายและมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจและสมอง ดังนั้นเขาจึงเป็นลม”


หยางโปพยักหน้า “ก่อนหน้านี้เป็นเพียงมะเร็งตับ แต่ตอนนี้เป็นโรคหัวใจอีก เฮ้อ!”


ในใจของหยางโปคิดถึงเมื่อตอนผ่าตัดมะเร็งตับ จะอยู่ได้ไม่เกินห้าปีจากนั้นชีพจรก็จะอ่อนลง ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อของตนเอง แม้ว่าเขาจะปฏิบัติต่อตนเองไม่ดี ตนเองจะยังคงกตัญญูอยู่อีกเหรอ?


 


หยางโปหันไปกล่าวกับลัวย่าวหัว “ขอบคุณสำหรับวันนี้จริงๆ คืนนี้ไม่มีเวลาจริงๆ ไว้วันหลังฉันจะเลี้ยงอาหารนาย!”


“สุภาพทำไม? มีอะไรก็โทรหาฉันแล้วกัน อ้อ! จริงสิ งานประมูลได้เสร็จสิ้นแล้ว ฉันก็หาที่ตั้งสำนักงานได้แล้วด้วย มีเวลาให้รีบไปให้เร็วที่สุด พวกเราจะได้พูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหาขั้นตอนการทำงานกัน” ลัวย่าวหัวกล่าว


หยางโปยิ้มและส่ายหน้า “นายเป็นผู้ดูแลเรื่องเหล่านี้ ฉันก็แค่เป็นคนออกเงิน!”


“นายอย่าขี้อายเหมือนเด็กสิ!” ลัวย่าวหัวกล่าว


หยางโปหัวเราะขึ้นมา กล่าวทักทายกับ ลัวย่าวหัวแล้วเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย


 


ในห้องผู้ป่วย พ่อหยางนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับสอดท่อออกซิเจนไว้ใต้จมูกของเขา แม่นั่งข้างๆร้องไห้ด้วยเสียงเบาๆ อายืนอยู่ข้างๆ คอยดุด่าว่า “สัตว์สองตัวนั้นเลี้ยงไว้ทำไม? ใช้งานอะไรก็ไม่ได้ ช่วงเวลาหน้าสิวหน้าขวานขนาดนี้ยังไม่กลับมากันเลย!”


หยางโปยืนอยู่ที่ประตูได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจแต่เขาระงับความสงสัยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเดินไป “แม่ ไม่เป็นไรนะ?”


อาต้องการที่จะตำหนิสองสามคำแต่เขารู้สึกอาย เขาแอบดูสีหน้าของหยางโปและเห็นว่าเขาไม่ตอบสนองอะไร นี่ทำให้ผ่อนคลายลง เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นออกไป


 


แม่เห็นหยางโปมา นัยน์ตาของเธอมีความผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยถาม “เสี่ยวโป ลูกกลับมาแล้ว ลูกไปอยู่ที่ไหนมา?”


“เมื่อเช้าผมพึ่งเดินทางจากเยอรมันกลับมาถึงจิ่งเฉิง พอรับสายจากอาก็รีบนั่งเครื่องบินกลับมาที่นี่เลย” หยางโปตอบ


แม่สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “ลูกบอกว่ากลับมาจากจิ่งเฉิงเหรอ?”


หยางโปพยักหน้า “ใช่ ผมนั่งเครื่องกลับมา”


แม่นิ่งไปชั่วขณะ “ลูกเจอพี่หยางหล่างหรือเปล่า?”


 


หยางโปหันไปมองรอบๆ ไม่เห็นมีหยางหล่าง เขาส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่เจอนะ เขาไม่ได้มาที่นี่เหรอ?”


แม่ส่ายหน้าและถอนหายใจ “เขาก็อยู่ที่เมืองหลวง เขาพาแฟนไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน ถ้านั่งเครื่องกลับมา ก็น่าจะถึงแล้วนะ!”


หยางโปไม่มีอะไรจะพูด เขารู้ว่าตัวเองรีบมาเร็วมาก แต่ยังรอที่สนามบินเป็นเวลานานตามปกติ แม่จะต้องโทรหาหยางหล่างก่อนแน่นอน หยางหล่างเขาไม่ได้อยู่ที่ห้องรอเครื่องในเวลานั้น เขาคงมาไม่ได้อย่างแน่นอน


อาอดที่จะปลอบใจไม่ได้เลยกล่าว ” ไม่เป็นไร ในเมื่อหยางโปรีบมาจากเมืองหลวง หยางหล่างก็คงจะตามมาถึงเร็วๆ นี้ล่ะ”


ตอนที่ 206 เตรียมให้ครบ


ทั้งสามคนนั่งอยู่ข้างเตียงและรอจนกระทั่งค่ำมืด พ่อยังไม่ฟื้นขึ้นมา และหยางหล่างก็ไม่ได้มา


หยางโปเห็นบรรยากาศอิหลักอิเหลื่อ เขาก็ยืนขึ้นแล้วพูดกับแม่ว่า เดี๋ยวผมจะออกไปซื้อมื้อเย็นกลับมาให้


แม่พยักหน้า “โอเค ไปดีๆล่ะ”


หยางโปพยักหน้าแล้วเดินออกไป


น้าชายจ้องมองหยางโปที่เดินออกไปจากห้องผู้ป่วย สักพักหนึ่งจึงเอ่ยปากถาม “พี่รอง ขอโทษจริงๆ นะ ก่อนหน้านี้ผมก็โง่เง่าไม่ได้สังเกตว่าเสี่ยวโปมาถึงหน้าประตูแล้ว โอ้! ผมก็เลอะเทอะไป ลืมไปเลยว่าแม้เขาจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่เพื่อนของเขาก็ยังอยู่ตรงนั้น ถ้าไม่ได้เพื่อนของเสี่ยวโป ไหนเลยจะสามารถจัดการจนมาอยู่ห้องผู้ป่วยนี้ได้?”


 


แม่ส่ายหัว “ไม่เป็นไรหรอก เขาอาจไม่ได้ยินก็ได้!”


พูดจบ แม่ก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง “ถ้าได้ยินไปแล้วนั้นจะทำอะไรได้? แต่ไหนแต่ไรมา แม้แต่คนนอกก็ยังดูออก ท่าทีของพี่เขยเธอที่มีต่อเขาว่าเป็นยังไง?”


น้าชายก็ถอนหายใจเบาๆ “พี่รอง อย่าหาว่าผมว่าพี่เขยเลยนะ ผมเห็นเสี่ยวหล่างและเสี่ยวโปมา ตั้งแต่เล็กจนโตนิสัยใจคอของพวกเขาทั้งสองคนเป็นยังไงผมก็รู้เป็นอย่างดี เสี่ยวหล่างเหลาะแหละ เสี่ยวโปสุขุมหนักแน่น เสี่ยวหล่างดูเฉลียวฉลาด แต่ในความเป็นจริงเขาฉลาดน้อย เสี่ยวโปเสียเปรียบที่ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา แต่เขาเป็นคนฉลาด”


 


“ในตอนนั้นพวกพี่รับเสี่ยวโปมาเลี้ยงเป็นลูกเพื่ออะไรกัน? ไม่ได้เพื่อเลี้ยงเอาไว้ดูแลตนเองยามแก่เฒ่า? เลี้ยงจนเติบโตจนถึงทุกวันนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้ที่พี่เขยทำเรียกว่าอะไร? เห็นได้ชัดเลยว่าต้องการผลักเขาออกไป ใครที่ไหนจะทำแบบนี้กัน?”


แม่ส่ายหน้า “หลังจากที่ตาแก่ป่วยเขาก็อยากจะฝากสิ่งดีๆ ไว้กับลูกชายของเขา เขาเลยทำสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอย่างเลี่ยงไม่ได้”


“งั้นเขาก็จะไม่ผลักลูกของเขาออกไปหรือ พวกพี่เลี้ยงกันมาเกือบยี่สิบปี เห็นอยู่ว่ากตัญญูต่อพวกพี่ ในเวลานี้ พี่เขยทำเรื่องน่าผิดหวังอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงเขาหรอก แม้แต่ผมที่ดูอยู่ห่างๆ ก็ยังทนไม่ได้!” น้าชายเอ่ยปากกล่าว


 


ใกล้เข้ามาเขาถอนหายใจอีกครั้ง “จนถึงตอนนี้แล้วเสี่ยวหล่างก็ยังไม่กลับมา ดูๆ ไปแล้ว กลัวว่าวันนี้จะไม่ได้มาแล้ว จะโทรมาสักครั้ง ลูกแท้ๆ ก็ยังไม่มีวี่แวว แทนที่จะ… เฮ้อ!”


เสียงถอนหายใจดังของน้าชาย ทำให้แม่ใจตุ้มๆ ต่อมๆ


ไม่นานหยางโปก็ซื้อมื้อเย็นกลับมา ทั้งสามนั่งทานอาหารเย็นข้างนอก พ่อยังคงไม่ฟื้นอยู่เหมือนเดิม


เมื่อทานเสร็จ หยางโปก็เก็บกวาดแล้วจึงหันมากล่าวกับแม่หยาง “แม่ แม่กับน้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ทั้งสองคนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ผมเปิดห้องไว้สองห้องที่โรงแรมข้างนอกไว้ให้แล้วละ


พูดจบ หยางโปก็หยิบคีย์การ์ดสองใบออกมาแล้วมอบให้


 


แม่หยางส่ายหน้า “ไม่เป็นไร แม่ไม่เหนื่อย ในนี้ยังมีเตียงอยู่ตัวหนึ่ง แม่นอนที่เตียงนี้สักหน่อยก็ได้ เมื่อถึงเวลาเขาผ่าตัด ก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ? แม่ยังอดทนได้เลย!”


น้าชายหยิบคีย์การ์ดแล้วเหลือบไปมอง “ช่างเถอะ เสี่ยวโป เธอยังเช็คเอ้าท์ได้อยู่ โรงแรมดีๆแบบนี้ ค่าพักคืนหนึ่งคงแพงไม่น้อยเลย ประหยัดๆ หน่อย”


หยางโปตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ก็ยังพูดอีกครั้ง “แม่ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมอยู่ดูที่นี้เอง เปิดห้องสองห้องไม่ได้แพงอะไรมากนัก ผมมีบัตรสมาชิกของที่นั่น เลยได้ส่วนลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์น่ะ “


“ไม่ไป คืนนี้แม่จะอยู่ดูที่นี้น่ะดีแล้ว” แม่หยางยืนกราน


 


น้าชายก็ส่ายหัวปฏิเสธไม่ไป


หยางโปไม่มีวิธีอื่นจริงๆ ค่าห้องก็จ่ายไปแล้ว เขาแค่ต้องโทรไปเช็คเอาท์ เขาไม่มีที่นอน ต้องไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตด้านนอกตอนกลางดึกเพื่อซื้อผ้านวมสองผืนมาให้เขาและน้าชายคนละผืน แล้วเขาก็นอนบนเก้าอี้ด้านนอก


ค่ำคืนที่ว่างเปล่า


หลังจากหยางโปตื่นขึ้นมา เขารู้สึกปวดหลังซึ่งเป็นผลมาจากการนอนบนเก้าอี้ เขาออกไปสนามหลังโรงบาลและวิ่งไปรอบๆ สนามหลังโรงพยาบาล จนรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เขาจึงออกไปซื้ออาหารเช้าแล้วเอากลับมา


พ่อฟื้นขึ้นมาแล้วและหมอก็เข้ามาตรวจแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง อีกประมาณสองวันก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว


 


หลังจากที่หมอเดินออกไป หยางโปก็ถามพ่อของเขาว่า “พ่อดีขึ้นแล้วเหรอ?”


พ่อหยางอืมเสียงเบา แล้วหันหน้าไปทางอื่น


พฤติกรรมนี้ทำให้หยางโปทำตัวไม่ถูก เขารู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง


แม่หยางตีพ่อหยางครั้งหนึ่ง พ่อหยางร้อง ฮึอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไรอีก


สักพักใหญ่ พ่อหยางหันมามองแม่หยาง “เงินทั้งหมดในบ้านก็ถูกสัตว์ร้ายนั่นเอาไปหมดแล้ว เธอเอาเงินที่ไหนส่งฉันมาที่นี้? ตอนนี้ถ้าพวกเราออกจากโรงพยาบาล จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย!”


พูดอยู่ พ่อหยางก็หันไปมองหยางโป “แกไม่ไปหาเงินแล้วเหรอ? ค่ารักษาจ่ายให้ไม่ได้ใช่ไหม?”


 


หยางโปอยากจะเอ่ยปากพูดเกี่ยวกับปัญหาค่ารักษาพยาบาล แต่รู้สึกสำลักโดยคำพูดของพ่อหยางทำให้ไม่สามารถกล่าวออกมาได้ พ่อหยางพูดว่าที่บ้านไม่มีเงิน เขาสามารถอาสาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้อีกฝ่ายได้ แต่เมื่อพ่อหยางบอกว่าเงินที่บ้านถูกพี่ใหญ่เอาไป เมื่อพ่อหยางขอให้หยางโปจ่ายให้ หยางโปก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย


ทำไมเขาถึงถูกบังคับ แม้จะมีวัตถุประสงค์และผลลัพธ์เดียวกัน แต่หยางโปก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง


แม่หยางจ้องไปที่พ่อหยางอย่างดุดันและหันมามองหยางโป “ครั้งนี้น้าชายของลูกออกให้”


ท้ายที่สุดหยางโปก็ยังไม่สามารถพูดปฏิเสธได้ เขามองไปที่น้าชาย “น้า เมื่อวานออกไปเท่าไหร่ ผมจะจ่ายคืนให้ก็แล้วกัน?”


 


น้าชายโบกมือ “ไม่เป็นไร เธอยังหนุ่ม เงินยังมีไม่มาก”


“น้า ไม่เป็นไรครับ รับไปเถอะ!” พูดจบ หยางโปก็ยัดเงินพร้อมซองใส่ในกระเป๋าของน้า


ในตอนเที่ยง หยางโปจ่ายเงิน หกพันกว่าหยวนสำหรับค่ารักษาพยาบาล ครั้งนี้พยาบาลมาหาเขาโดยตรง


ในตอนสี่โมงเย็นกว่าๆ หยางหล่างและแฟนสาวก็มาถึงโรงพยาบาลได้ในที่สุด ในเวลานี้ทั้งสองคนได้มาหลัง


หยางโปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน


เข้าห้องผู้ป่วยมาแล้ว หยางหล่างก็วิ่งไปหาพ่อหยาง ก้มไปมองพ่อหยางแล้วกล่าว “พ่อ เกิดอะไรขึ้น? พ่อ!”


พูดๆ อยู่ หยางหล่างก็น้ำตาคลอเบ้า ในไม่ช้าน้ำตาก็ไหลออกมา


 


หยางโปยืนหน้ามุ่ยอยู่ด้านข้าง เขาดูถูกหยางหล่าง นี้เป็นการแสดงที่เกินจริงที่น่ารังเกียจจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานเย่วแฟนของหยางหล่างที่แต่งหน้าหนาจัดจ้าน ใส่น้ำหอมกลิ่นฉุน เวลานี้ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม!


พ่อหยางจับหัวของหยางหล่าง “แกมาได้แล้วเหรอ มาได้ก็ดี!”


“พ่อ ผมสมควรตาย เวลาพ่อไม่สบาย ผมไม่สามารถดูแลพ่อได้เลย นี้มันเป็นความผิดของผมเอง! ” เสียงของ


หยางหล่างที่กำลังร้องไห้ด้วยความจริงใจและกตัญญู


พ่อหยางยังส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ยังมีแม่แกเหรอ?”


หยางหล่างหัวเราะเหอะเหอะ “จริงสิ ลำบากแม่เลย”


 


“ในบัตรATMยังเหลือเงินอยู่เท่าไหร่?” พ่อหยางหันไปถามหยางหล่าง


หยางหล่างก้มหน้าคิด ดูเหมือนว่ากำลังคิดเกี่ยวกับตัวเลข “ไม่มากแล้ว”


พ่อหยางขมวดคิ้ว ไม่มากแล้วมันเหลือเท่าไหร่กัน?


“ยังเหลืออยู่ประมาณสามหมื่นกว่าหยวน” หยางหล่างตอบ


พ่อจับไปที่อกของตัวเอง ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งจึงตอบสนอง “นั้นก็คือเงินของครอบครัวสามแสนหยวน ตอนนี้เหลือเพียงสามหมื่นหยวน พวกแกเอาไปใช้ขนาดนั้นเลยจริงๆ เหรอ!”


พูดจบ พ่อหยางก็หันไปมองหยางโป “เงินนี้เป็นของพวกเราสองสามีภรรยา ฉันคิดว่าก็ให้หยางโปเตรียมมาให้ครบก็แล้วกัน!”


ตอนที่ 207 เปิดโปง


หยางโปยืนอยู่ข้างๆ ก่อนหน้านี้แค่รู้ว่าน้าชายออกเงินค่ารักษาให้ก่อน เขายังคงคิดพิจารณาว่าพ่อแม่ของเขาคงมีเงินอยู่ในมือไม่ใช่น้อยเลย จะเป็นไปได้ยังไงที่จะตกอับถึงขั้นต้องให้น้าชายที่มาจากบ้านเกิดรีบมาจ่ายเงินให้?


ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเงินทั้งหมดถูกหยางหล่างเอาไป และเหลืออยู่เพียงสามหมื่นหยวน เวลานี้พ่อหยางพูดเปิดโปงหยางหล่าง มันทำให้เขารู้สึกยากที่จะยอมรับและไม่ต้องการพูดถึง เขายังจำได้อย่างชัดเจนว่าในตอนเช้าพ่อหยางบ่นกับเขาว่า ทำไมแกถึงมาช้าจัง!


หยางโปขมวดคิ้ว ผมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ส่วนที่ต้องเติมคืนให้ลืมไปได้เลย”


 


พ่อหยางจ้องมองที่หยางโป “แต่นั่นคือเงินบำนาญของคู่เรา! แกจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยเหรอ?”


หยางโปดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง เขามองดูหยางหล่างและมองไปที่พ่อหยางอีกครั้ง “แน่นอนว่ามันคือเงินบำนาญ ทำไมไม่พูดว่าใครเป็นคนจ่ายเงินบำนาญนี้? “


พ่อหยางตกตะลึงแต่เขาก็หน้าด้าน “แกจะไม่จ่ายมันเชียวเหรอ?”


หยางโปนั่งอยู่ข้างๆ “ผมไม่ได้บอกว่าผมจะไม่จ่ายเงินให้ เพียงแค่ช่วงนี้พึ่งจะขาดทุนไปมากมาย ผมคิดว่าแบบนี้ก็ดี ลองขายบ้านที่อวี้หลินเจียหย่วนหลังนั้นดูไหม ผมจะสมทบอีกหน่อย น่ารวมได้สักหนึ่งล้านหยวน”


ไม่ได้! หยางหล่างกระโดดออกมาทันที บ้านหลังนั้นเป็นของฉัน ทำไมฉันจะต้องขายมัน?


 


หยางโปมองไปที่พ่อ พ่อหยางกล่าวด้วยความโกรธ จะขายบ้านไม่ได้ หลังจากขายแล้ว แกจะให้พวกเราไปอยู่ที่ไหน?


“พ่อไม่ได้มีบ้านเก่าอยู่ที่ลี่ซุ่ยเหรอ?” หยางโปถาม เขาเบื่อหน่ายกับพ่อลูกคู่นี้จริงๆ จะให้พวกเขากลับไปอยู่ที่ลี่ซุ่ย สำหรับเขาแล้วจะทำให้เขามีเรื่องเงียบสงบลงสักหน่อย


บ้านเป็นของฉัน ฉันบอกว่าขายไม่ได้ก็ขายไม่ได้สิ! หยางหล่างยืนกราน


พ่อหยางหันหน้ามองออกไป “ลูกอกตัญญู ตอนนี้พ่อแม่ก็ไม่เต็มใจที่จะเลี้ยงแล้ว รู้อย่างนี้ควรบีบคอแกให้ตายๆ ไปซะตั้งนานแล้ว!”


 


หยางโปไม่ได้พูดอะไร แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยคิดจะฉีกหน้าอีกฝ่าย แต่ว่าพฤติกรรมของพ่อหยางเยือกเย็นและความโลภของอีกฝ่ายทำให้หยางโปไม่ยอมทนอีกต่อไป


“ถ้าขายบ้านผมจะช่วยให้ครบล้านหยวน แต่ถ้าไม่ขาย ผมจะออกแค่ค่ารักษา อย่างอื่นผมก็ไม่สน” หยางโปกล่าวเน้นย้ำ


“เป็นไปไม่ได้!” พ่อหยางตะโกน ขณะพูดคุยใบหน้าของเขาก็แดงขึ้น


แม่หยางรีบเขามาแตะหลังของพ่อหยาง เอาล่ะ เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว!


น้าชายก็เข้ามาเช่นกัน “ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน อย่าโกรธกันเลย พ่อของแกมีอาการหัวใจวายและกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเกินไปไม่ได้”


 


พูดแล้ว น้าชายก็มองไปที่หยางโป “เสี่ยวโป น้าก็เข้าใจว่าแกลำบากใจ แกดูสิพี่ชายของแกเป็นแบบนี้ ต่อไปแกก็ต้องเลี้ยงดูพ่อ แกจะไม่รับผิดชอบเลยเหรอ? แกมีความสามารถมากและทำเงินได้มาก ดังนั้นแกต้องแบกรับมากขึ้น!”


หยางโปมองที่น้าชายแล้วส่ายหน้า “ผมยังคงยืนยันให้ขายบ้าน ผมจะให้เงินช่วยเหลือพวกคุณให้กลับไปใช้ชีวิตที่ลี่ซุ่ย! “


นั่นคือบ้านของฉัน! หยางหล่างถูกเพิกเฉยและเขาก็กล่าวเน้นย้ำอีกครั้ง


หลานเยว่ยืนอยู่ข้างๆ และมองด้วยรอยยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้พูดมาถึงเรื่องบ้านเธอก็ไม่ตอบสนองอะไรเลย


 


ทันใดนั้นมือถือของหยางหล่างก็ดังขึ้น เขาตกใจเมื่อเห็นหมายเลขที่โทรมาและเดินออกจากห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว


หยางหล่างออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้วรับโทรศัพท์ ฮัลโหล สวัสดีครับ


“อะไรนะ? พวกคุณอยากเห็นบ้านตอนนี้เลยเหรอ? แต่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่จินหลิงนะครับ?”


โอนเงินมาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนเรื่องนี้ผมรู้ แต่ผมไม่ได้อยู่ที่นั่นนะ!


“เฮ้ … ไม่ต้องกังวลผมไม่ใช่คนขี้โกง ผมว่าเอาแบบนี้นะ อีกสองวันผมจะกลับไปที่จินหลิง แล้วผมจะพาคุณไปดูบ้าน เป็นยังไง?


 


“ได้!ได้!ได้! คุณวางใจได้เลย ผมจะโทรไปหาคุณแน่นอน!”


ในที่สุดหยางหล่างก็วางหูโทรศัพท์และรับมือเรื่องขายบ้านไปแล้ว เพราะคนนั้นคุ้นเคยกับอสังหาริมทรัพย์


ของอวี้หลินเจียหยวนจึงไม่ได้ไปดูบ้าน ตอนนี้กำลังเร่งรีบ เกรงว่าตอนนี้เขาสงสัยว่าเขาถูกหลอกลวง


เมื่อคิดอย่างนี้ หยางหล่างยิ้มแล้วก็ส่ายหัว ทำให้เขามั่นใจตนเองขึ้นมาหน่อย แล้วกลับไปสู้ให้หยางโปออกเงินให้มากอีกหน่อย จากนั้นเขาก็ค่อยโน้มน้าวให้พ่อแม่ไปลี่ซุ่ย บ้านไม่มีแล้วยังทำอะไรในจินหลิงได้? นอกจากนี้หลานเย่วยังสัญญาว่าจะกลับไปกับเขา!


หยางหล่างหันจะกลับเข้าไป ก็ตกตะลึง “แม่ ออกมาทำไม!”


 


แม่หยางมองดูหยางหล่างอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง แล้วหันเดินกลับไปห้องผู้ป่วย


” เสี่ยวโป พวกเราสัญญาว่าจะขายบ้านหลังนี้และจะกลับไปอยู่ที่ลี่ซุ่ย!” แม่กลับเข้ามาที่ห้องผู้ป่วยแล้วกล่าว


หยางโปสับสนเล็กน้อย เพราะเขาเดาว่าการโน้มน้าวดังกล่าวเป็นเรื่องยาก แต่ที่ไหนได้แม่หยางกลับเอ่ยตกลงขึ้นมา


พ่อหยางก็ประหลาดใจเช่นกัน “คุณคิดจะทำอะไร? อยากกลับไปก็กลับไปเอง ผมอยากอยู่ที่นี่! ผมแก่แล้ว เดินมากไม่ได้ การรักษาพยาบาลของที่นี้ก็ดีกว่า ผมจะอยู่ที่นี่ ไปหาหมอก็สะดวก!”


หยางหล่างละทิ้งกลยุทธ์การผัดวันประกันพรุ่งและกล่าวโน้มน้าว “พ่อกลับไปเถอะ ผมคุยกับหลานเยว่แล้วว่าเราจะแต่งงานกัน เมื่อเรากลับไปลี่ซุ่ย! ถึงเวลานั้นจะให้หลานอ้วนๆ คนหนึ่ง พ่อก็จะมีความสุขมากเลยนะ!”


 


พ่อไม่เข้าใจความหมายของหยางหล่างและเขาก็แปลกใจ “พวกแกคุยกันเรื่องนี้แล้วเหรอ? พวกแกไม่ต้องการอยู่บ้านในตัวเมืองแล้วเหรอ ก็รู้ๆอยู่ พวกแกทั้งคู่อาศัยอยู่ในตัวเมืองมันจะสะดวกกว่า!”


พูดแล้ว พ่อหยางเองก็คัดค้าน ไม่ได้ ไม่ได้ พวกแกยังต้องอาศัยอยู่ในเขตเมือง ที่นี้มีการศึกษาที่ดีและทุกอย่างก็สะดวกสบาย!


“พ่อ ไม่เป็นไรหรอก!” หยางหล่างเอ่ยปากกล่าว


พ่อหยางยังคงยืนกรานส่ายหน้า ไม่ได้!


 


หยางโปนั่งอยู่ข้างๆ มองดูการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของหยางหล่างหลังจากรับสายโทรศัพท์ เขาเห็นด้วยตาของเขาเองว่าแม่หยางเพิ่งเดินออกจากประตู และไม่แม้แต่จะคุยกับหยางหล่างจนกระทั่งกลับมาก็เปลี่ยนความคิดไปเลย แต่ใหนแต่ไรมาแม่หยางไม่เคยยืนกรานแบบนี้


หยางโปคิดอยู่ในใจคาดเดาว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติ แต่เขาไม่สามารถคาดเดาได้ในขณะนี้


หยางโปเอ่ยปากกล่าว เรื่องนี้ก็ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจ ครั้งนี้พ่อป่วยอยู่และสุขภาพยังไม่ดี ผมคิดว่าให้อยู่โรงพยาบาลสักพักแล้วค่อยคุยกัน!


พ่อหยางพยักหน้า “แบบนี้ดีที่สุด!”


 


หยางหล่างกังวลใจ ไม่ได้ ไม่ได้ อยู่ที่โรงพยาบาลจะสบายกว่าอยู่ที่บ้านได้ยังไง? กลับไปอยู่ลี่ซุ่ย ที่นั่นมีเพื่อนบ้านแถวนั้นมากมาย ถ้าออกไปข้างนอกก็ยังไปเล่นไพ่ ไปพูดคุยกันได้ อารมณ์ของพ่อจะดีขึ้นมาก ดังนั้นกลับไปอยู่ใช้ชีวิตที่นั้นเถอะ!


แม่นั่งอยู่ข้างเตียง ไม่ได้เอ่ยคำใด


หยางหล่างกล่าวต่อ: พ่อ พ่อคิดว่ามันจะไม่ดีไปกว่านี้เหรอ?”


พ่อหยางขยับเล็กน้อย แต่ยังคงส่ายหน้า


 


ทันใดนั้นพ่อก็จำบางอย่างได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองหยางหล่าง “จริงสิ แกได้เอาโฉนดบ้านกับบัตรATMไปหรือเปล่า? รีบเอามาให้ฉัน อย่าบอกนะว่าแกเอาบ้านไปขายแล้ว!”


หยางหล่างถึงกับตกตะลึง บนใบหน้ามีรอยยิ้มเก้อเขินอย่างทันทีทันใด เขาหันไปมองที่แม่หยาง พบว่าแม่หยางก้มหน้าไม่พูด หันมามองที่หยางโปก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา พ่อก็ทำหน้าจริงจัง


“นั่นมัน…นั่นมัน…”


“อย่ามัวอ้ำอึ้งรีบพูดออกมา!” พ่อหยางพูดกระตุ้น


ตอนที่ 208 ไม่ลงรอย


หยางโปนั่งข้างๆ และในที่สุดเขาก็เข้าใจในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน หยางหล่างน่าจะเอาบ้านไปขาย!


นี่คือสิ่งที่หยางโปไม่เคยคิดถึง เพราะในความคิดของเขาบ้านหลังนี้เป็นที่อยู่ที่สำคัญสำหรับหยางหลาง แต่ว่าเขาไม่ได้พิจารณาว่าสำหรับนักพนันแล้วไม่มีอะไรที่ไม่สามารถขายได้


หลังจากที่ซื้อบ้าน หยางโปก็ไม่ได้ถามอะไร เขาคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อจะโอนบ้านให้กับหยางหลาง แบบนี้มันก็สะดวกสำหรับการกระทำของหยางหล่างอย่างไม่ต้องสงสัย!


พ่อหยางนึกถึงเรื่องนี้แล้วในไม่ช้า ก็จ้องไปที่หยางหลาง กล่าวด้วยเสียงโกรธเคือง “บอกมา! แกเอาบ้านไปขายแล้วใช่ไหม?”


 


หยางหลางตกใจกลัวจนตัวสั่น ไม่ ไม่ใช่!


พ่อหยางจ้องอย่างโกรธเคือง ถ้าขายจริงๆ แกคิดว่าแกจะสามารถปกปิดได้สักกี่วัน? ฉันเดาว่าถ้าไม่ใช่เพราะฉันเข้าโรงพยาบาลและไม่มีใครอยู่บ้าน ตอนนี้คงมีคนกำลังไปที่บ้านเพื่อดูบ้านแล้วใช่ไหม!”


หยางหลางมองพ่อ แล้วพูดด้วยเสียงอ่อน “นี่มันคือบ้านของผม ทำไมผมจะขายมันไม่ได้?”


“บ้านของแกเหรอ? ก็แค่ใส่ชื่อแกไปเท่านั้น แกพูดแบบนี้ได้ยังไง?” พ่อหยางจ้องหน้าแล้วกล่าว


หลานเย่วยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เหมือนเดิม “บ้านก็ขายไปแล้ว มาคุยตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร?”


พ่อหยางเงยหน้าขึ้นมองบังเอิญเห็นรอยยิ้มของหลานเยว่ “เป็นเพราะเธอ เพราะเธอคนเดียว คืนลูกชายของฉันมา! ลูกชายของฉันเป็นคนฉลาดรู้ว่าอะไรควรไม่ควรมาตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เขาจะขายบ้านไปได้ยังไง?”


 


หลานเยว่ชำเลืองมอง แค่นเสียงคำหนึ่ง แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง “ลุงจะมาโทษหนูได้ยังไง? ลุงป้าเลี้ยงดูลูกชายมายี่สิบกว่าปี หนูอยู่กับเขาแค่ไม่กี่วัน? จะมาโทษหนูแบบนี้ได้ยังไง?


“เธอ!” พ่อหยางโกรธมาก เขาชี้ไปที่หลานเยว่อยู่ครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไรเลย


หยางโปเงยหน้าขึ้นและเห็นมือขวาของพ่อหยางยื่นออกไป แข็งอยู่ในท่านั้นไปชั่วขณะหนึ่ง เขาก็เห็นพ่อหยางตาค้าง แล้วล้มไปข้างหลัง


“ตาแก่!” แม่หยางนั่งอยู่ข้างเตียงร้องไห้ออกมาแล้วก็กรีดร้องเมื่อเธอเห็นพ่อหยางล้มลงไป


หยางโป กดกริ่งที่หน้าเตียงแล้ววิ่งออกไปอีกครั้งตะโกนที่ทางเดิน: “หมอ! หมอ!”


 


ในไม่ช้าหมอก็มาถึงและพ่อหยางก็ถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แม่หยางร้องไห้ออกมา หยางหลางก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาหวังว่าพ่อของเขาจะมีอายุยืนยาว สามารถเป็นที่พึ่งของเขาได้ ทำให้เขาอยู่กินได้ตลอดชีวิต


หยางหลางกังวลใจแล้วเขาก็ตวาดใส่หลานเยว่ “คุณจะไปยั่วให้เขาโกรธทำไม? นี่คุณพยายามจะทำให้เขาโกรธมากใช่ไหม?”


หลานเยว่กรอกตา “จริงเหรอ? คุณก็คิดว่าฉันทำให้พ่อของคุณโกรธเหรอ? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพราะคุณเหรอ?”


หยางโปมองดูอยู่แล้วหันหน้าไปมองทางอื่น เขาดูๆ ไปแล้ว หลานเยว่ไม่ใช่คนที่น่าคบค้าสมาคมด้วยเลย ถ้าได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ต่อไปหยางหล่างจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน!


 


ตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนถึงสี่ทุ่ม หยางโปก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลไปแล้วสองหมื่นหยวน แล้วก็กลับมานั่งรอจนกว่าการผ่าตัดจะเสร็จสิ้น เมื่อหมอออกมาแจ้งว่าปลอดภัยแล้ว ทุกคนก็โล่งใจ


หยางโปเข้าไปดูในห้องจึงรู้ว่าพ่อหยางนั้นพ้นขีดอันตรายแล้ว


ตลอดทั้งคืนทุกคนอยู่ห้อมล้อมพ่อหยางกันหมด ทุกคนล้วนมีความคิดเป็นของตนเอง


ในที่สุดก็ถึงยามฟ้าสาง หลานเยว่เริ่มกล่าวกับแม่หยาง “ป้า หนูทนไม่ไหวแล้ว หนูกลับไปพักผ่อนก่อน เดี๋ยวกลับมาจะต้มซุปมาให้”


แม่หยางพยักหน้า “อืม งั้นเธอก็กลับไปก่อนเถอะ!”


 


เวลานั้นหยางโปเดินกลับมาพอดี ในมือถือถุงอาหารเช้าเขาเอาซาลาเปาซุป และโจ๊กส่งให้แม่กับน้าชาย ที่เหลือวางไว้บนโต๊ะชาแล้วเขาก็หันไปพูดกับแม่หยาง “วันนี้ผมจะออกไปทำธุระ เดี๋ยวจะกลับมาเย็นๆ นะ”


แม่หยางโบกมือ “งั้นก็รีบไปเถอะ!”


หยางโปพยักหน้า แล้วก็หันหลังออกไป


หยางหลางเมื่อเห็นร่างของหยางโปเดินออกไป “แม่ ผมก็มีธุระ ผมกลับไปนอนก่อน เดี๋ยวจะกลับมาในตอนเย็นนะ”


แม่หยางจ้องมอง “แกคิดได้ไหมนี่? พ่อแกนอนอยู่ที่นี่ แต่แกจะกลับไปนอนเอาตอนนี้เหรอ?”


 


หยางหลางตะลึงอยู่ เขาชี้ไปทางที่หยางโปออกไป “ทำไมเขาถึงออกไปได้?


“เพราะเขาออกไปทำงาน เขาจะได้จ่ายค่ารักษาพยาบาล แกหาเงินจากการนอนได้ไหม?” แม่หยางตำหนิ


หยางหล่างเงียบลงแล้วเขาก็ส่ายหัว


“เอาล่ะ ให้แฟนแกไปพักผ่อนก่อนเถอะ อยู่ที่นี่มาทั้งคืนแล้ว สาวๆ อยู่ได้ไม่นานนัก แม่หยางสั่ง


หลานเยว่เดินยิ้มออกไปจากห้องผู้ป่วย เดินไปถึงประตูทางเข้าหน้าโรงพยาบาล เธอก็ได้พบกับหยางโปที่กำลังเดินอยู่ข้างสวน เธอจึงเดินเข้าไปหา


“เฮ่! น้องชาย รอใครอยู่น่ะ?” หลานเยว่ยิ้มแล้วถาม


 


หยางโปหันมาหา “ผมรอคุณอยู่”


หลานเยว่ปิดปากแล้วหัวเราะ “รอฉัน? ฉันขอเดานะ คุณซาบซึ้งใจฉันมากใช่ไหม?”


หยางโปส่ายหัว “ผมคิดว่าคุณควรจะออกไปจากชีวิตของหยางหลาง สติปัญญาของเขาตามไม่ทันคุณหรอก!”


หลานเยว่หัวเราะฮิฮะ “ตามไม่ทันฉัน? บางทีฉันอาจจะรู้สึกดีกับเขาจริงๆ ก็ได้นะ! “


หยางโปขมวดคิ้วมองดูหลานเยว่เดินเข้ามาใกล้ๆ “คุณไม่มีความขุ่นเคืองกับเขาทำไมถึงทำเรื่องน่ากลุ้มใจแบบนั้น? ผมคิดว่าเขาขายบ้านไปแล้วและต้องให้เงินคุณอย่างแน่นอน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีเงินนั้นอาจจะใช้จ่ายไปหมดแล้ว จะหาเรื่องกลุ้มใจเพิ่มมาอีกไปทำไม?”


 


หลานเยว่หัวเราะขึ้น “คุณว่า ถ้าพี่ชายอยู่บนตึกเห็นน้องชายกำลังหยอกล้อกับแฟนสาวของเขา แล้วเขาจะรู้สึกยังไง?”


พูดจบ หลานเยว่ขยับเข้ามาใกล้กับหยางโปมากขึ้นจนจมูกของเขาทั้งสองแตะกัน หยางโปรีบถอยห่างและตวาดไป “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ยอมปล่อย หวังว่าคุณจะไม่ใช้ตะกร้าหวายตักน้ำนะ!”


พูดจบ หยางโปก็เดินไปขึ้นรถ และจากไปด้วยท่าทางไม่เกรงกลัวสิ่งใด


หลานเยว่เหลือบมองขึ้นไปชั้นบนและยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอเข้าใจแล้วเรื่องหนึ่ง ถ้ามีเรื่องใหญ่โตไปอีก หยางโปจะสามารถส่งครอบครัวของพวกเขากลับไปที่ลี่ซุ่ยได้แน่นอน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ สุดท้ายสถานการณ์จะเริ่มซับซ้อนขึ้น มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้!


 


ในไม่ช้า หยางหลางก็วิ่งลงบันไดอย่างไม่หยุดหายใจและหลังจากลงมาเขาก็มุ่งหน้าไปยังหลานเยว่แล้วตวาด “ไอ้เด็กเวรนั่นพึ่งทำอะไรคุณลงไป? มันก็รู้ดีว่าคุณเป็นพี่สะใภ้ของเขานี่! “


“ที่รัก!” ความโศกเศร้าปรากฏบนใบหน้าของหลานเยว่ แล้วเข้าไปกอดหยางหลางจากนั้นก็ร้องไห้ออกมาเบาๆ


หลานเยว่ร้องไห้ หยางหลางเหมือนวิญญาณหลุดลอย เขารีบถาม “เยว่เอ๋อร์ คุณเป็นอะไร? ไอ้เด็กเวรนั่นมันรังแกคุณเหรอ บอกผมมา ผมจะเอามีดไปแทงมัน!”


หลานเยว่ส่ายหน้า แล้วยังคงร้องไห้ไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง เธอจึงกระซิบ “หลางเอ๋อร์ฉันไม่ต้องการที่จะยั่วยุน้องชายของคุณ แต่รูปร่างหน้าตาของน้องชายของคุณดุร้ายจริงๆ เขาเพิ่งบอกว่าจะทำให้ฉันห่างจากคุณ ฉันไม่รับปากเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะเอาเปรียบฉัน…”


“ฮือ ฮือ…”


ตอนที่ 209 โทรมาตอนนี้เลย


หยางโปขับรถแล่นมาถึงด้านข้างแม่น้ำฉางเจียง เขาโทรศัพท์หาลัวย่าวหัว


ไม่นานลัวย่าวหัวก็รีบมา ตอนที่เขามาถึงก็มองเห็นหยางโปนั่งอยู่บนก้อนหินชัน ทอดสายตาเหม่อไปไกลในแม่น้ำฉางเจียงอันเวิ้งว้าง


“เป็นอะไรไปล่ะ” ลัวย่าวหัวเดินเข้ามาแล้วก็นั่งตามลงไป


หยางโปส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”


ลัวย่าวหัวหัวเราะ “เรื่องเล็กน้อยของบ้านพวกนายนั่น ฉันก็รู้สึกหงุดหงิด นายไม่ต้องคิดมากนะ นายน่าจะมีความสุขมากสิเพราะว่านายหนีออกจากหลุมไฟนี้ไปแล้ว สำหรับนายก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้วจริงๆ”


 


“ใช่หลุมไฟไหมไม่ต้องพูดถึง แต่ยังไงก็ใช้ชีวิตด้วยกันมายี่สิบปี” หยางโปถอนหายใจ


ถ้อยคำของน้าที่ได้ยินโดยบังเอิญจากในห้องพักผู้ป่วย เขาก็รู้สึกแปลกมาก “ลูกเลี้ยงก็ไม่มีประโยชน์ ในช่วงเวลาสำคัญลูกในอกก็ไม่กลับมา” ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนต่อหยางโปมาตลอด


ที่บอกว่าลูกเลี้ยงคือใคร? ที่บอกว่าลูกในอกล่ะคือคนไหน?​ ประโยคนี้ที่แท้แล้วคือการเปรียบเทียบอย่างหนึ่ง หรือว่าเป็นความจริง? หยางโปคิดไม่ตก เขาทำได้แค่โทรหาลัวย่าวหัว ขอให้อีกฝ่ายช่วยเหลือ ช่วยตรวจสอบประวัติของตนกับหยางหลาง


“สถานการณ์โดยละเอียดมันเป็นยังไง?” หยางโปลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังเอ่ยถาม


“เวลานานเกินไป คนมากมายก็หาไม่เจอแล้ว แต่ฉันยังสืบมาได้ว่าในปีนั้น สามีภรรยาสกุลหยางรับอุปการะนาย!” ลัวย่าวหัวกล่าว


“มีข้อมูลความเป็นมาของฉันไหม?” หยางโปเอ่ยถามอีกครั้ง


 


“ตรวจสอบไม่เจอแล้ว รายละเอียดบอกว่าสามีภรรยาตระกูลหยางรับอุปการะนายได้ยังไง ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดเลย” ลัวย่าวหัวกล่าว


หยางโปพยักหน้าแล้วก็ไม่ได้ซักไซ้ พลันที่ได้ยินข้อมูลแบบนี้ทำให้เขาปวดใจเล็กน้อย ถึงแม้ก่อนหน้าเขาจะจินตนาการมาหลายครั้ง แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะมีอยู่จริงๆ


เงียบงันอยู่เนิ่นนาน ลัวย่าวหัวดึงแขนหยางโปข้างหนึ่ง “ไป พวกเราไปกินปลาแม่น้ำกัน!”


หยางโปหัวเราะ “นายเลี้ยงนะ!”


ลัวย่าวหัวเดินไปพลางเบ้ปาก “ขี้งกจริงๆ นายไม่เข้าใจตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับเครื่องเคลือบลายคราม เกอเหยาของราชวงศ์ซ่งเหนือกระจายออกมาแล้ว ถ้าหากของชิ้นนั้นไม่ใช่นายเอามา ฉันก็ไม่เชื่อจริงๆ! ครั้งนี้ไปต่างประเทศก็ได้รับมามากขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าไม่ควรจะเลี้ยงฉลองสักหน่อย”


 


หยางโปยิ้มอย่างจนปัญญา เขาก็รู้เรื่องของเกอเหยาว่ามันปกปิดไม่ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้


เข้าไปนั่งในร้านอาหาร สั่งปลาแม่น้ำแล้ว หยางโปถึงค่อยคิดถึงเรื่องโรงประมูลขึ้นมาได้ “ใบอนุญาตของโรงประมูลจัดการเรียบร้อยหมดแล้วนะ?”


“แน่นอนอยู่แล้ว!” ลัวย่าวหัวกล่าว “ใบอนุญาตจัดการอย่างดีที่สุด ช่วงนี้ฉันอยู่ที่ไซท์ตลอด ไซท์ต้องเหมาะสม นี่ส่งผลต่อธุรกิจมาก”


หยางโปมองไปอย่างประหลาดใจมาก “งั้นนายหาได้หรือยัง?”


“ย่านชานเมืองมีที่อยู่ไม่น้อย ฉันก็หามาหลายที่แล้ว สุดท้ายก็เลือกใกล้ๆ กับวัดฟูจื่อ เพราะว่าแถวนั้นมีตลาดของโบราณอยู่สองแห่ง” ลัวย่าวหัวกล่าว


 


หยางโปพยักหน้า “ที่นั่นไม่เลว ใกล้กับตลาดของโบราณ พูดให้ชัดก็คือมันใกล้กับพื้นที่รวมตัวกันของนักสะสม จัดตั้งโรงประมูลที่นั่น ทำให้เกิดการรวมตัวของของโบราณ ดีมากจริงๆ”


“ถ้ายังไงพวกเรามีเวลาก็ไปดูกันไหม?” ลัวย่าวหัวกล่าวเสนอ หลังจากที่ทั้งสองคนปรึกษากันแล้ว หยางโปก็ไม่เคยถามถึงอีกเลย


หยางโปพยักหน้า “ได้ งั้นพวกเรากินเสร็จแล้วก็ไปกันเลย”


ทั้งสองคนไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่นานก็กินข้าวแล้วต่างคนก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่ทางวัดฝูจื่อ


หยางโปมาถึงสถานที่ก็มองเห็นอาคารเล็กๆ สามชั้นหลังหนึ่ง เขาหันมองไปทางลัวย่าวหัว “ซื้อมาแล้วเหรอ?”


 


ลัวย่าวหัวส่ายหน้า “ถ้าหากนายควักอีกห้าสิบล้านออกมาได้ พวกเราก็จะซื้อมา”


“งั้นก็ช่างมันเถอะ!” หยางโปกล่าว เขาก็รู้สึกว่าช่องว่างของราคาสูงขึ้น แต่ว่าทุกคนก็คิดแบบนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ทำให้เกิดสถานการณ์อย่างเจ้าของรั้งไว้ไม่ยอมขาย หรือว่าโก่งราคา ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ยังไม่สู้เซ็นสัญญาระยะยาวไปเลยล่ะ


ภายในตึกมีการรีโนเวท หยางโปหันไปมองรอบหนึ่งแล้วก็เดินออกมา “ไม่เลวจริงๆ!”


 


ลัวย่าวหัวหัวเราะ “นายก็โอ้อวดอยู่ประโยคเดียว เหมือนตาลุงจริงๆ!”


หยางโปหัวเราะขึ้นมา “ถ้างั้นก็เพราะว่าเวลาที่ฉันยุ่งยังมาไม่ถึง!”


เมื่อเขากลับไปถึงพ่อหยางก็ยังไม่ฟื้นสติ แม่กับหยางหลางนั่งอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน มองเห็นหยางโปมาถึงแล้วทั้งสองคนก็หยุดลง


หยางโปก็ไม่ได้สนใจ ไม่พูดถึงเรื่องการตรวจสอบตั้งแต่แรก เขากล่าวกับแม่ว่า “แม่ แม่ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้รีบกลับไปพักผ่อนสักหน่อย ผมมาเปลี่ยนกะเย็น”


 


แม่หยางมองหยางโป สีหน้าเผยความเศร้า “แม่จะกลับไปพักที่ไหนได้?”


 


หยางโปชะงัก ในใจพลันเจ็บปวด ห้องถูกขายไปแล้วอีกเดี๋ยวก็ไม่ใช่บ้านแล้ว แม่ก็ไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ในใจของเขาอ่อนยวบ แล้วก็คิดจะให้แม่ไปพักที่บ้านของตัวเอง เพียงแต่ตอนที่เขากำลังจะเสนอขึ้นมาก็ถูกเขาตีตกไป


หยางโปตระหนักได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้าที่เขาจะมา แม่กับหยางหล่างคุยกันอย่างชิดเชื้อมาก บ้านก็เป็นเขาที่ซื้อมา แต่กลับเป็นหยางหลางขายออกไป ตอนนี้แม่เอ่ยปากกับเขาเรื่องบ้าน เหตุผลนี้คืออะไร? ตอนแรกเขาก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลของพ่ออย่างยากลำบาก แล้วพวกเขาล่ะทำอะไร?


 


หยางโปมองหาที่นั่งลงไป แล้วก็ไม่ได้ตอบแม่ไป


ผ่านไปชั่วครู่แม่หยางก็ถอนหายใจเบา กล่าวกับหยางโปว่า “เสี่ยวโป ลูกคือเสาหลักของบ้านเรา เรื่องในบ้านนี้ลูกก็รู้ ร่างกายของพ่อลูกไม่ดีมาตลอด ป่วยนิดป่วยหน่อยไม่หยุด เงินก็จ่ายให้เข้าโรงพยาบาลไปมากมาย”


“เสี่ยวหลางก็เป็นแบบนี้ ทำให้หาเงินได้ก็ไม่มีหวังแล้ว ครอบครัวของพวกเราล้วนต้องพึ่งพาลูกแล้ว ต่อไปลูกต้องแบกรับภาระสักหน่อย ตอนนี้เรื่องของเสี่ยวหลางสำคัญที่สุด เขากำลังจะแต่งงานแล้ว เขาโตมาขนาดนี้แล้ว แต่งสะใภ้แล้วก็ให้แม่กับพ่อของลูกอุ้มหลานเร็วสักหน่อย!”


หยางโปขมวดคิ้วแน่น เขามองแม่ “แม่ ความหมายของแม่คือ?”


 


“เสี่ยวโป ลูกดูพี่ชายลูกตอนนี้บ้านก็ไม่มี รถก็ไม่มี เขาก็ไม่ได้มีปริญญาอะไร พวกเราก็ไม่หวังให้เขามีอนาคตสดใสอะไร แม่ว่าแบบนี้ดีไหม ลูกก็ช่วยเขาซื้อห้องในชานเมืองสักชุดเถอะ!” แม่หยางกล่าว


ในใจหยางโปโกรธจนไฟสุม “แม่ก็รู้ว่าซื้อมาอีกห้องหนึ่ง แล้วห้องก่อนนี้ไปไหนล่ะ? ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของแม่ หรือว่าลูกชายของผม ทำไมเขาจะแต่งงานขอเมียยังต้องให้ผมมาดูแล ต้องให้ผมซื้อรถซื้อบ้านให้เขาละ?”


 


กล่าวจบ หยางโปก็มองหยางหลาง “ไม่มีปริญญาอะไร แต่อย่างน้อยก็ต้องทำงานดีๆ! เอาแต่เตร็ดเตร่ในทางเลวมาตลอด ถึงแม้จะหาแฟนมาได้แล้วจะรับประกันในคุณธรรมจรรยาของอีกเขาได้ยังไง?”


หยางหล่างอดกลั้นมาตลอด เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็ทนไม่ไหว “แกนับเป็นตัวอะไร? ให้แกออกเงินก็นับว่าไว้หน้าแกแล้ว แกคิดว่าตัวเองมีเงินเหม็นๆ สักหน่อยก็อวดดีขึ้นมาแล้วเหรอ? แกระคายตาฉันมานานแล้ว ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ห้ามฉันเอาไว้ เชื่อไหมว่าตอนนี้ฉันโทรเรียกคนมาจัดการแกก็ยังได้!”


หยางโปจ้องมองหยางหล่าง “งั้นก็เชิญนายโทรมาตอนนี้เลย!”


ทั้งสองคนมีสีหน้าเย็นชา จดจ้องกันและกัน ไม่มีใครยอมถอย!



ตอนที่ 210 รายได้ต่อปีหลายแสนหยวน


แม่หยางตกใจจนสะดุ้ง เดิมทีเธอคิดว่าหยางโปมีนิสัยอ่อนนิ้ม น่าจะโน้มน้าวได้ง่ายมาก ถึงแม้ว่าหยางโปจะไม่สบายใจก็น่าจะไม่พูดออกมา เธอคิดไม่ถึงเลยว่าหยางโปจะถึงกับต่อต้าน


หยางหลางหยิบโทรศัพท์ หยางโปก็ยิ้มเย็นมองอีกฝ่าย เขาไม่ใช่คนขี้กลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยางหล่างที่ถึงกับข่มขู่กันโต้งๆ แบบนี้เลย!


แม่หยางรีบเข้ามาห้ามหยางหลาง “นี่ลูกจะทำอะไร? เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของลูก พ่อของลูกยังไม่ตาย พวกลูกก็จะเล่นงิ้วพี่น้องทะเลาะกันแล้วเหรอ?”


หยางหลางลังเลเล็กน้อยแล้วก็วางมือถือลง ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากโทรแต่เป็นเพราะว่าจู่ๆ เขาก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ได้ เขายังจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่หยางโปพาตำรวจเข้ามา แล้วเขาถูกจับเรื่องพนันในที่เกิดเหตุ เมื่อคิดแบบนี้แล้ว หยางโปน่าจะมีอิทธิพลกับทางตำรวจไม่น้อย!


 


หยางโปแค่นเสียง เขามองไปทางพ่อหยาง “ผมบอกไปรอบหนึ่งแล้ว ค่ารักษาพยาบาลผมจะออกให้ ส่วนเรื่องอื่นของเขาก็ไม่ต้องมาคุยกับผมแล้ว!”


หยางโปกล่าวจบก็นั่งหลับตางีบพักบนเก้าอี้


แม่กับหยางหลางสบตากันและกันอย่างประหลาดใจ ชั่วครู่หนึ่งก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ก่อนหน้าปรึกษากันมากขนาดนั้น ตอนนี้อุบายทั้งหมดก็ไม่มีประโยชน์แล้ว


แม่มองหยางโป ในใจอดที่จะเจ็บปวดไม่ได้ เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ แต่ว่าหยางหลางก็ย้ำว่าเรื่องการแต่งงานของเขาไม่มีเวลาอยู่ตลอด ให้เธอคิดให้ออก ทำแบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมกับหยางโปจริงๆ แต่ไม่ยุติธรรมแล้วจะทำยังไงได้?


 


แม่หยางหันหน้าไปมองหยางหลาง มองเห็นเขายังคงมีท่าทีโกรธกรุ่นโมโห ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ อย่าบอกนะว่าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตเกษียณที่ลี่ซุ่ยจริงๆ แต่ว่าหยางหลางเขาจะไปด้วยไหม?


“ตอนบ่ายทำไมแกพูดแบบนั้นกับหลานเยว่?” หยางหลางเปิดปากเอ่ย


หยางโปลืมตา “ฉันไม่ได้พูดอะไรกับหลานเยว่ แล้วก็ไม่อยากพูดอะไรด้วย”


หยางหลางจ้องมองหยางโป “แกต้องจดจำเรื่องหนึ่งไปตลอด เธอเป็นพี่สะใภ้ของแก ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีวันแยกจากกัน!”


หยางโปขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบกลับเพราะว่าเขาก็เข้าใจดีว่านี่จะต้องเป็นปัญหาที่หลานเยว่ก่อแน่


 


เงียบสงัดตลอดคืน บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยจริงจังมาก แม่หยางทอดถอนใจตลอดทั้งคืน หยางโปกับหยางหลางราวกับศัตรูของกันและกัน มองกันอย่างดุดัน


 


เช้าตรู่ น้าชายก็รีบมา โน้มน้าวให้แม่หยางไปพักผ่อน แม่หยางปฏิเสธ หยางหลางเดินตรงออกไปด้านนอกอย่างไม่สนใจทันที


หยางโปไม่ได้พูดอะไรมาก รับอาหารเช้าที่น้าชายซื้อขึ้นมากิน


สายเล็กน้อย หลานเยว่ก็มา เธอเอาซุปไก่มาจริงๆ


มองเห็นพ่อหยางยังไม่ฟื้น หลานเยว่ก็ถือซุปถ้วยหนึ่งส่งให้แม่หยาง “คุณป้า คุณดื่มสักถ้วยก่อนเถอะ กินให้หมดมันจะช่วยบำรุงร่างกายให้ดี ถึงจะดูแลคุณลุงให้ดีได้!”


 


เมื่อครู่แม่หยางไม่ได้กินอะไร ได้กลิ่นหอมกรุ่นของซุปไก่ก็อยากกินขึ้นมา เธอรับซุปไก่มาอย่างยินดี “เป็นเด็กดีจริงๆ ลำบากเธอแล้ว!”


หลานเยว่หัวเราะพลางส่ายหน้า ถืออีกถ้วยส่งให้น้าชายแล้วถึงได้หันมากล่าวกับแม่หยางว่า “หยางหลางล่ะคะ? ไม่ได้เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดคืนเหรอ?”


“อ้อ เขาออกไปก่อนแล้ว อีกเดี๋ยวก็น่าจะกลับมาแล้ว!” แม่หยางกล่าว


หลานเยว่ตอบรับคำหนึ่ง ถือซุปให้ตัวเองถ้วยหนึ่งราวกับลืมแค่หยางโปคนเดียวเท่านั้น


หยางโปไม่สนใจซุปไก่ถ้วยหนึ่งเลย แต่เขานั่งอยู่ภายในห้องอย่างประดักประเดิดอยู่บ้าง แต่ว่าโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปรับโทรศัพท์


 


“เปรียบเทียบการประเมินของเธอกับผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแล้ว เครื่องลายคราม เกอเหยา สมัยซ่งเหนือชิ้นนี้ของนายได้การยืนยันว่าเป็นของจริงแล้ว เธอน่าจะดูออก สื่อทั้งในและนอกประเทศก็เริ่มรายงานกันแล้ว!” เฉาหยวนเต๋อกล่าว


“ผมเห็นแล้ว” หยางโปกล่าว


“ฉันอยากปรึกษาเรื่องหนึ่งกับเธอ” เฉาหยวนเต๋อกล่าว


“พูดมาเลยครับ”


“พิพิธภัณฑ์แห่งชาติกำลังจัดงานอารยธรรมพันปีงานหนึ่ง เป็นการออกจัดแสดงอารยธรรมในช่วงรุ่งโรจน์ ผู้ใหญ่แจ้งพวกเราอยู่บ่อยๆ หวังว่าจะได้ถือครองให้นานอีกหน่อย เกอเหยาชิ้นนี้ของนายมาได้ถูกเวลาจริงๆ ฉันหวังว่าจะยืมได้สักพักหนึ่ง”


 


หยางโปพยักหน้า “มันจะนานเท่าไหร่กันครับ?”


“เกือบจะตลอดครึ่งปี”


หยางโปชะงัก เวลานี้นานเกินไปสักหน่อย อีกอย่างยังต้องการค่าประกัน จำนวนจะเล็กน้อยไม่ได้ ค่าประกันอย่างน้อยก็น่าจะมากกว่าหลายสิบล้านหยวน


 


เฉาหยวนเต๋อเหมือนจะเข้าใจการพิจารณาของหยางโป เขาก็หัวเราะ “เธอวางใจได้เลย ก่อนหน้าที่จะส่งเกอเหยานี้ออกไป จะต้องมีค่าประกันก้อนโตแน่ อีกอย่างยังมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมดูแลด้วย”


หยางโปถึงค่อยวางใจลง “งั้นก็ดี ผมจำเป็นต้องทำอะไรไหม?”


“ฉันหวังว่าเธอจะขึ้นเหนือมาโดยเร็ว ที่จริงเรื่องนี้มีรายละเอียดโดยเฉพาะมากมายที่ต้องจัดการ อีกอย่างอย่างน้อยที่สุดยังต้องดำเนินการเซ็นสัญญา” เฉาหยวนเต๋อกล่าว


 


หยางโปลังเลเล็กน้อย “ช่วงนี้ผมยุ่งอยู่สักหน่อย อาจจะไปช้าเล็กน้อย”


เฉาหยวนเต๋อรีบกล่าว “ไม่รีบ ไม่รีบ รอเธอจัดการธุระเรียบร้อยก็แค่อย่าเป็นสามเดือนห้าเดือนก็พอแล้ว!”


วางสายโทรศัพท์ หยางโปก็ได้ยินเสียงเอะอะภายในห้อง เขาเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย มองเห็นพ่อหยางลุกขึ้นนั่งแล้ว เวลานี้เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆอย่างชัดเจน ทั้งคนไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่


หยางโปยืนอยู่ไม่ไกล มองแม่ถือซุปไก่ป้อนให้พ่อดื่ม หลานเยว่นั่งอยู่ด้านข้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทำอะไรอย่างเดิม


พ่อหยางสังเกตเห็นประตูเปิด เขาเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นเป็นหยางโปก็ก้มหน้าลงดื่มซุปต่อ


หยางโปก็รู้ว่าตนเองไม่ได้รับการต้อนรับจากที่นี่ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วก็หันหลังเดินออกไปด้านนอก


 


ในตอนบ่าย เครือญาติตระกูลหยางทยอยกันมาเยี่ยม คนมากมายพูดสักสองสามประโยคแล้วก็ไป เอ่ยถามซ้ำไป อธิบายอาการเจ็บป่วยซ้ำมา ทำให้พ่อเหน็ดเหนื่อยมาก ถึงขนาดถึงคนท้ายสุดพ่อหุบปากไม่พูดจาแล้ว


เฉิงหยวนซานเดินเข้ามา “คุณลุง ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ?”


แม่หยางตอบกลับ “หยวนซานมาแล้วเหรอ เธอมีน้ำใจจริงๆ”


เฉิงหยวนซานหัวเราะขึ้นมา “งานผมยุ่งมาก ไม่รู้ข่าวมาตลอด วันนี้หยางหลางโทรบอกผม ผมถึงได้รู้เรื่องนี้ คุณลุงลำบากแล้วจริงๆ”


แม่หยางพยักหน้า “ใช่ ลำบากแล้ว”


 


“ผมได้ยินหยางหลางบอกว่า หยางโปไม่ดีจริงๆ เป็นครอบครัวเดียวกันทำไมไม่ปรึกษากันให้ดี? ท่าทีแบบนี้ของคุณลุง ให้เขาออกเงินมากหน่อยแล้วจะเป็นอะไรไป?” เฉิงหยวนซานกล่าว


พ่อหยางได้ยินคำของเฉิงหยวนซานก็เห็นด้วย คิดว่าตลอดทั้งบ่ายนี้ในที่สุดก็มีคนพูดถึงใจของเขา “หยวนซานพูดถูก เรื่องนี้อย่าบอกนะว่าต้องให้ฉันบอกกับเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือว่าเขาไม่สมควรอาสาจ่ายเงินออกมา?”


“ฉันเลี้ยงเขามานานขนาดนี้ เอาข้าวให้กินหาเสื้อผ้าให้ใส่ ให้เขาไปเรียนในเมือง นานขนาดนี้แล้ว ทุ่มเทกายใจไปเท่าไหร่ เขาอกตัญญูแบบนี้ ให้เขาจ่ายสักหลายแสนก็เป็นทั้งชีวิตของเขา! นี่เสี่ยวหลางไม่ได้ออกไปทำงาน ถ้าหากเสี่ยวหลางออกไปทำงาน ปีหนึ่งได้หลายแสนหยวนไม่ใช่เรื่องเล็กเหรอ ถึงตอนนั้นยังต้องขอเขาอีกเหรอ?”


ร่างกายของพ่อหยางอ่อนแรง สุ้มเสียงไม่ดัง แต่พูดประโยคพวกนี้ออกมาก็ยังทำให้ทุกคนตกตะลึง


หลานเยว่หัวเราะฮิฮะ ไม่ได้พูดอะไร



ตอนที่ 211 สืบถาม


หยางโปที่ออกไปซื้อโสมคน ยืนอยู่นอกประตู พอได้ยินคำพูดนี้ เขาก็หิ้วโสมคนตรงไปทางด้านนอก


ป้าเห็นหยางโปจะออกไปข้างนอก ก็รีบถามว่า “เสี่ยวโป เธอจะไปไหนน่ะ?”


“ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะครับ” หยางโปบอก


ป้ามองห่อโสมคนอย่างดีที่หิ้วอยู่ในมือหยางโป ก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก


เมื่อกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วย ป้าก็เห็นเฉิงหยวนซานกำลังคุยกับพ่อของหยางโปเสียงดัง เธอเอ่ยปากถามว่า “เสี่ยวโปเป็นอะไรไป? ในมือหิ้วโสมคนเกรดสูงมา ทำไมถึงไปซะแล้วล่ะ?”


 


พ่อหยางอ้าปากด่ากราดทันที “ไอ้ลูกอกตัญญู ซื้อของดีๆ มาแต่ไม่เอามาให้พ่อมันกิน หรือว่ายังจะเอาไปให้ขอทานกัน? หรือเพราะฉันเคยพูดจาว่าร้ายมัน? ฉันก็เลยไม่ได้ของ!”


ในห้องพักผู้ป่วยเงียบลง ทุกคนล้วนนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ พ่อหยางแค่นเสียงเย็นชา ไม่พูดอะไรอีก หลังด่าแล้ว เขาก็กระจ่างขึ้นมา เมื่อกี้หยางโปต้องได้ยินเรื่องที่คุยกันข้างในแน่ แต่ได้ยินแล้วยังไง?


ป้าผงกศีรษะ “ก็ใช่น่ะสิ เสี่ยวโปก็อย่างนั้นล่ะ ซื้อของมาแต่ไม่เอามาให้ในห้อง หรือว่าจะเอาไปให้ที่ข้างนอกได้? พ่อของเขาไม่ได้อยู่ข้างนอกสักหน่อยนี่!”


…….


 


หงอวี้ลงมาจากรถ เห็นหน้าประตูใหญ่เขียนอักษรจีนตัวย่ออยู่หลายอักษรว่า “โรงพยาบาลประชาชนมณฑลเจียงซู”!


“อยู่ที่นี่ใช่รึเปล่า?” หงอวี้พูด อักษรจีนตัวย่อพวกนี้ เขาไม่รู้จักเลยสักตัวเดียว แต่ก็เดาได้ประมาณหนึ่ง


“เป็นที่นี่ครับ” ชุยอี้ผิงบอก


ชุยอี้ผิงเป็นคนปักกิ่ง เขาไปเรียนที่เยอรมัน ครั้งนี้ได้กลับมาพร้อมกันกับหงอวี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไปด้วยเหมือนกัน เขาหันไปมอง เห็นร่างของหงซิ่วซิ่วสวมชุดสีแดง ใส่แว่นกันแดดสีดำทรงนักบิน ยืนอยู่เช่นกัน


“หวังว่าจะไม่ผิดที่นะ” หงซิ่วซิ่วเอ่ยปาก


 


พูดแล้ว หงซิ่วซิ่วก็หันกาย รับของขวัญจากมือบอดี้การ์ด ก่อนกำชับอีกครั้งว่า “อีกเดี๋ยว พวกเธอก็รอบนรถแล้วกัน พวกฉันจะขึ้นไปกันสามคน”


“คุณหนู” บอดี้การ์ดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


หงอวี้ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ยิ้มอย่างเบิกบาน เขาหันไปมองชุยอี้ผิง เห็นเขารับของขวัญส่วนใหญ่ไปแล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จึงหันไปพูดกับบอดี้การ์ดว่า “ฟังที่คุณหนูใหญ่พูดเถอะ! ที่นี่เป็นประเทศจีน ไม่มีปัญหาเรื่องความไม่สงบหรอก”


เห็นบอดี้การ์ดยังคงมีสีหน้าไม่เห็นด้วย หงอวี้จึงได้แต่พูดว่า “ฉันว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน ให้นายหนึ่งคนตามไป ส่วนคนอื่นไม่ต้องตามมา”


 


พูดแล้ว หงอวี้ก็หันกายเดินเข้าไปในโรงพยาบาล


ในโรงพยาบาลสว่างและสะอาด ไม่ได้แตกต่างจากโรงพยาบาลที่เยอรมันมากนัก หงอวี้เพิ่งวิ่งหนีออกมาจากดงกลิ่นฟอร์มาลีน คาดไม่ถึงว่าแป๊บเดียวเขาก็กลับมาในดงนี้อีกแล้ว


หาห้องพักผู้ป่วยที่ได้ถามล่วงหน้าเอาไว้ก่อนแล้ว พวกเขายืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย หงอวี้หันไปทางชุยอี้ผิงถามว่า “เธอมาหาเขาไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ?”


ชุยอี้ผิงพยักหน้า “พี่หง ผมยังจะหลอกอะไรพี่ได้?”


พูดจบ ชุยอี้ผิงก็เร่งว่า “ตอนที่หยางโปอยู่ที่เมืองหลวง ในเมื่อพวกเรามากันแล้ว ก็เข้าไปทักทายคุณลุงคุณป้ากันสักหน่อยก่อน ผมเองก็มีเรื่องอยากจะถามอยู่เรื่องหนึ่ง


 


หงอวี้พยักหน้า มองของขวัญในมือชุยอี้ผิงกับน้องสาวอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรเสียมารยาท จึงเคาะประตูห้อง


“ใครน่ะ!”


มีเสียงหนึ่งถามออกมาจากในห้องพักผู้ป่วย หงอวี้รีบพูดว่า “ผมมาเยี่ยมคุณลุงหยางครับ”


“เชิญเข้ามา!”


ไม่รอให้หงอวี้อธิบายเพิ่มเติม คนด้านในก็ให้เขาเข้าไป


เมื่อเข้าประตูมา หงอวี้ก็เห็นว่าสี่ด้านของห้องผู้ป่วยมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย เขาเองก็เห็นคนด้านในไม่ชัด จึงได้แต่เอาสายตาวางไว้ที่เตียงผู้ป่วยกลางห้อง ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไป “คุณลุงหยาง สวัสดีครับ!”


 


พ่อหยางมอง “สวัสดี เธอคือ?”


หงอวี้ชี้ไปที่ด้านหลัง “คุณลุงหยาง พวกเราทั้งหมดเป็นเพื่อนของหยางโป ได้ยินข่าวว่าคุณลุงไม่สบาย เลยมาเยี่ยมครับ!”


พ่อหยางมองอาหารเสริมที่มีมูลค่าไม่น้อยด้านหลังหงอวี้แวบหนึ่ง เขาเอ่ยปากว่า “นั่งก่อนๆ!”


หงอวี้ยิ้ม ก่อนจะเห็นว่ามีคนหาที่ให้พวกเขาทั้งสามคนนั่ง เขารีบพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ!”


แม้จะพูดแบบนี้ แต่หงอวี้ก็ยังหาที่นั่งนั่งลงไป หงซิ่วซิ่วกับชุยอี้ผิง ยืนอยู่ด้านหนึ่ง


 


หงอวี้ยิ้มพลางอธิบายว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ ก่อนหน้านี้ผมได้รับบาดเจ็บมาเล็กน้อย จะเหนื่อยมากไม่ได้ เรื่องที่ผมนั่งนี่ ทุกคนอย่าได้ตำหนิเลยนะครับ”


“เกรงใจกันไปแล้ว” พ่อหยางกล่าว


หงอวี้ยิ้มก่อนจะแนะนำชื่อทั้งสามคน แล้วนั่งหน้าเตียงผู้ป่วยคุยกับพ่อหยาง


“พวกเธอเป็นเพื่อนหยางโปเหรอ? เป็นคนที่ไหนล่ะ” พ่อหยางถาม


“ผมกับน้องสาวเป็นคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อี้ผิงเป็นคนปักกิ่ง” หงอวี้ตอบ


 


ชุยอี้ผิงนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ฟังเรื่องเปื่อยไร้สาระ เขาจ้องพ่อกับแม่หยางโป พยายามที่จะหาจุดของหน้าตาที่เป็นลักษณะเฉพาะของหยางโปออกมาจากตัวของทั้งสองคน


เรื่องรูปลักษณ์นั้นแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงตรงหน้า แต่บางครั้งก็ยังมีการยึดเอาอารมณ์ความคิดตัวเองเป็นหลักอยู่ ก็เหมือนตอนนี้ ชุยอี้ผิงจับจ้องพ่อแม่หยางโป เมื่อมองทั้งสองคน ไม่ว่าจะมองยังไงก็หาลักษณะเฉพาะออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าหยางโปกับคนทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน


แน่นอนว่าเขาไม่สามารถที่จะชี้ขาดด้วยวิธีอย่างนี้ได้ ชุยอี้ผิงจึงคิดที่จะหยั่งเชิงสักเล็กน้อย


 


ฉวยอากาสตอนที่การพูดคุยหยุดชะงัก ชุยอี้ผิงมองไปทางแม่หยาง “คุณน้าครับ ผมกับหยางโปรู้จักกันมาครึ่งปีกว่าแล้ว แต่ยังไม่รู้วันเกิดของเขาเลย เขาเกิดเมื่อไหร่เหรอครับ?”


แม่สนใจหงอวี้มาตลอด พอได้ยินคำถามของชุยอี้ผิง ก็ชะงักเล็กน้อย “เสี่ยวโปน่ะหรือ วันเกิดของเขา…”


เสียงของแม่สะดุดลง ก่อนจะครุ่นคิด เมื่อวานที่ลุงหลุดปากพูดนั้น เธอก็รู้สึกว่าหยางโปเปลี่ยนไปมาก วันนี้ที่มามอบของขวัญ ล้วนแต่เป็นเพื่อนของหยางโป จะเป็นไปได้ไหมว่าเป็นเขาส่งมาหยั่งเชิง? นอกจากนี้ เมื่อกี้ป้าของหยางโปเองก็บอกว่าเจอหยางโป เขารีบร้อนออกไปขนาดนี้ หรือก็เพื่อเพราะเวลานี้?


เมื่อคิดอย่างนี้ แม่จึงเปิดปากว่า “หยางโปเกิดวันที่ 19 ม.ค. ปี 85”


 


ชุยอี้ผิงได้ยินคำตอบ ก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะเขาเคยถามไปแล้ว คนที่เขาต้องการจะหานั้นเกิดเดือนพฤษภาคม หยางโปโตกว่าคนคนนั้นไปสี่เดือน


“ก่อนหน้านี้ผมได้ยินว่า หยางโปเรียนไม่จบ ม.ปลาย” แม้ว่าจะผิดหวัง ชุยอี้ผิงก็ยังเอ่ยปากถามขึ้น


ชุยอี้ผิงขาดการฝึกฝนเทคนิคการพูดที่สำคัญ ดังนั้นเมื่อถามขึ้น วัตถุประสงค์จึงดูชัดเจนจนผิดปกติ แม้แต่แม่หยางเองยังรู้สึกได้ถึงการหยั่งเชิงล้วงภูมิหลังของหยางโป


โชคดีที่ครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ของหยางโปเรียบง่าย ไม่มีอะไรมีค่าให้เอ่ยถึงตั้งแต่ต้น


ชุยอี้ผิงถามอีกฝ่ายตลอดสองสามชั่วโมง ก็ไม่สามารถถามความคืบหน้าที่สำคัญๆ ได้เลย ถึงขนาดถูกชักพาไปผิดทาง


 


หงอวี้กับชายชราคุยกันอยู่นานมาก พอเห็นด้านชุยอี้ผิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แม้ว่าจะไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่หงอวี้ก็ยังช่วยพูดว่า “เมื่อก่อนหยางโปใช้ชีวิตเรียบง่ายขนาดนี้เลยเหรอครับ!”


แม่หยางพยักหน้า “หยางโปฉลาดเฉลียวมาตลอด แล้วก็ไม่เคยไปทำเรื่องนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้นคนในบ้านเลยรู้สึกวางใจเขามาก”


หงอวี้ยิ้ม “นั่นสิครับ วันก่อนผมโทรหาเขา เขาบอกว่าอยู่ที่ปักกิ่ง ผมไม่ได้รอเขาก็รีบมาที่นี่เลย”


“เอ๊ะ เสี่ยวโปมาแล้วนะ สายวันนี้ยังอยู่อยู่เลย เมื่อกี้ก็ออกไปซื้อของ” แม่หยางกล่าว



ตอนที่ 212 หลงทาง


ชุยอี้ผิงนั่งอยู่ด้านหนึ่ง รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาลากพี่น้องหงอวี้ไล่ตามมาจากเยอรมัน ก็เพื่อที่จะได้แน่ใจในเรื่องหนึ่ง แต่หลังจากฟังแม่หยางอธิบายแล้ว สถานะของหยางโปนั้นไม่ตรงกันกับคนคนนั้นอย่างชัดเจน


ชุยอี้ผิงหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้หงอวี้ นี่เป็นสัญญาณลับของพวกเขา หงอวี้เองก็พยักหน้าตอบ


“คุณอา คุณอาต้องบำรุงร่างกายให้ดี ครั้งหน้าถ้ามีเวลา ก็ให้หยางโปพาคุณอากับคุณน้ามาเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สักรอบนะครับ หรือจะไปปักกิ่งก็ได้เหมือนกัน!” หงอวี้ยิ้มพลางพูด


แม่หยางใบหน้าดำคล้ำ ส่วนพ่อหยางก็เบะปาก ไม่พูดอะไร


 


หงอวี้หันไปมองชุยอี้ผิง ท่าทีของพ่อแม่หยางโปนั้นแปลกประหลาดมาก แต่ใบหน้าของเขาก็ยังประดับรอยยิ้ม “คุณอา พวกเรายังมีธุระ ต้องขอตัวก่อน คุณอารักษาตัวด้วยนะครับ”


พ่อหยางไม่คิดจะสนใจ แต่พอมองไปยังยาบำรุงคุณภาพสูงคู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มออกมา “พวกเธอไม่รอหยางโปกลับมาเหรอ?”


“ไม่ต้องหรอกครับๆ เดี๋ยวผมโทรหาเขาก็ได้” หงอวี้กล่าว


หยางหลางจ้องกองยาบำรุงคุณภาพสูงที่หงอวี้เอามา เห็นรังนก ถังเช่า เห็นโสมคนจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนโสมจากต่างประเทศ เขากลืนน้ำลายอย่างทนไม่ไหว “นี่ พวกเธอเป็นเพื่อนของเสี่ยวโปกันใช่ไหม?”


 


หงอวี้กำลังลุกขึ้นพอดี พอเห็นหยางหลางถามแบบนี้ เขาก็แปลกใจมาก แต่ด้วยการแนะนำตัวเมื่อสักครู่ เขาจึงรู้ว่าหยางหลางเป็นใคร เขาหันไปยิ้มให้หยางหลาง “ใช่แล้ว หยางโปมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้!”


หยางหลางได้ยินเรื่องนี้ก็ยินดีเป็นอย่างมาก เขามองไปทางหงอวี้ “พี่ชาย เธอคงไม่รู้ถึงสภาพของเสี่ยวโปตอนนี้ ไม่กี่วันก่อนเขาซื้อหยกปลอมมาอันหนึ่ง จ่ายไปห้า…โอ๊ะ ไม่ จ่ายไปแปดแสน เป็นความเสียหายที่ใหญ่มาก เพราะงั้นตอนนี้เขาเลยล้มละลายไปแล้ว ทำให้จ่ายค่ารักษาพ่อของฉันไม่ไหว!”


พี่น้องตระกูลหงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คนอื่นอาจไม่รู้ แต่พวกเขาพี่น้องนั้นรู้ดี ตอนที่รักษาอยู่ที่เยอรมัน แม่ของพวกเขาจ่ายค่ารักษาให้หยางโปไปถึงหนึ่งพันล้านหยวน จะมาล้มละลายเพราะเงินแปดแสนนี่ได้ยังไง? แต่ว่า เป็นเพราะคำพูดนี้ออกมาจากปากของหยางหลาง พวกเขาจึงไม่สะดวกที่จะซักถาม


 


หงอวี้ยิ้ม “พี่น้องหยางไม่เคยพูดถึงจริงๆ เรื่องอย่างนี้ไม่เคยบอกพวกเราเลย”


พูดจบ หงอวี้ก็ยื่นมือไปทางหงซิ่วซิ่ว หงซิ่วซิ่วขมวดคิ้วก่อนจะส่งกระเป๋าไป หงอวี้ควักเงินปึกหนาปึกหนึ่งจากกระเป๋าหนังสีดำออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็หันไปพูดกับพ่อหยางว่า “คุณอา พวกเราไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ นี่เป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่ก็คงเอาไว้ใช้จ่ายในเวลาคับขันได้ ต้องขอให้คุณอาให้อภัยด้วย!”


เมื่อพ่อหยางได้ยินคำพูดของหยางหลาง ก็เข้าใจได้ทันที แต่เขาก็ไม่ได้เพ้อฝันอะไรไว้มากมาย พอตอนนี้ เห็นเงินปึกหนาๆ ในมือของหงอวี้ ดูแล้วไม่น้อยกว่าห้าหกแสนหยวน เขาก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาในทันที รีบเปลี่ยนคำเรียกอีกฝ่าย “หลานรัก ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตอนนี้หยางโปเขาเองก็มีเงินไม่พอ ต่อไป รอให้เขาฟื้นมาได้เหมือนเดิม ถึงตอนนั้นฉันจะบอกให้เขาเอาเงินไปให้พวกเธอเอง!”


 


หงอวี้โบกมือ “คุณอาเกรงใจไปแล้วครับ คุณอาเอาไปใช้อย่างสบายใจเถอะครับ จะยกเรื่องคืนไม่คืนอะไรขึ้นมาอีก”


“ต้องคืนสิ เธอวางใจเถอะ” พ่อหยางกล่าว


พูดแล้ว พ่อหยางก็หันไปมองหยางหลาง ทำท่าทางให้เขาเข้าไปรับ


หากเป็นเมื่อก่อน หยางหลางต้องถูกเงินจำนวนมากอย่างนี้ทำเอาตาพร่าแน่นอน แต่พอได้ขโมยเงินที่บ้านไปสามแสน ทั้งยังขายห้องทิ้งไปอีก แม้ว่าจะเสียไปไม่น้อย แต่ในตอนนี้ทรัพย์สินในมือของเขามากมายจนเทียบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว


 


หยางหลางสังเกตเห็นแววตาของพ่อ จึงเดินเข้าไปรับพลางหัวเราะแหะแหะ ก่อนจะยื่นมือ “ต้องขอบคุณจริงๆ นะครับ”


หยางโปนั่งอยู่ข้างนอกมาพักใหญ่ ในที่สุดก็เดินกลับมา ขณะเปิดประตูห้องพักผู้ป่วย เขาก็เห็นหงอวี้ควักเงินปึกหนึ่งส่งให้หยางหลาง


เสียงเปิดประตูดึงดูดความสนใจของทุกคน หยางโปเห็นหงอวี้กำลังยื่นเงินออกไป ในใจก็พอจะคาดเดาเรื่องได้ เขาพูดเสียงดังว่า “หงอวี้ คุณจะทำอะไร เอาคืนไป!”


หงอวี้ได้ยินที่หยางโปพูด ก็ชักมือกลับตามสัญชาตญาณ หยางหลางรับเอาไว้ได้เพียงความว่างเปล่า เขายื่นมือออกไปอีก คิดจะเข้าไปแย่ง แต่ในเมื่อหงอวี้ชักมือกลับไปแล้ว ไหนเลยจะยังให้โอกาสให้เขาได้ไปอีก?


 


หยางโปเดินเข้ามา ก่อนจะหันไปผงกศีรษะให้พวกหงอวี้ทั้งสามคน แล้วมองไปทางหยางหลางอีกครั้ง “พี่ทำอะไร?”


ในใจหยางหลางรู้สึกเสียใจที่เมื่อกี้ตัวเองลงมือช้าไปก้าวหนึ่ง แต่ปากหัวเราะเหอเหอ แล้วเปิดปากพูดว่า “นี่พ่อให้ฉันไปรับมาเองนะ”


หยางหลางโบ้ยให้พ่อ แต่พ่อหยางกลับไม่สนใจ มีคนอื่นอยู่ข้างๆ หรือว่าหยางโปยังจะสามารถตำหนิเขาได้อีก?


“เสี่ยวโป เพื่อนเธอนิสัยดีจริงๆ นะ พอได้ยินว่าฉันไม่มีเงิน ก็จะควักจ่ายค่ารักษาให้ฉันเลย”


 


พ่อหยางมีท่าทีหน้าหนาไร้ยางอาย ทำให้ลุงและป้าต่างก็หน้าแดงขึ้นมา แม่นั่งก้มหน้าอยู่ด้านหนึ่งไม่เอ่ยปาก


หยางโปหันไปมองหงอวี้แวบหนึ่ง พูดอย่างจริงจังว่า “ผมขอย้ำอีกรอบว่า ค่ารักษาผมเป็นคนจ่าย!”


พูดแล้ว หยางโปก็หันไปมองของบำรุงที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง “พี่หง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ทำให้พวกคุณสิ้นเปลืองแล้ว”


หงอวี้ส่ายหน้า “เทียบกับบุญคุณที่ช่วยชีวิตของเธอแล้ว ของพวกนี้นับเป็นอะไรได้?”


หยางโปยิ้มพลางส่ายหน้า “พี่หง คุณเอาเงินคืนไปเถอะ พวกเราออกไปคุยกันสักหน่อย”


 


“เธอไม่ได้ล้มละลายหรอกเหรอ?” หงอวี้ถาม เขาเบือนสายตาไปทางหยางหลางกับพ่อหยางคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ


หยางโปเข้าใจเรื่องได้ในทันที เขาหันหน้ามองไปทางพ่อ แม้พ่อจะหน้าหนา แต่ก็ยังต้องก้มหน้า หยางโปขมวดคิ้วแน่น “ต่อไปเวลาเพื่อนผมจะมา ผมจะโทรบอกพวกเขาล่วงหน้าก่อนเอง”


พูดจบ หยางโปก็เดินออกไปข้างนอก พวกหงอวี้ทั้งสามคนได้แต่เดินตามออกไป


รอให้ทั้งสามคนออกไปจากห้องพักผู้ป่วย หยางหลางก็ทำท่าถุยไปทางข้างนอก “จะอะไรนักหนา ก็แค่เงินไม่กี่แสนหยวนเองไม่ใช่รึไง?”


 


พ่อหยางโมโหที่เมื่อกี้หยางหลางลงมือชักช้า จึงตำหนิว่า “ก็เป็นเงินไม่กี่แสนหยวน แกอย่าพูดจายิ่งใหญ่นักเลย แกมีฝีมือเอาเงินไม่กี่แสนหยวนนี่มาให้ฉันตอนนี้ได้รึไง?”


หยางหลางเงยหน้า “พ่ออย่ามาท้าฉันนะ ฉันก็เอาเงินหลายหมื่นหยวนมาให้พ่อได้จริงๆก็แล้วกัน!”


ตอนนี้เองพ่อหยางถึงมีท่าทีขึ้นมาในทันที พูดอย่างโมโหว่า “ฉันนึกขึ้นมาได้ แกขายห้องไปแล้วนี่ เงินล่ะ? ห้องชุดนั่นตอนนี้ราคาตลาดก็หนึ่งล้านหนึ่งแสน แกเอามาให้พวกเราครึ่งหนึ่งก็ได้!”


“พ่อ พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกันไม่พูดคำพูดแบ่งแยกอย่างนี้สิ คุยเรื่องเงินอะไรกัน!” หยางหลางหัวเราะอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แล้วมองไปที่อีกฝ่าย


……


 


หยางโปพาทั้งสามคนเข้ามานั่งในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ใบหน้าปรากฏความเหนื่อยล้า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ที่ทำให้ทั้งสามคนเห็นเรื่องน่าขบขันแบบนี้”


หงอวี้รีบส่ายหัว “ไม่ต้องขอโทษหรอก”


หัวข้อสนทนานี้น่าอายเกินไป หงอวี้จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ “วันก่อนเธอไม่ใช่ยังอยู่ที่ปักกิ่งเหรอ ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้?”


“วันนั้นหลังจากที่พวกเราคุยโทรศัพท์กันได้ไม่นาน ผมก็กลับมาที่นี่แล้ว แล้วพวกคุณทำไมถึงมากันเร็วอย่างนี้ได้ละ?” หยางโปพูด


 


“พอเธอไปแล้ว ร่างกายของฉันก็ฟื้นฟูได้เร็วมาก ฉันไม่ค่อยคุ้นกับดินฟ้าอากาศของเยอรมันสักเท่าไหร่ เดิมทีคิดจะกลับบ้าน แต่มาคิดดูแล้ว ก็ยังคิดว่าควรมาจินหลิงเพื่อขอบคุณเธอ!” หงอวี้บอก


“เกรงใจไปแล้วครับ”


ระหว่างที่หยางโปคุยกับหงอวี้ หงซิ่วซิ่วไม่ได้เอ่ยปาก ชุยอี้ผิงเองก็ไม่พูดอะไร เขายังคงจมจ่อมอยู่ในความกลัดกลุ้ม ดังนั้นตอนนี้พอได้เห็นหยางโปตัวจริง เขาก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก




ตอนที่ 213 เงินประกัน


เมื่อเดินไปส่งพวกหงอวี้ทั้งสามคนแล้ว หยางโปก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ออกมา


หงอวี้เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นคนไหนที่พูดถึงเรื่องที่เขาล้มละลาย จนจ่ายค่ารักษาไม่ไหว ในสถานการณ์อย่างนั้น หงอวี้ก็เหมือนกำลังขี่หลังเสือยากจะลงได้ เขาไม่ได้ให้เช็ค แต่กลับหยิบเงินสดออกมา เงินจำนวนนี้ไม่นับว่าน้อย แต่ก็ไม่มากเช่นกัน ไม่เบาไม่หนัก ดูสมเหตุสมผล


หยางโปดีใจที่ตัวเองบังเอิญกลับไปพอดี ถ้าเปลี่ยนเป็นเพื่อนที่มีอิทธิพลในท้องถิ่น แล้วเกิดเขียนเช็คจำนวนหลายแสนให้ขึ้นมา เขาก็ได้แต่พูดอะไรไม่ได้แล้ว


 


ถึงตอนค่ำ มือถือหยางโปก็มีข้อความส่งมา ในบัตรธนาคารมีเงินเข้าแปดแสน เขารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ได้รับข้อความที่ผู้ช่วยกู้ฉางซุ่นส่งมาในทันทีหลังจากนั้น “การเจรจาเรื่องถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วเสร็จสิ้นแล้ว ต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือของทุกท่าน!”


หยางโปตกใจมาก เดิมทีเขาคิดว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานสำหรับการเจรจาครั้งนี้ คาดไม่ถึงว่าในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็จะจัดการได้เรียบร้อยแล้ว แต่เขายังไม่กล้ามั่นใจว่าที่การเจรจาเสร็จสิ้นนั้นเป็นการซื้อของได้ หรือว่าซื้อของไม่ได้กันแน่?


หยางโปเองก็ไม่ถามมากความ เพราะถ้าจ่ายเงินซื้อได้ เดี๋ยวสื่อก็จะต้องรายงานข่าวอย่างแน่นอน กู้ฉางซุ่นโอนให้แปดแสน ก็นับว่าไม่เลว เพราะรวมช่วงที่ไปเยอรมันก็เพียงแค่ห้าหกวันเท่านั้นเอง


 


ผ่านไปอีกสองวัน ร่างกายของพ่อหยางก็ดีขึ้นไม่เลวแล้ว หยางโปเสนอให้อีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาล พ่อหยางก็พูดขึ้นทันทีว่า “ออกจากโรงพยาบาล? แกจะให้ฉันออกจากโรงพยาบาลไปไหน?”


ฟังคำพูดนี้แล้ว หยางโปก็ไม่พูดอะไรอีก เฉาหยวนเต๋อโทรมาหาเขาสองวันห้าสายเร่งให้เขาไปปักกิ่ง ในเมื่อพ่อของเขาดีขึ้นแล้ว เขาเองก็ไม่คิดจะเสียเวลาอีก จึงจ่ายค่ารักษาล่วงหน้าสิบกว่าวันในทันที ก่อนที่หยางโปจะซื้อตั๋วบินวันถัดมา ก็บินตรงไปที่ปักกิ่งทันที


ผู้ที่มารับที่สนามบินเป็นภัณฑารักษ์ฉางแห่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หยางโปกับอีกฝ่ายเคยพบกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายจับมือกันอย่างเป็นมิตร ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่โรงแรม


 


ภัณฑารักษ์ฉางเป็นคนหัวก้าวหน้าอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าการออกจัดแสดงสมบัติแห่งชาติในครั้งนี้ ก็เป็นการเสนอของเขา


“เถ้าแก่หยาง ช่วงนี้เครื่องเคลือบเหยาเกอทรงดอกทานตะวันของคุณใบนั้นนับว่ากำลังเป็นที่สนใจนะ!” ภัณฑารักษ์ฉางพูดอย่างปลงๆ


หยางโปส่ายหน้า “ภัณฑารักษ์ฉางไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ใช้ชื่อผมเลยก็ได้ เครื่องเคลือบทรงดอกทานตะวันของผมใบนี้ก็แค่ยืมลมตะวันออกของสื่อเท่านั้นเอง พอผ่านไปเดี๋ยวก็ถูกทุกคนลืมกันแล้ว”


ภัณฑารักษ์ฉางยิ้ม “งั้นก็ดี หยางโป ฉันไม่เกรงใจล่ะนะ!”


 


พูดแล้ว ภัณฑารักษ์ฉางก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ฉันจำได้แม่นว่า ในมือของเธอยังมีไหดินเผาลายปลาอารยธรรมหย่างเสาอยู่”


หยางโปรีบขัดว่า “ภัณฑารักษ์ฉาง เราจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ผมไม่รู้ว่างานครั้งนี้ขององค์กรคุณสุดท้ายแล้วมันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ยืมใช้วัตถุโบราณไปตั้งมากมาย เบี้ยประกันที่จะต้องจ่ายก็คงไม่ต่ำหรอกมั้งครับ!”


ภัณฑารักษ์ฉางถึงหยุดปาก เขาเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้าใจก็ย่อมยินดี แต่เบี้ยประกันที่หยางโปเอ่ยถึงก็เป็นปัญหาอยู่จริงๆ


ไม่นาน หยางโปก็ถูกส่งมาถึงโรงแรม เขายังไม่ทันได้เข้าห้อง ภัณฑารักษ์ฉางก็พูดว่า “หยางโป เอกสารสัญญาเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ชั้นสองมีห้องประชุมอยู่ พวกเราขึ้นไปคุยกันสักหน่อยเถอะ?”


 


หยางโปเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยากจะปฏิเสธ จึงได้แต่พยักหน้า “ครับ พวกเราเซ็นสัญญากันเร็วหน่อย จะได้เสร็จเร็วๆ”


เมื่อเข้าไปในห้องประชุม ก็มีผู้ช่วยถือสัญญาฉบับหนึ่งมาให้ หยางโปจ้องเอกสารสัญญาแล้วเริ่มอ่าน ส่วนสำคัญของสัญญาฉบับนี้เป็นการระบุเรื่องความรับผิดชอบและสิทธิของทั้งสองฝ่าย มีหลายข้อที่หยางโปล้วนเข้าใจ เป็นเพราะรู้จักกับเฉาหยวนเต๋อ ดังนั้นตอนที่อีกฝ่ายร่างสัญญา จึงพิจารณาถึงประโยชน์ของ


หยางโปไปด้วย


หยางโปอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า เมื่อถึงข้อเงินประกันที่อยู่ท้ายสุด หยางโปก็พลันเงยหน้ามองไปทางภัณฑารักษ์ฉาง “เงินประกันน้อยเกินไปครับ”


 


ภัณฑารักษ์ฉางนั่งอยู่ด้านหนึ่ง กำลังดื่มชา ไม่รีบร้อนเลยตั้งแต่ต้น “สิบล้านก็ไม่น้อยแล้ว เธอต้องรู้ไว้ว่า พวกเราซื้อประกันให้คนอื่นน้อยกว่านี้อีก”


หยางโปส่ายหน้า “นี่มันไม่เหมือนกัน”


“มีอะไรไม่เหมือนกัน?” ภัณฑารักษ์ฉางกล่าว


หยางโปยิ้มบางๆ “คุณจะไม่รู้ได้เหรอ?”


ภัณฑารักษ์ฉางเองก็ยิ้มออกมา แน่นอนว่าเขารู้ได้ถึงความหมายของหยางโป ย่อมไม่เหมือนกันจริงๆ เพราะผู้ครอบครองโบราณวัตุเหล่านี้ไม่เหมือนกัน เครื่องเคลือบเตาเผาเกอทรงดอกทานตะวันเป็นของ


หยางโปคนเดียว แต่ของชิ้นอื่นเป็นของประเทศชาติ เมื่อเป็นอย่างนี้ ในกรณีที่เกิดความเสียหายหลักในการชดใช้ก็จะไม่เหมือนกัน


 


“เธออยากได้เท่าไหร่ล่ะ?” ภัณฑารักษ์ฉางถาม


หยางโปใคร่ครวญเล็กน้อย “ในประเทศมีเครื่องเคลือบเตาเผาเกอตกทอดมาไม่ถึงร้อยชิ้น และส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ ราคาประมูลสูงถึงสิบล้าน ส่วนเครื่องเคลือบเตาเผาเกอราชวงศ์ซ่งเหนือมีอยู่เพียงสองชิ้น มูลค่าย่อมต้องสูงกว่า”


ลังเลเล็กน้อย ก่อนหยางโปจะบอกว่า “แต่พิจารณาถึงลักษณะพิเศษของงานแสดงของพวกคุณ ผมเองก็ไม่คิดจะทำให้พวกคุณลำบาก สามสิบล้านก็แล้วกัน!”


ภัณฑารักษ์ฉางเองก็ลังเลขึ้นมา เงินประกันที่สูงขนาดนี้เกินกว่างบประมาณอย่างแน่นอน แต่หยิบของชิ้นนั้นออกมาจากพิพิธภัณฑ์กู้กงไม่ได้ เขาก็ได้แต่ต้องเอาชิ้นนี้ไปแล้ว ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงพยักหน้า “หยางโปเธอเป็นมืออาชีพในการเจรจาธุรกิจจริงๆ ราคานี้ไม่สูงไม่ต่ำ ทำให้คนเขาลำบากจริงๆ”


 


“ได้ งั้นก็เอาตามที่เธอว่าก็แล้วกัน!” ภัณฑารักษ์ฉางหยิบสัญญาขึ้นมา ก่อนจะส่งให้ผู้ช่วย ผู้ช่วยรับไป ไม่นานก็เปลี่ยนฉบับแล้วยื่นกลับมา


หยางโปกวาดสายตาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่ารายละเอียดบนกระดาษแก้ไขแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ลงนามในสัญญา


ภัณฑารักษ์ฉางเองก็ไม่รั้งอยู่ต่อ เขาหันไปพูดกับหยางโปว่า “ไม่ใช่ฉันอยากจะเร่งเธอ แต่ว่าเวลามันไล่กวดฉันมาตลอด เลยไม่มีทางเลือก ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก เลยไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”


หยางโปโบกมือ “ภัณฑารักษ์ฉาง ผมรู้ว่าคุณยุ่งมาก ไม่ต้องสนใจผมหรอก ไปจัดการธุระต่อเถอะครับ!”


ภัณฑารักษ์ฉางพนมมือทั้งคู่ “ขอบคุณจริงๆ รอจนเสร็จงานครั้งนี้แล้ว ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอแน่นอน”


 


หยางโปยิ้ม “งั้นก็ดีเลยครับ!”


หลังส่งภัณฑารักษ์ฉางแล้ว หยางโปก็เข้าไปในห้อง ก่อนจะพบว่าการมาปักกิ่งของตัวเองบรรลุผลแล้ว มันเร็วจนเขาไม่ทันรู้ตัว


หยางโปโทรศัพท์ไปหาเฉาหยวนเต๋อ เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เฉาหยวนเต๋อเองก็กำลังงานยุ่ง หลังจากตอบกลับมาไม่กี่ประโยค ทั้งสองคนก็วางสาย


หยางโปนอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าจะทำอะไร เขาไม่มีคนคุ้นเคยที่ปักกิ่งมากนัก เฉาหยวนเต๋อเองก็ยุ่งอยู่ เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะติดต่อใคร เมื่อพลิกสมุดจดที่อยู่ ก็เห็นชื่อตาอ้วนหลิว หยางโปจึงต่อสายไป


 


“คุณอยู่เทียนจินรึเปล่า?” หยางโปถาม เขานึกขึ้นได้ว่าเทียนจินอยู่ใกล้ปักกิ่งมาก จึงวางแผนจะไปเที่ยวสักรอบ


“ฉันอยู่ปักกิ่ง” ตาอ้วนหลิวตอบ “ทำไมเหรอ? เธอจะไปเทียนจินเหรอ?”


“ผมเองก็อยู่ปักกิ่ง ไม่มีอะไรให้ทำ ตอนแรกเลยวางแผนว่าจะไปเตร่ที่เทียนจิน” หยางโปบอก


ทางตาอ้วนหลิวพลันเงียบขึ้นมา ไม่นาน หยางโปก็ได้ยินเสียงตาอ้วนหลิว “เฮ้อ เธอโทรมาได้จังหวะจริงๆ ฉันกำลังปรึกษากับเหล่ากู้อยู่ เธอก็มาได้ทันเวลาพอดี เอางี้เป็นไง พรุ่งนี้เธอมีเวลาไปชางโจวด้วยกันกับพวกเราสักรอบรึเปล่าล่ะ?”


 


หยางโปคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างนี้ สำหรับชางโจวนั้นเขาไม่มีภาพในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย แต่เขายังจำได้ว่าเยว่เหยี่ยนเป็นคนชางโจว และตอนนี้เขาก็ไม่คิดจะกลับไปที่จินหลิง ดังนั้นนี่นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย


“ครับ พรุ่งนี้จะให้ผมรอพวกคุณอยู่ที่ไหน?” หยางโปพูด



ตอนที่ 214 หินเถียนหวง


เมืองชางโจวเป็นเขตปกครองระดับเมืองในมณฑลเหอเป่ย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเหอเป่ย ทางตะวันออกติดกับทะเลโป๋ไห่ ทางเหนือติดกับเทียนจิน อยู่ตรงข้ามคาบสมุทรหลู่ตงจนถึงคาบสมุทรเหลียวตงโดยกั้นด้วยทะเล ห่างจากปักกิ่ง 200 กิโลเมตร


ขับรถสามชั่วโมงกว่า ทั้งคณะก็มาถึงชางโจว ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว


กู้ฉางซุ่นดูแลเรื่องการพาทุกคนไปกินข้าว คนขับขับรถไปถึงที่โรงแรม ก่อนจะหยุดรถ


เมื่อนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร หยางโปก็เอ่ยถึงเรื่องที่เยอรมัน หันไปถามกู้ฉางซุ่นว่า “เถ้าแก่กู้ สุดท้ายแล้วจ่ายไปเท่าไหร่กันครับ?”


 


กู้ฉางซุ่นที่กลับมาจีน อดไม่ได้ที่จะหัวร้อน “แม่มันสิ ไอ้ผู้ชายต่างชาตินั่นมันฉลาด ถ้วยลายไก่ใบเดียวก็ดึงเวลาฉันไปได้นานขนาดนี้ สุดท้ายฉันเสนอราคาเพิ่มให้อีกสามสิบล้าน จ่ายไปหนึ่งร้อยแปดสิบล้าน”


“หนึ่งร้อยแปดสิบล้าน?” หยางโปพยักหน้า “เถ้าแก่กู้ ราคานี้ยังนับว่าใช้ได้อยู่ ดูจากท่าทางของพวกเขาตอนที่เพิ่งเริ่มเจรจา ผมยังคิดว่าพวกเขาจะยืนยันราคาเดิมต่อซะอีก”


“ยืนยันราคาเดิมบ้าอะไรล่ะ! เธอยังไม่รู้ ก่อนที่จะเจรจากัน ฉันเคยตรวจสอบมาแล้ว ตระกูลเบอร์ดาทำธุรกิจค้าไม้มาหลายรุ่น ช่วงนี้นอร์เวย์ออกกฎหมายลดการตัดไม้ ธุรกิจครอบครัวของเขาเลยได้รับผลกระทบอย่างหนัก” กู้ฉางซุ่นกล่าว


 


หยางโปตระหนักได้ในทันที ก่อนจะมองกู้ฉางซุ่นด้วยสายตาทึ่งๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมในการทำงานก่อนจะเริ่มงานถึงขนาดนั้น เห็นได้ว่าเรื่องที่เยอรมัน ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น


ชางโจวเป็นเมืองแห่งวูซู ขณะรถวิ่งอยู่ในเมือง ก็ผ่านสวนสาธารณะจำนวนหนึ่ง หยางโปเห็นว่ามีคนฝึกวูซุกันอยู่ทุกรูปแบบ


ตาอ้วนหลิวรู้เรื่องนี้ เขาหันไปทางรถแล้วชี้ พลางแนะนำว่า “นี่คือมวยปาจี๋ นั่นคือมวยไท่จู่ โอ๊ะ ฝ่ามือปาผาน อันนี้ไม่รู้จัก…”


รถเพียงวิ่งผ่านแค่แวบเดียว แต่เพราะตาอ้วนหลิวชี้ไปชี้มา คนขับจึงลดความเร็วลง หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ดังนั้นการชี้ไปที่ด้านนอกไปมานั้น จึงไม่ทำให้รู้สึกว่าชักช้ามากนัก


 


โดยไม่รู้ตัว รถยนต์ก็มาหยุดอยู่หน้าร้านวัตถุโบราณร้านหนึ่ง หยางโปลงจากรถ ก่อนจะเงยหน้ามอง เห็นชื่อร้านวัตถุโบราณว่า “ชางล่างเก๋อ”


หยางโปยิ้ม ก่อนจะหันกายไปมองตาอ้วนหลิว “ครั้งนี้วางแผนจะซื้ออะไรครับ?”


“หินเถียนหวง” ตาอ้วนหลิวตอบเสียงค่อย


หยางโปหันไปมองกู้ฉางซุ่นแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หินเถียนหวงเป็นของที่ใช้ทำตราประทับ สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยและสูงศักดิ์ คิดดูแล้วก็สามารถรู้จุดประสงค์ที่กู้ฉางซุ่นอยากจะซื้อ


เถียนหวงได้


 


เถียนหวงถูกเรียกว่าเป็นราชาแห่งหินนับหมื่น เหตุผลที่หินเถียนหวงหายากนั้นก็เพราะในโลกนี้ มีเพียงชั้นทรายใต้นาที่แคบและทอดยาวซึ่งมีห้วยเล็กๆ ขนาบสองด้านในหมู่บ้านโซ่วซานมณฑลฝูเจี้ยนเท่านั้นถึงจะมี นอกจากนี้เนื่องจากได้ขุดติดต่อกันมาหลายร้อยปี นาของหมู่บ้านโซ่วซานจึงถูกขุดไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ทุกวันนี้จึงขุดจนเกือบไม่มีอะไรเหลือแล้ว เถียนหวงคุณภาพยอดเยี่ยมที่ขุดได้เมื่อนานมาแล้วนั้นถือเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ สมัยโบราณมีคำพูดที่ว่า “หนึ่งสองเถียนหวงสามสองทองคำ” หินเถียนหวงในตอนนี้ราคาจึงยิ่งสูงเสียดฟ้าขึ้นไปอีก


หยางโปประหลาดใจ หันไปถามตาอ้วนหลิวว่า “ในมือเถ้าแก่ร้านนี้มีหินดีๆ อยู่เหรอ?”


 


ตาอ้วนหลิวพยักหน้า “เถ้าแก่ร้านนี้ไปซื้อหินที่โซ่วซานอยู่บ่อยๆ เป็นเวลาหลายปีหลายเดือน เขาก็สะสมเอาไว้ไม่น้อยเหมือนกัน เธอเข้าไปดูก็จะรู้เอง”


พูดแล้ว ทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในร้าน


ตาอ้วนหลิวเดินอยู่หน้าสุด เมื่อเห็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในห้องรับแขกก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เถียน ขอโทษด้วยจริงๆ มาช้าแล้ว”


เถ้าแก่เถียนยิ้ม “ไม่ช้าๆ”


ทั้งสองคนหัวเราะฮ่าฮ่าพลางจับมือกัน ตาอ้วนหลิวเอียงกาย แนะนำว่า “ท่านนี้คือเถ้าแก่กู้ ท่านนี้คือเถ้าแก่หยาง”


 


ต่างคนต่างก็จับมือกัน เพิ่งนั่งลง เถ้าแก่เถียนก็ยกน้ำชามารับรอง เขาหันไปทางทุกคนแล้วพูดว่า “เป็นหมู่บ้านชนบท ชาเรียบง่าย ต้องขอให้ทุกท่านให้อภัยด้วย”


“เถ้าแก่เถียนเกรงใจไปแล้ว” ตาอ้วนหลิวพูดยิ้มๆ “พวกเราได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของเถ้าแก่เถียน จึงตั้งใจมาเพื่อดูราชาหินเถียนหวงในมือของคุณก้อนนั้นโดยเฉพาะ”


เถ้าแก่เถียนเพิ่งนั่งลง รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันแข็งทื่อ “เถ้าแก่หลิว ก่อนหน้านี้ในโทรศัพท์พวกเราไม่ได้คุยกันอย่างนี้นี่?”


ตาอ้วนหลิวหัวเราะแหะแหะ “เถ้าแก่เถียน พวกเราดูหินเถียนหวงก่อนค่อยว่ากันดีรึเปล่า?”


 


เถ้าแก่เถียนลังเลเล็กน้อย ก็ผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “ตามฉันมา!”


หยางโปสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เห็นกู้ฉางซุ่นไม่มีท่าทีอะไร ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าพวกเขาจะต้องปรึกษากันมาอย่างดีก่อนหน้านี้แล้วอย่างแน่นอน


เถ้าแก่เถียนพาทั้งสามคนขึ้นมาบนอาคาร เดินผ่านระเบียง ก่อนจะไปยังหน้าห้องห้องหนึ่ง เปิดประตูทางเข้าสองต่อ ทุกคนถึงได้เข้าไปในห้องสะสม


ทั้งสี่ด้านของห้องสะสมไม่มีช่องระบายลม เมื่อเข้าไปแล้วก็รู้สึกอึดอัด หายใจหอบเพราะขาดอากาศ แต่ทุกคนล้วนไม่ใส่ใจ ต่างก็จ้องมองไปยังชั้นวางของตรงหน้า


 


ทั้งห้องมีขนาดประมาณสิบตารางเมตร ตรงกลางวางชั้นวางไว้แค่ชั้นเดียวเท่านั้น ชั้นวางถูกแบ่งเป็นช่องสิบกว่าช่อง ทุกช่องล้วนมีหินเถียนหวงอยู่หนึ่งก้อน อยู่ที่มุม มีกระดานไม้อันหนึ่ง ด้านบนวางหินกองหนึ่งเอาไว้


พริบตาเดียวกู้ฉางซุ่นก็เห็นหินเถียนหวงที่วางอยู่ตรงกึ่งกลางสุดของชั้นหนังสือ หินเถียนหวงก้อนนั้นมีความหนาสองหัวแม่มือ สูงห้าเซนติเมตร เถียนหวงทั้งก้อนราวกับไก่ที่ฟักจากไข่ ด้านนอกมีลักษณะเป็นผิวสีขาวอ่อนๆ ชั้นหนึ่ง มันวาวเป็นประกาย ส่วนด้านในเป็นสีเหลืองสดใส


หินเถียนหวงยิ่งเหลืองก็จะยิ่งแพง แม้ว่าหยางโปจะไม่เคยเห็นเถียนหวงมามากนัก แต่ก็รู้ถึงความหายากของหินเถียนหวงก้อนนี้


 


ใบหน้าเถ้าแก่เถียนปรากฏสีหน้าภาคภูมิใจ “นี่เป็นลักษณะที่เรียกว่าเงินหุ้มทอง นับเป็นลักษณะที่ดีที่สุดในบรรดาหินเถียนหวง แถมเงินหุ้มทองก้อนนี้ยังเป็นก้อนที่ฉันได้มาโดยไม่ตั้งใจเมื่อสิบกว่าปีก่อน”


“ตอนนั้นฉันควานหาหินในนามาทั้งวัน ก็ไม่เจออะไร หลังจากนั้นเพื่อที่จะไปล้างโคลนที่ติดเต็มตัว เลยลงไปอาบน้ำในแม่น้ำ แล้วก็เหยียบมันเข้าไปทีหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้ควานหินก้อนนี้ออกมาได้ มีคนเสนอให้แปดล้าน ฉันก็ไม่ขาย เพราะฉันจะเอาหินเถียนหวงก้อนนี้เก็บไว้เป็นสมบัติประจำตระกูลให้สืบทอดกันต่อไป!”


กู้ฉางซุ่นที่ไม่เปิดปากมาโดยตลอด เมื่อได้ยินเถ้าแก่เถียนเอ่ยปากไม่ยอมขายหินเถียนหวงก้อนนี้ ก็รีบพูดทันทีว่า “เนื้อหินก้อนนี้ไม่เลว ถ้าฉันให้สิบล้านล่ะ?”


 


เถ้าแก่เถียนชะงักเล็กน้อย ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ขาย!”


ใบหน้ากู้ฉางซุ่นปรากฎรอยยิ้ม เขาไม่กระวนกระวายใจเลยแม้แต่นิดเดียว ขอเพียงเถ้าแก่เถียนมีปฏิกิริยากับราคา อย่างนั้นต่อไปก็ใช้เงินทุ่มซื้อปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้นแล้ว


หยางโปเดินเข้าไปใกล้ชั้นวาง มือทั้งคู่ไขว้กันอยู่ด้านหลังขณะจ้องมองหินเถียนหวง


บนชั้นวางแม้ว่าจะจัดวางหินไว้ไม่น้อย แต่ชิ้นที่อยู่ตรงกลางมีสีที่ดีที่สุดจริงๆ หยางโปเห็นสีเหลืองมันไก่ที่ด้านข้าง ยังมีเหลืองผิวส้ม ที่เหลืออีกหลายก้อนเป็นเหลืองผิวดำ


กู้ฉางซุ่นเดินเตร่อยู่หน้าชั้นวาง เขาหันกายไปมองหยางโป “เถ้าแก่หยางรู้เรื่องหินเถียนหวงมากไหม? ไม่สู้อธิบายให้ฉันฟังสักหน่อยละ?”


 


หยางโปเองก็เคยอ่านหนังสือ เขาก็สามารถมองของจริงของปลอมออกเช่นกัน แต่ถ้าอยากจะให้เขาอธิบาย เขากลับอธิบายไม่ได้ จึงได้แต่ส่ายหน้า “ผมรู้ไม่มากหรอกครับ”


กู้ฉางซุ่นผิดหวังเล็กน้อย มองไปทางตาอ้วนหลิว ตาอ้วนหลิวยิ้มพลางพูดว่า “ฉันรู้มาไม่น้อย แต่ฉันมันรู้มากแต่ไม่ลึกซึ้งนะ!”


“งั้นแกเห็นว่าชิ้นนี้เป็นยังไง?” กู้ฉางซุ่นชี้ไปที่สีเหลืองมันไก่ที่อยู่ด้านข้างชิ้นหนึ่ง


ตาอ้วนหลิวรู้ชั้นเชิงของกู้ฉางซุ่น จึงได้แต่อธิบายขึ้นมา




ตอนที่ 215 หินเสีย


“หินเถียนหวงประกอบด้วยบนไหล่เขา กลางไหล่เขา และล่างไหล่เขาสามแห่ง บนไหล่จะตั้งอยู่บริเวณต้นลำธารในภูเขา หินเถียนหวงที่เกิดที่นี่จะมีความโปร่งแสงสูง มีจิตวิญญาณ สีสันจะเป็นโทนสีขาวอมเหลืองเป็นหลัก เนื่องจากแหล่งต้นในต้นลำธาร หินเถียนหวงที่เกิดขึ้นก็จะใสวับวาวราวกับกระจก เงินห่อทองก็คือหินเถียนหวงระดับสูง”


“ตั้งอยู่กลางไหล่เขาก็เป็นส่วนระดับกลาง หินที่เกิดขึ้นจำนวนมากจะอยู่ในระดับมาตรฐาน อีกทั้งหินยังสะอาดชุ่มชื้น สีสันเข้มหนัก หินมีเนื้อเหมือนกับแครอทอย่างชัดเจน เหลืองน้ำมันไก่ก็จัดอยู่ในส่วนใหญ่ของระดับแบบนี้”


“ด้านล่างไหล่เขาเพราะว่าเป็นหลุมในละแวกใกล้เคียง ขาดน้ำชะล้างคุณภาพ ดังนั้นความโปร่งใสของหินจึงค่อนข้างแย่ โดยมากเป็นสีน้ำมันถัง สีน้ำตาลแดงเข้ม เนื้อค่อนข้างหยาบ”


 


ตาอ้วนหลิวความรู้กว้าง แต่เขาก็รู้ทุกเรื่องจริงๆ พูดออกมาก็เหมือนเหตุผลทางวิทยาศาสตร์


หยางโปจ้องมองเงินห่อทองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็มองไม่เห็นปัญหาอะไร หยางโปรู้ว่าในวงการชื่อเสียงของตาอ้วนหลิวไม่เลวจริงๆ เพราะว่าเส้นสายของเขากว้างไกลมาก มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ไม่น้อย สิ่งที่เขาแนะนำกว่าครึ่งล้วนสมเหตุผล ชิ้นนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


ตาอ้วนหลิวกล่าวพึมพำกับกู้ฉางซุ่น เถ้าแก่เถียนยืนอยู่ด้านข้าง เริ่มที่จินตนาการฟุ้งซ่านขึ้นมา


ตอนที่ตาอ้วนหลิวติดต่อเขา บอกว่าต้องการซื้อหินเถียนหวงก้อนหนึ่ง แต่ไม่ได้เจาะจงว่าก้อนไหน ตอนที่พวกเขามาถึง ตาอ้วนหลิวก็พูดถึงเงินห่อทองทันที นี่ทำให้เขาประหลาดใจมาก แต่ว่าคิดถึงคนมากมายที่ปกติแล้วจะบอกชื่อหินที่อยากซื้อว่าเงินห่อทองแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจ


 


การประหลาดใจเมื่อครู่ก็แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ภายใน แต่ตอนที่กู้ฉางซุ่นยกราคาขึ้นสูงถึงสิบล้านหยวนทันทีนั้น ความคิดของเขาไม่ต้องการสนทนาแล้ว ที่เรียกว่าสมบัติประจำตระกูลไม่ใช่เพราะว่าราคาที่คนอื่นบอกมาจะไม่ถึงระดับราคาในใจของเขาใช่ไหม?


เมื่อคิดเช่นนี้ เถ้าแก่เถียนก็คาดหวังขึ้นมาเล็กน้อย เขามองกู้ฉางซุ่น ในใจเกิดลางสังหรณ์ บางทีไม่แน่ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายอาจจะให้ราคาที่ทำให้เขาตกใจมาจริงๆ ก็ได้?


หยางโปมองไปรอบหนึ่ง หันหลังเดินไปทางมุมห้อง หินทางด้านนี้ก็มีก้อนที่โดดเด่นอยู่ตรงกลางสุด คุณภาพของหินก้อนอื่นแย่ไปสักหน่อย


หินในมุมห้องปกคลุมไปด้วยฝุ่นแล้ว จัดเรียงอยู่บนกระดานไม้ เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน อีกทั้งกว่าครึ่งก็เป็นหินเถียนหวงที่ผิวด้านนอกขรุขระสีเหลือง


 


“หินเถียนหวงพวกนั้นยังไม่ได้ตัด!” เถ้าแก่เถียนกล่าว


หยางโปพยักหน้า หินเถียนหวงมีแค่แบบเนื้อสีแดงอย่างเดียว โทนภายในและภายนอกของหินเถียนหวงอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นราคาของหินเถียนหวงทรงเหลี่ยมจึงสูง นำหินเถียนหวงทรงเหลี่ยมมาเลื่อย บรรพบุรุษเรียกว่า “ตัดหิน” คนโบราณมีคำกล่าวว่า “ความยากในการตัดหินมากกว่าฟ้าสว่าง” นี่เป็นเพราะว่าหินเถียนหวงยากที่จะมองเนื้อสีของมันว่าเป็นยังไงจากภายนอกได้ ตัดเปิดไปแล้วอาจจะเพิ่มมูลค่าหลายเท่า และอาจจะราคาตกติดดิน


บนชั้นหนังสือเป็นทรงเหลี่ยมทั้งหมด ตรงนี้ก็เท่ากับเป็นหินดิบ ความเสี่ยงสูงมาก ปกติแล้วน้อยคนที่จะมอง


 


หยางโปจับจ้องก้อนหินอย่างละเอียด


ภายนอกของหินทางด้านนี้ปรากฏอย่างธรรมดามาก สีสันไม่บริสุทธิ์เท่าไหร่ ถึงขนาดเหลืองน้ำมันไก่ก็เห็นได้น้อยมาก รูปการณ์แบบนี้ยากมากที่จะตัดออกมาเป็นหินเถียนหวงชั้นดีได้


หยางโปพลันฉุกคิด ตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือน ภาพตรงหน้าราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลง หินเถียนหวงราวกับเกิดการเปลี่ยนแปลง หินสีเทา หินสีเหลือง ปรากฏขึ้นตรงหน้า


หยางโปยินดีมาก ตอนแรกเขาแค่อยากทดลองดู คิดไม่ถึงเลยว่าจะถึงกับมองทะลุผ่านไปได้


โลกตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป หยางโปมองเห็นฝุ่นที่ล่องลอย มองเห็นด้านล่างของสีหินอ่อนของหินเถียน


หวงปนเปื้อนสีดำ มีหินธรรมดาสีเทา ถึงขนาดมีก้อนหนึ่ง ถึงกับปรากฏสีเหลืองเปล่งประกาย!


 


หยางโปตกใจจนสะดุ้ง หินพวกนี้เหลือจากที่เถ้าแก่เถียนเลือกเอาไว้ เปลือกภายนอกดูไม่ดีอย่างมาก ดูท่าจะตัดออกมาเป็นหินไม่ดีมาแต่แรก แต่ท่ามกลางหินกองหนึ่งนี้ ถึงกับปรากฏเถียนหวงคุณภาพดีที่สุดขึ้น


หยางโปไม่ได้รีบเคลื่อนไหว เขามองต่อไป ไม่นานก็พบหินเถียนหวงอีกก้อนหนึ่งถึงกับมีสีน้ำมันไก่อยู่ด้วย เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็หยิบทั้งสองก้อนนี้ขึ้นมา เลือกมาก้อนหนึ่งแล้วค่อยหันหลังมองไปทางเถ้าแก่เถียน


“เถ้าแก่เถียน หินก้อนนี้ขายเท่าไหร่?”


เถ้าแก่เถียนประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าหยางโปจะถึงกับซื้อหินเสียพวกนั้น แต่ว่าสำหรับเขาแล้วหินเสียเดิมทีก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ “หินเสียพวกนั้นเถ้าแก่หยางเอาไปเลยเถอะ!”


 


หยางโปหัวเราะ เป่าฝุ่นด้านบนแล้วยิ้มกล่าว “เถ้าแก่เถียน ผมเห็นว่ามันไม่เลว อยากจะซื้อกลับไปดูเท่านั้น คุณไม่ต้องเกรงใจนะ”


เถ้าแก่เถียนกล่าวตามมารยาทประโยคหนึ่งแล้วหัวเราะ “เถ้าแก่หยางให้สักสามพันหยวนแล้วเอาไปได้เลย!”


ตาอ้วนหลิวตกใจชะงัก “สามพันหยวน?”


พูดไปประโยคหนึ่งแล้วตาอ้วนหลิวก็ปิดปาก ธุรกิจชิ้นนี้เท่ากับเขาแนะนำมา เขาเป็นคนกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย ไม่ควรช่วยต่อรองอะไรให้ฝ่ายเดียว แต่เขานับหยางโปเป็นคนของตนเองก็อดที่จะเตือนสักประโยคหนึ่งไม่ได้


 


หยางโปย่อมรู้ว่าราคานี้ไม่ถูก “เถ้าแก่เถียน นี่ก็แพงไปนะ ผมเอาที่สามร้อยหยวน”


เถ้าแก่เถียนขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้น เธอซื้อหินเหลี่ยมชิ้นหนึ่งไหม ซื้อหินเหลี่ยมชิ้นหนึ่ง หินสามก้อนนี้ก็นับว่าเป็นของแถม”


กล่าวจบ เถ้าแก่เถียนก็มองไปทางกู้ฉางซุ่น จุดยืนของเขายังอยู่กับเถ้าแก่ซุ่น


หยางโปส่ายหน้า “ไม่ต้องพูดถึงของแถมอะไรแล้ว หินสามก้อนหนึ่งพันหยวน เป็นยังไง?”


“ก็ได้” เถ้าแก่เถียนลังเลครู่หนึ่งแล้วตอบตกลง


หินสามก้อนที่ไม่มีใครไปดูสักครั้งขายไปหนึ่งพันหยวน นับว่าไม่เลวแล้ว เขาหวังว่าจะมีคนโง่เหมือนหยางโปอีกสักหลายๆ คน


 


กู้ฉางซุ่นเห็นหยางโปหยิบของแล้ว เขาก็ไม่ได้ชักช้าอีก หันไปกล่าวกับเถ้าแก่เถียนว่า “เถ้าแก่เถียน คุณต้องมีราคาอยู่ในใจแล้วแน่ ผมนี่เป็นคนตรงๆ คุณบอกราคามา ถ้าหากเหมาะสม พวกเราก็จะทำการค้ากัน!”


เถ้าแก่เถียนตกตะลึงไปชั่วครู่ เขาคิดไม่ถึงว่ากู้ฉางซุ่นจะใจกว้างขนาดนี้ ถึงกับให้เขาบอกราคา ก่อนหน้านี้ขายได้หนึ่งพันหยวนแล้ว ดังนั้นจะต้องไม่ใช่ตัวเลขที่ต่ำกว่านี้แน่


เถ้าแก่เถียนลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วถึงค่อยเปิดปากกล่าวลองเชิงออกมา “สิบแปดล้านหยวน!”


หยางโปตกตะลึงเล็กน้อย ตามคำกล่าวของเถ้าแก่เถียน ก่อนหน้านี้มีคนบอกราคาแปดล้านหยวนก็ถือว่าสูงที่สุดแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่มมากกว่าเท่าตัวเต็มๆ ราคานี้สูงไปมากจริงๆ แต่ว่าเถ้าแก่เถียนยังเข้าใจดีว่าราคาไม่สูงถึงยี่สิบล้านหยวน


 


กู้ฉางซุ่นครุ่นคิดเล็กน้อย เขาเงยหน้ากล่าว “ช่างมันเถอะ ซื้อที่สิบแปดล้านหยวน!”


ความตั้งมั่นของกู้ฉางซุ่นสะเทือนขวัญเถ้าแก่เถียน ตอนแรกเขาคิดว่าราคานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว แต่แรกก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนับเป็นเศรษฐี เงินไม่ขาดมือมาตั้งแต่ต้น


ตาอ้วนหลิวหัวเราะกับเถ้าแก่เถียน “ยินดีด้วย! ยินดีด้วย!”


เถ้าแก่เถียนชะงักไป ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าจะดีใจหรือว่าจะทุกข์ใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับยังไง ในใจพลันซับซ้อนยากบรรยาย


ขณะที่โง่งมสับสน ทั้งสองฝ่ายก็จัดการโอนเงิน ลงนามในสัญญาซื้อขาย ถึงขนาดตอนที่ทั้งสามจากไป เถ้าแก่เถียนก็ยังมึนงงอยู่เลย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม