ระบบร้านค้าออนไลน์ 196-202

 TB:บทที่ 196 พลังลมปราณ


 


เนื่องจากชื่อที่มีคำว่าบ้าคลั่ง จึงเป็นปกติที่ “ลิงอสูรคลั่ง” จะอารมณ์ร้ายเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเองเฉินลงท้าทายมันและมันรีบพุ่งเข้ามาหาเฉินหลงทันที


“เข้ามาสิ มาฆ่าฉันเลย ถ้าฉันไม่ตาย แกนั่นแหละที่ตาย” ฝ่ามือสองข้างของเฉินหลงมีพลังของระฆังทองระดับที่สิบเอ็ด และฝ่ามือนั้นแผดเสียงใส่ “ลิงอสูรคลั่ง”


หมัดยักษ์ทั้งสองของ“ลิงอสูรคลั่ง”ทุบลงที่สองฝ่ามือของเฉินหลง ในเวลาเดียวกันนั้นมันอ้าปากใหญ่ยักษ์ที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมและคำรามออกมาคล้ายกล่าวว่า “ตาย”


 


“ตู้ม”


 


กำปั้นของ“ลิงอสูรคลั่ง”ทุบเข้าที่ฝ่ามือของเฉินหลง แรงระเบิดเกิดขึ้นโดยตรงจากระฆังทองของเฉินหลง แล้วพลังก็แผ่ซานเข้าไปในร่างของเขาและนั่นทำให้เขากระเด็นไปเหมือนลูกปืนใหญ่


พลังที่ทรงพลังดั่งทุ่งหุบเขาโจมตีเฉินหลงไปตรงๆ เลือดพวยพุ่งออกจากปากของเฉินหลง


พลังโจมตีโดยตรงนี้ทำให้กระดูกจำนวนมากในตัวเฉินหลงหักไป หากแต่ร่างกายของเฉินหลงไม่มียาแพทย์และฉีคอยปกป้องแล้ว เขาคงตายไปจากแรงโจมตีนี้


 


“นี่หรือคือพลังลมปราณที่แท้จริง พลังลมปราณในร่างกายนั่นกลายเป็นรูปลักษณ์ และช่างทรงพลัง”


เฉินหลงรู้สึกได้ถึงพลังที่พุ่งเข้ามาในร่างกายและมุ่งทำลายเขา


และเนื่องจากยาแพทย์ฉี เฉินหลงจึงยังไม่ตาย เขาจึงรู้สึกได้ถึงฉีอันทรงพลังของพลังลมปราณ


พลังในร่างของเฉินหลงค่อยๆแปรเปลี่ยนไป


 


หลังจากที่เฉินหลงโดน“ลิงอสูรคลั่ง” ทุบครั้งแรก มันรีบตบอกด้วยกำปั้นและทำเสียงคล้ายกลองออกมา


แมลงที่น่ารังเกียจนี่ได้ก่อกวนมันมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว และทุกครั้งที่มันฆ่าเขาได้ เขาก็จะวิ่งออกไปและมาก่อกวนมันอีกในวันถัดมา มันรู้สึกว่ามิอาจทนได้แล้ว ในวันนี้มันจะฆ่าแมลงตัวจ้อยที่น่ารำคาญนี่ด้วยหมัดหมัดเดียว


 


ในความคิดก่อนหน้า เฉินหลงได้ตายไปแล้ว


ห้านาทีต่อมา พลังฉีที่โจมตีร่างของเฉินหลงไป กลับพวยพุ่งออกมาจากร่างเฉินหลง


แล้วอาการบาดเจ็บของเฉินหลงก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองพลังฉีในร่างเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นระดับที่เข้มข้นขึ้น นั่นคือฉีอันทรงพลัง


หากจะกล่าวว่าฉีแห่งสรวงสวรรค์และพสุธาในระดับกำเนิดเป็นหนทางสำหรับนักต่อสู้ศิลปะป้องกันตัวเข้าสู่ระดับกำเนิดแล้วนั้น การเปลี่ยนแปลงของพลังฉีในร่างเพื่อเข้าสู่ระดับพลังลมปราณคือความสำเร็จอันเล็กน้อย


 


“นี่คือการตัดผ่าน ฉันทำการตัดผ่านได้แล้ว ช่างอันตรายจริงๆ เกือบตายไปแหน่ะ” เฉินหลงรู้สึกได้ถึงฉีอันทรงพลังในร่างเขา เขาเดินออกจากหลุมที่เขากระเด็นมาอย่างช้าๆ


จากนั้น พลังของเฉินหลงได้พัฒนามาสู่ระดับของพลังลมปราณแล้ว ระดับพลังของระฆังทองได้ยกระดับสู่ระดับสิบสอง


 


เหมือนได้เดินออกจากหน้าผาของภูเขา ระฆังทองระดับสิบสองมีพลังเต็มที่ ในขณะนั้นระฆังทองกลายเป็นระฆังทองที่สร้างขึ้นจากลวดลายของอักษรรูน ในแต่ละลวดช่างสมบูรณ์แบบดั่งสรวงสวรรค์ ไม่ต้องแปลกใจไปว่าทำไมคนบางคนจึงกล่าวว่าระฆังทองระดับสิบสองนั้นเข้าสู่ระดับที่ไร้พ่ายในโลกนี้


ตามปกติแล้ว มันตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ไอ้แมลงตัวน้อยนั้นน่าจะตายไปแล้ว ทว่าในกลับฟื้นคืนชีวิตมา


ยิ่งไปกว่านั้นพลังของมันยังผ่านพ้นไปอีกขั้นด้วย ความตื่นเต้นจึงหายไปจากสีหน้าของมัน


เหลือไว้เพียงสีหน้าแห่งความระแวดระวัง  นั่นเพราะมันรู้สึกได้ว่าแมลงตัวจ้อยเบื้องหน้ามันนั้นให้ความรู้สึกอันตราย


 


เฉินหลงเดินอย่างเชื่องช้าผ่านอากาศตรงไปหา “ลิงอสูรคลั่ง”


ระดับพลังลมปราณนั้นสามารถทำให้นักสู้ที่ใช้เดินบนอากาศได้


หลังได้เห็นเฉินหลงเช่นนั้นแล้ว “ลิงอสูรคลั่ง” เกิดความกลัวขึ้นมาและไม่กล้าที่จะสู้ด้วย


แม้“ลิงคลั่ง”จะมีอารามณ์อันร้ายกาจ ทว่ามันไม่ได้โง่งม มันรู้สึกได้ว่าไอ้แมลงเล็กจิ๋วข้างหน้ามันมีความอันตรายถึงชีวิตของมัน


 


เฉินหลงมอง“ลิงอสูรคลั่ง”ด้วยรอยยิ้มและกล่าวไปว่า “ขอบคุณมากนะ หากไม่ใช่เพราะนายแล้ว พลังของฉันคงไม่ผ่านพ้นระดับสู่พลังลมปราณที่แท้จริงได้ เอาละ เพราะเรื่องที่นายช่วยไว้ ฉันจะให้รางวัลกับนาย หากนากยอมมาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน ฉันจะไว้ชีวิตนาย” พลังของ “ลิงอสูรคลั่ง”นี่ ไม่เลวเลย หากมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงเขาแล้วคงถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดี


 


อย่างไรเสีย สัตว์อสูรร้ายที่ทรงพลังแบบนี้คงมาติดตามเฉินหลงแบบติดๆอย่างซื่อสัตย์เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งได้กระมัง แต่คำตอบคือ แน่นอนอยู่แล้ว ว่าเป็นไปไม่ได้


แม้มันจะไม่เข้าใจที่เฉินหลงพูดอยู่ แต่การดูถูกตัวมันจากน้ำเสียงของเฉินหลงทำให้“ลิงอสูรคลั่ง”โกรธ มันโจมตีเฉินหลงอีกครั้ง แล้วความรู้สึกถึงอันตรายทั้งหมดพลันหายไปในความนึกคิดของมัน


“ลิงอสูรคลั่ง”เหวี่ยงหมัดมาใส่เขา ใบหน้าเฉินหลงเผยยิ้มออกมา เขายืนนิ่งอย่างไม่หลบเลี่ยงหมัดเลย


 


ถึงระฆังทองจะมีพลังสูงขึ้นกว่าระดับสิบเอ็ด ทว่าเฉินหลงมีความรู้สึกว่าพลังของระดับกำเนิดและระดับพลังลมปราณที่แท้จริงช่างแตกต่างยิ่งนัก


ลิงอสูรคลั่งโจมตีระฆังทองอย่างรุนแรง แต่ระฆังทองไม่ได้มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย พลังของหมัดไม่มากพอที่จะทำให้อักษรรูนของระฆังทองทำงานด้วยซ้ำ


แต่อย่างไรก็ตาม “ลิงอสูรคลั่ง” ได้กระเด็นกลับไปด้วยแรงสะท้อนกลับ เลือดสีฟ้าพวยพุ่งออกจากปากของ“ลิงอสูรคลั่ง”และลอยไปในอากาศ แล้วร่างอันใหญ่ยักษ์ของมันก็พุ่งไปที่ด้านหนึ่งของทุ่ง เหมือนกับการปะทะของเฉินหลงได้แปรเปลี่ยนเขาเป็น“ลิงอสูรคลั่ง”


 


“ช่างแข็งแกร่ง ระฆังทองระดับสิบสองแข็งแกร่งมากจริงๆ” เฉินหลงรู้สึกประหลาดใจจากพลังของระฆังทองระดับสิบสอง


พลังของ“ลิงอสูรคลั่ง”นั้นทรงพลังมากในการสู้จริงด้วยลมปราณ ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว มันดูเหมือนเป็นเด็ก ช่างอ่อนแอ


จากนั้น เฉินหลงเดินไปอย่างช้าๆตาม “ลิงอสูรคลั่ง” ที่ชนเข้ากับภูเขาไป


“โฮก”


ด้วยเสียงคำรามของ“ลิงอสูรคลั่ง” หินกรวดมากมายหล่นลงมาจากภูเขาปละหล่นไปทางเฉินหลงอีกครั้ง


เมื่อหินจาก“ลิงอสูรคลั่ง”โดนระฆังทอง หินทั้งหมดสะท้อนกลับไป


ในครั้งนี้ มีแผลมากมายบนตัว“ลิงอสูรคลั่ง” มันมองสายตาอันดุร้ายและยื่นสองมือออกมาตบไปทางเฉินหลง สองมือของมันช่างแข็งแกร่งราวกับว่ามันอยากตบเฉินหลงให้ตายเหมือนแมลงเล็กจิ๋วตัวหนึ่ง


แต่อย่างไรเสียเฉินหลงไม่ใช่แมลงตัวเล็กจิ๋ว เขามีระฆังทอง อันไร้พ่าย ระฆังทองที่ไร้คู่ต่อกร


สองมือของลิงอสูรคลั่งตบลงบนระฆังทอง แล้วเกิดเสียงกระดูกที่แตกหักขึ้นทันที


“แกรก แกรก”


มือทั้งสองของลิงคลั่งแตกหักกระจายบนระฆังทอง


จากนั้น ใบหน้าของลิงคลั่งก็แสดงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ปากของมันเปิดกว้างและร้องออกมาอย่างน่าอนาถ


“โฮก โฮก”


“ฉันเคยบอกไปนานแล้วนี่ ว่าไม่ดีกว่าหรือถ้ามาเป็นสัตว์เลี้ยงของฉันน่ะ ทำไมนายต้องดึงดันจะทรมานตังเองด้วย” เขาว่าพร้อมรอยยิ้มเลือนๆ เฉินหลงมอง “ลิงอสูรคลั่ง” ที่ร้องโอดโอยอยู่ตรงนั้น


หลังจากที่เฉินหลงกล่าวไป “ลิงอสูรคลั่ง”มองเขาด้วยสายตาอันบ้าคลั่ง มันเปิดปากและกำลังจะกินเฉินหลง มันเป็น“ลิงอสูรคลั่ง”  “ลิงอสูรคลั่ง”ที่ภาคภูมิในตัวเอง มันตายได้แต่ต้องไม่โดนดูหมิ่น


“เพราะแกอยากตาย ฉันจะทำให้เป็นเวลาดีๆนะ” เขามอง “ลิงอสูรคลั่ง” ที่จะกัดเขา เฉินหลงต่อยปากของมัน


เสี้ยวหนึ่งของระฆังทองพุ่งออกจากหมัดของเฉินหลงที่ต่อยโดนปากของลิงอสูรคลั่งและด้วยแรงของหมัด หัวของสัตว์ร้ายนั่นระเบิดออก


TB:บทที่ 197 การหลบหนี


 


หลังจากระเบิดหัวของลิงคลั่งไปแล้ว เฉินหลงออกจากเกมไป เขาใช้เวลาเกือบสิบวันในเกมนั่น เฉินหลงต้องการจะออกไปข้างนอกและหายใจหายคอบ้าง ครั้งนี้ หากกู่เหวินยังกล้าจะกลับมาและยังหาเรื่องเขาอีก เขาคงจะส่งสาส์นไปหาเธอ และนั่นคือคำว่าตาย


เฉินหลงถอนตัวออกจากเกม เจิ้งอี้ประหลาดใจที่เห็นเฉินหลง “เจ้านาย นี่คุณผ่านพ้นระดับมาแล้วหรือ”


“ใช่ ฉันผ่านพ้นไปอีกระดับแล้ว” ใบหน้าเฉินหลงเผยยิ้มความมั่นใจ เขาพยักหน้า


“ยินดีด้วยครับ เจ้านาย” เจิ้งอี้ว่าอย่างรวดเร็ว


เฉินหลงตบไหล่เจิ้งอี้และกล่าวไปว่า “เจิ้งอี้ สิบวันที่ผ่านมาคงเป็นเรื่องลำบากสำหรับนายนะ ตอนนี้นายกลับไปที่บริษัทแล้วช่วยช่วยดูเรื่องการซ่อมวิลล่าที”


ระฆังทองระดับสิบสองทำให้ความมั่นใจของเฉินหลงช่างมากมายอย่างไม่มีเทียบเคียง เขาเชื่อว่าแม้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับคนระดับพลังลมปราณก็ตาม คนคนนั้นคงถอยไป


เนื่องจากเป็นคำสั่งของเฉินหลง เจิ้งอี้จึงทำตามโดยสัญชาตญาณ


หลังจากที่เจิ้งไป เฉินหลงมองภาพข้างนอกกระจกไป


“เป็นเรื่องดีนะที่ได้พัฒนาพลังในเกม แต่โลกข้างนอกยังคงมีสีสันและความมีสีสันนี่เองที่ทำให้คนชอบ ฉันเบื่อมาสิบวันแล้ว นี่เป็นจะไปเวลาเดินเล่น”


เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉินหลงอาบน้ำและออกไป


ในช่วงที่เจิ้งอี้เพิ่งออกไป กู่เหวินได้รับข้อมูลมาจากแผนกต้อนรับที่กู่เหวินควบคุมไว้


เธอได้ยินว่าเฉินหลงออกไปแล้ว กู่เหวินรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว เธอจึงจับตามองเฉินหลง หลังจากเฉินหลงออกไปจากโรงแรมด้วยรถของเขา เธอจึงตามเขาไปเงียบๆ


 


เขาไม่รู้ว่าเนื่องจาก “โลกใหม่” หรือไม่ ที่ทำให้ดูเหมือนว่ารถบนถนนจะน้อยลง ดูแล้วไม่แออัดเลยแม้แต่น้อย และดูท่าว่า“โลกใหม่”จะได้ช่วยเมืองหลวงแก้ปัญหารถติดทางอ้อมไปด้วย


เขาขับรถไป เฉินหลงขับรถเล่นไปโดยรอบเมืองหลวง หลังจากที่เขาพักอยู่ในโรงแรมมากว่าสิบวัน เฉินหลงไม่อาจออกไปจากโรงแรมได้ เฉินหลงไม่ได้เป็นคนที่ประสาทแข็ง เขาตื่นตูมเกินไป  แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องทำใจให้สบาย


ในขณะที่เขาออกไปจากโรงแรมนั้นเอง เฉินหลงพบว่ากู่เหวินได้ตามเขามา ให้หล่อนกินฝุ่นไล่หลังเขาไปก่อนแล้วกัน


 


หลังเขาขับรถไปรอบเมืองหลวงแล้ว เขาขับรถขึ้นทางด่วนไป กู่เหวินด่าว่าเขาเงียบๆแต่ยังคงตามเขาต่อไป


สามชั่วโมงผ่านไป เฉินหลงขับไปที่ชายหาดในเขตฝั่งทะเล


ในเวลานี้ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน และแสงสายัณห์สาดส่องบนผืนน้ำสะท้อนแสงสีทองที่ช่างงดงามเหลือเกิน


 


เนื่องด้วยพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ชายหาดที่เฉินหลงอยู่ฉาบด้วยความมืดมิด และไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่รอบๆเลย


“ออกมาสิ ผมรู้ว่าคุณอยู่นี่ดังนั้นไม่ต้องซ่อนอีกต่อไปแล้ว” ในตอนนั้นเฉินหลงกล่าวไปทันที


เหตุผลที่เฉินหลงออกมาที่ทะเลนี่และหาสถานที่ดีๆคือเพื่อจัดการเรื่องกู่เหวิน


กู่เหวินค่อยๆปรากฏตัวออกมาและลงสู่พื้น เธอสงสัยนิดหน่อย “ถ้านายรู้แล้วว่าฉันตามมา ทำไมนายถึงพาฉันมาที่นี่ นายคิดว่าว่าความมั่นใจที่มีจะทำให้เหนือกว่าฉันหรือ หรือนายคิดว่าฉันจะไม่ฆ่านายกันละ”


 


“มีคนบางคนนะครับที่ยากจะฆ่าตัวตาย ผมรู้สึกอึดอัดมากเลย ผมเลยอยากจะฆ่าคนที่ฆ่าผมก่อน ที่นี่เป็นที่ที่ดีนะครับ มีคนน้อยดี คุณคงมีน้ำไว้ฝังเวลาคุณตาย” เฉินหลงมองตาของกู่เหวิน


“เช่นนั้นนายมั่นใจมากสิว่าจะชนะฉันได้ ไหนดูสิว่าจะชนะฉันได้อย่างไร เปลี่ยนเป็นหมีตัวยักษ์”


เมื่อกู่เหวินว่าจบ เงาของหมียักษ์โผล่ออกมาเบื้องหลังเธออีกครั้ง และหมียักษ์นั่นใช้อุ้งเท้าของมันโจมตีใส่เฉินหลง


พลังของ “ลิงอสูรคลั่ง” นั้นแข็งแกร่งกว่าเงาหมีนี้มาก ทว่ามันไม่อาจทำร้ายเฉินหลงได้แม้แต่เส้นผม ตามปกติแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องหลบ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ฉีจากระฆังทองด้วยซ้ำ


ตอนที่อุ้งเท้าหมีฉาบภาพลงมาบนเฉินหลง มันกลับเลือนหายไปดั่งควันไฟ


และเมื่อเงาของหมีได้หายวับไปแล้ว กู่เหวินไม่อาจยับยั้งที่จะพ่นเลือดที่เต็มปากออกมาได้ ตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ


“แก พลังของแกผ่านพ้นไประดับลมปราณที่แท้จริงแล้วหรือ”


สิบวันก่อน พลังของเขายังเป็นแค่ระดับกำเนิด แต่สิบวันต่อมา พลังของเขาผ่านพ้นไปสู่ระดับลมปราณที่แท้จริง พลังนี่ช่างทรงพลังมากกว่าตัวเธอมาก เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน


 


เฉินหลงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ผมผ่านพ้นไปสู่ระดับลมปราณแล้ว ผมอยากจะขอบคุณที่ทำให้ผมผ่านพ้นไปได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีคุณมาคอยกดดันผมแล้ว ผมคงไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องฉุกเฉินและผมคงไม่ต้องเสี่ยงชีวิตผมไปพัฒนาพลังผมด้วย ตอนนี้เป็นเวลาของผมที่จะได้ลิ้มรสสิ่งที่ลงทุนไปแล้ว”


“ทำไม แกถึงผ่านพ้นพลังไปสู่ระดับพลังลมปราณได้ แล้วพลังยังแข็งแกร่งกว่าฉันอีก” กู่เหวินถามไป


“ทำไมถึงคิดว่าผมจะบอกคุณละครับ” จบคำเขาก็โจมตีกู่เหวิน


“เปลี่ยนเป็นวิญญาณเต่า”


เงาเต่ายืนเบื้องหน้ากู่เหวิน


อย่างไรก็ตาม เงาเต่าไม่อาจต้านทานได้แม้แต่ครึ่งวินาที จากนั้นหมัดของเฉินหลงต่อยโดนส่วนท้องของกู่เหวิน


“ปัง”


กู่เหวินกระเด็นออกไปด้วยแรงของหมัดเฉินหลง เมื่อเธอเปิดปากในอากาศ กู่เหวินพ่นเลือดจำนวนมากออกมา นั่นคงได้ทำลายอวัยวะภายในของเธอไปแล้ว


เฉินหลงมีเมตตาในแง่ของการสู้ต่อไปหน่อย ไม่เช่นนั้นกู่เหวินคงไม่เพียงพ่นเลือดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่เธอยังโดนเฉินหลงอัดเละด้วย


“เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำไมกัน” นี่เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้เมื่อกู่เหวินคิดถึงเรื่องนี้ในตอนนั้น


คนที่โดนเธอทำร้ายไปเมื่อสิบวันก่อนและไม่อาจจะสู้กลับได้ จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่เขาจะทำร้ายเธอได้เพียงหมัดเดียวในสิบวันต่อมา แม้ว่าพลังของเขาจะมีระดับเท่าตัวเธอเอง ทว่าความต่างไม่ได้มากนัก


 


“มีห้าพลังแห่งความสำเร็จที่ต่อต้านคุณอยู่ ดูเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่มีประสิทธิภาพ อา ผมดูถูกคุณไป ตอนนี้ใช้พลังไปสิบเปอร์เซ็นแล้ว” เฉินหลงขยันไปหากู่เหวินอย่างเชื่องช้า


เมื่อเธอได้ยินคำดังนั้น เฉินหลงใช้เพียงพลังแห่งความสำเร็จห้าอย่าง ใบหน้ากู่เหวินแปรเปลี่ยนเป็นแหยเก แม้เธอจะไม่อยากเชื่อว่าเฉินหลงกล่าวความจริง แต่เธอต้องเชื่อไปเมื่อได้เห็นพลังที่เฉินหลงแสดงออกมา ในตอนนั้น เธอยอมแพ้เรื่องที่จะแก้แค้นและต้องการจะหาโอกาสเพื่อหนีไป


เธอมองเฉินหลงที่กำลังมาทางเธอ กู่เหวินกล่าวว่า “ตราบใดที่นายปล่อยฉันไป ฉันตั้งใจจะยอมแพ้เรื่องการแก้แค้นแล้วจะไม่โผล่หน้ามาหานายอีกเลยในอนาคต”


การแก้แค้นหรือสิ่งอื่นไม่อาจเทียบเคียงได้กับชีวิตตน เรื่องอื่นไม่ได้สำคัญอะไรเลย


“คงช้าไปหากจะร้องขอความเมตตา ตราบใดที่ผมจะกำจัดคุณอยู่ คุณจะต้องไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าผมอีก คุณอยากได้สัญญาไหม” เฉินหลงมองไปที่กู่เหวินด้วยความรังเกียจ


“คิดว่ายังอยู่ในเกมหรือ ตูดัน ” เนื่องจากเฉินหลงไม่ยอมปล่อยเธอไป เธอจึงทำได้เพียงหลบหนี


หลังจากคำว่าตูดันออกมา กู่เหวินก็หายตัวไป


“หลบหนีงั้นหรือนี่ ช่างน่าสนใจว่าจะหนีไปไหนได้” เขาเห็นการหายตัวไปของกู่เหวินเช่นนี้ เฉินหลงคิดได้ถึงความน่าจะเป็นทันที


ตอนที่เขาไปรับแผนที่แถบตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว เฉินหลงยังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการหลบหลีก ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าจะพบจากที่กู่เหวินได้ภายหลังจากนี้


และแม้เขาจะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ทว่าเขาจับการเครื่องไหวของการหลบหนีได้ผ่านการชักนำของพลังงาน และแม้ว่าร่างของกู่เหสินจะหายไปแล้ว ทว่าเฉินหลงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอหนีไปตามชายหาดเรียบทะเลไป


“เจอตัวแล้ว”


หลังจากที่จับทิศหารหลบหนีของกูเหวินได้ เฉินหลงกำลังเตรียมพร้อมที่จะส่งพลังของเขาเพื่อไปเขย่าให้กู่เหวินออกมาจากทราย ในทันใดนั้น เขารู้สึกได้ถึงอากาศอันแหลมคม ที่คล้ายกับเป็นดาบพร้อมด้วยกลิ่นแห่งความตาย


TB:บทที่ 198 ชายในชุดดำ


 


“มีการลอบโจมตีหรือนี่”


เขารู้สึกได้ถึงโอกาสอันอันตรายเบื้องหลังเขา เฉินหลงไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้ เขารีบเริ่มทำการใช้จิตวิญญาณแห่งระฆังทอง


การโจมตีที่ฉับพลันนี่โจมตีในเวลาที่ถูกต้อง ทว่าก็ไม่อาจจะดูถูกไปได้ เฉินหลงไม่แน่ใจว่าถ้าเขาไม่ส่งฉีของระฆังทองระดับสิบสองไปรอบๆแล้ว เขาอาจจะรับมือลำบาก


 


เมื่อดาบเบื้องหลังเฉินหลงแทงเข้าไปในระฆังทอง ในทันทีทันใดมีเสียงของทองคำปะทะเหล็กกล้าดังออกมา


ในขณะเดียวกันนั้น ดาบยังมีพลังหมุนวนอีกด้วย คล้ายกับเป็นสว่านที่ค่อยๆเจาะทะลุเข้าไปข้างใน


ระฆังทองที่ไม่ต้องแม้จะสะท้อนกลับการโจมตีของลิงคลั่งยังเริ่มทำงานเนื่องจากการแรงโจมตีนี่


อักษรรูนทำให้ระฆังทองเริ่มกระพริบแสง เพื่อป้องกันพลังของดาบ


ในความเป็นจริงแล้ว พลังของดาบนี้ไม่แข็งแกร่งไปกว่าลิงอสูรคลั่งเลย ทว่าเป็นที่ความเข้มข้น ดังนั้นพลังจึงมีความรุนแรงมากกว่า


หลังจากที่โล่ระฆังทองขวางดาบได้แล้ว เฉินหลงได้หันไปและมองชายคนหนึ่งที่แอบลอบโจมตีเขา


ชายคนนี้ปกปิดกายอยู่ในชุดเข้ารูปสีดำและแม้แต่ตาของเขายังซ่อนไว้ใต้ผ้า


 


เขาเห็นระฆังทองของเฉินหลงที่ขวางกระบวนท่าสังหารของเขาได้ เขายังรู้ด้วยว่าเขาไม่อาจจะฆ่าเฉินหลงได้ ดังนั้นเขาจึงหันและพร้อมจะหนีไป


อย่างไรเสียเฉินหลงไม่ใช่คนที่โดนทำร้ายแล้วจะไม่สู้กลับ


เขาเห็นชายในชุดดำต้องการจะกลับออกไปแล้ว เขาจึงสู้ต่อไปด้วยนิ้วมือของเขา เขาโจมตีคู่ต่อสู้ด้วย “ตัดจุดชีพจรโลหิต” หลายต่อหลายครั้ง


ในเวลาเดียวกัน ชายในชุดดำได้เข้าโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว


 


พลังของชายในชุดดำนี้เป็นเพียงระดับกำเนิด ทว่าพลังของเขาทำให้เฉินหลงรู้สึกอันตรายกว่ากู่เหวินที่มีพลังลมปราณ เขาซุ่มโจมตีด้านข้างเฉินหลง ก่อนที่เขาจะเคลื่อนที่หลบไป เฉินหลงไม่อาจจับได้ถึงตัวตนเขา ศัตรูเช่นนี้คงไม่ทิ้งเขา แล้วหนีไปหรอก เฉินหลงจึงยอมล้มเลิกการตามกู่เหวินและเลือกที่จะติดตามชายในชุดดำไป


ในทันทีที่ดาบของชายชุดดำสั่นไหว เขาฟันและทำลาย พลังฉี “ตัดจุดชีพจรโลหิต” ของเฉินหลงไป


อย่างไรเสียชายในชุดดำเจ็บปวดอย่างมากและพลังงานของ “ตัดจุดชีพจรโลหิต” นั่นช่างทรงพลังเกินจะทานทน


 


ขณะเดียวกัน ใจของชายชุดดำยังมีความขมขื่นปะทุออกมาอีกด้วย เฉินหลงได้ทิ้งการตามกู่เหวินมาเพื่อตามเขาต่อ ชายคนนี้ประหลาดใจจนพูดไม่ออก


ไม่หรอก การผูกใจเจ็บระหว่างเฉินหลงและกู่เหวินช่างฝังลึกไปกว่าเขา ทำไมเฉินหลงจึงจะตามเขามาต่อกัน


เขาคาดไม่ถึงว่าในใจเฉินหลงแล้ว เขาอยากจะฆ่ากู่เหวิน ทว่าชายชุดดำนั่นคุกคามเฉินหลงมากกว่า เฉินหลงจึงปล่อยกู่เหวินไปและมาจัดการกับเขาต่อ


พลังของเฉินหลงในความคิดเขานั่นอยู่ในจุดต่ำสุด แม้เขาจะต้องการฆ่าเฉินหลง ทว่าคงเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เขาจ้องมองไปที่เฉินหลงแต่ไม่มีทางใดจะหลบหนีไปได้เลย และหากเขาให้เฉินหลงตามเขามาทัน เขาคงโดนทรมาณจนตายเป็นแน่


 


แต่อย่างไรเสีย ความไวของท่าร่างชายชุดดำใช้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ทว่าพลังของเฉินหลงนั้นแข็งแกร่งกว่าเขา และเขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เฉินหลงกักเขาไว้ได้ จึงคงเป็นเรื่องยากหากจะหนีจากการติดตามของเฉินหลง


สามนาทีต่อมาเฉินหลงวิ่งไล่ชายชุดดำและโจมตีหลังของเขา


เมื่อรับรู้พลังของเฉินหลงแล้วชายชุดดำไม่กล้าจะรับการโจมตีของเฉินหลงด้วยหลังของเขา เขาจึงทำได้เพียงหันไปและรับการโจมตีของเฉินหลง


“ปัง”


เฉินหลงโจมตีชายคนนั้นโดยตรง


เนื่องจากศีรษะของชายคนนั้นปกปิดด้วยเครื่องใส่ศีรษะสีดำ จึงไม่มีเลือดหยดกระจายออกมา ทว่าเฉินหลงแน่ใจเหลือเกินว่าเขาโจมตีให้ศัตรูเขาได้รับบาดเจ็บแน่นอน


 


ชายชุดดำยังได้ใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างระยะห่างจากเฉินหลง ทว่าความว่องไวช้าลงไปเพราะอาการบาดเจ็บของเขา


“เขาช่างแข็งแกร่งขนาดที่หากเขาไม่หนีไป เขาอาจตายได้วันนี้ ดูเหมือนจะมีทางเดียว” ชายในชุดดำไม่มีทางเลือกใดนอกจากจะเอาตัวรอด


หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ความไวของชายในชุดดำได้เพิ่มขึ้นไปอย่างมาก และเขารีบสร้างระยะห่างระหว่างเขาและเฉินหลง


เขาเห็นความเร็วของชายชุดดำเพิ่มขึ้นขนาดนั้นแล้ว เฉินหลงพลันนึกถึงอี้หยาง


“คนของหนทางปิศาจ คงปล่อยแกไปไม่ได้”


“ม่านกำบังเชิงซิง”


เท้าของเฉินหลงพลันขยับและความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นไปเช่นกัน


“ม่านกำบังเชิงซิง” คือม่านกำบังที่ประยุกต์ใช้กับคนคนหนึ่งในแผนภาพม่านกำบังหว่าน พลังงานในร่างได้สกัดออกมาสร้างม่านกำบังที่มีความเร็วเล็กน้อย ตราบใดที่พลังของผู้ใช้ไม่หยุดไป ม่านกำบังจะยังใช้ได้ต่อ


 


ตามปกติแล้วชายชุดดำคิดว่าเขาคงหนีออกไปได้หลังใช้วิชาลับ แต่อย่างไรก็ตาม ความเร็วของเฉินหลงได้เร่งขึ้นด้วยเช่นกัน


“นี่ อย่าพยายามมากไปสิ” ชายในชุดดำร้องอย่างขมขื่นในใจ


“คุณเฉิน ผมแค่ได้ความวางใจจากผู้อื่นว่าผมช่างซื่อสัตย์ เมื่อครั้งนี้ได้รู้พลังของคุณแล้ว ผมจะไม่กลับมาอีก คุณไม่ต้องไล่ตามผมแล้ว” เขาหวังว่าจะกล่อมเฉินหลงได้


“ฉันจะช่วยชีวิตนาย ฉันไม่ไล่นายหรอก” เฉินหลงว่า


แต่อย่างไรเสีย หนทางปิศาจทั้งแปดกลุ่มได้ออกคำสั่งจะฆ่าเขา จะมีเหตุผลใดให้เฉินหลงปล่อยคนตรงหน้าเขาไป


เขาเห็นเฉินหลงกล่าวเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับที่เขาพูด ชายในชุดดำไม่เสียคำพูดเขาอีกแล้วพยายามจะหลบหนี


เขาตัดสินใจได้ว่าหากเฉินหลงยังคงไล่เขาต่อหลังเขาใช้วิชาลับไปแล้วเขาคงเหนื่อยล้า และเขาจะสู้ให้ถึงที่สุด


สิบนาทีต่อมา หลังจากที่วิชาลับของชายชุดดำหมดเวลาไป เขารู้สึกหนาวเย็นจนเขาหยุดวิ่งและหันไปเผชิญหน้ากับเฉินหลงตรงๆ


หลังจากชายในชุดดำหยุดวิ่งไป เฉินหลงโจมตีชายในชุดดำ


เขาเห็นหมัดของเฉินหลง ชายในชุดดำทำได้เพียงพยายามพัฒนาพลังของตนและพร้อมจะทำลายตัวเขาไปพร้อมกับเฉินหลง


“วิญญาณทำลาย”


การโจมตีของหลินหยู่ทรงพลังกว่าการโจมตีโดยชายชุดดำก่อนหน้านัก เฉินหลงทำได้เพียงใช้หลังมือของเขารับมีดสั้นคู่ไว้


 


ในครั้งนี้ ชายในชุดดำใช้โอกาสนี้หนีไปจากการกักขังของเฉินหลงและได้หายไปกับความมืด


“เธออีกแล้ว และเพราะเธออยากจะตาย ฉันจะช่วยเธอเอง” เขาเห็นหลินหยู่มาทำลายเรื่องของเขาและทำให้ชายในชุดดำชื่อหลินช่าหนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงอยากให้เห็นหลินหยู่เป็นตัวอย่าง


มีดสั้นของหลินหยู่สั่นไหว เมื่อมีดนั้นมาถึงฝ่ามือของเฉินหลง


จากนั้นด้วยพลังที่ปะทุอีกครั้ง จึงเกิดระยะห่างระหว่างเธอและเฉินหลง


จากนั้น เธอรีบกล่าวว่า “คุณเฉิน ฉันไม่มีจุดประสงค์จะเป็นศัตรูกับคุณ” เฉินหลงสามารถจะตามหลินช่าได้ หลินช่ามีพลังเทียบเท่ากับตัวเธอ เธอต้องพัฒนาพลังของเธอ หากเธอไม่โจมตีกลับแรงๆแล้ว เธอคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา


 


“เธอไม่อยากเป็นศัตรูกับฉัน หากมีคนปล่อยศัตรูของฉันไป คนคนนั้นก็เป็นศัตรูของฉันแล้ว อีกอย่าง พวกเธอจากกลุ่มทั้งแปดแห่งหนทางปิศาจมายังจีนเพื่อเอาหัวของใครสักคนไปด้วย เธอบอกวว่าเธอไม่อยากเป็นศัตรูของฉัน เธอคิดจริงๆหรือว่าฉันเป็นคนโง่ เธอกับหลินช่า ทั้งคู่เป็นพวกคนชั่วร้าย หากฉันปล่อยเขาไป เธอคงต้องเอาชีวิตเธอมาแลกเองแล้วละ”


เฉินหลงรู้สึกเกินพอกับพวกปิศาจพวกนี้ เขาพยายามจะฆ่าคนที่ข่มให้ปิศาจเกรงกลัวได้ เขาจะต้องฆ่าสักคนหนึ่งแต่เมื่อหลินหยู่มาทำร้ายเขา ดังนั้นเฉินหลงต้องฆ่าเธอ


TB:บทที่ 199 ไปทะเล (1)


 


“จริงอยู่ที่หนทางปิศาจทั้งแปดกลุ่มมีคำสั่งให้เราฆ่า คุณเฉิน แต่นั่นเป็นคำสั่งของกลุ่มเรา ไม่ใช่สิ่งที่เราหวังจะทำ ตอนนี้คุณแข็งแกร่งกว่าเราไปมาก ฉันไม่มีจุดประสงค์จะเป็นศัตรูกับคุณ เอาเป็นว่ามาบอกความซาบซึ้งและความขุ่นเคืองใจกันไหม” ใบหน้าของหลินหยู่แสดงสีหน้าหญิงสาวที่เปราะบางตอนที่เธอกล่าว


 


หากพลังของเฉินหลงยังคงเป็นระดับกำเนิด ภารกิจสังหารเฉินหลงยังคงดำเนินต่อไป ทว่าตอนนี้พลังของเฉินหลงได้ไปถึงขั้นของพลังลมปราณ ด้วยระฆังทองระดับสิบสอง แม้พวกเขาแปดคนจะร่วมมือกันแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินหลง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงยอมแพ้ไป


 


แม้สีหน้าหญิงสาวเปราะบางจะเป็นการเสแสร้ง แต่เฉินหลงรู้ว่าคำพูดของเธอเป็นของจริง


“ฉันเชื่อเธอก็ได้ แต่เธอยังปล่อยชายชุดดำไปอยู่ดี เธอควรอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟังหน่อยนะ”


“ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะเอาหัวของชายคนนั้นให้ในเร็วๆนี้” น้ำเสียงของหลิน มีความขุ่นเคืองที่ไม่อาจหายไปได้อยู่


เฉินหลงรู้ว่าสิ่งที่เธอกล่าวคือความจริงแต่เขายังคงถามต่อไป “แล้วทำไมฉันต้องเชื่อเธอละ ฉันไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร เช่นนั้นแล้วเธอจะเอาหัวของคนคนนั้นให้ฉันแล้วค่อยบอกฉันว่าเขาเป็นใครแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเป็นเขา”


“ชายคนนั้นชื่อหลินช่า เขาเป็นทายาทของกลุ่มจื่อซิน แห่งปิศาจทั้งแปด หากคุณหาหลินช่าอีกคนเจอ หลังฉันเอาหัวเขามาให้คุณแล้ว ฉันจะเอาหัวฉันมาให้คุณด้วย” หลินกล่าวอย่างตั้งใจจริง สำหรับน้องของเธอแล้ว เธอจำต้องรีบฆ่า


 


“ใครคืออีกสามคนที่เหลือหรือ นอกจาก ไป๋ชีเหวิน หลินหยู่ จางเฟิงหยาง หลานหลี่เย่ และจากกลุ่มจื่อซิน หลินช่า” เฉินหลงมองหลินหยู่และถามออกไป


เฉินหลงรู้จักคนพวกนั้จากกลุ่มหนทางปิศาจทั้งแปด ตอนนี้เขามีโอกาสดีๆที่จะรู้จักอีกสามคนที่เหลือจากหลินหยู่


“เจา จ่ง เป็นอาจารย์ของเมียงชิง” หยู่ไป๋เป็นกลุ่มบัวขาว และหลินเป็นกลุ่มจักรพรรดิต่อต้านสวรรค์” หลินหยู่ว่าไปอย่างง่ายๆ


เมื่อเฉินหลงรู้ว่าหลินหยู่ไม่ได้โกหก เขาจึงกล่าวว่า “เธอไปได้แล้วตอนนี้ ฉันหวังว่าเธอจะทำอย่างที่พูดได้และเอาหัวของหลินช่ามาให้ฉัน”


เนื่องจากเขาได้คำตอบจากหลินหยู่แล้ว เฉินหลงจึงไม่กักเธอไว้ต่อ แม้เธอจะดูดีและป็นหญิงสาวที่งดงาม แต่หากเขาประมาทเธอไปสักนาที อาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้


“ไม่ต้องกังวลไป ฉันจะทำตามอย่างที่ฉันพูด” สิ้นคำ หลินหยู่จากไป


หลังจากเห็นร่างของหลินหยู่หายไปแล้ว เฉินหลงไปที่ที่เขาจากมา รถของเขายังคงอยู่ที่นั้น


เฉินหลงกลับไปยังที่จอดรถและในตอนที่เขากำลังจะขึ้นรถนั้นเขาได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา


 


“น้องเฉินหรือ”


เฉินหลงมองไปทางต้นเสียง ลั่วฮุ่ยและหมินซีออกมาจากรถแลนด์โรเวอร์และมองเขาอย่างประหลาดใจ


“น้องเฉินจริงๆด้วย” ลั่วฮุ่ยและคนอีกสองคนเมื่อเห็นว่าเป็นเฉินหลงจริงๆแล้วจึงรีบเดินมาหาอย่างตื่นเต้น


“พี่สี่ พี่สะใภ้ ทำไมพวกพี่อยู่ที่นี่” เฉินหลงตื่นเต้นเล็กน้อย และในเวลาเดียวกันเขารู้สึกว่าช่างเป็นโชคชะตาที่กำหนดจริงๆให้พวกเขามาเจอกันที่นี่โดยไม่คาดคิด


“พี่สี่ของนายและฉันกำลังจะออกทะเลและเพื่อหาอะไรสนุกๆทำ เราไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่ ไปด้วยกันเถอะนะ” อันหมินซีเดินไปทางเฉินหลง จับแขนเฉินหลงและกล่าวไปอย่างเอ็นดู


 


ลั่วฮุ่ยที่มองความใกล้ชิดของเฉินหลงและหมินซีพลันยิ้มไปด้วย เขารู้ว่าอันหมินซีมองว่าเฉินหลงเป็นน้องชายและไม่ได้มีความรักระหว่างชายหญิง


แต่อย่างไรก็ตามแต่ เฉินหลงรู้สึกเขินอายเพราะการกระทำของหมินซี


“พี่สาวครับ คุณและพี่สี่สองคนจะไปเที่ยวอย่างโรแมนติกกัน ผมไม่อยากจะไปเป็นก้างขวางคอ” เฉินหลงอยากจะดึงมือเขาออก ทว่าหมินซีจับให้แน่นขึ้น เฉินหลงรู้สึกเห็นใจเมื่อเธอขยับไป เขาอดไม่ได้ที่จะบอกความจริงใจนั่นไป


 


“น้องเอ๋ย ความจริงแล้วพวกเราไม่ได้ไปกันแค่สองคนนะ แต่ยังมีสาวสวยไปด้วย ฉันจะแนะนำให้นายรู้จักเธอตอนนี้แหละ” อันหมินซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


ลั่วฮุ่ยกล่าวต่อไปพร้อมกับเธอ “ใช่แล้ว ไม่ใช่ว่าคราวนี้เราจะไปทะเลกันแค่สองคนหรอกนะ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะพบกันที่นี่ ออกไปในทะเลกันแล้วไปสนุก ตามปกติแล้ว เราควรจะไปในเมืองหลวงเพื่อตามหานาย แต่นายรู้ใช่ไหมว่าชื่อเสียงพี่สาวฉันไม่ค่อยจะสู้ดี พวกเราเลยเข้าไปหานายไม่ได้ พี่สาวของนายรู้สึกผิดมาโดยตลอด หากนายไม่ไปสนุกกับเราคราวนี้ ฉันไม่คิดว่าเธอจะยอมหรอกนะ”


อันหมินซีไม่กล่าวอะไร แต่เธอบีบแขนเฉินหลงแรงขึ้น


 


“ใช่แล้ว ใช่ ฉันไปไม่ได้ ถ้านายไม่ยอมไป” และเพราะลั่วฮุ่ยกล่าวเช่นนั้น เฉินหลงจึงทำได้เพียงรับคำ


อีกอย่างหนึ่ง เขาไม่อาจอยู่ที่วิลล่าของเขาได้แล้วตอนนี้ หากเขาใช้โอกาสนี้ออกไปหาอะไรสนุกๆทำ คงจะเบี่ยงเบนความสนใจเขาไปได้บ้าง


หลังจากนั้น เฉินหลงตามลั่วฮุ่ยไปยังท่าเรือของจิงเหมิน ที่ที่มีเรือยอร์ชขนาดเล็กใหญ่อยู่มากมาย


“พี่เขยและพี่สาวคะ พี่สองคนมาช้าจริงๆ” เมื่อเฉินหลง และพวกเขารวมสามคนไปถึงที่ท่าเรือแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ท่าเรือและยืนขึ้นโบกมือให้อย่างตื่นเต้นจากข้างๆ


ด้านข้างของหญิงสาว มีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่


“มากันแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอช่างไม่มีความอดทน” เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาว เธอมองเฉินหลงและเดินเข้ามาหา


เมื่อเขาเข้าหาเธอ เฉินหลงมองดูเธอ เธออายุราวยี่สิบปีและมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกับหมินซี เธอดูโตกว่าหมินซีเล็กน้อยแต่เขารู้สึกว่าถึงความเป็นเด็กกว่า


 


เมื่อหญิงสาวเห็นว่าหมินซีจับมือเฉินหลงอยู่ เธอดูประหลาดใจ เธอกระซิบบอกหมินซีและหมินซีกระซิบตอบ “พี่คะ หากพี่อยากจะหาแฟนหนุ่มมาเล่นๆ แล้วพี่ก็ไม่ควรพาพี่เขยมาและซ่อนเขาไว้นะ แน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพี่เขย แต่ทำไมถึงแปลกๆที่พี่เขยไม่หึงกัน”


อันหมินซีตีหัวของหญิงสาวเบาๆ และกล่าวไปว่า “สาวน้อย ทุกๆวันนี้เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย คนนี้คือน้องชายของพี่เขยเธอ เฉินหลง แล้วเขาเป็นคนหล่อ หากพี่สาวอ่อนกว่าเขากว่าสิบปี พี่คงทิ้งพี่เขยไปหาเขา”


เฉินหลงในสายตาหมินซีและหญิงสาวอีกสองคน อดไม่ได้ที่จะกรอกตา ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่เป็นเช่นนี้ อย่าทำตัวต่างไปเลย


“น้องเอ๋ย นี่น้องสาวของพี่ อันหยา” หลังจากพี่น้องสองคนกล่าวอะไรอีกเล็กน้อบ หมินซีแนะนำน้องสาวเธอให้เฉินหลงรู้จัก


“สวัสดีค่ะ พี่หลง นี่คือเพื่อนฉันค่ะ เจิ้งหยู่” อันหยายิ้มให้เฉินหลง


“สวัสดี สวัสดี” เฉินหลงว่า และยื่นมือออกไปหาอันหยาและเจิ้งหยู่เพื่อเขย่าทักทาย


“เอาล่ะ พวกเธอจะยืนอยู่ตรงนี้แล้วคุยกันทั้งคืนเลยไหม” ในตอนนั้นเองลั่วฮุ่ยได้ขึ้นไปบนเรือยอร์ชที่ยาวกว่าสามสิบเมตรแล้ว


ในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินของลั่วฮุ่ยสามารถซื้อเรือยอร์ชพวกนี้ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆเลย แต่อย่างไรเสียเมื่อคิดว่าจะซื้อเรือยอร์ชแล้วก็เท่านั้นแหละ เขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของเขาสองคนกับหมินซี ทำไมพวกเขาจะต้องมีลำใหญ่ด้วย แค่เรือยาวสามสิบเมตรก็ได้แล้ว


แต่ไม่ว่าอย่างไร เนื่องจากสุขภาพก่อนหน้านี้อของหมินซีทำให้ไม่เหมาะกับการออกทะเล และนี่เป็นครั้งแรกที่เรือยอร์ชชื่อหมินซีจะออกแล่นในทะเล


TB:บทที่ 200 ออกไปทะเล (2)


 


นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินหลงขึ้นเรือยอร์ช เขาสงสัยไปทุกอย่างบนเรือนั้น


เรือยอร์ชของลั่วฮุ่ยตกแต่งราวกับเป็นวิลล่าที่หรูหรา ไม่ต้องประหลาดใจไปว่าทำไมคนรวยบางคนจึงชอบที่จะขับเรือยอร์ชและจัดปาร์ตี้บนเรือนี้เป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะสมเหตุสมผล


 


“น้องเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่ออกทะเลหรือไม่” ลั่วฮุ่ยมองเฉินหลงที่มองไปยังทุกอย่างบนเรือยอร์ชอย่าสงสัยแล้วถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม


“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมออกทะเลไป แต่นี่คือครั้งแรกที่ผมขึ้นยอร์ชแบบนี้” เฉินหลงตอบตามความจริง


 


ว่าตามความจริงแล้ว เงินทองของเฉินหลงนั่นไม่ใช่ว่าเขาจะซื้อเรือยอร์ชแบบนี้ไม่ได้ ทว่าในฐานะที่เป็นเศรษฐีใหม่ เขาจึงยังคิดไม่ถึงว่านี่คือสิ่งที่คนรวยจริงๆเขาทำกัน


“ชอบไหมละ ถ้านายชอบ ฉันจะจองเรือยอร์ชใหญ่ๆให้ ไม่ใช่ว่าพี่นายขี้งกหรอกนะ แต่ชื่อของพี่สะใภ้นายอยู่บนเรือลำนี้แล้ว ไม่เช่นนั้นฉันคงให้เรือยอร์ชนายไปเลย” ลั่วฮุ่ยกล่าว


 


ลั่วฮุ่ยต้องการจะให้เรือยอร์ชนี้กับเฉินหลง ไม่ใช่เพราะว่าเขาคิดว่าเฉินหลงไม่สามารถจะซื้อได้ ทว่าเพราะเขาคิดว่าเขาติดหนี้เฉินหลงมากเหลือเกิน และการมอบสิ่งของให้เฉินหลงทำให้เขารู้สึกดีขึ้น


“พี่สี่ อย่าว่ามากกว่าความไปเลย อีกอย่างผมไม่ต้องการเรือยอร์ช” เฉินหลงรีบกล่าวตอบ


“ไม่ได้สำคัญหรอกว่าเรือนี่จะใช้ได้ในอนาคตไหม แต่คิดไหมว่าหากนายอยากออกท่องเรืออย่างโรแมนติกกับแฟนสาวหรือจะพาครอบครัวออกทะเลไปบ้างบางครั้ง ไม่ใช่ว่ามีเรือยอร์ชแล้วจะสะดวกหรือ”


 


น้ำเสียงของเหล่าฮุ่ยในตอนนั้นช่างเหมือนกับฝ่ายขายที่พยายามจะขายสินค้าให้ออก


จากคำของลั่วฮุ่ย เฉินหลงคิดจริงๆแล้วว่าเหตุผลของลั่วฮุ่ยช่างสมเหตุสมผล อีกสิ่งหนึ่งเขายังคุ้นชินกับการเห็นคนรวยจัด “งานเลี้ยงทะเลและท้องฟ้า” บนเรือยอร์ชของพวกเขาที่เต็มไปด้วยสาวสวยและสิ่งต่างๆมากมาย


“พี่สี่ สิ่งที่พี่ว่ามามีเหตุผลนะครับ ผมคงต้องซื้อยอร์ชแบบนี้จริงๆแล้ว พี่สี่ผมจะไปซื้อได้ที่ไหนกัน แล้วราคาเท่าไหร่จะเทียบกับทัศนียภาพที่บนเรือยอร์ชนี่” เฉินหลงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขาอยากจะซื้อเรือนี้จริงๆสักลำ


 


“น้องเฉิน ไม่ต้องเป็นกังวลเรือยอร์ชนี่ไป ฉันจะช่วยนายเอง” ลั่วฮุ่ยกอดบ่าของเฉินหลงและกล่าวอย่างมีความสุข


“ได้สิ ผมจะขอบคุณพี่มาก” ลั่วฮุ่ยกล่าวเช่นนี้ เฉินหลงไม่อาจปฏิเสธได้


ตอนที่เฉินหลงและลั่วฮุ่ยคุยกันอยู่นั้น หมินซีและอีกสามสาวกำลังคุยกันอยู่


ยิ่งไปกว่านั้น อันหยายังลอบมองเฉินหลงเป็นบางครั้งด้วย สายตาของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจและสงสัยใคร่รู้


 


“พี่สาว นี่พี่บอกความจริงอยู่ใช่ไหม” อันหยาถามหมินซี


“เธอเป็นน้องสาวฉัน ฉันจะโกหกไปทำไม จริงๆนะเขาเป็นคนดี เธอต้องคว้าโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเธอสิ อย่างไรเสียหากไม่มีโชคชะตากำหนดไว้แล้ว เธอก็ไม่ต้องรอขออะไรอีก” อันหยาว่า


ตั้งแต่เฉินหลงช่วยตัวเธอ ความประทับใจต่อเฉินหลงของหมินซีดีเยี่ยมมาโดยตลอด


หากไม่ใช่ว่าเธอแก่กว่าเฉินหลงเป็นสิบปีและไม่ได้มีลั่วฮุ่ยอยู่ด้วยแล้ว เธอจึงไล่ตามเฉินหลงไปอย่างห้าวหาญ


 


“พี่สาว ไม่ว่าพวกเขาพูดอย่างไร พี่ก็ยังเป็นสาวสวยอยู่ดี คงจะไร้เหตุผลไปที่จะให้คนอย่างพี่ไปไล่ตามใคร” อันหมินซีทำให้อันหยาเขินอายนิดหน่อย


และแม้เธอจะประทับใจเฉินหลงแต่เธอคงปล่อยตัวปล่อยใจเธอไปทันใดที่เธอพบเขา ก็คงไม่ดี


ในตอนนั้นเอง เจิ้งหยู่เปิดปากพูดขึ้นว่า “ฉันคิดว่าพี่หมินซีจะพูดถูกซะอีกว่าเขานี่ยอดจริงๆ เขาช่างหล่อเหลาและเขารักษาโรคได้ อย่างไรเสียดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เป็นเด็กชายที่จะรับทุกคนที่เชิญชวนนะดังนั้นนี่น่าจะเป็นเรื่องดีที่จะทำได้ แต่อันหยาถ้าเธอไม่อยากทำอะไร ฉันจะไม่สุภาพแล้วนะ มีผู้ชายดีๆอยู่ในโลกนี้น้อยเหลือเกิน เธอไม่ควรจะพลาดไปสักคน”


 


เมื่อกล่าวจบ เจิ้งหยู่ยังยืนขึ้นและจัดเสื้อเธอให้ตรง พร้อมที่จะไปจัดการ


อันหยาเห็นเจิ้งหยู่กำลังจะเข้าหาเขาแล้ว อันหยากล่าวไปว่า “หยู่เอ่อ ไม่ใช่ว่าเธอชอบพวกลุงๆหรือ แล้วเธอมาสนใจพวกคนหนุ่มสดใหม่แบบนี้ได้อย่างไรกัน”


“ช่วยไม่ได้ ตอนนี้มีผู้ชายดีๆน้อยเกินไป ฉันเจอคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลุงหรือคนหนุ่มสดใหม่ ฉันคงไม่ปล่อยไปหรอก” เจิ้งหยู่กล่าวไปตามจริง


 


เมื่อฟังเรื่องของเฉินหลงจากปากของหมินซี เจิ้งหยู่ที่ชอบคนแก่มากกว่ายังสนใจใคร่รู้ในตัวเฉินหลง และด้วยความเข้าใจของอันหยา เฉินหลงจะต้องเป็นคนในฝันของเธอแน่นอน ดังนั้นเธอจึงตื่นเต้นเนื่องจากความจริงและเรื่องโกหกครึ่งๆกลางที่เธอได้ยินมา


 


“หากเธอจะไปก็ไปเลย ฉันคงไม่ทำแบบนั้นหากฉันเจอใครสักคน” แม้เฉินหลงจะเป็นคนแบบที่อันหยาชอบ แต่ใจจริงแล้วอันหยาไม่เข้าหาเพราะเธอไม่ต้องการจะไปแหย่คนอื่นทันทีที่เพิ่งเจอหน้า


 


“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันจะพูด ฉันจะไป” สิ้นคำ เจิ้งหยู่เดินไปหาเฉินหลงจริงๆ


เจิ้งหยู่เดิเข้าหาเฉินหลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณเฉิน ฉันได้ยินมาจากหมินซีว่า คุณมีความรู้ทางการแพทย์ ฉันมีปัญหาสุขภาพเล็กน้อยช่วงนี้ คุณช่วยรักษาได้ไหม”


นกในฝูงจะเกาะกลุ่มกัน อันหยาเป็นคนสวย เจิ้งหยู่ไม่เป็นข้อยกเว้น หากคนสวยเข้ามาคุยกับเขา เฉินหลงคงไม่ปฏิเสธ


“ก็ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” เฉินหลงว่าพร้อมรอยยิ้ม


เมื่อเจิ้งหยู่เข้ามาคุยกับเฉินหลงแล้ว ลั่วฮุ่ยยืนขึ้นและนั่งลงข้างหมินซี เขาไม่ต้องการจะเป็นส่วนเกิน


 


“ฮุ่ย น้องสาวฉันไม่รู้วิธีคว้าโอกาส เด็กดีๆแบบน้องเฉินหลงของฉัน เขาก็ไม่รู้วิธีจะคว้าโอกาส เล่าเรื่องเธอมาหน่อยสิ” อันหมินซีมองน้องสาวเธออย่างไม่มีหนทาง


อีกอย่างเจิ้งหยู่รู้ว่าจะคว้าโอกาสมาได้อย่างไร และน้องสาวเขายังมีสายตาที่ไม่ได้กังวลด้วย


ลั่วฮุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก โชคชะตาเป็นเรื่องหนึ่งที่เธอไม่ต้องไปร้องขออะไร หากเธอเชื่อในโชคชะตาจริงๆ เธอจะได้คู่กันอยู่ดี”


“พี่สาว พี่ได้ยินที่พี่เขยพูดไหม” อันหยากล่าวเรื่องเดิมต่อไป เธอมองไปทางพี่สาวของเธอ


“เอาล่ะ ฉันจะพูดอยู่ดี ถ้าเธอจะมาเสียใจทีหลัง เธออย่ามาโทษว่าฉันไม่ได้เตือนเธอนะ”


อันหมินซีกล่าวจบและมองด้านข้างของเฉินหลง เจิ้งหยู่ยื่นมือไปที่ตัวเฉินหลง แล้วเฉินหลงก็ตรวจชีพจรของเธอ อันหมินซีอดส่ายหัวไม่ได้และถอนหายใจ เขาไม่แสดงท่าทีอะไร คงจะสิ้นหวังหากจะเชื่อมั่นในโชคชะตา


 


เฉินหลงและเจิ้งหยู่เป็นคนหนุ่มสาวทั้งคู่ อีกอย่างหนึ่งคือเจิ้งหยู่เป็นคนสวยมาก และในทันทีที่พวกเขาสนิทกัน พวกเขาพูดคุยและหัวเราะ เจิ้งหยู่ยังถ่ายรูปเฉินหลงไปสองสามรูปด้วยมือถือของเธอและส่งให้เพื่อนด้วย


 


“ฮ่ะฮ่ะฮ่า พี่หลงฟังนะ เพื่อนของฉันเริ่มจะปัดหน้าจอไปและพูดว่าฉันเปลี่ยนรสนิยมไปชอบเนื้ออ่อนแล้ว” เจิ้งหยู่วางโทรศัพท์เบื้องหน้าเฉินหลงและกล่าวไป


เจิ้งหยู่เป็นคนสวย กลุ่มเพื่อนของเธอตามปกติแล้วจึงเป็นห่วงมาก รูปของเธอและเฉินหลงได้ส่งไปให้เพื่อนๆของเธอ ที่ตามปกติแล้วเรียกความสนใจเพื่อนๆของเธอด้วย


 


“มีสาวสวยเยอะมากที่เป็นเพื่อนเธอ” เฉินหลงมองข้อความตอบกลับพวกนั้นและพบว่ามีแต่สาวสวย


“ถ้าพวกเธอทั้งหมดเป็นคนสวย แล้วฉันจะเป็นคนสวยได้อย่างไรกัน” เจิ้งหยู่กระซิบหูเฉินหลง


หลังจากที่ได้ยินคำของเจิ้งหยู่ เฉินหลงอดไม่ได้ที่จะกรอกตา “นี่เธอกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนห้ามเลย ถ้าเธอพูดแบบนั้น”


TB:บทที่ 201 ไปทะเล (3)


“ไม่มีทาง! พวกเขาจะต้องตอบแบบเดียวกับที่ตอบฉันแน่นอน” สายตาของเจิ้งหยู่เรียบเฉย


ตอนนี้ผู้หญิงคนที่มีความสัมพันธ์ในทางที่ดีกับอีกฝ่ายนั้น อาการหนักมากกว่าฝ่ายชายเสียอีก และคำพูดแบบนี้ก็เป็นเหมือนคำพูดหลอกเด็ก ในบางครั้งพวกเขาก็ไม่กลัวว่าจะต้องหลอกตัวเองเพราะเห็นแก่พวกพ้องหรอก


 


“นอกจากนี้ พวกเขายังบอกว่ารสนิยมของคุณก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผมเหรอครับ?” เฉินหลงถามด้วยรอยยิ้ม


เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นเนื้อสดใหม่* ในยุคแห่งเนื้อสดใหม่นี้ ยังมีคนที่ไม่ชอบคนประเภทนี้อยู่อีก เรื่องนี้ทำให้เฉินหลงนึกสงสัย


 


“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบเขาหรอกนะ แต่ฉันแค่รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนคนที่มีวุฒิภาวะสักเท่าไหร่” เจิ้งหยู่ตอบตามความจริง


“ก็ผมไม่รู้ว่าคุณจะมีรสนิยมที่แน่วแน่ขนาดนั้น” เฉินหลงล่ะสงสัยจริงๆว่าผู้หญิงอย่างเจิ้งหยู่จะชอบผู้ชายที่ดูเป็นผู้ใหญ่หรือออกแนวลุงได้ยังไง


เจิ้งหยู่หันไปมองเฉินหลงเป็นตาเดียว “ยังไงซะ ตอนนี้รสนิยมของฉันก็เปลี่ยนไปแล้ว ฉันอยากกินเนื้อสดใหม่จังเลย!”


เฉินหลงถึงกับอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา


เมื่อเห็นเฉินหลงและเจิ้งหยู่ที่ทั้งพูดคุยและได้หัวเราะให้กันแล้ว หมินซีก็ได้หันหน้าไปขยิบตาให้ลั่วฮุ่ย


 


สำหรับเฉินหลง หมินซีช่างเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสียจริง เธอมีความคิดที่ว่า ถ้าได้เขามาเป็นลูกเขยของตัวเองคงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย แต่เมื่อเธอเห็นเจิ้งหยู่กับเฉินหลงมีปากเสียงกันอย่างดุเดือด เป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกไม่ดี


ถึงลั่วฮุ่ยจะคิดว่ามันไม่ได้มีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้น แต่ในเมื่อเป็นคำขอของภรรยา เขาก็ต้องรับฟังและทำตามเธอแต่โดยดี ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ฉันยังมีห้องเกมกับคาราโอเกะที่นี่ด้วยนะ พวกเธออยากลองไปเล่นที่นั่นไหม? ฉันคิดว่าถ้าจะไปทะเลตอนกลางคืน มันคงไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ เอาไว้เราค่อยไปทะเลกันวันพรุ่งนี้ดีกว่านะ”


เนื่องจากว่าไม่มีเด็กวัยรุ่นคนไหนที่ไม่ชอบการเล่นสนุก ฝ่ายเจิ้งหยู่ที่ได้ยินว่าบนเรือยอทช์ลำนี้ยังมีสิ่งให้ความบันเทิงประเภทอื่นจึงได้สติหลุดไปในทันที


 


จากนั้น ลั่วฮุ่ยและคนอื่นๆได้พากันไปยังห้องที่รวบรวมความบันเทิงต่างๆเอาไว้


ในตอนที่หญิงสาวทั้งสองคนเห็นตู้คาราโอเกะ พวกเธอก็รีบเดินตรงไปที่ตู้ในทันที เพราะในโลกนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชอบการร้องเพลงหรอกนะ


อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้เฉินหลงได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่ร้องเพลง และเลือกที่จะเล่นเกมแทน เพราะเขารู้ว่าทั้งสองสาวก็เหมือนกับลู่เซียง เขาจึงปล่อยให้พวกเธอได้ร้องเพลงเป็นเวลาหลายชั่วโมง


หลังจากที่เล่นเกมและได้ร้องเพลงอยู่ไม่กี่ชั่วโมง ในตอนนี้เข็มนาฬิกาได้เดินมาจวนจะถึงเลข 12 แล้ว เฉินหลงกับคนที่เหลืออยู่จึงตัดสินใจแยกย้ายกันกลับไปยังห้องของตัวเองเพื่อทำการพักผ่อน


คืนนี้เป็นคืนแรกของเฉินหลงที่ได้นอนกลางทะเล ทำเอาเขารู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะข่มตานอนไม่หลับเลยทีเดียว


 


วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เฉินหลงทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ลั่วฮุ่ยก็ได้พาเขาไปล่องเรือยอทช์


แน่นอนว่าครั้งนี้เฉินหลงไม่ได้เป็นคนขับเรือยอทช์ เขาแค่นั่งมองลั่วฮุ่ยขับเรือยอทช์เท่านั้น แต่เพราะระบบอัจฉริยะ ใช้เวลาไม่นาน เฉินหลงก็เข้าใจวิธีและหลักการขับเรือยอชท์ได้


“นี่ น้องชาย นายเคยไปที่เรือคาสิโนไหม?” จู่ๆลั่วฮุ่ยก็หันไปมองเฉินหลงและเอ่ยถาม


เฉินหลงทำเพียงแค่ส่ายหน้าตอบเขาไป


ทันใดนั้น ระบบอัจฉริยะก็ได้ส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับเรือคาสิโนให้แก่เฉินหลง


 


ในช่วงปีแรกๆ เรือคาสิโนเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนันท่ามกลางทะเลหลวงเนื่องจากรัฐบาลได้แบนการพนัน แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามันก็ได้กลายเป็นโปรเจ็ครีสอร์ทเพื่อความบันเทิงบนเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ ถือเป็นสถานที่ที่รวมที่พักและสถานบันเทิงเข้าด้วยกัน  บนเรือสำราญ นอกจากคุณจะได้เพลิดเพลินกับการบริการของโรงแรมระดับห้าดาวแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งที่รวบรวมช้อปต่างๆในระดับลักซูรีแบรนด์ในโลกเอาไว้ เพื่อให้ผู้โดยสารได้เพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งอีกด้วย


ลั่วฮุ่ยอธิบายให้เฉินหลงได้เข้าใจด้วยรอยยิ้ม


 


“พี่สี่ จู่ๆทำไมพี่ถึงพูดเรื่องเรือพนันขึ้นมาได้ล่ะครับ? แล้วอย่างนี้พี่จะไม่อยากขึ้นไปเล่นกับพวกเขาที่นั่นเหรอครับ?” เฉินหลงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


“นั่นเป็นเพราะว่า ในอีก 2 วันจะมีเรือสำราญแล่นผ่านมา ได้ข่าวว่าน้องๆของนายไม่ได้มีเวลามาเล่นสนุกนานแล้วนี่ พวกเราก็ไปหาอะไรสนุกๆทำกันเถอะ” ลั่วฮุ่ยตอบ


“ถ้าอย่างนั้นก็จัดไปเลยครับ!” เฉินหลงรู้ดีว่าถึงเขาจะไม่เห็นด้วย มีอันหมินซีได้คะยั้นคะยอให้เขาตอบตกลงแน่นอน ดังนั้นเขาจึงยอมตอบตกลงไปแต่โดยดี


นอกจากนี้ วิลล่าของเขายังต้องใช้เวลาในการซ่อมแซม ถ้าเขาขอตัวกลับไปที่ปักกิ่งก่อนเวลา เขาคงไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขากับลั่วฮุ่ยและคนอื่นๆจึงตัดสิ้นใจที่จะขึ้นไปบนเรือสำราญเพื่อไปเปิดหูเปิดตา


 


สองวันถัดมา เฉินหลงก็ได้มีช่วงเวลาที่ดีและน่าจดจำมากมายในการมาเที่ยวทะเลในครั้งนี้


การดำน้ำ เล่นเซิฟ และตกปลา ถ้าไม่ใช่เพราะบนเรือไม่มีผู้หญิงสวยๆ กับเขาที่ไม่ใช่เจ้าของที่ได้ประโยชน์จากมันล่ะก็ เฉินหลงก็คงจะได้เพลิดเพลินกับการถูกรายล้อมไปด้วยสาวสวยในชุดบิกินี่สุดเซ็กซี่ไปแล้ว


ตามที่ลั่วฮุยได้บอกเขาไว้ ในช่วงกลางวัน เรือสำราญเก้าชั้นก็ค่อยๆแล่นตรงมาทางเขาช้าๆจากอีกฟากของทะเล คนทั้งสี่คนรวมถึงลั่วฮุยได้เปลี่ยนจากเรือยอทช์ไปขึ้นเรือสำราญ เขาคิดว่ามันเป็นเพราะลั่วฮุ่ยคนนี้ที่ได้พูดคำว่า ‘เฮลโหล’ ออกไป


 


ในตอนที่ลั่วฮุยได้ขึ้นไปบนเรือสำราญ ชายคนหนึ่งที่อายุประรมาณสี่สิบปี สูงประมาณ 180 เซนติเมตร บริเวณริมฝีปากของเขาไว้หนวดเคราที่ทำให้เขาดูเท่ห์มาก นอกจากนี้การแต่งตัวของเขานั้นดูดีแถมยังดูมีรสนิยมมากอีกด้วย เขาเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นก็สวมกอดลั่วฮุ่ย เขาดูตื่นเต้นเล็กน้อยจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “พี่สี่! ผมไม่ได้เจอพี่มาตั้งสิบกว่าปีแล้ว แต่พี่ก็ยังดูไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยนะ”


“เฟิงจื่อ นายเปลี่ยนไปเยอะเลย นายดูเท่มากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” ลั่วฮุ่ยกำหมัดแล้วต่อยเบาๆเข้าไปที่อกขอชายคนนั้นสองที ดูเหมือนว่าเขาและชายคนนี้จะเป็นคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน


 


“การที่ผมได้เป็นเฮ่อเฟิงในทุกวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะพี่ครับ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ ผมเองนึกไม่ออกเลยว่าตอนนี้ตัวเองจะยังนอนอยู่ข้างๆคูน้ำเหม็นๆนั่นอยู่รึเปล่า” เฮ่อเฟิงกล่าว ขอบตาของเขาเริ่มแดงก่ำ


แต่ก่อนเฮ่อเฟิงเคยเป็นกุ๊ยข้างถนน แต่ต่อมาหลังจากที่เขาได้พบกับลั่วฮุย ลั่วฮุยก็ได้ช่วยเขาให้หลุดพ้นจากชีวิตบัดซบ นอกจากนี้อีกฝ่ายยังมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เขา เพื่อนให้เขาได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง เฮ่อเฟิงจะไม่ทำให้ลั่วฮุ่ยผิดหวังเด็ดขาด เนื่องจากว่าตอนนี้เขาเพิ่งกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเล็กของเรือสำราญนั่นเอง


ลั่วฮุ่ยพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม ถึงเขาไม่พูด เขาก็รู้ว่าลูกน้องของเขาจะต้องคิดถึงเขาแน่นอน เขาถึงต้องการมาที่เรือสำราญของอีกฝ่ายเพื่อความสนุก


 


ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของเฮ่อเฟิงก็ได้ไปสะดุดเข้ากับหมินซีกับเฉินหลงที่ยืนอยู่ข้างๆ


เมื่อเขาได้เห็นหน้าหมินซี จู่ๆใบหน้าของเขาก็ดูตกใจขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ได้กล่าวคำทักทายอีกฝ่ายว่า “สวัสดีครับ พี่สะใภ้ คุณยังสบายดีใช่ไหมครับ?”


สุขภาพของอันหมินซีไม่ค่อยดีนัก เขาทราบเรื่องนี้ดี ถึงเขาอยากจะช่วยขนาดนั้น เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลย ในตอนที่เขาเห็นหมินซีดูเหมือนคนปกติ เขาเองก็รู้สึกยินดีกับเธอขึ้นมาในทันที


“สบายดีจ้ะ อ๊ะ จริงด้วยสิ เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงออกทะเลในครั้งนี้ได้ ในฐานะโฮส เป็นเพราะพี่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีนี่เอง” อันหมินซีตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


 


“ใช่แล้วครับ!” เฮ่อเฟิงพยักหน้าตอบเธอในทันที แต่จู่ๆเขาก็ตีศีรษะตัวเองตัง เพี๊ยะ แล้วพูดว่า “อ๊ะ พอเจอพวกคุณแล้ว ผมมัวแต่คุยเพลิน จนลืมเรื่องที่ต้องพาพวกคุณไปที่ห้องพักไปซะสนิทเลย ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปยังห้องพักกันแถอะครับ”


ด้วยเหตุนี้ เฮ่อเฟิงจึงพาคนทั้งห้าคนรวมทั้งลั่วฮุยไปยังห้องสวีทบนเรือสำราญ


ห้องสวีทที่เฟิงเป็นคนจัดให้ลั่วฮุยเป็นถึงห้องพักที่ดีที่สุดในเรือสำราญลำนี้ เรียกได้ว่าห้องสวีทนี้สามารถเทียบเท่ากับห้องเพลสซิเด้นสวีทในโรงแรมระดับห้าดาวได้เลย เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในห้องเป็นุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงทั้งหมด


 


“พี่สี่ เชิญพี่พักผ่อนได้ตามอัธยาศัยเลยนะครับ เมื่อถึงเวลาอาหาร ไว้พวกเราค่อยไปรับปะทานอาหารด้วยกันนะครับ” เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่พาลั่วฮุ่ยกับคนอื่นๆมาถึงห้องสวีท


“ได้เลย เฟิงจื่อ พวกฉันจะไปเที่ยวเล่นฆ่าเวลาก็แล้วกัน จริงสิ นายยังมีงานต้องทำบนเรือใช่ไหม เพราะฉนั้นนายไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าพวกฉันตลอดเวลาก็ได้ ไม่ต้องห่วง พวกฉันอยู่ได้ นายกลับไปทำงานเถอะ” ลั่วฮุ่ยตอบเขาด้วยรอยยิ้ม


แม้ว่าเฮ่อเฟิงจะเป็นผู้ถือหุ้นรายเล็กของเรือสำราญลำนี้ แต่เขาก็ยังมีงานที่จำเป็นต้องทำ อย่างเช่นกับแขกวีไอพีบางคน ลั่วฮุยต้องการให้เขาไปทักทายคนพวกนั้นด้วยเช่นกัน


 


เฮ่อเฟิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่สี่ พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีแล้วนะครับ ถึงผมจะยุ่งยังไง ผมก็จะหาเวลามาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากับพี่ให้ได้ เอาเป็นว่า อีกสักพัก เมื่ออาหารพร้อมแล้ว ผมจะกลับมาเรียกพี่อีกรอบนะครับ”


หลังจากนั้น เขาก็รีบเดินออกไปจากห้องทันที โดยที่ไม่รอให้ลั่วฮุ่ยตอบอะไรกลับมาเลยสักคำ


*小鲜肉 เนื้อสดใหม่


ใช้พูดถึงไอดอลอายุรุ่นๆ หน้าใหม่ หน้าตาน่ารักใสๆ


TB:บทที่ 202 ไปทะเล (4)


 


เมื่อเห็นว่าเฮ่อเฟิงเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่รอให้เขาตอบกลับเลยสักคำ ลั่วฮุ่ยจึงทำได้แค่คลี่ยิ้มออกมาเท่านั้น


ถึงท่าทางของเขาจะเปลี่ยนไป แต่นิสัยก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด


ตอนที่เฉินหลงได้ขึ้นไปบนเรือสำราญ เขาพบว่าบนเรือสำราญนี้ดูวุ่นวายมากและเขาก็อยากออกไปชมให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง แต่เพราะลั่วฮุยเป็นคนพาเฉินหลงมาที่นี่ อีกฝ่ายจึงชวนเขาไปทานอาหารเย็นด้วยกัน หลังจากนั้นเขาก็ไปช้อปปิ้งบนเรือสำราญด้วยกัน ในเมื่อลั่วฮุยเอ่ยปากเชิญขนาดนี้แล้ว คนอย่างเฉินหลงก็คงไม่ปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายได้ลงคอ


 


เวลาผ่านไปไม่นาน เฮ่อเฟิงก็ได้ส่งคนมารับลั่วฮุยไปทานดินเนอร์


สถานที่ที่ลั่วฮุยและเฮ่อเฟิงมารับประทานอาหารร่วมกันคือไพรเวทรูมในห้องอาหารที่อยู่ชั้นสี่ของเรือสำราญ ในตอนนี้ โต๊ะอาหารที่เคยว่างเปล่ากลับเต็มไปด้วยอาหารจีนนานาชนิด


“พี่สี่ ผมจำได้ว่าพี่ไม่ค่อยชอบอาหารตะวันตกสักเท่าไหร่ ผมจึงให้พ่อครัวเตรียมอาหารที่พี่ชอบทานมาให้แทน ผมหวังว่ารสชาติของที่นี่จะเทียบกับที่บ้านได้นะครับ” เฮ่อเฟิงที่กำลังรอการมาถึงของลั่วฮุย เมื่อเห็นคนที่กำลังรอได้มาถึงแล้ว เขาจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา


“ได้เลย ขอบใจนะ” ลั่วฮุ่ยยิ้มตอบ


 


บนเรือสำราญแบบนี้ ถึงจะมีอาหารฟรี แต่ถ้าสั่งแบบนี้ ยังไงก็ต้องจ่ายเพิ่มอยู่แล้ว แต่เพราะเขาคือเฮ่อเฟิง ในฐานะบอสรายเล็กของเรือสำราญ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเงินสักแดง


หลังจากนั้น ลั่วฮุยก็ได้พูดคุยและลำลึกถึงความหลังกับเฮ่อเฟิง หลังจากนั้นเขาก็ได้แนะนำเฉินหลงให้รู้จักกับเฮ่อเฟิง


หลังจากที่รู้ว่าเฉินหลงเป็นน้องชายของลั่วฮุย เฮ่อเฟิงเองก็ให้ความสำคัญกับเฉินหลงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะก่อนที่เฉินหลงกับลั่วฮุยจะได้ล่องเรือด้วยกัน เฮ่อเฟิงได้มีทัศนคติที่ดีต่อเฉินหลงอยู่ก่อนแล้ว และตอนนี้ ถ้าเฉินหลงกับลั่วฮุยเป็นพี่น้องกันจริงๆ เขาก็ไม่กล้าละเลยและทำตัวไร้มารยาทต่ออีกฝ่าย เพราะตามความเข้าใจของเฮ่อเฟิง สำหรับคนอย่างลั่วฮุยแล้ว การที่จะนับใครสักคนเป็นพี่น้องของตนนั้นไม่ใช่เรื่งง่ายเลย


 


ในตอนที่เฉินหลงและลั่วฮุยกำลังรับประทานอาหารบนเรือสำราญ กู่เหวินที่ได้รับบาดเจ็บและหลบหนีจากเฉินหลง ก็ได้ทำการรักษาตัวอยู่บนเรือสำราญลำนี้เช่นกัน


ชายในวัยสี่สิบและหญิงสาวในวัยยี่สิบที่ดูเหมือนเจ้านายตัวน้อยกับหญิงสาวในวัยยี่สิบ กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆกู่เหวินเพื่อรอคำสั่งจากเขา


หลังจากที่กู่เหวินหลบหนีไปได้ เธอได้พบกับทั้งคู่ หลังจากนั้นเธอก็ใช้พลังเวทย์กับพวกเขาแล้ว เธอก็ได้ติดตามพวกเขามายังเรือสำราญ ไม่ว่าเฉินหลงจะมีความสามารถมากมายเพียงใด แต่เขาก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าตอนนี้เธอเองก็อยู่บนเรือสำราญเช่นกัน เธอจึงใช้โอกาสนี้ในการรักษาตัว


อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับทำให้เธอตกใจ ที่รู้ว่าเฉินหลงเองก็อยู่บนเรือสำราญลำนี้เช่นกัน


ในทำนองเดียวกัน ไม่นานบนเรือสำราญลำนี้ก็ดูครึกครื้นมากกว่าเก่า


 


เมื่อทานดินเนอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินหลงกับลั่วฮุยก็พากันไปเดินเล่นบนเรือสำราญ


คนทั้งห้ารวมถึงเฉินหลงได้เดินมาถึงดาดฟ้าเป็นสถานที่แรก ที่นี่มีสระว่ายน้ำแบบเกมพูลขนาดใหญ่สองสระ สระว่ายน้ำแบบเวิร์ลพูลสองสระ เซิฟพูล สนามบาสเก็ตบอล กำแพงปีนหน้าผา สนามกอล์ฟขนาดเล็ก และสิ่งอำนวยความสะดวกรูปแบบอื่นอยู่บนดาดฟ้า เมื่อได้เห็นสิ่งอำนวยความสะดวกพวกนี้แล้ว พวกเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่บนฝั่งและได้มาที่เกมปาร์ค


 


หลังจากที่เดินชมจนหนำใจแล้ว พวกเขาจึงเดินลงไปข้างล่างเพื่อไปยังสถานที่ต่อไป ข้างล่างมีถนนช้อปปิ้งที่มีรถเก่า ทั้งสองฝั่งถนนช้อปปิ้งมีร้านค้าต่างๆมากมาย ทั้งสินค้าแบรนด์ดัง และลักชัวรี่กู๊ด รวมไปถึงร้านอาหารและร้านกาแฟ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่คุณสามารถพบเจอร้านต่างๆที่ตั้งอยู่ในเมืองได้ ร้านทุกร้านก็จะถูกนำมาเปิดขายบนเรือสำราญลำนี้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุด แขกทุกคนที่อยู่บนเรือสำราญยังมีความต้องการที่จะใช้จ่ายเงินของตัวเองอยู่ และถ้าพวกเขาจะต้องใช้เงินแล้ว พวกเขาก็ควรได้รับความสุขและความเพลิดเพลินที่ดีที่สุด


เมื่อหญิงสาวทั้งสามได้เห็นร้านค้าต่างๆ เลือดนักช้อปในกายของพวกเธอก็เริ่มไหลเวียน


 


ทางด้านเฉินหลงกับลั่วฮุยก็ได้มีส่วนร่วมในการช้อปครั้งนี้เช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนได้รับสิทธิพิเศษให้เป็นคนหอบเสื้อผ้าของหญิงสาวทั้งสามคน เรื่องนี้เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเธอ แต่นอกจากหญิงสาวทั้งสามคนจะซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองแล้ว พวกเธอยังได้ซื้อเสื้อผ้าให้พวกเขาด้วยเช่นกัน อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยนึง


เดิมที ในตอนที่เขารู้ว่าหญิงสาวทั้งสามคนกำลังจะไปช้อปปิ้ง เฉินหลงก็พร้อมที่จะสรรหาข้ออ้างต่างๆนาๆเพื่อหนีจากพวกเธอ แต่เพราะลั่วฮุยได้มองเขาด้วยสายตาที่ ‘น่าสงสาร’ แบบนั้นแล้ว ทันใดนั้นแผนการชั่วร้ายของเฉินหลงก็ได้พังไม่เป็นท่า ถือซะว่าเห็นแก่พี่ลั่วก็แล้วกัน ครั้งนี้เขาจะยอมไปด้วยก็ได้


 


ว่ากันตามตรง ลั่วฮุยเองก็กลัวการไปช้อปปิ้งกับสาวๆเช่นกัน โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีนักช้อปถึงสามคน เขาจะต้องปวดหัวมากกว่าเดิมแน่นอน แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ภรรยาของเขามีสุขภาพแข็งแรงในการช้อปปิ้ง ลั่วฮุยไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเธอได้ และเมื่อเขาเห็นเธอมีความสุขแล้ว เขาเองก็มีความสุขเช่นกัน


“พี่สี่ บอกผมหน่อยสิครับว่าทำไมพลังของพวกเธอถึงได้ล้นเหลือขนาดนี้ อย่างกับไปฉีดเลือดไก่*มาเลย นี่พวกเธอไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยกันเลยรึไงนะ” สองชั่วโมงต่อมา เฉินหลงที่หอบถุงช้อปปิ้งเต็มมือ ได้พูดกับลั่วฮุยที่หิ้วถุงช้อปปิ้งในจำนวนที่เท่ากัน


 


ลั่วฮุยที่ทำอะไรไม่ได้ ตอบเขาว่า “ไม่มีทาง ในตอนที่คนเราจดจ่อกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วมีความสุขกับมันแล้ว พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงคำว่าเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย และตอนนี้พวกเธอก็คงจะเป็นแบบนี้ อดทนเอาละกันนะ น้องชาย ฉันเข้าใจความรู้สึกของนายดี…”


ด้วยเหตุนั้น ลั่วฮุยจึงยกเท้าขวาขึ้นเล็กน้อยและเปลี่ยนท่ายืนสักพัก เนื่องจากการเดินเป็นเวลานานๆ ทำให้เท้าของเขาเริ่มทนต่อไปไม่ไหว


“เฮ้อ…!” เฉินหลงถอดถอนใจ ถึงเขาจะไม่เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยกับทั้งสามสาวนี่แหละ


เมื่อถึงเวลาดินเนอร์ ทั้งสามสาวที่ติดการช้อปปิ้งมากก็ได้พาทั้งสองคนไปหาอะไรทาน


ในขณะที่กำลังทานอาหาร หญิงสาวทั้งสามคนก็เริ่มพูดคยกันเรื่องของที่ได้ช้อปปิ้งมาในวันนี้


 


อันหมินซีไม่ได้ช้อปปิ้งอย่างมีความสุขมาเกือบสิบปีแล้ว ความรู้สึกนี้ทำให้ชีวิตของเธอมีสีสันมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เธอมีความสุขกับคนที่เธอรักได้อีกด้วย


ในขณะที่ อันหมินซีหันไปมองลั่วฮุย เธอก็พบว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน พวกเขาทั้งสองได้สบตากันและส่งยิ้มให้กันและกัน ราวกับว่าทุกๆอย่างรอบกายพวกเขาตกอยู่ในความเงียบไปเรียบร้อยแล้ว


ในเวลาเดียวกัน เฉินหลงก็สังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคน ในตอนที่เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของพวกเขาแล้ว เฉินหลงก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็ทำอะไรดีๆเป็นเหมือนกันนะเนี่ย


เมื่อทานดินเนอร์เสร็จแล้ว เฉินหลงและคนอื่นๆก็ได้แยกย้ายกลับไปยังห้องของตน


 


“ตามที่ฉันรู้มา ตอนนี้เฉินหลงอยู่ที่เรือโพไซดอนแล้ว และเราสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว อันดับแรกพวกเราต้องไปที่เรือสำราญก่อน เมื่อเรือสำราญได้แล่นไปจนถึงทะเลหลวง พวกเราก็จะลงมือทำทันที”


“เข้าใจแล้ว”


 


……


“เฉินหลงอยู่กับลั่วฮุ่ยและก็ไอ้ตัวเหม็นนั่นอีกแล้ว เขาไม่เอาฉันถึงตายหรอก โอเค ในเมืองหลวง ฉันช่วยคุณไม่ได้ เว้นแต่ว่าคุณไปที่ทะเล นี่คือสิ่งที่คุณขอให้ฉันทำ ฉันอยากเที่ยวเล่นที่โพไซดอนสักสองสามวัน”


……


 


“เฟิงหยาน ฉันได้ข่าวมาว่าเฉินหลงอยู่ที่ โพไซดอน คุณอาจจะมีโอกาสได้เจอกับเขาทั้งตอนกลางวันและกลางคืน”


“เหอะ ลืมไปได้เลย ฉันไม่อยากเจอมัน แล้วฉันก็ฮุบธุรกิจของไอ้หมอนั่นไม่ได้ด้วย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าผู้ชายอวดดีอย่างหลินหนี่จะไปหาเรื่องเฉินหลงไหม” จางเฟิงหยานตอบด้วยท่าทางไม่แยแส


หลังจากที่ได้ต่อสู้กับเฉินหลงมาหลายครั้ง เขาก็ได้เข้าใจแล้วว่าลำพังแค่ตัวเขาคนเดียวไม่สามารถจัดการกับเฉินหลงได้ ในตอนนี้เขาควรใช้เวลาทั้งหมดที่มีเที่ยวเล่นให้เต็มที่ ในเมื่อเขาไม่มีภารกิจของสำนักที่จำเป็นต้องทำ เขาขอใช้ชีวิตในแบบของเจ้าชายยังจะดีซะกว่า


 


“หลินหนี่?” ทันทีที่หลานหลี่เย่ได้ยินชื่อของหลินหนี่ ทันใดนั้นเขาก็ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาในทันที


หากคุณต้องการบอกว่าสำนักแพทย์ยังมีตำแหน่งสูงมากในแปดสำนักแห่งวิถีเวทย์ ก็คงจะต้องเป็นคนที่ประสบภัยพิบัติสามอย่างและโรคหกโรคแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถมายังสำนักแพทย์ได้ ด้วยทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของเขา หลานหลี่เย่จึงได้รับความนิยมอย่างมาก แต่หลินหนี่กลับไม่ให้ความสนใจต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถทำให้หลานหลี่เย่กลายเป็นสุนัขเพราะความเข้าใจผิดเล็กน้อย ความสามารถของหลานหลี่เย่ถือได้ว่าเป็นระดับกำเนิด แต่อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าหลินหนี่แล้ว เขากลับไม่มีความสามารถในการสู้กลับ รวมถึงพลังและโอสถก็ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย


ด้วยเหตุนี้ ในความคิดของหลานหลี่เย่ หลินหนี่ได้ทำให้เขาต้องมีแผลในใจไปชั่วชีวิต


*ฉีดเลือดไก่ เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเปรยคนที่มีอาการคึก ตื่นเต้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม