พันธกานต์ปราณอัคคี 191-197
ตอนที่ 191 คนในวันวานเปลี่ยนใจง่าย
ที่ว่าที่เดิม ก็คือที่ที่เวลานั้นมั่วชิงเฉินและเฉินเจียวซิ่งตีกันทุกสามวันห้าวัน อยู่ในหุบเขาที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง
มั่วชิงเฉินไปถึงที่นั่น เฉินเจียวซิ่งยังมาไม่ถึง นี่อยู่ในความคาดหมายของนางแต่แรกแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของตนในยามนี้ต้องเร็วกว่าเฉินเจียวซิ่งมากแล้ว
จำได้ว่าปีนั้นที่ลงเขาไปเฉินเจียวซิ่งได้อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสิบสองแล้ว กำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ พริบตาเดียวห้าปีผ่านไป คิดว่าก็คงจะสร้างรากฐานสำเร็จแล้วกระมัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินความเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินยกตามองปราดหนึ่ง เฉินเจียวซิ่งขี่ยันต์กระเรียนเหินหาวตัวหนึ่งค่อยๆ ร่อนลงมา
มั่วชิงเฉินงงงัน ไม่คิดเลยว่าเฉินเจียวซิ่งยังไม่สร้างรากฐาน?
“เฉินเจียงซิ่ง” มั่วชิงเฉินโบกมือ เห็นสหายในวันวาน อย่างไรในใจก็ปีติ
ที่เหนือความคาดหมายคือ เฉินเจียวซิ่งเดินก้าวสวบๆ มา ใบหน้าแข็งเกร็ง เดินมาถึงหน้ามั่วชิงเฉินแล้วคารวะอย่างจริงจังทีหนึ่ง “ศิษย์คารวะอาจารย์อา”
มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีทันที เหตุใดไม่กลับมาห้าปี คนที่คุ้นเคยในสำนักต่างเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว จึงอดถามไม่ได้ว่า “เฉินเจียวซิ่ง เจ้าเป็นอะไรไป?”
ในยามนี้ส่วนสูงของเฉินเจียวซิ่งเตี้ยกว่ามั่วชิงเฉินครึ่งศีรษะ ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้ากลมๆ ขึ้นมาว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไรนี่ ท่านคืออาจารย์อาระดับสร้างรากฐาน ผู้น้อยเห็นท่านแล้วคารวะ ไม่ใช่เรื่องสมควรหรอกหรือ?”
มั่วชิงเฉินฟังออกถึงความแค้นเคืองสายหนึ่งในน้ำเสียงนาง ยิ่งไม่เข้าใจว่า “เฉินเจียวซิ่ง ข้าล่วงเกินเจ้าตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดไม่เจอกันห้าปี เจ้าก็ท่าทางประหลาดเช่นนี้แล้ว?”
“ฮึ!” เฉินเจียวซิ่งเบือนหน้าไปอีกข้างหนึ่ง
แม้มั่วชิงเฉินชักจะอารมณ์เสียแล้ว ดีที่นิสัยปีติโกรธเศร้าสุขล้วนแสดงบนหน้าของเฉินเจียวซิ่งยังไม่เปลี่ยน จึงพยายามพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ใช่แล้ว พี่เสี่ยวซย่าล่ะ วันนี้ข้าส่งยันต์ส่งสารให้เขา ไม่เห็นเขาตอบกลับมาเสียที”
เพิ่งสิ้นเสียงเฉินเจียวซิ่งก็หันหน้ามาโดยพลัน นิ้วมือสั่นชี้มั่วชิงเฉินว่า “พี่เสี่ยวซย่า พี่เสี่ยวซย่า เจ้าเป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ยังติดปากเรียกเขาว่าพี่เสี่ยวซย่า รู้จักอายหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินรู้สึกงงงันแล้ว สีหน้าก็เย็นชาลงมา “เฉินเจียวซิ่ง ไยเจ้าพูดจาน่าเกลียดเช่นนี้?”
เฉินเจียวซิ่งเลือดพุ่งขึ้นหน้าทันที ใบหน้าแดงก่ำไปหมด “มั่วชิงเฉิน มิน่าคนเขาว่าเจ้าเป็นนางมาร ทำให้นักพรตเหอกวงต้องถูกลงโทษให้ไปสำนึกผิดที่โถงลงทัณฑ์ ต้วนชิงเกอถูกอาจารย์อาเยี่ยถอนหมั้น ยังทำให้พวกเขาต้องเข้าโถงลงทัณฑ์กันหมด แม้แต่…ศิษย์น้องซย่า เพิ่งสร้างรากฐานสำเร็จก็รีบร้อนลงเขาไป ยังบอกอะไรข้าว่าจะออกไปฝึกตน เห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร มีที่ไหนเพิ่งสร้างรากฐานยังไม่ได้ทำเขตแดนให้มั่นคงก็ออกไปฝึกตน เขาออกไปตามหาเจ้าชัดๆ เขาบอกข้าตั้งกี่ครั้งว่าเขาไม่เชื่อว่าเจ้าตายแล้ว พูดจนหูข้าด้านหมดแล้ว!”
ฟังออกถึงความอิจฉาในคำพูดของเฉินเจียวซิ่ง มั่วชิงเฉินรู้แจ้งแล้ว ที่แท้นางมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้พี่เสี่ยวซย่าแล้ว
แววตาโกรธเกรี้ยวของเฉินเจียวซิ่งแทงจนดวงตาของมั่วชิงเฉินเจ็บ นางไม่สนใจว่าคนอื่นจะว่าเช่นไร ทว่านี่คือเฉินเจียวซิ่ง ตนเห็นนางเป็นสหายมาโดยตลอด หรือว่าตนคิดเข้าข้างตัวเองไปฝ่ายเดียวแล้ว?
“เฉินเจียวซิ่ง หรือว่าที่ข้ารอดกลับมา เจ้าไม่ดีใจ?” มั่วชิงเฉินถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เฉินเจียวซิ่งกัดริมฝีปาก สายตาเบนไปทางอื่น
มั่วชิงเฉินรู้ว่าวันนี้ไม่พูดให้รู้เรื่อง ปมในใจของทั้งสองคนก็แก้ยากแล้ว “เฉินเจียวซิ่ง เจ้ามองตาข้าแล้วบอกข้า เจ้าหวังให้ข้าตายอยู่ข้างนอกจริงหรือ?”
เฉินเจียวซิ่งฮึเสียงหนึ่ง “เรื่องอะไรข้าต้องตอบเจ้าด้วย?”
มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “เฉินเจียวซิ่ง เจ้าชอบพี่เสี่ยวซย่าสินะ? หรือว่าก็เพราะเหตุนี้ ในตาก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นอีก? ฮึ ข้าว่าไม่ได้ตีกันหลายวัน เจ้าไม่เป็นตัวของตัวเองอีกแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินเจียวซิ่งกระโดดขึ้นมา “มาสิ อย่านึกว่าเจ้าสร้างรากฐานแล้วข้าจะกลัวเจ้า อย่างมากก็ตีข้าให้ตายเลยหมดเรื่อง จะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มใจอีก!”
“ดี ดี ข้าก็ไม่รังแกเจ้าหรอกนะ เจ้าอยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์มิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็กดตบะให้อยู่ที่ระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ หากเจ้ารับข้าได้เกินสามกระบวนท่า ข้าจะขอแซ่ตามเจ้า!” มั่วชิงเฉินพูดจบก็ขยับตัวขึ้นมา
“หนึ่งกระบวนท่า สองกระบวนท่า สามกระบวนท่า!” ยามที่มั่วชิงเฉินนับถึงสาม ก็พลิกมือจับเฉินเจียวซิ่งไว้ในมือ ถามว่า “เจ้ายอมหรือไม่?”
เฉินเจียววิ่งได้ยินสี่คำนี้ ในใจเศร้าขึ้นมาทันที ตีกันตั้งกี่ครั้งทุกครั้งล้วนจบลงที่ชัยชนะของมั่วชิงเฉิน ทุกครั้งนางล้วนถามตนเองแบบนี้
“ข้า…ข้าไม่ยอม!” เฉินเจียวซิ่งจู่ๆ ก็อ้าปากกัดข้อมือมั่วชิงเฉินไว้
มั่วชิงเฉินโกรธขึ้นมาทันที ไม่สนใจวิธีการอีกต่อไป ยิ่งไม่ใช้พลังวิญญาณ สองคนก็เหมือนหญิงใจหยาบในโลกฆราวาส ใช้หมัดต่อยขาเตะขึ้นมา
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม สองคนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงหอบแฮ่กๆ นอนหงายอยู่บนพื้นหญ้า
“เจ้ายอมหรือยัง?” มั่วชิงเฉินถาม
เฉินเจียวซิ่งหอบแฮ่กๆ ว่า “เจ้ารังแกคน เสื้อผ้าของเจ้ามีพลังการป้องกัน!”
มั่วชิงเฉินไม่สนใจนางอีก พ่นออกมาสองคำ “เล่นลิ้น” พูดจบก็เหม่อมองเมฆขาวที่เปลี่ยนรูปร่างต่างๆ นานาบนฟ้า
ทันใดนั้น เฉินเจียวซิ่งร้องไห้โฮขึ้นมา
มั่วชิงเฉินไม่พูด ปล่อยให้นางยิ่งร้องยิ่งดัง ถึงสุดท้ายพูดสะเปะสะปะว่า “เรื่องอะไร ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งล้วนตีสู้เจ้าไม่ได้ ข้ารากวิญญาณดีกว่าเจ้าชัดๆ ฐานะก็สูงส่งกว่าเจ้า ถึงสุดท้ายกลับสู้เจ้าไม่ได้สักอย่าง แม้แต่สร้างรากฐานก็เป็นเช่นนี้ เดิมทีตบะของเราไม่ต่างกันนัก เจ้ากลับสร้างรากฐานสำเร็จตั้งแต่อายุยี่สิบสองแล้ว ส่วนข้าน่ะ บัดนี้สามสิบสี่ปีแล้ว สร้างรากฐานสองครั้งล้วนล้มเหลวหมด นี่ก็ช่างเถอะ เหตุใดคนที่คนอื่นเห็นว่าสูงส่งเกินเอื้อมล้วนชอบเจ้า เห็นความสำคัญของเจ้า แม้แต่คนที่ศิษย์น้องซย่าคิดถึงก็ยังเป็นเจ้า! เช่นนั้นข้าล่ะ ใครเห็นความพยายามของข้าบ้าง? หรือว่า ความพยายามทั้งหมดของข้าล้วนว่างเปล่า ขอเพียงมีเจ้าอยู่ ก็จะถูกประกายของเจ้าบดบังไป? เจ้าพูดสิ เจ้าพูด เจ้าเกิดมาเพื่อมาพิชิตข้าใช่หรือไม่?”
ที่แท้ ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปมในใจที่เฉินเจียวซิ่งมีต่อตนเองได้หยั่งรากลึกถึงเพียงนี้แล้ว
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือจับแขนข้างหนึ่งของเฉินเจียวซิ่งว่า “เจ้านั่งขึ้นมา ฟังข้าพูด!”
เฉินเจียวซิ่งถลึงตาใส่นางอย่างดื้อรั้น นัยน์ตากลับมีความอ่อนแอที่แม้แต่ตนเองก็ไม่สังเกต
เสียงของมั่วชิงเฉินดังขึ้นมาอย่างเย็นชา “เฉินเจียวซิ่ง ปีนั้นพบเจ้าครั้งแรก แม้ไม่นับว่ารื่นรมย์ ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าคุ้มค่าที่จะคบหาด้วย ทว่าไม่คิดว่าเจ้าอายุยิ่งมากยิ่งไม่เอาถ่าน!”
คำพูดนี้มั่วชิเฉินพูดได้หนักมาก เฉินเจียวซิ่งกลับฟังอย่างไม่ขยับเขยื้อน
“ตามตรรกะของเจ้า เจ้าอยากให้ตนเองบำเพ็ญเพียรได้เร็วที่สุด เช่นนั้นคนที่บำเพ็ญเพียรเร็วกว่าเจ้าทั้งหมดต้องตายให้หมดถึงดีใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่เร็วที่สุดแล้ว? เช่นนี้น่าเกรงขามมากหรือ? เจ้าหวังให้คนที่เจ้าชอบชอบเจ้า เช่นนั้นเจ้าหวังให้หญิงสาวที่มีความคุกคามต่อเจ้าล้วนตายไปให้หมดใช่หรือไม่ เช่นนั้นล่ะก็ เขาก็จะชอบเจ้าแน่นอนเช่นนั้นหรือ? ต่อให้เขายอมรับเจ้า ในใจเจ้าก็จะไม่ตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าตกลงเขาชอบเจ้าจากใจจริง หรือว่าเพราะไม่มีทางเลือกจึงยอมประนีประนอม? บุพเพสันนิวาสเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่เจ้าอยากได้เช่นนั้นหรือ?” มั่วชิงเฉินถามอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
เฉินเจียวซิ่งส่ายศีรษะอย่างแรง “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้…ไม่ได้แทบอยากจะให้คนที่แข็งแกร่งกว่าข้าตายหมดเสียหน่อย…”
มั่วชิงเฉินหัวเราะนิ่งเรียบ “เช่นนี้แล้ว เจ้าก็เพียงแต่พุ่งเป้ามาที่ข้าแล้วสิ เห็นข้าบำเพ็ญเพียรเร็วกว่าเจ้าไม่ได้ เห็นข้าเป็นที่ต้อนรับกว่าเจ้าไม่ได้? เฉินเจียวซิ่ง ที่จริงในใจเจ้าดูถูกข้ามาตลอดสินะ ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าก้าวหน้าหนึ่งก้าว กลับทำให้เจ้าไม่พอใจ”
“ข้า ข้าเปล่า…” เฉินเจียวซิ่งพึมพำว่า
มั่วชิงเฉินจ้องเฉินเจียวซิ่งเขม็ง “เจ้าเป็น มิเช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่รังเกียจศิษย์พี่เยี่ย ไม่รังเกียจศิษย์พี่มั่ว เพราะว่าตั้งแต่แรกเจ้าก็รู้ว่าพวกเขาพรสวรรค์ดี ฐานะดี ดังนั้นที่พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าเป็นเรื่องที่พึงจะต้องเป็นเช่นนั้นถูกหรือไม่?”
ในที่สุดเฉินเจียวซิ่งก็ร้องไห้โฮเสียงหลงขึ้นมา “ข้าไม่รู้ ไม่รู้…”
เหตุใดในคำพูดของมั่วชิงเฉิน ตนเองถึงสุดที่จะรับได้เพียงนั้น ที่ยิ่งน่ากลัวคือไม่คิดเลยว่าในใจตนเองจะรู้สึกว่าสิ่งที่นางพูดมีเหตุผล?
มั่วชิงเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เฉินเจียวซิ่ง เจ้าสร้างรากฐานสองครั้งไม่สำเร็จ ไม่ลองสงบใจลงมาลองคิดดีๆ คนที่เดิมทีแข็งแกร่งกว่าเจ้าบำเพ็ญเพียรเร็วเจ้ารู้สึกว่าเป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้ คนที่เดิมทีสู้เจ้าไม่ได้บำเพ็ญเพียรเร็วเจ้าดูแล้วขัดหูขัดตา นี่ยังเป็นเจ้าคนเดิมอยู่หรือไม่?”
เฉินเจียวซิ่งชะงักอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดอย่างหนัก
มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดขึ้นเรือเล็ก ทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายไว้ “พี่เสี่ยวซย่าเคยบอกข้าว่า ได้รู้จักกับศิษย์พี่น้อยที่น่ารักมากคนหนึ่งที่เขาต้วนจิน เขาชอบมาก ไม่รู้คนที่เขาพูดถึงคนนั้น จะยังกลับมาได้หรือไม่”
เฉินเจียวซิ่งเหม่อมองเงาหลังที่ไกลออกไปของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็นั่งยองๆ ลงปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมา
มั่วชิงเฉินบังคับเรือเล็กบินไปที่เขาชิงมู่ นางรู้สึกเหนื่อยมาก เดิมทีความปีติเต็มหัวใจที่ได้กลับมาถึงสำนัก ทว่าเพียงสั้นๆ วันเดียว นางกลับรู้สึกว่าเหนื่อยกว่าการสู้กับอสูรทะเลตามลำพังในทะเลอันเวิ้งว้างอีก
กลับถึงเรือนไม้ไผ่ อสูรเสือพายุทะลุฟ้ากำลังนอนอ้าซ่า เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองพี่น้องคนหนึ่งหน้าคนหนึ่งหลังสางขนให้มันอยู่
ฝีมือของสองคนดีกว่ามั่วชิงเฉินมาก เสือยักษ์สบายจนส่งเสียงคราง
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป นั่งลงบนขั้นบันได ล้วงม้วนกระดาษหนังวัวที่คุณชายหกมอบให้พลิกดูขึ้นมา
ในคู่มือนี้บันทึกวิธีหมักสุราทิพย์ไว้น่าสนใจยิ่งนัก บัดนี้ตนนอกจากสงบใจบำเพ็ญเพียร ก็ช่วยพวกอาจารย์ไม่ได้อยู่ดี ยังไม่สู้ศึกษาวิธีหมักสุราทิพย์สองสามชนิด รออาจารย์ออกมาให้เขาลองลิ้มรสดู
มั่วชิงเฉินกำลังอ่านจนตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นรู้สึกว่าเขตหวงห้ามนอกป่าไผ่ถูกล่วงล้ำ เพียงครู่เดียวก็มียันต์ส่งสารส่งมาใบหนึ่ง
ยื่นมือรับมาดู ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนักพรตจื่อซีที่บอกว่าตนเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนักพรตเหอกวง
มั่วชิงเฉินจำได้ว่าอาจารย์เคยพูดถึง เจ้าหุบเขาเขาชิงมู่หลิวซางเจินจวินรับศิษย์ไว้หกคน ศิษย์เอกกลับเป็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่ง ก็คือนักพรตจื่อซี ยามเดียวกันก็เป็นศิษย์หญิงเพียงคนเดียวของหลิวซางเจินจวิน
ไม่กล้าชักช้า มั่วชิงเฉินรีบปลดเขตหวงห้ามออก ยังไม่ทันได้ไปต้อนรับ ก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งชุดขาวโบกพลิ้วเท้าเหยียบดอกบัวหยกลอยเข้ามาแล้ว
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าโชคดีที่เป็นกลางวันแสกๆ หากเป็นกลางคืนต้องตกใจสะดุ้งโหยงแน่ๆ
หญิงสาวชุดขาวร่อนลงพื้น ตาก็ตกไปบนหน้ามั่วชิงเฉิน
“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ลุงเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินคารวะ
หญิงสาวชุดขาวยื่นมือออก “รีบเข้ามา เจ้าก็คือศิษย์น้อยของศิษย์น้องเหอกวงหรือ?”
มั่วชิงเฉินคลำความคิดของนักพรตจื่อซีไม่ถูก จึงเดินเข้าไปอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมดอกบัวจางๆ สายหนึ่งลอยมา จึงแอบคิดว่านักพรตจื่อซีท่านนี้ช่างมีความรู้สึกเหมือนเซียนจริงๆ
ใครจะรู้ว่าคำพูดต่อมาของนักพรตจื่อซีจะทำให้มั่วชิงเฉินอยากเก็บความคิดเมื่อครู่กลับมาทันที “ศิษย์น้องเหอกวงใจแคบเหลือเกิน ตั้งแต่ที่รู้ว่าเขารับศิษย์ ข้าก็อยากดูว่าหน้าตาเป็นเช่นไร ทว่าทุกครั้งล้วนถูกเขาปฏิเสธไม่ให้เข้ามา ทีนี้ดีแล้ว ฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่ในที่สุดก็มั่วเข้ามาได้แล้ว ที่แท้ศิษย์น้อยที่ทำให้ศิษย์น้องที่เหมือนเทพเซียนของข้าผู้นั้นโกรธเกศาตั้ง ก็มีสองตาหนึ่งปากเหมือนทุกคนนี่นา”
ตอนที่ 192 แก้ปมพันๆ ปม
มั่วชิงเฉินได้แต่ฝืนยิ้ม คำพูดนี้จะให้นางรับเช่นไร หรือว่าจะให้ตนเห็นด้วยว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่พูดได้ถูกต้อง ศิษย์มีเพียงสองตาหนึ่งปาก”
คงจะดูออกว่ามั่วชิงเฉินอึดอัด นักพรตจื่อซีกระแอมว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่มาดูสักหน่อย ไม่ว่าเช่นไรเจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์หลานของข้านี่นา หากเผชิญหน้ากันแล้วไม่รู้จัก นั่นไม่กลายเป็นเรื่องตลกของนักบำเพ็ญเพียรเขาลูกอื่นหรอกหรือ”
มั่วชิงเฉินเห็นนักพรตจื่อซีท่าทางเหมือนยิ่งจะปกปิดก็ยิ่งเห็นได้เด่นชัด จึงแอบน่าขัน มิน่าอาจารย์ถึงไม่เคยกล้าปล่อยอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้เข้ามา นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ชอบเรื่องซุบซิบเช่นนี้เกรงว่าจะมีไม่มาก ไม่ทำให้อาจารย์ตกใจจนหนีหัวซุกหัวซุนถึงแปลก แต่ปากกลับเอ่ยอย่างน่าเอ็นดูว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก เดิมทีศิษย์ควรไปกราบคารวะท่านอาจารย์ลุงใหญ่แต่เนิ่นๆ ถึงจะถูก เพียงแต่ปีนั้นสร้างรากฐานอย่างรีบร้อน อาจารย์จึงสอนสั่งชิงเฉินอย่างเข้มงวด หากมีที่ที่เสียมารยาท ยังขอให้ท่านอาจารย์ลุงใหญ่อย่าได้ตำหนิเจ้าค่ะ”
พูดจนนักพรตจื่อซีสบายอุรา จึงถือโอกาสโยนของสิ่งหนึ่งให้มั่วชิงเฉิน
ของสิ่งนั้นมาทั้งเร็วทั้งรีบ เกิดแสงวิญญาณเป็นสายและลมพัดแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าแฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณของนักพรตจื่อซี มีเจตนาจะหยั่งเชิงมั่วชิงเฉิน
เข็มกล้วยไม้ปัดจุดที่มั่วชิงเฉินฝึกฝนสมัยเยาว์วัยแม้เป็นวรยุทธ์ของโลกฆราวาส สิ่งที่เน้นกลับเป็นการใช้จังหวะทำลายพลัง สี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]ตั้งแต่ยามที่ฝึกเคล็ดวิชานิ้วก็ได้รู้ถึงประโยชน์ของเข็มกล้วยไม้ปัดจุด หลายปีมานี้มั่วชิงเฉินจึงนำแก่นของมันค่อยๆ ผสานเข้าไปในการต่อสู้คาถา
ยามนี้เห็นของสิ่งหนึ่งบินมา ข้อมือของนางบิดและสะบัดด้วยองศาที่ประหลาด พลังวิญญาณเอ่อขึ้นมือรับของสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อจ้องดู ไม่คิดเลยว่าจะเป็นขวดหยกประณีตที่ประกายสุกใสฉ่ำวาวใบหนึ่ง
นักพรตจื่อซี ‘เอ๊ะ’ เสียงหนึ่ง ยักคิ้วขึ้น แม้นางใช้พลังวิญญาณเพียงสองส่วน พลังที่มาพร้อมขวดหยกก็ไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งจะรับได้ การกระทำเช่นนี้เพียงแต่อยากดูจากปฏิกิริยาของมั่วชิงเฉินว่านางมีความตระหนักในการต่อสู้กี่ส่วนเท่านั้นเอง
“นางหนูน้อย ก็พอมีฝีมือนี่นา” นักพรตจื่อซีชมว่า
มั่วชิงเฉินรีบเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ชมเกินไปแล้ว ศิษย์เพียงแต่เลือกวิธีที่ง่ายเท่านั้น”
นักพรตจื่อซีกลับยิ่งทำตัวสนิทสนมขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อที่ขาวดั่งหิมะแล้วนั่งลง เอียงศีรษะเล็กน้อยว่า “นางหนูน้อย เหตุใดศิษย์น้องเหอกวงถึงต้องตาเจ้าล่ะ?”
มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตัก โคนหูแดงเรื่อ จากนั้นรู้ว่าตนคิดมากไปแล้ว แอบอารมณ์เสียว่าเหตุใดเมื่อเกี่ยวข้องกับเขา ตนก็จิตใจว้าวุ่น จึงรีบเอ่ยว่า “อาจารย์ท่าน…ท่าน…”
‘ท่าน’ อยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่ได้อะไรออกมา
นักพรตจื่อซีดูแล้วอายุเพียงแค่ยี่สิบเศษ ความจริงเป็นปีศาจเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว มีเรื่องอะไรที่ไม่เคยพบบ้าง การเปลี่ยนแปลงอันอัศจรรย์ของมั่วชิงเฉินนี้ย่อมปิดนางไม่มิด ไฟการซุบซิบในดวงตาก็ลุกโชนขึ้นมาทันที สีหน้าฉายแววครุ่นคิด
นางหนูนี่ดูแล้ว ดูเหมือนมีความคิดอื่นต่อศิษย์น้องเหอกวงนะ…
“เอาล่ะ ข้าไม่ได้มาสืบสวนเสียหน่อย นางหนูน้อยเจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นเช่นนั้น เจ้าเพิ่งกลับเข้าสำนักก็บำเพ็ญเพียรเงียบๆ สักพักเถอะ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอาจารย์เจ้าเกินไป คิดว่าอีกไม่นานเขาก็กลับมาแล้ว เท่านี้แหละ ข้ากลับก่อนแล้ว” นักพรตจื่อซียิ้มบางเบา เมื่อพูดจบก็เท้าเหยียบดอกบัวหยกบินไปทางป่าไผ่
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่…” มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น “ขวดหยกของท่าน”
นักพรตจื่อซีหันมาแย้มหนึ่งยิ้ม “เดิมทีข้าบังเอิญได้มาคิดจะมอบให้ศิษย์น้องเหอกวง ในเมื่อพักนี้เขาไม่อยู่ ก็มอบให้เจ้าแล้วกัน ข้าได้ยินมาว่าปีนั้นยามที่เจ้ายังไม่ได้ลงเขา สุราของศิษย์น้องเหอกวงเจ้าเป็นคนหมักเองกับมือทั้งหมด ขวดหยกนี้ให้เจ้าก็นับว่าไม่เสียเปล่า ฮึ กลับเป็นศิษย์น้องเหอกวงสิก็ใจแคบเหลือเกิน ไม่ให้ข้ามาเยี่ยมก็ช่างเถอะ ของสุราเขาดื่มสักขวดก็ไม่ให้ สมน้ำหน้าที่ต้องไปลิ้มลองรสชาติการสำนึกผิด!”
มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะ นางกล้ายืนยัน ปกติอาจารย์ต้องเคารพรักอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้อยู่ห่างๆ เป็นแน่ ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ลุงใหญ่เคยทำอะไรไว้ถึงทำให้อาจารย์ที่เผชิญกับปัญหาก็ไม่เคยเกรงกลัวต้องกลัวถึงเพียงนี้
“เจ้าหัวเราะอะไร?” นักพรตจื่อซีขมวดคิ้ว
มั่วชิงเฉินเป็นคนหัวไวเพียงใด เห็นท่ารีบเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่เป็นกันเองเช่นนี้ อาจารย์ทำเช่นนี้แม้ศิษย์ไม่ควรพูดอะไรมาก กลับยินยอมแบ่งสุราทิพย์ที่หมักขึ้นมาใหม่ครึ่งหนึ่งมอบให้ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ลิ้มลอง หวังว่าท่านอาจารย์ลุงใหญ่จะไม่รังเกียจ หากดื่มแล้วรู้สึกดี ก็อย่ากล่าวโทษอาจารย์อีกเลย” พูดถึงตรงนี้ขยิบตาว่า “เดิมทีสุรานี้เตรียมไว้เพื่ออาจารย์…”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วนักพรตจื่อซีหน้าตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โบกแขนเสื้อทีหนึ่งเก็บขวดน้ำเต้าสุราหลายใบที่มั่วชิงเฉินหยิบออกมา ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นได้อีกว่า “ใช่แล้ว นางหนูน้อยเจ้าชื่ออะไรนะ?”
มั่วชิงเฉินไม่ค่อยอยากเชื่อว่าอาจารย์ลุงใหญ่ท่านนี้ตั้งตาเร่งรุดมาเพื่อดูหน้าตาของตน กลับไม่รู้ชื่อของตน แต่ปากยังคงเอ่ยว่า “ชิงเฉิน ศิษย์ชื่อมั่วชิงเฉินเจ้าค่ะ”
“ชิงเฉิน? ก็เป็นชื่อที่ดี มีความหมายอะไรหรือไม่?” นักพรตจื่อซีถามเหมือนไม่ตั้งใจ
มั่วชิงเฉินไม่ได้คิดมาก หลุดปากออกมาว่า “ปีนั้นท่านผู้อาวุโสในตระกูลประทานชื่อให้ศิษย์ ถือเอาความหมายจากบทกลอน ‘สีสะอาดไม่เปื้อนฝุ่น แสงกระจ่างจันทร์นวลผ่อง’
“หึๆ นี้แม้มาจากกลอนของบุคคลต่างกันแต่ก็ไพเราะงดงามเหมือนๆ กันกับสมญาของศิษย์น้องเหอกวง มิน่าพวกเจ้ามีวาสนาได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน…” นักพรตจื่อซีเหยียบดอกบัวหยกบินไปไกล เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะดุจกระพรวนเงิน
มั่วชิงเฉินเหลอหลาอยู่ที่เดิม รู้สึกเพียงว่าตกใจอกสั่นขวัญหาย นักพรตจื่อซีพูดเช่นนี้ตกลงมีความหมายอะไรกันแน่ เป็นการกระทำอันไม่ตั้งใจหรือว่าเจตนาหมายถึงสิ่งใด?
ชั่วเวลาหนึ่งนางรู้สึกเพียงว่าหน้าร้อนผ่าว วิ่งทะยานไปในน้ำตกหนาวเย็นด้านหลังเรือนไม้ไผ่ จนกระทั่งน้ำเย็นรดลงเหนือศีรษะ ถึงกลับคืนสู่ความสงบ
อีกด้านหนึ่ง นักพรตจื่อซีฮัมเพลงพลาง เท้าเหยียบดอกบัวบินอย่างเอื่อยเฉื่อย ทว่าทิศทางกลับไม่ใช่ยอดเขารองของตน กลับบินไปสู่ยอดเขาหลัก
ตำหนักในยอดเขาหลัก ผู้ชายเกล้าผมทรงนักพรตเต๋า ไว้หนวดยาว ดูแล้วอายุสามสิบกว่าปีนั่งอ้าซ่าพิงอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ มือถือขวดน้ำเต้าใบใหญ่ ดื่มสุราทีละอึกๆ สาวใช้สองคนคุกเขาอยู่ข้างๆ กำลังปอกองุ่นอยู่
นักพรตจื่อซีเข้าตำหนักเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ จึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่วิ่งเข้าไป ดึงแขนเสื้อกว้างของผู้ชายเหมือนดั่งเด็กสาวแล้วเรียกอาจารย์เสียงหนึ่ง
ชายคนนี้ก็คือเจ้าหุบเขาแห่งเขาชิงมู่หลิวซางเจินจวิน
หลิวซางเจินจวินเห็นนักพรตจื่อซีเข้ามา จึงโบกแขนเสื้อ สาวใช้สองคนถอยออกไปเงียบๆ
“จื่อซี อาจารย์บอกกี่ครั้งแล้ว บัดนี้เจ้าก็อายุมากไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่าดึงแขนเสื้ออาจารย์ดังเช่นยามห้าขวบอีกจะได้หรือไม่?” หลิวซางเจินจวินลูบหนวดพลางเอ่ย
นักพรตจื่อซีแบะปากอย่างน้อยใจ “อาจารย์ ไม่ว่าจื่อซีจะอายุมากเพียงใดก็ยังเป็นศิษย์ของท่านนะเจ้าคะ หรือว่า ท่านรับศิษย์อีกห้าคนแล้วก็ไม่อยากได้จื่อซีแล้ว?”
หลิวซางเจินจวินหัวคิ้วกระตุก รู้สึกเสียใจภายหลังอีกครั้งที่ปีนั้นเลอะเลือนชั่วครู่รับศิษย์หญิงมาคนหนึ่ง จึงอดพูดด้วยความเห็นใจเต็มเปี่ยมไม่ได้ว่า “วันนี้เจ้าไปดูเด็กหญิงที่เหอกวงรับคนนั้นแล้ว? เป็นเช่นไร?”
“นางหนูน้อยนั่นดีทีเดียว สายตาศิษย์น้องเหอกวงไม่เลว” พูดถึงตรงนี้นักพรตจื่อซีได้สติกลับมา โมโหว่า “อาจารย์ นี่ท่านหมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ!”
หลิวซางเจินจวินหัวเราะแห้งๆ สองเสียงว่า “ไม่เลวก็ดีแล้ว อีกสามวันในสำนักจะจัดพิธีฉลองเลื่อนขั้นให้อาจารย์ จะได้ดูศิษย์ของเหอกวงพอดี”
นักพรตจื่อซีชะงัก “อาจารย์ ท่านยอมจัดพิธีฉลองเลื่อนขั้นแล้วหรือเจ้าคะ?”
หลิวซางเจินจวินหัวเราะแหะๆ “แน่นอน ศิษย์พี่โส่วเต๋อจะหัวโบราณเพียงใด ก็ต้องดูว่าเวลาอะไรล่ะนะ”
ในสำนักที่ค่อนข้างอึกเกริกก็คือพิธีฉลองก่อแก่นปราณและพิธีฉลองก่อกำเนิด พิธีฉลองก่อแก่นปราณทั้งสำนักต้องเข้าร่วม หากคนในตระกูลของนักบำพ็ญเพียรคนนั้นยังอยู่ ก็จะเชื้อเชิญมาร่วมพิธีเช่นกัน พิธีฉลองก่อกำเนิดยิ่งอึกเกริกขึ้น ไม่เพียงฉลองพร้อมกันทั้งสำนัก ยังเชื้อเชิญนักบำเพ็ญเพียรสายเดียวกันร่วมพิธี นี่ก็เท่ากับเป็นการประกาศต่อทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ว่าสำนักนั้นๆ ได้กำเนิดนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดใหม่ขึ้นท่านหนึ่ง พลังความสามารถของสำนักก็เลื่อนทะยานสูงขึ้น
หลังจากนักบำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด การเลื่อนขั้นเล็กแต่ละขั้นล้วนลำบากแสนเข็ญ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่เขตแดนสูงกว่าเพียงขั้นเล็กๆ พลังความสามารถจะสูงกว่ามากมาย ดังนั้นการเลื่อนขั้นเล็กก็จะจัดพิธีฉลองเช่นกัน เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมทั้งสำนักก็ได้
หลิวซางเจินจวินจึงใช้เรื่องนี้เป็นเหตุ เรียกร้องให้ผู้เฒ่าไท่ซ่างปล่อยนักพรตเหอกวงออกมา มิเช่นนั้นขาดศิษย์เข้าร่วมพิธีไปคนหนึ่ง เขาก็ไม่จัดงานแล้ว
ก็เป็นเช่นนี้ หลิวซางเจินจวินและผู้เฒ่าไท่ซ่างโส่วเต๋อเจินจวินยื้อกันอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายจบลงด้วยการประนีประนอมของโส่วเต๋อเจินจวิน
“จื่อซี หลายปีมานี้อาจารย์กักตนตลอดมา หลังจากออกมาถึงรู้ว่าเหอกวงเลื่อนขั้นเข้าระยะกลางแล้ว เจ้ารู้มูลเหตุในนี้หรือไม่?” หลิวซางเจินจวินเปลี่ยนหัวข้อทันที
นักพรตจื่อซีส่ายศีรษะ “จื่อซีไม่ทราบ หลังจากเรื่องนั้นในปีนั้น ศิษย์น้องเหอกวงก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับศิษย์เจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนี้หรือ?” หลิวซางเจินจวินนิ้วมือเคาะขวดน้ำเต้าม่วงที่เป็นประกายแวววาว จู่ๆ ก็ถามว่า “เหตุใดเขาถึงคิดขึ้นได้ว่าจะรับศิษย์นะ?”
นักพรตจื่อซียังคงส่ายหน้า “เรื่องที่ศิษย์น้องเหอกวงรับศิษย์ ทำให้ศิษย์ในสำนักต่างตกใจกันถ้วนหน้า ที่พูดกันมากที่สุดก็คือเพราะว่าเด็กสาวคนนั้นอายุยี่สิบสองปีสร้างรากฐาน ศิษย์น้องเหอกวงจึงเกิดใจทะนุถนอมคนเก่งขึ้นมา”
หลิวซางเจินจวินแบะปาก “อายุยี่สิบสองปีสร้างรากฐานอย่าว่าแต่ที่เหยากวง ต่อให้มองไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหยวน ก็เป็นอัจฉริยะแห่งยุค เพียงแต่เหอกวง เขาไม่ใช่คนให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้”
“อาจารย์ ท่านว่า…ศิษย์น้องเหอกวงสามารถเลื่อนขั้น เพราะปมในใจในปีนั้นแก้ออกแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” นักพรตจื่อซีถามอย่างระมัดระวัง
หลิวซางเจินจวินถอนใจอย่างหายาก ศิษย์ของตนเอง เหตุใดถึงมีแต่คนมีปัญหานะ
“อาจารย์ ปีนั้นท่านพูดว่า รากวิญญาณ ความตระหนัก และนิสัยของศิษย์น้องเหอกวงล้วนเป็นขั้นสุดยอด เพียงแต่การบำเพ็ญเพียรราบรื่นเกินไป ขาดการฝึกตนในโลกฆราวาส เกรงว่ายากจะผ่านเคราะห์รักมิใช่หรือเจ้าคะ?” นักพรตจื่อซีถามอีก
หลิวซางเจินจวินสีหน้าจริงจังว่า “จื่อซี ตกลงเจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
ท่าทางโคนหูแดงเรื่อของสาวน้อยผู้งดงามสดใสแวบผ่านสมองของนักพรตจื่อซี ปากกลับเอ่ยว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ ความหมายของจื่อซีคือ หลายปีมานี้ศิษย์น้องเหอกวงน้อยนักที่จะอยู่ในสำนัก ไปสถานที่ต่างๆ มาไม่น้อย ต่อมารับศิษย์ไว้อีก ไม่แน่ปมในใจนั่นอาจแก้ออกโดยไม่ทันรู้ตัวก็เป็นได้”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ” หลิวซางเจินจวินลูบหนวด สายตามองออกไปไกล
ยอดเขารองที่นักพรตเหอกวงแห่งเขาชิงมู่พำนักอยู่ สองวันนี้มั่วชิงเฉินนำสาวใช้สองคนปัดกวาดอย่างตั้งใจรอบหนึ่ง รอเก็บกวาดทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบแล้ว ถึงเรียกเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งเข้ามา ทดสอบรากวิญญาณของพวกนาง
ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้ทดสอบก็เกิดประหลาดใจ พี่น้องสองคนล้วนมีสามรากวิญญาณ เพียงแต่เหลียงเฉินรากวิญญาณธาตุไฟในสามรากวิญญาณโดดเด่นเป็นพิเศษ เหม่ยจิ่งรากวิญญาณน้ำโดดเด่น
มั่วชิงเฉินอดเกิดความคิดขึ้นมาไม่ได้ เดิมทีรับพี่น้องคู่นี้ไว้ เพียงแค่คิดจะให้โอกาสรอดสายหนึ่งแก่พวกนาง ถึงเวลาคอยดูแลที่พำนักและเรื่องจิปาถะแทนตนเท่านั้น กลับไม่คิดว่ารากวิญญาณพวกนางยังนับว่าใช้ได้ อีกทั้งต่างมีส่วนที่โดดเด่นต่างกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากฟูมฟักได้ดี ตนก็ไม่ต้องยุ่งยากเพราะตนไม่สะดวกเสกคาถาธาตุไฟต่อหน้าผู้อื่นและเสกคาถาธาตุน้ำได้ยากเพราะไม่มีรากวิญญาณน้ำแล้ว
“พวกเจ้ารอสักครู่” มั่วชิงเฉินลุกขึ้นยืนคิดจะไปหอไผ่หาวิชายุทธ์ที่เหมาะกับพี่น้องสองสาว กลับต้องชะงักอยู่ตรงนั้น
ไม่ไกลนัก ไม่รู้มีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร ชุดเทาพลิ้วไหว ยืนอมยิ้มอยู่
——
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า
ตอนที่ 193 มักกลุ้มเพราะไร้รัก
มั่วชิงเฉินมองคนคนนั้นอย่างงงงัน รอยยิ้มของเขายังคงอ่อนโยนสำรวมเช่นนั้น คนกลับผ่ายผอมลงกว่าเดิม
“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินพึมพำพลาง ขยับร่างกาย
ทว่าต่อจากนั้นก็เห็นเงาสีเหลืองดำสายหนึ่งควบไปเร็วดุจสายฟ้า กระแสอากาศที่กระเพื่อมขึ้นเกือบพัดมั่วชิงเฉินล้มลงกับพื้น
“เจ้านาย~~~~” อสูรเสือพายุทะลุฟ้าเปล่งเสียงออดอ้อนหวานจนเลี่ยน กอดกู้หลีเข้าเต็มๆ
กู้หลีตบหัวเสือของอสูรเสือพายุทะลุฟ้าเบาๆ เดินเข้ามาหามั่วชิงเฉินทีละก้าวๆ อสูรเสือพายุทะลุฟ้ากลับจับไว้แน่นไม่ปล่อย แขวนอยู่บนร่างกู้หลีแกว่งไปแกว่งมา
“ต้าฮวา…” ในที่สุดกู้หลีก็เรียกอย่างจำใจ
อสูรเสือพายุทะลุฟ้าถึงได้ปล่อยกรงเล็บอย่างน้อยใจ ตามอยู่หลังกู้หลีทุกฝีก้าว ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินเหมือนเตือน
ในสายตามั่วชิงเฉินกลับมีเพียงผู้ชายที่เดินมาหานาง
“ชิงเฉิน ข้ากลับมาแล้ว” กู้หลีมองดูศิษย์ที่ชะงักงันอยู่ อดหัวเราะไม่ได้
รอยยิ้มนั้นอบอุ่นสะอาด ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปน จู่ๆ ในใจมั่วชิงเฉินก็เกิดหวาดหวั่นขึ้นมา คำพูดมากมายติดอยู่ที่คอหอย ในที่สุดเพียงเรียกออกมาเบาๆ ว่า “อาจารย์”
กู้หลีตบไหล่มั่วชิงเฉิน “เพียงแค่ห้าปี เจ้าก็เลื่อนขั้นถึงระยะกลางแล้ว ช่างเหนือความคาดหมายของอาจารย์ มา เล่าสิ่งที่เจ้าประสบมาในหลายปีนี้ให้อาจารย์ฟังหน่อย” พูดพลางตวัดชายเสื้อขึ้น นั่งลงบนขั้นบันได
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียง ‘อาจารย์’ สองคำช่างทิ่มแทงหูเหลือเกิน ดันคนคนนั้นยังมองนางอย่างอ่อนโยนสงบ จึงอดกัดริมฝีปากล่างไม่ได้ว่า “อาจารย์ ท่านไม่มีอะไรจะพูดกับชิงเฉินหรือเจ้าคะ?”
กู้หลีชะงัก
มั่วชิงเฉินกัดฟัน แข็งใจว่า “อาจารย์ ท่านลงเขาไปหาข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
กู้หลีหรี่ตาขึ้นแผ่วเบา นิ้วมือเรียวยาวสางผ่านขนสีทองของอสูรเสือพายุทะลุฟ้า
“อาจารย์ ท่านไปนิกายเหอฮวนใช่หรือไม่เจ้าคะ ยัง…ยังฆ่านักบำเพ็ญเพียรที่ให้ร้ายชิงเฉินในยามนั้น?” มั่วชิงเฉินไม่เคยรู้สึกว่าการพูดลำบากได้ถึงเพียงนี้ แก้มร้อนผ่าวเป็นระลอก
“ชิงเฉิน เจ้าอยากพูดอะไร?” กู้หลีรู้สึกเพียงว่าไม่พบกันห้าปี ตนยิ่งไม่เข้าใจจิตใจของศิษย์ตัวน้อยแล้ว
มองดูแววตาที่กระจ่างทะลุปรุโปร่งของกู้หลี มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความสิ้นหวังอย่างไร้สาเหตุ ทว่าวันนี้หากนางไม่ถามให้รู้เรื่อง วันหลังเกรงว่าคงไม่มีความกล้าอีกแล้ว จึงสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่งว่า “อาจารย์ ท่าน…ไยท่านถึงดีกับชิงเฉินถึงเพียงนี้เจ้าคะ?”
กู้หลียิ้มแล้ว ในดวงตามีแสงดาวระยิบระยับ สิ่งที่หลั่งไหลออกมากลับเป็นความเอ็นดูที่ตนก็ไม่รู้ “เด็กโง่ ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้านะสิ”
“เพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ?” สีหน้ามั่วชิงเฉินค่อยๆ ซีดลง เม้มริมฝีปากแน่นมองตากู้หลีอย่างไม่ขยับเขยื้อน
ทันใดนั้นกู้หลีก็ถูกตาคู่นั้นมองจนใจเต้น นึกอะไรขึ้นได้รางๆ กลับรีบกดความคิดเหลวไหลนั่นลงไปทันที เสียงเย็นชาขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว “ชิงเฉิน ข้าเพิ่งออกมาจากโถงลงทัณฑ์ มีเรื่องบางอย่างต้องสะสางสักหน่อย รอวันหลัง เราศิษย์อาจารย์ค่อยคุยกันดีๆ แล้วกัน” พูดจบเม้มปาก เดินไปทางเรือนไม้ไผ่
มั่วชิงเฉินเหมือนถูกรดน้ำเย็นกะละมังหนึ่งลงเหนือศีรษะ รดจนนางรู้สึกหนาวใจ มองเงาหลังที่สันโดษนั้นแล้วกัดปาก ถึงไม่ได้ให้น้ำตาไหลลงมา
นางเหลือบมองเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งที่งงงันมาตลอดปราดหนึ่ง ถึงหนีหัวซุกหัวซุนไปน้ำตกหลังเขา ถือกระบี่ไม้ชิงมู่ร่ายเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เหม่ยจิ่ง คุณหนูนาง นางใช่…” เหลียงเฉินแม้ปากไวใจเร็ว กลับไม่ขาดความละเอียดอ่อนของสาวน้อย
เหม่ยจิ่งถลึงตาใส่เหลียงเฉินปราดหนึ่ง “เหลียงเฉิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราควรกังวล วันนี้งานในสวนสมุนไพรยังทำไม่เสร็จ ไปเถอะ”
เหลียงเฉินตามเหม่ยจิ่งเดินไปทางสวนสมุนไพร ลังเลอยู่ครึ่งค่อนวันยังคงทนไม่ไหวว่า “ข้ารู้สึกเสมอมาว่าคุณหนูเป็นบุตรที่ได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ บัดนี้ถึงพบว่าคุณหนูก็มีสิ่งที่ทุกข์ใจเช่นกัน…”
“อุปายาส พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ในโลกนี้มีใครที่สามารถหลุดพ้นได้อย่างแท้จริงล่ะ?” เหม่ยจิ่งถอนใจเบาๆ ใช้จอบยากำจัดวัชพืชขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
เขาไม่เข้าใจจิตใจของตนจริงๆ หรือแกล้งไม่รู้?
มั่วชิงเฉินรำกระบี่พลาง ถูกความถามนี้รบกวนจนใจเจ็บจี๊ดเป็นระลอก
หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ..
มั่วชิงเฉินร่ายเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ไม่หยุดท่ามกลางน้ำตกที่หนาวเย็น พลังวิญญาณในร่างกายหลั่งไหลออกอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับมีความรู้สึกสะใจอย่างพูดไม่ถูก
ท่านปู่พูดได้ถูกต้อง ความรักเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของนักบำเพ็ญเพียรหญิงจริงๆ นางอดนึกถึงคำสอนของมั่วต้าเหนียนเมื่อนานมากแล้วไม่ได้
ตามการร่ายรำกระบี่รอบแล้วรอบเล่า มั่วชิงเฉินค่อยๆ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คนและกระบี่รวมเป็นหนึ่งเดียว ราวกับในมือตนไม่ได้ถือกระบี่ หากแต่กระบี่และมือสายเลือดและชีพจรเชื่อมกัน กระบี่ก็คือมือ มือก็คือกระบี่
ความรู้สึกมหัศจรรย์เช่นนี้ทำให้มั่วชิงเฉินลืมสิ้นทุกสิ่ง สมองขาวโพลนไปหมด เคล็ดกระบี่กลับร่ายไปอย่างไม่รู้สึกตัว การเชื่อมต่อกันระหว่างกระบวนท่าแต่เดิม ความรู้สึกติดขัดเช่นนั้นหายไปไม่เหลือหลอ
หากมีคนอยู่ก็จะเห็นได้ว่า มั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่กลางน้ำตกร่ายรำกระบี่ไหลลื่นดั่งสายน้ำ ราวกับกลายเป็นร่างเดียวกับน้ำตก
ความตระหนักของมั่วชิงเฉินค่อยๆ ว่างเปล่าทันใดนั้นรู้สึกได้ถึงกระบี่ไม้ในมือส่งเสียงครวญเบาๆ ต่อจากนั้นก็เห็นแสงสีเขียวเจิดจ้า ตรงหน้าปรากฏม่านฟ้าสีเขียวขึ้นผืนหนึ่ง
หลังจากนั้น ม่านฟ้าผืนนั้นแตกออกเป็นแสงวิญญาณละเอียดยิบยับในทันใด มั่วชิงเฉินที่ผลาญพลังวิญญาณในร่างจนสิ้นถูกกระแสน้ำไหลแรงของน้ำตกซัดจนขาอ่อนล้มลง
ในชั่วพริบตาที่มั่วชิงเฉินล้มลงรู้สึกได้ว่าหล่นเข้าไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นแห้งกร้าน กลิ่นอายสดชื่นที่ปนด้วยกลิ่นหอมสุราอ่อนๆ ถาโถมเข้ามา
“อาจารย์” มั่วชิงเฉินยื่นมือออก กอดเอวกู้หลีไว้เบาๆ
กู้หลีร่างกายแข็งทื่อ ก้มหน้ามองมั่วชิงเฉิน หญิงสาวในอ้อมกอดผมข้างหน้าเปียกปอนด้วยน้ำ เผยให้เห็นดวงตาดอกท้อสดใสอย่างชัดเจน นัยน์ตามีประกายที่ทำให้เขาไม่กล้าจ้องมอง
กู้หลีรีบวางมั่วชิงเฉินไว้บนเตียง เอ่ยต่ำๆ ว่า “พักผ่อนดีๆ” พูดจบก็รีบจากไปดุจลม
“มั่วชิงเฉิน เจ้ามันโง่ ใครให้เจ้าถลำเข้าไปทั้งตัว ยังจะดึงคนเขาถามให้รู้เรื่องให้ได้อย่างไร้ยางอาย” มั่วชิงเฉินหยิกหน้าตนเองอย่างแรงทีหนึ่ง พลิกมือหยิบขวดน้ำเต้าสุราออกมาใบหนึ่งแหงนหน้าดื่มขึ้นมา
“ดื่มหมดแล้ว?” มั่วชิงเฉินเขย่าขวดน้ำเต้าสุรา โยนขวดน้ำเต้าเปล่าไว้บนพื้น แล้วหยิบขวดน้ำเต้าออกมาอีกใบหนึ่งดื่มต่อ
ไม่นานนัก บนพื้นก็กองขวดน้ำเต้าไว้สิบกว่าใบ
“ปิดประตู จันทร์เย็นกลับถิ่นเก่า
เพ่งมองไป หญ้าเ**่ยวเฉากลางหมอกควัน
หมอกควันเปลวไฟหนึ่งอึก ดื่มไม่สิ้น ร้อนรุ่มในคอความทรงจำช่วงใด
…
มองหิมะหมื่นลี้ ซ่อนชุดเขียว
คนละฟากฟ้า ไม่หวังการพบเจอ
สาดสุราเซ่นไหว้ เมาถามฟ้าดิน
…”
มั่วชิงเฉินร้องเพลงที่ไม่รู้ได้ยินโดยบังเอิญจากชาติไหนขึ้นมาเบาๆ รู้สึกเพียงวิงเวียนศีรษะ
“เฮ้ย เฮ้ย อย่าร้องอีกเลย”
“ใคร?” มั่วชิงเฉินถามด้วยสายตาเมามาย
อีกาไฟในถุงอสูรวิญญาณร้องแว้ดๆ สองที “ข้าน่ะสิ เจ้าอย่าดื่มคนเดียวเลย อย่างไรก็เหลือให้ข้าบ้างเถอะ?”
มั่วชิงเฉินปล่อยอีกาไฟออกมา ยื่นขวดน้ำเต้าสุราใบหนึ่งข้ามไป “เจ้าพูดได้ถูกต้อง สุราก็ควรดื่มสองคน เอื้อก ผิดแล้ว มีอีกาดื่มเป็นเพื่อน ก็ดีกว่าคนเดียวอยู่ดี”
อีกาไฟค้อนมั่วชิงเฉินควักใหญ่ “ข้าว่า วันนี้เจ้าไม่ได้ไม่สบายนะ?”
มั่วชิงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นเสียงหนึ่ง “อู๋เย่ว์ วันนี้ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า ข้า…ในใจข้าทรมานเหลือเกิน…”
อีกาไฟหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “ดังนั้นข้าถึงว่าเจ้าไม่สบายไงล่ะ ก็เพียงเจ้าชอบอาจารย์เจ้าเขาไม่ชอบเจ้ามิใช่หรือ แล้วเป็นเช่นไรล่ะ เจ้าก็จะไม่อยู่แล้วเช่นนั้นหรือ ไม่บำเพ็ญเพียรแล้วเช่นนั้นหรือ? อาศัยสุราดับทุกข์ทั้งวันเช่นนั้นหรือ?”
มั่วชิงเฉินพึมพำว่า “ข้าเปล่า…เจ้า เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
อีกาไฟฮึเสียงเย็นชาว่า “เจ้านี่คือการดูถูกชัดๆ อีกาก็ไม่มีความรักหรือไร? นึกถึงปีนั้นแม่นางข้าถูกคนที่ชอบปฏิเสธรวดเดียวสิบกว่าคน ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างดีมิใช่หรือไร”
“สิบกว่าคน?” มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น ลืมตาดอกท้อเสียกว้างมองอีกาไฟอย่างแปลกใจ
อีกาไฟเอียงหัวไปข้างๆ “สิบกว่าคนแปลกอะไร แม่นางข้าชอบเขาคนหนึ่ง เขาไม่สนใจ ผ่านไปพักหนึ่งก็ชอบอีกคนหนึ่งน่ะสิ ปีนั้นหากไม่ใช่เจ้าพาข้าออกจากหุบเขาโยวเล่อ ข้าคิดว่า อย่างไรก็ต้องมีคนชอบข้าสักคนแหละ ฮึ!”
“หึๆ เจ้าก็คิดตกดีนะ” มั่วชิงเฉินหัวเราะต่ำๆ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมากโข
อีกาไฟทำตาเหลือก “นี่ยังต้องคิดหรือ เจ้าชอบคนไหนเป็นเรื่องของเจ้า คนเขาหากไม่ชอบเจ้า ก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด เจ้าร้องไห้งอแงเช่นนี้ให้ใครดูกัน?”
มั่วชิงเฉินกำขวดน้ำเต้าสุราไว้แน่น ตาโค้งขึ้น “ข้าต้องฝันอยู่แน่ๆ ไม่คิดว่าจะถูกอีกาตัวหนึ่งสั่งสอนเสียแล้ว หึๆ ทว่าเจ้าพูดได้ถูกต้อง ข้าชอบใคร เดิมทีก็เป็นเรื่องของข้าเองอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น เหตุใดถึงเลอะเลือนชั่วขณะ เหตุผลพื้นๆ เช่นนี้ก็ลืมเสียได้ วันนี้ข้าไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ…”
“จู้จี้!” อีกาไฟเบิ่งตาใส่มั่วชิงเฉินที่เอนอยู่บนเตียงปราดหนึ่ง ปีกสองข้างกอบขวดน้ำเต้าสุราแล้วดื่มเอื้อกๆ ขึ้นมา
วันที่สอง มั่วชิงเฉินตื่นมา รู้สึกเพียงว่าปวดศีรษะแทบแตก จึงออกแรงนวดขมับแล้วว่า “ที่แท้เมาสุรามันทรมานเช่นนี้นี่เอง”
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินเดินออกจากห้อง เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งทักทาย
มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า กวาดสายตามองไป
“คุณหนู ท่านรอสักครู่” เหลียงเฉินกุลีกุจอวิ่งไปห้องครัวเล็กจากนั้นยกถาดรองวิ่งกลับมา ยิ้มว่า “นี่เป็นอาหารเช้าที่นักพรตทำไว้ สั่งให้พวกเรารอท่านตื่นแล้วยกให้ท่านรับประทานเจ้าค่ะ”
พูดจบพี่น้องสองคนแอบเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน กลับเห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าไม่เปลี่ยนแล้วยกโจ๊กขึ้นชามหนึ่ง พลางดื่มพลางถามว่า “อาจารย์ล่ะ?”
“นักพรตเพิ่งออกไปเจ้าค่ะ ดูเหมือนเร่งรีบมากทีเดียว” เหม่ยจิ่งเอ่ยอย่างลังเล
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “รู้แล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ วันนี้ข้าจะไปหาวิชายุทธ์ที่เหมาะให้พวกเจ้าบำเพ็ญเพียร” พูดจบกินโจ๊กอย่างช้าๆ
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งดีใจมากขึ้นมาทันที เอ่ยพร้อมกันว่า “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินยังกินโจ๊กไม่หมดชาม กู้หลีก็กลับมาแล้ว เห็นนางนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วหยุดชะงักทีหนึ่ง
มั่วชิงเฉินกลับแหงนหน้าขึ้น ยิ้มว่า “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ อาจารย์”
กู้หลีเม้มปาก ถึงเดินมาถึงข้างกายมั่วชิงเฉิน แล้วยื่นถุงเก็บวัตถุใบหนึ่งให้ว่า “เจ้าลองดูว่าชุดไหนเหมาะ?”
มั่วชิงเฉินรับมาอย่างสงสัย กวาดจิตตระหนักดู ไม่คิดว่าข้างในจะเก็บเสื้อผ้าเครื่องประดับไว้จนเต็ม จึงอดงงงันไม่ได้ว่า “อาจารย์?”
บนใบหน้ากู้หลีดูเหมือนฉายแววกระอักกระอ่วนแวบหนึ่ง “วันนี้อาจารย์ปู่เจ้าจัดพิธีฉลองการเลื่อนขั้น ขอเพียงเป็นศิษย์ของเขาชิงมู่ข้าทุกคนต่างสามารถแต่งตัวเต็มยศ…”
มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งขึ้น “อาจารย์ปู่จัดพิธีฉลองการเลื่อนขั้น? วันนี้?”
กู้หลีกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่ง พยักหน้า
“เช่นนั้นไยท่านไม่พูดให้เร็วกว่านี้?” มั่วชิงเฉินถามชัดถ้อยชัดคำ
กู้หลีชะงักทีหนึ่ง ครึ่งค่อนวันถึงหลุดออกมาสองคำ “ข้าลืม”
เห็นมั่วชิงเฉินหน้าบึ้งขึ้นกว่าเดิม รีบว่า “ชิงเฉิน เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขืนไม่ไปอีกเกรงว่าจะสายแล้ว ข้าจะไปเอาของเล็กน้อย” เพิ่งสิ้นเสียงก็แวบเข้าห้องตนเองไป
ตอนที่ 194 รวมตัวที่เขาโฮ่วเต๋อ
มั่วชิงเฉินมองเงาหลังสีเทานั่น แล้วยิ้มอย่างไร้เสียง ถือถุงเก็บวัตถุกลับเข้าห้องของตน
บัดนี้คือกลางฤดูร้อนพอดี เสื้อผ้าในถุงเก็บวัตถุล้วนทำจากผ้าไหมบางเบา พริบตาเดียวก็กองเต็มเตียงไปหมดเหมือนดอกไม้บานสะพรั่ง
มั่วชิงเฉินหยิบเสื้อเอียนหลัว[1]ลายดอกท้อกลางเมฆหมอกขึ้นมา แล้วมองดูกระโปรงเมฆสายรุ้งดอกเหมยที่อยู่ข้างๆ มุมปากกระตุกขึ้น อาจารย์เจ้าขา พรรคเหยากวงเราเป็นสำนักเต๋ามิใช่หรือ ท่านเลือกเสื้อผ้าพวกนี้ให้ข้า สามารถใส่ออกไปได้จริงๆ หรือ?
ฝังตัวคุ้ยในกองเสื้อผ้าครึ่งค่อนวัน ถึงพอกล้อมแกล้มรื้อเสื้อเอียนหลัวโปรยบุปผาสีขาวนวลได้ตัวหนึ่ง จับคู่กับกระโปรงสีมรกตอ่อนๆ
มั่วชิงเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แล้วส่องกระจกเกล้าผมทรงมองจันทร์ห่วงคู่อย่างคล่องแคล่ว ทั้งน่ารักอีกทั้งไม่ขาดความสุภาพ
ส่องกระจกดู มั่วชิงเฉินรู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ ไม่รู้ว่าแต่งตัวเต็มยศที่อาจารย์เอ่ยถึงตกลงเต็มถึงระดับใดกันแน่ หากคนอื่นล้วนใส่ชุดคลุมเต๋าเรียบง่าย ตนแต่งตัวเช่นนี้ก็คือโดดเด่นอยู่คนเดียวนะ ทว่าหากเป็นความหมายตามตัวอักษรดังที่ตนเข้าใจ การแต่งตัวเช่นนี้ก็ราบเรียบเกินไปอีก
คิดๆ แล้ว มั่วชิงเฉินเสียบดอกไม้มุกสีฟ้าดอกนั้นไว้ตรงกลางของผมทรงห่วงคู่ แล้วใส่ต่างหูหยกหยางจือรูปกระต่ายหยกโขกยา คนทั้งคนดูกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที่
“ชิงเฉิน เจ้าเสร็จหรือยัง?” เสียงกู้หลีดังมาจากหน้าประตู
“เจ้าค่ะ มาแล้ว” มั่วชิงเฉินตอบเสียงหนึ่ง แล้วรีบเดินออกไป เห็นตาของกู้หลี ทนไม่ไหวต้องก้มหน้าลงแผ่วเบา นี่ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่พบเขาด้วยลักษณะเช่นนี้หลังจากเติบใหญ่กระมัง
กู้หลีมองดูสาวน้อยงามหมดจดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ติ่งหูขาวเนียนห้อยกระต่ายน้อยซุกซนแกว่งไปแกว่งมาคู่หนึ่ง แกว่งจนเขาเหม่อลอยเบาๆ
“อาจารย์?” มั่วชิงเฉินยกตาขึ้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ถามอย่างลังเลว่า “ชิงเฉินเช่นนี้ ใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
กู้หลีหยุดชะงัก ตอบ ‘อืม’ เสียงหนึ่งเบาๆ จากนั้นกลับเอ่ยอีกว่า “รอสักครู่”
มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้าลง มองกู้หลีอย่างสงสัย
ในมือกู้หลีไม่รู้มีหินหยกน้ำแข็งที่กระจ่างใสยิ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไร แสงวิญญาณสีเขียวเป็นสายๆ เกาะกุมที่ปลายนิ้ว ระหว่างที่นิ้วมือโบยบิน เศษหินหยกบินฟุ้งไปทั่วท้องฟ้าดังผลึกน้ำแข็ง ไม่นานนักก็แกะปิ่นหยกน้ำแข็งออกมาอันหนึ่ง หัวปิ่นเป็นรูปจันทร์เสี้ยวที่สวยงาม
มั่วชิงเฉินมองปิ่นหยกจันทร์เสี้ยวอย่างงงงัน “อาจารย์ ท่าน นี่ท่านมอบให้ชิงเฉินหรือเจ้าคะ?”
กู้หลีประดับรอยยิ้มนิ่งเรียบที่มุมปาก นิ้วมือเรียวยาวถือปิ่นหยกน้ำแข็ง เสียบไว้บนผมมั่วชิงเฉินอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เช่นนี้ดูดีขึ้นสักหน่อย เข้าคู่กับต่างหูกระต่ายหยกของเจ้าพอดี”
ลมหายใจสดชื่นที่มุดเข้าปลายจมูกเข้มข้นยิ่งขึ้น เมฆแดงบินขึ้นแก้มมั่วชิงเฉินทันที นางรีบกดความคิดกวนใจลงไปว่า “อาจารย์ กระต่ายหยกไม่ได้อยู่ในวังจันทราหรือเจ้าคะ ท่านทำจันทราออกมาแค่ครึ่งดวงจะอยู่อย่างไรล่ะเจ้าคะ?”
กู้หลียิ้มอย่างสง่าเปิดเผย “อยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงตกลงมาแล้ว”
มั่วชิงเฉินจนด้วยคำพูด จากนั้นเหลือบมองชุดเทาของกู้หลีปราดหนึ่ง ขมวดคิ้วว่า “อาจารย์ ไยท่านถึงไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าล่ะเจ้าคะ?”
กู้หลีกระดกมุมปาก “เปลี่ยนแล้ว”
“เปลี่ยนแล้ว?” มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างกวาดมองไปมา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเสื้อชุดนี้และของแต่ก่อนดูแล้วจะแตกต่างกันตรงไหน
“อืม ชุดนี้ใหม่กว่าเล็กน้อย” ในที่สุดกู้หลีก็ต้านทานแรงกดดันจากสายตาที่ร้อนแรงของมั่วชิงเฉินไม่ได้ จึงเอ่ยเสียงเบา
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก จากนั้นพลิกข้อมือ ในมือปรากฏมุกสีม่วงร้อยด้วยเชือกสีเขียวเม็ดหนึ่ง
“ยื่นมือมาเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินโบกไข่มุกในมือ
กู้หลียื่นมือใหญ่ออกไปอย่างว่าง่าย สายตาไม่ห่างจากไข่มุกสีม่วง “นี่คือสิ่งใด ดูเหมือนมีฤทธิ์ในการสงบจิตใจ?”
มั่วชิงเฉินพลางผูกเชือกไว้บนข้อมือกู้หลีพลางพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ชิงเฉินได้มาโดยบังเอิญยามท่องเที่ยวฝึกตน เรียกว่ามุกจื่อหวาสงบจิต มีฤทธิ์ในการสงบจิตใจจริงๆ คนเขาบอกข้าว่า มุกจื่อหวาสงบจิตนี้ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ใช้ได้ผลดี ดังนั้นอาจารย์ต่อไปท่านห้ามแกะออกมานะเจ้าคะ”
พูดพลาง มั่วชิงเฉินแอบลูบไข่มุกที่เหมือนกันเปี๊ยบบนข้อมือตน อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
มองดูมุมปากที่กระดกขึ้นเบาๆ ของมั่วชิงเฉิน รอยยิ้มดุจบุปผา กู้หลียิ้มอย่างอบอุ่น แล้วยกมืออัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวออกมา
อาวุธเวทเหินหาวของกู้หลีคือขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่ง ยามที่มั่วชิงเฉินยืนขึ้นไป รู้สึกเพียงว่าผิวขลุ่ยเป็นเงาลื่น มีความเสี่ยงของการเหยียบลื่น จึงรีบตั้งร่างกายให้นิ่ง ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อกู้หลีเพิ่งขับเคลื่อนอาวุธเวท ร่างกายนางยังคงแกว่งไกวทีหนึ่ง หากไม่เพราะหูตาไวจับชายเสื้อของกู้หลีไว้ ก็เกือบแกว่งตกลงไปแล้ว
“อาจารย์!” มั่วชิงเฉินโกรธนัก หรือว่าอาจารย์ทุกคนยามขับเคลื่อนอาวุธเวท ล้วนไม่บอกกล่าวกันหรืออย่างไร? ในยามนี้ นางเข้าใจความรู้สึกของหลี่จื่อหย่วนยิ่งนัก
บนลานกว้างเขาโฮ่วเต๋อผู้คนมากมาย ยืนเต็มไปด้วยศิษย์ในชุดคลุมสีเขียว และมีศิษย์ใส่ชุดเทาจำนวนนับไม่ถ้วนมองอยู่จากไกลๆ เปี่ยมด้วยความอิจฉา ในสถานการณ์เช่นนี้ บนลานกว้างย่อมไม่มีที่ให้ศิษย์จิปาถะได้ยืนเป็นธรรมดา
ในจำนวนนี้ ศิษย์ที่ยืนอยู่ด้านตะวันออกของลานกว้างสะดุดตาที่สุด เห็นเพียงพวกเขาใส่ชุดสวยงามทุกคน โดยเฉพาะศิษย์หญิง เสื้อผ้าสีต่างๆ ดั่งเมฆสีรุ้ง เมื่อเดินขึ้นมาเสียงเครื่องประดับกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง บวกกับใบหน้าที่งดงาม รูปร่างอรชร แต่ละคนดุจเซียนเหยียบคลื่นเดินมา สาวหยกจุติ ยั่วจนศิษย์จากเขาอื่นๆ ทั้งสี่เขาสอดส่องสายตามาไม่ขาดสาย สายตาของศิษย์ชายเต็มไปด้วยความตื่นเต้นรำพึงรำพัน ของศิษย์หญิงกลับทั้งเศร้าทั้งอิจฉา
ศิษย์จากเขาชิงมู่ไม่ว่าในสำนักหรือนอกสำนัก ต่างยืดอกเชิดหน้า ท่าทางกระฉับกระเฉง หากมีสายตาของคนอื่นกวาดมา ก็จะทำท่าสำรวม แต่กลับปิดบังความปีติอันเปี่ยมล้นไม่มิด
“ฮึ มีอะไรน่าภูมิใจหนักหนา” ศิษย์หญิงคนหนึ่งเห็นศิษย์พี่ที่พึงใจสายตามองไปทางผู้บำเพ็ญเพียรหญิงแห่งเขาชิงมู่ไม่ขาดสาย จึงดูหมิ่นเบาๆ ว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรชายรีบก้มหน้าง้อว่า “ศิษย์น้องอย่าโกรธ ข้าเพียงแต่แปลกใจ อยากดูว่าอาจารย์อามั่วที่เล่าลือกันท่าทางเป็นเช่นไรเท่านั้น?”
“อาจารย์อามั่ว?” ศิษย์หญิงขมวดคิ้ว จากนั้นรู้แจ้งขึ้นมาทันที “ว้าย เจ้าหมายถึงอาจารย์อามั่วท่านนั้น? น้องได้ยินมาว่านางเป็นนางมาร ศิษย์พี่ ห้ามเจ้าดู!”
ผู้บำเพ็ญเพียรชายตกใจหน้าซีด รีบกระตุกศิษย์หญิงแรงๆ ทีหนึ่ง “ศิษย์น้อง เจ้าเบาหน่อย อาจารย์อามั่วท่านนั้นเป็นศิษย์รักของนักพรตเหอกวง อีกทั้งยังเป็นคนในดวงใจของอาจารย์อาเยี่ย หากใครได้ยินเข้า พวกเราล้วนเลี่ยงการลงโทษไม่พ้น”
ศิษย์หญิงก้มหน้าลง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “บัดนี้ศิษย์ร่วมสำนักมากมายต่างลือกันอยู่นี่นา ท่านเซียนหรวนเป็นคนพูดนะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรชายเกลี้ยกล่อมว่า “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าเอาแต่ใจอีกเลย เจ้าก็พูดแล้ว ท่านเซียนหรวนเป็นคนพูด ท่านเซียนหรวนมีฐานะอะไร นางพูดได้ทว่าพวกเราพูดไม่ได้หรอกนะ…”
“ศิษย์น้องจาง เจ้าอย่าเบียดสิ ขืนเบียดอีกข้าก็ชนศิษย์พี่ข้างหน้าแล้ว” ศิษย์ชุดเทาคนหนึ่งเอ่ย
ศิษย์ชุดเทาอีกคนหนึ่งบ่นพึมพำเสียงหนึ่ง “คนเยอะจริงๆ มองไม่เห็นเลย เฮ่อ พวกเราศิษย์จิปาถะช่างน่าอนาถ สถานการณ์ครึกครื้นที่สิบปีก็ยากจะได้เจอสักครา ก็เห็นได้เพียงศีรษะเต็มตาไปหมด”
ศิษย์คนก่อนหน้าหัวเราะแหะๆ “ช่วยไม่ได้ ศิษย์น้องจาง ใครให้เจ้าตัวเตี้ยล่ะ”
ศิษย์ชุดเทาแซ่จางไม่พอใจแล้ว “ศิษย์พี่จ้าว เจ้าตัวสูง ก็เพียงแค่เห็นศีรษะมากขึ้นเท่านั้น นักพรต เจินจวินพวกนั้น อีกทั้งฉากพิธีที่จะจัดขึ้นในอีกสักครู่ เจ้ายืนอยู่นี่มองเห็นหรือไร?”
ศิษย์ก่อนหน้านี้แสยะปากอย่างกลัดกลุ้ม “เจ้าพูดถูก ศิษย์จิปาถะเช่นพวกเรานี้ ก็ได้แค่มาสัมผัสความครึกครื้นสักหน่อยเท่านั้น”
ศิษย์ชุดเทาข้างหน้าหันหน้ากลับมา มองทั้งสองคนถามว่า “พวกเจ้าเคยได้ยิน ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ หรือไม่?”
ศิษย์ก่อนหน้านี้ ‘หา’ เสียงหนึ่งว่า “ใช่ ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ ที่ลือกันอย่างเอิกเกริกก่อนหน้านี้หรือไม่?”
“ถูกต้อง” ศิษย์ข้างหน้าพยักหน้า
ศิษย์คนก่อนหน้านี้พยักหน้าว่า “เรื่องนี่ข้าต้องรู้อยู่แล้ว เล่าลือกันว่าอาจารย์อาทั้งสองท่านนั้นล้วนมาจากเขาชิงมู่ อายุน้อยๆ ก็สร้างรากฐานสำเร็จ กราบนักพรตระดับก่อแก่นปราณเป็นอาจารย์ พวกนางดูเหมือนมีความเกี่ยวพันกับอาจารย์อาเยี่ยด้วย”
ศิษย์ข้างหน้ายิ้มเยาะว่า “พวกเจ้ารู้ไม่หมด ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ มาจากเขาชิงมู่ไม่ผิด ทว่าพวกนางแรกสุดก็เป็นเพียงศิษย์จิปาถะ อีกทั้งยังอยู่ร่วมห้องเดียวกัน เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยมีคนรู้แล้วสินะ?”
“อะไรนะ พวกนางเป็นศิษย์จิปาถะมาก่อน?” ทั้งสองคนร้องอย่างตกใจ
ศิษย์ข้างหน้าพยักหน้า “ถูกต้อง บัดนี้ ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ แผ่รัศมีเจิดจ้า จึงลือเรื่องในอดีตที่ว่ามาจากเขาชิงมู่เช่นกันออกมา ศิษย์ทั้งหลายของเขาชิงมู่ก็รู้สึกมีเกียรติไปด้วย ยามที่พูดถึงจึงละเลยความจริงที่แต่เดิมพวกนางเป็นศิษย์จิปาถะไปอย่างไม่รู้ตัว”
“เช่นนั้นศิษย์พี่รู้ได้เช่นไรกันล่ะ?” ศิษย์คนหนึ่งถาม
ศิษย์ข้างหน้าหัวเราะว่า “ข้าพอรู้จักศิษย์น้องแซ่หลิวแห่งเขาชิงมู่คนหนึ่ง เดินทีนางเป็นสหายร่วมห้องยามที่ ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ เป็นศิษย์จิปาถะ พวกนี้พวกเจ้าก็ไม่ต้องล้วงลึก ข้าเพียงแต่อยากพูดว่า ตอนนั้น ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ หากมีความคิดเช่นเดียวกับพวกเจ้า ก็ไม่มี ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ ในยามนี้แล้ว ยิ่งไม่มีปลากระโดดประตูมังกร ได้รับการชื่นชมจากนักพรตระดับก่อแก่นปราณ”
ศิษย์สองคนรู้สึกเลื่อมใส “ศิษย์พี่ ขอบคุณที่เตือนสติ!”
ศิษย์จิปาถะพรรคเหยากวงแสนกว่าคน มีตั้งเท่าไรที่เข้าประตูเซียนมาพร้อมความฝันการบำเพ็ญเพียร กลับถูกความจริงอันโหดร้ายดับฝันในใจจนสิ้น ประวัติของมั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอสองคนได้นำความหวังมาให้ศิษย์จิปาถะนับไม่ถ้วนจริงๆ เพียงแต่พวกนางไม่รู้ตัวเท่านั้น ว่าในระหว่างที่ไม่ให้สุ้มให้เสียง มีคนตั้งเท่าไรเปลี่ยนแปลงไปเพราะพวกนาง…
บนแท่นพิธีสูงกึ่งกลางลานกว้าง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดห้าท่านนั่งตามตำแหน่ง ด้านหลังแต่ละท่านมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณนั่งอยู่หลายท่าน น้อยมีสามสี่คน มากมีแปดเก้าคน ไปข้างหลังอีก ที่ยืนอยู่คือศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ คนเหล่านี้ ก็คือความสูงส่งที่สุดแห่งพรรคเหยากวงแล้ว
“ศิษย์น้องหลิวซาง เจ้าควรประจำที่แล้วกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดตรงกลางผมเกล้าทรงนักพรตเต๋าหวีจนเรียบแปล้ ชุดเซินอี[2]แขนกว้าง ท่วงท่าดั่งเซียน คือผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งแห่งพรรคเหยากวงโส่วเต๋อเจินจวินนั่นเอง
หลิวซางเจินจวินใส่ชุดคลุมเต๋าสีเข้ม ด้านหน้าหลังเป็นรูปภาพแปดเหลี่ยมเฉียนคุน บนแขนเสื้อกว้างเป็นลายเมฆากระเรียนเซียน ดูแล้วสง่างามเคร่งขรึม ได้ยินคำพูดของโส่วเต๋อเจินจวิน เขากลับเหล่ไปทางด้านทิศตะวันออก แอบบ่นพึมพำว่า “เหอกวงเจ้าเด็กบ้านี่ คงไม่ดื่มจนเมาเสียเรื่องหรอกนะ?”
ที่บ่นพึมพำนี้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายท่านนี้ได้ยินไป ทุกคนอดอมยิ้มไม่ได้
ในยามนี้เอง ก็เห็นลำแสงสีมรกตสายหนึ่งมาจากทิศตะวันออก เพียงพริบตาก็ร่อนลงบนลานกว้าง สายตาของศิษย์นับไม่ถ้วนบนลานกว้างตกไปตรงนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน
กู้หลีนำมั่วชิงเฉิน ไม่สนใจสายตาของทุกคนเดินขึ้นแท่นสูงอย่างช้าๆ เอ่ยขออภัยต่อโส่วเต๋อเจินจวินและหลิวซางเจินจวินเสียงหนึ่งแล้วเดินไปที่ที่นั่งท้ายสุดทางด้านเขาชิงมู่นั่น นั่นคือที่นั่งของศิษย์คนสุดท้ายของหลิวซางเจินจวิน
มั่วชิงเฉินแข็งใจยืนอยู่หลังนักพรตเหอกวง รู้สึกเพียงว่าตนถูกสายตานับพันนับหมื่นคู่กวาดผ่านรอบแล้วรอบเล่า เผาจนควันจะขึ้นร่างแล้ว จึงอดส่งเสียงทางจิตไม่ได้ว่า “อาจารย์ สถานการณ์เช่นนี้ ท่านจะมาให้เร็วหน่อยไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
กู้หลีเม้มปาก ไม่ตอบ เขาคงบอกศิษย์น้อยไม่ได้กระมัง ว่าคำพูดที่นางพูดเมื่อวานทำให้เขาจิตใจสับสน สุดท้ายลืมเรื่องวันนี้เสียสนิทเลย
เห็นกู้หลีไม่พูด มั่วชิวเฉินบ่นอยู่ในใจรอบแล้วรอบเล่า
เมื่อโส่วเต๋อเจินจวินประกาศเริ่มพิธีฉลองเสียงก้อง ในที่สุดสายตาเหล่านั้นก็เบนออกจากตัวมั่วชิงเฉิน กลับมีสายตาสายหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบก็ตกอยู่บนตัวนางไม่ไปไหน
มั่วชิงเฉินอดยกตามองไปไม่ได้ สิ่งที่เห็นคือใบหน้าหล่อเหลาไร้เทียมทานแต่กลับยากจะปิดความอิดโรยหน้าหนึ่ง
——
[1] เอียนหลัว คือผ้าชนิดหนึ่ง เนื้อผ้าบางเบา มองไกลๆ จะเหมือนเมฆหมอก มีด้วยกันสี่สี คือ สีฟ้าหลังฝน สีมะกอก สีเขียวต้นสน และสีเงินแดง
[2] ชุดเซินอี เป็นการนำเสื้อและกระโปรงมาเย็บเป็นชุดเดียวกัน แล้วสวมในลักษณะของชุดคลุม ดดยแหวกช่องสำหรับเป็นสาบเสื้อด้านหน้า แต่ด้านหลังยังติดกันอยู่ สาบเสื้อของเซินอีมีสองแบบ คือสาบเสื้อแหลมและสาบเสื้อตรง
ตอนที่ 195 สามนงคราญพร่ำรำพัน
มั่วชิงเฉินเบนสายตาออกอย่างรีบร้อน หลบสายตาของเยี่ยเทียนหยวน
เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง แววตามืดมนลง จากนั้นกระดกมุมปากขึ้น ฝืนยิ้มแล้วเก็บสายตากลับไป
หลังจากนั้นผู้เฒ่าไท่ซ่างโส่วเต๋อเจินจวินกล่าวปาฐกถาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ขอข้ามไปไม่พูด
หลิวซางเจินจวินยืนอยู่กลางแท่นพิธี ไหว้ฟ้าก่อน แล้วไหว้ดิน สุดท้ายกราบไหว้อวี้ชิงหยวนเส่อเทียนจุน ซ่างชิงหลิงเป่าเทียนจุน ไท่ชิงเต้าเต๋อเทียนจุนเทพเจ้าสามองค์ที่ตั้งอยู่บนลานกว้าง พิธีฉลองการเลื่อนขั้นเล็กถือว่าเสร็จพิธี
ต่อจากนั้นก็คืองานเลี้ยงที่ศิษย์ในสำนักแสนกว่าคนตั้งตารอ
งานเลี้ยงจัดขึ้นบนลานกว้างเขาโฮ่วเต๋อโดยตรง โต๊ะยาวหยกเขียวเรียงรายขึ้นในพริบตา โดยมีศิษย์จิปาถะยกอาหารรสโอชา ผลไม้ทิพย์สุราเซียนขึ้นมาดั่งสายน้ำ และนี่คือโอกาสที่ศิษย์จิปาถะพรรคเหยากวงได้สัมผัสความครึกครื้นเช่นนี้อย่างใกล้ชิด ดังนั้นแต่ละคนกลับเห็นงานนี้เป็นงานที่พึงปรารถนา กรูกันเข้ามา
ศิษย์เป็นทางการพวกนั้นยิ่งร่าเริงยินดีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พิธีฉลองทั่วทั้งสำนักเช่นนี้ บางทีร้อยปียังไม่มีสักหน พรรคเหยากวงในฐานะที่เป็นอันดับสามในสี่สำนักแปดนิกายแห่งดินแดนเทียนหยวนย่อมไม่ตระหนี่ สุราทิพย์ผลไม้ทิพย์ยกขึ้นมาไม่ขาดสาย และสุราทิพย์ผลไม้ทิพย์เหล่านี้ ต่อให้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการปกติก็เสียดายไม่ยอมกิน ศิษย์อย่างเป็นทางการปกติ ล้วนใช้หินวิญญาณไปกับการบำเพ็ญเพียร ยอมซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้ที่ไหน
โดยเฉพาะวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์นอกสำนัก ศิษย์ในสำนัก ยังมีศิษย์หัวกะทิ ต่างละทิ้งฐานะนั่งปนอยู่ด้วยกัน บ้างแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการบำเพ็ญเพียร บ้างเล่าข่าวลือในสำนัก ความครึกครื้นในนี้ ไม่ต้องพูดก็รู้
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดห้าท่าน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อนแก่นปราณ ศิษย์ก้นกุฏินับร้อยคนต่างมีสถานที่ไปตามตบะที่ต่างกันของแต่คน มั่วชิงเฉินตามศิษย์ก้นกุฏิที่มีจำนวนมากที่สุดไปโถงดอกไม้แห่งหนึ่ง
พูดไปแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินเห็นศิษย์ก้นกุฏิมากมายถึงเพียงนี้ คนเหล่านี้ก็คือบุตรที่ได้รับความโปรดปรานจากฟ้าที่ว่ากันของพรรคเหยากวงแล้ว
มั่วชิงเฉินพิจารณาอย่างเงียบๆ ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน มีเพียงไม่กี่คนที่มีตบะระดับหลอมลมปราณ ทว่าไม่ว่าเช่นไร สิ่งที่พวกเขาต่างจากศิษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดคือ ท่าทางการวางตัวที่สำรวมกว่าหลายส่วน
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ศิษย์หลายแสนคน ที่ยืนอยู่ตรงนี้เพียงแค่ร้อยกว่าคน ไม่ว่าเป็นใครก็เพียงพอให้ภาคภูมิใจแล้ว ยิ่งกว่านั้นคนเหล่านี้สามารถกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ส่วนตัวต้องมีสิ่งที่เหนือคนอื่นแน่นอน
มั่วชิงเฉินสอดส่ายสายตา แล้วก็เห็นมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ เห็นชัดว่าทั้งสองคนก็เห็นนางแล้วเช่นกัน กวักมือเรียกนางอยู่
สามคนจึงนั่งอยู่ด้วยกัน
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมั่วชิงเฉินมองดูต้วนชิงเกอ ในใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็นอันใดหรือ ศิษย์น้องชิงเฉิน?” ต้วนชิงเกอสีหน้าสงบไม่ใส่ใจดังเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
มั่วชิงเฉินเสียงฝืดเล็กน้อยว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ เจ้าผอมลงแล้ว”
ต้วนชิงเกอเม้มปากยิ้ม
จู่ๆ มั่วหลีลั่วก็ถอนใจว่า “ชิงเฉิน เจ้าไม่เห็นหรือไร คนที่ผอมลงไม่ได้มีชิงเกอคนเดียวหรอกนะ?”
“ศิษย์พี่มั่ว!” ต้วนชิงเกอต่อว่า จากนั้นหลุบหน้าลงต่ำ
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าควรรับคำเช่นไรเหมือนกัน ในสมองแวบภาพหน้าที่ผ่ายผอมเช่นกันของอาจารย์และศิษย์พี่เยี่ยโดยไม่รู้ตัว
มั่วหลีลั่วเห็นสองคนเป็นเช่นนี้ จึงเม้มปาก ยกมือขึ้นทันทีกางเขตอาคมกั้นเสียงขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งสามคนจึงไม่ได้ยินว่าคนอื่นพูดอะไรบ้าง คนอื่นก็ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสามคน
“เอาล่ะ พวกเราพี่น้องสามคน ก็คุยกันดีๆ เถอะ” มั่วหลีลั่วตบมือ พูดลางมองมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน พวกเราแยกกันเพียงสองปี เจ้าก็อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว ยิ่งกว่านั้นคลื่นพลังวิญญาณสม่ำเสมอ รากฐานมั่นคง ตบะเกรงว่าจะล้ำลึกกว่าข้าเสียอีก รีบบอกเรามาเร็วๆ สองปีนี้เจ้าใช้ชีวิตมาอย่างไร?”
มั่วชิงเฉินจึงเริ่มเล่าตั้งแต่ถูกปลาประหลาดกลืนลงท้อง เล่าจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลขนาบใจ แน่นอนข่าวลับของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณเหล่านั้นข้ามไปไม่พูดถึง ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความโลดโผนหักมุมในนี้ ยังคงทำให้สองคนฟังจนชะงักงัน
รอมั่วชิงเฉินเล่าจบ ปากลิ้นเหือดแห้งหยิบขวดสุราขึ้นรินสุราทิพย์จอกหนึ่งดื่มจนเกลี้ยง ทั้งสองคนถึงได้สติกลับมา มั่วหลีลั่วถอนใจว่า “ชิงเฉิน ต่างเดินทางฝึกตนเหมือนกัน ไยของเจ้าถึงตระการตาเช่นนี้นะ!”
ต้วนชิงเกอหัวเราะเช่นกันว่า “ชิงเฉิน ข้าควรเปลี่ยนมาเรียกศิษย์พี่แล้วใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินโบกมือ “เรียกเช่นนี้ข้าไม่ชินเลย”
โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรถือพลังความสามารถเป็นใหญ่ วันนี้ยังเรียกกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง พรุ่งนี้ก็อาจเปลี่ยนมาเรียกอาจารย์อา ทว่านั่นล้วนเป็นคนที่คบกันเพียงผิวเผิน เรียกมาหลายสิบปีเช่นพวกนาง จู่ๆ เปลี่ยนคำเรียก ทั้งสองคนต่างปรับตัวไม่ค่อยได้
มั่วหลีลั่วหัวเราะ “พวกเจ้าก็เรียกกันด้วยชื่อก็หมดเรื่อง ตามที่ข้าดูแล้ว ศิษย์น้องชิงเฉินอีกไม่นาน ไม่แน่ตบะก็ข้ามเลยข้าไปแล้ว ถึงเวลาพวกเราก็เรียกกันด้วยชื่อโดยตรงก็แล้วกัน”
“เช่นนี้ไม่เลว” มั่วชิงเฉินพูดพลางมองต้วนชิงเกออย่างไม่รู้ตัวปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ ต่อมาออกจากหุบเขานั่นอย่างไร?”
ต้วนชิงเกอหัวเราะว่า “วันนั้นเห็นเจ้าถูกปลาประหลาดกลืนเข้าไป พวกเราต่างร้อนใจมาก พูดไปก็แปลก ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ชื่อหลิวหลิงเอ๋อร์คนนั้น ไม่คิดว่าจะกระโดดลงไปเร็วกว่าเราก้าวหนึ่งอีก ต่อมาเราต่างกระโดดลงไปหาเจ้า กลับพบว่าก้นทะเลสาบมีปากถ้ำอยู่ ทุกคนเดินอยู่ในถ้ำที่มืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันไม่รู้นานเพียงใด ในที่สุดก็เดินออกมาได้ ถึงพบว่าได้หลุดออกจากหุบเขา มาถึงอาณาเขตของนิกายอวี้กุยแล้ว”
มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง นางไม่เข้าใจหลิวหลิงจือมาตลอดว่าไยจึงไม่ยอมรับว่ารู้จักตน ไม่คิดว่าถึงเวลาสำคัญสุดท้ายนางก็ยังเป็นห่วงตนอยู่ น่าเสียดายเวลานั้นนางไม่ยอมพูดคุยกับตนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไยถึงได้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำพวกนั้นตามฆ่า ยังถูกศิษย์ร่วมสำนักจับ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อใดที่พวกเขาหลุดพ้นจากอันตราย คนที่ประสบเคราะห์คนแรกต้องเป็นหลิวหลิงจือแน่!
“หลิวหลิงเอ๋อร์คนนั้นเป็นเช่นไรแล้ว?” มั่วชิงเฉินแกล้งทำใจเย็นแล้วถาม ในใจกลับตื่นเต้นอยู่บ้าง
มั่วหลีลั่วรับคำว่า “ทุกคนเพิ่งยืนยันความปลอดภัยของตนเองเสร็จ ถังอีผู้นำคนชุดดำก็ลงมือต่อหลิวหลิงเอ๋อร์ทันที ส่วนผู้หญิงสามคนของนิกายเหอฮวนดูเหมือนเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว สู้กันอีนุงตุงนังกับถังอีขึ้นมาทันที”
“ระดับสร้างรากฐานระยะกลางคนหนึ่ง ระดับสร้างรากฐานระยะต้นสองคน คิดจะรับมือถังอีและถังเอ้อร์คงลำบากมากสินะ?” มั่วชิงเฉินถาม
มั่วหลีลั่วโกรธว่า “ก็ใช่น่ะสิ ดังนั้น หวังเยี่ยนเย่ว์ผู้หญิงคนนั้นจึงลากข้าและชิงเกอลงน้ำ ส่วนหลิวหลิงเอ๋อร์ไม่รู้เสกคาถาลับอะไร ไม่คิดว่าจะหนีรอดไประหว่างที่สู้กันอุตลุด”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าในใจโล่งไปอึดใจหนึ่ง ถามว่า “ต่อจากนั้นล่ะ?”
“ถังอีเห็นหลิวหลิงเอ๋อร์หนีไปแล้ว หาตัวไม่เจอ ก็บ้าคลั่งขึ้นมา เพียงครู่เดียว หวงเจียนก็ถูกฆ่าแล้ว ยามนั้นหวังเยี่ยนเย่ว์ลนแล้ว รีบบอกว่าหลิวหลิงเอ๋อร์ก็หนีไปแล้ว ทุกคนสู้กันต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ขอให้ถังอีปล่อยพวกนางไป ทว่าเรื่องที่หลิวหลิงเอ๋อร์หนีรอดไปได้ดูเหมือนสร้างความกระทบกระเทือนต่อถังอีมาก เขาไม่พูดสักคำ กลับยิ่งโจมตียิ่งฮึกเหิม ข้าและชิงเกอเดิมทีไม่ยอมเข้าแผนของหวังเยี่ยนเย่ว์ อีกทั้งคิดจะรักษาพลังไว้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยออกแรง ทว่าเห็นท่าทางถังอีเช่นนี้ ไม่แน่อาจจะคิดกำจัดพวกเราให้สิ้นซาก นี่ถึงได้สู้อย่างเต็มกำลัง พวกเราสี่คนร่วมมือกัน อีกทั้งหาโอกาสฆ่าถังเอ้อร์ได้อีก ถึงพอกล้อมแกล้มตีเสมอกับถังอี” มั่วหลีลั่วเอ่ย
ระดับสร้างรากฐานระยะกลางสองคน ระดับสร้างรากฐานระยะต้นสองคน รับมือระดับสร้างรากฐานระยะปลายหนึ่งคนยังคงลำบาก คิดว่าต้องเป็นเพราะมั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอนับว่าพลังความสามารถอยู่แถวหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ถึงไม่ได้พ่ายแพ้
ต้วนชิงเกอเอ่ยต่อว่า “การต่อสู้เข้าสู่สภาพไม่รู้แพ้ชนะ ต่อมาสะเทือนไปถึงผู้บำเพ็ญเพียรนิกายอวี้กุย ถังอีถึงได้หนีไป พวกเราก็รอดมาได้ จากนั้นข้าและศิษย์พี่มั่วตามหาเจ้าไปทั่ว หาอยู่หลายเดือนก็หาไม่พบ จึงได้แต่กลับสำนัก”
“ก็ไม่รู้ว่าหลิวหลิงเอ๋อร์ตกลงทำสิ่งใดไว้กันแน่ ถึงก่อปัญหาใหญ่โตเช่นนี้?” มั่วชิงเฉินพึมพำว่า
มั่วหลีลั่วรู้สึกไม่ดีต่อผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเหอฮวนเสมอมา ได้ยินดังนั้นจึงฮึเสียงเบาเสียงหนึ่งว่า “เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องดีก็แล้วกัน ยามนั้นที่อยู่ในหุบเขา ข้าได้ยินถังอีและหวังเยี่ยนเย่ว์ทะเลาะกันโดยบังเอิญ ดูเหมือนพวกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงของนิกายเหอฮวนจ้องของอะไรของฝ่ายถังอีมาตลอด สุดท้ายถูกหลิวหลิงเอ๋อร์ได้ไป นี่ถึงทำให้ทั้งสองฝ่ายชิงตัวนางกัน”
อย่างไรเสียหลิวหลิงจือก็เป็นสหายสนิทเพียงคนเดียวของมั่วชิงเฉินยามเด็ก ได้ยินดังนั้นทนแย้งไม่ได้ว่า “เรื่องแบบนี้มีผู้บำเพ็ญเพียรสักกี่คนที่ไม่เคยทำ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกกระมัง เพียงแต่นางไม่ได้วางทางหนีทีไล่ไว้ให้ดี นี่ก็ถือว่าบ้าบิ่นแล้ว”
มั่วหลีลั่วหัวเราะฟู่เสียงหนึ่ง “ชิงเฉิน เจ้ารู้เพียงเรื่องหนึ่งในนั้นยังมีเรื่องที่เจ้าไม่รู้อีก ข้ายังได้ยินถังอีด่าคนของนิกายเหอฮวนด้วยความโกรธว่าไร้ยางอาย บอกว่าหลิวหลิงเอ๋อร์…ยอมพลีกายให้นายน้อยท่านหนึ่งในสำนักพวกเขา ยามที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มก็ฆ่านายน้อยเสีย ถึงได้ของสิ่งนั้นมา…” พูดถึงตรงนี้ ก็พูดไม่ออกแล้วจริงๆ
ในใจมั่วชิงเฉินบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร ได้แต่นิ่งเงียบ
“ชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ต้วนชิงเกอตบมือของมั่วชิงเฉินถาม เวลาที่ทั้งสองคนคบกันนานกว่ามั่วหลีลั่วมาก ย่อมเข้าใจกันมากกว่า
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ
มั่วหลีลั่วล้อเล่นว่า “ชิงเกอ ไยเจ้าต้องห่วงแทนศิษย์น้องชิงเฉินด้วย บัดนี้คนที่เป็นห่วงนางมีเยอะจะตาย ไม่ต้องพูดถึงอื่นไกล ผู้ชายเช่นอาจารย์อาเหอกวงนั้น เพื่อนางแล้วถึงกับบุกเดี่ยวไปท้ารบกับนิกายเหอฮวนเลยนะ! ชิงเฉิน เรื่องนี้เจ้าคงได้ยินแล้วกระมัง?”
มั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดนี้แล้วในใจทั้งเศร้าทั้งหวานชื่นผสานกัน สุดท้ายกลายเป็นความเจ็บปวดเงียบๆ พันเกี่ยวหัวใจ แล้วฝืนยิ้มว่า “ข้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของอาจารย์ อาจารย์เป็นห่วงข้า ก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ต้วนชิงเกอที่อยู่ข้างๆ กลับจับความเปลี่ยนแปลงของสีหน้ามั่วชิงเฉินได้อย่างเฉียบขาด ในใจหนักอึ้ง การคาดเดาก่อนหน้านี้ยิ่งชัดเจนขึ้นแล้ว ชิงเฉินนางคงไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่ออาจารย์อาเหอกวงหรอกนะ?
โบราณว่าเป็นอาจารย์วันเดียวเป็นบิดาชั่วชีวิต นางเป็นเช่นนี้…เช่นนี้ไม่เท่ากับผิดศีลธรรมหรอกหรือ?
คิดถึงตรงนี้ไม่กล้าคิดต่อไปอีก กลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีต่อเส้นทางความรักของมั่วชิงเฉินในอนาคต
“ใช่แล้ว ชิงเฉิน ข้ายังไม่ได้ถามเจ้า ระหว่างเจ้าและเยี่ยเทียนหยวน ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?” ในที่สุดมั่วหลีลั่วก็ทนไม่ไหวถามขึ้นมา
มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างจำใจว่า “ศิษย์พี่มั่ว ระหว่างเรามีเรื่องอะไรที่ไหนกัน?”
มั่วหลีลั่วเหล่นาง สีหน้าไม่เชื่อ “ไม่มีอะไร? เรื่องนี้พูดออกไป เกรงว่าแม้แต่หนูของพรรคเหยากวงก็ไม่เชื่อ ยัยเด็กบ้า ชิงเกอต้องซวยเพราะเจ้าแล้วนะ!”
“ศิษย์พี่มั่ว!” ต้วนชิงเกอรีบกระตุกมั่วหลีลั่วทีหนึ่ง ยิ้มให้มั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าฟังศิษย์พี่มั่วพูดเหลวไหล อย่าว่าแต่ระหว่างพวกเจ้าไม่มีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ต่อให้มีอะไร เรื่องของข้าและเขาก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ถูกแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งชอบหรือไม่ชอบตนเอง เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับบุคคลที่สามอยู่แล้ว เหตุผลข้อนี้นางยังพอเข้าใจ
มั่วชิงเฉินมองดูนางที่ซูบผอมลง ในใจรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย ทนไม่ไหวถามว่า “ชิงเกอ เช่นนั้นเจ้าล่ะ เจ้าและเขา…”
ตอนที่ 196 เข้าโถงลงทัณฑ์อีกครั้ง
ต้วนชิงเกอเม้มปากว่า “ที่จริงระหว่างเราก็ไม่มีอะไร เพียงแต่อาจารย์พูดถึงเรื่องนี้กับข้า ข้าคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องหาคนบำเพ็ญเพียรคู่ด้วยอยู่ดี เป็นศะ…ศิษย์พี่เยี่ยก็ดี ต่อมาศิษย์พี่เยี่ยวิ่งมาถอนหมั้น ต่อหน้าคนมากมายข้ารู้สึกว่าขายหน้าเหลือเกิน จึงหดหู่อยู่พักหนึ่งจริงๆ รอถึงศิษย์พี่มั่วลากข้าไปอัดศิษย์พี่เยี่ยยกหนึ่ง เห็นผู้ชายเย่อหยิ่งเช่นนั้นกลับไม่ตอบโต้ ปล่อยให้พวกข้าอัดจนทุลักทุเลเหลือจะกล่าว กระทั่งยังกระอักเลือด แต่กลับเพียงมองข้าแล้วพูดว่า ‘ขออภัย’ ความอึดอัดในใจจึงหายไป หลังจากนั้นอีกพวกเราถูกขังในโถงลงทัณฑ์กันหมด ชิงเกอสงบใจคิดมาหลายวัน กลับรู้สึกว่าผิดอยู่ที่ข้า ที่เห็นเรื่องบำเพ็ญเพียรคู่สุกเอาเผากินถึงเพียงนี้ วันหลังไม่แน่อาจทั้งทำร้ายผู้อื่นทั้งทำร้ายตนเอง”
“ชิงเกอ” มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวกุมมือของต้วนชิงเกอไว้ หญิงสาวที่เข้าใจเรื่องราวทะลุปรุโปร่งเฉลียวฉลาดเพียงนี้ ตนช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ที่สามารถกลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ดีที่สุดกับนางได้
มั่วหลีลั่วตบโต๊ะว่า “ชิงเกอ เจ้ามันไม่เอาไหน อะไรผิดที่เจ้า พวกเขาเขาหลิวหั่วสู่ขออยู่ก่อน ก้นยังนั่งไม่ทันร้อนก็วิ่งมาทำลายการหมั้นอีก เห็นเขารั่วสุ่ยของเราเป็นสถานที่อะไร ให้ข้าพูดนะ เจ้าเยี่ยเทียนหยวนสารเลวนั่น วันหลังเราควรจะเห็นครั้งหนึ่งอัดครั้งหนึ่ง ไหนๆ เขาก็ไม่ตอบโต้อยู่ดี! ยังมีศิษย์น้องชิงเฉิน ในเมื่อเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยเทียนหยวน ทางที่ดีก็ห่างเจ้านั่นให้ห่างหน่อย หากวันไหนเสวียนหั่วเจินจวินคิดไม่ตกวิ่งไปสู่ขอที่เขาชิงมู่อีก ข้างหน้าเพิ่งไปข้างหลังเยี่ยเทียนหยวนก็ตามไปถอนหมั้น เจ้าก็รอให้ถูกพรรคเหยากวงหลายแสนคนหัวเราะเยาะเถอะ อย่าลืมนะ บัดนี้ศิษย์ในสำนักต่างลือกันว่า ที่เยี่ยเทียนหยวนทำลายการหมั้นก็เพื่อเจ้า!”
มั่วชิงเฉินรู้สึกจำใจทันที ศิษย์พี่มั่วคนนี้ ก็ไม่รู้ไปประสบอะไรมา ต่อผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนับว่าเป็นคนมีน้ำใจ ต่อผู้บำเพ็ญเพียรชายกลับไม่ไว้หน้า คิดอีกที ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา เหตุใจผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่สนิทกับตน ล้วนไม่ปกตินะ
ต้วนชิงเกอกลับขยิบตาว่า “ศิษย์พี่มั่ว นี่เจ้าพูดผิดแล้วล่ะ ตามที่ชิงเกอดู หากชิงเฉินไปห่างๆ ศิษย์พี่เยี่ยจริงๆ เกรงว่าศิษย์พี่เยี่ยถึงจะโศกเศร้าเสียใจนะ”
“เอ่อ? ความหมายของเจ้าคือ?” ในตามั่วหลีลั่วมีประกายไฟการซุบซิบแวบผ่านทันที
ต้วนชิงเกอบุ้ยปากไปที่ทิศทางหนึ่ง
มั่วหลีลั่วและมั่วชิงเฉินมองไปพร้อมกัน ก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ดื่มสุราอยู่อย่างเงียบๆ บนใบหน้าที่เย็นดุจน้ำแข็ง คิ้วดาบขมวดเล็กน้อย ต่อให้สายตาของศิษย์ไม่น้อยกวาดมาทางเขาไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เขากลับไม่รู้สึกตัวเอาเลย รอบกายดูเหมือนถูกกระแสความเย็นที่มองไม่เห็นห่อหุ้มไว้ ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
“ศิษย์พี่มั่วเจ้าดู ท่าทางศิษย์พี่เยี่ยเช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะข้าหรอกกระมัง?” ต้วนชิงเกอพูดล้อเล่นพลางมองมั่วชิงเฉิน ตั้งแต่ครั้นทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อ นางก็รู้สึกได้รางๆ ว่าเยี่ยเทียนหยวนปฏิบัติต่อมั่วชิงเฉินต่างจากผู้อื่น บัดนี้ดูแล้ว มีควันย่อมมีไฟ ศิษย์พี่เยี่ย ไม่แน่อาจคิดอะไรกับศิษย์น้องชิงเฉินจริงๆ
โดยจิตใต้สำนึก ต้วนชิงเกอหวังว่ามั่วชิงเฉินสามารถยอมรับเยี่ยเทียนหยวนได้ โดยที่ไม่ใช่เดินทางความรักที่มีอุปสรรคมากมายหาใดเปรียบไม่ได้
“ศิษย์น้องชิงเฉิน…” มั่วหลีลั่วเรียกอย่างชัดถ้อยชัดคำ ท่าทางจะให้นางสารภาพแต่โดยดี
มั่วชิงเฉินไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ หากไม่โกหกตนเองล่ะก็ ในใจนางก็คาดเดาเช่นเดียวกันรางๆ เพียงแต่เขาเกลียดตนเองมากมาตลอดมิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ความคิดก็เปลี่ยนอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินล่ะ?
ในยามนี้เอง หญิงใส่ชุดชาววังสีชมพูคนหนึ่งจู่ๆ ก็บุกเข้ามาในโถงดอกไม้
ศิษย์ที่อยู่ในโถงดอกไม้ล้วนเป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ต่อให้อยากรู้อยากเห็นความเกี่ยวข้องระหว่างเยี่ยเทียนหยวนและ ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ ที่นั่งอยู่ที่เดียวกันเต็มประดา ติดที่ต้องสำรวมและฐานะ จึงไม่ได้แสดงออกชัดเจนเช่นศิษย์ธรรมดา เพียงแต่ผึ่งหูไว้ บวกกวาดสายตามองสามคนนั้นอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างเท่านั้น ทว่ายามนี้เมื่อหญิงชุดชาววังผู้นี้เข้ามา ทุกคนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว สายตามองไปทางนางพร้อมกัน
หญิงชุดชาววังผู้นั้นมองไปรอบๆ แล้วเดินสวบๆ ไปทางเยี่ยเทียนหยวน
เพราะว่ากางเขตอาคมกั้นเสียงไว้ พวกมั่วหลีลั่วสามคนเพียงแค่เห็นกลับไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านนอก มั่วหลีลั่วเห็นดังนั้นรีบถอนเขตอาคมกั้นเสียงออก
หญิงชุดชาววังนี้ย่อมต้องเป็นหรวนหลิงซิ่วอยู่แล้ว ไม่พบกันสิบกว่าปี นางยังคงหน้าตาเช่นเดิม
หรวนหลิงซิ่วเดินไปยืนมั่นหน้าเยี่ยเทียนหยวน เยี่ยเทียนหยวนกลับถือขวดสุรา รินเองดื่มเองทีละจอกๆ ไม่แม้แต่จะยกหนังตาสักที
หรวนหลิงซิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดใจหนึ่ง ความเอาแต่ใจที่ทำให้คนได้ยินแล้วต้องหน้าถอดสีเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียนหยวนกลับดันอาละวาดไม่ออก เสียงอ่อนโยนโอดครวญเหมือนสาวน้อยที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านไม่เชิญน้องดื่มสักจอกหรือ?”
“ศิษย์น้องหรวนตามสบาย” เยี่ยเทียนหยวนยังคงไม่เงยหน้า เสียงเย็นจนไม่มีอุณหภูมิแม้แต่น้อย
เสียงวิจารณ์ต่างๆ นานากระหึ่มดังขึ้นในโถงดอกไม้ มุดเข้าหูหรวนหลิงซิ่วโดยตรง
หรวนหลิงซิ่วร่างกายส่ายไปมา ฝืนประคองไว้แล้วนั่งลงหน้าเยี่ยเทียนหยวน เอ่ยอย่างนิ่มนวลว่า “ศิษย์พี่เยี่ย หลายปีมานี้ เหตุใดท่านหลบหน้าน้องมาตลอดล่ะ? ท่าน ท่านลืมแล้วหรือว่าปีนั้นเราร่วมเป็นร่วมตายกันมาอย่างไร?”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกปาก บรรยากาศการซุบซิบในโถงก็เปรียบดังน้ำมันเจอกับกองไฟ เผาไหม้ยิ่งฮึกเหิมขึ้น
มือที่ถือขวดสุราของเยี่ยเทียนหยวนชะงัก เอ่ยด้วยเสียงที่ยิ่งเย็นชาขึ้นอีกว่า “ศิษย์น้องหรวน โปรดให้เกียรติตนเองด้วย”
ปีนั้นตนช่วยนางไว้โดยบังเอิญ ไยมาถึงปากนาง ก็กลายเป็นร่วมเป็นร่วมตายแล้วล่ะ?
หากเป็นแต่ก่อน เยี่ยเทียนหยวนต้องถามเช่นนี้แน่นอน ทว่าเขาที่ได้ลิ้มรสชาติถูกคนที่พึงใจเพิกเฉยใส่ บัดนี้กลับเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวเหล่านั้นขึ้นมาบ้างแล้ว คำพูดย่อมไม่ได้ไม่ไว้หน้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“ศิษย์พี่เยี่ย ข้าไม่เชื่อว่าท่านไม่มีความรู้สึกให้น้องเลยสักนิด มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นไยท่านถึงปฏิเสธนางล่ะ!” หรวนหลิงซิ่วกัดฟัน มือชี้ต้วนชิงเกอที่อยู่อีกมุมหนึ่ง
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก ศิษย์พี่ต้วนนี่นั่งเฉยๆ ก็โดนหางเลขแท้ๆ
หรวนหลิงซิ่วผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อหน้าคนมากมายสามารถทำถึงขั้นนี้ คิดว่าความรักที่มีต่อเยี่ยเทียนหยวนคงไม่ธรรมดา พูดตามเหตุผลแล้วก็นับว่าเป็นหญิงสาวที่กล้าหาญน่าชื่นชม ทว่านางดันชอบพาดพิงคนอื่น นี่ก็น่ารังเกียจแล้ว
เยี่ยเทียนหยวนไม่ได้มองไปที่ทิศทางที่พวกมั่วชิงเฉินสามคนอยู่สักปราดเดียว ตาจ้องจอกสุราหยกขาว เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะเชื่อ เจ้าบอกมา ข้าไปทำ”
คำพูดนี้พูดได้มุ่งมั่นเด็ดขาด ในที่สุดหรวนหลิงซิ่วก็รับไม่ไหว ปิดหน้าหนีไปท่ามกลางสายตาวิจารณ์ต่างๆ นานาของผู้คน
แล้วก็มีเสียงมุดเข้าหูนาง “ช่างไร้ยางอายจริงๆ ศิษย์พี่เยี่ยเขาปฏิเสธคนอื่น ใครไม่รู้ว่าเพื่อมั่วชิงเฉิน นางดันนึกว่าทำเพื่อตนเองแน่ะ”
“ฮิๆ ก็นั่นน่ะสิ นางทำเช่นนี้ทำพวกเราผู้หญิงขายหน้าหมดเลยนะ ศิษย์พี่น้องที่ชื่นชอบศิษย์พี่เยี่ยมีไม่น้อย ทว่าไม่รู้ยางอายเช่นนี้นางกลับเป็นคนแรก” หญิงสาวอีกคนหนึ่งเห็นด้วยว่า
เสียงอีกเสียงหนึ่งว่า “ที่ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออกคือนางยังพูดเช่นนี้ออกมาต่อหน้าศิษย์พี่มั่วอีก ก็ไม่รู้ว่าคนเขาจะหัวเราะจนฟันร่วงหรือไม่…”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป หรวนหลิงซิ่วหยุดเดินในทันใด กวาดสายตาตรงๆ มาที่มุม เห็นข้างๆ ต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่ว ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เห็นหน้าตาไม่ชัดเจนนั่งขัดสมาธิอยู่จริงๆ
หรวนหลิงซิ่วสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ มาถึงหน้ามั่วชิงเฉินเหมือนลมพัด เสียงแหลมจนผิดปกติ “หน้าตาเรียบๆ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเช่นนี้ ข้ากลับจำไม่ได้! นางมาร เจ้าพูดมา ตกลงเจ้าใช้วิธีหว่านเสน่ห์อันใดกันแน่ ถึงทำให้ศิษย์พี่เยี่ยหลงใหล?”
“หรวนหลิงซิ่ว เจ้าอย่าให้เกินไปนักนะ!” มั่วหลีลั่วตะคอก
ต้วนชิงเกอก็มองนางอย่างเย็นชา ก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องที่ตนถูกถอนหมั้น ต่อให้ตนไม่ใส่ใจ ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไร บัดนี้ไม่คิดว่าจะพูดคำพูดน่าเกลียดเช่นนี้ออกมาอีก ช่างทำให้คนสุดจะทนจริงๆ
มั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดของหรวนหลิงซิ่ว ปฏิกิริยาแรก ก็คือดึงก้อนอิฐออกฟาดไปที่ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอย่างแรง ทว่าไม่คิดว่ามีคนเร็วกว่านางก้าวหนึ่ง เห็นเพียงจอกสุราใบหนึ่งพร้อมด้วยคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงบินมา ซัดถึงตัวหรวนหลิงซิ่ว นางก็บินออกนอกประตูโถงดอกไม้ไปตรงๆ หลังจากนั้นอีก ก็ได้ยินเสียงปึงเสียงหนึ่ง เป็นเสียงของหนักตกพื้น
มั่วชิงเฉินเป๋อเหลอ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเยี่ยเทียนหยวน
“ขออภัย สร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนมองตาของมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างลำบาก พูดจบก็เดินไปทางประตูเงียบๆ อ้อมผ่านหรวนหลิงซิ่ว ยิ่งเดินยิ่งไกล
หรวนหลิงซิ่วแม้ถูกจอกสุราของเยี่ยเทียนหยวนซัดบินออกไป เยี่ยเทียนหยวนกลับออมแรงไว้ นางเพียงแต่ชะงักชั่วครู่ก็กระโดดขึ้นมา มองแผ่นหลังของเยี่ยเทียนหยวนพลางร้องเสียงแหลมว่า “เยี่ยเทียนหยวน ท่านชอบนางใช่หรือไม่ ดี ดี วันนี้ข้าก็จะขีดหน้าของนางให้เละ ดูท่านยังชอบหรือไม่!”
เพิ่งสิ้นเสียง ก็เหมือนอสูรร้ายที่บ้าคลั่งโถมใส่มั่วชิงเฉิน
เยี่ยเทียนหยวนร่ายวิชารีบย้อนกลับมา หรวนหลิงซิ่งและมั่วชิงเฉินก็สู้อยู่ด้วยกันแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าท่ามกลางคนมากมาย ตนต้องมาสู้กับหญิงบ้าคนหนึ่งเพื่อผู้ชายคนหนึ่งอย่างพิลึก ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน ทว่าสิ่งที่หรวนหลิงซิ่วพูดอีกทั้งยังมีสิ่งที่ทำกับตนในปีนั้น กลับทำให้ความดื้อรั้นของนางกำเริบขึ้น ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เคยลืมที่ถูกตบหน้าหลายฉาดในปีนั้นหรอกนะ
ดังนั้นไม่ลังเลอีกต่อไป ดึงก้อนอิฐออกมาฟาดใส่หรวนหลิงซิ่วอย่างดุดัน เวลาเช่นนี้นางไม่อยากพูดถึงความพิถีพิถันใดๆ ทั้งนั้น รู้สึกเพียงว่าเช่นนี้ถึงสะใจ
มั่วชิงเฉินและหรวนหลิงซิ่วต่างอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ทั้งสองคนเลื่อนขั้นมาไม่นานเช่นกัน ทว่ามั่วชิงเฉินผ่านการฝึกตนมามาก ฆ่าอสูรปีศาจที่ทะเลขนาบใจตามลำพังไม่รู้ตั้งเท่าไร หรวนหลิงซิ่วที่ถูกทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กจะเทียบได้อย่างไร
เพียงครู่เดียว ก็ถูกมั่วชิงเฉินหาช่องโหว่พบ ก้อนอิฐที่ส่องประกายทองแวววับตบลงบนหน้าหรวนหลิงซิ่วเต็มๆ
“เด็กพวกนี้ นับวันยิ่งเหลวไหล!” เห็นหรูอวี้เจินจวินสีหน้าน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เสวียนหั่วเจินจวินรีบพูดขึ้น ตั้งแต่เกิดเรื่องถอนหมั้น เสวียนหั่วเจินจวินเมื่ออยู่ต่อหน้าหรูอวี้เจินจวินก็จะรู้สึกเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บ้าง
หรูอวี้เจินจวินฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง “ยังไม่เพราะปัญหาที่ชนรุ่นหลานของท่านคนนั้นก่อไว้!”
“นี่ นี่จะโทษเขาได้เช่นไรล่ะ” เสวียนหั่วเจินจวินพึมพำว่า
ในยามนี้เองก็ได้ยินหลิวซางเจินจวินจิ๊ๆ สองเสียงว่า “เอ๊ะ ดูแล้วศิษย์หลานข้านั่นยังพอมีฝีมืออยู่บ้าง”
หรูอวี้เจินจวินโกรธจนหงายหลัง การกระทำของหลานสาวคนนั้นของนาง ก็ทำให้นางไม่มีหน้าพบผู้คนแล้ว หลิวซางเจินจวินพูดเช่นนี้ ไม่ต่างกับราดน้ำมันบนกองไฟ
“เอาล่ะ เห็นเด็กๆ ตีกัน พวกเจ้าก็ตีกันตามขึ้นมาคงไม่ได้หรอกนะ” โส่วเต๋อเจินจวินขยับตัวแวบหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นที่โถงดอกไม้ ตะโกนเสียงร้ายกาจว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ศิษย์ทุกคนเงียบกริบในทันที
โส่วเต๋อเจินจวินกวาดสายตาผ่านทุกคนปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หากไม่เพราะวันนี้เป็นพิธีฉลองการเลื่อนขั้นเล็กของหลิวซางเจินจวิน เดิมไม่ควรปล่อยพวกเจ้าออกมา บัดนี้ดูแล้ว ขังพวกเจ้าไว้น้อยไปแล้วจริงๆ เยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉิน หรวนหลิงซิ่ว ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเจ้าสามคนไปโถงลงทัณฑ์ให้หมด ภายในสามปีห้ามออกมา!”
ตอนที่ 197 ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปด
โถงลงทัณฑ์?
ได้ยินสามคำนี้ ศิษย์ที่อยู่ที่นี่หดศีรษะอย่างไม่รู้ตัว นี่เป็นสถานที่ที่ไม่น่ารื่นรมย์จริงๆ แต่ก่อนรู้สึกว่าโถงลงทัณฑ์ห่างไกลกับพวกเขาเหลือเกิน ทว่าระยะนี้ถึงพบว่า คนที่เข้าออกบ่อยๆ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนในแวดวงพวกเขา เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว จึงต่างอดเป็นห่วงความเป็นไปของตนขึ้นมาไม่ได้ หูกลับกางไว้ สายตายิ่งอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมเบนออกแม้ครึ่งส่วน
มั่วชิงเฉินหน้ามืด สามปี? นางเพิ่งกลับมาได้สามวันรู้หรือไม่ ไม่รู้ว่าจากไปยามนี้ยังทันหรือไม่?
“ท่านน้า…” หรวนหลิงซิ่วน้ำตาคลอเบ้ามองหรูอวี้เจินจวิน รอยก้อนอิฐบนใบหน้ากลับสะดุดตาเหลือเกิน มองไปเห็นเพียงความตลก หาใช่ความบอบบาง
หรูอวี้เจินจวินหน้าบึ้งเล็กน้อย หันหน้าบอกโส่วเต๋อเจินจวินว่า “ศิษย์พี่โส่วเต๋อ นางหนูหลิงซิ่วนี่หลายปีมานี้ก่อปัญหาในสำนักไว้ไม่น้อย เดิมทีข้าคิดว่านางอายุมากขึ้นควรจะสำรวมขึ้นบ้าง ใครจะรู้ว่ากลับนับวันยิ่งเอาแต่ใจขึ้น ศิษย์พี่ไม่สู้เห็นแก่หน้าน้องสักครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องขังนางเข้าโถงลงทัณฑ์แล้ว ข้าจะสั่งให้ศิษย์ส่งนางกลับสำนักลั่วสยาเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดออกไป หรวนหลิงซิ่วกลับหน้าถอดสี ร้องด้วยความตกใจว่า “ท่านน้า!”
หลายปีมานี้นางอยู่พรรคเหยากวง หนึ่งเพราะหรูอวี้เจินจวินคือน้าแท้ๆ ของนาง ความรักใคร่เอ็นดูที่มีให้นางไม่จำเป็นต้องพูดถึง สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ยังเพราะสามารถเห็นคนคนนั้นสักปราดหนึ่งเป็นระยะระยะ
แม้วันเวลาที่เขาอยู่ในสำนักมีไม่มาก ทว่าอย่างไรเสียเว้นสักไม่กี่ปีก็จะได้พบเข้าสักครั้ง ทว่าหากกลับสำนักลั่วสยาที่ห่างจากที่นี่แสนกว่าลี้แล้วล่ะก็ ชีวิตนี้หากคิดจะพบคู่เวรคู่กรรมนั่นอีก ก็ความหวังริบหรี่แล้ว
มองดูหน้าตาวิงวอนของหลานสาว หรูอวี้เจินจวินถอนใจ
พี่สาวแท้ๆ ของตนหกร้อยกว่าปีก่อนแต่งงานกับบุตรเจ้าสำนักลั่วสยาในยามนั้น ทั้งสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมที่ใครๆ ก็อิจฉา น่าเสียดายชั่วชีวิตหยุดอยู่แค่ระดับก่อแก่นปราณ ยามที่อายุถึงเจ็ดร้อยกว่าปีตัดความคิดที่จะเลื่อนขั้นระดับก่อกำเนิด พยายามสุดความสามารถทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขไว้ให้สามี ก็คือหรวนหลิงซิ่ว ผ่านไปไม่นาน พี่สาวก็ดับสูญแล้ว ตนแม้เป็นเจินจวินระดับก่อกำเนิด สำหรับหลานสาวเพียงคนเดียวแล้วยังคงทนไม่ไหวต้องตามใจและเอ็นดู นี่ถึงเลี้ยงจนนางมีนิสัยเช่นนี้ บัดนี้ดูแล้ว กลับเป็นการทำร้ายนางแล้ว
“หลิงซิ่ว เจ้าไม่ต้องพูดมาก หลายปีมานี้เจ้าไม่ได้กลับสำนักลั่วสยาเลย บิดาเจ้าส่งจดหมายมาหลายครั้งล้วนพูดถึงเรื่องนี้ ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้เจ้าก็กลับไปเถอะ” หรูอวิ้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบ
หรวนหลิงซิ่วสีหน้าค่อยๆ ซีดเซียว นางรู้ว่าแม้ท่านน้ารักเอ็นดูตน ทว่าเมื่อใดที่ตัดสินใจแล้ว จะปล่อยให้ตนคอยบงการได้อย่างไร ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มีผู้ใดบ้างที่จิตใจไม่แน่วแน่
“เจ้าค่ะ ท่านน้า หลิงซิ่วทราบแล้ว” หรวนหลิงซิ่วก้มหน้าลงเอ่ยอย่างว่าง่าย ไม่มีท่าทีดุร้ายเหมือนยามที่สู้กับมั่วชิงเฉินเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ทว่าสายตาที่มองมาทางมั่วชิงเฉิน กลับอำมหิตหาใดเปรียบไม่ได้
ยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพวกนั้นก็รุดมาแล้ว ย่อมรวมทั้งนักพรตเหอกวงกู้หลีอยู่ในนั้นด้วย
มั่วชิงเฉินเบิกตาดอกท้ออันแวววาว มองอาจารย์ตาปริบๆ เป็นครั้งแรกที่เคืองผมข้างหน้าบังสายตาไปครึ่งใหญ่ กระทบต่อผลการวิงวอน
กู้หลีมองดูท่าทางน่าสงสารของศิษย์ ปากขยับแล้วขยับอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร การลงโทษของผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งไม่เกินไป อย่าว่าแต่เป็นเขา ต่อให้เป็นอาจารย์หลิวซางเจินจวิน ก็ไม่มีจุดยืนในการขอร้อง มิเช่นนั้นผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งจะเอาศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือไปไว้ไหน
แม้พูดเช่นนี้ สุดท้ายกู้หลีก็ถูกสายตาของศิษย์มองจนทนไม่ไหว จึงมองตอบนางด้วยแววตาปลอบใจ
นักพรตจื่อซีที่คอยสังเกตทั้งสองคนมาตลอดตกใจจนตาเบิกโพลง นี่…นี่ใช่ศิษย์น้องเล็กที่นิ่งดุจขุนเขา แสงแห่งเทพเจิดจ้าคนนั้นหรือไม่?
ไยนางดูแล้ว กลับเหมือนเป็น…
เห็นอาจารย์ไม่พูด มั่วชิงเฉินโมโหเอียงหน้าไป ถูกศิษย์ผู้ดูแลนำไปโถงลงทัณฑ์อย่างยอมรับชะตา ในใจกลัดกลุ้มจนกระอักเลือด นี่ตนไม่ใช่ประสบเคราะห์โดยที่ไม่รู้เรื่องหรอกหรือ สุดท้ายคนที่ก่อเรื่องกลับตบก้นกลับบ้านไป ตนกลับต้องไปเที่ยวโถงลงทัณฑ์ในตำนาน นึกถึงตรงนี้ อดเงยหน้าถลึงตาใส่เยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งไม่ได้
เยี่ยเทียนหยวนขยับมุมปาก ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองคนถูกพาไปถึงเทือกเขาที่อยู่ลึกที่สุดในเขาโฮ่วเต๋อ แต่ละเขามีถ้ำอยู่เขาละถ้ำ นอกเหนือจากนี้ไม่มีอื่นใดอีก
มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าโถงลงทัณฑ์ไม่ใช่ห้องหับหอสูงตามที่ตนจินตนาการไว้ แต่กลับเป็นถ้ำพวกนี้หรือ?
กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินศิษย์ผู้ดูแลที่นำพวกเขามาเอ่ยขึ้นตามคาดว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองเชิญเข้าถ้ำหมายเลขแปดเถอะ”
มั่วชิงเฉินยกตามองไป ก็เห็นปากถ้ำบนยอดเขาถ้ำหนึ่งแขวนป้ายไว้แผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนว่าถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปด
เมื่อมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเพิ่งก้าวเข้าถ้ำ ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นก็ถือป้ายหยก แกว่งใส่ปากถ้ำ ปากร่ายคาถา แล้วก็เห็นปากถ้ำแสงสว่างเจิดจ้า ปรากฏเขตอาคมสีเขียวขาวขึ้นสายหนึ่ง
“ศิษย์พี่ทั้งสอง สามปีให้หลังยามที่เขตอาคมหมดฤทธิ์ ก็คือวันที่พวกท่านออกมา รักษาตัวด้วย ศิษย์น้องขออำลาแล้ว” ศิษย์ผู้ดูแลสองคนสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ คารวะพร้อมกันทีหนึ่งแล้วหันหลังจากไป
จนกระทั่งเดินไปไกลแล้ว ศิษย์ผู้ดูแลสองคนยังวิจารณ์เสียงเบาอยู่
“ไม่รู้ศิษย์พี่เยี่ยท่านนั้นวันนี้ทำผิดอะไรอีกนะ ไม่ถึงหนึ่งปีก็เข้าไปสองครั้งแล้ว ศิษย์พี่หญิงผู้นั้นเป็นใครอีก ดูเหมือนไม่ใช่สองสามคนคราวที่แล้ว?” ศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งเอ่ย
เรื่องที่เกิดขึ้นที่โถงดอกไม้เมื่อครู่ พวกเขาศิษย์หัวกะทิธรรมดาพวกนี้ยังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่จู่ๆ ถูกเจ้าโถงโถงลงทัณฑ์เรียกตัวด่วน รับคำสั่งพาสองคนนี้ไปโถงลงทัณฑ์
ศิษย์ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งแม้ไม่รู้ความ หน้าตากลับเฉลียวฉลาดกว่ามาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเดาว่าศิษย์พี่หญิงผู้นั้น น่าจะเป็นศิษย์พี่มั่วที่เล่าลือกันกระมัง วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ยังไม่รู้ ทว่าผู้เฒ่าอันดับหนึ่งโกรธมากกว่าคราวที่แล้วแน่นอน ไม่เห็นหรอกหรือว่าถูกลงโทษไปถ้ำหมายเลขแปดน่ะ?”
“จิ๊ๆ ถ้ำหมายเลขแปดหรือนี่ ขอให้พวกเขาทนไหวด้วยเถอะ” ศิษย์คนก่อนหน้าส่ายศีรษะ นึกถึงถ้ำหมายเลขแปด ขาก็สั่น
“ไปเถอะ ไปเถอะ รีบไปถามดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คิดว่ายามนี้ในสำนักต้องลือไปทั่วแล้วกระมัง” ศิษย์อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างเรื่องไม่เกี่ยวกับตน
ตามที่เขตอาคมผนึกปากถ้ำขึ้นมา มั่วชิงเฉินแข็งใจเดินไปข้างใน แล้วก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเข้ากระดูกเป็นสายๆ สีหน้าอดซีดแล้วซีดอีกไม่ได้
ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดนี้ ไม่คิดเลยว่าจะไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณของตนมากันหนาวได้ ทำได้เพียงเหมือนคนธรรมดาใช้ร่างกายฝืนทนไอเย็นเท่านั้น คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้ทั้งสามปีกระมัง ทั้งไม่สามารถนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร และก็ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณฝึกคาถา นี่ต่างอะไรกับติดคุก อีกทั้งยังเป็นคุกน้ำที่หนาวเย็นอีกด้วย
ในทางเดิน ลมหนาวเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งพัดมากะทันหัน มั่วชิงเฉินอดตัวสั่นไม่ได้ ยามเดียวกับที่ขมวดคิ้วก็แอบคิดว่าตนโชคดีที่หลายปีก่อนหน้านี้ได้ฝึกฝนร่างกายท่ามกลางน้ำตกในลำธารน้ำแข็งมาตลอด หากไม่เช่นนั้นแล้วยามนี้เกรงว่าคงแย่แล้ว
“ศิษย์น้องมั่ว” เยี่ยเทียนหยวนที่ไม่พูดสักแอะมาตลอดในที่สุดก็อ้าปากอย่างยากลำบาก เข้าใกล้นางก้าวหนึ่ง
ทางเดินคับแคบ มั่วชิงเฉินไม่มีที่ให้ถอย ทว่าเยี่ยเทียนหยวนเมื่อเข้าใกล้นางที่ความห่างระดับหนึ่ง ใจของนางก็อดเต้นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งไม่ได้
สมควรตาย ความรู้สึกประหลาดที่น่าโมโหเช่นนั้นมาอีกแล้ว กระทั่ง กระทั่งยังมีวี่แววว่าจะยิ่งรุนแรงขึ้น
เยี่ยเทียนหยวนดูเหมือนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ชะงักอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับอีก แล้วมองมั่วชิงเฉินอย่างโง่งม
บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนดูเหมือนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งสามารถได้ยินเสียงใจเต้นของทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจนในถ้ำที่เงียบสงัดนี้ ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนต่อไปไม่ไหว ถามอย่างลำบากว่า “ศิษย์พี่เยี่ย ท่าน…ท่านเรียกข้าด้วยเหตุอันใด?”
บนใบหน้าเยี่ยเทียนหยวนฉายแววทุลักทุเลแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “ศิษย์น้องมั่ว ในถ้ำนี้แม้ขับเคลื่อนพลังวิญญาณป้องกันความหนาวไม่ได้ กลับ…กลับสามารถบำเพ็ญเพียรได้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มพลังวิญญาณในร่างกาย ดังนั้นเจ้า…เจ้าวางใจได้ หากมีเรื่องอะไร ก็เรียกข้า…”
เพิ่งสิ้นเสียงก็แวบไปถึงห้องศิลาห้องหนึ่งในถ้ำด้วยความเร็วอันยิ่งยวด
มั่วชิงเฉินถึงพบว่าลึกเข้าไปในทางเดินนี้ทั้งสองข้างมีห้องศิลาข้างละสองห้อง นางโล่งอกเช่นเดียวกัน ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน หากต้องอยู่ด้วยกันกับเขาเช้าเย็นตลอดสามปีนี้ นางไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะสามารถควบคุมความรู้สึกประหลาดเช่นนี้ได้ตลอดรอดฝั่งจริงๆ
ก้าวเข้าห้องศิลา มั่วชิงเฉินพบว่าไอเย็นที่นี่ยิ่งทรมานยิ่งขึ้น ฝาผนังสีขาวดุจหิมะเปรียบดังน้ำแข็งแกะสลัก ใกล้กับมุมกำแพงมีเตียงหยกน้ำแข็งตัวหนึ่ง สามารถเห็นได้ด้วยตาถึงไอเย็นเป็นสายๆ ที่พุ่งออกมาข้างนอก นอกเหนือจากนี้ ก็คือมุกราตรีเม็ดใหญ่ที่แขนอยู่บนกำแพง
ทว่าไอเย็นเยียบนี้ กลับทำให้สมองนางกระจ่างขึ้นมา ความรู้สึกประหลาดเมื่อครู่หายไปเหมือนหมอกควันทันที
สีหน้ามั่วชิงเฉินยิ่งซีดหนักขึ้น ทำใจแข็งนั่งขัดสมาธิบนเตียงหยกน้ำแข็ง รีบเข้าฌานบำเพ็ญเพียรขึ้นมา
เมื่อได้เข้าฌานบำเพ็ญเพียร มั่วชิงเฉินถึงพบว่าพลังวิญญาณในร่างกายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ายามปกติ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความหนาวเย็นที่เสียดแทงกระดูกกลับห่อหุ้มทุกตารางนิ้วของร่างกายไว้ตลอดเวลา กระทั่งเพราะการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณในร่างกาย ความสามารถในการต้านหนาวของร่างกายแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย การสัมผัสไอเย็นทางด้านจิตใจกลับยิ่งไวขึ้น
มั่วชิงเฉินอดน้ำตานองหน้าไม่ได้ โส่วเต๋อเจินจวิน ท่านแน่มาก!
ส่วนในห้องห้องหนึ่ง เสวียนหั่วเจินจวินถือพัดกกขาดๆ กระโดดขึ้นมา “อะไรนะ ศิษย์พี่โส่วเต๋อ ท่าน ไม่คิดเลยว่าท่านจะให้พวกเขาสองคนไปถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดพร้อมกัน?”
โส่วเต๋อเจินจวินพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ถูกต้อง”
หรูอวี้เจินจวินขมวดคิ้วว่า “ศิษย์พี่โส่วเต๋อ พวกเขาสองคนชายหญิงแตกต่าง อีกทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว นี่ นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”
หลิวซางเจินจวินตบขาว่า “นั่นน่ะสิ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนที่เสียเปรียบยังไม่ใช่ศิษย์หลานคนนั้นของข้าหรอกหรือ ไม่ได้ๆ อีกอย่าง ถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดนั่น ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสูญเสียพลังวิญญาณป้องกันความหนาว ยังทนไม่ค่อยไหว พวกเขาเด็กสองคน คนหนึ่งระดับสร้างรากฐานระยะปลาย สงสารศิษย์หลานข้าคนนั้นเพิ่งอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง จะทนไหวได้อย่างไรกัน?”
มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งหน้าตาเมตตา รูปร่างอ้วนท้วนดื่มน้ำชาอึกหนึ่งเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตน ยิ้มตาหยีฟังอยู่ คนผู้นี้ก็คือเหิงตั๋วเจินจวินเจ้าหุบเขาเขาต้วนจิน
โส่วเต๋อเจินจวินดื่มน้ำชาอึกหนึ่งอย่างสุขุม ถึงเอ่ยว่า “ศิษย์น้องทั้งหลายร้อนใจอะไร หลายปีมานี้เด็กพวกนี้ก่อเรื่องมากมาย นับวันเอาแต่ใจขึ้น ข้าเห็นว่าไฟในทรวงฮึกเหิมเกินไป ขังไว้ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดจะได้ลดไฟในทรวงไปบ้าง ส่วนเรื่องอื่น พวกเจ้าจะกังวลไปไย สามปีให้หลังเป็นเช่นไร ล้วนเป็นผลจากการทดสอบขัดเกลา”
ไม่กี่คนนี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เมื่อโส่วเต๋อเจินจวินพูดเช่นนี้ ก็คิดเหตุผลที่แฝงอยู่อย่างทะลุปรุโปร่งทันที จึงเอ่ยพร้อมกันว่า “ศิษย์พี่กล่าวได้ถูกต้อง”
พริบตาเดียวผ่านไปหลายเดือน มั่วชิงเฉินที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดกลับทนไม่ค่อยไหวแล้ว
หลายเดือนมานี้ นางและเยี่ยเทียนหยวนไม่ว่าใครก็ไม่ได้ออกจากห้องศิลาแม้ครึ่งก้าว ยิ่งไม่มีการสนทนาใดๆ ความทรมานในด้านจิตใจยากจะเอ่ยเป็นคำพูด นี่ก็ช่างเถอะ เดิมทีนางนึกว่าจะค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับไอเย็นในถ้ำได้ ทว่าใครจะรู้ว่าไอเย็นนั่นกลับดูเหมือนมีจิตวิญญาณ ไม่คิดเลยว่าจะรุนแรงขึ้นตามเช่นกัน
ในวันนี้ เมื่อกระแสความเย็นที่ยิ่งหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งมุดเข้ามาในซอกประตูศิลา รุกรานเข้าร่างกายมั่วชิงเฉินนั้น ในที่สุดนางก็ครวญอย่างอัดอั้นเสียงหนึ่ง ค่อยๆ ล้มลงบนเตียงหยกน้ำแข็ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น