เล่ห์รักกลกาล 193-199

ตอนที่ 193 อยากใช้หัวใจอันอ่อนโยนปรนน...

 

“อี๋…” 


 


 


หัวหน้าขันทีอยากหัวเราะ 


 


 


ทว่าภายใต้สายพระเนตรราวกับจะสังหารคนของฮ่องเต้ หัวหน้าขันทีรีบคุกเข่าลงดัง ‘ตุบ’ เอ่ยด้วยเสียงดัง “ฝ่าบาท บ่าวแค่ผายลมเท่านั้น บ่าวสำนึกผิดแล้ว” 


 


 


 “หึ” 


 


 


ฮ่องเต้ถอนพระเนตรกลับ ถลึงตาใส่เป่ยเฉินเสียง  


 


 


สีหน้าของเป่ยเฉินเสียงเดี๋ยวขาวซีดเดี๋ยวเขียวคล้ำ ในสายตาเขา เรื่องนี้ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น เสด็จพ่อต้องทำให้ร้ายแรงถึงขนาดนี้เชียวเหรอ 


 


 


 “เสด็จพ่อ เรื่องนี้ ลูกคิดว่า…” เป่ยเฉินเสียงเตรียมจะแก้ต่าง 


 


 


ฮ่องเต้ยิ่งบันดาลโทสะ กัดฟันแน่น ตรัสว่า “เจ้าคิดว่าอะไร เยี่ยเม่ยในยามนี้เป็นสตรีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าคิดแย่งชิงกับเขา ด้วยนิสัยของเขายังจะทำเรื่องอะไรออกมาได้ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ว่าจะพลอยทำให้คนตกตายไปอีกเท่าไหร่ ถึงกระทั่งเขามุ่งตรงกลับมาฆ่าเจ้าที่เมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่” 


 


 


 “ลูก…” เป่ยเฉินเสียงสีหน้าซีดเผือดลงทันที 


 


 


เขาคิดแต่ว่า เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้รับข่าวนี้แล้ว บางทีอาจจะโมโหจนก่อกบฏ หากเป็นเช่นนี้ก็ตรงกับใจเขาพอดี เสิ่นเซ่อเทียนย่อมไม่อาจนั่งเฉยๆ ดูเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก่อกบฏ เมื่อถึงเวลาสองคนนั้นต่อสู้กัน ตัวเขาเองก็นั่งชมพยัคฆ์สองตัวห้ำหั่น คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ข้างๆ  


 


 


ทว่าเขาลืมคิดไปว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะจัดการตัวเขาก่อน 


 


 


เมื่อฮ่องเต้ตรัสถามจบ ก็ยิ่งทวีความเดือดดาล จ้องเป่ยเฉินเสียงเขม็ง “ครั้งก่อนที่ชายแดน ดีที่เซี่ยโหวเฉินส่งข่าว เป่ยเจี้ยนเกอถึงไปช่วยเจ้าได้ทันท่วงที จากการคบหาของเสิ่นเซ่อเทียนและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเจ้าได้ครั้งหนึ่ง เจ้าหลงคิดว่าจะช่วยเจ้าได้ตลอดไปหรืออย่างไร”  


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงก็เข้าใจชัดเจนว่าตัวเองวู่วามเกินไปจริงๆ 


 


 


ส่วนฮ่องเต้รีบตรัสต่อว่า “ยังมีอีกเรื่อง ซือถูเฉียงเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้ายังไม่รู้อีกหรือไงว่านางขาขาดแล้ว จะให้สตรีพิการแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน พวกเจ้าคิดดูหมิ่นเขา หรือคิดดูหมิ่นราชวงศ์ไปด้วย” 


 


 


 “นี่…” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงยิ่งพูดไม่ออก 


 


 


ก็ถูก ซือถูเฉียงแต่งเป็นพระชายาให้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่รู้ว่าคนทั่วหล้าจะวิจารณ์กันไปอย่างไร บอกว่าองค์ชายแห่งราชวงศ์แต่งงานกับสตรีพิการ ถึงอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นองค์ชายที่เกิดจากฮองเฮา  


 


 


ยากเลี่ยงคำครหาจากผู้คน ราชวงศ์หาสตรีที่ดีแต่งงานไม่ได้ หรือว่าราชวงศ์ถูกตระกูลซือถูควบคุมแล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องแต่งงานกับสตรีเช่นนี้ 


 


 


นี่ไม่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นราชวงศ์หรืออย่างไร 


 


 


 “ทั้งเจ้ากับเสด็จของแม่เจ้า ต้องทำให้ข้าโมโหจนตายก่อนแล้วถึงจะพอใจใช่หรือไม่” ฮ่องเต้โมโหเสียจนนั่งไม่ติด ทรงตวาดเสียงกร้าว “พระสนมหนิงตั้งครรภ์พอดี หากคลอดองค์ชายออกมา ข้าจะส่งเขาให้เสิ่นเซ่อเทียนอบรม คงคุ้มค่ามากกว่ารอคอยเจ้าผู้โง่เขลามากนัก” 


 


 


 “เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว เสด็จพ่อ ลูกสำนึกแล้ว” เป่ยเฉินเสียงกลัวขึ้นมาจริงๆ  


 


 


ที่เขากล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ หากมิใช่เพราะรู้ว่าเสด็จพ่อดูแคลนองค์ชายรองและองค์ชายสามที่พวกเขาสองคนคุณสมบัติอ่อนด้อย และเป็นเพราะคำทำนายที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำให้เสด็จพ่อไม่ชอบเขา 


 


 


แต่ว่า 


 


 


เสด็จพ่อยังมีพระวรกายแข็งแรง หากมีองค์ชายกำเนิดขึ้นมาอีก แบกรับความหวังจากเสด็จพ่อ แล้วยังได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากเสิ่นเซ่อเทียนด้วย ภายหน้าจะเปลี่ยนไปเช่นไร ก็สุดจะรู้ได้ 


 


 


 “หึ” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรท่าทางของเขา ทรงมองออกว่าเป่ยเฉินเสียงหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ ทั้งสำนึกผิดจากใจ ตรัสเสียงเย็นชา “รู้ว่าผิดก็ดี อย่าได้มีความคิดชั่วร้ายอะไรอีก เจ้าฟังให้ดี หากเด็กในท้องพระสนมหนิงเป็นอะไรขึ้นมา บัญชีนี้ข้าจะคิดที่เจ้าและเสด็จแม่ของเจ้า” 


 


 


ฮ่องเต้เอ่ยจบ ก็ตำหนิเสียงดัง “ไสหัวออกไป ไปเก็บตัวสำนึกผิดกับเสด็จแม่เจ้าซะ คิดให้ดี คิดได้แล้วค่อยมาบอกข้า ภายหน้าพวกเจ้าจะทำให้ข้าโมโหเจียนตายอีกหรือจะเลิกก่อเรื่องเสียที” 


 


 


 “เสด็จพ่อ…” เป่ยเฉินเสียงยังคิดแก้ต่าง 


 


 


ฮ่องเต้ทรงพิโรธ กัดฟันแน่ตรัสว่า “ไสหัวไป ก่อนที่ข้าจะเรียกคนเอาตัวเจ้าไปขังที่จงเหรินฝู[1]” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงไม่กล้าส่งเสียงอีก 


 


 


เรื่องที่เขาวางแผนการสับเปลี่ยนข้าวสาร รวมถึงเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการไล่สังหารเยี่ยเม่ย หากถูกส่งตัวไปที่จงเหรินฝูก็มีโทษหนักฐานทรยศบ้านเมือง ต่อให้เป็นองค์ชายก็ยากจะหนีโทษตายด้วยสุราพิษได้ 


 


 


เป่ยเฉินเสียงรีบตอบว่า “เสด็จพ่อทรงระงับโทสะด้วย ลูกจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ลูกจะสำนึกตัวให้ดี ไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังอีกแล้ว” 


 


 


พูดจบ เขาก็ล่าถอยจากไป 


 


 


หัวหน้าขันทีมองเงาหลังเป่ยเฉินเสียง แอบถอนใจยาว ช่างรนหายที่ตายโดยแท้ 


 


 


รอจนเป่ยเฉินเสียงจากไปแล้ว 


 


 


ฮ่องเต้ทรงถอนพระทัยยาว มองหัวหน้าขันที พระองค์ดูคล้ายแก่ชราลงไปมาก “ข้าเสียใจจริงๆ หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ปีนั้นข้าไม่สมควรเชื่อคำทำนาย ทำเช่นนั้นกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สุดท้ายบีบคั้นจนข้า รวมถึงราชสำนักเป่ยเฉินตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาส่งไปชายแดนแล้ว เกรงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงส่งคนกลับมาเหยียดหยามข้าอีกแล้ว”   


 


 


พูดไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงเสียใจจริงๆ หากตั้งแต่เริ่มต้น พระองค์อบรมสั่งสอนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ดี อย่างน้อยในปีที่เขาอายุแปดขวบ เริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่แน่ว่าเรื่องอาจจะไม่ดำเนินมาถึงจุดนี้  


 


 


ตอนนี้บุตรชายที่โดดเด่นที่สุดกลายเป็นคนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ยิ่งไม่มีสายสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกกับพระองค์เลย ด้วยเหตุนี้พระองค์จำเป็นต้องฝากความหวงไว้กับเป่ยเฉินเสียงตัวโง่งม  


 


 


ฮ่องเต้รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง 


 


 


หัวหน้าขันทีละล้าละลังเล็กน้อย ถามว่า “ฝ่าบาท บางทีสำนึกได้ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ “ไม่ทันแล้ว เจ้าดู เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ไม่สนใจญาติสนิทมิตรสหาย หลักการคุณธรรมต่างๆ ในใจเขาก็เป็นของเล่นสนุก ในแววตาเขาไม่เห็นถึงความเป็นคนเลย ต่อให้ยามนี้ข้าคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ต่อหน้า เขาก็ไม่มีทางซาบซึ้งสักน้อย ยามนี้เป่ยเฉินอี้ออกจากจวนอ๋อง ข้ากับเซี่ยวโหวเฉินถึงได้รู้ว่าขาของเขาหายดีแล้ว ไม่รู้เลยว่าภายหน้าเขาจะทำอะไรอีกบ้าง เวลานี้ข้ามีศัตรูประชิดทั้งหน้าหลัง หากมีวันหนึ่งที่คำทำนายเรื่องบ้านเมืองล่มสลายเป็นจริง อย่างนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของผู้อื่น แต่เป็นเพราะข้าทำลายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำลายบุตรชายที่โดดเด่นที่สุดของตนเอง ทำลายอนาคตของราชสำนักเป่ยเฉิน”  


 


 


ฮ่องเต้ตรัสไป ก็ดูอ่อนระโหยโรยแรงลง ใช้พระหัตถ์ปิดพระเนตร รู้สึกปวดหนึบที่ดวงเนตร แทบจะร่ำไห้ออกมา “หากรู้แต่แรกปีนั้นข้าสมควรเชื่อคำของเสิ่นเซ่อเทียน” 


 


 


พระองค์หาได้อาลัยความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ความจริงพระองค์ทรงกังวลอนาคตของเป่ยเฉินต่างหาก 


 


 


ซ้ำรู้สึกเสียใจจริงๆ  


 


 


หัวหน้าขันทีในเวลานี้ได้แต่เงียบสงบ 


 


 


   …… 


 


 


หลังจากโคจรพลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เปิดตาขึ้น 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเห็นว่าเขาลืมตาขึ้นจากทางหน้าต่าง ก็รีบผลักประตูเข้าไป นางไม่พูดไม่จา กดเขาลงบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ทันที 


 


 


จากนั้นถามว่า “ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง หิวหรือเปล่า เจ็บปวดหรือไม่ ต้องการกินอะไรหน่อยไหม หรือจะให้ข้าตามตัวซือหม่าหรุ่ยมาตรวจดูอาการ” 


 


 


คำพูดของนางร้อนรน ดูออกถึงความตื่นเต้น 


 


 


คราวนี้กลับเป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่อึ้งไป เดิมที่อารมณ์หงุดหงิดอยู่กลับเดิมดีขึ้นมาก เอ่ยว่า “ฮูหยินเป็นห่วงเยี่ยนหรือ เจ้าไม่คล้ายคนอ่อนโยนแบบนี้เลย” 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักงัน ทว่าคลี่ยิ้มออกมา โพล่งออกไปตามความคิด “ไม่ผิด ข้าไม่ใช่คนอ่อนโยน ทว่าอยากปรนนิบัติท่านอย่างอ่อนโยน” 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] หน่วยงานที่ดูแลเรื่องของราชวงศ์  

 

 


ตอนที่ 194 เยี่ยนปลอบได้ง่ายมาก

 

เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ตกตะลึงเล็กน้อย


 


 


ไม่ช้า เขากลับพลิกตัวหันตะแคงขึ้นมา


 


 


มือข้างหนึ่งค้ำศีรษะเอาไว้ ปอยผมที่หน้าผากทำให้ใบหน้าสมบูรณ์แบบนั้นทวีความน่าชม ชวนหลงใหลขึ้นไปอีก ดวงตาร้ายคู่นั้นจ้องมองเยี่ยเม่ย เอ่ยเนิบๆ ว่า “ถึงเยี่ยนจะรู้ว่า ที่เจ้ายอมพูดจาน่าฟังเพราะว่าเจ้ายั่วโมโหข้า แต่ว่าอารมณ์ของเยี่ยนดีขึ้นมากแล้วจริงๆ”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


นางยอมรับก็ได้ว่าจากนิสัยของนางยากที่จะเอ่ยคำพูดชวนขนลุกเช่นนี้ ต่อให้มีความคิดจะเอ่ย ก็ได้แค่เก็บไว้พูดไม่ออก เพียงแต่ครั้นเห็นเขาโมโหแล้ว อืม..เกิดความว้าวุ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้นเอง


 


 


ดังนั้นความในใจเป็นอย่างไร ก็เผยออกมาจนหมด


 


 


เห็นเยี่ยเม่ยไม่ตอบโต้ แสดงออกว่าเขาเดาถูก เป็นเพราะเขาไม่พอใจ นางถึงยอมเอ่ยคำพูดพวกนี้ ทว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่โกรธอีกแล้ว มืออีกข้างจับข้อมือหญิงสาวไว้


 


 


น้ำเสียงน่าฟัง ถามว่า “เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


 


 


 “ไม่เป็นไรแล้ว แต่หลังจากนี้พิษอาจกำเริบได้อีก ซือหม่าหรุ่ยจะช่วยเขาหายาถอนพิษ” พูดถึงซือหม่าหรุ่ย เยี่ยเม่ยรู้สึกซาบซึ้ง คิดไม่ถึงว่าเพราะนางรู้ข่าวของเซียวเซ่อหยาง อีกฝ่ายถึงยินยอมช่วยเหลือนางมากมายเช่นนี้


 


 


พูดถึงซือหม่าหรุ่ย สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทอประกายวาวโรจน์ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


ดวงตาสงสัยมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “เขาไม่เป็นไรแล้วเจ้าก็มาข้า หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา วันนี้เยี่ยนคงไม่เห็นเจ้าใช่ไหม”


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักอึ้งไป ใบหน้าน่ามองของเขาไม่มีความหึงหวงเลยสักน้อย ถึงกระทั่งไม่มีแม้แต่ความไม่พอใจ ชั่วขณะนั้นเยี่ยเม่ยเกิดความไม่มั่นใจว่า ที่เขาถามเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่


 


 


ในระหว่างที่นางเงียบ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหัวเราะเบาๆ ออกแรงดึง เยี่ยเม่ยพลันเซล้มลงมาที่เตียงของเขา


 


 


ลมหายใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระเถิบเข้ามากระชั้นชิดมาก


 


 


ใบหน้าหล่อร้ายปัดผ่านนวลแก้มของนาง เกิดเป็นบรรยากาศคลุมเครือขึ้นมา เขากระซิบเสียงเบา “ไม่เป็นไร ไม่ว่าเจ้าจะวางเขาไว้เป็นอันดับหนึ่ง หรือว่าวางเยี่ยนเป็นอันดับหนึ่ง ขอเพียงเจ้ายอมมา ก็เท่ากับพิสูจน์ว่าเจ้าห่วงใยเยี่ยนแล้ว เยี่ยนไม่เอาความเขาก็ได้”


 


 


การกระทำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำให้เยี่ยเม่ยหน้าแดง


 


 


เมื่อฟังคำพูดของเขา ในใจนางรู้สึกบอกไม่ถูก ถึงกระทั่งสำนึกเสียใจ เรื่องที่วันนี้นางเห็นจิ่วหุนมาเป็นอันดับแรก


 


 


 “ข้า…” เยี่ยเม่ยคิดว่าสมควรอธิบายเสียหน่อยไหม ทว่าความจริงก็อยู่ที่นั่น หากจะอธิบายก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน


 


 


หญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่ม เห็นสีหน้าของเขาเป็นปกติดี ไม่มีร่องรอยของความโกรธเคือง


 


 


นางถามอย่างงุนงง “ท่านไม่โกรธแล้ว”


 


 


เขาแค่นเสียงเบาๆ โอบเอวของนาง น้ำเสียงทุ่มต่ำดังขึ้นข้างหู “เยี่ยนปลอบได้ง่ายมาก ไม่ว่าเวลาไหน ขอเพียงเจ้ายอมปลอบ แค่ปลอบก็หายแล้ว ใครใช้ให้เยี่ยนรักเจ้ามากกว่าเล่า”


 


 


ระหว่างเอ่ยคำพูดนี้ หว่างคิ้วของเขายังมีรอยยิ้ม ท่าทางอารมณ์ดีอย่างมาก


 


 


ถึงวันนี้จะโมโห แล้วยังเหลือความไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ในยามที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา ทุกอย่างก็สูญสลายไปหมดสิ้น


 


 


……..


 


 


ประตูห้องเปิดค้างไว้


 


 


อวี้เหว่ยที่ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่อย่างชัดเจน เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างจนคำพูด ในใจคิดว่าเตี้ยนเซี่ยของตนช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยใจ หายโกรธง่ายๆ แบบนี้


 


 


เยี่ยเม่ยฟังคำเขา


 


 


 


 


ในใจกลับเกิดความสำนึกเสียใจอยู่เล็กๆ แอบสงสัยตัวเองว่า นางทำไม่ค่อยดีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากไปหรืเปล่า ดังนั้นเขาถึงไม่เรียกร้องอะไรเลย เย่อหยิ่งสักหน่อยก็ไม่มี ให้อภัยกันอย่างง่ายดาย


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้า ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าหล่อเหลานั้น


 


 


ทั้งยังเห็นอย่างชัดแจ้งว่า ภายใต้การกระทำของนาง มุมปากขององค์ชายสี่ยกยิ้มอ่อนๆ


 


 


ไม่ช้า เขาก็กุมข้อมือนาง ดึงมาประทับที่ริมฝีปากตน จูบปลายนิ้วของหญิงสาว


 


 


ลมหายใจอุ่นร้อน กระทบบนปลายนิ้ว


 


 


เยี่ยเม่ยยามนี้หน้าร้อนผ่าว กลับถามคำถามโง่ๆ ออกไป “ข้ามาปลอบ ท่านก็หายโกรธ หากข้าไม่ปลอบ ท่านจะตัดสัมพันธ์กับข้าไหม”


 


 


 “ไม่”


 


 


เมื่อนางถาม เขาโต้กลับมาอย่างรวดเร็ว


 


 


แววตาร้ายกาจทอประกายมารสีแดง จ้องมองหน้านิ่งๆ ของหญิงสาว น้ำเสียงแหบพร่าน่าฟังของเขาดังขึ้นทีละคำ แฝงไปด้วยความขมขู่


 


 


 “เยี่ยนยอมตัดความสัมพันธ์กับเจ้าไม่ได้ ทว่ายามเยี่ยนโมโหแล้วจะทำอะไรกับคนอื่น เยี่ยนไม่กล้ารับรอง อย่างตอนนี้เจ้าปกป้องจิ่วหุน มาหาเยี่ยนสักน้อยก็ไม่ได้ เยี่ยนได้แต่อาศัยยามค่ำคืนลอบสังหารเขา”


 


 


เยี่ยเม่ย “…ก็ได้”


 


 


นางมองเขาอย่างจนปัญญา “ท่านบอกเรื่องพวกนี้กับข้า ไม่กลัวว่าภายหน้าหากท่านไปลอบสังหารใครแล้ว ข้าจะสงสัยท่านหรือไง”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นมือออกมาเกี่ยวปอยผมเยี่ยเม่ย ค่อยๆ อธิบายว่า “กลัวก็แต่ภายหน้าฮูหยินไม่สงสัยเยี่ยน วันนี้เยี่ยนถึงสารภาพออกมาตามตรง อีกจุดประสงค์ก็คือ หวังว่าฮูหยินจะจำไว้ ต่อให้เจ้าไม่ใส่ใจเยี่ยน แต่ก็ควรคิดแทนคนที่เจ้าห่วงใยบ้าง ต้องห่วงใยเยี่ยนบ้าง ความลำบากลำบนของเยี่ยน ฮูหยินเข้าใจหรือเปล่า”


 


 


 “นี่ถือเป็นการขมขู่หรือไม่” เยี่ยเม่ยจ้องเขา


 


 


เขาก้มหน้ามองริมฝีปากเยี่ยเม่ย กดจูบลงไปอย่างหนักหน่วง ทิ้งร่องรอยจุมพิตเอาไว้ทำให้ริมฝีปากเยี่ยเม่ยวาวประกาย


 


 


เขาถึงเอ่ยด้วยความพอใจ “เรียกว่าขมขู่ได้อย่างไรกัน กลับเป็นการพิสูจน์ว่าเยี่ยนจริงใจกับฮูหยิน เจ้าถามอะไร เยี่ยนก็ตอบตามนั้น ความจริงใจสุกสกาวราวจันทร์พราวแสงบนฟากฟ้า”


 


 


เยี่ยเม่ย “ตอนนี้ข้ารู้สึกว่า นับวันท่านยิ่งยากคาดเดาขึ้นไปทุกทีแล้ว”


 


 


เมื่อก่อนรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดา ทว่าความไม่ธรรมดาของเขาไม่เคยใช้กับตัวนาง นับตั้งแต่แรกเกรงว่าเพื่อแกล้งนาง เขาถึงได้ดีกับนางนักหนา


 


 


ตอนนี้…


 


 


โฉมหน้าที่แท้จริงปรากฏออกมาทีละชั้นๆ เยี่ยเม่ยยังรู้สึกตกใจ


 


 


มีคนแบบนี้ที่ไหนกัน หากเจ้าไม่ห่วงใยข้า ข้าจะจัดการคนที่เจ้าห่วงใยซะ


 


 


นี่มันแนวคิดประเภทไหนกันแน่


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกุมมือนางวางไว้บนอกเขา ให้นางรับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ


 


 


ไม่ช้า น้ำเสียงน่าฟังก็ค่อยๆ ดังขึ้น “ความคิดของเยี่ยนนับว่าง่ายมาก เจ้ายื่นมือออกมาตรวจสอบดูก็รับรู้แล้ว เยี่ยเม่ย เจ้าเข้าใจไหม การรักเจ้าสำหรับเยี่ยนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างง่ายดายมากที่สุด วันนี้ข้าบอกคำพูดนี้ออกไป ไม่มีเท็จ ไม่ล้อเล่น ทุกๆ คำคือความจริง”


 


 


ก็เพราะทุกคำคือความจริง ดังนั้นความคิดของเขา จึงไม่อาจเข้าใจได้ง่ายดายไปมากกว่านี้อีกแล้ว


 


 


ที่เขาตรงไปตรงมาเปิดเผย ก็เพราะเขารักมากกว่า ดังนั้นจึงปลอบได้ง่าย ขอเพียงนางเอ่ยแค่คำเดียว เขาก็ไม่โกรธแล้ว


 


 


เขาแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา หากนางไม่ปลอบเขา เขาจะไปคิดบัญชีกับคนที่นางห่วงใย


 


 


ในเมื่อง่ายดายถึงเพียงนี้ ไฉนถึงบอกว่ายากคาดเดาขึ้นไปทุกทีเล่า


 


 


ไม่ว่าพูดอย่างไร…


 


 


ในด้านความรู้สึก คนที่ชัดเจนและตรงไปตรงมามากที่สุดก็คือเขา กลับเป็นนางเสียอีกที่ทำเรื่องราวซับซ้อนวุ่นวาย


 


 


 “ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยเม่ยพยักหน้า


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันจูบนาง ลมหายใจร้อนระอุ “ฟ้ามืดแล้ว ไม่สู้คืนนี้เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เถอะ” 

 

 


ตอนที่ 195 ไม่สู้เจ้าลองใช้ร่างกายตอบ...

 

เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


เวลานี้หญิงสาวหน้าแดงก่ำ 


 


 


จุมพิตของเขาทวีความเร่าร้อนมากขึ้น บรรยากาศคลุมเครือเกินจะปิดบังได้ คล้ายสุรากระตุ้นอารมณ์แตกกระจายออกมาทั่วท้องห้องหับฟุ้งไปด้วยไอปรารถนา 


 


 


เยี่ยเม่ยผลักเขาออก ฝืนสงบใจลง เตือนเขาคำหนึ่ง “ท่านอย่าลืมว่า ร่างกายของท่าน…” 


 


 


 “ข้าโคจรพลังไปแล้ว” 


 


 


เขาผละออกจากริมฝีปากนาง ก้มหน้ามองนาง แววตาทอรอยยิ้ม 


 


 


เยี่ยเม่ยกลอกตาไปซ้ายทีขวาที รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองมา หน้าแดงเรื่อ ร่างกายยิ่งร้อนผ่าว 


 


 


ในหนึ่งวันนี้พวกเขาล้มตัวนอนบนเตียงด้วยกันสองครั้ง อารมณ์พลุกพล่าน ความปรารถนาลุกโชน ในเวลานี้พลันมอดลงอย่างฉับพลันอย่างนั้นหรือ 


 


 


 “แต่ว่า…” เยี่ยเม่ยกวาดตามองไปรอบด้าน ใบหน้าแดงก่ำไม่กล้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กล่าวต่อว่า “แต่ว่าท่านยังไม่หายดี ลมหายใจยังไม่สม่ำเสมอ ข้าว่า ตอนนั้นที่ท่านโมโหจากมาแล้วไม่ลากข้ามาด้วยก็เพราะว่าร่างกายของท่านในตอนนั้นทำไม่ได้”  


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยกล่าวเช่นนี้ เขาพลันหัวเราะ “ฮูหยินฉลาดขึ้นทุกวัน” 


 


 


หากไม่ใช่เพราะสภาพร่างกายของตนในตอนนั้นพร้อมจะเป็นลมล้มไปได้ทุกเมื่อ ต่อให้เขาโกรธแค่ไหนก็คงลากสตรีผู้นี้ออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน 


 


 


 “แต่ถึงสามีจะยังไม่หายดี ก็มั่นใจว่าจะทำให้ฮูหยินพึงพอใจได้” 


 


 


คำพูดนี้ยิ่งคลุมเครือเข้าไปใหญ่ 


 


 


ใบหน้าเยี่ยเม่ยคล้ายถูกไฟเผา จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นนั่ง ผลักเขาออก “ท่านอย่าได้พูดจาเหลวไหลแล้ว ข้าขอตัวก่อน” 


 


 


 “โอ๊ย” 


 


 


เมื่อถูกเยี่ยเม่ยผลัก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกุมหน้าอกร้องเจ็บปวด 


 


 


คิดถึงหลายครั้งที่เขาแสดงออกว่าบาดเจ็บ มีทั้งจริง มีทั้งเท็จ เยี่ยเม่ยก็ไม่อาจมั่นใจว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จได้ในทันที 


 


 


ครั้นเห็นเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากเขา 


 


 


เยี่ยเม่ยก็ไม่กล้าคิดมาก เท้าที่จะก้าวออกไปจากห้อง ถอยกลับมาอย่างว่องไว พยุงเขาถามว่า “ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” 


 


 


 “เป็นสิ เจ็บมาก” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบทันควัน 


 


 


อวี้เหว่ยที่แอบดูหน้าประตู อดไม่ไหวกลอกตาใส่ 


 


 


ถึงสภาพร่างกายของเตี้ยนเซี่ยน่าเป็นห่วง แต่ว่าเตี้ยนเซี่ยอ่อนแอขนาดนี้ที่ไหนกันเล่า เตี้ยนเซี่ยคือคนที่เคยถูกตีจนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลก็ยังไม่ร้องเจ็บเลยสักคำ ก็แค่การเสแสร้งขอความสงสาร เรียกร้องความสนใจต่อหน้าสตรีที่รักเท่านั้นเอง 


 


 


อย่างไรเสียในเมื่อมีจิ่วหุนผู้น่ารักอยู่ที่นั่น เตี้ยนเซี่ยที่น่ารักไม่พอก็ได้แต่ทำตัวน่าสงสารแล้ว เฮ้อ…น่าเห็นใจจริงๆ 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่กล้าผลักเขาตามอำเภอใจอีก 


 


 


นางพยุงเขาเหมือนจับกระดาษบางเบา พยุงอย่างระมัดระวัง ในใจรู้สึกสำนึกเสียใจ รู้สึกว่าตัวเองหยาบกระด้างนัก “ขอโทษด้วย ข้า…ใครใช้ให้เมื่อครู่ท่าน…” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเตือนแล้วว่า สภาพร่างกายของเขายังไม่แข็งแรง ดังนั้นทำไมนางถึงผลักเขาแรงขนาดนั้นกันนะ 


 


 


แต่ว่าสถานการณ์เมื่อครู่ก็ชวนให้กระอักกระอ่วนจริงๆ คำพูดคลุมเครือพวกนั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนไร้ประสบการณ์ เป็นแม่นางที่ไม่เคยมีความรัก จะทนรับการเกี้ยวพาราสีแบบนั้นได้เหรอ ดังนั้น…นางอดคิดมาไม่ได้ ถึงได้ตอบสนองอย่างตรงไปตรงมา 


 


 


 “สามีสำนึกผิดแล้ว” เขากลับโอนอ่อนคล้อยตาม ฟังน้ำเสียงตำหนิและไม่พอใจของนางออก ก็รีบอ่อนลงทันที 


 


 


คราวนี้เยี่ยเม่ยคิดจะอาละวาดก็ทำไม่ได้  


 


 


เยี่ยเม่ยประคองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนลงบนเตียง เอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านอย่าได้ทรมานตนอีกเลย พักผ่อนก่อนวันหนึ่ง ร่างกายฟื้นฟูก่อนค่อยว่ากัน แต่ว่าข้ายังแปลกใจอยู่บ้าง ตามหลักแล้ว พรุ่งนี้ท่านถึงเริ่มโคจรพลังไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้กลับมาก็เริ่มรักษาตัวเองทันที” 


 


 


ยังไม่ทันพักฟื้นจิตใจ ก็เริ่มฟื้นฟูกำลังแล้ว ทำแบบนี้ผลลัพธ์ย่อมไม่ได้เกิด ในทางกลับกันอาจทำให้เกิดผลลัพธ์ร้ายแรงกับร่างกายของเขาได้ 


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยไม่เข้าใจเรื่องกำลังภายในมากนัก ทว่าความรู้พื้นฐาน นางก็พอเรียนรู้จากเคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่อยู่บ้าง 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยถาม 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มแล้ว ดวงตาคู่ร้ายมองนาง เอ่ยเสียงเบาสบายว่า “แต่โลกใบนี้คนที่รังเกียจเยี่ยน กลับไม่สามารถให้โอกาสเยี่ยนพักผ่อนได้สักคืนเดียว” 


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งไป 


 


 


อวี้เหว่ยที่หน้าประตูก็นิ่งไปเช่นกัน 


 


 


ความหมายก็คือ… 


 


 


ความหมายก็คือ ความจริงแล้วที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสามารถควบคุมชะตาชีวิตของผู้อ่อนแอได้ ก็เพราะเขาเข้มแข็งมากพอ แต่ทันทีที่เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ เริ่มบาดเจ็บ เริ่มสูญเสียพลังในการต่อสู้ เช่นนั้นเหล่าคนที่จับจ้องเขาอยู่ จะทำให้เขาตายอย่างรวดเร็ว 


 


 


เขารู้ทั้งรู้ว่าเมื่อตัวเองยื่นมือช่วยจิ่วหุน จะทำให้ตกอยู่สภาพอันตราย แต่เขาก็ยังทำเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เขาเกลียดจิ่วหุนมาก 


 


 


สิ่งเหล่านี้ทำให้เยี่ยเม่ยเงียบไปสักพัก เอ่ยจากใจจริงว่า “ขอบคุณท่านมาก” 


 


 


อวี้เหว่ยด้านนอกถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง ความจริงเรื่องในวันนี้ เขารู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยเลอะเลือนมาก ใช้พลังฝึกฝนขั้นหนึ่งออกไป ภายในหนึ่งวันนี้หากไม่ฝืนโคจรเพื่อฟื้นฟูกำลัง ยอดฝีมือคนใดก็ได้สามารถทำร้ายจนเตี้ยนเซี่ยไม่อาจโต้ตอบกลับไป แต่เมื่อฝืนโคจรพลัง ก็จะส่งผลกระทบกับชีพจรในร่างกาย 


 


 


แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น… 


 


 


ใครใช้ให้ฐานะของเตี้ยนเซี่ยอันตรายเกินไป อย่าว่านิสัยและการกระทำของเตี้ยนเซี่ยขัดตาคนจำนวนมากเลย อาศัยฐานะองค์ชายสี่ของเขา เกรงว่าเขาไม่ต้องทำอะไร คนที่มีใจต่อบัลลังก์ก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสสังหารเตี้ยนเซี่ยไปแน่ 


 


 


เขาไม่ยินยอมเอ่ยปัญหานี้ออกมา ทำให้นางรู้สึกผิดและโทษตัวเอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหยอกเย้านางอย่างตรงไปตรงมา “ฮูหยิน ระหว่างสามีภรรยาพูดจาขอบคุณก็ห่างเหินเกินไป หากเจ้าคิดขอบคุณข้าจริงๆ ไม่สู้วันนี้เจ้าเป็นฝ่ายเริ่ม ให้ร่างกายตอบแทนสามี” 


 


 


เยี่ยเม่ยส่ายหน้า รู้แก่ใจว่าคนผู้นี้ไม่อยากให้นางโทษตัวเอง 


 


 


หญิงสาวถอนหายใจ ห่มผ้าให้เขา “ท่านพักผ่อนก่อนเถอะ คืนนี้จะให้ข้าเฝ้าไหม” 


 


 


ถึงเขาจะโคจรพลังแล้ว วรยุทธ์น่าจะฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง ทว่าในใจเยี่ยเม่ยก็พอรู้อยู่ หากคืนนี้มีคนคิดสังหารเขา ก็ยังคงน่าอันตรายเหมือนเดิม 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับหัวเราะ  


 


 


 “ฮูหยินยินยอมเฝ้าไข้เยี่ยน เยี่ยนย่อมดีใจ แต่ฮูหยินก็ต้องเข้าใจ บุรุษเข้มแข็งอย่างเยี่ยน ไม่ต้องการการปกป้องจากสตรีของตนเด็ดขาด หากอ่อนแอถึงขั้นนั้น จะปกป้องสตรีที่ตนรักได้อย่างไรเล่า นี่หาใช่การโอ้อวดฝีมือ แต่ฮูหยินสมควรเชื่อในความสามารถของเยี่ยน” 


 


 


เขาอยากรั้งนางไว้ แต่ด้วยนิสัยของนาง หากรั้งเอาไว้คงนั่งเฝ้าเขาไม่ได้นอนทั้งคืน 


 


 


เขาจะทนได้เหรอ 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากโคจรพลัง ถึงลมปราณเขาจะฟื้นฟูกลับมาไม่ถึงห้าส่วน แต่คิดเอาชีวิตเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย 


 


 


เยี่ยเม่ยเห็นสีหน้าจริงใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่คล้ายล้อเล่น ทั้งไม่เหมือนกำลังฝืนตัวเอง จึงวางใจ 


 


 


แต่ว่า 


 


 


นางรู้สึกว่า นับตั้งแต่นางพบเป่ยเฉินอี้ ทำให้เขาเกิดความหึงหวง ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้บุรุษเบื้องหน้าคล้ายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 


 


 


ถึงแม้ยามเชื่อฟัง เขาไม่ได้ขัดคำสั่งนาง ทว่าความเข้มแข็งโดยเนื้อแท้ของเขายังแสดงออกมา 


 


 


เยี่ยเม่ยถอนหายใจยาว มองเขาอย่างระวัง เอ่ยปากเสียงเย็น “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้ารู้สึกหากพวกเราสองคนเป็นอย่างนี้ต่อไป ท่านยังเข้มแข็งแบบนี้ ไม่ช้าข้าคงสูญเสียตำแหน่งใหญ่ที่สุดในบ้านไปแล้ว” 

 

 

 


ตอนที่ 196 เจ้ามันสารเลว ชาติชั่ว เดี...

 

ห้องนอนของเยี่ยเม่ย  


 


 


มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งรออยู่อย่างเงียบๆ 


 


 


เขาเข้ามาตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืดจนถึงตอนนี้ก็รอมาครึ่งชั่วยามแล้ว ไม่เห็นคนกลับมา หว่างคิ้วขมวดแน่น ค่อยๆ หมดความอดทน 


 


 


ฉันพลัน ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก 


 


 


เขาพลันลุกขึ้นมองไปที่ประตู “เจ้ากลับมาแล้ว…” 


 


 


ยังไม่ทันเอ่ยจบ เห็นคนที่เข้าประตูมา มุมปากเขาพลันกระตุก 


 


 


ผู้มาเห็นเขาก็กระตุกมุมปากเช่นกัน… 


 


 


 “ทำไมถึงเป็นท่านเล่า อาจารย์” จิวมั่วเหอตะลึงเล็กน้อย วันนี้เขาสวมชุดออกศึก เป็นชุดเฉพาะของต้ามั่ว ดูเข้มแข็งน่าเกรงขาม ดวงเนตรสีฟ้าด้านหลังแพขนตายาวฉายความเย็นเยือก เมื่อมองดูทั่วร่าง กลับเป็นความองอาจอย่างหาไม่ได้อีก 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองสำรวจลูกศิษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง เขาลูบเครา ถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมเป็นเจ้า ดึกดื่นค่อนคืนมาทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในห้องศิษย์น้องเจ้าทำไม” 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ถามเช่นนี้ คล้ายฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาพลันอาละวาดขึ้นมา คว้าเก้าอี้ยาวฟาดใส่จิวมั่วเหอ  


 


 


“เจ้ามันสารเลว ชั่วช้า เดียรัจฉาน กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน คิดมิดีมิร้ายกับศิษย์น้องของตัวเอง เจ้าทำให้ข้าโมโหจะตายแล้ว…”  


 


 


 “เดี๋ยวๆๆ ท่านอาจารย์ ท่านบ้าไปแล้วเหรอ”  


 


 


 “นี่ หยุดได้แล้ว ตาแก่ เห็นแก่ที่ท่านเป็นอาจารย์ ข้าถึงไม่โต้ตอบ ท่านอย่าได้บีบคั้นข้าเชียวนะ” 


 


 


 “นี่นี่นี่ ท่านพอได้หรือยัง หากข้าคิดจะล่วงเกินนางจริงๆ ทำไมข้าไม่แอบย่องเข้ามา ทำไมข้าต้องนั่งเปิดเผยแบบนี้ด้วยเล่า ” 


 


 


จิวมั่วเหอโมโหอาจารย์ของตัวเองแทบตายแล้ว 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตีคนไปได้หลายที ค่อยฉุกคิดได้ หากคิดล่วงเกินจริงๆ ต้องแอบมา ไม่มีทางมานั่งเด่นอยู่กลางห้องแบบนี้ 


 


 


เมื่อคิดได้ เขาก็หยุดการจู่โจม 


 


 


จิวมั่วเหอนวดบ่าของตัวเองที่ถูกเก้าอี้ยาวฟาดไปหลายที หากไม่ใช่เขาบังหน้าตัวเองไว้ตลอด ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งต้ามั่ว คงเสียโฉมไปเพราะเก้าอี้ยาวแล้ว 


 


 


เมื่อเห็นผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่สงบลงได้ จิวมั่วเหอเริ่มโมโห ชี้หน้าด่าผู้เป็นอาจารย์ “ตาแก่บ้า ข้าจะบอกท่านไว้ หากครั้งหน้าท่านยังตีข้าอีก อย่าโทษข้าไม่เห็นแก่ความเป็นศิษย์อาจารย์ โต้ตอบท่าน กำลังภายในของข้าอยู่ในธาตุสายฟ้า ทั้งอยู่ในขั้นสุดยอดของสายฟ้าแล้ว ท่านต้องคิดให้ดีนะ” 


 


 


ยอดฝีมือทุกคนต่างก็มีพลังธาตุในกำลังภายในของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของคนผู้นั้น ทั้งเกี่ยวพันกับการฝึกวรยุทธ์ ทันทีที่สำเร็จถึงขั้นสุดยอด ก็ยิ่งยากจะพ่ายแพ้ ถึงแม้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จะเป็นอาจารย์ แต่หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบมาก 


 


 


เก้าอี้ยาวในมือผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยังคงอยู่ เขาปรายตามองจิวมั่วเหอ “สำเร็จถึงขั้นสุดยอดแล้วจริงเหรอ” 


 


 


 “เหลวไหล” จิวมั่วเหอตวัดสายตาใส่อาจารย์ทีหนึ่ง 


 


 


หากมิใช่ถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะประมือกับเทพกระบี่และราชาดาบแล้วเอาชนะได้เหรอ อีกอย่างคนทั่วหล้าต่างก็รู้ว่าเขาเอาชนะได้แค่ครึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ความจริงแล้วเขายั้งมือเอาไว้ ไม่ใช้พลังทั้งหมด 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เป็นคนแก่ที่ยืดได้หดได้ เมื่อได้ฟัง ก็ไม่พูดอะไรอีก วางเก้าอี้ยาวลงอย่างว่องไว “ไม่มีอะไร เมื่อครู่อาจารย์แค่อยากยืดเส้นยืดสาย” 


 


 


 “หึ ท่านมันตาแก่บ้า ต้องมีสักวันที่ข้าตีท่านให้ตาย” จิวมั่วเหอกัดฟันแน่น 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้ดีว่า ถึงแม้ศิษย์คนนี้มักจะเอ่ยปากไม่เคารพเขา ทว่าในใจย่อมเลื่อมใสเขาแน่ ไม่มีทางโต้ตอบง่ายๆ เขาจึงไม่เก็บคำพูดของจิวมั่วเหอใส่ใจ แค่นเสียงหึเบาๆ ลูบเครา นั่งลง “อย่างนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่า เจ้ามาหาศิษย์น้องหญิงเจ้าทำไม เดี๋ยวก่อน คงไม่ใช่คิดจะมาเปิดโปงข้าหรอกนะ” 


 


 


ก้นที่เพิ่งจะนั่งก็กระเด้งขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังยกเก้าอี้ยาวขึ้น “หากเจ้าทำให้นางรู้ว่าเจ้าคือศิษย์ข้า ข้าจะจัดการเจ้าซะ” 


 


 


จิวมั่วเหอ “…พอได้แล้วยัง ข้ามาหานาง ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้แน่” 


 


 


เคราะห์ดีที่จิวมั่วเหอไม่ใช่บุรุษใจแคบ ไม่เช่นนั้นอาศัยที่อาจารย์ลำเอียงเช่นนี้ เขาสมควรไปคิดบัญชีกับศิษย์น้องหญิงร่วมสำนักแล้ว ดูสิว่านางกรอกยาอะไรให้อาจารย์กินกันแน่  


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันรู้ว่าตัวเองวู่วามเกินเหตุ 


 


 


หัวเราะแห้งๆ คำหนึ่ง วางเก้าอี้ยาวลง ลูบเคราใช้ความคิด พลันทำหน้าทำตาน่าเกลียดใส่จิวมั่วเหอ “ศิษย์ข้า เจ้าพูดมาตามตรง เจ้ากับเยี่ยเม่ยคงไม่ได้แอบมีอะไรลับหลัง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน….” 


 


 


พูดไปพลาง ก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา 


 


 


 “อาจารย์ ท่านเคยได้ยินคำพูดหนึ่งหรือเปล่า” จิวมั่วเหอรู้สึกแตกตื่นอยู่บ้าง 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ใบหน้ายิ้มแย้มชั่วร้ายเอ่ยว่า “ไหนลองว่ามา” 


 


 


 “คนแก่ไม่น่าเคารพ” 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ “…” 


 


 


จิวมั่วเหอมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ทีหนึ่ง ทั้งคร้านจะใส่ใจ หวนคิดว่าวันนี้ก่อนออกจากบ้านตัวเองคงลืมดูฤกษ์ยาม ถึงได้พบเจออาจารย์อยู่ที่นี่ด้วย 


 


 


ดังนั้นเขาลุก ก้าวเท้าจากไป “ในเมื่อวันนั้นท่านก็มีเรื่องมาหานาง อย่างนั้นข้าขอตัวไปก่อน” 


 


 


 “เดี๋ยว หยุด” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เองก็ลุกขึ้น “อย่างนั้นเจ้าอยู่ก่อนเถอะ ยังไงเสียข้าก็ไม่มีธุระด่วนอะไร เจ้าเอาของชิ้นนี้มอบให้กับเยี่ยเม่ย บอกนางว่าของสิ่งนี้นางสามารถใช้ได้ ภายหน้าอาจจะช่วยชีวิตนางได้ แต่นางจะเอาไปใช้ยังไงก็แล้วแต่นาง”    


 


 


พูดจบแล้ว ก็ยื่นขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้กับจิวมั่วเหอ 


 


 


จิวมั่วเหอเปิดขวดกระเบื้องออกดมดู หน้าเปลี่ยนสีไปในฉับพลัน “อาจารย์ หรือว่านี่คือผงราชาหนอนพิษ ของสิ่งนี้ท่านไม่เสียดายหรือ” 


 


 


นี่ช่างลำเอียงเหลือเกิน 


 


 


ของสิ่งนี้ร้อยปีที่ผ่านมามีแต่คำเล่าลือ ไม่เคยมีคนพบเห็นมาก่อน เขาเพียงได้ฟังมาเท่านั้น ถึงได้ดมกลิ่นแล้วรู้จักมัน แต่ก็ไม่รู้ว่าตาแก่นี่ไปเอามาจากไหน หลังจากได้ของมาก็ไม่ถามศิษย์คนอื่น มอบให้เยี่ยเม่ยเลย ช่างชวนให้โมโหจริงๆ 


 


 


เห็นจิวมั่วเหอสีหน้าตกใจ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็รู้ว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย 


 


 


เขามุ่นคิ้วอธิบาย “ข้ามีเพียงขวดนี้ขวดเดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นของกราบอาจารย์ที่ได้มาจากศิษย์น้องสามของเจ้าเมื่อหลายปีก่อน เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่อเจ้าก็เห็นแล้ว เจ้ากับศิษย์น้องเจ้าก็แบ่งกันคนละครึ่งเป็นอย่างไร” 


 


 


 “ศิษย์น้องสามที่ข้าไม่เคยเห็นหน้าอย่างนั้นเหรอ” จิวมั่วเหอกลับขมวดคิ้ว 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า เอ่ยด้วยเสียงยินดีว่า “ดังนั้นในบรรดาศิษย์อกตัญญูอย่างพวกเจ้าทั้งหลาย คนที่ได้ใจของอาจารย์ที่สุดก็คือศิษย์น้องสามเจ้า ไม่พูดแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า ข้าไปล่ะ” 


 


 


เมื่อผู้เป็นอาจารย์เอ่ยจบก็ทะยานออกไปจากหน้าต่าง 


 


 


   …… 


 


 


ในเวลานี้ เยี่ยเม่ยกลับมาพอดี 


 


 


นางก้มหน้าก้มตาเดินเข้าเรือนของตน คิดถึงบทสนทนาของตัวเองกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเมื่อครู่ เยี่ยเม่ยกังวลว่าภายหน้าตัวเองจนสูญเสียตำแหน่งเป็นใหญ่ในบ้านไป ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับตอบมาอย่างไม่ใส่เลยว่า ภายหน้าเขาจะยังเชื่อฟังนางเสมอ 


 


 


นางไม่พูดอะไรอีก ตรงดิ่งกลับมาที่เรือน 


 


 


แต่สรุปแล้วนางเชื่อคำพูดของเขาครึ่งหนึ่งไม่เชื่อครึ่งหนึ่ง รู้สึกไม่สงบใจเป็นอย่างมาก คิดอยู่ตลอดว่าภายหน้านางต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ 


 


 


เยี่ยเม่ยถอนหายใจอย่างหงอยๆ ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องการหมั้นหมาย ช่างเหลวไหลทั้งเพ 


 


 


ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของคน 


 


 


   ไม่ช้า จิวมั่วเหอยื่นขวดกระเบื้องในมือให้เยี่ยเม่ย “ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มอบให้เจ้า”  

 

 


ตอนที่ 197 ลอบสังหาร

 

เยี่ยเม่ยขมวดคิ้วด้วยความตกใจ ยื่นมือออกไปรับขวดกระเบื้องมา


 


 


นางสังเกตดูบนขวดไม่มีร่องรอยตัวอักษร จึงถามออกไปตามตรง “นี่มันคืออะไรกัน”


 


 


ระหว่างเอ่ยถาม หญิงสาวมองการแต่งกายของจิวมั่วเหอในวันนี้


 


 


ครั้งก่อนที่พบกัน นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้รูปงามเกินคนทั่วไป วันนี้พบเขาในเครื่องแบบทหารน่าเกรงขาม แสดงออกถึงความโดดเด่นของบุรุษแข็งแกร่ง ยิ่งทำให้เยี่ยเม่ยตะลึง สายตาฉายแววแปลกใจ


 


 


นางแค่นเสียงเบาๆ “ใต้เท้าจิวมั่ว ในที่สุดวันนี้ท่านก็สวมชุดที่เขากับตัวท่านเสียที เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าชุดนักบวชกับเสื้อผ้าธรรมดามันไม่เหมาะกับท่าน”


 


 


ในโลกนี้มีบุรุษประเภทหนึ่ง ขอแค่คนมองครั้งเดียวก็เห็นความหล่อเหลาที่ทรงอานุภาพ นับตั้งแต่ใบหน้าจนถึงสัดส่วนร่างกาย ในความรูปงามของเขาแฝงไปด้วยพละกำลังอันเข้มแข็ง บรรยากาศรอบกายเขาคือความแข็งแกร่งและองอาจ บุรุษเยี่ยงนี้เกิดมาเหมาะสมกับชุดทหารมาก ความดุดันและดิบเถื่อนเป็นคำอธิบายบุรุษประเภทนี้ได้ดีที่สุด


 


 


ส่วนจิวมั่วเหอเป็นบุรุษประเภทนี้อย่างมิต้องสงสัย


 


 


ร่างกายเขามีบรรยากาศที่แข็งแกร่งมากกว่าสิ่งใด นอกจากชุดทหารแล้ว ก็ไม่มีอาภรณ์แบบใดที่เหมาะสมกับเขาอีก


 


 


จิวมั่วเหอเพียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง น้ำเสียงยังคงไม่เป็นโล้เป็นพายเหมือนเคย “ในเมื่อเจ้ามองธาตุแท้ของข้าออก อย่างนั้นยังจะเสแสร้งไปทำไมอีก”


 


 


 “ฮี่…” เยี่ยเม่ยหัวเราะ แต่ไม่พูดจา


 


 


สายตานางจับจ้องอยู่ที่ขวดกระเบื้องในมือ รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย


 


 


สายตาของจิวมั่วเหอเคลื่อนไปที่ขวดกระเบื้องนั้น “ของสิ่งนี้เรียกว่าผงราชาหนอนพิษ เป็นของหายากในรอบร้อยปี เพราะว่าของสิ่งนี้ได้มาจากร่างกายของคนที่มีราชาหมื่นพิษอยู่ ซ้ำยังนำออกมาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น สรรพคุณคือเมื่อกินเข้าไปแล้ว พิษทั้งหลายจะไม่อาจทำร้ายเจ้าได้ แต่ว่าระยะเวลาออกฤทธิ์ก็อยู่ที่จำนวนที่เจ้าดื่มเข้าไป ขวดเล็กๆ แบบนี้สามารถต่อต้านพิษทั้งหลายได้หนึ่งปี”


 


 


 “ความหมายก็คือ หลังจากข้าดื่มเข้าไป ภายในหนึ่งปีจะไม่มีพิษอะไรที่ทำร้ายข้าได้อย่างนั้นเหรอ” เยี่ยเม่ยมองจิวมั่วเหอ 


 


 


จิวมั่วเหอพยักหน้า ไม่รู้ว่าจนปัญญาหรืออิจฉา ก็เอ่ยตอบมาอีกว่า “ถูกแล้ว เป็นยาที่ช่วยให้ร้อยพิษไม่อาจกร่ำกรายทำอะไรเจ้าได้ ความจริงยังมีสรรพคุณอื่นอีกไม่น้อย มันไม่เพียงแค่ไม่ถูกพิษร้ายเท่านั้น หนอนพิษทั้งหลายก็ไม่เข้าใกล้เจ้าด้วย หากเจ้าเข้าใจวิชาพิษ ก็ยังสามารถควบคุมหนอนพิษได้”


 


 


นี่คือจุดที่ร้ายกาจที่สุดของผงราชาหนอนพิษ


 


 


 “อย่างนั้น หากคนที่ถูกพิษแล้ว กินเข้าไปจะช่วยให้…” นางคิดถึงจิ่วหุน หากช่วยถอนพิษให้เขาได้ ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดี


 


 


จากนั้น จิวมั่วเหอปรายตามองนาง “ข้าบอกแล้ว ทำให้ไม่ถูกพิษ ไม่ใช่ถอนพิษ สรรพคุณของมันคือป้องกันพิษ ไม่ใช่ช่วยถอนพิษ คนที่ถูกพิษแล้ว กินลงไปก็เสียเปล่า”


 


 


 “เข้าใจแล้ว” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ถามต่อว่า “แต่ว่าของดีขนาดนี้ เจ้าทำไมไม่เก็บไว้เอง”


 


 


สารพัดพิษไม่เข้าใกล้ ถึงกระทั่งสามารถควบคุมหนอนพิษได้


 


 


เขากลับไม่ยึดเอาไว้เอง


 


 


จิวมั่วเหอแค่นเสียงหึ เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ความหมายของท่านผู้เฒ่าคือให้เจ้ากับข้าแบ่งกันคนละครึ่งขวด แต่ข้าจิวมั่วเหอเป็นบุรุษ ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงสิ่งของกับสตรี ยกให้เจ้าทั้งหมดเลย ถือว่าข้ายอมให้เจ้าก็แล้วกัน”


 


 


 “ข้าชอบความใจกว้างของท่านจริงๆ” เยี่ยเม่ยไม่เกรงใจ รับไว้ทั้งหมด


 


 


นางรู้ว่าจิวมั่วเหอไม่มีทางมาที่นี่โดยไร้สาเหตุ จึงเอ่ยปากถามว่า “วันนี้ที่ท่านมาจะคุยเรื่องการร่วมมืออย่างนั้นเหรอ”


 


 


 “ไม่ใช่” สีหน้าของจิวมั่วเหอสงบลง “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเป่ยเฉินอี้แอบร่วมมือกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่แล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยตะลึงงัน “เป่ยเฉินอี้เพิ่งมาถึงเมืองเองไม่ใช่หรือไง”


 


 


ลงมือได้รวดเร็วปานนี้เชียว


 


 


จิวมั่วเหอหัวเราะเย็นชา กล่าวต่อ “ดูท่าก่อนมาถึง เรื่องนี้ก็วางแผนเอาไว้แล้ว”


 


 


 “เขาคิดทำอะไร” เยี่ยเม่ยจ้องจิวมั่วเหอ


 


 


จิวมั่วเหอแค่นเสียงเบาๆ น้ำเสียงเย็นชาเล่าว่า “เขาเสนอว่า ภายในหมากห้าก้าวจะช่วยพวกเราเอาชนะเจ้า แต่เขาร่วมมือด้วยจากใจจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดังนั้นท่านข่านกำลังพิจารณาอยู่ แต่ข้ามองออก ท่านข่านหวั่นไหวกับข้อเสนอมาก หากพวกเขาร่วมมือกันจริงๆ สถานการณ์ของเจ้าอันตรายมาก”


 


 


เยี่ยเม่ยในยามนี้พลันรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มน่าสนุกขึ้นมา


 


 


ต้ามั่วแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขั้วอำนาจของเป่ยเฉินก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย นี่ก็เท่ากับมีสี่ฝ่ายแล้ว จากนั้นทั้งสองกลุ่มต่างแยกสมคบคิดกับศัตรู ราชาต้ามั่วจะร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้ ส่วนจิวมั่วเหอร่วมมือกับนาง นี่มันช่าง…


 


 


น่าสนุกและตื่นเต้นนัก


 


 


นางเป็นพวกชอบทำศึกที่น่าสนุก แล้วในสถานการณ์นี้นางก็ไม่อาจไม่รับศึก ดังนั้นจึงมองจิวมั่วเหอ “ท่านสืบได้หรือเปล่าว่า เป่ยเฉินอี้คิดใช้แผนอะไรเล่นงานข้า”


 


 


หมากห้าก้าว


 


 


นางล่ะแปลกใจจริงๆ


 


 


ครั้งก่อนเป่ยเฉินอี้บอกข้อผิดพลาดในการทำศึกของนางหลายข้อ นางยังจำได้แม่น อีกทั้งรู้สึกเลื่อมใส คราวนี้เขาบอกว่าจะเอาชนะนางภายในหมากห้าก้าว ภายใต้ความประหลาดใจก็ต้องระวังด้วย


 


 


จิวมั่วเหอตีหน้าขรึม “นี่เป็นสาเหตุที่ข้ามาเตือนเจ้าในวันนี้ คนที่เป่ยเฉินอี้ร่วมมือด้วยคือเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ เขาจงรักภักดีกับราชาต้ามั่วมาก เขาป้องกันระแวงข้า ดังนั้นหากเขาร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้สำเร็จ…”


 


 


 “อย่างนั้น เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่จะต้องตักเตือนราชาต้ามั่ว ให้ปกปิดข่าวสารกับท่าน ไม่ให้ท่านรับรู้หรือ” เยี่ยเม่ยถาม


 


 


จิวมั่วเหอพยักหน้าหนักใจ “เป็นอย่างนั้น ดังนั้นแผนการของเป่ยเฉินอี้ ต้องให้เจ้าแก้ไขเองแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างดูแคลน “ความหมายของท่านคือ ท่านแสร้งเป็นนักบวชอยู่นานขนาดนี้ ราชาต้ามั่วยังไม่เชื่อใจท่านอีกเหรอ”


 


 


จิวมั่วเหอมองสายตาดูแคลนของเยี่ยเม่ยออก เขาคัดค้านว่า “ไม่ใช่ไม่เชื่อใจข้า แต่เชื่อใจเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่มากกว่า ชื่อเสียงของเขาในหมู่ทหารสู้ข้าไม่ได้ ขุมพลังก็ไม่อาจสู้ข้าได้ แต่เพราะเขามีบุญคุณช่วยชีวิตราชาต้ามั่ว ดังนั้นมีผลต่อการตัดสินใจของราชาต้ามั่วมากกว่าคนอื่นๆ”


 


 


ทีนี้เยี่ยเม่ยก็เข้าใจ เมื่อมีบุญคุณช่วยชีวิต ราชาต้ามั่วย่อมเชื่อเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่มากกว่า


 


 


นางลูบคางใช้ความคิด พยักหน้าตอบว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวังตัว แต่ท่านก็หาวิธีร่วมมือกับข้าด้วย สืบข้อมูลมาให้มากหน่อย หากข้าพ่ายแพ้แล้ว แผนการของท่านก็จบเห่ ยามนี้พวกเราเหมือนตั๊กแตนที่ไต่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยตัดสินใจลากเขาลงน้ำด้วย


 


 


จิวมั่วเหอจะไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเม่ยได้อย่างไร เขาแค่นเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว ขอตัวก่อน”


 


 


 “อืม”


 


 


   ……


 


 


ล่วงเข้ายามจื่อ[1]


 


 


จิ่วหุนนอนหลับตาพักผ่อนบนเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียว


 


 


ในเวลานี้เอง


 


 


พลันปรากฏเงาร่างหกสายทะยานเข้ามาทางหน้าต่าง มีดในมือพุ่งเข้าไปฟันจิ่วหุนบนเตียงด้วยความรวดเร็ว


 


 


จิ่วหุนที่นอนอยู่เปิดตาขึ้นมาทันที กระเด้งตัวขึ้นมาหลบการจู่โจม


 


 


ทว่าในขณะที่กระโดดขึ้นมานั้น ฝ่ามือหนึ่งของคนปิดหน้าก็กระแทกหน้าอกเขา เดิมทีจิ่วหุนถูกพิษอยู่แล้ว เมื่อพิษกำเริบร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง เสี้ยวขณะนั้นไม่อาจหลบพ้น รับฝ่ามือเข้าไปอย่างจัง


 


 


 “อึก…” กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง


 


 


 


 


[1] 23.00-01.00 น. 

 

 


ตอนที่ 198 คิดจะฆ่าข้า เกรงว่าพวกจนคง...

 

คนทั้งหมดเห็นว่าจิ่วหุนบาดเจ็บ ไอเข่นฆ่ายิ่งรุนแรง


 


 


แววตาเย็นเยียบเป็นสีแดงก่ำ มีคนหนึ่งตวาดก้องว่า “เจ้านักฆ่าอำมหิต เอาชีวิตสุนัขของเจ้ามาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบิดาข้าบนสวรรค์เถอะ”


 


 


จิ่วหุนกุมหน้าอก กระบี่ยาวค้ำอยู่ข้างกายช่วยประคองไม่ให้ล้มยามเมื่อขาข้างหนึ่งของเขาเหยียบลงพื้นมาก่อน


 


 


มุมปากของเขามีรอยเลือด มองคนชุดดำทั้งหกคน


 


 


จิ่วหุนถามด้วยเสียงสงสัย “มาล้างแค้น?”


 


 


 “ไม่ผิด เจ้าเอาชีวิตบิดาข้า วันนี้ข้าจะต้องสังหารเจ้าให้ได้” คนชุดดำผู้นั้นตอกกลับทันควัน


 


 


ส่วนคนที่ฟาดฝ่ามือใส่จิ่วหุน ก็หัวเราะเสียงเย็นชา จ้องจิ่วหุน กัดฟันเอ่ย “ตอนที่เจ้าสังหารอาจารย์ข้า คิดหรือไม่ว่าตัวเองจะมีวันนี้”


 


 


ฐานะของผู้มาชัดเจนมาก ล้วนมาล้างแค้นทั้งสิ้น


 


 


อีกทั้งยังไม่ได้มาเพียงคนเดียว


 


 


จิ่วหุนเข้าใจแล้ว


 


 


เขาลุกขึ้น มองคนทั้งหมดทีหนึ่ง ไอพร้อมกับสำลักเลือดออกมาด้วย จิ่วหุนจ้องมองคนทั้งหลายเบื้องหน้า “มาล้างแค้น ก็ไม่ต้องพร่ำมากความ มีความสามารถฆ่าข้าได้หรือไม่ ใช้การกระทำแทนคำพูด”


 


 


สิ้นเสียง


 


 


จิ่วหุนชักกระบี่ออกอย่างรวดเร็ว พลิ้วกายวูบหนึ่ง ดาบพุ่งออกไปอย่างดุดัน เลือดสดกระเซ็นออกเป็นสาย คนชุดดำที่ใช้ฝ่ามือทำร้ายเขาหัวหลุดออกจากร่าง


 


 


ในขณะเดียวกัน จิ่วหุนก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เพราะฝืนโคจรกำลังภายใน


 


 


คนที่มีชีวิตอยู่อีกห้าคน มองศพของสหายร่วมเดินทางผู้นั้น พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาในทันที สำนึกได้ว่าหากเมื่อครู่เป้าหมายของจิ่วหุนคือตนเอง เช่นนั้นศพที่นอนอยู่บนพื้นในเวลานี้ก็คงเป็นตนเองแล้ว


 


 


ด้วยเหตุนี้สีหน้าแต่ละคนล้วนซีดเผือด


 


 


ทว่าไม่ช้า สายตาคนทั้งหมดก็ตกอยู่บนร่างของจิ่วหุน


 


 


สายตาสงบไร้ความแตกตื่นของจิ่วหุนแผ่อายเย็นเยือก มองพวกเขา เอ่ยเสียงขุ่นว่า “ยังมีใครจะเข้ามาอีก”


 


 


คนทั้งห้าในสถานที่นี่ต่างมองหน้ากัน ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าขยับเข้าใกล้


 


 


แต่


 


 


ไม่ช้าก็มีคนผู้หนึ่งโพล่งขึ้นมาว่า “คนอำมหิตผู้นี้อย่าปล่อยให้มันมีชีวิตรอดไป วันนี้ในเมื่อพวกเรามาถึงแล้ว ก็ต่างเตรียมใจรับความตาย ทุกคน อย่ากลัว”


 


 


 “อืม” มีคนพยักหน้าเห็นด้วย เขาหยุดอาการตัวสั่น มองจิ่วหุนกล่าวว่า “ข้าบอกเจ้าไว้ วันนี้เจ้าไม่รอดแล้ว พวกเราแค่เป็นกองหน้าเท่านั้น ด้านนอกยังคนเตรียมสังหารเจ้าหลายกลุ่ม เจ้าฆ่าพวกเราได้ แต่ไม่ช้าก็ตายในเด้วยน้ำมือของผู้อื่น”


 


 


 “ไม่ผิด ทางทีดีเจ้าอย่าได้ขัดขืน ให้มีความผิดเพิ่มขึ้นอีกเลย” มีคนเสริมขึ้นมาอีก


 


 


หลังจากสิ้นเสียงของพวกเขา


 


 


จิ่วหุนแหงนหน้ามองพวกเขาทั้งหมด สายตาเต็มไปด้วยไอสังหาร แค่จิตสังหารนี้ก็มากพอทำให้คนหวาดกลัวแล้ว


 


 


ไม่ช้า เขาเอ่ยปากว่า “คิดฆ่าข้า เกรงว่าจะทำให้พวกเจ้าหมดหวังแล้ว”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ


 


 


จิ่วหุนโคจรพลัง ร่างกายพลันเปลี่ยนไป


 


 


 “เงาสังหาร”


 


 


เงาร่างจำนวนมากของจิ่วหุนพุ่งมาจากทั่วสารทิศ ชายชุดดำทั้งห้าตวัดสายตามองไปรอบๆ พิจารณาว่าร่างจริงของจิ่วหุนคือร่างไหน ร่ายแยกของจิ่วหุนคือร่างไหน…


 


 


ยังไม่ทันมองออก


 


 


เลือดสาดเป็นสายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ละอองโลหิตฉีดพุ่งอยู่ในอากาศ ผ่านใบหน้าเย็นเยียบของจิ่วหุน สุดท้ายสาดลงพื้น


 


 


บนพื้น มีศพเพิ่มขึ้นมาอีกห้าศพ


 


 


พื้นเต็มไปด้วยเลือด มองไปมีแต่เลือด


 


 


เป็นดั่งคำพูดของจิ่วหุน คิดจะสังหารเขา มีแต่ความสิ้นหวังเท่านั้น


 


 


ส่วนจิ่วหุน หลังจากใช้กระบวนท่านี้ออกไป ก็กระทบกระเทือนอวัยวะภายในที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง


 


 


ในขณะนี้เอง


 


 


นอกหน้าต่างมีเงาร่างพุ่งเข้ามาอีกสิบสาย การลอบสังหารยกที่สองก็เริ่มขึ้น


 


 


หลังจากเข้ามาถึง ผู้มามองศพไร้วิญญาณที่เข้ามาจู่โจมรอบแรก จากนั้นก็มองจิ่วหุนที่สิ้นแรงอย่างชัดเจน ก็เอ่ยเสียงเย็นว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ มาถึงขั้นนี้ เจ้ายังสังหารคนมากมายขนาดนี้ เพิ่มบาปให้กับตัวเองอีก จิ่วหุน เจ้ายังคิดอีกเหรอว่าวันนี้เจ้าจะรอดไปได้”


 


 


           คนด้านหลังอีกผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาบ้าง เอ่ยปากกับจิ่วหุน “พวกเรารวมตัวเป็นสหพันธ์ หากไม่กำจัดนักฆ่าชั่วร้ายอย่างเจ้าไม่ได้ ก็จะไม่ล้มเลิก เจ้าถูกพิษแล้ว ดิ้นรนไปก็เท่านั้น”


 


 


คนพวกนี้เอ่ยคำพูดออกมา สายตาของพวกเขาที่มองจิ่วหุนเต็มไปด้วยความแค้น


 


 


จิ่วหุนไม่ได้หวั่นเกรงสายตาคนพวกนี้เลยสักน้อย ยกกระบี่ขวางได้ด้านหน้าตน สายตานิ่งสงบไม่ไหวติ่งมองไปยังคนเหล่านั้น “ฆ่าคน ไม่ได้ใช้ฝีปาก”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ สีหน้าของคนชุดดำสองคนภายใต้หน้ากากพลันขุ่นมัว


 


 


จิ่วหุนผู้นี้…


 


 


กำลังแดกดันว่าพวกเขาไม่มีความสามารถสังหารคน ทำได้เพียงใช้ปากพ่นวาจาไม่หยุดอยู่ที่นี่


 


 


ทว่า


 


 


ในสายตาของพวกเขาเห็นเป็นเช่นนี้


 


 


สำหรับจิ่วหุนแล้ว เขาคิดว่า ตนเองกำลังสั่งสอนให้คนเหล่านี้รู้จักการเป็นคน  ยามเผชิญหน้ากับคนที่จะลอบฆ่า สมควรตื่นตัวและมีความรู้พื้นฐาน


 


 


เพราะเจตนาเดิมที่จิ่วหุนเอ่ยออกไป ไม่ตรงกับความคิดของคนที่ฟังคำพูดของเขา


 


 


ดังนั้นคนชุดดำทั้งหลายยามนี้จากเก้อเขินเป็นความโมโห เอ่ยด้วยโทสะ “จิ่วหุน วันนี้พวกข้าต้องสับเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ให้ได้”


 


 


จิ่วหุนไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาต้องเดือดดาล เพียงตอบเสียงเบาว่า “ถึงพวกเราจะเป็นศัตรู แต่ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี จำไว้ ภายหน้าอย่าเอ่ยคำพูดโง่เขลาเช่นนี้กับข้าอีก”


 


 


คนชุดดำ “…”


 


 


พวกเขาอยากกระอักเลือดแล้ว


 


 


ไหนว่าจิ่วหุนไม่ถนัดต่อล้อต่อเถียงมิใช่เหรอ  นี่ยังเรียกว่าไม่ถนัดโต้เถียง ไม่ทันคน ไม่รู้ว่าตัวเองเอ่ยคำพูดทำร้ายคน เขาไร้เดียงสาจริงหรือว่าจงใจกันแน่


 


 


 “เหอะ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ฆ่าเถอะ”


 


 


หลังจากสิ้นเสียงคนชุดดำผู้นั้น คนด้านหน้าก็เข้ามาฆ่าจิ่วหุน


 


 


ยามจิ่วหุนยกมือฟาดฟันออกไป ก็มีศีรษะมนุษย์ตกลงคนหนึ่ง


 


 


คนที่เหลืออีกเก้าคนเห็นภาพนี้ เริ่มเกิดความลังเล ถึงขั้นปรึกษากันเสียงเบาว่า “วรยุทธ์ของเขาสูงส่งขนาดนี้ พวกเราจะฆ่าเขาได้จริงๆ เหรอ”


 


 


 “เขาถูกพิษแล้ว กำลังภายในไม่อาจใช้ออกมาได้ทั้งหมด วันนี้ไม่ฆ่าเขา ภายหน้ายิ่งไม่มีโอกาสฆ่าเขาอีก”


 


 


 “แต่…”


 


 


 “เจ้าลืมความแค้นของน้องชายเจ้าแล้วเหรอไง”


 


 


เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาคนทั้งหมดก็หนักแน่นขึ้น “ฆ่า”


 


 


ในขณะเดียวกัน คนชุดดำอีกกลุ่มก็ทะยานเข้ามาทางหน้าต่างมองจิ่วหุน คนกลุ่มนี้กลับคล้ายคนที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ


 


 


หลังจากเข้ามาแล้ว ก็เอ่ยปากว่า “นายท่านมีคำสั่ง ใครนำหัวจิ่วหุนกลับไปได้ ตกรางวัลพันตำลึงทอง ฆ่า”


 


 


นักฆ่าดาหน้าเข้ามาเป็นระลอกๆ ยังไม่ทันสังหารกลุ่มหนึ่งหมด อีกกลุ่มก็ล้อมเข้ามาอีกแล้ว


 


 


เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่เตรียมการมาเป็นเวลานาน มาจนถึงตอนนี้ ภายในห้องเกิดการเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้ง ก็ยังไม่มีทหารสักคนเข้ามาคุ้มกัน


 


 


ทุกอย่างบอกได้เลยว่า มีคนตั้งใจวางแผนไว้แต่แรก จัดฉากสังหารเขา


 


 


สิ่งเหล่านี้ ในฐานะนักฆ่าเจ้าแผนการ ขอเพียงจิ่วหุนใคร่ครวญก็มองออก เพียงแต่คนคิดเอาชีวิตเขาเป็นใครกันแน่


 


 


ชั่วขณะใช้ความคิด คนชุดดำกลุ่มนี้ก็ตรงเข้ามาสังหารเขา


 


 


จิ่วหุนสายตาตระหนก ยามโคจรกำลังภายในพลันกระทบกระเทือนถึงอาการบาดเจ็บ เรี่ยวแรงติดขัด กระบี่ของคนชุดดำคนหนึ่งแทงใส่อกเขา


 


 


จิ่วหุนหลบอย่างว่องไว กระบี่เล่มนั้นแทงใส่บ่าของเขาแทน


 


 


เลือดพุ่งออกมา


 


 


คนทั้งหมดเห็นกระบวนท่าหนึ่งก็ทำร้ายจิ่วหุนได้ ยามนี้ทวีความมั่นใจ ตวาดก้องว่า “ฆ่ามัน” 

 

 


ตอนที่ 199 แม่นางเยี่ยเม่ย จิ่วหุนถูก...

 

สายตาที่จ้องมองจิ่วหุนแต่ละคู่เต็มไปด้วยความแค้น


 


 


ในมือของคนทั้งหมดถืออาวุธคร่าชีวิต พุ่งเข้ามาจู่โจมจิ่วหุน


 


 


จิ่วหุนมั่นใจว่า ในกลุ่มคนพวกนี้ต้องมีคนที่มาล้างแค้นให้ญาติมิตรคนสนิทแน่ แต่ที่มีมากกว่ากลับเป็นคนที่ถูกใครบางคนส่งมา…


 


 


เขาปิดตาลง


 


 


ยามนี้จิ่วหุนไม่มองภาพเบื้องหน้าอีก ใช้หูฟังแทน


 


 


เพียงแค่ใช้หูฟังเท่านั้น


 


 


เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากทั่วสารทิศ แต่ละคนอยู่ตำแหน่งไหน ฝีเท้าของคนทั้งหมดมีความเร็วอยู่ในระดับใด จะเข้าใกล้เขาในเวลาไหนและจะเข้ามาในจังหวะใด


 


 


สุดท้าย


 


 


จิ่วหุนพลันเปิดตาขึ้น พ่นคำพูดออกมา “เคียวอสุรา”


 


 


สิ้นเสียง


 


 


เขาใช้กำลังภายในควบคุมกระบี่ยาวในมือบินออกไป จิ่วหุนไม่จำเป็นต้องขยับเขยื้อนเลย กระบี่เล่มนั้นคล้ายกับเคียวของเทพแห่งความตายลอยโฉบผ่าน ไม่ว่าตรงที่ไหนที่มันผ่านไป จะมีคนถูกแทงหนึ่งคน


 


 


หัวคนทั้งหมดหลุดร่วงลงพื้น ตายในกระบวนท่าเดียวทั้งสิ้น


 


 


กระบวนท่านี้เมื่อใช้ออกไปสามารถกำจัดคนที่เข้าใกล้ตัวจิ่วหุนได้อย่างแม่นยำ แค่กระบวนท่าเดียว ศพกว่าสามสิบศพและศีรษะก็เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น


 


 


จิ่วหุนยื่นมือรับกระบี่กลับมา


 


 


ในห้องยังเหลือผู้โชคดีอยู่สองคนที่เมื่อครู่ไม่ได้เข้าใกล้จิ่วหุนมากเกินไป ดังนั้นยังรอดชีวิตอยู่ คนทั้งสองมองสภาพด้านหน้า พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ มองหน้ากันไปมา


 


 


ในเวลานี้เอง จิ่วหุนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง


 


 


ขมับมีเหงื่อซึมออกมา เขารู้ดีว่าร่างกายตัวเองมาถึงขีดจำกัดแล้ว หากยังฝืนใช้กำลังภายในต่อไป สถานเบาก็เป็นลมหมดสติไป หากหนักหน่อยก็เส้นชีพจรแตกซ่าน


 


 


แต่เขาไม่มีทางถอยอีกแล้ว


 


 


สายตาของจิ่วหุนมองคนทั้งสอง ชี้กระบี่อาบเลือดไปที่พวกเขา ถามว่า “ยัง…จะสู้อีกไหม”


 


 


เวลานี้คนทั้งสองไม่ตอบ


 


 


รู้แก่ใจว่า สภาพร่างกายของจิ่วหุนในเวลานี้ ถึงจะเป็นเหมือนคันธนูที่สิ้นเรี่ยวแรง แต่หากจะสังหารพวกเขาสองคน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก


 


 


พวกเขาตัดสินใจถอย แสดงออกว่าตัวเองไม่คิดสู้แล้ว


 


 


ทว่าหนึ่งในนั้นพลันโพล่งออกมาว่า “จิ่วหุน เจ้าร้ายกาจมาก แต่วันนี้เจ้าถูกกำหนดแล้วว่าไม่อาจรอดออกไปจากที่นี่ได้”


 


 


สิ้นเสียงเขา


 


 


หลังคาห้องถูกพังทะลุ


 


 


คนถือกระบี่ยาวผู้หนึ่งทะลวงหลังคาจู่โจมลงมา จิ่วหุนยกกระบี่ยาวขึ้นเหนือศีรษะ รับกระบี่ของคนผู้นั้นไว้


 


 


ขณะเดียวกัน


 


 


อีกคนหนึ่งก็ทะยานเข้ามาทางหน้าต่าง กระบี่ยาวแทงใส่แผ่นหลังจิ่วหุน


 


 


การจู่โจมนี้เรียกได้ว่าสายฟ้าฟาดไม่อาจหลบหลีก


 


 


คนทั้งหมดต่างคิดว่า จิ่วหุนต้องจบชีวิตแน่แล้ว


 


 


ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ กระบี่ยาวที่พุ่งใส่แผ่นหลังจิ่วหุน กลับถูกมืออีกข้างหนึ่งของเขาคว้าไว้แน่น


 


 


มือจับคมกระบี่ทำให้ถูกบาดจนเลือดค่อยๆ ไหลลงมาไม่หยุด


 


 


หน้าอกของจิ่วหุนถูกฝ่ามือกระแทก บ่าก็ยังมีเลือดไหล ฝ่ามือก็มีเลือดไหล แผลเก่าแผลใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ พิษในร่างกายยังคงกำเริบ ทำให้เขาที่คิดโคจรกำลังภายใน ก็ทำไม่ได้อีก


 


 


ด้านนอกมีคนทะยานเข้ามาจากหน้าต่างอีกหลายคน กระบี่ยาวในมือพุ่งเข้าใส่จิ่วหุน


 


 


เขาสายตาเย็นเยียบในฉับพลัน ใช้พลังทั้งหมดในร่างรวบรวมกำลังภายในแข็งแกร่งขุมหนึ่งระเบิดปะทุออกไปอย่างรุนแรง  


 


 


 “ปัง” เสียงดังสนั่น


 


 


คนที่อยู่รอบกายจิ่วหุนทั้งหมดและคนที่กลุ้มรุมจู่โจมเขา ล้วนถูกกำลังภายในขุมนั้นกระแทก ร่วงล้มลงพื้นอย่างแรง


 


 


รวมถึงคนที่ลอบจู่โจมจากบนหลังคา และคนที่จิ่วหุนกุมกระบี่ไว้ พวกเขาต่างจับกระบี่ไม่มั่นอีก ล้มฟาดพื้นไป


 


 


จิ่วหุนคลายมือ ปล่อยคมกระบี่ในมือออก กระบี่อาบโลหิตตกสู่พื้น


 


 


จิ่วหุนรู้ดีว่าหากเขายังไม่หนีไปอีก นักฆ่าชุดใหม่ก็จะเข้ามาในไม่ช้า เขาไม่ทันจะจัดการบาดแผลของตนก็กระโดดทะยานออกไปทางหลังคา


 


 


หลังจากกระโดดขึ้นหลังคาไปแล้ว


 


 


รอบด้านมีคนชุดดำจำนวนมากกว่าเดิมอีก ต่างก็จู่โจมใส่เขา


 


 


ในยามนี้อาการบาดเจ็บของจิ่วหุนกำเริบขึ้น กระอักเลือดออกมาอีกระลอก ขณะเดียวกันคนที่ไล่สังหารจิ่วหุนพลันสาดผงพิษมาทางเขา


 


 


เมื่อจิ่วหุนหลบไม่ทัน พิษแล่นเข้าสู่ร่างกาย เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ยิ่งไม่อาจรวบรวมกำลังภายใน ริมฝีปากค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ


 


 


จิ่วหุนยามนี้หมดปัญญาต่อสู้และไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ ไม่พูดพร่ำมากความ ใช้วิชาตัวเบาหนีเอาตัวรอด คนที่ไล่ฆ่าอยู่ด้านหลังก็ตามติดไม่ปล่อย เดิมทีเขามุ่งหน้าไปทางเรือนของเยี่ยเม่ย ทว่าฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหมุนตัวหนีเอาชีวิตรอดไปอีกทิศทางหนึ่ง


 


 


ฐานะของเขาถูกเปิดโปงแล้ว หากเขายังหนีไปอยู่ข้างนางอีก นักฆ่าเหล่านี้ก็จะฆ่านางไปด้วย


 


 


ดังนั้น เมื่อคนรู้ว่านางอยู่ร่วมกับนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่ช้าก็จะมีคนคิดว่านางเป็นพวกเดียวกับเขา นางก็จะกลายเป็นศัตรูของคนทั้งแผ่นดิน


 


 


ถึงเขาจะเข้าใจดีว่า หากในยามนี้ไม่ไปขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเม่ย ภายใต้การผลัดกันโจมตีของคนกลุ่มนี้ เขาคงต้องตายแน่


 


 


แต่ต่อให้ตาย เขาก็ไม่อยากทำให้นางลำบาก


 


 


   ……


 


 


ห้องของเจ้าเมืองหลิน


 


 


เซียวเยว่ชิงมุ่นคิ้ว ยืนอยู่ด้านข้างเจ้าเมืองหลิน ถามเสียงนิ่งว่า “เจ้าเมือง ทำเช่นนี้ดีอย่างนั้นหรือ คุณชายเสี่ยวจิ่วก็นับว่าช่วยเมืองของเราไว้มาก ยามนี้เขาถูกลอบสังหารอยู่ด้านนอก พวกเราไม่สนใจ นี่…”


 


 


 “แต่ในตอนนั้นพวกเราไม่มีใครรู้ว่า เขาคือจิ่วหุน” สีหน้าเจ้าเมืองหลินขาวซีดไม่น้อย หวนคิดว่านักฆ่าอันดับหนึ่งอยู่ในบ้านตนมาตั้งนาน เขายังคิดยกบุตรสาวให้แต่งงานด้วยอีก เจ้าเมืองหลินตัวสั่นเทิ้ม


 


 


เซียวเยว่ชิงขมวดคิ้ว “แต่พวกเราควรถามความเห็นของแม่นางเยี่ยเม่ยกับองค์ชายสี่สักหน่อย”


 


 


 “แม่นางเยี่ยเม่ยกับองค์ชายสี่ต้องถูกปิดบังไว้ไม่รู้เรื่องแน่ ยามนี้เจ้าไปบอกพวกเขา แม่นางเยี่ยเม่ยก็จะใจอ่อน พลาดโอกาสสังหารเจ้าปีศาจร้ายตัวนี้ไป ใครจะรับผิดชอบกัน” เจ้าเมืองหลินย้อนถาม


 


 


ไม่ช้า เขาก็เอ่ยต่อว่า “อีกอย่างเสีย พวกเราไม่ฆ่าเขา ก็แค่ชมอยู่ด้านข้างไม่ขัดขวางยามที่ผู้อื่นฆ่าเขาก็เท่านั้นเอง”


 


 


นอกห้องเจ้าเมืองหลิน ด้านนอกประตู หลินซูเหย่าบังเอิญได้ยินบทสนทนาของพวกเขา


 


 


นางหน้าตาซีดเซียว เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ คุณชายเสี่ยวจิ่วคือจิ่วหุนหรือ คือนักฆ่าอันดับหนึ่งผู้นั้นหรือ คือปีศาจร้ายในใจของทุกคนอย่างนั้นหรือ


 


 


ในเวลานี้เซียวเยว่ชิงถอนหายใจยาว “เกรงว่าคืนนี้จิ่วหุนจะเคราะห์ร้ายมากกว่าดีแล้ว ถูกคนจำนวนมากขนาดนั้นไล่สังหาร ซ้ำเขายังใช้กำลังภายในไม่ได้อีก ไม่มีคนคอยช่วยเหลือ คืนนี้คงยากจะรอดชีวิต”


 


 


หลินซูเหย่าอยู่ในอารามตกใจ


 


 


ไม่ได้


 


 


นางไม่อาจปล่อยให้คุณชายเสี่ยวจิ่วเกิดเรื่อง แต่…ดูจากท่าทีของท่านพ่อและแม่ทัพทั้งหลายแล้ว ยังมีใครจะออกโรงช่วยอีกเล่า ตัวนางไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ ยังมีใคร…


 


 


จริงสิ


 


 


ดวงตาของนางพลันวาวโรจน์ คิดถึงคนที่ตนเกลียดที่สุด เยี่ยเม่ย


 


 


ตอนนี้ไม่อาจคิดมากอีกแล้ว ต้องรักษาชีวิตคุณชายเสี่ยวจิ่วไว้ก่อนค่อยว่ากัน


 


 


หลินซูเหย่าไม่คิดมาก วิ่งไปที่เรือนเยี่ยเม่ยทันที


 


 


เยี่ยเม่ยเพิ่งส่งจิวมั่วเหอจากไป หลายวันที่ผ่านมานางเหนื่อยมาก ถึงกระทั่งหลับฟุบไปบนโต๊ะ หลังจากนอนได้สองชั่วยาม ก็ค่อยๆ ขยับเปลี่ยนท่าทาง เห็นท้องฟ้าด้านนอกล่วงเลยยามจื่อไปแล้ว


 


 


ในเวลานี้เอง หลินซูเหย่าพลันพังประตูเข้ามา “แม่นางเยี่ยเม่ย แย่แล้ว คุณชายเสี่ยวจิ่วเกิดเรื่องแล้ว เขาถูกไล่สังหาร”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม