รักเล่ห์เร้นใจ 193-199

ตอนที่ 193 เบื้องหลังงาน

 

เซียวจิ่งสือนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของออฟฟิศ มองดูชาวบ้านคนแล้วคนเล่าเข้ามาสมัครงาน เขานั่งมองเงียบๆ โดยไม่พูดสักคำ ทันใดนั้นซั่วเฟิงก็มาที่ตรงหน้า ขยับเข้ามากระซิบว่า “คนต่อไปเป็นคุณหลินแล้วครับ”


 


 


ดวงตาหม่นหมองของเซียวจิ่งสือสว่างวาบขึ้นมาทันควัน ผงกศีรษะพูดว่า “รีบเรียกตัวเธอเข้ามา”


 


 


ซั่วเฟิงผงกศีรษะรับคำ “ครับ” แล้วรีบออกไปจัดการทันที


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้าห้องทำงานมาอย่างสงบ ทุกคนรู้สึกได้ว่าชาวบ้านคนนี้ต่างไปจากคนอื่นๆ แค่บุคลิกท่าทางการเดินเหิน ก็ดูสบายตาเป็นพิเศษ


 


 


เซียวจิ่งสือเงยหน้าขึ้น แววตาเป็นประกายเร่าร้อนด้วยความรัก แต่ใบหน้ากลับไม่เผยร่องรอยใดๆ แม้แต่น้อย


 


 


หญิงสาวที่เข้ามาเริ่มพูดอย่างกลัวอยู่บ้าง “ฉันชื่ออินเสี่ยวเสี่ยว ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง แต่ฉันจะตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จจนได้ค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นภาพนี้แล้ว มุมปากกระตุกยิ้ม นึกในใจว่า ‘ก่อนเธอจะเข้ามาก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ขอแค่เธอเข้ามาสมัครงาน ก็ต้องได้เป็นเลขาของฉัน’


 


 


ตอนนี้หญิงสาวยังไม่แน่ใจนัก ไม่รู้ว่าบริษัทพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวนี้จะรับเธอเข้าทำงานหรือไม่ อันที่จริงก็เห็นได้ชัดมากอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ง่ายดายกว่าที่เธอคิดไว้มากทีเดียว


 


 


ผู้ช่วยกวาดตามองอินเสี่ยวเสี่ยวที่ยังตื่นเต้นอยู่บ้าง พูดว่า “ทางเราเห็นว่าคุณดูโดดเด่นมาก ตำแหน่งงานของคุณคือเลขานุการของประธานบริษัท พรุ่งนี้มาทำงานได้เลย ส่วนเงินเดือนนั้น คุณต้องพอใจอย่างแน่นอน”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวกลับถึงบ้านอย่างดีใจ บอกข่าวดีนี้กับฮั่วเทียนอวี่ที่กำลังงานยุ่ง “พี่อวี่ ฉันผ่านสัมภาษณ์แล้วนะ พวกเขาให้ฉันไปทำงานพรุ่งนี้เลย เป็นเลขาท่านประธาน เห็นว่าได้สวัสดิการไม่เลวเลยด้วยนะ”


 


 


พอฮั่วเทียนอวี่ฟังจบ แม้ว่าสีหน้าจะดีใจไปกับเธอด้วย แต่สายตากลับแฝงแววกังวลอยู่บางๆ บริษัทนี้ความต้องการต่ำขนาดนี้เชียว? ทำไมจึงเลือกผู้หญิงชนบทคนหนึ่งนะ? แล้วยังเป็นเลขาเจ้าของบริษัทอีก คงไม่ใช่งานที่ต้องเอาตัวเข้าแลกมั้ง


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ไม่อยากขัดใจอินเสี่ยวเสี่ยว เห็นว่าเธอดีใจราวกับเป็นเด็กๆ อย่างนี้ สำคัญยิ่งกว่าอื่นใดทั้งหมด


 


 


แม้ว่าผู้หญิงคนนี้ เขาจะเป็นคนช่วยขึ้นมาจากริมหาด แต่ละวันที่ได้ดูแลเธอ ฮั่วเทียนอวี่พบว่าเขาหลงรักหญิงสาวเข้าแล้ว ฮั่วเทียนอวี่แอบบอกตัวเองในใจว่าจะไม่ยอมให้เธอไปจากเขาเด็ดขาด


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวได้มาพบเจ้านายของเธอเป็นครั้งแรกด้วยการนำทางของคนในบริษัท จากนั้นงานของเธอก็คือเลขาของท่านประธานแล้วสินะ เธอยังเป็นกังวลว้าวุ่นอยู่บ้าง


 


 


แต่เมื่ออินเสี่ยวเสี่ยวได้พบกับเจ้านายของตัวเอง จึงพบว่าเป็นอันธพาลที่ตามเกาะแกะเธอเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง ความฝันอันสวยงามในการทำงานนี้ของอินเสี่ยวเสี่ยวแตกสลายลงในทันที


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพูดอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมเป็นคุณไปได้”


 


 


เซียวจิ่งสือพอได้พบหลินหว่าน ก็กลับมาดูแลตัวเองอย่างเนี๊ยบเหมือนเดิม ดูเป็นผู้ดีมีสง่าราศีกว่าที่เคยพบกันที่ชายหาดเมื่อหลายวันก่อนตั้งมากมายก่ายกอง


 


 


เซียวจิ่งสือยื่นมือขวาออกไปพูดอย่างสุภาพว่า “ยินดีต้อนรับ ผมคือเซียวจิ่งสือ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวอึ้งไปชั่วครู่ ยื่นมือออกไปอย่างลังเล พร้อมกับตอบรับว่า “สวัสดีค่ะ ฉันคืออินเสี่ยวเสี่ยว”


 


 


เซียวจิ่งสือจับมืออินเสี่ยวเสี่ยวไว้ตั้งนานไม่ยอมปล่อย ก็ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาตามหาเสียแทบแย่แน่ะ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวออกแรงดึงมือกลับจากมือที่จับไว้แน่นอย่างขัดเขิน คิดอย่างไม่แน่ใจนักว่า ‘นี่มันนายอันธพาลนั่นหรือว่าประธานบริษัทกันแน่นะ’


 


 


ตลอดทั้งวัน อินเสี่ยวเสี่ยวยิ่งมึนหนักเข้าไปอีกเมื่อท่านประธานไม่ให้เธอทำงานอะไรสักอย่าง แค่ให้เธอนั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องทำงาน แล้วท่านประธานนี่ยังให้คนคอยเอาน้ำผลไม้ ผลไม้ อะไรต่อมิอะไรมาให้เธอกินอีก เซียวจิ่งสือเองก็คอยมองดูเธออยู่ด้านข้างนี่เอง


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมึนตึบไปหมด นี่มันงานอะไรกันแน่นะ?


 


 


จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็ถามขึ้นว่า “เธอชื่ออินเสี่ยวเสี่ยว ใครเป็นคนตั้งชื่อให้เธอ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “พี่อวี่เป็นคนตั้งชื่อให้ฉันค่ะ”


 


 


“งั้นเมื่อก่อนเธอทำงานอะไร” เซียวจิ่งสือถามต่อ


 


 


“เมื่อก่อน…ฉันจำไม่ได้แล้วค่ะ พี่อวี่บอกว่าฉันป่วยหนัก ครอบครัวฉันมีฉันคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ ตอนฉันฟื้นขึ้นมา พี่อวี่ก็อยู่ข้างกายฉันแล้วค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือขมวดคิ้ว นึกถึงเหตุการณ์ที่ริมหาดวันนั้น ผู้ชายคนที่อยู่กับอินเสี่ยวเสี่ยว คนที่เธอเรียกตลอดเวลาว่า พี่อวี่…


 


 


พลันเซียวจิ่งสือก็ลุกพรวดขึ้นยืน ถามอย่างตื่นเต้นว่า “เธอจำฉันไม่ได้แล้วหรือไง ฉันคือเซียวจิ่งสือ เธอไม่ใช่อินเสี่ยวเสี่ยว แต่เป็นหลินหว่าน” พูดพลางเข้ามากอดร่างอินเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีก็ถอยหลังไปหลายก้าว พูดว่า “ประธานเซียวคะ ฉันคิดว่าคุณหาผิดคนแล้วมั้งคะ ฉันไม่รู้จักหลินหว่าน วันนี้ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันจะเลิกงานนะคะ”


 


 


พูดจบก็รีบหลบออกมาจากห้องทำงาน


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่า บอกตัวเองในใจว่า “เธอต้องเป็นหลินหว่านแน่”


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน อินเสี่ยวเสี่ยวเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฮั่วเทียนอวี่รู้ ฮั่วเทียนอวี่ฟังจบก็ขมวดคิ้ว พูดว่า “เสี่ยวเสี่ยว พี่ว่าเซียวจิ่งสือคงไม่ได้มาดีแน่ เขาคงถูกใจหน้าตาเธอเข้า จึงอยากได้ตัวเธอ เขามีทั้งเงินทั้งอำนาจพวกเราสู้เขาไม่ได้หรอก ดูท่าว่าที่นี่คงอยู่ไม่ได้แล้ว”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าที่ฮั่วเทียนอวี่พูดมาก็มีเหตุผล ท่านประธานเซียวคนนี้เข้ามาลวนลามเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องเป็นพวกหนุ่มเสเพลแน่ คนแบบนี้ช่างน่ารังเกียจซะจริง อินเสี่ยวเสี่ยวผงกศีรษะ พูดว่า “พี่อวี่ ฉันเชื่อพี่ค่ะ งั้นพวกเราเตรียมตัวแล้วรีบไปจากที่นี่กันเถอะค่ะ”


 


 


ซั่วเฟิงพุ่งเข้าห้องทำงานของเซียวจิ่งสืออย่างร้อนรน พูดเสียงกระหืดกระหอบว่า “ค…คุณหลินถูกฮั่วเทียนอวี่นั่นพาไปแล้ว”


 


 


เซียวจิ่งสือลุกพรวดขึ้นยืนอย่างตกใจ ถามว่า “อะไรนะ! สืบได้หรือยังว่าพวกเขาไปไหนกัน?”


 


 


“ผมให้คนติดตามไปแล้วครับ พวกเขาเข้าไปในเมือง” ซั่วเฟิงพูด


 


 


เซียวจิ่งสือสั่งกำชับว่า “ดี เฝ้าดูต่อไป ต้องให้เธอมาทำงานที่บริษัทเราให้ได้”


 


 


ซั่วเฟิงรับคำสั่งแล้วออกจากห้องไป…


 


 


ที่ตลาดจัดหางาน พนักงานรับสมัครงานคนหนึ่งกำลังพยายามสุดตัว ที่จะแนะนำบริษัทของตัวเองให้หญิงสาวคนหนึ่ง พนักงานนั้นเป็นผู้ชายสวมแว่น เขาพล่ามพูดไม่หยุดว่า “สวัสดีครับคุณผู้หญิง ผมเห็นว่าบุคลิกท่าทางคุณดีขนาดนี้ น่าจะเหมาะกับบริษัทของเราอย่างมาก บริษัทเราสวัสดิการดีมาก ผมพาคุณไปดูก็ได้นะ หรือคุณจะสืบค้นหาบริษัทเราจากอินเทอร์เน็ตก็ได้ รับรองว่าบริษัทใหญ่ งานมั่นคงแน่ครับ”


 


 


หญิงสาวมีใบหน้าหมดจดงดงาม ใจเธอโอนอ่อนไปตามคำชักชวนอยู่บ้าง เพิ่งย้ายมาต้องรีบหางานทำจะได้มีที่อยู่ ปักหลัก ไม่อย่างนั้นคงได้นอนกลางถนนกันพอดี


 


 


พอนึกถึงตรงนี้ หญิงสาวก็ขึ้นรถมาถึงบริษัท เข้าไปในตึกออฟฟิศหรู ภายในออฟฟิศทุกคนล้วนแต่ทำงานกันยุ่ง สภาพแวดล้อมในการทำงานดูอบอุ่นเป็นกันเอง ดึงดูดใจหญิงสาวได้อยู่หมัด


 


 


หญิงสาวถามชายคนที่พาเธอมาบริษัทว่า “ฉันจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่คะ?”


 


 


ชายคนนั้นระบายยิ้มทั่วหน้า ตอบว่า “ถ้าคุณสมัครใจ จะทำตอนนี้เลยก็ได้ ใช่แล้ว คุณชื่ออะไรนะ”


 


 


หญิงสาวตอบว่า “ฉันชื่ออินเสี่ยวเสี่ยวค่ะ”


 


 


วันแรกที่อินเสี่ยวเสี่ยวมาทำงาน หัวหน้างานมอบหมายหน้าที่ให้เธอทำสองสามอย่าง อินเสี่ยวเสี่ยวคิดว่าเพิ่งเริ่มงานต้องทำงานให้ดีหน่อย ไม่ถึงครึ่งวันเธอก็ทำงานที่หัวหน้างานมอบหมายให้เสร็จทั้งหมด


 


 


แต่ว่า พอมานึกดูทีหลัง ทำไมฉันทำเรื่องพวกนี้จึงไม่รู้สึกลำบากเลยสักนิด ราบรื่นเกินไปหน่อยแล้วมั้งเมื่อก่อนฉันก็ไม่เคยทำงานสักหน่อย แล้วที่นี่ฉันก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างด้วย ในหัวของอินเสี่ยวเสี่ยวเต็มไปด้วยความสงสัย ใครจะบอกฉันได้บ้างว่ามันเกินอะไรขึ้นกันแน่นะ


 


 


เซียวจิ่งสือยืนอยู่ริมผนังกระจกภายในห้องทำงาน เขาเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อมองทะลุผ่านออกไปยังอินเสี่ยวเสี่ยวที่ยุ่งอยู่กับงาน 

 

 


ตอนที่ 194 ตัวแทน

 

หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวกับฮั่วเทียนอวี่มาทำงานที่บริษัทของเซียวจิ่งสือ พวกพนักงานในบริษัทต่างพากันฮือฮายกใหญ่


 


 


เนื่องจากอินเสี่ยวเสี่ยวหน้าเหมือนกับหลินหว่านเกินไปจริงๆ! ไม่ใช่สิ เหมือนกันเด๊ะ เลยต่างหาก!


 


 


แม้แต่บุคลิกท่าทางนุ่มนวลและแน่วแน่ของเธอก็เหมือนกับหลินหว่านทุกประการ


 


 


แต่ว่าพนักงานของบริษัททุกคนต่างรู้ดีว่าหลินหว่านตกทะเลไปแล้ว หาตัวอย่างไรก็ไม่พบ ดังนั้นพวกเขาจึงพากันเข้าใจว่าอินเสี่ยวเสี่ยวเป็นคนที่ท่านประธานของพวกเขาหามาเป็นตัวแทนหลินหว่านด้วยความคิดถึงเธอ


 


 


ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมต่อหลินหว่าน


 


 


แม้หลินหว่านจะหายสาบสูญไปชั่วคราว แต่ก็แค่หายตัวไป พวกเขาเห็นว่า หลินหว่านต้องกลับมาอีกแน่! ดังนั้น จะให้พวกเขายินดีต้อนรับอินเสี่ยวเสี่ยว แม่ตัวแทนที่โผล่เข้ามาแทรกกลางได้อย่างไรกัน?


 


 


แต่ก็มีบางคนที่ไม่คิดแบบนี้


 


 


หลินหว่านตกไปในทะเล ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ซึ่งก็น่าจะจมน้ำเสียชีวิตไปแล้ว พวกผู้หญิงในบริษัทตั้งเท่าไหร่ ที่พอได้ข่าวว่าหลินหว่านตกทะเลไปก็ตื่นเต้นดีใจจนลืมตัว ต่างพากันกระเ**้ยนกระหือรือเตรียมเข้าเสียบแทนอยู่นี่ แต่พวกเธอยังไม่ทันดีใจได้ไม่กี่วัน จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็พาอินเสี่ยวเสี่ยวที่เหมือนกับหลินหว่านเป๊ะจนเป็นตัวแทนได้กลับมา ทำให้พวกเธอไม่พอใจเอามากที่ต้องชวดโอกาสอีกจนได้


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ในบริษัทก็รู้สึกไม่ชอบหน้าอินเสี่ยวเสี่ยวเป็นอย่างมาก ทุกวันเป็นต้องขยันหาเรื่องสร้างความลำบากให้เธออยู่เรื่อย


 


 


“สวัสดีค่ะ ประธานเซียว คุณต้องอะไรเหรอคะ” วันนี้ ขณะทำงานอินเสี่ยวเสี่ยวได้รับโทรศัพท์สายในจากห้องทำงานของประธานบริษัท


 


 


“จัดเรียงเอกสารเมื่อตอนเช้าแล้วส่งมาให้ผมที่ห้องทำงานนะ” เซียวจิ่งสือพูดจบก็วางสาย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวในฐานะที่เป็นพนักงานบริษัทของเซียวจิ่งสือ ได้แต่ทำตามคำสั่งของเขา จัดเรียงเอกสารของเมื่อตอนเช้า แล้วส่งไปให้เขาที่ห้องทำงาน


 


 


แต่ว่า ที่เธอไม่เข้าใจก็คือ คนในออฟฟิศมีตั้งมากมาย ทำไมเซียวจิ่งสือต้องให้เธอไปส่งเอกสารให้ทุกครั้งเลยนะ?


 


 


พออินเสี่ยวเสี่ยวไปแล้ว พนักงานอื่นๆ ในออฟฟิศก็รีบล้อมวงกันเข้ามาเมาท์กันเสียงขรม


 


 


“ฮึ ท่านประธานเซียวให้เธอไปส่งเอกสารที่ห้องทำงานทุกครั้งเลย ไม่รู้ว่าเธอมีอะไรดีนักนะ ก็แค่หน้าเหมือนหลินหว่านเท่านั้นไม่ใช่เหรอไง” พนักงานตัวเล็กๆ คนหนึ่งพูดอย่างขุ่นเคือง


 


 


“เห่ย เขาแค่หน้าเหมือนหลินหว่านนี่ก็เกินพอแล้ว” มีคนพูดเสริมขึ้น “แต่ฉันว่านะ หล่อนก็เป็นได้แค่ตัวแทนเท่านั้นล่ะ พอหลินหว่านกลับมาแล้ว หล่อนก็ต้องม้วนเสื่อกลับบ้านอยู่ดี!”


 


 


“หลินหว่านตกทะเลไปแล้ว ยังจะกลับมาได้อีกหรือไง?” พนักงานที่พูดขึ้นก่อนหน้าฟังแล้วทนไม่ไหวแย้งขึ้น


 


 


“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ แค่หาตัวหลินหว่านไม่เจอ ทำไมจะกลับมาไม่ได้ล่ะ?” ตอนนั้นก็มีคนพูดแทรกขึ้น


 


 


“ว่าแต่อินเสี่ยวเสี่ยวนี่ หล่อนไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเป็นแค่ตัวแทนน่ะ? พอท่านประธานเซียวเบื่อเธอ จะช้าเร็วก็ต้องทิ้งเธอไปอยู่ดี!”


 


 


“นั่นสิ! ท่านประธานมีผู้หญิงห้อมล้อมตั้งมากมายขนาดนั้น ทำไมต้องหาตัวแทนด้วยนะ?”


 


 


……


 


 


ก่อนที่อินเสี่ยวเสี่ยวจะกลับมา ภายในออฟฟิศก็หยุดการเมาท์เรื่องของเธอ


 


 


เพียงแต่ว่า ด้วยเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ ทำให้คนในออฟฟิศเกิดความรู้สึกแบ่งพรรคแบ่งพวกกับเธอขึ้นมา


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว เธอช่วยชงกาแฟให้ฉันหน่อยได้ไหม” มีคนเอ่ยถามอินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน หลินหว่านต้องปฏิเสธคำขอที่ไร้เหตุผลแบบนี้ไปตรงๆ อย่างไม่กลัวเกรง แต่ตอนนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆ ที่ทำงานในออฟฟิศของเซียวจิ่งสือเท่านั้น เธอไม่อาจมีเรื่องกับคนอื่นได้ จึงได้แต่รับปากว่า “ได้ค่ะ”


 


 


“ขอบคุณนะ”


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดจบ กำลังเตรียมจะไปชงกาแฟที่ห้องแคนทีน ตอนนั้นเอง เสียงเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็ดังขึ้น “เสี่ยวเสี่ยว ชงให้ฉันด้วยแก้วหนึ่ง”


 


 


“ฉันด้วย ฉันด้วย” “งั้นช่วยชงให้ฉันสักแก้วด้วยแล้วกัน” “เพิ่มของฉันอีกแก้ว”


 


 


“ได้ค่ะ…” อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้ จึงได้แต่ไปที่ห้องแคนทีน เพื่อชงกาแฟให้ทุกคนคนละแก้ว แล้วยกไปให้พวกเขา


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวชงกาแฟเสร็จ เพิ่งกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเอง ก็มีเพื่อนร่วมงานมาหาอินเสี่ยวเสี่ยว ยกเอกสารกองโตมาวางตรงหน้าเธอ พูดด้วยท่าทางร้อนใจว่า “เสี่ยวเสี่ยว เธอช่วยฉันส่งเอกสารพวกนี้ไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายเงินให้หน่อยได้ไหม ฉันยังต้องทำรายงานอีก เอกสารต้องส่งไปด่วนเลย ฉันแยกร่างไปไม่ได้จริงๆ ”


 


 


“ได้ค่ะ ฉันจะช่วยส่งไปให้นะคะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพอฟังว่าเป็นเรื่องด่วน ก็รับปากทันที


 


 


“ขอบคุณจริงๆ นะ เสี่ยวเสี่ยว” เพื่อนร่วมงานนั้นเอ่ยขอบคุณ ขณะที่สายตากลับบอกถึงความดูแคลนและเย้ยหยัน


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวส่งเอกสารเสร็จ กลับมาจากห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายการเงิน ก็เห็นว่าบนโต๊ะทำงานของเธอมีเอกสารกองพะเนินราวกับภูเขา แทบจะกองเต็มโต๊ะไปหมด


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว ช่วยส่งเอกสารกองริมซ้ายสุดไปที่ฝ่ายเทคนิคให้หน่อยได้ไหม”


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว ระหว่างทางก็แวะส่งแฟ้มพวกนี้ไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการฝ่ายบุคคลให้ทีนะ”


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว ข้อมูลพวกนี้ ฝ่ายการตลาดต้องใช้ประชุมตอนบ่ายนี้แล้ว เธอรีบไป…”


 


 


……


 


 


พวกคนในออฟฟิศนั่งอยู่กับโต๊ะของตัวเอง พอเห็นเธอเข้าห้องมา ก็ชี้ไปที่เอกสารกองโตนั่น พูดสั่งเธอหน้าตาเฉย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำพูดของพวกเขาแล้วก็เข้าใจกระจ่างแจ้ง ว่าพวกเขาตั้งใจหาเรื่องสร้างความลำบากให้เธอ ในฐานะที่เป็นพนักงานใหม่อายุสองวันของบริษัท พวกเขาจะตัดไม้ข่มนามไว้ก่อนก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เข้าใจกันได้


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวคิดดูแล้ว ก็รับปากทุกคน ที่จริงแล้วเธออยากจะทำงานที่บริษัทนี้ต่อไป ถ้าตอนนี้ยอมเสียเปรียบบ้าง แลกกับความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ที่จะทำงานได้กลมเกลียวยิ่งขึ้น เธอก็ยอมให้ได้


 


 


ดังนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวจึงหอบเอกสารกองแล้วกองเล่า วิ่งวุ่นไปตามแผนกต่างๆ ในบริษัท จนในที่สุดก่อนพักเที่ยงเธอก็จัดส่งเอกสารทั้งหมดไปตามฝ่ายต่างๆ ตามที่ได้รับการขอมาจนเสร็จ


 


 


พักเที่ยง อินเสี่ยวเสี่ยวกับฮั่วเทียนอวี่ทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหารของบริษัท ตอนทานข้าว ฮั่วเทียนอวี่ขมวดคิ้วมองดูหลังมือของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้วถามว่า “เสี่ยวเสี่ยว มือเธอไปโดนอะไรมา”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวยกมือตัวเองขึ้นดู ก็เห็นว่าหลังมือมีรอยแดงเป็นแถบ น่าจะเป็นตอนชงกาแฟไม่ทันระวังถูกน้ำร้อนลวกเข้า หลังจากนั้นก็มัวแต่ช่วยคนอื่นส่งเอกสาร จึงไม่ทันได้สังเกตเห็น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพูดเรื่องทุกอย่างกับฮั่วเทียนอวี่ จึงเล่าเรื่องให้เขาฟังคร่าวๆ


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ได้ฟังก็โกรธมาก เขาถามว่า “เสี่ยวเสี่ยว ตอนอยู่ในบริษัท พวกเขาก็รังแกเธอแบบนี้เสมอเหรอ?”


 


 


“ก…ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังคิดจะพูดว่าเธอต้องการตั้งใจทำงานต่อไป แต่ฮั่วเทียนอวี่พูดขัดขึ้นก่อน


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว พวกเราไปจากที่นี่ด้วยกันเถอะนะ ที่นี่ไม่น่าอยู่เลย เราไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผมก็ไม่อยากให้คุณถูกรังแกอีกต่อไป” พูดพลาง ฮั่วเทียนอวี่มองอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างรอคอยคำตอบ ถามว่า “นะ เสี่ยวเสี่ยว?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วกลับส่ายศีรษะ พูดว่า “พี่อวี่ ขอโทษนะคะ ฉันไม่อยากไปจากที่นี่”


 


 


“ทำไมล่ะ” ฮั่วเทียนอวี่ถามอย่างสงสัย


 


 


“เพราะว่า ไม่รู้ทำไม ตอนมาที่บริษัทนี้ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกสงบใจขึ้นมา” หลินหว่านพูดเรื่อยๆ “ถึงแม้จะมีเพื่อนร่วมงานที่ทำความลำบากให้ แต่ฉันก็ยังอยากจะตั้งใจทำงานที่นี่ต่อไป…” 

 

 


ตอนที่ 195 เรื่องราวแต่หนหลัง

 

ตอนบ่าย เซียวจิ่งสือโทรสายในหาอินเสี่ยวเสี่ยวอีก ให้เธอส่งเอกสารมาให้เขา


 


 


นับตั้งแต่อินเสี่ยวเสี่ยวมาทำงานที่บริษัทนี้ เซียวจิ่งสือต้องให้อินเสี่ยวเสี่ยวไปส่งเอกสารที่ห้องทำงานเข้าวันละสองหนเป็นอย่างน้อย อินเสี่ยวเสี่ยวจึงไม่ชอบหน้าเซียวจิ่งสือเอามากๆ มักจะบ่นว่าเขาอยู่ในใจบ่อยๆ


 


 


“ประธานเซียวคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ภายในห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ อินเสี่ยวเสี่ยววางเอกสารแล้วพูดขึ้น


 


 


“รอเดี๋ยว มือเธอเป็นอะไร” เซียวจิ่งสือถามพลางจ้องเขม็งมาที่มือของเธอ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพลิกหลังมือไปด้านหลัง ตอบว่า “ไม่มีอะไรนี่คะ”


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นเช่นนั้นก็ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของอินเสี่ยวเสี่ยวดึงมาตรงหน้าเขา พอเห็นว่าหลังมือที่บวมแดงของเธอเข้า ก็ถามอย่างโมโหว่า “นี่เรียกว่าไม่มีอะไรเหรอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวคิดจะดึงมือตัวเองจากมือของเซียวจิ่งสือ แต่ดิ้นไม่หลุด จึงจำต้องตอบว่า “ตอนชงกาแฟไม่ทันระวังโดนลวกเข้าค่ะ”


 


 


“งั้นเหรอ?” เซียวจิ่งสือมองอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างสงสัย แล้วปล่อยข้อมือเธอ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรีบฉวยโอกาสออกจากห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ


 


 


เดิมทีเธอก็ไม่ชอบหน้าเซียวจิ่งสืออยู่แล้ว เมื่อครู่ตอนที่เขาคว้าข้อมือเธอนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่าเซียวจิ่งสือเป็นพวกโรคจิต ดื้อรั้นไม่ฟังใครแล้วยังชอบหาเศษหาเลยพนักงานผู้หญิงอีกต่างหาก! เขาทำกับพนักงานผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ด้วยหรือเปล่านะ?


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวออกไปแล้ว เซียวจิ่งสือก็เรียกเลขาเข้ามา ให้เขาไปสืบดูว่าเรื่องมือของอินเสี่ยวเสี่ยวเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


 


สำหรับเซียวจิ่งสือแล้ว เรื่องเล็กขนาดไหนก็ตามขอเพียงเกี่ยวข้องกับหลินหว่าน ก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา


 


 


เลขารับคำสั่งแล้วก็ได้แต่ไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับอินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง เลขากลับมาแล้วเล่าเรื่องที่อินเสี่ยวเสี่ยวถูกเพื่อนร่วมงานกีดกันและกลั่นแกล้ง ให้ชงกาแฟให้กับส่งเอกสารให้เซียวจิ่งสือฟัง


 


 


เซียวจิ่งสือได้ฟังแล้วโกรธมาก อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จักต่อต้านหรือไงนะ? เธอยอมถูกแกล้งแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?


 


 


“คุณไปบอกผู้จัดการฝ่ายบุคคล ให้เขาไล่คนพวกนั้นออกให้หมด!” เซียวจิ่งสือคิดจะระบายความโกรธแทนอินเสี่ยวเสี่ยว โดยไล่คนที่แกล้งเธอออกทั้งหมด


 


 


“ท่านประธานเซียว แบบนี้ไม่ดีมั้งครับ…” เลขารีบออกปากยั้งเซียวจิ่งสือ “ไล่พนักงานออกคราวเดียวมากขนาดนี้ จะส่งผลกระทบกับชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัทได้นะครับ นอกจากนี้ บริษัทยังไม่มีพนักงานใหม่มาทดแทนตำแหน่งงานที่ขาดไปอีกด้วย”


 


 


“ท่านประธานครับ ผมว่าให้พวกพนักงานเก่านี้อยู่ต่อเถอะ ก่อนที่คุณหลินจะสูญเสียความทรงจำค่อนข้างจะสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเขา ถ้าให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันสักพัก ไม่แน่ว่าจะนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้” เลขาพูดเสริมขึ้น


 


 


เซียวจิ่งสือถูกคำพูดสุดท้ายของเลขาทำให้คิดได้ หลังจากหลินหว่านเสียความทรงจำ เขาเคยถามหมอว่าจะทำอย่างไรจึงจะให้เธอฟื้นฟูความทรงจำกลับคืนมา คุณหมอบอกว่า ถ้าหากคนที่สูญเสียความทรงจำได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เคยคุ้นก็อาจฟื้นฟูความทรงจำกลับคืนมาได้


 


 


ดังนั้นเอง เซียวจิ่งสือจึงเลิกคิดว่าจะไล่พวกเขาออก แค่เพียงไล่พนักงานคนแรกที่บอกให้อินเสี่ยวเสี่ยวชงกาแฟออกเพราะ ‘ทำความผิด’


 


 


นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เซียวจิ่งสือยังแอบมาที่ออฟฟิศบ่อยๆ สังเกตดูว่าอินเสี่ยวเสี่ยวถูกแกล้งหรือไม่


 


 


คนอื่นๆ ในออฟฟิศเห็นเช่นนั้น ก็พากันตัวเกร็ง หวั่นเกรงว่าตัวเองทำผิดพลาดที่ตรงไหนจะถูกเซียวจิ่ง


 


 


สือไล่ออก มีแต่อินเสี่ยวเสี่ยวที่คิดว่าเซียวจิ่งสือแค่บ้าอำนาจทำตามใจตัว เป็นพวกวิปริตที่ชอบแอบถ้ำมองพนักงานผู้หญิง


 


 


เพื่อให้หลินหว่านฟื้นฟูความทรงจำ วันนี้หลังเลิกงาน เซียวจิ่งสือเรียกตัวอินเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้ ถามว่า “เสี่ยวเสี่ยว เธออยากฟื้นฟูความทรงจำกลับมาไหม?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวประหลาดใจมากที่เซียวจิ่งสือมาพูดเรื่องนี้กับเธอ เซียวจิ่งสือถามเธอเรื่องนี้ทำไมนะ? เขาจะช่วยเธอฟื้นความทรงจำหรือไง? เขาใจดีขนาดนี้เชียว?


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว บอกผมสิ เธออยากฟื้นความทรงจำไหม” เซียวจิ่งสือพูดย้ำอีกรอบ


 


 


ตั้งแต่หลินหว่านสูญเสียความทรงจำ คนที่อยู่ข้างกายเธอ รวมทั้งฮั่วเทียนอวี่ไม่เคยคิดจะช่วยเธอฟื้นความทรงจำสักคน แค่พากันปลอบใจเธอตลอดเท่านั้น


 


 


ตอนนี้ ต่อหน้าเซียวจิ่งสือ อินเสี่ยวเสี่ยวผงกศีรษะอย่างลังเลสงสัย มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่า ตัวเองอยากจะฟื้นความทรงจำเก่าก่อนขนาดไหน เธอไม่อยากเป็นคนไม่มีอดีต


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นเช่นนั้นก็ดึงเธอขึ้นรถ ขับรถพาเธอไป โดยไม่รู้ว่าจะพาเธอไปที่ไหน


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ถาม เธอแค่รู้สึกว่า การได้นั่งอยู่ข้างกายเซียวจิ่งสือ ทำให้เธอมีความรู้สึกจิตใจสงบชนิดหนึ่ง เหมือนเธอคุ้นเคยอย่างมาก


 


 


พอมาถึงที่ อินเสี่ยวเสี่ยวก็เห็นท้องทะเลกว้างสุดตา


 


 


ตอนที่น้ำทะเลสีฟ้าใสม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นเข้าสู่สายตาของอินเสี่ยวเสี่ยว ความรู้สึกหวาดกลัวชนิดหนึ่งพุ่งเข้าสู่ใจเธอ แต่แล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่ทันสังเกตความรู้สึกชนิดนี้ เธอแค่ถามเซียวจิ่งสืออย่างประหลาดใจว่า “ประธานเซียว คุณพาฉันมาริมทะเลทำไมคะ?”


 


 


เซียวจิ่งสือสังเกตท่าทีของอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างละเอียด เห็นสีหน้าเธอเป็นปกติดี ก็ถามอย่างผิดหวังอยู่บ้าง “เสี่ยวเสี่ยว เธอ…คิดอะไรไม่ออกจริงๆ เหรอ?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูท้องทะเลกว้างสุดสายตาตรงหน้า เกลียวคลื่นซัดซ่าถาโถม เธอพยายามคิด แต่ก็หาความทรงจำที่เกี่ยวกับท้องทะเลในสมองไม่ได้สักอย่าง


 


 


พอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวส่ายหน้า เซียวจิ่งสือรู้สึกผิดหวังอย่างแรง


 


 


ต่อเมื่อทั้งสองเที่ยวเล่นอยู่ริมทะเลพอสมควรแล้ว เซียวจิ่งสือก็บอกอินเสี่ยวเสี่ยวว่า เธอสูญเสียความทรงจำ ก็เพราะมีคนอยากจะตายไปพร้อมกับเธอ และพาตัวพุ่งชนเธอให้ตกทะเลไปด้วยกัน อินเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังแล้วตื่นตกใจสุดๆ


 


 


จากนั้น เซียวจิ่งสือก็พาอินเสี่ยวเสี่ยวมาที่โรงงานรกร้างแห่งหนึ่ง เซียวจิ่งสือเล่าเรื่องราวที่ผู้หญิงชื่ออันซิงร่วมมือกับรุ่นพี่ของเธอจับตัวเธอมา ให้อินเสี่ยวเสี่ยวฟัง


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่นอย่างนั้น ในหัวสมองไม่มีความทรงจำพวกนี้เลยสักนิด


 


 


เซียวจิ่งสือพาหลินหว่านมายังสถานที่ก่อนเธอจะสูญเสียความทรงจำ เขารู้สึกว่าบางทีที่นี่อาจกระตุ้นให้เธอคิดอะไรออกก็ได้ จะได้ฟื้นฟูความจำกลับมา แต่เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนเรื่องนี้ไม่มีผลต่ออินเสี่ยวเสี่ยวสักเท่าไร


 


 


วันต่อมา เซียวจิ่งสือพาอินเสี่ยวเสี่ยวมายังสถานที่เธอเคยถ่ายหนัง เขารู้สึกว่า การพาเธอมายังสถานที่ที่เธอคุ้นเคยที่สุด อาจทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวนึกอะไรออกบ้าง


 


 


แต่อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูทุกอย่างแล้วรู้สึกแค่แปลกใหม่น่าสนใจเท่านั้น ไม่ได้นึกถึงเรื่องในอดีตของเธอเลย


 


 


จากนั้นอีกหลายวันต่อมา เซียวจิ่งสือพาอินเสี่ยวเสี่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ที่เขากับหลินหว่านเคยไปด้วยกัน ที่ที่เขาสารภาพรักกับหลินหว่านเป็นครั้งแรก ที่ที่เขาพบกับหลินหว่านครั้งแรก ร้านอาหารที่เขากับหลินหว่านชอบไปที่สุด สวนสนุกที่เขากับหลินหว่านเคยไปด้วยกัน ฯลฯ


 


 


หลายวันผ่านไป อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่มีทีท่าว่าความทรงจำจะฟื้นกลับมา แม้แต่ความประทับใจสักเล็กน้อยนิดก็ไม่มี เซียวจิ่งสือรู้สึกอดเสียใจไม่ได้ ว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ออกไปไหนกับหลินหว่านสักเท่าไร จะได้เหลือความทรงจำที่สวยงามไว้ให้มากกว่านี้


 


 


อันที่จริงหลายวันมานี้ เซียวจิ่งสือไปสถานที่หนึ่งกับอินเสี่ยวเสี่ยวทุกวัน หาวิธีให้เธอฟื้นความทรงจำ ทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวซาบซึ้งใจมาก ความประทับใจที่มีต่อเซียวจิ่งสือก็เปลี่ยนไปอย่างมากด้วย 

 

 


ตอนที่ 196 ขอแต่งงาน

 

วันนี้ เซียวจิ่งสือพาอินเสี่ยวเสี่ยวไปยังสถานที่ที่พวกเขาเคยไปมาก่อน พวกเขาเที่ยวเล่นอยู่ในสวนสนุกอยู่นาน และพอทานข้าวด้วยกันเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว


 


 


เซียวจิ่งสือส่งอินเสี่ยวเสี่ยวกลับไป หลังจากทั้งสองกล่าว ‘ราตรีสวัสดิ์’ กันแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวยืนอยู่ที่เดิม มองตามรถของเซียวจิ่งสือจนลับสายตาไป


 


 


ตอนที่เงาร่างของเซียวจิ่งสือค่อยๆ เลือนรางจนเหลือเพียงจุดเล็กๆ จู่ๆ อินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกเหมือนภาพนี้เธอคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเธอเคยเห็นมันมาก่อนหลายครั้งมาก


 


 


ความรู้สึกนี้ของอินเสี่ยวเสี่ยวไม่หายไปเสียที เธอคลำทางกลับถึงที่พักทั้งที่ในใจคิดว่า ก่อนสูญเสียความทรงจำความสัมพันธ์ของเธอกับเสี่ยวจิ่งสืออาจดีมากจริงๆ ก็ได้ ไม่อย่างนั้นทำไมเขาจะต้องวุ่นวายคอยช่วยให้เธอฟื้นฟูความทรงจำด้วย


 


 


แต่เมื่ออินเสี่ยวเสี่ยวมาถึงหน้าประตูบ้านนั้น เธอกลับเห็นฮั่วเทียนอวี่ ในมือเขาถือดอกกุหลาบช่อใหญ่


 


 


“พี่อวี่ มาได้อย่างไรคะ?” อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นเขามาแปลก ก็ถามอย่างสงสัย “นี่พี่จะทำอะไรเหรอคะ?”


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว ทำไมเธอกลับดึกนักล่ะ? หลายวันมานี้หลังเลิกงานเธออยู่กับเซียวจิ่งสือตลอดเลยเหรอ?” เมื่อครู่เขาเห็นหมดแล้ว เขาเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวลงมาจากรถของเซียวจิ่งสือ พอนึกถึงข่าวลือในบริษัทหลายวันมานี้ ฮั่วเทียนอวี่ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา


 


 


“ประธานเซียวเขาแค่พาฉันไปสถานที่ที่ฉันเคยรู้จักก่อนหน้านี้ เขาแค่อยากช่วยให้ฉันฟื้นความทรงจำค่ะ พี่อวี่ พี่อย่าเข้าใจผิดนะคะ” อินเสี่ยวเสี่ยวรีบอธิบายกับฮั่วเทียนอวี่


 


 


เมื่อก่อนฮั่วเทียนอวี่เคยบอกเธอว่า ก่อนที่เธอจะสูญเสียความทรงจำ พวกเขาเคยเป็นคู่รักกันมาก่อน หลังจากอินเสี่ยวเสี่ยวสูญเสียความทรงจำ ตอนรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาคนที่เธอเห็นเป็นคนแรกก็คือ ฮั่วเทียนอวี่ ดังนั้น เธอจึงเชื่อคำพูดของเขาโดยไม่สงสัยเลยว่า เมื่อก่อนเธอกับฮั่วเทียนอวี่เป็นคู่รักกัน


 


 


แต่เนื่องจากความทรงจำเก่าก่อนหายไปหมด อินเสี่ยวเสี่ยวจึงรู้สึกอึดอัดที่จะปฏิบัติตัวด้วยความสนิทชิดเชื้อของฮั่วเทียนอวี่ พอเธอรู้ว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน ก็เอ่ยปากให้พวกเขาเป็นเพื่อนกันไปก่อน เธอขอเวลาทำใจยอมรับกับเรื่องที่เธอสูญเสียความทรงจำเสียก่อน


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ก็เห็นใจและรับปากเธอ นับแต่เธอฟื้นขึ้นมา เขาจึงไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับเธออย่างคู่รัก ทั้งไม่เคยประกาศตัวว่าเป็นแฟนกับเธอในบริษัทมาก่อน


 


 


แต่วันนี้พอเห็นท่าทางฮั่วเทียนอวี่เช่นนี้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ใจเต้นแรง รู้สึกว่าจะเกิดเรื่องขึ้น


 


 


พอนึกถึงข่าวลือของอินเสี่ยวเสี่ยวกับเซียวจิ่งสือในบริษัท ฮั่วเทียนอวี่ก็ถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “เสี่ยวเสี่ยว จริงเหรอ? เธอกับเซียวจิ่งสือไม่ได้มีอะไรกันจริงนะ?”


 


 


“ไม่มีจริงๆ ค่ะ พี่อวี่ พี่ย่าคิดมากสิ! ฉันกับเขาไม่มีอะไรกัน” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งพูดจบ ก็เห็นว่าฮั่วเทียนอวี่อุ้มช่อกุหลาบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ชูช่อกุหลาบนั่นขึ้นตรงหน้าเธอ ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น เสี่ยวเสี่ยว เธอจะเต็มใจแต่งงานกับพี่ไหม?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวตกตะลึงกับภาพตรงหน้าจนอ้าปากค้าง ฮั่วเทียนอวี่ นี่เขากำลังขอเธอ…แต่งงาน?


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว พี่รู้ว่าทำแบบนี้มันกะทันหันไปบ้าง แต่พี่ไม่อยากเห็นเธอกับเซียวจิ่งสืออยู่ด้วยกันอีกแล้ว” ฮั่วเทียนอวี่พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างร้อนรน “เสี่ยวเสี่ยว เธอเชื่อพี่นะ พี่ขอเธอแต่งานไม่ใช่แค่ความคิดชั่ววูบเท่านั้น ที่จริงพี่อยากทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว เสี่ยวเสี่ยว เธอรับปากพี่นะ พี่อยากอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต และไม่แยกจากกันตลอดไป”


 


 


พูดจบ ฮั่วเทียนอวี่ก็มองดูอินเสี่ยวเสี่ยว รอคำตอบจากเธอ


 


 


พอสบสายตาสัตย์ซื่อที่บอกความจริงในใจของฮั่วเทียนอวี่แล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะตอบตกลง จู่ๆ ในสมองก็ปรากฏภาพเลือนรางขึ้นตอนหนึ่ง ทำให้เธอว้าวุ่นใจขึ้นมา


 


 


ความทรงจำนั้น มีคนเคยใช้สายตาแบบนี้มองดูเธอเช่นกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนตรงหน้านี้


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวคิดจะค้นหารายละเอียด แต่หัวสมองกลับปรากฏเงาร่างของเซียวจิ่งสือ เธอรีบสลัดมันทิ้งไป ในเวลาแบบนี้เธอคิดถึงเซียวจิ่งสือได้อย่างไรกันนะ?


 


 


จากนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวสงบสติอารมณ์แล้วพูดว่า “พี่อวี่คะ คุณลุกขึ้นก่อนเถอะ เรื่องนี้ฉันขอคิดดูให้ดีก่อน…”


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว ถ้าเธอไม่ตกลงพี่จะไม่ลุกขึ้น” ฮั่วเทียนอวี่ตอบอย่างดึงดัน


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้ว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงพูดกับฮั่วเทียนอวี่ว่า “ขอโทษนะคะ พี่อวี่ ฉันยังรับปากพี่ตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ”


 


 


“ทำไมล่ะ?” ฮั่วเทียนอวี่เค้นถามอินเสี่ยวเสี่ยว “เสี่ยวเสี่ยว เพราะเซียวจิ่งสือใช่ไหม เธอถึงไม่ยอมรับปากพี่?”


 


 


“ฉัน…” พอฮั่วเทียนอวี่พูดถึงเซียวจิ่งสือ อินเสี่ยวเสี่ยวก็เกิดพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวยอมรับว่า หลายวันมานี้ที่เซียวจิ่งสือคิดหาทางช่วยให้เธอฟื้นความทรงจำ เธอเปลี่ยนความคิดความรู้สึกที่มีต่อเซียวจิ่งสือไปมากจริงๆ


 


 


เธอไม่รู้สึกว่าเซียวจิ่งสือเป็นจอมเผด็จการที่ไร้เหตุผลอีก ในทางกลับกัน เซียวจิ่งสืออ่อนโยนเข้าใจเธอมาก ทั้งยังช่วยคิดหาหนทางสารพัดให้เธอฟื้นความทรงจำอีก เธอถึงกับรู้สึกว่าก่อนสูญเสียความทรงจำเธออาจมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซียวจิ่งสือก็ได้…


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว เธอคงไม่หลงรักเซียวจิ่งสือนั่นเข้าแล้วใช่ไหม” ขณะที่อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังสับสนจนคิดไม่ตกนั้น เธอก็ได้ยินเสียงฮั่วเทียนอวี่พูดโพล่งขึ้น


 


 


ใช่สินะ เมื่อครู่ตอนเธอถูกขอแต่งงาน ทำไมจู่ๆ เห็นภาพของเซียวจิ่งสือขึ้นมา หรือว่าเธอรักเซียวจิ่งสือเข้าจริงๆ ซะแล้ว?


 


 


พอเห็นว่าอินเสี่ยวเสี่ยวไม่ตอบ ฮั่วเทียนอวี่ก็ใจหายเฮือก เขาลุกขึ้นยืน พูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวว่า “เสี่ยวเสี่ยว เธอกับเซียวจิ่งสือมันเป็นไปไม่ได้หรอก เขาเป็นถึงประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ เธอเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เธอกับเขามันอยู่กันคนละโลกเลย!”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังคำพูดของฮั่วเทียนอวี่ก็ได้สติ เมื่อครู่เธอคิดบ้าอะไรไปนะ? เธอกับฮั่วเทียนอวี่จึงเป็นคู่รักกันไม่ใช่หรือไง?


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรีบอธิบายกับฮั่วเทียนอวี่ว่า “พี่อวี่ ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ พี่ฟังฉันอธิบายก่อนนะคะ ฉันแค่อยากรอให้ความทรงจำของตัวเองกลับคืนมาก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องนี้ เพราะว่า…เพราะว่าพอฉันไม่มีความทรงจำแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันชอบพี่หรือเปล่า ถ้าหากแต่งงานโดยไม่มีความรัก ฉันว่าถึงแต่งงานไปก็คงไม่มีความสุขหรอกค่ะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพูดอธิบายกับฮั่วเทียนอวี่ไปยืดยาวแล้ว กลับได้ยินเขาถามเธอว่า “ถ้าความทรงจำของเธอไม่กลับคืนมาตลอดไปล่ะ?”


 


 


“เธอก็จะไม่ยอมรับปากฉันตลอดไปงั้นใช่ไหม!”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวหน้าซีด ไม่นะ! เธอไม่อยากเป็นคนไม่มีอดีต ไม่มีความทรงจำ!


 


 


ตอนนั้นเอง ท้องฟ้าพลันส่งเสียงคำรามดังครืนครันลั่นมา ตามติดด้วยพายุฝนที่สาดเทลงมา สายฝนไหลลงมาตามร่องแก้มของอินเสี่ยวเสี่ยว เหมือนเป็นน้ำตาของเธอ


 


 


ฮั่วเทียนอวี่ยัดช่อกุหลาบที่ถูกพายุฝนกระหน่ำจนรุ่งริ่งไม่มีชิ้นดีใส่ในอ้อมอกอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “เสี่ยวเสี่ยว ที่เธอไม่รับปากพี่ ที่จริงก็เพราะรังเกียจพี่ใช่ไหมล่ะ! เธอรังเกียจว่าพี่จน เทียบเซียวจิ่งสือไม่ได้ ใช่ไหม!”


 


 


สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดเข้าใส่ร่างของอินเสี่ยวเสี่ยว แต่เธอกลับรู้สึกว่า คำพูดของฮั่วเทียนอวี่หนาวเหน็บยิ่งกว่า หนาวลึกเข้าถึงใจเธอ


 


 


“ไม่ ฉันไม่ได้…” อินเสี่ยวเสี่ยวพยายามอธิบาย


 


 


แต่ฮั่วเทียนอวี่หมุนตัวจากไปหลังพูดจบ เขาวิ่งไปจากอินเสี่ยวเสี่ยว หายลับไปท่ามกลางพายุฝน 

 

 


ตอนที่ 197 ดูแล

 

คืนนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวนอนไม่หลับ เสียงพายุฝนฟ้าคะนองที่นอกหน้าต่างดังมากจนเธอหลับไม่ลง พอหลับตาลง ภาพเงาหลังของฮั่วเทียนอวี่ที่หายลับไปในพายุฝนก็วนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในฝันของเธอ


 


 


“ไม่! ไม่นะ!” ในฝัน ตอนที่ฮั่วเทียนอวี่หายลับไปในสายฝนอีกครั้งนั้น อินเสี่ยวเสี่ยวร่ำร้องขอให้เขากลับมา แต่เมื่อฮั่วเทียนอวี่หันร่างกลับมา กลับกลายเป็นเซียวจิ่งสือเสียอย่างนั้น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวสะดุ้งตกใจจนตื่นขึ้นมา เธอลืมตาขึ้น ฟ้าสว่างแล้ว นอกหน้าต่างก็ไม่มีเสียงฝนฟ้าร้องแล้ว


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูมือถือ เกือบไปทำงานสายแล้ว เธอรีบลุกขึ้นอาบน้ำแปรงฟัง ไม่ทันได้ทานข้าวเช้าก็รีบไปบริษัท


 


 


โชคดี อินเสี่ยวเสี่ยวไปทันเวลาเข้างานพอดี แต่อาจเป็นเพราะไม่ได้ทานข้าวเช้ามา เธอรู้สึกศีรษะมึนงงอยู่บ้าง ทำอะไรก็เนือยๆ หนักอึ้งไปหมด


 


 


ตอนอินเสี่ยวเสี่ยวไปส่งเอกสารที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ เซียวจิ่งสือเห็นเธอสีหน้าไม่ดี แถมยังหน้าแดงเหมือนเป็นไข้อีก เขาถามอย่างเป็นห่วงว่า “เสี่ยวเสี่ยว เธอเป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือเปล่า?”


 


 


“ไม่นี่คะ ท่านประธานเซียว” อินเสี่ยวเสี่ยวส่ายศีรษะตอบ


 


 


“งั้นเหรอ? แต่ฉันว่าเธอสีหน้าไม่ปกตินะ” เซียวจิ่งสือพูด “ให้หมอมาดูหน่อยดีไหม”


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ” อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่าเซียวจิ่งสือตื่นเต้นเกินเหตุ จึงปฏิเสธไป


 


 


แต่ตอนเธอกำลังจะออกจากห้องของเซียวจิ่งสือนั้นเอง ก็รู้สึกหน้ามืดวูบ จากนั้นเป็นลมหมดสติไปในห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว? เสี่ยวเสี่ยว?” เซียวจิ่งสือพอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวล้มลงในห้องทำงานเขา ก็ตกใจจนว้าวุ่นไปชั่วขณะ จากนั้นรีบเข้าไปอุ้มร่างเธอขึ้นไปวางบนโซฟา


 


 


พอเห็นว่าเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ได้สติ เซียวจิ่งสือก็รีบให้เลขาของเขาเรียกหมอมาตรวจดูอาการของเธอ


 


 


หลังจากหมอได้ตรวจโดยละเอียดแล้วก็พูดกับเซียวจิ่งสือว่า “ประธานเซียว คุณอินน่าจะหมดสติเพราะเป็นไข้ร่วมกับมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ แค่ทานยาตามหมอสั่ง แล้วบำรุงร่างกายด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ก็ได้แล้วครับ” พูดพลาง คุณหมอก็เขียนใบสั่งยาลดไข้ให้อินเสี่ยวเสี่ยว แล้วบอกกับเซียวจิ่งสือว่าตอนยังมีไข้ให้ทานอาหารที่ไม่มันและรสชาติอ่อนหน่อย


 


 


“ขอบคุณครับหมอ” พอหมอไปแล้ว เซียวจิ่งสือก็ให้เลขาไปซื้ออาหารที่ไม่มันและมีรสอ่อนมาหลายอย่าง


 


 


คราวนี้เลขาถึงคราวลำบากแล้ว เขาไม่เคยดูแลคนป่วยมาก่อน ไม่รู้ว่าควรจะซื้ออะไรบ้าง แต่หลินหว่านเป็นคนที่ท่านประธานเซียวของพวกเขารักทะนุถนอมเป็นที่สุด เขาจะทำซี้ซั้วมั่วซั่วไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงไล่ซื้ออาหารที่เขาคิดว่าไม่มันและมีรสอ่อนมาอย่างละชุด


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟื้นขึ้นมา ก็เห็นว่าเซียวจิ่งสือเฝ้าอยู่ที่ข้างกายเธอ เธอหันมองไปรอบๆ แล้วนึกขึ้นได้ว่าเธอเป็นลมหมดสติไปที่ห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ จึงคิดจะลุกขึ้น


 


 


เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้น ก็พูดว่า “เสี่ยวเสี่ยว ฟื้นแล้วสินะ คุณหมอบอกว่าเธอมีไข้ รีบกินยานี่ซะ”


 


 


พูดจบก็ยื่นน้ำอุ่นแก้วหนึ่งกับยาอีกหลายเม็ดให้อินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


“ขอบคุณค่ะ ท่านประธานเซียว” ที่แท้เธอก็เป็นไข้นี่เอง น่าจะเป็นเพราะตากฝนเมื่อคืน อินเสี่ยวเสี่ยวลุกขึ้นนั่งบนโซฟาแล้วกลืนยาลงไป


 


 


พอทานยาเสร็จ อินเสี่ยวเสี่ยวก็จะไปจากที่นี่ เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้นก็กดร่างอินเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้ พูดว่า “เสี่ยวเสี่ยว ฟังนะ นอนลงไปดีๆ เลย เธอยังเป็นไข้อยู่นะ”


 


 


“ขอบคุณท่านประธานเซียวที่เป็นห่วงนะคะ แต่ว่า ฉันยังต้องทำงานนี่คะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูดแย้งขึ้นพลางผลักแขนเซียวจิ่งสือที่ยึดตัวเธอไว้ออก


 


 


“เสี่ยวเสี่ยว วันนี้เธอไม่ต้องทำงานแล้ว พักผ่อนอยู่ที่นี่เลยนะ” เซียวจิ่งสือออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรีบพูดขึ้น “ไม่ค่ะ ท่านประธานเซียว ฉันเป็นแค่พนักงานธรรมดาคนหนึ่งของบริษัท คุณทำแบบนี้ จะทำให้คนอื่นไม่พอใจฉันค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสือมองดูอินเสี่ยวเสี่ยวอยู่นาทีหนึ่งแล้วยอมแพ้ “อย่างงั้นก็ได้ เสี่ยวเสี่ยว แต่เธอต้องทานอะไรก่อนนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวยังไม่ได้ทานข้าวเช้า พอได้กลิ่นหอมของอาหาร ก็ไปสะกิดน้ำย่อยให้ทำงาน แต่พอเธอเห็นอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ อินเสี่ยวเสี่ยวก็สงสัยว่าเซียวจิ่งสือคงคิดจะให้เธอท้องแตกตายเป็นแน่


 


 


พอกลับมาจากห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ อินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งก้าวเข้าออฟฟิศ ก็ได้ยินเพื่อนร่วมงานถามเธอด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนว่า “โห เสี่ยวเสี่ยว กลับมาจนได้เลยนะ ทำไมแค่ไปส่งเอกสารให้ท่านประธานถึงได้ไปนานนักล่ะ?”


 


 


“ใช่เลย ใครบางคนคงไม่ใช้หน้าตาตัวเองเปิดทางเข้าใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านประธานหรอกนะ” อีกคนพูดเสริมขึ้น


 


 


ทั้งสองคนพูดร้องรับขับประสานกัน ทำให้สายตาของคนในออฟฟิศพากันจ้องจับมาที่อินเสี่ยวเสี่ยวอย่างสงสัย


 


 


“พวกเธออย่ามากล่าวหากันหน่อยเลย” อินเสี่ยวเสี่ยวยันกลับคนที่ใส่ร้ายเธอต่อหน้าผู้คน จากนั้นอธิบายกับทุกคนว่า “ฉันแค่เกิดเรื่องบางอย่างในห้องทำงาน ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดกันสักหน่อย”


 


 


“เกิดเรื่องอะไรล่ะ เสี่ยวเสี่ยว พูดออกมาให้ทุกคนได้ฟังกันหน่อยสิ” เพื่อนร่วมงานที่กระแนะกระแหนเธอเมื่อครู่พูดขึ้น


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่า ถ้าหากเธอพูดเรื่องที่เธอหมดสติในห้องทำงานเซียวจิ่งสือออกมา ในสายตาของคนพวกนี้ เธอก็จะกลายเป็นคนที่จงใจยั่วยวนเซียวจิ่งสือไปจริงๆ


 


 


“ทำไมล่ะ เสี่ยวเสี่ยว ทำไมไม่พูดล่ะ หา?” เพื่อนร่วมงานคนเดิมพูดเย้ยขึ้นอีกว่า “คงไม่ใช่ว่าใจคิดไม่ซื่อ เลยไม่กล้าพูดออกมาล่ะซิ”


 


 


“ฉันไม่…” อินเสี่ยวเสี่ยวปฏิเสธ


 


 


เธอยังพูดไม่จบ ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นที่ด้านหลัง “เสี่ยวเสี่ยวเธอเป็นไข้ เป็นลมหมดสติที่ห้องทำงานผม คำอธิบายนี้ พอไหม?”


 


 


“ท่านประธาน…” เพื่อนร่วมงานตรงหน้าอินเสี่ยวเสี่ยวหน้าเปลี่ยนสี มองดูเซียวจิ่งสือที่ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังอินเสี่ยวเสี่ยวอย่างหวาดๆ


 


 


ถ้าให้เซียวจิ่งสือได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของพวกเธอ พวกเธอคงจบสิ้นกันแน่


 


 


“ท่านประธานเซียว ทำไมคุณมานี่ได้คะ” อินเสี่ยวเสี่ยวหันกลับไปถามเซียวจิ่งสือ


 


 


เซียวจิ่งสืออยากจะมาดูว่าอินเสี่ยวเสี่ยวถูกรังแกหรือเปล่า แล้วก็เป็นดังคาด พอเดินมาถึงด้านนอกห้อง เขาก็ได้ยินเสียงพูดหาเรื่องอินเสี่ยวเสี่ยว


 


 


เซียวจิ่งสือหันไปพูดกับสองคนที่หาเรื่องอินเสี่ยวเสี่ยว “ที่ทำงานไม่ใช่สถานที่ให้พวกคุณมาพูดเรื่องไร้สาระ หักเงินเดือนพวกคุณสองคนคนละหนึ่งเดือน”


 


 


สองคนนั้นแม้จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าคัดค้านเซียวจิ่งสือ ได้แต่กลับไปนั่งตัวลีบที่โต๊ะของตัวเอง


 


 


ตอนนั้นเอง เซียวจิ่งสือยื่นถุงยาในมือให้อินเสี่ยวเสี่ยว พลางพูดว่า “เมื่อครู่เธอลืมหยิบยามาด้วย อย่าลืมทานยาตามเวลาล่ะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวรับเอามาแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะ ท่านประธานเซียว”


 


 


พอเซียวจิ่งสือไปแล้ว ในออฟฟิศไม่มีเสียงกระแนะกระแหนอินเสี่ยวเสี่ยวอีก ก็เซียวจิ่งสือปกป้องเธอซะขนาดนี้ พวกเธอจะทำพลาดอีกได้อย่างไรกัน


 


 


แต่ว่า ด้วยการบอกเล่าต่อกันไป เรื่องนี้ของอินเสี่ยวเสี่ยวกลายเป็นที่รู้กันทั่วบริษัท ในบริษัทจึงยังมีคนมากมายที่แอบพูดถึงอินเสี่ยวเสี่ยวลับหลังด้วยน้ำเสียงประชดประชัน


 


 


หลายวันมานี้ เซียวจิ่งสือคอยตรวจเช็คว่าอินเสี่ยวเสี่ยวได้ทานยาตามเวลาทุกวัน และยังทานข้าวร่วมกับเธออีกด้วย อาการไข้ของอินเสี่ยวเสี่ยวค่อยๆ ดีขึ้น


 


 


แต่ว่า หลายวันที่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่สบายนี้ ฮั่วเทียนอวี่ตั้งแต่หายตัวไปท่ามกลายสายฝนครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่เคยมาปรากฏตัวต่อหน้าอินเสี่ยวเสี่ยวอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งทำให้อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกผิดและผิดหวังเสียใจอยู่บ้าง 

 

 


ตอนที่ 198 ผู้จัดการส่วนตัว

 

รถไฟใต้ดินขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หอบเอาสายลมไปด้วย อินเสี่ยวเสี่ยวยืนอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดินแต่กลับไม่ได้ขึ้นรถ สำหรับเธอแล้ว ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือต้องรู้ให้ได้ว่าตัวเองเป็นใคร


 


 


แต่ว่าเธอสูญเสียความทรงจำในอดีตไปจนไม่เหลือเลยนี่สิ รถไฟมาถึงสถานี อินเสี่ยวเสี่ยวลังเลอยู่นานไม่ยอมขึ้นรถเสียที ประตูรถปิดลง แล้ววิ่งฉิวห่างออกไป ลมกรรโชกมาวูบหนึ่งทำให้ปอยผมของอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามากระโดดโลดเต้นอยู่บนใบหน้าของเธอ เหมือนความคิดของเธอไม่มีผิด


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวอยากไปให้ไกลๆ อยากไปค้นหาตัวเอง แต่พอถึงสถานีรถไฟใต้ดิน ก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี


 


 


เธอยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก้มศีรษะถอนใจเฮือก สุดท้ายก็กลับไปยังที่ที่เธอจากมา


 


 


ลงจากรถไฟใต้ดินแล้วอินเสี่ยวเสี่ยวก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายบนถนนสายหลัก จู่ๆ ก็มีผู้หญิงที่แต่งกายสะอาดเนี๊ยบเรียบกริบคนหนึ่งดึงตัวเธอไว้ แล้วพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ในอาการเหมือนไร้วิญญาณอย่างประหลาดใจว่า “หลินหว่าน ทำไมเธอมาอยู่นี่ล่ะ ที่ผ่านมาเธอไปอยู่ไหนมา ฉันหาตัวเธอแทบตายแน่ะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูผู้หญิงคนนี้ด้วยสีหน้าเฉยชา ขณะที่ฉุกคิดขึ้นได้ว่า หลินหว่านเหรอ? ชื่อนี้คุ้นหูมากเลยนี่ ใช่แล้ว เซียวจิ่งสือเรียกฉันแบบนี้มาตลอด หรือว่าฉันจะเป็นหลินหว่านจริงๆ แต่คนตรงหน้านี่ใครอีกล่ะ?


 


 


หญิงสาวแปลกใจอยู่บ้างขณะพูดกับอินเสี่ยวเสี่ยว “ทำไมเธอกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่รู้จักฉันแล้วหรือไง? ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธออย่างไรล่ะ เธออย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักฉันเด็ดขาดนะ สัญญาของพวกเรา เธอยังต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เธอยังมีละครทีวีอีกหลายเรื่องยังถ่ายไม่จบนะ ทิ้งไปนานขนาดนี้ต้องเร่งมือหน่อยแล้ว พวกเราไปที่กองถ่ายกันเถอะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วมึนตึ้บ นี่มันอะไรกัน? ผู้จัดการส่วนตัว? ถ่ายละครทีวี? นี่ฉันเป็นดาราด้วยหรือไงกัน?


 


 


ผู้จัดการลากตัวอินเสี่ยวเสี่ยวมาที่กองถ่าย ไม่สนใจคำถามมากมายของเธอ ส่วนอินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกว่าบางทีผู้จัดการส่วนตัวคนนี้น่าจะบอกเธอได้ถึงเกิดเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้


 


 


พอมาถึงกองถ่ายละครโทรทัศน์ แสงไฟและอุปกรณ์ถ่ายทำเอฟเฟกต์ขนาดใหญ่ แล้วยังมีผู้กำกับที่คอยสั่งการทั้งหมดอีก พอเห็นว่าผู้จัดการนั้นพาตัวอินเสี่ยวเสี่ยวเข้ามา หลายคนเข้ามาทักทาย ต่างพากันเรียกเธอว่าคุณหลิน


 


 


ส่วนผู้กำกับก็พูดต่อว่าต่อขานอยู่บ้าง “หลินหว่าน คุณกลับมาถ่ายต่อจนได้นะ คุณทำผมเสียหายมากรู้ไหม เอาล่ะ กลับมาก็ดีแล้ว แต่งหน้าแต่งตัวแล้วเตรียมตัวเริ่มงานได้เลย”


 


 


ผู้จัดการทักทายกับผู้กำกับด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย แล้วดึงอินเสี่ยวเสี่ยวไปห้องแต่งตัว


 


 


พอแต่งหน้าแต่งตัวเสร็จออกมา ผู้ช่วยคนหนึ่งก็ยื่นบทละครเล่มหนึ่งให้อินเสี่ยวเสี่ยว อินเสี่ยวเสี่ยวอ่านดูบทละครในเรื่อง แล้วพริบตานั้นเธอก็นึกไปถึงรายละเอียดและเทคนิคการแสดงชนิดต่างๆ


 


 


พอการถ่ายทำเริ่มขึ้น อินเสี่ยวเสี่ยวกลับไม่หลงลืมบทเลยสักคำ และเธอยังแสดงได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัดอีกด้วย…


 


 


ทุกคนไม่ได้รู้สึกประหลาดใจต่อการแสดงของอินเสี่ยวเสี่ยวมากนัก กลับเป็นอินเสี่ยวเสี่ยวเองที่รู้สึกว่าตัวเองช่างเก่งกาจเหลือเกิน แสดงละครครั้งแรกก็แสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ ช่างมีพรสวรรค์ซะเหลือเกิน หรือว่าฉันจะเป็นอย่างที่พวกเขาว่า ฉันคือผู้หญิงที่ชื่อหลินหว่านนั่น


 


 


ความมืดยามรัตติกาลมาถึง ผู้กำกับสั่งการว่า “เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้” ทีมงานกองถ่าย ทุกคนพากันลงมือเก็บข้าวของอุปกรณ์ คนที่รับผิดชอบดูแลเครื่องแต่งกาย แสงไฟ และช่างภาพ พากันเก็บอุปกรณ์ของตัวเอง หลังจากยุ่งมาทั้งวัน ทุกคนเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้กลับไปพักผ่อนกับยามค่ำคืนที่เงียบสงบอย่างเต็มอิ่ม


 


 


เด็กสาวคนหนึ่งเป็นช่างแต่งหน้า เธอแต่งหน้าให้ตัวเองอย่างสวยงามแล้วเก็บกระเป๋าเครื่องมือของตัวเองเตรียมตัวไปนัดเดทกับแฟนหนุ่ม แม้ว่าในกองถ่ายเธอจะไม่ใช่นางเอก แต่พอเลิกงานแล้ว เธอก็คือตัวละครเอกในชีวิตจริงของตัวเอง ทุกคนก็ควรจะได้มีชีวิตที่ดีเป็นของตัวเอง


 


 


อย่างไรก็ตาม มีเพียงอินเสี่ยวเสี่ยวที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ยุ่งวุ่นวายนี้ หลังจากล้างเครื่องสำอางออกแล้ว เธอกลับไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน ชีวิตของเธอควรจะไปทิศทางใด


 


 


ช่างแต่งหน้าเห็นอินเสี่ยวเสี่ยววนเวียนอยู่ในกองถ่ายอย่างไม่รีบร้อนก็เดินเข้ามาถามไถ่ว่า “คุณหลินคะ เลิกงานแล้ว วันนี้ทำไมคุณยังอยู่ที่นี่อีกคะ”


 


 


ช่างแต่งหน้ารู้สึกว่าหลินหว่านดีกับเธอเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน เมื่อก่อนตอนทำงานคุณหลินก็ไม่เคยถือตัวว่าเป็นดาราดัง เธอเป็นมิตรและใจดีต่อคนอื่น นอกจากช่างแต่งหน้าแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าหลินหว่านนิสัยดีมากจริงๆ


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูช่างแต่งหน้าที่อยู่ตรงหน้าเธอ ท่าทีดูเหมือนคุ้นเคยกับเธอมากอย่างนั้นล่ะ ไม่ใช่สิ คุ้นเคยสนิทสนมกับหลินหว่านนั่นมากต่างหาก


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจ จึงเค้นรอยยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันกำลังรอคนน่ะค่ะ คุณกลับก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว”


 


 


ช่างแต่งหน้ายิ้มหน้าบานกับอินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “งั้นเหรอคะ คุณหลินฉันไปก่อนนะคะ คุณก็เหนื่อยแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ” พูดจบ ก็ก้าวเท้าเร็วๆ หายลับไปยังทิศทางที่แสงไฟเลือนราง


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองตามเงาหลังที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของช่างแต่งหน้าสาว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มออกมา คิดในใจว่า “ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักซะจริง” อีกไม่นานคนในกองถ่ายก็จะไปกันหมดแล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวเริ่มเคว้งคว้างขึ้นมาบ้าง


 


 


ผู้จัดการส่วนตัวผูกผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองไปพลางเดินออกมาทางด้านนอก หลังของเธอสะพายเป้ใบเล็ก กวัดแกว่งอยู่ไปมา ผู้จัดการเดินอย่างรีบร้อนหวังจะรีบกลับถึงบ้านพักผ่อนโดยเร็ว แล้วหางตาก็ปะทะเข้ากับเงาร่างโดดเดี่ยวร่างหนึ่งที่ด้านหน้ากองถ่าย


 


 


ผู้จัดการเพ่งมองไป นั่นหลินหว่านไม่ใช่หรือไง? ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก?


 


 


ผู้จัดการรีบเดินเข้ามาถามว่า “หลินหว่าน ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ? รอคนเหรอ? ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่ส่ายศีรษะ


 


 


ผู้จัดการเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวท่าทางไม่ค่อยปกติ ก็ขมวดคิ้วฉับ “หลินหว่าน เธอเป็นอะไรกันแน่ ตั้งแต่ฉันพบเธอก็ดูเหมือนจะงงๆ ป้ำๆ เป๋อๆ ดูไม่มีชีวิตชีวาเอาซะเลย เจอเรื่องอะไรมางั้นเหรอ เล่าให้ฉันฟังสิ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวทำหน้าเอ๋อ แต่ยังไม่รู้ว่าจะพูดยังไงอยู่ดี อึ้งอยู่นานกว่าจะพูดอึกอักออกมาว่า “ฉ…ฉัน…”


 


 


ผู้จัดการส่ายหน้าค้อนตาคว่ำ พูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเราหาที่นั่งค่อยๆ คุยกันนะ ไป ฉันจะพาเธอไปทานของอร่อยกัน”


 


 


ผู้จัดการขับรถเลี้ยวไปหลายโค้งก็ถึงแหล่งรวมอาหารใหญ่สุดในย่านกลางเมือง ผู้จัดการพาอินเสี่ยวเสี่ยวไปหาร้านที่คนค่อนข้างเบาบางเหมาะจะใช้เป็นสถานที่พูดคุยกัน


 


 


พอสั่งสปาเก็ตตี้กับเครื่องดื่มเย็นแล้ว ผู้จัดการก็เลือกที่นั่งติดริมหน้าต่าง พอถึงตอนนี้อินเสี่ยวเสี่ยวจึงพบว่า ทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่างนั้นช่างงามนัก มองเห็นเมืองทั้งเมืองอยู่ด้านล่าง แสงไฟหน้ารถเรียงรายบนถนน คล้ายสายสร้อยโคมไฟเส้นยาวเหยียดแสนสวย


 


 


ผู้จัดการเห็นท่าทางตื่นเต้นแปลกใจของอินเสี่ยวเสี่ยวแล้วพูดว่า “อะไรกัน เมื่อก่อนพวกเรามาที่นี่ด้วยกันบ่อยไปนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองผู้จัดการอย่างสงสัย พูดย้ำว่า “มาบ่อยๆ ไม่น่าถึงได้รู้สึกคุ้นเคย”


 


 


เงียบไปพักหนึ่ง อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดต่อว่า “ฉันจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว พูดกันตามจริงแล้ว เธออย่ารู้สึกไม่ดีล่ะ”


 


 


ผู้จัดการขมวดคิ้ว ผงกศีรษะพูดว่า “จำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้? เธอว่ามาสิ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองพี่สาวตรงหน้าที่พาเธอไปถ่ายละครทีวี แล้วยังเลี้ยงของอร่อยเธออีก เธอพูดอย่างอึดอัดขัดเขินว่า “ก็…ก็คือ คุณเป็นใครฉันก็จำไม่ได้แล้วน่ะ”


 


 


ผู้จัดการพอฟังแล้ว นิ่งงันไปเป็นนาน ถึงว่าเล่าวันนี้ทั้งวันดูเธอไม่ปกติเอาซะเลย ที่แท้ก็สูญเสียความทรงจำไปนี่เอง


 


 


ผู้จัดการพูดอย่างเห็นใจว่า “ฉันเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอ เราสนิทกันมากเลย งั้นเธอยังจำอะไรได้บ้าง?”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวตอบว่า “ฉันจำได้ว่าฉันมาจากหมู่บ้านริมทะเลแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มาที่นี่”


 


 


ผู้จัดการฟังถึงตรงนี้ก็สมองพองโต งั้นทำอย่างไรดี


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพอฟังผู้จัดการบอกว่าก่อนนี้สนิทกับเธอมาก ก็อดถามไม่ได้ว่า “งั้นเธอรู้ไหมว่าฉันกับเซียวจิ่งสือมีความสัมพันธ์อะไรกัน?”


 


 


ผู้จัดการเขวี้ยงค้อนวงใหญ่ให้อีกวง พูดว่า “พวกเธอเป็นคู่รักกันนะสิ พอมีเวลาว่างก็ตัวติดกันเชียว แม้แต่เขาเธอก็จำไม่ได้งั้นเหรอ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวยิ้มอย่างจนใจ ถามต่อไปว่า “งั้นเธอรู้ไหมว่าฉันกับเซียวจิ่งสืออยู่ด้วยกันอย่างไร แล้วฉันกับบริษัทของเขาเกี่ยวข้องกันยังไง?”


 


 


ผู้จัดการส่ายหน้าพูดว่า “หลินหว่าน เรื่องเธอกับเซียวจิ่งสือมันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่? นอกจากงานถ่ายละครพวกนี้ เรื่องส่วนตัวของเธอตั้งมากมายฉันก็ไม่รู้ด้วยหรอก”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมองดูทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่าง ความรู้สึกเคว้งคว้างกลับมาอีกครั้ง 

 

 


ตอนที่ 199 เพื่อนใหม่

 

อินเสี่ยวเสี่ยวบอกลาผู้จัดการส่วนตัวแล้วกลับมายังที่พักของตัวเองอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดวัน พอกลับถึงบ้าน เธอแค่อยากจะอาบน้ำให้สบายผ่อนคลายความเหนื่อยล้าซะหน่อย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพันผ้าขนหนูออกจากห้องน้ำ น้ำหยดพราวจากผมของเธอเพราะยังไม่ได้เช็ดแห้ง เธอมองดูตัวเองในกระจก อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ ฉันเป็นใครกันแน่? ฉันเป็นหลินหว่านหรืออินเสี่ยวเสี่ยว?


 


 


ในหัวปรากฏภาพตอนทานข้าวเมื่อค่ำนี้ ผู้จัดการสบตาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พวกเธอเป็นคู่รักกัน…”


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวจิ่งสือ สายตาที่มองเธอด้วยความรักลึกล้ำเหมือนฉากในภาพยนตร์ผ่านเข้ามาในหัวของเธอ จู่ๆ ก็รู้สึกหวั่นไหวในใจขึ้นมา เซียวจิ่งสือทำเพื่อเธอตั้งมากมาย ส่วนก้นบึ้งจิตใจของสาวน้อยเหมือนมีคลื่นของหัวใจดวงน้อยๆ ถาโถมเข้ามาจนเต็มล้นโดยไม่ทันตั้งตัว


 


 


กว่าอินเสี่ยวเสี่ยวจะรู้ตัวก็พบว่าเงาสะท้อนของเธอในกระจกนั้นสองแก้มแดงเรื่อซะแล้ว พอเห็นว่าตัวเองหน้าแดงเพราะเซียวจิ่งสือ ก็ยิ่งรู้สึกเขินอายเข้าไปอีก


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมาถึงออฟฟิศแต่เช้าตรู่ ที่ต้องมาแต่เช้าเพราะไม่อยากฟังเสียงเยาะเย้ยถากถางของพวกเพื่อนร่วมงานที่มาถึงแต่เช้า ทำให้เสียอารมณ์ไปทั้งวัน


 


 


ในออฟฟิศมีคนอยู่ไม่กี่คน อินเสี่ยวเสี่ยวนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ อ่านข่าวผ่านๆ ดูว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง จู่ๆ ก็มีคนเคาะประตูห้อง อินเสี่ยวเสี่ยวเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเป็นอันเสี่ยวเซียวพนักงานคนหนึ่งของบริษัท


 


 


ในบริษัทอันเสี่ยวเซียวมีหน้าที่จัดเก็บงานเอกสารโครงการที่ไม่ยุ่งยากนัก งานประจำมักจะต้องจัดส่งพวกเอกสารจำนวนหนึ่ง กับบางครั้งก็วิ่งช่วยงานประเภทงานพิมพ์ งานถ่ายเอกสารตามโต๊ะพนักงานเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นอันเสี่ยวเซียวอุ้มเอกสารกองโตผ่านหน้าไป เธอเป็นต้องรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานหญิงคนนี้ลุยงานน่าดูเลย


 


 


วันนี้อันเสี่ยวเซียวที่มาแต่เช้าด้วยเช่นกันพอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวก็เข้ามาหาตั้งท่าว่าจะทักทาย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพอเห็นว่าเป็นอันเสี่ยวเซียวที่มาเคาะประตู ก็ยิ้มน้อยๆ พูดว่า “สวัสดีค่ะ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวก็ยิ้มรับ พูดว่า “สวัสดีค่ะ อินเสี่ยวเสี่ยว ฉันชื่ออันเสี่ยวเซียว อยู่ออฟฟิศถัดไปอีกสองห้อง ฉันเข้ามาดูว่ามีอะไรให้ช่วยไหม”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวตอบรับอย่างเกรงใจ “เชิญค่ะๆ! เข้ามานั่งก่อนเถอะ โต๊ะฉันรกหน่อยนะ เธอนั่งตามสบายเลย”


 


 


อันเสี่ยวเซียวเดินเข้ามา หยิบของทานเล่นห่อหนึ่งจากด้านหลังออกมายื่นให้อินเสี่ยวเสี่ยว พูดว่า “เธอก็มาแต่เช้าเลย ทานอาหารเช้าหรือยังล่ะ? นี่เป็นขนมที่ฉันซื้อกลับมาตอนไปเที่ยวเมืองไทยน่ะ อร่อยดีนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวนึกไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้จะเป็นมิตรขนาดนี้ รีบพูดออกตัวว่า “ขอบคุณนะ อันเสี่ยวเซียว ฉันทานข้าวเช้ามาแล้วล่ะ ฉันเห็นเธอก็มาแต่เช้าทุกวันเลย”


 


 


อันเสี่ยวเซียวพูดว่า “ค่ะ ที่พักฉันอยู่ใกล้กับบริษัทน่ะ ก็เลยมาเช้าหน่อย ฮิๆ จะได้ดูเหมือนขยันทำงานหน่อยไงคะ” พูดจบก็ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวก็ยิ้มออกมา พูดว่า “อื้อๆ ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ฮ่าๆ พวกเราคิดเหมือนกันเลยนะ เมื่อก่อนเห็นเธอหอบกองเอกสารผ่านมาบ่อยๆ งานเธอคงลำบากมากสินะ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวพูดว่า “งานนี้ก็ดีออก อย่างไรฉันก็เคยชินแล้ว เธอรู้ไหมทุกครั้งที่ฉันผ่านมาที่นี่เห็นเธอเข้าจะรู้สึกว่าเธอสวยมากเลย ดูดีมากด้วย วันนี้ก็เลยอยากมาทำความรู้จักกับเธอน่ะ อิอิ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวฟังแล้วรู้สึกปลื้มระคนแปลกใจ ถามกลับว่า “สวยที่ไหนกัน ฉันว่าเธอต่างหากน่ารักน่ะ” ในใจนึกว่า น้องนี่น่ารักจัง


 


 


อันเสี่ยวเซียวยิ้มแล้วพูดอีกว่า “อินเสี่ยวเสี่ยว ฉันชอบเธอมากนะ พวกเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวหัวเราะ แล้วตอบว่า “ดีเลย เราเป็นเพื่อนกัน ฉันก็ชอบเธอนะ ฉันว่าเธอน่ารักออก”


 


 


อันเสี่ยวเซียวเห็นว่าพวกเพื่อนร่วมงานทยอยกันมาถึงแล้ว คุยกันในเวลางานดูไม่ดีนัก จึงพูดว่า “ใกล้เข้างานแล้ว ฉันไปทำงานก่อน แล้วเราค่อยคุยกันนะ”


 


 


หลังเลิกงานอินเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งเดินออกประตูใหญ่ ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งดังมา “อินเสี่ยวเสี่ยว รอฉันด้วย”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวหันกลับมาก็เห็นว่าเป็นอันเสี่ยวเซียว เธอยิ้มออกมา พออันเสี่ยวเซียวเข้ามาใกล้ อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดว่า “ทำไมเธอวิ่งเร็วจัง มีเรื่องอะไรถึงรีบร้อนนักนะ?”


 


 


อันเสี่ยวเซียวพูดพลางหอบหายใจ “ฉ…ฉัน…แค่กลัวว่าจะไล่ตามเธอไม่ทันน่ะ ฮิฮิ ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว ให้ฉันเลี้ยงข้าวเธอนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพูดว่า “รีบวิ่งขนาดนี้เพื่อจะเลี้ยงข้าวฉันเนี่ยนะ ฉันล่ะเชื่อเธอเลย แต่ว่าวันนี้ฉันมีนัดแล้ว”


 


 


อันเสี่ยวเซียวสีหน้าผิดหวัง พูดว่า “อ้อๆ เธอมีธุระงั้นเหรอ งั้น…ไปก่อนเถอะ”


 


 


พอเห็นสีหน้าจ๋อยลงของอันเสี่ยวเซียว อินเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกผิดขึ้นมา พอคิดดูแล้วก็เห็นว่า เอาเถอะพาอันเสี่ยวเซียวไปด้วยก็แล้วกัน ถึงอย่างไรไปแล้วบรรยากาศก็อึดอัดอยู่ดี มีอีกคนอยู่ด้วยอาจดีขึ้นมาหน่อยก็ได้


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวพูดว่า “ไม่งั้นเธอก็ไปกับฉันแล้วกัน ถึงอย่างไรก็ทานข้าวเหมือนกัน”


 


 


อันเสี่ยวเซียวตาเป็นประกายวาวอย่างกระตือรือร้น ถามว่า “ฉันไปด้วยจะดีเหรอ คงไม่เป็นการรบกวนเธอนะ”


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวค้อนตาคว่ำ พูดว่า “จะรบกวนได้อย่างไร พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่”


 


 


อันเสี่ยวเซียวจับมืออินเสี่ยวเสี่ยวไว้อย่างดีใจ แถมยังเอาศีรษะซุกเข้ามาอีก อินเสี่ยวเสี่ยวยิ้มออกมา พูดว่า “ช่างทำตัวเป็นเด็กน้อยซะจริงเลย”


 


 


พอเดินเข้าร้านอาหารฝรั่งอย่างหรู อินเสี่ยวเสี่ยวก็เห็นเซียวจิ่งสือที่นั่งเด่นเป็นสง่าพลิกดูเมนูอยู่ที่โต๊ะได้ทันที


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวเดินเข้ามาหา พูดว่า “ท่านประธานเซียวคะ คุณมานานแล้วสิ?”


 


 


เซียวจิ่งสือเงยหน้าขึ้นยิ้ม พูดว่า “ไม่หรอก ผมเพิ่งถึงน่ะ” แล้วเขาก็พบว่าอันเสี่ยวเซียวที่เป็นพนักงานในบริษัททำไมถึงมาด้วย เขาหุบยิ้ม นี่มันเรื่องอะไรกัน กะนัดกันแบบสองเราทำไมถึงได้เกินมาคนหนึ่ง


 


 


อันเสี่ยวเซียวพอเห็นว่าคนที่นั่งตรงหน้าเป็นท่านประธานบริษัทเซียว ก็ทักทายด้วยท่าทีตื่นเต้น “สวัสดีค่ะท่านประธานเซียว ฉันชื่ออันเสี่ยวเซียวทำงานที่บริษัทค่ะ”


 


 


เซียวจิ่งสืออึ้งไปวูบ แล้วตอบกลับว่า “สวัสดีครับ มาแล้วก็ทานด้วยกันเถอะ”


 


 


เสียงเพลงนุ่มเนิบดังแว่วมาที่ข้างหู เซียวจิ่งสือมองดูอินเสี่ยวเสี่ยวที่ก้มลงทานอาหาร มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น นึกในใจว่า เธอนี่นะ ทานอาหารยังดูน่ารักได้ ขณะกำลังจะคลี่รอยยิ้มออกก็พบว่า อันเสี่ยวเซียวคอยแอบมองเขาอยู่บ่อยครั้ง


 


 


เซียวจิ่งสือรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มใจ หลินหว่านคนนี้นี่ช่างทำเสียบรรยากาศซะจริงเลย พกหลอดไฟ [1] มาด้วยแบบนี้ เชื่อเขาเลย


 


 


อินเสี่ยวเสี่ยวมัวแต่ยิ้มหัวพูดคุยกับเพื่อนคนใหม่นี้ กลับกลายเป็นเซียวจิ่งสือรู้สึกอึดอัดขัดข้องบ้างแล้ว


 


 


หลังอาหาร พอส่งสองสาวกลับไปแล้ว เซียวจิ่งสือก็หายใจเข้าลึก นึกในใจว่า ‘หลินหว่านนี่เมื่อไหร่จะจำเราได้ซะทีนะ’


 


 


เซียวจิ่งสือจอดรถจะไปทำงาน พลันปรากฏเงาร่างสองสายที่นอกหน้าต่างรถทำเอาตกใจจนสะดุ้งเฮือก พอเพ่งมองดูดีๆ จึงรู้ว่าเป็นหลินหว่านกับอันเสี่ยวเซียว


 


 


เซียวจิ่งสือถามว่า “ทำไมพวกคุณมาอยู่นี่ ทำผมตกใจหมด”


 


 


หลินหว่านพูดว่า “เมื่อวานคุณเลี้ยงข้าวพวกเรา อันเสี่ยวเซียวอยากตอบแทนคุณค่ะ”


 


 


อันเสี่ยวเซียวถือกล่องข้าวใบหนึ่งไว้ พูดว่า “ท่านประธานเซียวคะ เมื่อวานขอบคุณที่เลี้ยงข้าวฉันค่ะ ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณ นี่เป็นน้ำแกงไก่ตุ๋นค่ะ หวังว่าคุณจะไม่รังเกียจนะคะ”


 


 


เซียวจิ่งสืออึ้งไปครู่แล้วตอบว่า “อ้อ… ขอบใจนะ เธอไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้” เขากวาดตามองหลินหว่านขณะที่ในใจรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง


 


 


อันเสี่ยวเซียวยื่นน้ำแกงไก่ให้แล้วดึงตัวหลินหว่านไปทำงาน


 


 


เซียวจิ่งสือนิ่งงันอยู่กับที่ ในสมองยังไม่เข้าใจการกระทำนี้ของเด็กสาวนี้อยู่ดี พึมพำว่า “อันเสี่ยวเซียว”


 


 


 


 


——


 


 


[1] หลอดไฟ ในที่นี้หมายถึง ก้างขวางคอ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม