ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 195-201

ตอนที่ 195 เสือซ่อนยิ้มเซียวจิ่ง

 

ลินดาเหลือบมองเย่ว์เย่ว์ แล้วหันไปมองเซียวจิ่ง พบว่าเขาทำหน้าบึ้ง เธออดถามเย่ว์เย่ว์เบาๆ ไม่ได้ “เย่ว์เย่ว์ เธอทำอะไรให้คุณเซียวจิ่งโกรธจริงๆ หรือ”  


 


 


ทำไมคุณเซียวจิ่งจึงมองเย่ว์เย่ว์ด้วยสายตาขุ่นเคืองเพียงคนเดียว ในขณะที่ยิ้มให้คนอื่น และเขาดูน่ากลัวเมื่อสายตาเขาขุ่นเคือง… ดูเหมือนว่าคุณเซียวจิ่งจะขึ้นบัญชีดำเย่ว์เย่ว์ 


 


 


ลินดาคิดเช่นนี้ในใจและมีรอยยิ้มบนใบหน้า เธอมองหน้าเย่ว์เย่ว์แล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทำงานไป พวกเราจะเข้าไปในห้องทำงานคุณเซียวจิ่ง เดี๋ยวกลับมาฉันจะบอกเธอเองว่าคุณเซียวจิ่งต้องการให้เราทำอะไร”  


 


 


เลขานุการอีกสองคนเร่งให้เธอรีบไป ลินดากล่าวว่า “โอเค” และรีบวิ่งไปสมทบกับพวกเธอ ในชั่วอึดใจกลุ่มเลขานุการก็มาอยู่ตรงหน้าเซียวจิ่งและทักทายเขา 


 


 


เซียวจิ่งมองบรรดาเลขานุการด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปที่ลินดาและออกคำสั่ง “โทรเรียกเลขานุการกลางมาด้วย” 


 


 


ลินดาโทรเรียกเลขานุการกลางทันที เซียวจิ่งมองหน้าพวกเธอทีละคนแล้วยิ้ม พยักหน้าและกล่าวว่า “เอาล่ะ เริ่มแนะนำตัวทีละคน เราทำงานร่วมกันมานาน แต่ผมยังไม่รู้จักชื่อพวกคุณเลย” 


 


 


เลขานุการกลางขมวดคิ้วจ้องมองเซียวจิ่งอย่างงุนงง แต่เซียวจิ่งไม่ได้มองเธอ เธอจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าสุด แล้วชี้ไปที่กลุ่มเลขานุการ แนะนำพวกเธอทีละคน จากซ้ายไปขวา “ลินดา แคเธอริน เซลินา เสี่ยวซิง และเหวินเหมยค่ะ” 


 


 


เซียวจิ่งมองดูพวกเธอทีละคนเริ่มจากลินดา ในที่สุดเขาก็พยักหน้า มองหน้าเลขานุการกลางแล้วเลิกคิ้วถาม “แมร์รี่ คุณยากดื่มกาแฟไหม”  


 


 


เลขานุการกลางแมร์รี่มองหน้าเซียวจิ่งด้วยความประหลาดใจ เขายิ้มแล้วกล่าวอีกว่า “ผมจะให้คนไปซื้อกาแฟให้ คุณอยากดื่มอะไร”  


 


 


เหล่าเลขานุการดูท่าทางประหลาดใจแต่ก็มีความสุข พวกเธอช่างโชคดีในวันนี้ คุณเซียวจิ่งชวนดื่มกาแฟ และถามด้วยว่าพวกเธอต้องการดื่มอะไร! เขาช่างใจดีจัง… 


 


 


“ฉันดื่มกาแฟได้จริงๆ หรือคะ” เซลินาถามขณะมองหน้าเซียวจิ่ง 


 


 


เซียวจิ่งยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าเซลินา “ใช่สิ คุณอยากดื่มกาแฟอะไรล่ะ” เขาดูอ่อนโยนมาก ราวกับกำลังพูดกับแฟนสาว 


 


 


เซลินาหน้าแดง “ฉันขอมอคค่าได้ไหมคะ” 


 


 


“ได้สิ” เซียวจิ่งมองไปที่เย่ว์เย่ว์ซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่บริเวณแผนกเลขานุการ เขาขมวดคิ้วและร้องเรียก “เย่ว์เย่ว์ มานี่ซิ” 


 


 


ทันทีที่ถูกเรียก เย่ว์เย่ว์ก็รู้สึกว่าหัวใจเธอวูบลงอย่างแรง เธอลุกขึ้นจากที่นั่งเดินไปหาเซียวจิ่ง ก้มศีรษะต่ำถามว่า “ท่านประธานเซียว มีอะไรให้ฉันทำคะ” 


 


 


เซียวจิ่งทำเสียงกระแอมในลำคอ ชี้ไปที่ลินดาแล้วกล่าวว่า “พวกเธออยากดื่มกาแฟ ไปซื้อมาให้พวกเธอ ลงบัญชีชื่อผมไว้” 


 


 


ในเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปมีพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน ซึ่งมีร้านกาแฟสตาร์บัคตั้งอยู่ด้วย อยู่ใกล้บริเวณนั้น เซียวจิ่งชอบกาแฟของร้านนี้ เขาจึงมักจะซื้อกาแฟด้วยการลงบัญชีไว้ 


 


 


เลขานุการแต่ละคนเริ่มสั่งกาแฟอย่างมีความสุข สรุปว่าพวกเธอสั่งคาปูชิโน่สองถ้วยและมอคค่าสามถ้วย เซียวจิ่งมองเลขานุการกลางแมร์รี่ หรี่ตาลงถามว่า “แมร์รี่ล่ะ คุณจะดื่มอะไร”  


 


 


แมร์รี่ตอบด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท “ดิฉันไม่ดื่มกาแฟ ขอบคุณค่ะ”  


 


 


เลขานุการทุกคนต่างอุทานว่าน่าเสียดาย แล้วกล่าวขอบคุณเย่ว์เย่ว์ ซึ่งยิ้มโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเธอก็มองเซียวจิ่ง และเซียวจิ่งกล่าวว่า “คุณซื้อของคุณมาด้วย ลงบัญชีผม” 


 


 


เย่ว์เย่ว์รีบโบกมือและส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันรับประทานอาหารกลางวันมากไปหน่อย เลยอิ่มมาก ดื่มกาแฟอีกไม่ไหวค่ะ” เธอรู้สึกว่าการดื่มกาแฟของท่านประธานเซียวจะทำให้ช่วงชีวิตเธอสั้นลง เธอจึงไม่ควรดื่มจะดีกว่า 


 


 


เซียวจิ่งยิ้มและบอกให้เธอรีบไปจัดการ เย่ว์เย่ว์รีบวิ่งไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว เซียวจิ่งมองเหล่าเลขานุการและยิ้มอย่างอ่อนโยน “พวกคุณทำงานของตัวเองเสร็จแล้วหรือ ผมเห็นพวกคุณยืนจับกลุ่มคุยกัน” 


 


 


เซลินายิ้ม “ค่ะ งานของฉันใกล้เสร็จแล้ว ฉันเลยมายืนคุยกับเพื่อนๆ เพื่อคลายเครียดค่ะ” 


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้า “อันที่จริงเป็นการดีนะที่จะคลายเครียดหลังเลิกงาน ไปนั่งพักที่ห้องทำงานผมก่อน ถึงยังไงตอนนี้พวกคุณก็ไม่มีอะไรทำ ไปนั่งรอกาแฟในนั้น” 


 


 


ด้วยหลงเสน่ห์ในความอ่อนโยนของเซียวจิ่ง เหล่าเลขานุการจึงรีบพยักหน้ารับ และวิ่งเข้าไปในห้องทำงานเขา เซียวจิ่งมองดูพวกเธอ ดวงตาเขาเปล่งประกายเยือกเย็น ในเวลาเดียวกันนั้นแมร์รี่ก็ร้องเรียกเซียวจิ่ง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านประธานเซียวคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันจะกลับไปทำงานนะคะ ควรมีคนปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ที่แผนกเลขานุการค่ะ”  


 


 


เซียวจิ่งชำเลืองมองแมร์รี่แล้วยิ้ม “แมร์รี่ งานเลขานุการของคุณยุ่งไหม คุณมีงานต้องทำมากมายเลยหรือ”  


 


 


“อ้อ ไม่หรอกค่ะ ไม่ยุ่งเลยค่ะ” แมร์รี่ยืนอยู่ด้วยท่าทางเคอะเขิน 


 


 


เซียวจิ่งเลิกคิ้วกล่าวอย่างใจเย็น “ถ้าคุณไม่ได้งานยุ่ง ไปที่ห้องทำงานผมด้วย พอดีผมมีอะไรจะขอให้คุณช่วยหน่อย” 


 


 


แมร์รี่มองหน้าเซียวจิ่งด้วยความสงสัย แต่เธอไม่พบสิ่งผิดปกติจากเซียวจิ่ง และไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร เธอจึงทำได้แค่พยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องทำงานเซียวจิ่ง ห้องทำงานเขาใหญ่มาก แม้จะมีเลขานุการห้าคนเข้าไปอยู่ในนั้น แต่ก็ยังดูกว้างขวางมาก เมื่อเซียวจิ่งเข้าไปในห้องและเห็นบรรดาเลขานุการยืนอยู่กลางห้อง เขาก็ชี้ไปที่โซฟาแล้วกล่าวว่า “นั่งก่อนสิ กาแฟยังไม่มา รอสักครู่ในระหว่างที่ผมจัดการกับเอกสาร”  


 


 


มีเอกสารเพียงบางส่วนอยู่บนโต๊ะทำงานเขา เอกสารอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดหายไป เหล่าเลขานุการคิดว่าท่านประธานเซียวอาจนำเอกสารเหล่านั้นไปเก็บไว้ในตู้ เพราะเอกสารมีจำนวนมากเกินกว่าจะจัดการได้ 


 


 


เหล่าเลขานุการสงสัยในความสามารถของเซียวจิ่งอยู่ในใจ ขณะนั่งลงบนโซฟาหนังสีดำในห้องทำงานเขา เซียวจิ่งเงยหน้าขึ้นมองพวกเธอ แล้วก้มศีรษะลงจัดการกับเอกสารในมือ 


 


 


ห้านาทีต่อมาประตูห้องทำงานเซียวจิ่งก็เปิดออก เซียวจิ่งวางปากกา ลุกขึ้นยืน แล้วติดกระดุมเสื้อสูท ท่วงท่าการเคลื่อนไหวนั้นหล่อมาก จนเลขานุการทุกคนหายใจเข้าลึกๆ ท่านประธานเซียวช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลเหลือเกิน เวลาที่เขายุ่งอยู่กับงาน! 


 


 


เขาดูหล่อมาก ขณะกำลังอ่านเอกสาร! 


 


 


เย่ว์เย่ว์ถือกาแฟเดินเข้ามา เธอมองไปที่เซียวจิ่ง เซียวจิ่งส่งสัญญาณให้เธอแจกจ่ายกาแฟให้เหล่าเลขานุการ และเดินออกมาจากด้านหลังโต๊ะ เลขานุการหยิบกาแฟและขอบคุณเซียวจิ่ง อย่างไรก็ตามเซียวจิ่งไม่ตอบพวกเขา แต่นั่งลงบนเก้าอี้รับแขก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยกขาไขว่ห้าง แล้วถามด้วยสายตาเยือกเย็น “พวกคุณอยากทานขนมหวานด้วยไหม หรืออยากได้เมล็ดแตงโม หรือของว่างไหม” 


 


 


บรรดาเลขานุการรวมถึงเลขานุการกลางและเย่ว์เย่ว์ ต่างมองเซียวจิ่งด้วยความประหลาดใจ แต่ดูไม่เหมือนว่าเขาล้อเล่นเลย เขามองไปที่เลขานุการกลางอย่างเย็นชา ถามซ้ำอีกครั้งว่า “คุณไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือ ในเมื่อพวกคุณอยากพักผ่อนคลายเครียด ก็ควรพักผ่อนให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขนมเป็นของคู่กับกาแฟ และเมล็ดแตงโมก็เป็นของว่างที่ต้องมีไม่ใช่หรือ แล้วจะดีกว่าไหมถ้าได้ดูหนังสักเรื่อง กินมันฝรั่งทอดกับของว่างไปด้วย… เอ้า…เงียบทำไมล่ะ” 


 


 


เหล่าเลขานุการตัวแข็งทื่อ ขณะถือแก้วกาแฟยู่ในมือ 


 


 


เย่ว์เย่ว์เป็นคนแรกที่เข้าใจในความหมายของเซียวจิ่ง เธอพึมพำแด่เลขานุการคนอื่นๆ รวมถึงเลขานุการกลางอยู่ในใจว่า “พักผ่อนอย่างสงบนะทุกคน”  

 

 


ตอนที่ 196 เซียวจิ่งลิ้นใบมีดโกน

 

แน่นอนทีเดียว ท่านประธานเซียวจะไม่เชิญเลขานุการทั้งแผนกมาที่ห้องทำงานเขาเพื่อดื่มกาแฟ โดยไม่มีเหตุผล! หากเขาต้องการซื้อกาแฟเลี้ยงพวกเธอ เขาก็สามารถส่งกาแฟไปให้พวกเธอที่แผนกเลขานุการได้ แต่นี่ดูเหมือนเป็น ‘งานเลี้ยงที่หงเหมิน’ ! [1] เขาต้องมีแผนการอะไรบางอย่างที่ร้ายกาจแน่! 


 


 


หึ หึ! มีเพียงพวกเธอเหล่านี้ ผู้ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านประธานเซียวเท่านั้น ที่ถูกหลอกได้ง่ายดายด้วยภาพชายหนุ่มผู้ใจดี พวกเธอถึงจุดจบแล้วอย่างแน่นอน… 


 


 


ความคิดแรกที่เข้ามาในใจเย่ว์เย่ว์คือรีบหนี แต่ก่อนที่เธอจะได้ไปถึงประตูเซียวจิ่งก็เรียกเธอไว้ เย่ว์เย่ว์หันกลับมามองเซียวจิ่งอย่างระแวดระวัง และให้กำลังใจตัวเองในใจ เธอรู้ดีว่าเธอทำงานหนักมากทุกวันนี้ และไม่เคยอู้งานเลย เธอไม่เคยร่วมซุบซิบนินทากับคนอื่น เธออุทิศตนเพื่องานจริงๆ ไม่มีเลขานุการคนไหนอุทิศตัวให้กับการทำงานมากไปกว่าเธออีกแล้ว จริงไหม! 


 


 


เธอมองเซียวจิ่งอย่างขลาดกลัว “ท่านประธานเซียว มีอะไรให้ฉันทำอีกหรือคะ” 


 


 


เซียวจิ่งหันกลับมาและชี้ไปที่เอกสารบางส่วนบนโต๊ะทำงาน พร้อมกับกล่าวด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “เอกสารพวกนั้นผมตรวจสอบแล้ว นำกลับไปให้ผู้จัดการแผนกที่เกี่ยวข้อง” 


 


 


เย่ว์เย่ว์รีบไปหยิบเอกสาร เลขานุการคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นยืน เตรียมพร้อมจะฉวยโอกาสที่เย่ว์เย่ว์ออกจากห้องเพื่อออกไปด้วย “ท่านประธานเซียวคะ พวกเราต้องไปแล้วล่ะค่ะ” 


 


 


“ผมบอกให้ไปได้แล้วหรือ” เซียวจิ่งหันกลับมา ดวงตาเขาเปล่งประกายเยือกเย็น แมร์รี่ขมวดคิ้วพร้อมกับลุกขึ้นยืนถามว่า “ท่านประธานเซียว มีอะไรให้พวกเราทำอีกหรือคะ” 


 


 


“มีอะไรให้ทำอีก อย่างนั้นหรือ” เซียวจิ่งคำราม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มีสิ แน่นอน มีมากมายเต็มไปหมด!”  


 


 


เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน มองไปที่กองเอกสารบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ แล้วชี้ไปที่ลินดา “คุณมายกเอกสารกองนี้ไป” 


 


 


ประกายความประหลาดใจไหวระริกอยู่ในดวงตาลินดา เธอยืนนิ่งเป็นใบ้อยู่กับที่ ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เซียวจิ่งเลิกคิ้วถามว่า “คุณเป็นคนยกเอกสารพวกนี้มาให้ผม…ใช่ไหม เป็นอะไรไปล่ะ ตอนนี้คุณยกไม่ไหวแล้วหรือ” 


 


 


ลินดารีบวางถ้วยกาแฟ แล้วเดินไปยกกองเอกสารขนาดใหญ่ เซียวจิ่งกล่าวว่า “ยกไปวางไว้ที่พื้นข้างโซฟา” 


 


 


แมร์รี่มองเซียวจิ่งและขมวดคิ้วถาม “ท่านประธานเซียว เกิดอะไรขึ้นคะ เอกสารพวกนี้มีอะไรไม่ถูกต้องหรือคะ” 


 


 


“พวกนี้เป็นแค่เศษขยะ ทำไมถึงจะวางบนพื้นไม่ได้ แมร์รี่ คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่าเราจะทิ้งขยะที่ไหน” เซียวจิ่งเดินล้วงกระเป๋า ชำเลืองมองไปที่กองแฟ้มบนพื้น และไปนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง 


 


 


ทันใดนั้นหัวใจแมร์รี่ก็หล่นวูบ ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร เซียวจิ่งก็กล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ขยะควรถูกโยนลงถังขยะ และส่งไปลานทิ้งขยะเพื่อเผาทิ้ง! คุณคิดว่าห้องทำงานผมเป็นลานทิ้งขยะหรือไง เอากองขยะพวกนี้เข้ามาในห้องทำงานผมได้ยังไง คุณคิดจริงๆ หรือว่าผมตาบอดเกินกว่าจะเห็นข้อผิดพลาดในเอกสารพวกนี้” 


 


 


เมื่อถึงตอนนี้เขาก็หยิบเอกสารสองฉบับขึ้นมา โยนลงตรงหน้าเซลินา “เซลินา หัวหน้าแผนกวิศวกรรมให้คุณเท่าไหร่ หรือว่าคุณสองคนเป็นสามีและภรรยากัน” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “คุณส่งข้อเสนอแบบนี้มาให้ผมได้ยังไง คุณคิดว่าผมตาบอดหรือ หรือว่าคุณตาบอดเกินกว่าจะเห็นข้อบกพร่องในเอกสารนี้”  


 


 


เซลินาหน้าซีด ก้มศีรษะลงอย่างอับอาย ไม่กล้าพูดอะไรเลย เซียวจิ่งมองหน้าเซลินาแล้วเหน็บแนม “ฝ่ายการเงินซื้อขนมให้คุณกินหรือ คุณถึงได้มองข้ามปัญหาพวกนี้ คุณมองไม่เห็นช่องโหว่ขนาดใหญ่แบบนี้ได้ยังไง หรือที่คุณส่งรายงานนี้มาให้ผมเพราะคุณสบประมาทผม แล้วคุณยังจะมีเวลาดื่มกาแฟและซุบซิบนินทาอีกอย่างนั้นหรือ คุณทำงานของตัวเองเสร็จหรือยัง ถ้าคุณอ่านตัวเลขพวกนี้ไม่ออก ผมจะได้จ่ายค่าเล่าเรียนให้คุณกลับไปเรียนโรงเรียนประถม ให้คุณได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน!” 


 


 


ใบหน้าเซลินาซีดเผือดอย่างน่ากลัว ขณะฟังคำพูดของเซียวจิ่งที่สื่อความหมายมากมายแมร์รี่ก็ขมวดคิ้ว “ท่านประธานเซียวคะ คุณอย่าใจร้ายกับพวกเราอย่างนี้เลยค่ะ เราไม่ได้…” 


 


 


“หุบปาก!” เซียวจิ่งส่งสายตาดุดันไปที่เธอ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ผมรู้ว่าคนเราทำผิดกันได้ แต่พวกคุณไม่ได้ตรวจสอบเอกสารเหล่านี้เลยก่อนจะส่งขึ้นมา คุณจัดการกับคนของคุณยังไง ถ้าคุณไม่มีความสามารถจริงๆ ผมนี่แหละมีความสามารถอนุมัติจดหมายลาออกของคุณได้ทุกเวลา!”  


 


 


หัวใจแมร์รี่หายวาบ เธอมองเซียวจิ่งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เธอเป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัทนี้ เธอทำงานในเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปมาตั้งแต่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และตอนนี้ผ่านมาสิบปีแล้ว เซียวจิ่งพูดแบบนี้กับเธอได้อย่างไร เซียวจิ่งมองหน้าแมร์รี่ แล้วเย้ยหยันอย่างเยือกเย็น “คุณคิดว่าคุณทำผิดไหม คุณควรเป็นตัวอย่างที่ดี! แล้วดูสิ ลูกน้องคุณทำอะไรกันบ้างวันๆ หนึ่ง! พูดคุย! ซุบซิบนินทา! ช่างนินทากันทุกคน! แม้แต่ระดับหัวหน้าในบริษัทก็ยังร่วมกลุ่มนินทา! ในเมื่อพวกคุณชอบนินทากันนักก็ไปเป็นปาปารัสซี่ดีกว่า อย่ามาแฝงอยู่ในบริษัทนี้เหมือนปลวกแฝงอยู่ในตู้เสื้อผ้าเลย!”  


 


 


เซียวจิ่งร่ายยาวโดยไม่หยุดพัก จากนั้นก็หยิบเอกสารขึ้นมาโยนให้ลินดา “ดื่มกาแฟงั้นหรือ คุณยังมีหน้าและมีสมองที่คิดจะดื่มกาแฟอีกหรือ คุณแน่ใจหรือว่ารายงานการสำรวจตลาดนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดเป็นคนเขียน แม้แต่นักเรียนประถมยังเขียนรายงานได้ดีกว่านี้เลย! หรือคุณเองก็ยังไม่จบชั้นประถม” 


 


 


ลินดาคอหด เซียวจิ่งพ่นเสียงคำรามออกทางจมูกอย่างเยือกเย็น และโยนเอกสารทั้งหมดไปที่เลขานุการคนอื่นๆ “เสี่ยวซิง แคเธอริน เหวินเหมย คุณเป็นสายลับที่บริษัทอื่นส่งมาหรือเปล่า พวกเขาจ่ายค่าจ้างพวกคุณเท่าไรที่ให้มาทำงานแบบนี้ พวกเขาต้องกล้ามากขนาดไหนถึงจ้างพวกคุณมาทำแบบนี้ได้ พวกคุณคิดจริงๆ หรือว่าเลขานุการมีหน้าที่เสิร์ฟกับรินน้ำชาเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมผมต้องจ้างเลขานุการ ผมจ้างพนักงานเสิร์ฟมืออาชีพมาไม่ดีกว่าหรือ!” 


 


 


บรรดาเลขานุการมองเซียวจิ่งราวกับสัตว์บาดเจ็บ เมื่อเห็นท่าทางรู้สึกผิดของพวกเธอเซียวจิ่งก็คำรามออกมา “รู้สึกผิดหรือ หรือว่าโกรธ อยากลาออกเดี๋ยวนี้เลยไหม ดี… ถ้าพวกคุณกล้ายื่นจดหมายลาออกบนโต๊ะผม ผมก็กล้าอนุมัติ…” ด้วยสายตาเย็นยะเยือกมองไปที่ถ้วยกาแฟที่พวกเธอถือไว้ในมือ “ผมอ่านเอกสารที่พวกคุณส่งมาทั้งสามวัน เสร็จในเวลาแค่ยี่สิบนาที และผมพบปัญหาทั้งหมดในนั้น บอกผมสิ ผมยังต้องจ้างพวกคุณมาเพื่ออะไร”  


 


 


เลขานุการส่วนใหญ่มักขึ้นแท่นโดยได้รับการยกย่องจากพนักงานแผนกอื่นๆ ในบริษัท กลายเป็นความภาคภูมิใจและทะนงตน หลังจากถูกเซียวจิ่งดุด่าพวกเธอก็รู้สึกถึงความผิดและโกรธเขามาก บางทีเขาอาจไม่ได้อ่านเอกสารมากมายหรอก… 


 


 


แต่พวกเธอไม่กล้าพูดอะไร! 


 


 


เมื่อเห็นว่าพวกเธอยังคงนิ่งเงียบ เซียวจิ่งก็ถามแมร์รี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “คุณตรวจสอบเอกสารก่อนส่งมาให้ผมหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่ได้ตรวจสอบค่ะ” แมร์รี่กล่าว “งานของดิฉันวันนี้ค่อนข้างเยอะ ดิฉันจึงไม่ได้ตรวจสอบเอกสาร” 


 


 


“ตอบแค่ว่าคุณไม่ได้ตรวจสอบก็พอ ไม่ต้องหาข้อแก้ตัวมากมาย งานคุณหนักกว่างานผมด้วยหรือ”  


 


 


แมร์รี่พูดไม่ออก เซียวจิ่งชี้ไปที่กองแฟ้มเอกสารบนพื้นและมองไปที่เลขานุการคนอื่นๆ “ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่า พวกคุณได้ตรวจสอบเอกสารพวกนี้ด้วยตัวเอง” 


 


 


ไม่มีเลขานุการคนไหนกล้าพูด เซียวจิ่งเย้ยหยัน “เอาเอกสารพวกนี้ไปทิ้งลงถังขยะให้หมด และหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกผมจะไม่ดุด่าพวกคุณ แต่พวกคุณทุกคนจะถูกไล่ออก! แม้ว่าพวกคุณจะไม่สน แต่ก็ควรคิดให้ดี ถ้าคุณถูกไล่ออกเพราะประสิทธิภาพการทำงานต่ำ คุณคิดว่าบริษัทต่อไปของคุณเขาจะปฏิบัติต่อคุณเป็นอย่างดีงั้นหรือ”  


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] งานเลี้ยงที่หงเหมิน เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล ในสงครามภายหลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน เป็นการวางแผนจัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อลวงฝ่ายตรงกันข้ามมาลอบสังหาร  

 

 


ตอนที่ 197 ปัญหาถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว

 

เลขานุการทุกคนออกจากห้องทำงานเซียวจิ่งด้วยดวงตาแดงก่ำ เซลินาและลินดาผู้ถูกดุมากที่สุดร้องไห้แล้วด้วยซ้ำ แม้แต่เลขานุการกลางก็ดูท่าทางแย่มาก แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ 


 


 


เย่ว์เย่ว์ยืนอยู่ข้างนอก มองดูพวกเธออย่างไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร เธอทำได้แค่เม้มปากนิ่งและทำงานต่อไป อย่างไรก็ตามในสายตาเลขานุการคนอื่นเธอดูเฉยเมยไม่แยแส บางคนถึงกับคิดว่าเย่ว์เย่ว์สะใจในความโชคร้ายของพวกเธอ ลินดาเดินเข้าไปหาเย่ว์เย่ว์ด้วยความโกรธและจ้องหน้าเธอ “เธอรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือเธอแค่อยากเห็นพวกเราเป็นตัวตลก เย่ว์เย่ว์ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเธอเป็นคนแบบนี้!” เธอกล่าวหาด้วยน้ำเสียงเย็นชา 


 


 


เย่ว์เย่ว์ขมวดคิ้วและกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “ฉันบอกพวกเธอแล้วว่าอย่าส่งเอกสารที่ยังไม่ได้ตรวจสอบเข้าไปให้เขา แต่พวกเธอไม่เชื่อฉัน! ท่านประธานเซียวไม่ใช่คนที่เข้าหาได้ง่ายๆ อย่างที่พวกเธอจินตนาการ และเขาไม่ใช่คนโง่ ถ้าเขาไม่มีความสามารถจริงๆ อย่างที่พวกเธอคิด เขาจะทำงานในเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปได้อย่างไร แทนที่จะทำในเซียวกรุป บริษัทของตระกูลเขา” 


 


 


เลขานุการคนอื่นๆ อยากแย้งเธอ แต่แมร์รี่ห้ามไว้โดยกล่าวว่า “พวกเธอยังโดนด่าไม่พอหรือไง พวกเธอทำผิด แต่ฉันต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ เย่ว์เย่ว์พูดถูก เราประเมินความสามารถท่านประธานเซียวต่ำเกินไป และประเมินอารมณ์เขาสูงเกินไป ประธานเซียวสามารถช่วยให้ประธานเฉียวหลุดพ้นจากปัญหาในปีนั้นได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ธรรมดา จากนี้ไปจงทำงานให้หนัก! ถ้าใครยังขืนกล้าจับกลุ่มคุยกันที่ห้องพักทานอาหาร ยื่นจดหมายลาออกมาที่ฉันได้เลย และเตรียมหางานใหม่ด้วย!” 


 


 


จากนั้นเธอก็มองไปที่เย่ว์เย่ว์ และกล่าวโดยไม่แสดงออกใดๆ ทางสีหน้า “เย่ว์เย่ว์ทำได้ดีมาก พยายามต่อไป” แล้วหันไปมองเลขานุการคนอื่นๆ “พวกเธอควรเรียนรู้จากเย่ว์เย่ว์! พวกเธอทำไม่ได้แม้แต่การตรวจสอบเอกสารอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ทำได้ตามความคาดหวังของท่านประธานเซียว ก็ส่งจดหมายลาออกและกลับไปเรียนโรงเรียนประถมซะ” 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเลขานุการกลาง เย่ว์เย่ว์ก็ไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเลขานุการกลางจะชื่นชมเธอ แต่ก็เป็นการสร้างศัตรูให้กับเธอ คราวนี้ถ้าเธอมีศัตรูมากมาย เธอจะทำงานอย่างสงบสุขในแผนกเลขานุการได้อย่างไรในอนาคต แต่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เธอเตือนและแนะนำให้เลขานุการกลางห้ามทุกคนแล้ว แต่เลขานุการกลางไม่สนใจเธอนี่ ใช่ไหม นี่เป็นความผิดของเธอหรือ 


 


 


เซลิน่าโดนดุหนักที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดของเลขานุการกลางเธอก็เอ่ยขึ้นทันที “เราไม่ดีเท่าเย่ว์เย่ว์ เราทุกคนโดนดุ แต่เย่ว์เย่ว์ไม่โดน เราไม่มีความสามารถเท่าเย่ว์เย่ว์ ในเมื่อเย่ว์เย่ว์เก่งมาก ก็ให้เธอตรวจสอบเอกสารทั้งหมดนี้สิ” 


 


 


เย่ว์เย่ว์ขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความโกรธ “ฉันต้องทำงานของฉัน นอกจากนี้นั่นไม่ใช่ความผิดของฉัน เธอไม่ตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง แล้วยังจะกล้าดื่มกาแฟของท่านประธานเซียวอีก ฉันบอกเธอแล้วว่าท่านประธานเซียวไม่ได้ใจดีอย่างที่เธอคิดกันไปเอง แต่เธอไม่เชื่อฉัน ตอนนี้เธอมาว่าฉันได้ยังไง” 


 


 


เหวินเหมยเหน็บแนม “ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราถึงโดนดุกันหมด ยกเว้นเธอ เป็นเพราะเธอมีเรื่องชู้สาวกับท่านประธานเซียวใช่ไหม”  


 


 


“อย่ามาหยาบคายอย่างนี้นะ ครั้งก่อนฉันถูกท่านประธานเซียวตำหนิเพราะฉันผิดพลาดในการทำงาน ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่กล้าละเลยงานของฉัน!” เย่ว์เย่ว์หน้าบึ้ง ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนพวกนี้มีบุคลิกภาพและการกระทำที่น่ารังเกียจขนาดนี้ 


 


 


“โดนดุอย่างนั้นเหรอ ฉันคิดว่าหลายๆ ครั้งเขาเอาใจเธอเสียอีก!” เสี่ยวซิงจ้องหน้าเย่ว์เย่ว์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “อย่ามาเล่นบทผู้บริสุทธิ์ต่อหน้าพวกเราเลย พวกเราสิบริสุทธิ์ที่สุด เราถูกดุด่าโดยไม่มีเหตุผล และ…” 


 


 


“บอกผมมาซิ เรื่องชู้สาวอะไรที่ผมมีต่อเธอ ผมเอาใจเธอยังไง” เสียงเซียวจิ่งดังขึ้น เขาโน้มตัวเข้าหาประตูกระจกของห้องทำงานแผนกเลขานุการด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก “ถ้าคุณหาหลักฐานมาไม่ได้ในวันนี้ ผมจะให้ฝ่ายกฎหมายฟ้องคุณ ข้อหาทำลายชื่อเสียงและใส่ร้ายป้ายสี” เซียวจิ่งโบกโทรศัพท์มือถือในมือไปมา เขาบันทึกคำพูดของเหวินเหมยและเสี่ยวซิงทั้งหมดที่พูดเมื่อกี้ไว้ 


 


 


ใบหน้าแมร์รี่สลดลงทันที เซียวจิ่งมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อกี้เธอมัวแต่สนใจเย่ว์เย่ว์ ไม่ได้สังเกตเห็นเซียวจิ่งเลย!  


 


 


“ท่านประธานเซียว… เราแค่ล้อเล่น…” เหวินเหมยพูดตะกุกตะกัก “เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” 


 


 


“คุณไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น… งั้นหรือ” เซียวจิ่งมองไปทางพวกเธออย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ผมเพิ่งบอกพวกคุณว่าห้ามรวมหัวกันนินทา พวกคุณลืมได้รวดเร็วอย่างนี้เลยหรือ” จากนั้นเซียวจิ่งก็กล่าวต่อไปเสียงแข็งว่า “ในเมื่อพวกคุณชอบนินทามากนัก ก็ออกไปให้พ้นจากที่นี่ ยกเว้น…” เซียวจิ่งมองเย่ว์เย่ว์และถามว่า “คุณชื่ออะไร” 


 


 


“ฉันชื่ออันเฮาค่ะ แต่ทุกคนเรียกฉันว่าเย่ว์เย่ว์” เซียวจิ่งพยักหน้าแล้วมองไปที่เลขานุการคนอื่นๆ “ยกเว้นอันเฮา ทุกคนถูกไล่ออก! เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป ไม่สามารถจ้างคนอย่างพวกคุณได้ ออกไปให้พ้นจากที่นี่ ได้ยินไหม… 


 


 


…นอกจากนี้ เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปจะฟ้องร้องพวกคุณข้อหาทำผิดกฎระเบียบของบริษัท” เมื่อจบคำพูดเซียวจิ่งก็หันหลังกลับและเดินไปห้องทำงานเขา เลขานุการคนอื่นๆ รวมทั้งเลขานุการกลางมองตามเซียงจิ่งพร้อมกับอ้าปากค้าง และรีบวิ่งตามเขาไปอย่างรวดเร็ว แมร์รี่วิ่งไปยืนขวางทางเขาและกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ “ท่านประธานเซียวคะ ดิฉันเป็นเลขานุการกลางของสำนักงานท่านประธาน คุณไม่สามารถไล่ดิฉันออกอย่างนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดคุณต้องให้เหตุผลที่สมควรค่ะ”  


 


 


“ทำผิดกฎระเบียบของบริษัทยังไม่เพียงพออีกหรือ หรือจะให้ผมแสดงหลักฐานคดีรับสินบน” เซียวจิ่งเย้ยหยัน และกล่าวต่อไปอย่างโหดเ**้ยมว่า “ออกไปให้พ้นจากที่นี่ แล้วจงไปอย่างเงียบๆ จะดีกว่านะ อย่าพยายามมีเล่ห์กลใดๆ ไม่อย่างนั้นผมจะทำให้คุณเข้าไปอยู่ในคุกเป็นเวลาหลายปี ด้วยหลักฐานที่ผมมีอยู่ในมือ คุณก็รู้ดีใช่ไหม ว่าคุณทำมาหลายปีแล้ว” 


 


 


บรรดาเลขานุการต่างตกใจและก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว พวกเธอไม่กล้าเดินตามเซียวจิ่งอีกต่อไป อันเฮายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ตรงที่ทุกคนทิ้งเธอไว้ ด้วยความงุนงงอย่างแท้จริง เวลาเพิ่งผ่านไปชั่วโมงกว่า และตอนนี้เหลือเพียงเธอคนเดียวในแผนกเลขานุการจริงๆ หรือ แม้แต่เลขานุการกลางก็ถูกไล่ออก! 


 


 


เซียวจิ่งเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานและเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาเฉียวเหลียง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ปัญหาถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นายจัดคนของนายเข้ามาในแผนกเลขานุการได้เลย จากนี้ไปแผนกเลขานุการจะอยู่ในมือเรา… 


 


 


…ฉันสอบประวัติอันเฮาดูแล้ว เธอไม่มีภูมิหลังอะไรเป็นพิเศษ และไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับคนพวกนั้น” เซียวจิ่งมองภาพในจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เลิกคิ้วขึ้นและยิ้มเล็กน้อย “นายมั่นใจได้แน่นอน ปัญหาเรื่องนี้ไม่มีแล้ว และฉันจะจับตาดูรองประธานเอง… ใช่… นายจะกลับมาเมื่อไร” 


 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง เฉียวเหลียงตอบมาว่า “ฉันอยู่สวีเดน” 


 


 


เซียวจิ่งโกรธขึ้นมาทันทีเพราะความคาดไม่ถึง เขาตะโกนออกมา “เฉียวเหลียง ไอ้บ้าเอ๋ย!” ทุกครั้งที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในบริษัท ไอ้บ้านี่ไม่เคยอยู่เลย!   

 

 


ตอนที่ 198 เร่งเร้าให้เธอแต่งงาน

 

ทางอีกด้านหนึ่ง ถังซีนอนอยู่บนเตียง ดูข่าวไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีอะไรทำ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้นมอง ขณะเดียวกันก็มีคนเคาะประตูห้อง ถังซีเลิกคิ้ว ครอบครัวเธอมักไม่เคาะประตู แต่จะเข้ามาในห้องโดยตรง ถังซีเอ่ยขึ้น “เข้ามาค่ะ”


 


 


ประตูเปิดออก และพ่อบ้านตระกูลเฉียวก็เข็นรถเข็นของเฉียวอวี่ซินเข้ามา ถังซีรีบโบกมือให้และถามว่า “คุณป้าเฉียว คุณป้ามาที่นี่ได้ยังไงคะ”


 


 


เฉียวอวี่ซินขอให้พ่อบ้านเข็นนางไปที่หน้าเตียงคนไข้ของถังซี นางยิ้ม จับมือถังซี “ป้าเพิ่งได้ยินจากอาเหลียงว่าหนูเข้าโรงพยาบาล ทำไมหนูถึงทำให้ตัวเองเจ็บอีกแล้ว ถึงหนูจะออกจากโรงพยาบาลก่อนป้า หนูก็เข้ามานอนโรงพยาบาลสองครั้งแล้วนะหลังจากนั้น และในช่วงเวลาใกล้ๆ กันด้วย หนูกำลังมีเคราะห์หรือเปล่า เราไปวัดหลิงอันกันเถอะ ไปสวดมนต์ขอพรจากพระท่าน หลังจากหนูออกจากโรงพยาบาล ดีไหมจ๊ะ”


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าเหตุที่คุณป้าเฉียวมาในวันนี้ ท่านตั้งใจจะมาพูดเรื่องนี้กับเธอ


 


 


“คุณป้าคะ จะเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปสำหรับคุณป้านะคะ เดี๋ยวหนูไปเองก็ได้ค่ะ ไม่สะดวกสำหรับคุณป้าเลยค่ะที่จะไปวัด” ถังซียิ้มอย่างจริงใจ เธอไม่เชื่อในศาสนามาตั้งแต่เกิด เธอจะไปวัดเพื่อสวดมนต์ขอพรจากพระได้อย่างไร เธอกลัวว่าพระท่านอาจขุ่นเคืองจากความไม่เลื่อมใสศรัทธาของเธอน่ะสิ


 


 


เฉียวอวี่ซินยิ้มและกล่าวว่า “ป้ารู้ว่าหนูเป็นห่วงป้าเสมอ อาเหลียงเลือกคนถูก หนูเป็นผู้หญิงที่ดี ป้าดีใจจริงๆ ที่ป้ารักผู้หญิงที่อาเหลียงรัก เธอสองคนจะแต่งงานกันหลังจากหนูเรียนจบมหาวิทยาลัยใช่ไหมจ๊ะ” จากนั้นนางก็พูดต่อ “ตลอดหลายปีมานี้ที่บ้านป้ามีแค่เราสองคนแม่ลูก แล้วป้าก็อยู่ในโรงพยาบาลมานานหลายปี อาเหลียงจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวเสมอ เขาต้องโดดเดี่ยวมาก ถ้าหนูแต่งงานกับเขาป้าก็จะไม่มีอะไรให้กังวลอีกต่อไป”


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ สงสัยว่าทำไมคุณป้าเฉียวจึงมาที่นี่ ทำไมท่านถึงขอให้เธอไปสวดมนต์ขอพรพระกับท่าน จากนั้นก็เร่งเร้าให้เธอแต่งงานกับเฉียวเหลียง


 


 


ถังซีอ้าปากค้าง และกำลังจะพูดเมื่อเฉียวอวี่ซินมองหน้าถังซีด้วยรอยยิ้มและถามว่า “หนูมีความสุขมากจนพูดไม่ออกใช่ไหมจ๊ะ ป้าเข้าใจหนูจ้ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาชายหนุ่มหน้าตาดีมีความสามารถอย่างอาเหลียง ป้าถึงได้พูดอยู่เสมอว่าเธอทั้งคู่โชคดี เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกันที่จะหาผู้หญิงที่สวยและจิตใจดีอย่างหนู…”


 


 


ถังซีรีบขัดจังหวะเฉียวอวี่ซิน “เอ้อ…คุณป้าเฉียวคะ หนูเพิ่งเข้าเรียนปีที่หนึ่งของโรงเรียนมัธยมปลายเองค่ะ…”


 


 


“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้ารู้ว่าหนูน่ะเรียนเก่งมาก ป้าได้ยินมาว่าหนูพนันกับพี่ชายว่าจะเรียนจบมัธยมปลายให้ได้ในหนึ่งปี ป้าอยากแสดงความยินดีกับหนูล่วงหน้า แล้วนอกจากนี้หนูก็จะจบหลักสูตรมหาวิทยาลัยให้ได้ในสองปีด้วยใช่ไหมจ๊ะ ป้าคิดว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับหนูเลยที่จะเรียนต่อในระดับปริญญา หนูไม่จำเป็นต้องหางานทำ มีตำแหน่งมากมายสำหรับหนูในเซียวกรุป เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับหนูที่จะแต่งงานเร็ว”


 


 


ถังซีพูดไม่ออก ได้แต่ฟังเฉียวอวี่ซินพูดด้วยความตื่นเต้น “อ๋อใช่ หนูสามารถมีลูกเยอะๆ ได้เลย ถ้าหนูไม่มีเวลาดูแลพวกเขา ฝากให้ป้าช่วย…”


 


 


ถังซีหัวเราะเบาๆ อย่างขวยเขิน “ยังเร็วเกินไปนะคะ ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ คุณป้าเฉียว”


 


 


“ไม่เร็วหรอกจ้ะ เฉียวเหลียงอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ไม่เร็วเลย” เฉียวอวี่ซินกล่าว “ถึงแม้หนูจะอายุแค่ยี่สิบสามปี อาเหลียงยี่สิบเจ็ด และจะสามสิบในอีกสามปีข้างหน้า เขาไม่เด็กแล้ว ดังนั้นได้โปรดเถอะ โหรวโหรว ได้โปรดให้ป้าได้เห็นหลานชายเร็วๆ ในอนาคตอันใกล้นี้นะจ๊ะ อย่าปล่อยให้ลูกชายป้ารอนาน ตกลงไหมจ๊ะ”


 


 


ถังซีชะงัก จริงด้วย… อายุจริงของเธอคือยี่สิบเจ็ดปี จริงๆ แล้วเธอไม่ใช่หญิงสาวอายุยี่สิบสาม เธออายุเท่าเฉียวเหลียง และอายุน้อยกว่าเซียวเหยาเพียงสามปี อายุน้อยกว่าเซียวส่าหนึ่งปีเท่านั้น และอายุเท่ากับเซียวจิ่ง


 


 


ปรากฏว่าทั้งคู่อายุเท่านี้แล้ว ปรากฏว่าพวกเขาเสียเวลาไปห้าปี


 


 


“ตกลงค่ะ คุณป้าเฉียว หนูสัญญากับคุณป้าว่าหลังจากหนูเรียนจบ และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูควรทำสำเร็จลุล่วงแล้ว หนูจะแต่งงานกับเฉียวเหลียง เป็นภรรยาเขา และอยู่กับเขาตลอดไปค่ะ”


 


 


เมื่อเฉียวอวี่ซินได้ยินคำสัญญาของถังซี นัยน์ตานางก็เป็นประกายสดใส นางจับมือถังซีทั้งสองข้างและกล่าวอย่างตื่นเต้น “จริงเหรอ หนูสัญญากับป้าแล้วใช่ไหมว่าหนูจะแต่งงานเฉียวเหลียง”


 


 


ถังซีพยักหน้ารับเป็นการยืนยัน “ใช่ค่ะ หนูจะแต่งงานกับเขา”


 


 


เธอจะแต่งงานกับเฉียวเหลียงเท่านั้นในชีวิตนี้ จะไม่แต่งงานกับคนอื่น เมื่อได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเธอจึงรู้ว่า ท้ายที่สุดเขาคือคนที่เธอจะไม่ยอมปล่อยมือ


 


 


ในเวลานั้นนั่นเอง คุณครูเหอกับครูที่ปรึกษาหลี่เฮาอวี่ ก็ได้มายืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยท่าทางตกตะลึง


 


 


ทั้งสองค่อนข้างแน่ใจว่าพวกเขาได้ยินไม่ผิด เมื่อกี้ทั้งสองได้ยินการสนทนาระหว่างสุภาพสตรีผู้นี้กับเซียวโหรว และเซียวโหรวจะแต่งงานกับเฉียวเหลียงในอนาคต เฉียวเหลียงคนนี้คงจะเป็นคนเดียวกับที่พวกเขารู้จัก เขาคือประธานเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป และปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองของเมือง A!


 


 


ดังนั้นตอนนี้เซียวโหรวไม่ได้เป็นเพียงคุณหนูของตระกูลเซียว แต่ยังเป็นว่าที่ภรรยาในอนาคตของเจ้าของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปอีกด้วย


 


 


ครูที่ปรึกษาหลี่เฮาอวี่มองไปที่ถังซีซึ่งนอนอยู่บนเตียง แล้วก้มหน้าลงเงียบๆ ‘ใช่ เด็กสาวหน้าตาสวย ผู้มีคะแนนสอบดีเยี่ยมอย่างเซียวโหรว น่าจะมีผู้ชายหลายคนตามจีบ และควรแต่งงานกับผู้ชายที่ประสบความสำเร็จอย่างเฉียวเหลียง’


 


 


ถังซีรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่ที่หน้าประตู เธอเงยหน้าขึ้นและรู้สึกเขินอายมาก จากท่าทางที่คุณครูเหอกับครูที่ปรึกษาหลี่เฮาอวี่มองมา เธอรู้ว่าพวกเขาต้องได้ยินการสนทนาของเธอกับคุณป้าเฉียว… ถังซียิ้มให้คุณครูเหอ “คุณครูเหอ ครูที่ปรึกษา ทำไมถึงมาที่นี่ละคะ”


 


 


เหอมู่อันเดินเข้ามาพร้อมกับหลี่เฮาอวี่ เขามองดูถังซีซึ่งนอนอยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจ หลังจากทักทายเฉียวอวี่ซิน เขาก็หันกลับไปหาถังซีและกล่าวว่า “คุณแม่ของเธอโทรหาครู บอกว่าเธอต้องเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว ครูที่ปรึกษากับครูก็เลยมาเยี่ยมเธอในนามของชั้นเรียน อีกอย่างหนึ่ง ครูอยากมาถามว่าเธอต้องการให้มีครูมาทบทวนบทเรียนทั้งหมดที่เธอไม่ได้เข้าเรียนให้หรือเปล่า ถ้าเธอต้องการ โรงเรียนจะจัดคุณครูมาที่นี่ทุกบ่าย และทบทวนให้เธอในสิ่งที่เธอไม่ได้เข้าเรียน”


 


 


ถังซีรู้สึกได้รับอภิสิทธิ์มาก เธอมองหน้าเหอมู่อัน “คุณครูเหอคะ หนูขอบคุณมากค่ะ แต่หนูไม่ต้องการหรอกค่ะ”


 


 


“นี่คือคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ เธอไม่ต้องอายหรอก ถ้าเธอคิดว่าต้องการ ครูจะจัดการให้เธอหลังจากกลับไป”


 


 


เฉียวอวี่ซินมองถังซีด้วยรอยยิ้ม และกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างเมื่อถังซีกล่าวว่า “คุณครูเหอคะ หนูไม่ต้องการจริงๆ ค่ะ ถ้าเป็นไปได้หนูหวังว่าคุณครูจะให้หนูได้เข้าสอบวัดผลสำหรับนักเรียนชั้นสูงสุด เมื่อหนูกลับไปที่โรงเรียน หนูอยากจบการศึกษาโดยเร็วที่สุด คุณครูก็รู้นี่คะ หนูไม่ได้อายุเท่ากับเพื่อนร่วมชั้น ถ้าหนูไม่สามารถข้ามชั้นได้ หนูจะแก่เกินไปเมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย”


 


 


แม้ว่าในสมัยโบราณจะมีผู้คนอายุสี่สิบห้าสิบปีเข้าสอบบัณฑิตในวังหลวง แต่ในสังคมปัจจุบันบัณฑิตที่จบมหาวิทยาลัยด้วยอายุยี่สิบห้าปีก็นับว่าหายาก ดังนั้นเป้าหมายของเธอคือ จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายภายในหนึ่งปี จบจากมหาวิทยาลัยภายในหนึ่งปี จากนั้นค่อยๆ ศึกษาเพิ่มเติมในแขนงวิชาต่างๆ เธอก็จะได้รับทุกปริญญาเท่ากับที่ถังซีได้รับ โอ… ใช่แล้ว รวมทั้งปริญญาการออกแบบด้วย เธอต้องได้รับปริญญานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถาบันการออกแบบแห่งปารีส 

 

 


ตอนที่ 199 ขโมย

 

แม้เธอจะชอบเล่นสนุกสนานในชีวิตก่อนหน้านี้ แต่การศึกษาของเธอไม่เคยล่าช้า เธอได้รับปริญญาหลายใบ ซึ่งแม้แต่ฉินซินหยิ่งผู้ตามติดเธอ ก็ไม่รู้ว่าปริญญาของเธอมีอะไรบ้าง


 


 


ถึงเธอกับฉินซินหยิ่งจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่ก็แน่ชัดแล้วว่าเธอไม่เคยรู้ความคิดที่แท้จริงของฉินซินหยิ่ง และในทางกลับกัน เธอเก็บหลายสิ่งหลายอย่างมากมายไว้เป็นความลับจากฉินซินหยิ่ง ตัวอย่างเช่น เธอไม่เคยเล่าเรื่องห้องใต้ดินให้ฉินซินหยิ่งฟัง และไม่เคยบอกว่าเธอทำอะไรทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ…


 


 


เมื่อนึกถึงข่าวที่ดูวันนี้ถังซีรู้สึกคับข้องใจอย่างมาก แม้ฉินซินหยิ่งจะมีบริษัทผลิตเสื้อผ้า และมีอาชีพเป็นนักออกแบบเครื่องแต่งกายที่มีชื่อเสียงด้วยผลงานของเธอ เธอก็ไม่เคยรู้สึกคับข้องใจมาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นฉินซินหยิ่งได้ลงนามในสัญญากับเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป และกลายเป็นนักออกแบบพิเศษของเฉียวด้วยผลงานของเธอ เธอรู้สึกขัดเคืองในใจ


 


 


ที่เป็นไปอย่างนี้ก็เพราะเธอเองนั่นแหละ ที่สร้างโอกาสให้ฉินซินหยิ่งได้เข้ามาใกล้ชิดเฉียวเหลียงมากยิ่งขึ้น


 


 


แต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเอาคืนสิ่งที่เป็นของเธอ เธอทำได้เพียงหยิบฟืนใต้หม้อแกงออกไปเท่านั้น เมื่อฉินซินหยิ่งไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป หล่อนจะต้องหายไปจากวงการนักออกแบบ แต่จะไม่สูญเสียชื่อเสียงและหน้าตา


 


 


ถังซีไตร่ตรองความคิดทั้งหมดนี้อยู่คนเดียว ขณะที่คนอื่นๆ ในห้องรวมถึงเฉียวอวี่ซินและพ่อบ้านเฉียวกำลังตกตะลึง เธอพูดว่าอะไรนะ เธออยากขอสอบไล่เพื่อจบการศึกษาอย่างนั้นหรือ เหอมู่อันมองหน้าถังซีและเอ่ยเบาๆ “เซียวโหรว ครูรู้ว่าเธอกระตือรือร้นที่จะสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลาย แต่ที่ผ่านมาเธอเข้าเรียนที่โรงเรียนไม่ถึงหนึ่งเดือน และโรงเรียนกำลังจะปิดภาคยาวหนึ่งสัปดาห์ เธอแน่ใจหรือว่าอยากจะสอบไล่เพื่อจบการศึกษา”


 


 


เมื่อเห็นว่าเหอมู่อันสงสัยในตัวเธอ ถังซีก็ยิ้มและพยักหน้า “หนูต้องการสอบไล่เพื่อจบการศึกษาจริงๆ ค่ะ คุณครูเหอช่วยจัดการเรื่องนี้ให้หนูทีนะคะ หนูอยากเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเร็วๆ เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งอายุแค่สิบสามปีเองค่ะ อายุน้อยกว่าหนูตั้งสิบปี ถ้าดูตามอายุหนูควรเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว หนูรอนานกว่านี้ไม่ไหวแล้วค่ะ โปรดจัดการเรื่องนี้ให้หนูด้วยนะคะคุณครูเหอ หนูอยากสอบทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล หนูเชื่อว่าหนูจะสอบผ่านได้ค่ะ”


 


 


“หนูดูสวยงามที่สุดเวลาหนูมีความมั่นใจจ้ะ โหรวโหรว ป้าเชื่อว่าหนูจะสอบได้” ป้าเฉียวเงยหน้ามองเหอมู่อันด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “คุณครูเหอคะ ช่วยจัดการการสอบให้กับโหรวโหรวด้วย โหรวโหรวเก่งมาก และฉันเชื่อว่าเธอสามารถสอบผ่านได้”


 


 


เหอมู่อันและหลี่เฮาอวี่ออกจากโรงพยาบาลทั้งที่ยังไม่หายจากอาการช็อก


 


 



 


 


ทางอีกด้านหนึ่ง ฉินซินหยิ่งค้นห้องทำงานของเธออย่างบ้าคลั่ง ห้องทั้งห้องยุ่งเหยิงไปหมด แต่เธอก็ไม่หยุด ค้นหาต่อไปทุกซอกทุกมุม เธอค้นกระจุยกระจายขณะบ่นพึมพำ “หายไปได้ยังไง ฉันเอาติดตัวไว้ตลอดเวลา”


 


 


เมื่อถึงตอนนี้ก็มีคนมาเคาะประตูห้องทำงานฉินซินหยิ่ง เธอบอกให้เข้ามาได้ ปรากฏว่าเป็นผู้ช่วยชั่วคราวของเธอในแผนกออกแบบ เมื่อผู้ช่วยเห็นห้องทำงานฉินซินหยิ่งยุ่งเหยิงไปหมด ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอกะพริบตาถี่ๆ ถามฉินซินหยิ่งเบาๆ ว่า “คุณฉิน กำลังหาอะไรอยู่เหรอคะ”


 


 


ฉินซินหยิ่งเงยหน้าขึ้นมองผู้ช่วยแล้วกล่าวหน้าตาเฉย “ไม่ได้หาอะไร” จากนั้นก็ถามกลับ “มีอะไรหรือเปล่า”


 


 


ผู้ช่วยพยักหน้าแล้วตอบว่า “ค่ะ ผู้อำนวยการบอกว่า คุณตกลงจะส่งแบบร่างให้เธอวันนี้ เธอให้ฉันมาถามคุณว่าแบบร่างเสร็จหรือยัง ถ้าเสร็จแล้ว กรุณาส่งไปที่กล่องจดหมายอีเมลของเธอด้วยค่ะ”


 


 


ฉินซินหยิ่งขมวดคิ้วและพยักหน้า “ตกลง บอกวิเวียนว่าฉันสเก็ตช์แบบเสร็จแล้ว สักครู่จะส่งไปที่อีเมลของเธอ บอกให้เธอตรวจดูด้วย”


 


 


ผู้ช่วยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม กล่าวขอโทษที่มารบกวน แล้วเปิดประตูเดินออกไป


 


 


ทันทีที่ผู้ช่วยออกไป ฉินซินหยิ่งก็เริ่มค้นหาต่ออีก แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนเธอก็ไม่พบแฟลชไดรฟ์ที่มีภาพสเก็ตช์งานออกแบบ เธอทำหายไปได้อย่างไร เธอเก็บภาพสเก็ตช์ทั้งหมดไว้ในนั้น เธอจะนำภาพสเก็ตช์ออกมานำเสนอสามภาพต่อหนึ่งฤดูกาล และด้วยภาพสเก็ตช์จำนวนมากในแฟลชไดรฟ์ ทั้งหมดนั้นสามารถใช้ไปได้ถึงหกปีหลังจากนี้ ซึ่งระหว่างนั้นเธอจะค่อยๆ ถอนตัวออกจากวงการนักออกแบบไปทำงานอื่น แต่นี่จู่ๆ แฟลชไดรฟ์ก็หายไป!


 


 


เธอควรทำอย่างไรดี…


 


 


‘ฉินซินหยิ่ง อย่าตื่นตระหนก เธอต้องไม่ตื่นตระหนก ต้องทำใจให้สงบ’ ฉินซินหยิ่งค่อยๆ สงบลง เธอหายใจเข้าลึกๆ ‘ใช่ ใช่แล้ว เธอเลือกไว้แล้ว ภาพสเก็ตช์ที่จะส่งให้วิเวียน เพื่อสร้างความตื่นตะลึงให้พวกเขา เธอบันทึกไว้แล้วในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอ ส่งภาพสเก็ตช์พวกนั้นไปให้วิเวียนก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ปัญหา’


 


 


ฉินซินหยิ่งค่อยๆ สงบลง เธอเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดแฟ้มเก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ ขณะมองดูภาพสเก็ตช์งานออกแบบที่สมบูรณ์แบบเหล่านั้นเธอก็ยิ้มออกมา ‘ใช่ ตราบใดที่เธอมีภาพสเก็ตช์พวกนี้ส่งไปให้พวกเขา เธอก็จะรักษาตำแหน่งในแผนกออกแบบของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปไว้ได้’ เมื่อคิดเช่นนี้ในใจ ฉินซินหยิ่งก็มีท่าทีสงบนิ่ง


 


 


ถังซี เธออย่าโทษฉัน เธอไม่ห้ามฉันหรือตำหนิฉันในครั้งแรกที่ฉันนำภาพสเก็ตช์งานออกแบบของเธอออกเผยแพร่ภายใต้ชื่อฉัน ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอยินยอมให้ฉันทำได้


 


 


เพราะฉะนั้นเธอต้องปล่อยให้ฉันใช้ประโยชน์จากเธอต่อไป เหยียบไหล่เธอขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของชีวิต ทีละก้าวๆ หลังจากที่ฉันได้ยืนเคียงข้างเฉียวเหลียงแล้ว และยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาแล้ว ฉันจะกล่าวขอโทษเธออย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ณ จุดนี้ ฉันยังไม่บรรลุเป้าหมายของฉัน… เพราะฉะนั้นอย่าโทษฉัน


 


 


ฉินซินหยิ่ง เขียนจดหมายในอีเมลแล้วส่งออกไป


 


 


หลังจากส่งอีเมล ฉินซินหยิ่งก็เรียกคนมาเก็บกวาดห้องทำงานของเธอให้เรียบร้อย ในเวลานี้เองที่โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ฉินซินหยิ่งมองดูชื่อผู้โทรแล้วหยิบโทรศัพท์มาอย่างใจเย็น หันไปบอกผู้ช่วยที่มาเก็บกวาดห้องทำงานให้เธอ จากนั้นก็ออกไปข้างนอกพร้อมกับโทรศัพท์ในถือ


 


 


บนชั้นดาดฟ้าฉินซินหยิ่งขมวดคิ้ว “คุณแน่ใจหรือเปล่า ว่าเฉียวเหลียงเข้าไปในอุทยานเอ็มไพร์” เธอถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


 


“คุณรู้ไหม ว่าใครที่เขาพาเข้าไปด้วย”


 


 


“ฉันไม่รู้ แต่ฉันเห็นเฉียวเหลียงถือกล่องเล็กๆ คลุมด้วยผ้าสีดำเข้าไปด้วย ไม่รู้ว่าคืออะไร”


 


 


ดวงตาฉินซินหยิ่งเป็นประกายแวววาว เธอถามอย่างตื่นเต้น “กล่องใหญ่แค่ไหน”


 


 


ต้องเป็นโกศของถังซี แน่นอนว่าถังซีเสียชีวิตแล้ว… ไม่หรอก ไม่ใช่ ถ้าถังซีเสียชีวิตแล้วเฉียวเหลียงอาจยังคงไม่รู้ เพราะถ้าเฉียวเหลียงรู้ว่าถังซีเสียชีวิต เขาจะไม่มีวันสงบอย่างนี้ และจะพยายามค้นหาความจริงต่อไปราวกับเขากลายเป็นคนบ้าไปแล้ว… ไม่สิ นั่นก็ยังไม่ใช่อีกเหมือนกัน… เฉียวเหลียงกำลังหลงรักเซียวโหรวจริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริงทำไมเขาถึงสงบนิ่งอย่างนี้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาถึงไปที่อุทยานเอ็มไพร์


 


 


เขามอบเถ้ากระดูกของถังซีคืนให้ถังเจิ้นหวาใช่ไหม


 


 


นั่นเป็นไปไม่ได้ จากที่เธอรู้จักเฉียวเหลียงมา เขาจะไม่ส่งโกศของถังซีกลับคืนไปด้วยตัวเอง…


 


 


ถังซี… อุทยานเอ็มไพร์… ไม่หรอก ถังเจิ้นหวาอาจไม่รู้ว่าถังซีเสียชีวิตแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สงบนิ่งอย่างนี้ เขารักถังซีมาก เขาต้องตายอย่างแน่นอน ถ้ารู้ว่าถังซีเสียชีวิต! 

 

 


ตอนที่ 200 เจ้าเล่ห์

 

เมื่อจิตใจสงบลงแล้วฉินซินหยิ่งก็ไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป เธอนั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ และสั่งให้ผู้ช่วยไปชงกาแฟมาให้ถ้วยหนึ่ง เธอรอโทรศัพท์จากผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าผู้อำนวยการได้เห็นภาพสเก็ตช์แล้ว


 


 


เป็นดังที่เธอคาดไว้ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบมาเคาะประตูห้องทำงานเธอ ก่อนที่ผู้ช่วยเธอจะนำกาแฟมาให้ ฉินซินหยิ่งเอ่ยเบาๆ ว่า “เชิญค่ะ” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบผลักประตูเปิดเข้ามา หลังจากทักทายฉินซินหยิ่งเธอก็กล่าวว่า “ดีไซเนอร์ฉิน ผู้อำนวยการขอเชิญคุณไปที่ห้องทำงานของเธอ บางทีเธออาจต้องการพูดคุยเกี่ยวกับแฟชั่นโชว์ฤดูหนาวกับคุณ”


 


 


ฉินซินหยิ่งคิดในใจว่า ‘ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น’ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น พยักหน้าให้ผู้ช่วยผู้อำนวยการอย่างใจเย็น “ได้ค่ะ รับทราบ กรุณาบอกผู้อำนวยการว่าฉันจะไปพบเดี๋ยวนี้”


 


 


ฉินซินหยิ่งลุกขึ้นหลังจากผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบออกไปแล้ว เธอมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยิ้มเยาะอยู่ในใจ แล้วเอื้อมมือไปปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ พร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “ถังซี จริงๆ แล้วเธอค่อนข้างมีประโยชน์นะ ในเวลาแบบนี้”


 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ภาพสเก็ตช์ที่เธอออกแบบไว้ ทำให้ฉันชนะทุกการแข่งขันที่ผ่านมา และได้รับเกียรติอย่างสูง


 


 


ฉินซินหยิ่งไปที่ห้องทำงานของวิเวียน และเคาะประตู วิเวียนกำลังมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเห็นฉินซินหยิ่งเดินเข้ามาเธอก็ยิ้ม ลุกขึ้นยืน แล้วบอกให้ฉินซินหยิ่งนั่งลง เธอรินกาแฟให้ฉินซินหยิ่งถ้วยหนึ่ง และรินให้ตัวเอง


 


 


“ดีไซเนอร์ฉิน คุณทำได้ดีมาก! คุณสร้างความแปลกใจให้ฉันอีกแล้ว ฉันเห็นภาพสเก็ตช์งานออกแบบที่คุณส่งมาแล้ว เทียบได้กับโอร์ กูตูร์ ของชาแนลเลยทีเดียว ฉันคิดว่าด้วยความช่วยเหลือของคุณ บริษัทเราจะสามารถสร้างยอดขายใหม่ และขึ้นสู่ระดับสูงมากในวงการแฟชั่น


 


 


เมื่อฉินซินหยิ่งได้ฟังคำเยินยอของวิเวียน ประกายความพึงพอใจก็ฉายผ่านดวงตาเธอ และรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เธอดื่มกาแฟอึกหนึ่ง มองตาวิเวียนและยิ้ม “วิเวียน ฉันภูมิใจมากค่ะ ฉันเลือกร่วมงานกับเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เพราะฉันชอบการออกแบบแฟชั่น ช่วงเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดคือเมื่อได้เห็นนางแบบสวมใส่เสื้อผ้าที่ฉันออกแบบ”


 


 


เมื่อได้ยินฉินซินหยิ่งกล่าวด้วยความถ่อมตัวอย่างมาก วิเวียนก็ยิ่งเชื่อมั่นในความสามารถของฉินซินหยิ่ง “มีนักออกแบบน้อยคนที่ไม่ให้คุณค่ากับชื่อเสียงและโชคอย่างคุณ โดยปกติแล้วทุกวันนี้นักออกแบบที่มีความสามารถระดับคุณจะพยายามก้าวสู่สากล หรืออย่างน้อยก็ยอมรับคำเชิญของแบรนด์ดังระดับโลก แต่ฉันได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้คุณปฏิเสธคำเชิญของ FD ใช่ไหม”


 


 


คิ้วฉินซินหยิ่งเลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มเรียบเฉยบนใบหน้า “จริงๆ แล้ว FD ไม่ใช่เส้นทางที่ฉันแสวงหา สิ่งที่ฉันแสวงหาคือออกแบบเสื้อผ้าเท่านั้นค่ะ FD ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ”


 


 


วิเวียนพยักหน้า ยิ้มแล้วหยิบจดหมายออกมาส่งให้ฉินซินหยิ่ง “นี่เป็นบัตรเชิญปารีสแฟชั่นวีค ที่จะจัดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาเชิญให้เราไปปรากฏตัวบนเวทีอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีค ไม่ทราบว่าดีไซเนอร์ฉินจะสามารถออกแบบชุดเพิ่มเติมได้ไหมในช่วงเวลานี้ เพื่อที่เราจะได้ไปเฉิดฉายบนเวทีอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีค”


 


 


ปารีสแฟชั่นวีค!


 


 


ดวงตาฉินซินหยิ่งส่องประกายเจิดจ้า หากการออกแบบแฟชั่นของเธอได้รับการบันทึกภาพไปเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จัก จากบนเวทีระดับนานาชาติในงานอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีค ก็หมายความว่าเธอก้าวล้ำหน้าถังซี และไม่ได้เป็นเพียงแค่เงาของผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไป นอกจากนี้เธอยังจะได้รับโอกาสรู้จักต้นแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับสากลเหล่านั้น!


 


 


อย่างไรก็ตาม… ฉินซินหยิ่งยิ้มให้วิเวียนและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นี่เป็นโอกาสสำหรับเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป นักออกแบบทุกคนของบริษัทเราควรคว้าโอกาสนี้ไว้ ถ้าเป็นไปได้ฉันจะร่วมสนับสนุนเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปอย่างแน่นอนค่ะ”


 


 


ด้วยความดีใจที่ได้ยินฉินซินหยิ่งพูดเช่นนั้น วิเวียนยิ้มกว้างจากใจจริง “ถ้าอย่างนั้นฉันจะรายงานเรื่องนี้ต่อท่านประธานเซียว แจ้งให้พนักงานของเราเริ่มเตรียมตัวสำหรับงานแฟชั่นวีคที่กำลังจะมาถึง ฉันขอให้ดีไซเนอร์ฉินช่วยเตรียมออกแบบแฟชั่นโอร์ กูตูร์ให้เราห้าเซ็ท ภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ จะได้ไหมคะ”


 


 


มุมปากฉินซินหยิ่งแข็งทื่อทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘โอร์ กูตูร์ห้าเซ็ท’ หากเป็นก่อนหน้านี้เธอสามารถหยิบเอาโอร์ กูตูร์ห้าเซ็ทออกมานำเสนอได้อย่างง่าย แต่ตอนนี้เมื่อแฟล็ชไดร์ฟหายไป เธอก็ไม่มีภาพสเก็ตช์งานออกแบบเหลืออยู่เลย เธอจะหาโอร์ กูตูร์ห้าเซ็ทจากที่ไหนมาให้พวกเขา… อย่างไรก็ตามเธอจะไม่บอกเรื่องนี้กับวิเวียน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พยักหน้า “ตกลงค่ะ ตอนนี้ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอกลับไปที่ห้องก่อนนะคะ”


 


 


วิเวียนลุกขึ้นส่งฉินซินหยิ่งออกไป หลังจากฉินซินหยิ่งออกไปแล้ว วิเวียนก็ยิ้มกว้างและไปที่ห้องทำงานเซียวจิ่งพร้อมกับจดหมายเชิญ แต่เมื่อเธอเห็นห้องทำงานอันว่างเปล่าของแผนกเลขานุการ ดวงตาเธอก็ฉายแววประหลาดใจขึ้นมาทันที


 


 


เกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครอยู่เลย


 


 


เธอเดินเข้าไปที่ห้องทำงานเลขานุการ มีเพียงอันเฮาอยู่ในห้อง เธอเคาะเบาๆ บนโต๊ะอันเฮา และถามอย่างนุ่มนวลว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมถึงมีเธออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น”


 


 


อันเฮาเงยหน้าขึ้นมองวิเวียน มีประกายไหวระริกอย่างผิดปกติในดวงตา เธอเม้มริมฝีปากและเรียกวิเวียนอย่างอ่อนโยน “พี่คะ… วันนี้ท่านประธานเซียวน่ากลัวเหลือเกิน เลขานุการคนอื่นๆ ถูกไล่ออกหมดแล้วค่ะ”


 


 


วิเวียนจ้องหน้าเธอและถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น เขาไล่ทุกคนออกหมดได้ยังไง แล้วเธอล่ะ ทุกคนถูกไล่ออกหมด แล้วทำไมเธอถึงยังอยู่!”


 


 


อันเฮามองหน้าพี่สาว กะพริบตาปริบๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกไป “พี่คะ พี่อยากให้ฉันถูกไล่ออกด้วยหรือ”


 


 


“เด็กโง่ ทำงานต่อไป อย่าขี้เกียจ ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกไล่ออก” วิเวียนตบศีรษะอันเฮาเบาๆ แล้วหันกลับเดินไปที่ห้องทำงานเซียวจิ่ง


 


 


อันเฮาพึมพำคนเดียวว่า ที่เธอไม่ถูกไล่ออกก็เพราะเธอทำงานหนักนี่แหละ


 


 


วิเวียนเคาะประตูห้องทำงานเซียวจิ่ง และเซียวจิ่งร้องบอกว่า “เข้ามา” วิเวียนเดินเข้าไป เห็นเซียวจิ่งถูกกลืนอยู่ท่ามกลางกองเอกสาร เธอพยายามก้าวเท้าอย่างเบาที่สุด นำจดหมายไปวางบนโต๊ะเซียวจิ่ง และเอ่ยขึ้นเบาๆ “ท่านประธานเซียวคะ นี่เป็นบัตรเชิญงานปารีสแฟชั่นวีค ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาเชิญบริษัทเราให้ไปจัดแสดงผลงานบนเวทีอินเตอร์แนชันนัลแฟชั่นวีคค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งไม่ได้เงยหน้ามองเธอ จนกระทั่งถึงตอนนี้ “ปารีสแฟชั่นวีคหรือ”


 


 


วิเวียนยิ้มและพยักหน้า “ใช่ค่ะ หลังจากสี่ปีแห่งการทำงานหนัก ในที่สุดเราก็ทำได้”


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้เซียวจิ่งก็ยิ้ม กล่าวว่า “ใช่ เป็นข่าวดีจริงๆ คุณเริ่มเตรียมตัวได้เลย จะมีคนใหม่เข้ามาทำงานวันพรุ่งนี้ บอกแผนกบุคคลเตรียมทำทะเบียนประวัติพวกเขาด้วยเช้าวันพรุ่งนี้”


 


 


มีร่องรอยความประหลาดใจกะพริบอยู่ในดวงตาวิเวียน เซียวจิ่งเลิกคิ้วขึ้นมอง “สามีคุณไม่ได้ทำงานที่แผนกบุคคลหรือ ให้สามีคุณรับผิดชอบ เลขานุการพวกนั้นคัดเลือกมาโดยสามีคุณนี่ ด้วยความพยายามอย่างมากด้วย เข้าใจใช่ไหม”


 


 


วิเวียนประหลาดใจ แต่เธอทำได้แค่พยักหน้า เซียวจิ่งส่งเสียงคำรามออกทางจมูกและทำงานต่อไป พร้อมกับสาปแช่งเฉียวเหลียงว่าจะไม่มีวันหาภรรยาได้


 


 


เฉียวเหลียงอยู่ห่างไกลถึงสวีเดน ในเวลาเดียวกันนั้นเขากำลังนั่งอยู่ในห้องมืดทึบ เขาจามอออกมาด้วยท่าทางสง่างาม และเงยหน้าขึ้นมองชายผิวขาวที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ยิ้มให้ชายผู้นั้นอย่างเยือกเย็น เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ และกล่าวอย่างไม่แยแส “เพิ่มอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ หรือมิฉะนั้นเราจะไม่เจรจาต่อรองกับคุณอีกต่อไป” 

 

 


ตอนที่ 201 อิทธิพล

 

เฉียวเหลียงสวมหน้ากากหนัง หน้ากากบางๆ นี้ปกปิดใบหน้าอันสมบูรณ์แบบ แต่เขาก็ยังดูหล่อเหลา เขานั่งนิ่งด้วยความมั่นใจ เป็นการเสริมสร้างกำลังใจแก่กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังเขาได้เป็นอย่างดี


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวเหลียง ชายผิวขาวที่นั่งตรงกันข้ามก็ขมวดคิ้วลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองหน้าเฉียวเหลียงอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “คุณเฉียว นี่เรากำลังเจรจาธุรกิจกันอยู่นะ ไม่ใช่กำลังหาเงินให้คุณ คุณดูไม่จริงใจมากๆ ที่พูดกับผมแบบนี้ คุณรู้ไหม”


 


 


ไม่มีความหวั่นไหวใดๆ กับคำพูดของชายผู้นี้แม้แต่น้อย เฉียวเหลียงยังคงนั่งเอนพิงเก้าอี้ มองเขาเฉยอยู่ “ไม่จริงใจหรือ ไม่หรอกมั๊ง เวลานี้ไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณ ที่ต้องแสดงความจริงใจ คุณบรูโน ถ้าคุณให้ความจริงใจกับผมได้แค่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีเวลาคุยกับคุณ ผมต้องไปแล้ว”


 


 


“คุณเฉียว คิดว่าคุณจะออกไปจากที่นี่ได้หรือ สวีเดนคือถิ่นผม!” บรูโนแสยะยิ้มมองเฉียวเหลียงราวกับนักล่ามองดูเหยื่อ


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของชายผิวขาว เฉียวเหลียงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ จากนั้นเขามีรอยยิ้มจางๆ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน แล้วยืนขึ้น มองบรูโนเขม็ง “ลองดูก็ได้”


 


 


บรูโนมีอิทธิพลมากในสวีเดน ตำรวจเกือบทุกคนในสวีเดนล้วนต้องยอมไว้หน้าเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารู้สึกระคายเคืองกับ ‘ความหยาบคาย’ ของเฉียวเหลียง ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ซึ่ง ‘หยาบคายยิ่งกว่า’ เขาก็ยิ่งโกรธ


 


 


เขาผลุดลุกขึ้นทันทีพร้อมกับควักปืนออกมา เล็งไปที่เฉียวเหลียง “ผมขอแนะนำให้คุณนั่งลง คุณเฉียว และเจรจาธุรกิจนี้กับผม” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ผมคิดว่าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของกำไรเพียงพอแล้วสำหรับคุณ คุณคิดว่ายังไงคุณเฉียว”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวเหลียงก็หันกลับมาช้าๆ มองบรูโนและยิ้มให้ “คุณช่างกล้าหาญ” เขากล่าว


 


 


ใบหน้าเขาไม่มีวี่แววประนีประนอมหรือหวาดกลัว แม้แต่บอดีการ์ดสองคนข้างหลังก็ไม่มีท่าทีตื่นตระหนก ในที่สุดบรูโนก็เข้าใจว่ามีบางอย่างผิดปกติ ขณะที่เขาดึงปืนพกออกมา บอดีการ์ดไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาเชื่อมั่นว่าเขาไม่กล้า หรือไม่สามารถทำร้ายเฉียวเหลียงได้


 


 


บรูโนเหลือบมองเฉียวเหลียง ถามอย่างขุ่นเคือง “คุณเฉียว คุณหมายความว่าอย่างไร”


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าบรูโนด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นบนริมฝีปาก มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ อย่างไรก็ตามบรูโนรู้สึกกดดันอย่างมากจนแทบหายใจไม่ออก เฉียวเหลียงกล่าวว่า “แม้แต่ประธานาธิบดีของคุณยังไม่กล้าเล็งปืนมาที่ผม ผมชื่นชมความกล้าหาญของคุณมาก คุณช่างกล้าหาญจริงๆ”


 


 


บรูโนขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขามองดูชื่อผู้โทรแล้วขมวดคิ้ว เฉียวเหลียงกล่าวว่า “รับสิ บางทีคุณอาจได้รับข่าวใหญ่”


 


 


บรูโนหน้าเครียดรับโทรศัพท์ จากนั้นใบหน้าเขาก็ซีดเผือดทันที เขาตะโกนอย่างโกรธแค้น “อะไรนะ” แล้วบรูโนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียง “คุณเป็นคนทำใช่ไหม”


 


 


เฉียวเหลียงก้าวช้าๆ ไปที่โซฟาแล้วนั่งลง หยิบบุหรี่ออกมาจุด แต่ไม่ได้ยกขึ้นแตะริมฝีปาก เขามองดูควันสีขาวที่ล่องลอยออกมาจากมวนบุหรี่ แล้วหันไปหาบรูโน กล่าวว่า “ผมลืมแนะนำตัวเองให้คุณรู้จัก คุณบรูโน ผมคือเฉียวเหลียงแห่งหลงเซี่ยว”


 


 


บรูโนหน้าซีดเผือดอย่างน่ากลัว เมื่อได้ยินคำว่า ‘หลงเซี่ยว’ และเมื่อได้ยินชื่อ ‘เฉียวเหลียง’ ดวงตาเขาก็เบิกกว้าง “คุณจะเป็นเฉียวเหลียงได้อย่างไร เฉียวเหลียงแห่งหลงเซี่ยวหรือ”


 


 


เฉียวเหลียงมองบุหรี่ที่คีบอยู่ระหว่างนิ้วมือ หลังจากเลิกกับถังซีเขาก็เริ่มสูบบุหรี่ แต่ทุกวันนี้เขากำลังพยายามเลิกสูบ ดังนั้นแม้เขาจะจุดบุหรี่ แต่เขาก็แค่มองดูมวนบุหรี่มอดไหม้อยู่ระหว่างนิ้วมือ


 


 


“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วผมก็อยากจะเตือนคุณ บรูโน สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการที่มีคนมาขัดขวางเส้นทางทำมาหากินของผม ละเมิดกฎการผลิต และแจ้งตำรวจสากลเมื่อทำธุรกิจกับหลงเซี่ยว ในเมื่อคุณละเมิดกฎการผลิต ผมก็สามารถละเมิดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของคุณได้ บรูโน” เฉียวเหลียงมองหน้าบรูโน ขณะยืนขึ้นและยิ้ม “คุณคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือ ที่คุณได้รับอนุญาตให้พกปืนมาพบผม ปืนคุณถูกถอดลูกกระสุนออกหมดแล้วตอนที่คุณเข้ามาในห้องนี้ เนื่องจากเราเป็นนักธุรกิจที่มีอารยธรรม เพราะฉะนั้นอย่าจับปืน ครูของคุณไม่ได้สอนหรือว่าปืนน่ะอันตรายแค่ไหน”


 


 


แม้เฉียวเหลียงจะยิ้ม แต่บรูโนก็รู้สึกเย็นยะเยือก เขาแค่ออกมาเจรจาธุรกิจ ทำไมฐานการผลิตของเขาถึงถูกควบคุม!


 


 


บรูโนรู้ว่าครั้งนี้เขาเข้ามายุ่งผิดคน พวกเขาไม่ควรกล้าต่อกรกับหลงเซี่ยว แม้องค์การตำรวจสากลจะพยายามรวบรวมหลักฐานการลักลอบขนอาวุธของหลงเซี่ยว แต่ไม่เคยหาหลักฐานใดๆ ได้เลย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถนำมาต่อรองกับหลงเซี่ยวได้ เขาเลือกร่วมมือกับองค์การตำรวจสากล แต่เขากลับถูกมองข้าม และมิหนำซ้ำยังติดกับดักของตัวเอง!


 


 


บรูโนคว้ามือเฉียวเหลียงและขอร้องเขา “คุณเฉียว ผมผิดไปแล้ว โปรดให้โอกาสผมสักครั้ง ผมไม่กล้าทำอีกแล้ว ได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้ง ผมจะให้กำไรคุณสามสิบเปอร์เซ็นต์ ตามที่คุณต้องการ หรือแม้แต่สี่สิบห้า หรือห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ได้ โปรดไว้ชีวิตผมด้วย!”


 


 


เฉียวเหลียงส่งสายตาเหยียดหยามมองบรูโนผู้ซึ่งเพิ่งหยิ่งผยองอยู่เมื่อกี้ แต่ตอนนี้กำลังร้องขอความเมตตาอย่างไร้ศักดิ์ศรี เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว สะบัดมือบรูโนออกแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไว้ชีวิตแกหรือ แล้วมีใครไว้ชีวิตพี่น้องของฉันที่ตายไปไหม” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกไปโดยไม่ชายตามองบรูโน


 


 


อาห้ากับอาหกเข้ามาประกบบรูโนคนละข้าง “คุณบรูโน มากับเรา”


 


 


“คุณจะทำอะไรผม ผมบอกก่อนนะ มีคนของผมอยู่ข้างนอก!”


 


 


อาห้าหัวเราะเยาะ “หุบปากไปเลย ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอก ถึงแม้พวกเขาจะอยู่ที่นี่ คุณให้ความร่วมมือกับเราดีๆ ดีกว่า จะได้ไม่เจ็บตัว ไม่อย่างนั้นผมจะต้องทำให้คุณสลบแล้วพาคุณออกไป แต่ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะเหนื่อย และคุณก็จะเจ็บตัว!”


 


 


“ที่นี่คือสวีเดน คุณทำแบบนี้กับผมไม่ได้!” บรูโนแผดเสียง แล้วตะโกนอีกว่า “มีตำรวจอยู่แถวนี้…”


 


 


“มานี่ หยุดตะโกนได้แล้ว ไม่เจ็บคอหรือไง ในเมื่อนายน้อยของเรากล้ามาถึงสวีเดน นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครทำอะไรเขาได้ ตำรวจสากลที่คุณเรียกมาที่นี่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ในห้องนายน้อย”


 


 


ในเวลาเดียวกันนั้นที่โรงแรมระดับห้าดาวในสวีเดน ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาทว่าดูโหดเ**้ยมกำลังเอนหลังพิงหน้าต่าง มองดูชายหลายคนที่ถูกมัดไว้กับโซฟา เมื่อเห็นพวกเขาค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “สวัสดีคุณสมิธ พบกันอีกแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกมัด สมิธก็จ้องมองชายคนนั้น “เจส!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม