ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 193-200

 ตอนที่ 193 ดีเลิศทั้งด้านหน้าตาและความสามารถ


 


 


“เธอเรียกเหอสือกุยหมอนั่นว่าอาจารย์ แต่กลับเรียกฉันรุ่นพี่ ไม่เท่ากับว่าเขาอาวุโสกว่าฉันหนึ่งขั้นหรอกเหรอ ทำไมคุณปู่ของเธอถึงต้องให้เธอเรียกเหอสือกุยว่าอาจารย์กันนะ เขาแทบจะไม่เคยสอนวิชาแพทย์ให้เธอ เทียบกันกับระยะเวลาที่ฉันกับเธอเรียนแพทย์แผนจีนด้วยกันยังนานกว่าเสียอีก”


 


 


น้ำเสียงฟังดูเหมือนสงบนิ่ง ทว่ากลับมีความโกรธเคืองบางอย่างแฝงไว้อยู่ ซึ่งอวี๋กานกานและจังซ่าเห็นจนคุ้นชินแล้ว เนื่องจากเฉินฝูหลีนับว่ามีชื่อเสียงในระดับหนึ่งแล้ว แต่ทว่าชื่อเสียงของเขายังคงตามหลังเหอสือกุยอยู่ตลอด ทำให้เขาไม่ชอบที่จะอยู่ต่ำกว่าเหอสือกุย


 


 


เฉินฝูหลีและจังซ่าพาอวี๋กานกานไปยังร้านอาหาร มีรุ่นพี่อีกสามสี่คนที่รอพวกเขาอยู่ที่นั่น ทุกคนล้อมวงพร้อมหน้าพร้อมตากันรับประทานหม้อไฟ คึกคักเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว เฉินฝูหลีวางแผนว่าจะไปร้องคาราโอเกะต่อ ส่วนรุ่นพี่คนอื่นๆ หากไม่ใช่ต้องไปอยู่เวรต่อ ก็มีเข้าเวรตอนเช้า หรือไม่ก็ติดธุระ จึงเหลือเพียงเฉินฝูหลีและจังซ่า


 


 


ร้านคาราโอเกะ ‘ทมิฬ’ เป็นร้านที่หรูหราที่สุดและตั้งอยู่ในเขตที่เจริญที่สุดของใจกลางเมืองปักกิ่ง ภายในร้านถูกตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา หรูหราโอ่อ่าราวกับพระราชวัง


 


 


จังซ่าจูงอวี๋กานกาน มองหน้าเฉินฝูหลี กล่าว “วันนี้ได้อาศัยบารมีของรุ่นพี่เฉิน ไม่เช่นนั้นเงินเดือนทั้งเดือนของหนูไม่พอจ่ายแน่ๆ”


 


 


เฉินฝูหลีชำเลืองมามองด้วยสายตาเย็นชา แก้ไขให้ถูก “เธอก็ต้องเรียกอาจารย์อา”


 


 


จังซ่าทำหน้าเหยเก “เว้นหนูไว้เถอะ หนูไม่ได้เรียกแพทย์เหอว่าอาจารย์เสียหน่อย”


 


 


มีรถบีเอ็มดับเบิลยูสีแดงคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง หอบโกยหิมะที่อยู่ข้างทางกระเด็นมาโดนอวี๋กานกานที่ยืนอยู่ริมสุด


 


 


อวี๋กานกานหลบเข้ามาด้านใน “นี่ไม่ใช่ทางด่วนสักหน่อย ทำไมถึงขับรถเร็วขนาดนี้” ในตอนที่เงยหน้าขึ้นมามองรถที่ขับอย่างอุกอาจคันนั้น กลับพบว่าหายลับไปจากสายตาแล้ว


 


 


จังซ่าแค่นเสียงหัวเราะเย็นยะเยือก “เหอะ ปักกิ่งเป็นเมืองหลวง พวกคนมีเงินมีอำนาจเยอะอย่างกับมด แต่ว่าโดยปกติแล้วคนที่รวยจริงๆ กลับอ่อนน้อมถ่อมตน พวกคนที่ทั้งเก่งทั้งหน้าตาดีก็สุดแสนจะลึกลับ อย่างจุฑาเทพทั้งสี่แห่งปักกิ่ง รถคันเมื่อกี้ที่ขับผ่านไปแค่ดูก็รู้ว่าพวกทำเป็นรวย กล้ามาขับรถซิ่งหน้าร้านคาราโอเกะ เกินไปหน่อยแล้ว”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะแล้วถาม “จุฑาเทพทั้งสี่แห่งปักกิ่ง? ทำไมชื่อยังกับวงบอยแบนด์ในวงการบันเทิง”


 


 


จังซ่ายักไหล่ “คนอื่นเขาเรียกกันมาแบบนี้ ฉันก็ไม่ได้รู้ลึก รู้เพียงแค่ว่าหนุ่มหล่อทั้งสี่คนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนมาก มีแบ็กอัปเป็นพวกมีอำนาจ น่าจะเป็นพวกลูกหลานตระกูลเก่าแก่ แต่พวกเขาต่างก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง เนื่องจากทั้งหน้าตาดีและมีความสามารถ จึงถูกขนานนามว่าสี่จุฑาเทพ”


 


 


เฉินฝูหลีเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าให้ฉันพูดน่ะนะ คนพวกนี้ไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจหรอก ถ้าไม่ได้อาศัยแบ็กอัปและครอบครัวที่มีอำนาจก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้รวดเร็วแบบนี้” เขาพูดพลางมองไปทางอวี๋กานกาน “ศิษย์หลาน วันหน้าหาแฟน อย่าเอาพวกคนแบบนี้มาเป็นแฟนล่ะ คนพวกนี้ไม่อยู่กับร่องกับรอย เข้าใจไหม”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะคิกคัก ผายมือทั้งสองออกไปด้านข้าง กล่าว “ดูสภาพหนูซะก่อน พวกเขาคงจะชอบหนูอยู่หรอก”


 


 


“ก็มีโอกาสที่จะไม่ชอบจริงๆ นั่นแหละ จากที่ฉันรู้มาทั้งสี่คนนี้เป็นเกย์ ได้ยินมาว่าคุณชายที่แซ่ลู่ กับคุณชายฟังอะไรนั้น พวกเขาเป็นคู่รักกัน ส่วนที่เหลืออีกสองคนถึงแม้จะไม่ได้เป็นคู่รักกัน แต่ก็ชอบผู้ชายทั้งคู่ ฉะนั้นพวกเราหมดโอกาสแล้วล่ะ แต่ว่ายังมีใครบางคนที่มีโอกาส…” จังซ่าพูดถึงประโยคหลัง สีหน้าเผยความชั่วร้าย คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อย หรี่สายตาส่งสัญญาณให้อวี๋กานกานมองไปที่เฉินฝูหลี


 


 


อวี๋กานกานปิดปากกลั้นหัวเราะ เฉินฝูหลีเดินอยู่ด้านหน้า ไม่ได้สนใจทั้งสองคนที่ซุบซิบกันอยู่ด้านหลัง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 194 การพบกัน พรหมลิขิต


 


 


หลังจากที่ทั้งสามเข้าร้านคาราโอเกะแล้ว พวกเขาสั่งชาร้อนหนึ่งแก้วกับพนักงานเพื่ออบอุ่นอุณหภูมิร่างกาย จากนั้นจึงเปิดเพลง


 


 


“น้องสาวนั่งหัวเรือ ส่วนพี่ลากเรืออยู่บนฝั่ง รักเอย…[1]”


 


 


นึกไม่ถึงว่าเมื่อเสียงดนตรีดังขึ้นจะเป็นเพลงเพลงนี้ ทั้งสามคนหัวเราะลั่น อวี๋กานกานส่งไมค์ให้กับจังซ่าและเฉินฝูหลี ทั้งสองคนเริ่มร้อง เมื่อถึงท่อนที่โน้ตสูงที่สุดไมค์ถูกยื่นมาตรงหน้าอวี๋กานกาน อวี๋กานกานตะเบ่งเสียงสูงร้อง “รอเพียงดวงอาทิตย์ลาลับหุบเขา จะให้พี่จุมพิตจนกว่าจะพึงพอใจ~”


 


 


พยางค์สุดท้ายร้องลากเสียงยาวเหยียดจนแทบจะหมดลม อวี๋กานกานถึงยอมหยุด จังซ่าฉวยโอกาสแอบขโมยหอมแก้มอวี๋กานกาน บรรยากาศภายในห้องคาราโอเกะครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง เฉินฝูหลีเริ่มบีบเสียงร้องเพลง ‘กุ้ยเฟยร่ำเมรัย[2]’


 


 


จังซ่านั่งลงข้างๆ อวี๋กานกาน กระซิบ “ปลาเค็มน้อย วันหน้าหาแฟน อย่าหาคนแบบเฉินฝูหลีเป็นอันขาดเชียวนะ ดูแวบแรกก็รู้ว่าเป็นรับชัวร์ป้าบ”


 


 


อวี๋กานกานขำพรืด เธอช่วยพูดแก้ตัว “รุ่นพี่เฉินเขาค่อนข้างทะนงตัว รู้หน้าที่ของตนเอง วันๆ ก็ยุ่งอยู่แต่กับงาน เลยไม่มีเวลาหาสาวๆ นะสิ พี่อย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเลย”


 


 


จังซ่าขยับเข้าไปกระซิบข้างหู “ฉันสงสัยมาตลอดว่าเขาแอบชอบอาจารย์ของเธอหรือเปล่า เธอต้องระวังไว้นะ จับตาดูอาจารย์ให้ดี อย่าปล่อยให้เขาทำให้อาจารย์เธอเบี่ยงเบนสำเร็จ”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะลั่น เกือบจะสำลักความสุขตาย ทว่าหลังจากที่หัวเราะจบแล้ว เธอรู้สึกว่าสิ่งที่จังซ่าพูดมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้ไปเสียหมด


 


 


เฉินฝูหลีกับอาจารย์ของเธอเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทั้งคู่มีกลิ่นอายของความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดอยู่นิดหน่อยจริงๆ  แม้ว่าอาจารย์คนสวยจะหน้าตางดงามแต่ก็มาดแมน เคยมีแฟนสาวหรือเปล่าข้อนี้เธอเองก็ไม่เคยถาม แต่ว่าสาวๆ ที่เคยผ่านเข้ามาก็นับได้ว่าเยอะทีเดียว ความจริงอาจารย์จะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย เธอไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แค่อาจารย์มีความสุขก็พอ


 


 


ทว่าอาจารย์เป็นถึงลูกชายที่คุณปู่รักและเอ็นดูมากที่สุด ในตอนที่คุณปู่รวยรินท่านตัดพ้อตลอดว่าไม่ได้อยู่ถึงเห็นอาจารย์เป็นฝั่งเป็นฝามีครอบครัว ดังนั้นเธอต้องเป็นหูเป็นตาให้คุณปู่ จะยอมให้อาจารย์เบี่ยงเบนไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้อาจารย์จะเบี่ยงเบน ก็ต้องให้เขามีหลานชายก่อนสักคนแล้วค่อยเบี่ยงเบน ไม่เช่นนั้นวันข้างหน้าเมื่อเธอไปเยือนปรโลก เธอคงไม่มีหน้าไปเจอคุณปู่


 


 


หลังจากที่ร้องเพลงกุ้ยเฟยร่ำเมรัยจบ จังซ่าและเฉินฝูหลีร่วมกันร้องเพลงรักอีกหนึ่งเพลง เมื่อเห็นว่าขนมและเครื่องดื่มบนโต๊ะลดลงไปพอสมควรแล้ว อวี๋กานกานเตรียมจะเอามาเติม แต่ไม่ได้สั่งผ่านพนักงาน เธอลงไปร้านสะดวกซื้อเล็กๆ ของร้านคาราโอเกะด้วยตัวเอง กะว่าจะซื้อขนมนมเนยสักสามสี่อย่างที่ทุกคนชอบกิน


 


 


อวี๋กานกานถือตระกร้า เลือกไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง “รุ่นพี่เฉินชอบดื่มนม ยี่ห้อนี่น่าจะอร่อย รุ่นพี่จังชอบกินเท้าไก่ดองพริกกับถั่ว…ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เธออีกสักขวดก็แล้วกัน”


 


 


อวี๋กานกานเดินทั่วร้านสะดวกซื้อหนึ่งรอบ หลังจากที่เลือกเสร็จแล้วกำลังเตรียมจะไปชำระสินค้า ในจังหวะที่เธอหมุนตัว จมูกชนเข้ากับหน้าอกของคนคนหนึ่งเข้าไปเต็มๆ


 


 


อวี๋กานกานเจ็บจี๊ด ถอยหลังไปหลายก้าวตามปฏิกิริยาของร่างกาย เหลือบสายตาขึ้นสบเข้ากับดวงตาแสนล้ำลึกคู่หนึ่งที่ฉายประกายแสงเย็นยะเยือก ทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอันตราย


 


 


ก่อนหน้านี้ที่จะแยกจากกัน เธอยังจำประโยคนั้นที่เขาพูดไว้ได้ดี ‘ถ้าผมกดคุณไว้กับกำแพงตั้งแต่ตอนนี้แล้วปิดปากคุณซะ หรือลากคุณขึ้นเตียงแล้วปลดเสื้อผ้าออก คุณก็จะเชื่อผมใช่ไหม’


 


 


เมื่อนึกถึงประโยคนี้ก็เหมือนกับสายพิณถูกบรรเลง เย้าหยอกหัวใจ


 


 


อวี๋กานกานก้าวถอยหลังอัตโนมัติ “ทำไมนายมาอยู่ที่นี่”


 


 


เธอถูกฟังจือหันบีบจนหลังติดกับชั้นวางสินค้า กล่าวออกมาพร้อมกัน “ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เป็นเพลงชื่อ 纤夫的爱 (ความรักของหนุ่มรับจ้างลากเรือ) เป็นอาชีพของชาวจีนสมัยก่อน ที่รับจ้างลากเรือที่ติดโขดหิน ตอไม้ เป็นต้น เนื้อเพลงเกี่ยวกับหนุ่มลากเรือร้องเพลงจีบสาวที่นั่งอยู่บนเรือ ตอบโต้กันไปมา ร้องโดย อิ่นเซียงเจี๋ยและอวี๋เหวินหวา


 


 


[2] กุ้ยเฟ้ยร่ำเมรัย (贵妃醉酒) ร้องโดย หลีอวี๋กัง เป็นการร้องแบบแนวเพลงสมัยใหม่รวมเข้ากับงิ้วจีน โดยหลีอวี๋กังรับบทร้องสองเสียงคือเสียงผู้ชายร้องแบบแนวเพลงสมัยใหม่ และเสียงผู้หญิงร้องแบบงิ้วจีน ซึ่งเป็นโน้ตที่เสียงสูงมาก


ตอนที่ 195 หน้าที่สามี


 


 


อวี๋กานกานเบิกตาโตมองชายตรงหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะประโยคสุดท้ายของเขา เธอคงนึกว่าเขาแอบตามเธอมา เหมือนกับซาแซง[1]ดาราอะไรเทือกนั้น ระยะห่างของทั้งสองใกล้กันมาก เป็นธรรมดาที่อวี๋กานกานจะได้กลิ่นเหล้าจากฟังจือหัน เธอจำได้ว่าตอนนี้ไปกินข้าวด้วยกัน ฟังจือหันไม่ดื่มเหล้าด้วยซ้ำ


 


 


ฟังจือหันตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบนิ่งหนึ่งประโยค “งานวันเกิดเพื่อน แค่แวะมาดื่มแก้วสองแก้วเดี๋ยวก็ไปแล้ว”


 


 


ใครต้องการคำอธิบายจากเขากัน ชอบดื่มไม่ชอบดื่มก็เรื่องเขา อวี๋กานกานสะกิดหัวไหล่ของฟังจือหัน “ขอทางหน่อย เพื่อนรอฉันอยู่”


 


 


ฟังจือหันชำเลืองมองตระกร้าในมือของอวี๋กานกาน พร้อมกับเอี้ยวตัวหลีกทาง


 


 


อวี๋กานกานเดินไปชำระสินค้า ฟังจือหันเดินตามมา เมื่อเห็นอวี๋กานกานหยิบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นมา เขายื่นมือออกมายึดไป “นี่มันเหล้า”


 


 


“ฉันไมได้ดื่ม ซื้อให้รุ่นพี่”


 


 


ฟังจือหันยอมคืนกลับมาแต่โดยดี พนักงานนำสินค้าทั้งหมดสแกนบาร์โค้ด ยิ้มแล้วกล่าว “ทั้งหมดสามร้อยแปดสิบแปดหยวนค่ะ”


 


 


อวี๋กานกานไม่รีบร้อนชำระเงิน เธอหันศีรษะไปมองฟังจือหันที่ยืนอยู่ข้างๆ “นายจ่าย”


 


 


ราวกับว่าสายตาลึกล้ำของฟังจือหันต้องการมองเธอให้ทะลุไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ “กระเป๋าสตางค์อยู่ในเสื้อโค้ต”


 


 


“ไปเอามาสิ” อวี๋กานกานเดาได้ตั้งแต่แรกที่เห็นเขาไม่ได้สวมเสื้อโค้ตแล้ว จึงจงใจให้เขาเป็นคนจ่าย เพื่อต้องการสลัดเขาให้หลุด


 


 


“เธอจ่าย” อาศัยข้อได้เปรียบจากส่วนสูง เป็นอีกครั้งที่ฟังจือหันใช้ฝามือหนาของเขาลูบลงบนศีรษะของเธอ


 


 


อวี๋กานกานไม่สบอารมณ์ “เอาเปรียบฉันตลอด บอกกับคนอื่นว่าเป็นสามีฉัน การเป็นสามีคนอื่นเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะเป็นก็เป็นได้แบบชุ่ยๆ ต้องหัดทำหน้าที่ของสามีบ้าง อย่างเช่น จ่ายเงินแทนภรรยา”


 


 


ฟังจือหันพูดอย่างใจกว้าง “เดี๋ยวผมคืนให้สองเท่า”


 


 


“ค่าห้องนายยังไม่เคยจ่ายฉันเลย ไม่รู้ว่านายจะโม้ไปถึงเมื่อไร” อวี๋กานกานโบกมือออกคำสั่งให้เขารีบไปเอากระเป๋าสตางค์


 


 


พนักงานจ้องมองคู่รักหนุ่มหล่อสาวสวยโต้เถียงกันไปมา เม้มปากอมยิ้มกล่าว “สามารถชำระผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้นะคะ”


 


 


อวี๋กานกานหันขวับไปมองพนักงาน น้องสาว ใครต้องการให้เขาจ่ายจริงๆ กันเล่า ความหวังดีของเธอกำลังทำร้ายฉันนะ


 


 


ฟังจือหันถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “จ่ายยังไงเหรอ”


 


 


พนักงานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “…”


 


 


อวี๋กานกานเองก็เบิกตาโตโดยที่ไม่รู้ตัว ภายในแววตาฉายประกายความงุนงง ถามออกมาด้วยความสงสัยขีดสุด “นายไม่มีวีแชทเหรอ”


 


 


“มี”


 


 


“ก็จ่ายกับวีแชทสิ”


 


 


ฟังจือหันไม่ขยับเขยื้อน เป็นเพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าจ่ายกับวีแชททำอย่างไร เขาใช้วีแชทน้อยมาก มีไว้แค่ประดับตกแต่งมือถือ


 


 


อวี๋กานกานพูดอะไรไม่ออก


 


 


พนักงานกล่าว “อาลีเพย์ล่ะคะ”


 


 


ฟังจือหันไม่ได้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันไว้ด้วยซ้ำ


 


 


พนักงานเหม่อมองท้องฟ้าอย่างหมดกำลัง หนุ่มหล่อ ฉันหมดทางช่วยคุณแล้วจริงๆ


 


 


“เงินก็ไม่จ่าย หลังจากนี้ห้ามบอกกับคนอื่นว่าเป็นสามีของฉันอีก” อวี๋กานกานเปิดแอปพลิเคชันในมือถือ ยืนคิวอาร์โค้ดให้พนักงานสแกน สลัดไม่หลุด เงินก็ไม่จ่ายแถมยังไม่ยอมไปไหน งั้นไม่สู้ใช้โอกาสนี้ห้ามเขาพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดีกว่าเหรอ


 


 


หลังจากที่ชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว อวี๋กานกานเตรียมจะออกจากร้านสะดวกซื้อ ส่วนสินค้าที่ซื้อพนักงานจะนำไปส่งให้ที่ห้องคาราโอเกะ ทันทีที่ก้าวเท้าคอเสื้อของเธอถูกฟังจือหันคว้าเอาไว้ อวี๋กานกานถอยหลังไปหลายก้าวจนชนเข้ากับแผ่นอกของฟังจือหัน ท่อนแขนเรียวยาวของฟังจือหันโอบรอบบริเวณคอของอวี๋กานกานกอดเธอเอาไว้ในอ้อมอก “จะไปไหน”


 


 


“กลับห้องคาราโอเกะ ไปอยู่เป็นเพื่อนพวกรุ่นพี่ไง” อวี๋กานกานดันฟังจือหันออก แต่ว่าด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเธอ สำหรับฟังจือหันแล้วก็เหมือนกับมดขย่มต้นไม้ใหญ่ ไม่สะทกสะท้าน


 


 


“อยู่กับผม” จู่ๆ น้ำเสียงของฟังจือหันก็อ่อนลงหลายระดับ แฝงไว้ด้วยความทุกข์ใจกระซิบร้องขอข้างใบหูของเธอ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ซาแซง หมายถึง กลุ่มแฟนคลับที่ต้องการใกล้ชิด หรืออยากรู้เรื่องราวของดารา ศิลปินมากเกินความพอดีจนรุกล้ำความเป็นส่วนตัว เช่นดักเจอหน้าบ้าน ดักเจอตามโรงแรม ติดเรื่องสะกดรอย เป็นต้น  


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 196 ไม่ใช่แฟนแต่เป็นสามี


 


 


“ไม่ล่ะ” อวี๋กานกานปฏิเสธ


 


 


พูดยังไม่ทันขาดคำ ราวกับเป็นการลงโทษ ฟังจือหันกระชับเธอไว้ในอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้น


 


 


อวี๋กานกานร้อง “โอ้ย” เสียงหลง


 


 


จังซ่าเห็นว่าอวี๋กานกานออกไปนานแล้วยังไม่กลับเข้ามา หลังจากที่ร้องจบไปหนึ่งบทเพลง จึงออกมาตามหา เห็นจากไกลๆ ว่าอวี๋กานกานกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งกอดคอ หัวใจของเธอกระตุกวูบทันที บวกกับได้ยินเสียงร้องของอวี๋กานกาน เธอก็ระเบิดออกมาทันที คิดว่าอวี๋กานกานถูกลวนลาม จังซ่าวิ่งเข้าไปด้วยความเร็วสูงสุด ตะโกนเสียงดังใส่ฟังจือหัน “แกจะทำอะไรน่ะ”


 


 


อวี๋กานกานเห็นจังซ่าที่เดือดปุดๆ วิ่งพุ่งเข้ามาประหนึ่งต้องการจะต่อยฟังจือหัน จังซ่าเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง มีหรือจะใช่คู่มือของฟังจือหัน เธอเคยเห็นฝีไม้ลายมือด้านการชกต่อยของฟังจือหันมาแล้ว ลูกถีบนั้นสามารถทำให้กระอักเลือดได้ จังซ่าไม่มีทางทนไหวแน่


 


 


อวี๋กานกานยกมือปราม รีบตะโกนบอกจังซ่า “รู้จักกัน รู้จักกัน…”


 


 


จังซ่าหยุดฝีเท้าลงทันที ถามด้วยความสับสนงุนงง “เธอว่าไงนะ รู้จักกันเหรอ”


 


 


ใบหน้าของอวี๋กานกานขึ้นสีเล็กน้อย พอดีกับที่ฟังจือหันผ่อนแรงลง เธอจึงฉวยโอกาสดิ้นหลุดออกมาแล้วเดินไปยืนข้างๆ จังซ่า “ใช่ๆ คนรู้จัก”


 


 


จังซ่าถอนหายใจ สายตาจับจ้องไปที่ฟังจือหัน มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า กลับพบว่าก็ไม่ได้มีอะไรไม่น่าไว้วางใจ ผู้ชายคนนี้ไม่ว่าจะด้านออร่าหรือหน้าตาก็ล้วนสมบูรณ์แบบไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ยืนคู่กับอวี๋กานกาน คนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลา เย่อหยิ่งเย็นชา อีกคนน่ารักสดใส จิตใจงดงาม ดูรักใคร่กลมเกลียวเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก


 


 


“แฟน?” จังซ่าเขยิบเข้าใกล้ใบหูของอวี๋กานกาน เอ่ยปากถามด้วยเสียงบางเบาประหนึ่งเสียงยุงบิน มีเพียงแค่อวี๋กานกานเท่านั้นที่ได้ยิน


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกเสียววาบที่สันหลัง รีบส่ายศีรษะ จากนั้นแนะนำฟังจือหันให้จังซ่าอย่างเป็นกันเอง “นี่ฟังจือหัน”


 


 


จากนั้นหันไปพูดกับฟังจือหัน “นี่รุ่นพี่ของฉันเอง พี่จังซ่า”


 


 


ฟังจือหันพยักหน้าให้จังซ่าถือว่าเป็นทักทาย แต่ยังคงไว้ซึ่งสีหน้าเย็นชา


 


 


“พวกเรายังมีธุระ ขอตัวนะ” สายตาสุกใสของอวี๋กานกานแฝงไว้ซึ่งความคาดหวังอะไรบางอย่างเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าฟังจือหันไม่ได้คัดค้านอะไร เธอก็จูงมือจังซ่าเดินออกมาทันที


 


 


จังซ่าหันกลับไปมองฟังจือหันแวบหนึ่ง ฟังจือหันชื่อนี้ค่อนข้างคุ้นหูอยู่บ้าง แต่จู่ๆ ก็นึกไม่ออกขึ้นมาว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน


 


 


จังซ่าถามอวี๋กานกาน “หนุ่มคนนั้นมองแวบแรกก็รู้เลยว่าเป็นบุปผาบนยอดเขา อีกทั้งยังเป็นบุปฝาที่ผลิบานอยู่บนยอดภูเขาหิมะ เธอไปเด็ดดอกไม้ดอกนี้มาได้ยังไงกันจ้ะ”


 


 


อวี๋กานกานส่ายมือปฏิเสธพัลวัน รีบพูด “หนูบอกแล้วว่าไม่ใช่แฟนหนู”


 


 


จังซ่าไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน แม้ว่าเมื่อคู่ทั้งสองคนจะไม่ได้ปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรกัน รวมถึงไม่มีการสัมผัสเนื้อต้องตัว แต่ในสายตาที่สื่อออกมามันเต็มไปด้วยความละมุนละไม ให้ความรู้สึกถึงสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น มีกลิ่นพิรุธ


 


 


“งั้นเธอรู้จักเขาได้ยังไง”


 


 


“ที่จริง…เขาเป็น…คนไข้ของหนู” อวี๋กานกานหาข้ออ้างไปตามน้ำ


 


 


“คนไข้?”


 


 


“อือ”


 


 


“ป่วยเป็นอะไร”


 


 


ฟังจือหันไม่ได้ป่วยเป็นอะไร อวี๋กานกานคิ้วขมวด พูดอ้อมๆ “โรคจำพวกที่พูดออกมาไม่ค่อยได้น่ะค่ะ”


 


 


สายตาของจังซ่าแฝงไว้ด้วยความงุนงง แต่ภายในวินาทีถัดมาก็เข้าใจอย่างฉับพลัน “นกเขาไม่ขัน!”


 


 


เข้าใจผิดแล้ว อวี๋กานกานเอามือกายหน้าผาก “…”


 


 


เธอไม่ได้จงใจจะดิสเครดิตฟังจือหันนะ ทั้งหมดนี้จังซ่าเข้าใจผิดไปเอง!


 


 



 


 


กลับถึงห้องคาราโอเกะ เสียงโทรศัพท์ของอวี๋กานกานดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นข้อความที่ส่งมาจากฟังจือหัน


 


 


[ลงมาที่ลานจอดรถ]


 


 


ถ้อยคำเรียบง่ายไม่กี่พยางค์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ แต่กลับชวนให้รู้สึกถึงความเผด็จการที่ไม่อาจปฏิเสธได้


ตอนที่ 197 นายก็ไม่ชอบหิมะเหมือนกันเหรอ


 


 


อวี๋กานกานใบหน้าบึ้งตึง เธอไม่ได้ลงไปในทันทีที่เห็นข้อความ ตอบกลับ [รุ่นพี่จังซ่ากับเฉินฝูหลีอุส่าเลี้ยงต้อนรับฉัน ถ้าฉันหนีออกมากลางคัน นี่มันเท่ากับอะไร]


 


 


[ฟังจือหัน : มีรุ่นพี่ผู้ชายด้วย? ลงมาเดี๋ยวนี้!]


 


 


[อวี๋กานกาน : ไม่]


 


 


[ฟังจือหัน : ผมจะไปหาคุณที่ห้องคาราโอเกะ]


 


 


[อวี๋กานกาน : งั้นนายก็ต้องหาห้องที่ฉันอยู่ให้เจอก่อนล่ะนะ]


 


 


[ฟังจือหัน : C517]


 


 


อวี๋กานกานช็อก เพราะนั้นเป็นเลขห้องคาราโอเกะที่เธออยู่จริงๆ [นายห้ามขึ้นมา]


 


 


[ฟังจือหัน : สิบนาที คุณไม่ลงมาผมจะขึ้นไปเอง]


 


 


[อวี๋กานกาน : สามสิบนาที] ชั่วโมงร้องเพลงของพวกเธอยังเหลืออีกสี่สิบนาที สิบนาทีสุดท้ายเป็นเวลาที่ค่อนข้างเหมาะสมในการบอกแยกย้าย


 


 


[ฟังจือหัน : ยี่สิบ]


 


 


ฟังจือหันตอบกลับแทบจะในทันที ข้อเสนอสุดท้ายสองพยางค์สั้นกระชับได้ใจความ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายอันตราย


 


 


หลังจากผ่านไปแล้วยี่สิบนาที อวี๋กานกาน เฉินฝูหลีและจังซ่าออกมาจากร้านคาราโอเกะพร้อมกัน เฉินฝูหลีอาสาจะไปส่งอวี๋กานกานและจังซ่า แต่ทั้งคู่ปฏิเสธเนื่องจากไม่ได้กลับทางเดียวกัน


 


 


อากาศตอนกลางคืนอุณหภูมิติดลบ ลมหนาวโบกพัดมาพร้อมกับหิมะกระทบเข้ากับร่างกาย ราวกับว่ามันสามารถทิ่มแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก ยืนได้ไม่นานทุกคนก็เริ่มจะทนหนาวไม่ไหวแล้ว ทั้งสามคนสนิทกันมาก อีกทั้งนี่ก็ยังไม่ดึกมากเพิ่งจะสามทุ่มกว่า ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรกันอีก


 


 


จังซ่าและเฉินฝูหลีเรียกแท็กซี่กลับกันไปแล้ว อวี๋กานกานหดคอ รีบวิ่งไปที่ลานจอดรถ มีรถออฟโรดทหารคันหนึ่งจอดเทียบข้างๆ อวี๋กานกาน เธอเห็นว่าฟังจือหันนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถ จึงรีบเปิดประตูหอบเอาลมหนาวก้าวขึ้นนั่งตรงตำแหน่งข้างคนขับทันที 


 


 


ฮีตเตอร์ภายในรถยนต์ช่วยให้ร่างกายของเธอรู้สึกเบาสบายขึ้นทีละน้อย สองมือของเธอผสานเข้าด้วยกันอยู่บริเวณริมฝีปากพร้อมกับเป่าลมสองสามครั้ง


 


 


ฟังจือหันเอาเสื้อโค้ทของตนเองคลุมให้อวี๋กานกานอย่างแน่นหนา มีเพียงใบหน้าจิ้มลิ้มขนาดเท่าฝ่ามือที่โผล่ออกมา นิ้วมือของเขาลูบผ่านพวงแก้มของอวี๋กานกาน สัมผัสได้ถึงไอเย็นเฉียบ ฟังจือหันพูดอย่างจริงจัง “ดึกดื่นแถมยังอากาศหนาวขนาดนี้ ออกมาร้องพงร้องเพลงอะไรกัน”


 


 


มือของเขาประคองไปที่ใบหน้าอันเย็นเยียบ ไออุ่นส่งผ่านฝ่ามือมายังใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานกาน


 


 


เดิมทีอวี๋กานกานต้องการจะตีมือของฟังจือหัน แต่เธอหนาวจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่อยากจะขยับมือ ทำเพียงแค่จ้องเขม็งไปที่ฟังจือหัน “นายก็ออกมาเที่ยวเล่นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”


 


 


“คุณจะเหมือนกับผมได้ไง”


 


 


“ไม่เหมือนยังไง”


 


 


“ผมไม่กลัวความหนาว คุณก็ไม่กลัวเหมือนกันหรือไง”


 


 


อวี๋กานกานคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ตอนแรกเธอนึกว่าฟังจือหันจะบอกว่าเขาเป็นผู้ชาย ส่วนเธอเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็จะสามารถโต้เถียงกลับได้ว่านี่แหละความคิดของพวกชายแท้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตอบว่าไม่กลัวความหนาว ซึ่งทำให้เธอจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไปดี


 


 


ฝ่ามือร้อนๆ ของชายหนุ่มกำลังละลายความเย็นบนใบหน้าอันเย็นเยียบของเธอ อวี๋กานกานพูดติดอ่าง “ระ รีบไปเถอะ ดะ เดี๋ยวจะโดนใบสั่ง!”


 


 


ฟังจือหัน “…”


 


 


รถยนต์ขับเคลื่อนไปอย่างมั่นคงอยู่บนถนน ร่างกายของอวี๋กานกานอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว เธอถอดเสื้อโค้ทของฟังจือหันออก สูดน้ำมูก “น่าเบื่อ หิมะจะตกอีกนานไหมเนี่ย”


 


 


ฟังจือหันไม่ได้ตอบเธอในทันที จนกระทั่งรถติดไฟแดง เขาหันศีรษะจ้องไปที่อวี๋กานกานโดยไม่ละสายตา นัยน์ตาลึกซึ้งและซับซ้อน จากนั้นเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณไม่ชอบหิมะ?”


 


 


อวี๋กานกานส่ายหน้าแสดงออกว่าไม่ชอบ  


 


 


“ทำไมล่ะ” ราวกับว่าสายตาของเขาซ่อนเมฆหมอกหนาที่ไม่มีวันสลายเอาไว้ จ้องเข้าไปยังดวงตาของเธอประหนึ่งต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง


 


 


“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ”


 


 


ฟังจือหันไม่ได้กล่าวอะไรต่อ ทำเพียงแค่มองออกไปยังนอกหน้าต่างที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย นัยน์ตาเก็บซ่อนความไม่พอใจบางอย่างเอาไว้


 


 


อวี๋กานกานมองฟังจือหัน จากนั้นมองไปยังหิมะนอกหน้าต่าง ถามด้วยความสงสัย “นายก็ไม่ชอบหิมะเหมือนกันเหรอ”


 


 


หิมะแสนสวย ให้ความรู้สึกสะอาด บริสุทธิ์และงดงาม คนทั่วไปจึงมักจะชื่นชอบมัน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 198 จุดที่ไม่ชอบตรงกัน


 


 


ฟังจือหันได้สติคืนกลับมา พอดีกับรถด้านหน้าที่เริ่มเคลื่อนตัว เขาค่อยๆ เหยียบคันเร่ง พร้อมกลับตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ไม่ชอบ”


 


 


ไม่ใช่แค่ไม่ชอบ เรียกว่าเกลียดเลยก็ยังได้


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะ “ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงเลยเนอะ ว่าพวกเราจะไม่ชอบหิมะเหมือนกัน”


 


 


เธอไม่ได้ถามว่าทำไมถึงไม่ชอบ เพราะอย่างไรเสียไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ชอบหิมะก็เหมือนกับการที่ไม่ชอบฝน ไม่ชอบตากลม ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมาย


 


 


เนื่องจากหิมะตกรถยนต์ทุกคันจึงขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่ค่อนข้างต่ำ ระยะเวลาการเดินทางจากครึ่งชั่วโมงก็กลายมาเป็นชั่วโมงครึ่ง เมื่อเห็นหอพักอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า อวี๋กานกานค่อนข้างสับสน เธอนึกว่าฟังจือหันเรียกเธอลงมาจะมีเรื่องอะไรเสียอีก คาดไม่ถึงว่าเขาแค่ต้องการจะมาส่ง


 


 


อวี๋กานกานบ่นพึมพำหนึ่งประโยค “ก็แค่จะมาส่งฉัน นายจะรีบร้อนอะไรนักหนากับสิบนาทียี่สิบนาที ฉันกับพวกรุ่นพี่ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว”


 


 


ฟังจือหันถาม “คุณจะกลับไป๋หยางพรุ่งนี้?”


 


 


“เปล่า”


 


 


“แล้วจะรีบร้อนไปทำไม”


 


 


อวี๋กานกานทำหน้าบึ้ง กำลังจะเถียงกลับ ทันใดนั้นก็มีบัตรเครดิตอเมริกันเอ็กเพรสสีดำยื่นมาตรงหน้า


 


 


อวี๋กานกานอึ้งไปเล็กน้อย “นี่…”


 


 


ฟังจือหัน “สองเท่า”


 


 


อวี๋กานกานกระพริบตาแล้วกระพริบตาอีก หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าฟังจือหันไม่ได้แกล้งเธอ ตัดสินใจว่าจะยื่นมือออกไปรับ ช่วงนี้เธอเองก็ไม่มีเงินจนจานชามดังเคร้ง[1] แต่ว่า…


 


 


ฟังจือหันพูดขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค “สำหรับค่าใช้จ่ายในครอบครัว”


 


 


อวี๋กานกานที่ลังเลใจอยู่ เมื่อได้ยินเขาพูดอะไรประโยคนี้ออกมาก็ไม่อยากรับขึ้นมาทันที ถ้าเธอรับนั่นไม่เท่ากับว่ายอมรับว่าเขาเป็นคนในครอบครัวแล้วหรอกหรือ


 


 


ใบหน้าจิ้มลิ้มของอวี๋กานกานบึ้งตึงทันที หันศรีษะไปอีกทาง “ไม่ล่ะ”


 


 


ฟังจือหันเองก็ไม่พูดโน้มน้าวอะไรต่อ เก็บบัตรเครดิตเข้ากระเป๋า


 


 


อวี๋กานกานจู่ๆ ก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา “…”


 


 


ที่ไป๋หยางฟังจือหันทั้งอยู่บ้านเธอ กินข้าวบ้านเธอ ตามหลักการแล้วการที่เธอจะเก็บเงินนิดๆ หน่อยๆ มันก็เป็นเรื่องที่สมควรจะทำ เธอเองก็ไม่ใช้หญิงแกร่ง ทำไมถึงได้ดื้อดึงปล่อยโอกาสนี้หลุดไปโดยเสียเปล่า ควรจะเจรจาต่อรองดูสักหน่อย เธอมองฟังจือหันที่กำลังเก็บบัตรเครดิตเข้ากระเป๋าสตางค์ตาละห้อย สีหน้าเสียดายขีดสุด


 


 


ฟังจือหันเห็นสีหน้าท่าทางสองจิตสองใจของอวี๋กานกานแล้วรู้สึกขำขันขึ้นมา เขายื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ในมือของอวี๋กานกาน 


 


 


อวี๋กานกานสะดุ้ง ถลึงตาด้วยความโกรธ “เอาโทรศัพท์ฉันไปทำไม คืนมานะ!”


 


 


โทรศัพท์ตั้งรหัสปลดล็อกหน้าจอเอาไว้ ฟังจือหันไม่รู้รหัส เขายื่นโทรศัพท์ไปตรงหน้าอวี๋กานกาน “ปลดล็อกหน้าจอ”


 


 


“นายจะทำอะไร โทรศัพท์เป็นของใช้ส่วนตัวจะมาแอบดูกันไม่ได้” อวี๋กานกานต้องการจะแย่งมือถือกลับมา เธอจับตรงส่วนปลายของโทรศัพท์ยื้อแย่งกับฟังจือหัน แต่ทว่าโทรศัพท์กลับนิ่งไม่ไหวติง ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


 


 


มุมปากของฟังจือหันยกขึ้นเล็กน้อย “ผมจะดูแบบเปิดเผย”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


เธอจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของฟังจือหัน แต่ก็คาดเดาไม่ได้เลยว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ถึงอย่างไรในโทรศัพท์ของเธอก็ไม่ได้มีอะไรที่ให้คนอื่นเห็นไม่ได้อยู่แล้ว เขาอยากจะส่องก็ให้เขาส่องๆ ไปเถอะ


 


 


อวี๋กานกานปลดล็อกหน้าจอ จากนั้นเอียงตัวโน้มเข้าไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อดูว่าฟังจือหันต้องการจะทำอะไรกันแน่


 


 


ฟังจือหันเปิดกระเป๋าสตางค์ในวีแชทของเธอ กดไปตรงบัตรธนาคาร จากนั้นผูกบัตรของตัวเองเข้ากับบัญชีของอวี๋กานกาน


 


 


อวี๋กานกานตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “…”


 


 


หลังจากที่กรอกข้อมูลเสร็จแล้ว ฟังจือหันคืนโทรศัพท์ให้เธอ เอ่ยเสียงเรียบ “ขึ้นไปได้แล้ว”


 


 


อวี๋กานกานไม่ขยับเขยื้อน จ้องมองฟังจือหันด้วยสายตาไม่เข้าใจ


 


 


ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาแพรวพราวแฝงไว้ด้วยพลุไฟท่ามกลางความมืดมิด ราวกับว่าต้องการจะแผดเผาเธอ “ไม่ลงจากรถ จะกลับกับผม?”


 


 


ริมฝีปากของเขาเข้าใกล้ใบหูของเธออย่างช้าๆ วาจาคลุมเครือ น้ำเสียงแผ่วเบา หยอกเย้าหัวใจให้อ่อนระทวย


 


 


 


 


——


 


 


[1] อุปมาว่ายากจนมาก ในชามไม่มีข้าวจนเกิดเสียงช้อนและชามกระทบกันดังเคร้ง 


ตอนที่ 199 โดนด่าโดยไม่มีสาเหตุ


 


 


ยวงแก้มของอวี๋กานกานขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างฉับพลัน เธอดันฟังจือหันออก จากนั้นเปิดประตูลงจากรถ หลังจากที่ปิดประตูรถแล้วเธอหันไปมองทางฟังจือหัน กะว่าจะใช้น้ำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ไล่เขาให้รีบๆ กลับไป กระจกรถยนต์ค่อยๆ ลดลง ฟังจือหันชิงพูดขึ้นก่อน “อากาศหนาว รีบเข้าไปได้แล้ว”


 


 


อวี๋กานกานสูดน้ำมูก หนาวจริงๆ ด้วยแฮะ เธอหดคอ ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือให้ฟังจือหัน แล้วจึงวิ่งเข้าไปยังหอพักด้วยจังหวะหายใจที่ค่อนข้างรัวและถี่


 


 


ที่ห้องโถงไม่มีฮีตเตอร์ อวี๋กานกานคิดเพียงแค่ว่าอยากรีบกลับไปที่ห้อง จะได้อาบน้ำร้อนๆ นอนคดตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ เธอผลักประตูกระจกที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นเงยหน้าขึ้น เห็นคนสองคนยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน คนหนึ่งคือซย่าเฉิงโจว อีกคนคือซูจิ่วซาน เธอเองก็ไม่รู้ว่าระหว่างสองคนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นเพียงแค่นัยน์ตาแดงก่ำของซูจิ่วซาน เหมือนกับว่ากำลังจะร้องไห้ ส่วนซย่าเฉิงโจวหลุบสายตาลงต่ำ สีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด


 


 


อวี๋กานกานนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย หรือว่านี่เธอกำลังเจอกับสถานการณ์คู่รักทะเลาะกัน แบบนี้ก็อิหลักอิเหลื่อนะสิ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อวี๋กานกานแสร้งทำเป็นเล่นโทรศัพท์มือถือ เดินผ่านทั้งคู่โดยไม่หันไปมอง จากนั้นใช้ความเร็วสูงสุดเดินกลับไปยังห้องของตนเอง


 


 


อวี๋กานกานนึกว่าเรื่องคงจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ เธอนอนหงายอยู่บนเตียง เอาแต่คิดเรื่องบัตรของฟังจือหันที่ผูกกับบัญชีวีแชทของเธอ การที่เขาผูกบัตรไว้กับบัญชีเธอ เขาไม่กลัวว่าเธอจะใช้เงินในบัตรเขาจนหมดเกลี้ยงเหรอ เธอสามารถถลุงเงินจนล้มละลายได้เลยนะ


 


 


อวี๋กานกานประเดี๋ยวคิดว่าจะใช้เงินอย่างไร ควรจะซื้ออะไรดี ประเดี๋ยวคิดเอ๊ะหรือว่าจะลบบัตรนี้ทิ้งดี เธอนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมา จนกระทั่งตาปรือด้วยความง่วงแล้วก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไรดี


 


 


ส่วนเรื่องที่บังเอิญไปเจอกับซูจิ่วซานและซย่าเฉิงโจว เธอไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะชีวิตคนเราตั้งแต่โบราณกาล การพบเจอหน้ากันในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องปกติที่สุดเรื่องหนึ่ง


 


 


วันถัดมา อวี๋กานกานถือโน้ตบุ๊กและหนังสือเรียนเดินไปยังห้องสัมมนาพร้อมกับหวังไอ้เจินโดยระหว่างทางก็พลางคุยเล่นกันไปด้วย อวี๋กานกานหัวเราะตาหยี กำลังฟังหวังไอ้เจินเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับลูกสาวของตนเอง แต่ทันใดนั้นกลับถูกซูจิ่วซานขวางทางเอาไว้


 


 


สายตาของซูจิ่วซานเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความเกียจชังเล็กน้อย เธอกำหมัดขบกรามกรอด ถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน “อวี๋กานกาน เธอมันไม่มีศีลธรรมสักนิดเลยหรือยังไง”


 


 


ทั้งยังมีเซียวเสี่ยวอิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยส่งเสียงถอนหายใจดัง “หึ!” ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม


 


 


อวี๋กานกานใช้สายตาสุดแสนจะแปลกประหลาดมองพวกเขา ในนั้นมีความสับสนงุนงง ไม่เข้าใจและความสงสัย…


 


 


ท่าทางของซูจิ่วซานดูโกรธมาก ทั้งตัวสั่นเทาเล็กน้อย “เรื่องวันนั้นฉันก็แค่ถามด้วยความสงสัยนิดๆ หน่อยๆ ก็แค่ถามเธอตอนวันแรกของการสัมมนาเท่านั้น ทำไมเธอถึงได้ไร้ศีลธรรมแบบนี้ ข่าวลือบ้าบออะไรก็ปล่อยออกไป ถ้ามีเวลามาตัดสินผิดถูกให้คนอื่น ก็เอาเวลานี้ไปศึกษาตั้งใจเล่าเรียนวิชาแพทย์เถอะ”


 


 


หลังจากพูดทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้จบ ซูจิ่วซานแสดงท่าทีว่าตนเองกำลังแบกรับความน้อยเนื้อต่ำใจด้วยความแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว ก้าวเท้าเดินจากไป


 


 


“อนาคตของแพทย์แผนจีนต้องมาพังพินาศด้วยคนแบบเธอ ด้วยน้ำมือพวกคนไม่มีศีลธรรมไงล่ะ” เซียวเสี่ยวอิงก็สั่งสอนอวี๋กานกานไปหนึ่งประโยคเช่นกัน อีกทั้งยังจงใจกระแทกไหล่ใส่อวี๋กานกาน ก่อนจะเดินจากไปพร้อมซูจิ่วซาน


 


 


อวี๋กานกานมีสีหน้าที่สับสนและงุนงง เพราะว่าครั้งนี้เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


 


เธอพูดอะไร


 


 


เธอทำอะไร


 


 


ผิดมหันต์และน่ารังเกียจขนาดไหน ถึงได้ทำให้ทั้งสองคนนี้ จู่ๆ ก็เดินดุ่มๆ เข้ามาด่ากราดใส่เธอเป็นชุดๆ ทั้งยังไม่เอ่ยถึงสาเหตุของเรื่องด้วย


 


 


อวี๋กานกานทำหน้าเคร่งเครียด มองไปทางหวังไอ้เจินที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ “หนูแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หนูไปทำอะไรให้พวกเขา”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 200 หมอบอยู่ยังโดนยิง[1]


 


 


หวังไอ้เจินยิ้มเจื่อน “เท่าที่ฉันรู้มานะ เมื่อคืนเสี่ยวซูสารภาพรักกับเสี่ยวซย่า แต่เหมือนว่าจะถูกเสี่ยวซย่าปฏิเสธ ทีแรกเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวลือมาจากใคร วันนี้มีแพทย์ที่แอบชอบเสี่ยวซูคนหนึ่ง เขาเข้าไปปลอบใจเสี่ยวซู ปรากฏว่าเขาดันเผลอหลุดปากพูดเรื่องนี้ออกมา เสี่ยวซูโมโหมาก รู้สึกอับอายขายหน้า ว่าแต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับหนูเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อคืนตอนที่เธอกลับมาบังเอิญเจอซูจิ่วซานและซย่าเฉิงโจว ตอนนั้นต้องเป็นตอนที่ซูจิ่วซานกำลังสารภาพรักซย่าเฉิงโจวแล้วถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน ตอนนั้นซย่าเฉิงโจวหลุบสายตาลงต่ำ ไม่ชายตามองซูจิ่วซานแม้แต่น้อย เป็นสาเหตุที่ซูจิ่วซานน้ำตาคลอเบ้า


 


 


เมื่อมีคนนอกล่วงรู้ว่าตนเองสารภาพรักไม่สำเร็จ ซูจิ่วซานจึงทึกทักไปเองโดยอัตโนมัติว่าอวี๋กานกานได้ยินและเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศ เธอรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นตัวตลก วันนี้จึงมาคิดบัญชีกับอวี๋กานกาน ต่อว่าเธอว่าไร้ศีลธรรม


 


 


แต่นี้มันปรักปรำกันชัดๆ !


 


 


เรื่องเมื่อคืนอวี๋กานกานไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ ส่วนเรื่องนี้ถูกลือออกไปได้อย่างไรเธอยิ่งไม่รู้ เดิมทีซูจิ่วซานก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าเธออยู่แล้ว ดีล่ะทีนี้ เกรงว่าหล่อนจะยิ่งไม่ไว้หน้าเธอหนักขึ้นไปอีก


 


 


“เสี่ยวอวี๋ หนูก็อย่าคิดมากเลยนะ ใครๆ ก็รู้ว่าเสี่ยวซูชอบเสี่ยวซย่า ครั้งก่อนมีงานประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ เสี่ยวซูเอาแต่ตามติดเสี่ยวซย่าตลอดทั้งงาน ความจริงทั้งสองคนก็ดูเหมาะสมกันมากนะ แต่น่าเสียดาย เจ้าหญิงมีใจ แต่เจ้าชายไม่รับรักตอบ”


 


 


……


 


 


ซูจิ่วซานเดินมายังระเบียงนอกหน้าต่าง กำหมัดทุบลงไปที่ราวกั้น


 


 


เซียวเสี่ยวอิงพูดปลอบ “จิ่วซาน อย่าโกรธไปเลยนะ อย่างเธอจะหาแฟนแบบไหนก็หาได้ ซย่าเฉิงโจวหมอนั้นมันไม่รู้ความ เป็นคนซื่อบื้อ ไม่ได้คบกันนั่นแหละดีแล้ว ไม่งั้นเธอต้องแห้งเฉาตายแน่ๆ”


 


 


ซูจิ่วซานส่ายศีรษะ คลี่ยิ้มให้เซียวเสี่ยวอิง ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เธอทอดถอนหายใจ “ฉันนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ายัยอวี๋กานกานจะเป็นคนแบบนี้ เห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเป็นเรื่องขบขันป่าวประกาศไปทั่ว”


 


 


เซียวเสี่ยวอิงพูดอย่างเหยียดหยามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “นังเด็กเวรนั้น ไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร คอยดูตอนที่มันโตกว่านี้สักหน่อยคงจะเย่อหยิ่งจองหองน่าดู”


 


 


“เสี่ยวอิง ก่อนหน้าไม่นานมานี้บนอินเทอร์เน็ตมีเหตุวิวาทเรื่องการรักษาของแพทย์แผนจีน เธอได้ยินมาบ้างหรือเปล่า ที่ว่าคลินิกอวี้หมิงถางรักษาผิดพลาดจนคนไข้ถึงแก่ชีวิต”


 


 


“ได้ยินอยู่นะ” เซียวเสี่ยวอิงตอบกลับอย่างประหลาดใจ “หรือว่าเป็นนังเด็กนั้น”


 


 


ซูจิ่วซานพยักหน้า “ฉันรู้สึกว่ายัยนั้นหน้าคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนก็เลยลองไปค้นหาดู ถึงได้พบว่าแพทย์ในคดีอวี้หมิงถางก็คือยัยอวี๋กานกาน”


 


 


เซียวเสี่ยวซิงตกตะลึง “ถ้าเป็นยัยนั้นจริง ฉันว่าที่คดีนั้นจบลงอย่างเงียบเชียบมีความเป็นไปได้สูงว่าโดนยัดเงิน ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการเฉินอะไรนั่นได้รับผลประโยชน์มากขนาดไหนถึงได้ยอมส่งชื่อยัยนั้นเข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ แพทย์แผนจีนที่สวยที่สุด อย่างยัยอวี๋กานกานก็เหมาะสมเหรอ เหอะ ก็แค่ยังวัยรุ่นอยู่ ถ้าให้ฉันพูดน่ะนะ ยัยนั้นสวยไม่ได้ครึ่งของเธอด้วยซ้ำ”


 


 


สีหน้าของซูจิ่วซานเต็มไปด้วยความคับอกคับใจ เธอกุมมือของเซียวเสี่ยวอิง “ช่างเถอะ ให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้เถอะ”


 


 


เซียวเสี่ยวอิงพูดด้วยเพลิงโกธราที่อัดแน่นอยู่เต็มอก “ยัยนั้นเอาแต่หาเรื่องเธอ เธอจะปล่อยมันไปแบบนี้เหรอ”


 


 


ซูจิ่วซานถอนหายใจ “แล้วฉันจะทำอะไรได้อีก หรือว่าจะให้ฉันหาเรื่องมันเหมือนงานสัมมนาก่อนหน้านี้ แบบนั้นทุกคนต้องหาว่าฉันคิดเล็กคิดน้อย จงใจไม่ลงรอยกับมันแน่ๆ”


 


 


เซียวเสี่ยวอิงหัวเราะเสียงเย็น “งั้นฉันลงมือเอง”


 


 


ซูจิ่วซานรีบโน้มน้าว “อย่าเลยเสี่ยวอิง ฉันไม่อยากให้เธอต้องมาลำบาก”


 


 


“ก็ได้ ก็ได้ เธอเนี่ยใจดีเกินไปแล้วนะ…”


 


 


เซียวเสี่ยวอิงคลี่ยิ้มพร้อมรับปาก ทว่าสายตากลับเย็นยะเยือก


 


 


 


 


——


 


 


[1] หมอบอยู่ยังโดนยิง หมายถึง อยู่เฉยๆ ก็งานเข้า 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม