เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 190-203

ตอนที่ 190 ไปด้วยไม่ได้

 

จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ “คนดี อย่าโกรธเลยนะ เดี๋ยวคืนนี้ผมกลับไปชดเชยให้คุณนะ” 


 


 


ใบหน้าเธอร้อนผ่าว เอ่ยตอบอย่างเก้อเขิน “คนบ้า” 


 


 


เขาเอ่ยปลอบอีก “คุณรอผมนะ เดี๋ยวผมตามไป” 


 


 


สองหนุ่มสาวคุยกันอีกชั่วครู่จึงวางสายลง 


 


 


ตอนนี้ไม่ต้องรีบแล้ว เธอจึงค่อยๆ เก็บของที่เหลือ จากนั้นเดินลงไปทานอาหารเช้าที่ชั้นล่าง สักพักจึงมีรถมารับเธอไปสนามบินโดยเฉพาะ 


 


 


วันนี้อาอวี่มาทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้เธอ เขาหายหน้าหายตาไปนาน จู่ๆ วันนี้ก็โผล่มาขับรถให้เธอจึงดีใจไม่น้อย เธอยิ้มทักทายเขา “อาอวี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ” 


 


 


สีหน้าของอาอวี่แปลกๆ แต่เธอเห็นแล้วไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคงยิ้มให้เขาเหมือนเดิม “จิ้นหยวนโยกนายไปทำอย่างอื่นเหรอ?” 


 


 


เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ครับ ผมเพิ่งกลับจากไปทำธุระที่ต่างประเทศครับ” 


 


 


“อ้อ อย่างนี้นี่เอง แล้วอาฮุยล่ะ?” เธอถามยิ้มๆ วันนี้เธออารมณ์ดีมากจึงพูดมากกว่าปกติ 


 


 


อาอวี่ส่ายศีรษะเล็กน้อย “เจ้านายให้เขาไปทำธุระ น่าจะอีกหลายวันถึงจะกลับมาครับ” 


 


 


วันนี้เขาตอบคำตามแบบถามคำตอบคำ ซึ่งแตกต่างจากชายหนุ่มที่เคยชอบเจรจาพาทีราวกับเป็นคนละคนกัน 


 


 


เธอคุยกับเขาอีกเล็กน้อยแล้วเงียบไป บรรยากาศในรถเงียบเป็นเป่าสาก เขาแอบชำเลืองมองเธอจากกระจกมองหลัง และรู้สึกโล่งอกโล่งใจมากเมื่อเห็นว่าเธอไม่มีทีท่าว่าจะคุยกับเขาอีก   


 


 


เขาเป็นคนสงบปากสงบคำมากกว่าอาฮุย และไม่มีทางพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด เจ้านายถึงได้ส่งเขามารับคุณเฉียวแทน ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาคิด ดูเหมือนคุณเฉียวจะไม่ได้สงสัยอะไร ตอนแรกเขาระมัดระวังตัวมาก ตอนนี้ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง 


 


 


กระนั้น เขายังคงแอบกังวลใจไม่น้อย ถ้าเกิดเธอรู้ว่าพวกเขาช่วยกันปกปิดเธอ ถึงตอนนั้นเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันนะ? 


 


 


เขาแอบคิดอยู่เงียบๆ คนเดียว ยังคงไม่กล้าพูดอะไรเหมือนเดิม เขาใช้เวลาขับรถประมาณหนึ่งชั่วโมงจึงไปถึงสนามบิน 


 


 


เธอทอดสายตามองดูเครื่องบินที่กำลังขึ้นลงผ่านกระจกหน้าต่างรถยนต์ เธอนิ่วหน้าเล็กน้อยยามได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของเครื่องบิน เธอยังไม่รีบร้อนลงจากรถจึงเอ่ยถามอาอวี่ “นายรู้หรือเปล่าว่าจิ้นหยวนจะมาถึงกี่โมง?” 


 


 


อาอวี่ส่ายศีรษะ “เราไม่ก้าวก่ายเรื่องของเจ้านายครับ” 


 


 


เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ของจิ้นหยวนอย่างคุ้นเคย 


 


 


แต่คราวนี้กลับไม่มีคนรับสาย 


 


 


นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เธอเกือบจะคิดว่าตัวเองจำเบอร์โทรศัพท์ของเขาผิดเสียแล้ว เพราะเธอลองโทรศัพท์หาเขาอีกครั้ง และยังคงไม่มีคนรับสายเหมือนเดิม เธอใจหายวาบ ทันใดนั้น เสียงตื่นเต้นของอาอวี่ดังขึ้น “เจ้านายมาแล้ว” 


 


 


จริงเหรอ? หัวใจเธอเต้นแรง รีบชายตาขึ้นมองดูทันที ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า ร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา แต่เธอเห็นเขาแล้วหัวใจห่อเ**่ยวลงทันที 


 


 


ไม่ใช่เขา นั่นไม่ใช่เขา เธอจำรูปร่างของเขาได้ดี แม้รูปร่างของชายคนนั้นจะเหมือนจิ้นหยวนมาก แต่รูปร่างของเขาล่ำสันกว่าจิ้นหยวนเล็กน้อย ท่าทางการเดินก็ไม่เหมือนกัน เธอมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่จิ้นหยวน 


 


 


ไม่รู้ว่าอาอวี่เห็นเป็นจิ้นหยวนได้อย่างไร เธอส่งสายตามองอาอวี่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นั่นไม่ใช่เขา” 


 


 


อาอวี่ชะงักนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เธอถอนสายตาจากเขาแล้วเริ่มกดโทรศัพท์หาจิ้นหยวนอีกครั้ง 


 


 


ทันใดนั้น ชายคนนั้นเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างรถ เขาก้มกายลงเคาะกระจกหน้าต่างรถยนต์ เธอชายตาขึ้นมองพลันสบเข้ากับดวงตาคุ้นเคยคู่หนึ่ง “นายเองเหรอ?” 


 


 


นั่นมันหนึ่งในพี่น้องของจิ้นหยวนที่ชื่อสวี่จิ้งนี่นา เธอเคยเจอเขาครั้งหนึ่ง เขาเป็นพี่น้องคนที่เท่าไหร่นะ? ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นน้องห้า 


 


 


เธอมองเขาด้วยความสงนสนเท่ห์ เขาทำมือเป็นสัญญาณให้เธอเปิดกระจกรถ เธอเปิดกระจกรถด้วยความงุนงง สีผิวของสวี่จิ้งคล้ำกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ให้ความรู้สึกสุขุมเยือกเย็นและพึ่งพิงได้ เขาเอ่ยเสียงสุขุม “คุณเฉียว ท่านประธานส่งผมมารับคุณครับ” 


 


 


“เขา… เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอกวาดสายตามองไปทั่ว “ทำไมเขาถึงยังไม่มาล่ะ?” 


 


 


สวี่จิ้งถือว่าเป็นคนที่สุขุมที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด รูปร่างสูงใหญ่ของเขาให้ความรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษ “พี่ใหญ่ติดธุระด่วนก็เลยให้ผมล่วงหน้ามาบอกคุณว่าให้คุณออกเดินทางก่อน เขาจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบตามคุณไปครับ” 


 


 


“เกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?” สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นในสมองของเธอคือเขาต้องเจอปัญหาอย่างแน่นอน เธอจึงรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ จากนั้นหันไปสั่งอาอวี่ “นายไปกลับรถเดี๋ยวนี้ เราจะกลับบ้านกัน” 


 


 


เกิดเรื่องขึ้นกับเขาแบบนี้เธอจะนั่งนิ่งดูดายไม่ได้เด็ดขาด ถึงเธอจะช่วยอะไรไม่ได้แต่เธอก็อยากจะอยู่เป็นกำลังใจข้างกายเขา 


 


 


สวี่จิ้งรีบเอ่ยห้ามทันควัน “อย่าดีกว่าครับ พี่ใหญ่บอกแล้วว่าเป็นแค่เรื่องเล็ก ใช้เวลาจัดการไม่นานหรอกครับ พี่ใหญ่ให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณก่อน เดี๋ยวเขาจะตามมาสมทบทีหลังครับ”  


 


 


“จริงเหรอ?” เธอเริ่มระแวง “แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกฉันเองล่ะ?” 


 


 


เธอหวนนึกถึงเรื่องที่เขาไม่รับโทรศัพท์แล้วยิ่งรู้สึกว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ เธอไม่ยอมฟังสวี่จิ้งอีก แต่หันไปสั่งอาอวี่แทน “นายไปกลับรถเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ไปมิลานแล้ว” 


 


 


สวี่จิ้งเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของเธอแล้วเริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้าง พี่ใหญ่สั่งเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะต้องส่งเธอไปมิลานให้ได้ ใครจะไปคิดว่าเธอจะไม่ยอมลงจากรถ แล้วตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี? 


 


 


เฉียวซือมู่เห็นอาอวี่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจึงเปิดประตูรถออกด้วยความร้อนรนใจ “ถ้านายไม่กลับฉันจะนั่งแท็กซี่กลับเอง” 


 


 


อาอวี่ก็ร้อนใจไม่น้อย ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเธอจะเป็นห่วงจิ้นหยวนมากเสียจนไม่ยอมไปมิลาน 


 


 


เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขัดจังหวะขึ้นพอดี หัวใจเธอเต้นแรงยามได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งเอาไว้เป็นพิเศษ เธอกดรับสายแล้วได้ยินเสียงคุ้นเคยของจิ้นหยวนดังลอดออกมา “ที่รัก ขอโทษนะ พอดีเมื่อกี้ผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย ก็เลยไม่ได้รับสายคุณ” 


 


 


“นั่นไม่สำคัญหรอกค่ะ” เธอได้ยินเสียงของเขาแล้วรู้สึกโล่งอกมาก แต่เธอยังมีคำถามมากมายอยู่ในใจ “พวกเขาบอกว่าคุณไปไม่ได้แล้ว ให้ฉันไปมิลานคนเดียว เกิดอะไรขึ้นกับคุณคะ?”  


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยอย่างสุขุม “พวกเขาพูดตามที่ผมสั่ง ตอนนี้ผมติดธุระด่วนจนปลีกตัวไปไม่ได้ คุณเดินทางไปก่อนได้ไหม? เดี๋ยวผมจะรีบตามคุณไป อย่างช้าอาจจะเป็นพรุ่งนี้หรือไม่ก็มะรืนนี้” 


 


 


“ไม่เอา ฉันจะอยู่กับคุณ” เธอปฏิเสธทันควัน 


 


 


“ไม่ต้องหรอก คุณอยากไปดูแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นล่าสุดไม่ใช่เหรอ? คืนนี้คุณไปถึงที่นั่นก็ได้ดูโชว์พอดี ผมจองที่นั่งที่ดีที่สุดเอาไว้ให้คุณด้วยนะ คนดี เชื่อผมนะ เดี๋ยวผมตามคุณไปทีหลัง” 


 


 


“แต่ว่า…” เธออยากดูแฟชั่นโชว์มากก็จริง แต่เธออยากอยู่กับเขามากกว่า 


 


 


เขาสัมผัสได้ถึงความดื้อดึงในน้ำเสียงของเธอจึงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมอีก “ธุระของผมแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ผมแค่ตามหลังคุณไปนิดเดียวเอง คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เข้าใจไหม? คนดี ผมรักคุณ” 


 


 


เธอได้ยินคำพูดหวานหยดย้อยของเขาแล้วหน้าแดงซ่านทันที เธอเอ่ยอย่างเขินอายเสียงเบา “ไม่อายคนอื่นเขาหรือไง ตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วยนะ” 


 


 


เขารีบฉวยโอกาสทันที “เดี๋ยวผมให้น้องห้าไปเป็นเพื่อนคุณ เขาคุ้นเคยกับที่นั่นมาก คุณต้องอยู่ใกล้เขาเอาไว้ อย่าให้คลาดกันล่ะ เข้าใจไหม?”  

 

 


ตอนที่ 191 สวี่จิ้งไปเป็นเพื่อน

 

“ก็ได้” ในที่สุดเธอก็รับปากเขาจนได้ ไม่ใช่เพราะแฟชั่นโชว์ที่เขาพูดถึง หากแต่เป็นเพราะน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักของเขาที่แฝงความร้อนรนเล็กๆ นั่นต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอคุ้นเคยกับเขามากก็คงจะฟังไม่ออก 


 


 


ดูเหมือนว่าเขาจะติดธุระด่วนที่บอกเธอไม่ได้จริงๆ ขืนเธอยังดื้อดึงอยู่อีกคงไม่ดีแน่ หลังจากใคร่ครวญแล้วเธอจึงยอมตอบตกลง  


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยยิ้มๆ “มู่มู่เก่งมาก คุณอยู่กับเขานะ อย่าไปไหนคนเดียว รอผมจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบตามไปหาคุณทันที เข้าใจไหม?” 


 


 


“อืม คุณต้องรีบมานะคะ” เธอรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูโล่งอก จึงแสร้งทำเป็นไม่ถือสาเขาอีก 


 


 


“แน่นอน ผมอยากจะไปอยู่ข้างๆ คุณตอนนี้เลยด้วยซ้ำ” 


 


 


“แล้วเจอกันค่ะ” เธอกัดริมฝีปากแน่น ในใจไม่อยากอยู่ห่างเขาเลย 


 


 


สวี่จิ้งได้ยินว่าเธอยอมไปกับเขาแล้วค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาหน่อย เขาแอบคิดว่าพี่ใหญ่รู้จักเธอดีที่สุด และเดาออกว่าเขากับอาอวี่เกลี้ยกล่อมเธอไม่สำเร็จแน่ 


 


 


เธอเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วหันไปบอกสวี่จิ้ง “ไปกันเถอะ” 


 


 


สวี่จิ้งเปิดประตูรถให้เธอ เธอลงจากรถแล้วยืนตัวตรง หันไปส่งยิ้มตามมารยาทให้เขา “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะคะ” 


 


 


เขาเป็นคนพูดน้อย ได้ยินคำพูดของเธอแล้วเพียงพยักหน้าเล็กน้อย “วางใจเถอะครับ ผมจะดูแลคุณเป็นอย่างดี” 


 


 


เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงเลยว่าโปรแกรมท่องท่องของเธอกับจิ้นหยวนจะมีอุปสรรคเยอะมากขนาดนี้ ครั้งแรกเจอมรสุมข่าวจนเธอถูกด่าว่าเป็นเมียน้อยจนต้องพับโครงการไป อย่าว่าแต่ออกไปท่องเที่ยวเลย ช่วงนั้นเธอไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเท้าออกจากบ้านด้วยซ้ำ พอคลื่นลมสงบลง ตอนนี้จิ้นหยวนดันมาติดธุระด่วนอีก จากแผนท่องเที่ยวคู่รักกลายเป็นต้องท่องเที่ยวคนเดียวแทน 


 


 


ไม่ใช่สิ จะบอกว่าท่องเที่ยวคนเดียวก็ไม่ถูก เพราะตอนนี้ข้างกายเธอยังมีสวี่จิ้งเพิ่มขึ้นมาอีกคน เธอนั่งอยู่บนเบาะที่นั่งในห้องผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ดูเผินๆ เหมือนเธอกำลังนั่งดูภาพยนตร์ที่กำลังฉายอยู่บนหน้าจอตรงหน้า แต่ความจริงในใจกลับกำลังคิดสะระตะ เธอแอบมองสวี่จิ้งพลางในใจก็แอบคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิ้นหยวนพลาง เกิดปัญหายุ่งยากอะไรที่ทำให้เขาถึงขั้นยอมทำลายแผนท่องเที่ยวแล้วลงมือจัดการด้วยตัวเอง? 


 


 


สวี่จิ้งรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่กำลังแอบมองเขาอยู่ เขาหันไปมองเธอแล้วเอ่ยถาม “อยากดื่มน้ำเหรอครับ?” 


 


 


เอ่ยเสร็จแล้วเรียกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “เปล่า ฉันแค่กำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมถึงต้องรีบร้อนส่งฉันไปมิลานด้วย”  


 


 


สวี่จิ้งได้ยินแล้วถึงกับตัวแข็งทื่อ เธอเห็นท่าทางของเขาแล้วยิ่งมั่นใจว่าตัวเองเดาไม่ผิด จิ้นหยวนให้เธอเดินทางออกนอกประเทศคนเดียว แสดงว่าต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธออยู่ที่นั่นไม่ได้ 


 


 


หลังจากหายตกใจแล้วสวี่จิ้งใช้เวลาตั้งนานกว่าจะควานหากล่องเสียงของตัวเองเจอ “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ ที่พี่ใหญ่มาไม่ได้ก็เพราะติดธุระจริงๆ เขาต้องจัดการธุระนั้นด้วยตัวเองถึงมาไม่ได้” 


 


 


เธอจ้องเขาตาเขม็ง “นายพูดจริงใช่ไหม?” 


 


 


เขาพยายามปั้นหน้าจริงจังและแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อยอย่างพอเหมาะพอเจาะ “คุณไม่ควรระแวงความรักที่พี่ใหญ่มีให้คุณ เท่าที่ผมรู้ คุณเป็นคนที่สำคัญมากที่สุดในใจเขา ถ้าเขารู้ว่าคุณคิดกับเขาแบบนี้ เขาคงเสียใจมาก” 


 


 


เธอฟังแล้วแอบคิดในใจ หรือว่าเมื่อกี้เธอจะคิดมากเกินไป? จิ้นหยวนอาจจะติดธุระจริงๆ ก็ได้ 


 


 


เธอเห็นสีหน้าไม่ค่อยพอใจของเขาแล้วไม่กล้าซักไซ้อะไรอีก ถึงเธอจะเคยเจอเขามาก่อน แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็แทบจะไม่แตกต่างจากคนแปลกหน้าสำหรับเธอ โบราณท่านว่า คบกันแค่ผิวเผินอย่าพูดกันลึกซึ้ง   


 


 


บินไปมิลานต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง และพวกเธอน่าจะถึงที่นั่นประมาณห้าโมงเย็น ถึงที่นั่นแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี จากนั้นค่อยไปดูแฟชั่นโชว์ นี่เป็นแพลนที่เธอกับเขาเคยวางแผนเอาไว้ด้วยกัน ไม่นึกเลยว่าตอนนี้เธอต้องมาติดแหง็กอยู่กับสวี่จิ้งที่แทบจะเป็นเหมือนคนแปลกหน้าแทน 


 


 


เธอคิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ เธอปรับพนักเก้าอี้ลง หยิบผ้าปิดตาออกมาจากกระเป๋าแล้วเริ่มนอน 


 


 


สวี่จิ้งเห็นแล้วขยับตัวให้ห่างจากเธออย่างเงียบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการนอนของเธอ ผ่านเวลาไปสักพัก ดูเหมือนว่าเธอจะหลับไปแล้ว เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เธออย่างเบามือ 


 


 


เขาเพิ่งจะละมือจากผ้าห่มก็ได้ยินเสียงเธอเอ่ย “ขอบใจ” เบาๆ แม้เสียงจะเบามากแต่เขาก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ร้อนขึ้น เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยออกไป “ไม่เป็นไรครับ” 


 


 


นี่เธอยังไม่หลับอีกหรือ? รู้อย่างนี้เขาไม่ห่มให้ผ้าเธอหรอก 


 


 


มุมปากของเฉียวซือมู่ยกขึ้นนิดๆ เธอเห็นว่าหูของเขาขึ้นสีแดงอย่างชัดเจนผ่านช่องว่างระหว่างผ้าปิดตา ดูเหมือนเขาจะเป็นคนขี้อายมาก 


 


 


เธอยิ้มน้อยๆ แล้วขยับผ้าปิดตาให้เข้าที่ จากนั้นค่อยๆ ผล็อยหลับไป 


 


 


เรื่องนี้ทำให้เส้นกั้นบางๆ ระหว่างเธอและเขามลายหายไป ตอนแรกทั้งสองยังพูดคุยกันตามมารยาทและด้วยความเกรงใจที่ให้ความรู้สึกห่างเหินกันมาก แต่ตอนนี้ทั้งสองเริ่มเป็นกันเองมากขึ้น การพูดการจาดูไม่ขัดเขินเหมือนตอนแรกอีกแล้ว 


 


 


เธอนอนหลับไปพักใหญ่ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ตอนที่พนักงานต้อนรับมาเสิร์ฟอาหารเที่ยง เธอไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ กินไปได้ไม่กินคำก็หมดอารมณ์กินต่อ สวี่จิ้งกลับไม่เหมือนเธอ เขารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยและกินอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยง 


 


 


เธอรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาอีกนิด เขาสามารถกินข้าวต่อหน้าเธอได้อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่คิดเสแสร้ง แสดงว่าเขาเป็นคนที่จิตใจสะอาดใช้ได้ น่าจะไม่มีความคิดชั่วร้ายอะไร 


 


 


เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละนิดๆ เธอกำลังคิดว่าควรจะหลับอีกสักงีบดีหรือไม่ ทันใดนั้น สวี่จิ้งก็เอ่ยขึ้น “ใกล้ถึงแล้วครับ” 


 


 


“จริงเหรอ?” เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที รีบขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วมองลงไปด้านล่าง นอกจากก้อนเมฆสีขาวๆ แล้วเธอก็ไม่เห็นอะไรอีก เธอมองเขาด้วยความระแวง เขากลับตอบเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ” 


 


 


เขาเพิ่งจะเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงประกาศหวานๆ ของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินดังลอยมาจากลำโพงเล็กๆ เหนือศีรษะ “ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เรากำลังนำท่านเข้าสู่ท่าอากาศยานมิลาน กรุณานั่งประจำที่และรัดเข็มขัดอยู่กับที่นั่ง…” 


 


 


ใกล้ถึงแล้วจริงด้วย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วรัดเข็มขัดตามประกาศ 


 


 


สวี่จิ้งเก็บของอย่างเงียบๆ ดูเหมือนเขาจะเป็นคนพูดน้อย ตลอดการเดินทางเขาพูดกับเธอเพียงไม่กี่คำจนเธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าเบื่อมาก 


 


 


เพียงไม่นานเครื่องบินก็สั่นจนรู้สึกได้ เธอรีบขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างแล้วมองลงไปด้านล่างอีกครั้ง เธอค่อยๆ เห็นดวงไฟมากมาย และมันสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ถึงมิลานแล้ว 


 


 


ในที่สุดเครื่องก็ลงจอด เวลาตามท้องถิ่นที่มิลานคือห้าโมงครึ่งตอนเย็น เฉียวซือมู่และสวี่จิ้งเดินออกมาเป็นคนสุดท้าย เธอไม่ได้เร่งร้อน เพราะไม่มีจิ้นหยวนอยู่ด้วยจะทำอะไรก็ไม่สนุกสักอย่าง 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากทำแผนท่องเที่ยวพังเธอคงไม่ไปดูแฟชั่นโชว์แล้ว เธออยากจะกลับไปนอนรอจิ้นหยวนที่โรงแรมมากกว่า ไม่แน่นะ บางทีตื่นขึ้นมาเธออาจจะเห็นเขามาถึงแล้วก็ได้ 


 


 


เธอมองสวี่จิ้งที่กำลังเดินหิ้วกระเป๋าเดินทางอยู่เงียบๆ แล้วคิดว่าสวี่จิ้งคงไม่ยอมให้เธอทำอย่างนั้นแน่ ถ้าเช่นนั้น ลองเจรจากับเขาดูก่อนดีกว่า 

 

 

 


ตอนที่ 192 พบกันโดยบังเอิญ

 

สวี่จิ้งสังเกตเห็นว่าเธอคอยแอบมองเขาอยู่ตลอดเวลา จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” 


 


 


เธอยิ้มเก้อๆ แล้วเอ่ยถาม “เราจะไปไหนกันต่อ?” 


 


 


เขาตอบกลับสีหน้าราบเรียบ “ไปเช็กอินที่โรงแรมก่อน พี่ใหญ่จองห้องสวีทเอาไว้ให้เราแล้ว จากนั้นไปทานอาหารเย็น ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยไปดูแฟชั่นโชว์” 


 


 


เธอคิดๆ แล้วเอ่ยตอบ “โอเค” 


 


 


แต่ในใจเธอแอบคิดเอาไว้แล้วว่าจะไม่ไปดูแฟชั่นโชว์แล้ว เธอจะรอจิ้นหยวนก่อน 


 


 


สวี่จิ้งไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขายกกระเป๋าเดินทางเข้าไปเก็บในรถ จากนั้นทั้งสองก้าวขึ้นไปนั่งในรถที่มารอรับทั้งสองเป็นการเฉพาะ 


 


 


เธอสังเกตเห็นว่าคนขับรถขานสวี่จิ้งว่าคุณสวี่อย่างนอบน้อม ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นลูกน้องของเขา เธอจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เขาเป็นลูกน้องของนายเหรอ?” 


 


 


คนขับรถคนนี้น่าจะอายุประมาณสี่สิบกว่าแล้ว 


 


 


สวี่จิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “เขาเป็นผู้จัดการสาขามิลานของจิ้นซื่อกรุ๊ป ผมเคยทำงานที่นี่อยู่พักหนึ่ง เขาก็เลยจำผมได้” 


 


 


เป็นผู้จัดการสาขาแต่มาทำหน้าที่คนขับรถเนี่ยนะ? 


 


 


เธอรู้สึกประหลาดใจมาก สวี่จิ้งเอ่ยอธิบายราวอ่านความคิดเธอออก “เขาเคยประสบปัญหายุ่งยาก ผมเป็นคนช่วยเขาเอาไว้น่ะ” 


 


 


ที่แท้เขาไม่ได้มาเพราะงานหลวง แต่เพราะอยากขอบคุณเขาเป็นการส่วนตัวนี่เอง เธอเข้าใจแล้ว 


 


 


หลังจากเช็กอินที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว สวี่จิ้งเสนอตัวเข้าไปช่วยเธอจัดของแต่ถูกเธอปฏิเสธ เธอหิ้วกระเป๋าเดินทางของตัวเองเข้าไปในห้อง 


 


 


ขึ้นชื่อว่าเป็นห้องสวีท การตกแต่งย่อมหรูหราอลังการเป็นธรรมดา เธอเดินสำรวจห้องพักอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเทของออกจากกระเป๋าแล้วลงมือจัดของให้เรียบร้อย เพียงไม่นานก็มีคนมาเคาะประตูห้อง เธอเดินไปเปิดประตูแล้วเห็นสวี่จิ้งยืนอยู่หน้าประตู “ออกไปทานข้าวเย็นกัน” 


 


 


ทำไมรีบร้อนจัง? เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ความจริงฉันไม่อยากจะไปดูแฟชั่นโชว์สักเท่าไหร่ ฉันเหนื่อยน่ะ กินข้าวเสร็จแล้วอยากจะพักผ่อนเลย” 


 


 


สวี่จิ้งลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เธอเห็นท่าทางของเขาแล้วรู้สึกประหลาดใจมาก ก็แค่ไม่ไปดูแฟชั่นโชว์ อย่างมากก็แค่เสียค่าตั๋วฟรี ทำไมต้องทำหน้าลำบากใจขนาดนั้นด้วย? 


 


 


สวี่จิ้งสังเกตเห็นว่าสีหน้าเธอดูเหน็ดเหนื่อยจริง เขานิ่งเงียบชั่วครู่แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่ไปก็ไม่ไป ถ้าอย่างนั้นทานข้าวเสร็จแล้วเราก็กลับมาพักผ่อนเลยก็แล้วกัน” 


 


 


เธอพยักหน้าพลางยิ้มดีใจ “ถ้าอย่างนั้นรอฉันแป๊บนะ เดี๋ยวฉันมา” 


 


 


เธอปิดประตู คิดถึงสีหน้าลำบากใจเมื่อกี้ของเขาแล้วรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ 


 


 


แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าผิดปกติตรงไหน เธอคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ช่างมันเถอะ เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นเดินไปเปิดประตูแล้วส่งยิ้มให้เขา “ฉันพร้อมแล้ว เราไปกันเถอะ” 


 


 


สวี่จิ้งพยักหน้าน้อยๆ เขามองเฉียวซือมู่ที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เธอสวมเสื้อไหมพรมสีชมพูเข้ากับกางเกงยีนที่ให้ความรู้สึกสบายตา เสื้อผ้าชุดนี้ทำให้เธอดูน่ารักขึ้นอีกเป็นกอง เขาเห็นแล้วยกยิ้มมุมปากนิดๆ 


 


 


ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ทุกคนล้วนชอบสิ่งสวยงามด้วยกันทั้งนั้น ถึงเขาจะเป็นคนเย็นชา แต่เขาเองก็ชอบสิ่งสวยงามเหมือนคนปกติทั่วไป 


 


 


 เพียงแต่… เขาคิดถึงจิ้นหยวนที่อยู่กันคนละทวีปแล้วอดถอนหายใจแทนหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างกายเขาคนนี้ไม่ได้ บางที การที่เธอไม่รู้อะไรเลยน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่รู้เลยว่าเขามีเรื่องเก็บซ่อนอยู่ในใจมากมายขนาดนี้ เธอตามเขาไปที่ชั้นสามของโรงแรม ชั้นนี้เป็นศูนย์รวมร้านอาหารในโรงแรม ถึงร้านอาหารที่นี่จะไม่สะดุดตามากนัก แต่อารหารของที่นี่เคยถูกตีพิมพ์ในนิตยสารอาหารมากมาย และมีคนดังมากมายมารับประทานอาหารที่นี่ 


 


 


เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งชั่วโมงระหว่างมื้ออาหารเธอก็เห็นดารานักแสดงที่เคยเห็นแต่ในจอโทรทัศน์ตั้งหลายคนแล้ว เธอมองพวกเขาด้วยความตื่นตาตื่นใจจนอยากจะมีตาเพิ่มอีกสักคู่ จะได้ดูให้เต็มตากว่านี้ 


 


 


“ช่วงนี้เป็นช่วงแฟชั่นวีคพอดี ทั้งอาทิตย์จะมีคนดังจากทั่วโลกมารวมตัวกันที่นี่ เพราะฉะนั้น ไม่แปลกที่คุณจะเห็นดาราดังที่นี่” สวี่จิ้งเอ่ยขึ้น 


 


 


เธอประหลาดใจมากที่อยู่ดีๆ เขาก็เป็นคนเอ่ยขึ้นมาเองจนต้องหันไปมองเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึง แต่สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเหมือนเดิม ราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นคนพูดคำพูดเมื่อครู่นี้ 


 


 


เธอมองสำรวจเขาชั่วครู่ ทันใดนั้น เธอนึกถึงเรื่องน่าขำขึ้นมาเรื่องหนึ่งจึงเอ่ยถามเขา “สวี่จิ้ง ฉันขอถามอะไรนายสักอย่างสิ” 


 


 


เขาชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง “ครับ” 


 


 


เธอคิดๆ “นายมีแฟนหรือเปล่า?” 


 


 


“ไม่มี” เธอสังเกตเห็นว่าเขาแปลกใจไม่น้อยที่เธอถามเขาแบบนี้ 


 


 


เธอหัวเราะเบาๆ “ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะสาวๆ ที่อยากจะเข้าใกล้นายเห็นหน้าเย็นชาของนายแล้วคงตกใจจนหนีไปหมด” 


 


 


เขาได้ยินแล้วหน้าตึงทันที 


 


 


แต่เธอกลับหัวเราะแจ่มใสแล้วลุกขึ้น “ฉันอิ่มแล้ว เรากลับกันเถอะ” 


 


 


ถึงที่นี่จะแปลกใหม่ อาหารรสชาติอร่อย แต่เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง มันทำให้เธอรู้สึกอ้างว้างจนไม่อยากจะอยู่ต่อ กลับไปนอนคิดถึงอาหยวนของเธอที่ห้องดีกว่า จะได้โทรศัพท์หาเขาด้วย 


 


 


เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าเสียงหัวเราะแจ่มใสของเธอดึงดูดสายตามากมายของลูกค้าที่กำลังนั่งคุยกันเบาๆ ให้หันมามองเธอเป็นตาเดียว เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงหัวเราะสดใสนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ต่างก็เผยสีหน้าชื่นชมออกมาเป็นแถว 


 


 


ขณะเดียวกัน มุมหนึ่งในร้านอาหาร ชายชาวเอเชียสองคนที่กำลังนั่งคุยธุระกันเสียงเบาเงยหน้าขึ้นมองไปยังเสียงหัวเราะนั้นเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นว่าเป็นเสียวซือมู่ ชายหนุ่มคนแรกชะงักนิ่งอึ้งไปด้วยความคาดไม่ถึง  


 


 


ชายคนที่สองที่นั่งอยู่ตรงข้ามตกใจจนต้องเรียกสติเขา “คุณครับ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” 


 


 


เขาดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยถาม “ข่าวที่คุณบอกผมเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?” 


 


 


ชายคนที่สองเอ่ยตอบ “ข่าวนี้เชื่อถือได้แน่นอน ความจริงในวงสังคมไฮโซเขารู้ข่าวนี้กันหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงไม่มีข่าวตามหน้าสื่อ” 


 


 


“ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าเพราะอะไร” เขาเอ่ยพลางมองไปยังทิศทางที่เฉียวซือมู่เพิ่งเดินจากไป 


 


 


ชายคนที่สองไม่เข้าใจความหมายของเขา “คุณกำลังพูดถึงอะไร?” 


 


 


เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วรีบลุกขึ้น “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน ตอนนี้ผมคงคุยกับคุณต่อไม่ได้แล้ว เอาไว้ผมจะชดเชยให้คุณวันหลังก็แล้วกัน ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” 


 


 


เขาหยิบเสื้อนอกแล้วรีบวิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ชายคนที่สองนั่งงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เคยเห็นเขาวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น? มีคนกำลังตามล่าเขาอย่างนั้นเหรอ? 


 


 


เฉียวซือมู่ยังไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นเป้าหมายของใครบางคนเข้าแล้ว เธอตามสวี่จิ้งขึ้นไปชั้นบน เมื่อถึงหน้าห้องพักแล้วจึงส่งยิ้มให้เขา “ฉันเข้าไปพักผ่อนแล้วนะ ถ้านายอยากออกไปข้างนอกก็ตามสบายเลยนะ” 


 


 


สวี่จิ้งส่ายศีรษะ “ไม่ดีกว่า ผมเองก็จะกลับไปพักผ่อนเหมือนกัน คุณรีบเข้านอนนะครับ” เขาลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “บางที พี่ใหญ่อาจจะมาถึงพรุ่งนี้ก็ได้ คุณไม่ต้องกังวลไปนะครับ” 


 


 


เธอยิ้มที่เขาอุตส่าห์พูดปลอบใจเธอ เธอรู้แล้วว่าเขาเป็นคนหน้าเย็นชาแต่ใจดีมาก จึงเอ่ยขอบคุณเขาจากใจ “อืม ขอบใจมากนะ นายเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” 


 


 


สวี่จิ้งตอบเพียง “อืม” แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ติดกับห้องของเธอ 


 


 


เธอกลับเข้าห้องแล้วยืนพิงหลังกับประตูห้อง เธอต้องอาบน้ำก่อน จากนั้นค่อยโทรศัพท์หาจิ้นหยวน จะได้ถือโอกาสบ่นแล้วก็อ้อนเขาด้วย เขาจะต้องปลอบใจเธอแน่ 


 


 


เธอหน้าแดงซ่านยามนึกถึงเสียงพร่าต่ำของเขาที่ดังลอยวนอยู่ข้างหูเธอ  

 

 

 


ตอนที่ 193 ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่

 

แต่มันน่าหงุดหงิดชะมัดที่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ 


 


 


เธอได้แต่แอบบ่นกับตัวเองอยู่ในใจ เธอเก็บห้องให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ขณะที่เธอกำลังจะโทรศัพท์ติดต่อจิ้นหยวนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องดังขัดจังหวะขึ้น 


 


 


“สวี่จิ้งเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า?” เธอเอ่ยถามโดยไม่ต้องคิดแล้วเปิดประตูออกทันที พลันเสียงของเธอขาดหาย “ทำไมถึงเป็นคุณ?” 


 


 


เธออ้าปากน้อยๆ ด้วยความตื่นตะลึง ร่างกายชะงักนิ่งไม่ไหวติง 


 


 


คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือฉีหย่วนเหิงที่หายหน้าหายตาไปนานมาก ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเขาคงยอมตัดใจจากเธอแล้วถึงได้ไม่มาให้เห็นหน้าอีก เธอจึงรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะเจอเขาที่นี่ในเวลานี้ มันทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย   


 


 


ฉีหย่วนเหิงเห็นหน้าตาตื่นตะลึงของเธอแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ “นี่คุณจะไม่เชิญผมเข้าไปนั่งข้างในหน่อยเหรอครับ?” 


 


 


คำถามของเขาดึงสติเธอกลับคืนมา เธอรีบผงกศีรษะ “เชิญค่ะ” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้หลายครั้ง และนั่นทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธเขาได้ 


 


 


เขาเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง เขาสำรวจห้องพักของเธอชั่วครู่แล้วหันไปมองเธอ “ดูท่าทางช่วงนี้คุณสุขสบายดีนี่” 


 


 


เธอเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำผลไม้ออกมาสองขวด จากนั้นยื่นน้ำผลไม้ให้เขาหนึ่งขวด “ก็เรื่อยๆ ค่ะ แล้วที่ผ่านมาคุณหายไปไหนมาคะ?” 


 


 


เธอรู้สึกสงสัยมาก ก่อนหน้านี้เธอยังได้ข่าวของเขาอยู่บ่อยๆ เขามักจะติดต่อเธอผ่านสังคมออนไลน์ หรือมาปรากฏตัวให้เธอเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข่าวคราวของเขาเริ่มเงียบหายไป 


 


 


ฉีหย่วนเหิงยิ้มน้อยๆ “ช่วงก่อนผมติดธุระนิดหน่อย ทำให้ต้องอยู่ที่ต่างประเทศจนถึงตอนนี้ ก็เลยยังไม่ได้กลับไปสักที” 


 


 


เขาเอ่ยเพียงคร่าวๆ ราวไม่อยากเล่ารายละเอียดมากนัก เธอเองก็ไม่อยากจะซักไซ้ไล่เลียงจึงพยักหน้าน้อยๆ “อ้อ อย่างนี้นี่เอง” 


 


 


 บทสนทนาที่ฟังดูไม่ลื่นไหลทำให้ทั้งสองตกอยู่ในบรรยากาศน่าอึดอัด 


 


 


ในที่สุดฉีหย่วนเหิงก็เป็นคนเอ่ยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดเสีย “คุณมาที่นี่คนเดียวเหรอ? แล้วเขาล่ะ?” 


 


 


เธอส่ายศีรษะน้อยๆ “ตอนแรกเขาจะมาพร้อมฉันนี่แหละ แต่พอดีติดธุระนิดหน่อยก็เลยทำให้เขาต้องเดินทางล่าช้า เขาน่าจะมาได้อีกทีวันนี้พรุ่งนี้น่ะ” 


 


 


เขาหัวเราะเบาๆ แล้วดื่มน้ำผลไม้อึกหนึ่ง “อย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของเขาฟังดูแปลกเล็กน้อย 


 


 


เธอมองเขาแวบหนึ่งเพราะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูแปลกๆ หากแต่ไม่ได้เอามาใส่ใจมากนัก ไหนๆ เขากับจิ้นหยวนก็ไม่ถูกกันสักเท่าไหร่ หากเขาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ไปบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร จริงไหม 


 


 


ฉีหย่วนเหิงมองดูท่าทางเชื่อมั่นในตัวจิ้นหยวนอย่างเต็มเปี่ยมของเธอแล้วได้แต่แอบลอบถอนหายใจอยู่ในอก เขาเอ่ยหยั่งเชิง “คุณคิดว่าเขามาไม่ได้เพราะติดธุระจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


เธอหน้าถอดสีทันที “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?” 


 


 


เขาหัวเราะๆ เบาๆ อย่างไม่บ่งเจตนา “ถ้าคุณว่างๆ ก็ลองอ่านข่าวดู ไม่แน่นะ บางทีคุณอาจจะได้รู้ในสิ่งที่คุณยังไม่รู้ก็ได้” 


 


 


ใบหน้าของเธอเริ่มซีด ไม่อยากจะเชื่อคำพูดแฝงนัยยะของเขา “คุณพูดจาเหลวไหล” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงหัวเราะพลางลุกขึ้นยืน “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แค่อยากให้คุณเปิดหูเปิดตาเอาไว้บ้าง อย่าให้ตัวเองถูกคำพูดสวยหรูของผู้ชายหลอกเอาไว้” 


 


 


เขาเอ่ยจบพลางหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง ส่วนเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมพลางกัดริมฝีปากล่างแน่น ในใจเริ่มหวาดหวั่น 


 


 


เขาจับมือจับประตูเอาไว้แล้วหันหน้ากลับไปหาเธอราวเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของผม ต่อไปอาจจะเป็นประโยชน์กับคุณก็ได้” เอ่ยจบแล้วบอกเบอร์โทรศัพท์ยาวเป็นพรวนให้เธอรู้ จากนั้นเปิดประตูออก แต่เขาก็ต้องชะงักเล็กน้อย 


 


 


สวี่จิ้งที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องและกำลังยกมือขึ้นเตรียมจะเคาะประตูเห็นฉีหย่วนเหิงเปิดประตูออกมาพอดี เขามองฉีหย่วนเหิงด้วยสายตาระแวง “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?” 


 


 


สวี่จิ้งเอ่ยถามฉีหย่วนเหิงพลางส่งสายตามองเฉียวซือมู่ด้วยความกังวล ฉีหย่วนเหิงเห็นสีหน้าของสวี่จิ้งแล้วยิ้มเยาะในใจ เขารู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเฉียวซือมู่ น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจึงไม่สู้ดีนัก “ฉันก็มาเยี่ยมเพื่อนเก่านะสิ ทำไม ฉันมาเยี่ยมเพื่อนไม่ได้หรือไง?” 


 


 


สวี่จิ้งสีหน้าเย็นชา “ไม่ใช่ไม่ได้หรอกครับ แต่ผมแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าอยู่ดีๆ ประธานฉีผู้โด่งดังจะมาเยี่ยมเพื่อนที่ไม่สนิทโดยไม่มีสาเหตุก็เท่านั้น” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงมองสวี่จิ้งนิ่งด้วยแววตาลึกล้ำ “นายพูดถูก ฉันไม่ได้มาเยี่ยมเธอโดยไม่มีสาเหตุ ฉันมีเหตุผลที่มาเยี่ยมเธอ และเชื่อว่าพวกนายคงไม่อยากเห็นฉันมาเยี่ยมเธอด้วย จริงไหม?” 


 


 


กล้ามเนื้อบนใบหน้าของสวี่จิ้งกระตุกอย่างแรง “คุณพูดอะไรกับเธอ?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงยิ้มหน้าซื่อตาใส “แล้วนายอยากให้ฉันบอกอะไรเธอล่ะ?” 


 


 


ท่าทางของฉีหย่วนเหิงดูผ่อนคลายมาก ตรงกันข้าม ท่าทางของสวี่จิ้งกลับดูตึงเครียดมาก สวี่จิ้งจ้องฉีหย่วนเหิงนิ่ง “หวังว่าคุณไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น…” 


 


 


“ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ของพวกนายจะบีบฉันให้ไปไกลๆ อีกอย่างนั้นเหรอ? นายคิดว่าวิธีเดิมๆ ยังจะใช้ได้ผลอีกเป็นครั้งที่สองอย่างนั้นเหรอ?” ฉีหย่วนเหิงยิ้มเยาะพลางเอ่ยแทรกคำพูดของสวี่จิ้ง “นายเอาเวลาที่มัวแต่มากังวลเรื่องของฉันไปคิดให้ดีๆ ว่าควรจะปลอบใจคนที่อยู่ในห้องยังไงน่าจะดีกว่านะ” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเอ่ยจบแล้วสาวเท้าเดินผละจากไป เขาเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวพลันชะงักฝีเท้า “ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเธอเดาออกเองมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเอ่ยจบแล้วก้าวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


สวี่จิ้งยืนมองฉีหย่วนเหิงเดินจากไปจนลับสายตาอย่างเงียบๆ จากนั้นเบนสายตาหันไปมองเฉียวซือมู่ในห้องที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตรงหน้า  


 


 


เฉียวซือมู่นั่งอยู่บนเตียง เธอวางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเอาไว้บนตัก ดวงตาคู่โตกำลังจับจ้องอยู่บนหน้าจอไม่วางตาราวไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา 


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร เขาเห็นสภาพเธอในยามนี้แล้วถึงกับแอบทอดถอนใจอยู่ในอกอย่างช่วยไม่ได้ เขาค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ “คุณไม่ต้องคิดมากนะ ฉีหย่วนเหิงมีเจตนาไม่ดี เดี๋ยวพี่ใหญ่ก็ตามมาแล้ว” 


 


 


ตระกูลจิ้นปิดข่าวทุกช่องทาง และจะต้องไม่มีข่าวนี้ปรากฏในอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ต่อให้เขาไม่ได้เห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอคงไม่เจออะไรในนั้นแน่ 


 


 


เขารู้สึกนับถือพี่ใหญ่มากที่ละเอียดรอบคอบมากถึงขนาดควบคุมข่าวสารในอินเทอร์เน็ตเอาไว้ได้ 


 


 


แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปคงสร้างความเจ็บปวดให้แก่ทุกฝ่าย สู้ปกปิดเรื่องทั้งหมดเอาไว้แบบนี้ เธอจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรเลยน่าจะเป็นการดีที่สุด  


 


 


เฉียวซือมู่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ตามปกติ ตามหน้าเว็บไซต์ข่าวต่างๆ ไม่ปรากฏข่าวที่เธอกำลังเป็นกังวลแม้แต่ข่าวเดียว ความจริงเธอควรจะรู้สึกโล่งอก แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ส่วนลึกสุดในจิตใจเธอถึงได้รู้สึกไม่สบายใจมาก ราวกับว่าเธอพลาดอะไรไปสักอย่าง 


 


 


แล้วมันคืออะไรล่ะ? 


 


 


เธอมุ่นหัวคิ้วอย่างใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที 


 


 


สวี่จิ้งมองดูท่าทางของเธอแล้วเอ่ยขึ้นเนิบนาบ “ฉีหย่วนเหิงมีเจตนาไม่ดี เขากำลังพยายามพูดจาให้คุณไขว้เขว คุณไม่ต้องคิดมาก พรุ่งนี้พี่ใหญ่ก็ตามมาแล้ว” 


 


 


เฉียวซือมู่ฝืนยิ้ม “ค่ะ แต่ฉันนอนบนเครื่องเยอะแล้ว ตอนนี้เลยนอนไม่หลับ ฉันอยากจะเล่นคอมอีกแป๊บแล้วค่อยเข้านอนน่ะ” 


 


 


สวี่จิ้งพินิจพิเคราะห์สีหน้าของเธออย่างละเอียดแล้วไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป 


 


 


เธอเป็นผู้หญิงของพี่ใหญ่ เขาไม่ควรอยู่ในห้องตามลำพังกับเธอนานเกินไป 


 


 


แต่ต่อมาเขาต้องรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองตัดสินใจแบบนั้น ถ้าตอนนนั้นเขาอยู่เป็นเพื่อนเธอนานกว่านี้อีกเพียงแค่สิบนาที บางที เรื่องราวทุกอย่างอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ได้ 


 


 


แต่ในโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง วันเวลาไม่มีวันไหลย้อนกลับเช่นกัน 


 


 


เฉียวซือมู่มองแผ่นหลังของสวี่จิ้งที่ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา เธอนึกถึงใบหน้าที่พยายามปกปิดความกังวลเอาไว้หากแต่ปิดไม่มิดของเขาแล้วรู้สึกไม่สบายใจหนักยิ่งขึ้น 


 


 


เธอมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องมีเรื่องปิดบังเธอเอาไว้แน่ แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ?  

 

 


ตอนที่ 194 กลับมาที่จิ้นหยวน

 

 


 


 


เฉียวซือมู่ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนคืน เธอยังพยายามค้นหาตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่เจอข่าวอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษจึงค่อยวางใจลง 


 


 


เวลาค่อยๆ ล่วงผ่านไปอย่างช้าๆ จนแสงอาทิตย์สาดส่องบ้านเรือนผู้คนแทนที่ราตรีอันมืดมิด เธอลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความว่างเปล่า ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เธอวาดฝันเอาไว้ ภาพฝันที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นจิ้นหยวนอยู่ข้างกายเธอ…  


 


 


เธอเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความผิดหวัง 


 


 


ตามโปรแกรมเดิมวันนี้พวกเธอจะไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ จากนั้นค่อยไปเดินช้อปปิ้งกัน แต่ตอนนี้เฉียวซือมู่ที่ไร้คนรู้ใจอยู่ข้างกายกลับไม่มีอารมณ์ช้อปปิ้งเลยสักนิด 


 


 


ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น เมื่อเห็นว่าจิ้นหยวนเป็นคนโทรเข้ามาจึงกดรับสายด้วยความดีใจ เสียงหัวเราะของจิ้นหยวนดังลอดมาตามสาย “ที่รัก ทำไมเมื่อคืนถึงไม่โทรหาผมล่ะ?” 


 


 


เธอรู้สึกผิดไม่น้อย คำพูดที่ฉีหย่วนเหิงพูดกับเธอเมื่อคืนนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจมากจนเธอไม่มีกะจิตกะใจจะโทรศัพท์หาเขาไปด้วย 


 


 


เธอเอ่ยขอโทษจากใจ “ขอโทษค่ะ เมื่อคืนฉันเหนื่อยมากก็เลยเข้านอนเลย” 


 


 


“ไม่เป็นไร ผมโทรหาคุณเองก็ได้” 


 


 


“อื้ม แล้ววันนี้คุณจะตามมาหรือเปล่าคะ?” 


 


 


เสียงทุ้มต่ำของเขาเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู “เด็กโง่ ผมก็ต้องตามไปหาคุณสิ เที่ยวบินคืนนี้ น่าจะถึงที่นั่นเช้าวันพรุ่งนี้ อีกแป๊บเดียวเราก็จะได้เจอกันแล้วนะ คุณดีใจหรือเปล่า?” 


 


 


เธอผิดหวังเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นคืนนี้ล่ะคะ เร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ?” 


 


 


“ธุระของผมยังไม่เสร็จน่ะ คนดี ผมพยายามสุดความสามารถแล้ว” 


 


 


“ก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ยด้วยความผิดหวัง “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่าหักโหมจนเหนื่อยเกินไปล่ะ” 


 


 


“เรื่องเหนื่อยน่ะเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าได้จูบจากเมียจ๋าสักฟอดผมคงหายเหนื่อยทันที” เขาเอ่ยขอดื้อๆ 


 


 


ใบหน้าเธอแดงระเรื่ออย่างเข้าใจความหมาย เธอฝังจุมพิตลงบนโทรศัพท์มือถือเบาๆ จิ้นหยวนที่อยู่อีกฟากสายได้ยินเสียงจุมพิตเบาๆ นั้นแล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยน “อื้ม ดีมาก คุณรอผมนะ ถ้าคุณเบื่อก็ออกไปเที่ยวกับสวี่จิ้ง แต่อย่าเที่ยวเล่นจนเหนื่อยล่ะ เพราะผมไปถึงที่นั่นแล้วคุณต้องอยู่เป็นเพื่อนผมด้วย” 


 


 


ใบหน้าเธอแดงเป็นลูกตำลึงอีกระลอก เธออยู่กับเขามาตั้งนาน ทำไมจะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา เธออ้อมแอ้มต่อว่าเขาด้วยความขวยเขิน “คุณก็เอาแต่พูดเรื่องพรรณ์นั้นอยู่เรื่อย…” 


 


 


“เปล่าสักหน่อย ผมบอกว่าผมไปถึงที่นั่นแล้วคุณต้องอยู่เป็นเพื่อนผม ผมพูดผิดตรงไหนเหรอ?” จิ้นหยวนแสร้งทำหน้าซื่อตาใสอย่างหน้าด้านๆ  


 


 


เธอเอ่ยงอนๆ เสียงเบา “คุณรู้ดีอยู่แก่ใจ คนผีทะเล” 


 


 


เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “โอเคๆ ผมต้องไปแล้ว มามะ ส่งจูบให้ผมอีกสักฟอดนะ ผมจะได้มีพลังเต็มเปี่ยมไง” 


 


 


“คนโลภมาก!” 


 


 


ถึงปากเธอจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ยังฝังจุมพิตลงบนโทรศัพท์มือถืออย่างว่าง่าย และครั้งนี้เสียงดังกว่าเดิมมาก จิ้นหยวนได้ยินแล้วถึงกับหัวเราะชอบใจ 


 


 


เฉียวซือมู่วางสายจากจิ้นหยวนพลันรู้สึกร่างกายเบาหวิว ความกังวลและไม่สบายใจต่างๆ นานาก่อนหน้านี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือไว้เพียงการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


เธอคิดในใจว่าเขากำลังจะมาแล้ว คิดถึงเขาจังเลย 


 


 


ตอนนี้อารมณ์ของเธอดีขึ้นมาก เมื่อสวี่จิ้งชวนเธอไปเดินช้อปปิ้งเธอจึงตอบตกลงแทบจะทันที 


 


 


ในขณะเดียวกัน สีหน้าของจิ้นหยวนค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะมือที่กำลังค่อยๆ เก็บโทรศัพท์มือถือของเขา และในที่สุด ใบหน้าของเขาถมึงทึงจนดูน่ากลัว ทำให้ร่างกายของคนที่ชักจะเริ่มรำคาญคนนั้นเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัว 


 


 


เขาเอ่ยตัวสั่นงันงก “คุณชายจิ้น ใกล้จะ… ใกล้จะได้เวลาแล้ว คุณ…” 


 


 


จิ้นหยวนปรับสีหน้าให้เรียบเฉย เขาเก็บโทรศัพท์มือถือพลางลุกขึ้นยืน หากเฉียวซือมู่มาเห็นสภาพของเขาในตอนนี้จะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอนว่าเหตุใดเขาถึงสวมชุดทักซิโด้สีดำเป็นทางการ แถมยังผูกหูกระต่ายเรียบร้อยเต็มยศ เหมือนคนที่… กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์อย่างไรอย่างนั้น 


 


 


แต่สีหน้าของเขาไม่เหมือนคนเป็นเจ้าบ่าวเลยสักนิด หากแต่เหมือนคนที่กำลังจะไปร่วมพิธีศพมากกว่า เขากวาดสายตามองคนคนนั้นอย่างเย็นชา “ฉันรู้เวลา ไม่ต้องให้ใครมาบอก ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเถอะ” 


 


 


น้ำเสียงราบเรียบของเขาทำให้คนคนนั้นใจสั่นเพราะความหวาดกลัว ได้แต่ก้มหน้างุดแล้วเอ่ยตอบ “ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ” 


 


 


หลินจื้อเฉิงที่อยู่นอกห้องเคาะประตูห้องพอดี “พี่ใหญ่ ได้เวลาแล้วครับ” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพราะเขารู้ดีว่าสภาพจิตใจของจิ้นหยวนในยามนี้ย่ำแย่มากขนาดไหน 


 


 


จิ้นหยวนสาวเท้าเดินออกไป นอกประตูห้อง หลินจื้อเฉิงสวมชุดสูทดูเป็นทางการเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นจิ้นหยวนเดินออกมาจึงจับสังเกตสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวังเป็นอันดับแรก “เมื่อกี้นายท่านเพิ่งจะโทรมาเร่งครับ” 


 


 


สีหน้าของจิ้นหยวนเรียบเฉย แต่ส่วนลึกสุดในดวงตาของเขากลับฉายแววเหนื่อยล้าแวบหนึ่ง “รู้แล้ว” เอ่ยจบแล้วชะงักเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างยากเย็นแสนเข็ญ “ออกเดินทางได้” เขาเอ่ยราวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เขาก้าวเท้าลงบันได ด้านล่างมีรถโรลส์-รอยซ์รุ่นลิมิเต็ดหลายคันจอดรอเขาอยู่ก่อนแล้ว แถมยังผูกโบว์สีชมพูหน้ารถอีกต่างหาก ดูแล้วน่าตลกสิ้นดี 


 


 


เขาก้าวขึ้นไปนั่งในรถราวมองไม่เห็นโบว์สีชมพูน่าตลกนั้น อาฮุยทำหน้าที่เป็นคนขับรถครั้งนี้ เขาสตาร์ทรถอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆ ขับรถไปยังทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลหร่วน 


 


 


ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันมงคลสมรสระหว่างประธานจิ้นหยวนแห่งจิ้นซื่อกรุ๊ปกับคุณหนูเซียงเซียงแห่งตระกูลหร่วน ทายาทสองตระกูลยักษ์ใหญ่จูงมือเข้าพิธีวิวาห์ที่ควรจะเป็นข่าวใหญ่ที่สุดแห่งปีในแวดวงธุรกิจ 


 


 


แต่น่าแปลก ตามหลักแล้วข่าวใหญ่มากขนาดนี้ควรจะเป็นข่าวที่สื่อมวลชนแย่งกันลงข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ ถึงจะถูก แต่ทุกอย่างกลับเงียบเชียบราวพวกเขาเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่มีใครให้ความสนใจ 


 


 


หร่วนเซียงเซียงกำลังโมโหกราดเกรี้ยวอยู่ในห้อง “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? งานแต่งของหนูสำคัญมากขนาดนี้ แต่ทำไมถึงไม่มีนักข่าวมาสักคน ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ด้วย หนูแต่งงานนะ ไม่ได้ไปเป็นเมียน้อยคนอื่น!” 


 


 


นายท่านหร่วนหน้านิ่วคิ้วขมวด “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย ลูกเป็นคนยอมรับเงื่อนไขนี้เองไม่ใช่หรือไง? ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมแล้วไปรับปากเขาตั้งแต่แรกทำไม ในเมื่อรับปากเขาไปแล้วก็หยุดโวยวายเสียที ถ้าเขารู้เข้าลูกคิดว่าเขาจะสงสารลูกหรือไง?” 


 


 


“คุณพ่อ!” หร่วนเซียงเซียงไร้เรี่ยวแรงต่อปากต่อคำอีก น้ำตาเธอไหลพราก “ก็ตอนนั้นหนูกำลังหลงเขานี่คะ ก็เลยรับปากเขาไปก่อน อุตส่าห์แอบหวังว่าเขาคงทำได้แค่ขู่หนูเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำมันจริงๆ นี่เป็น… เป็นงานแต่งงานครั้งเดียวในชีวิตของหนูนะคะ…” 


 


 


เธอร้องไห้ฟูมฟายราวจะขาดใจ ใครมาเห็นสภาพเธอในยามนี้คงนึกสงสารเธอไม่น้อย แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่รู้ไส้รู้พุงดีทุกอย่างได้แต่แบะปากอยู่ในใจ “ใครบอกให้เอาใจแต่จิ้นเฮ่าคนเดียวแต่ไม่ไปเอาใจว่าที่สามีตัวเองล่ะ คิดว่าจิ้นเฮ่ายินยอมคนเดียวก็พอแล้วอย่างนั้นเหรอ? นี่มันโง่ชัดๆ” 


 


 


หร่วนเซียงเซียงได้รับผลกรรมของตัวเองแล้ว ตอนนี้นอกจากน้ำตาเช็ดหัวเข่าแล้วเธอก็ทำอะไรไม่ได้จิ้นหยวนไม่ได้อีก เธอเอาอกเอาใจจิ้นเฮ่าจนเป็นผลสำเร็จ จิ้นเฮ่าบีบบังคับให้จิ้นหยวนแต่งงานกับเธอคนเดียวเท่านั้น จนจิ้นหยวนต้องยอมตกลงเพราะแรงกดดัน แต่เขากลับทำหนังสือสัญญาขึ้นระหว่างเขาและเธอ หนึ่งในข้อสัญญานั้นคือห้ามแพร่งพรายข่าวการแต่งงานนี้ออกไปเด็ดขาด ทุกอย่างต้องดำเนินการอย่างลับๆ เท่านั้น ตอนนั้นเธอกำลังดีอกดีใจมากจนยอมตอบตกลงโดยไม่ทันคิดถึงเจตนาแอบแฝงของเขา มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว 


 


 


เธอร้องไห้ฟูมฟายอยู่สักครู่ จากนั้นเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้าออกแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “ช่างเถอะ ไม่ว่ายังไง หนูก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องของเขาแล้ว หนูไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่เห็นหนูอยู่ในสายตา! สักวันหนึ่ง…” 

 

 

 


ตอนที่ 195 โศกเศร้าอาดูร

 

เธอกระซิบกระซาบกับตัวเอง “สักวันหนึ่งจะต้องเอาหัวใจของเขามาให้ได้ ผู้หญิงสารเลวคนนั้นควรตายไปซะ…” 


 


 


เธอชำเลืองดูเวลา เพิ่งรู้ว่าได้เวลาส่งตัวเจ้าสาวแล้ว เธอกระวนกระวายขึ้นในฉับพลัน “เร็วเข้า เขาจะมารับฉันแล้ว รีบมาเติมแป้งให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไปพบเขาในสภาพนี้ไม่ได้เด็ดขาด เร็วๆ เข้า…” 


 


 


ตระกูลหร่วนเข้าสู่สถานการณ์สับสนอลหม่านอีกครั้ง เพียงเพราะต้องทำให้หร่วนเซียงเซียงสวยที่สุดยามพบหน้าจิ้นหยวน แต่ว่า…  


 


 


จิ้นหยวนเห็นว่าอาฮุยกำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหร่วน แววตาของเขาเย็นเยียบ “ไม่ไปที่นั่น ขับไปที่โบสถ์เลย” 


 


 


อาฮุยชะงักมือเล็กน้อย เขามองเจ้านายผ่านกระจกมองหลังด้วยความประหลาดใจ แต่สายตาเย็นเยียบของจิ้นหยวนทำให้เขาตกใจจนต้องรีบกลืนคำพูดที่เขากำลังคิดจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างกลับลงคอ ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักคล้อยตามคำสั่ง “ครับ” 


 


 


ในที่สุด ขบวนรถรับตัวเจ้าสาวอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่เคลื่อนตัวไปได้ครึ่งทางต้องตีรถกลับเพื่อมุ่งหน้าไปที่โบสถ์แทน 


 


 


หร่วนเซียงเซียงรอแล้วรอเล่าไม่เห็นขบวนรถรับตัวเจ้าสาวเสียที เธอร้อนใจมากจนต้องหันไปเร่งนายท่านหร่วน “คุณพ่อไปดูหน่อยสิคะว่าทำไมรถรับตัวเจ้าสาวยังมาไม่ถึงสักที หรือว่ารถติด?” 


 


 


นายท่านหร่วนเองก็เริ่มร้อนใจแล้วเช่นเดียวกัน ขณะที่เขากำลังจะโทรศัพท์ไปสอบถาม ปรากฏว่ามีคนวิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นเข้ามาพลางตะโกนบอก “แย่แล้ว แย่แล้ว” 


 


 


 คุณพ่อหร่วนรีบเดินเข้าไปหาคนคนนั้นด้วยความร้อนใจ “ทำไมพูดจาอย่างนี้? แล้วที่บอกว่าแย่แล้วมันหมายความว่ายังไง?” 


 


 


คนคนนั้นหายใจหอบ “ตอนแรกขบวนรถรับตัวเจ้าสาวมาถึงครึ่งทางแล้ว แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ขบวนรถก็เปลี่ยนเส้นทางขับไปที่โบสถ์แทนแล้วครับ” 


 


 


“อะไรนะ?” หร่วนเซียงเซียงได้ยินแล้วแทบจะลมจับ 


 


 


นี่จิ้นหยวนไม่อยากแต่งงานกับเธอขนาดนั้นเลยหรือ… 


 


 


ขณะเดียวกัน เฉียวซือมู่กำลังมีความสุขมาก หลังจากได้รับการยืนยันจากจิ้นหยวนแล้วเธอรู้สึกสบายใจมาก เธอไปเดินช้อปปิ้งกับสวี่จิ้งอย่างมีความสุขและเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขราวเด็กสาววัยแรกแย้ม  


 


 


สวี่จิ้งเห็นท่าทางมีความสุขของเธอแล้วแววตาหมองลงเล็กน้อย “บางทีการปิดบังเธออาจเป็นเรื่องดีก็ได้ อย่างน้อยตอนนี้เธอยังยิ้มได้อย่างมีความสุข หลังจากเธอรู้ความจริงแล้วคงไร้รอยยิ้มแห่งความสุขเช่นนี้อีก” 


 


 


ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเฉียวซือมู่สั่น เธอดีใจมากคิดว่าจิ้นหยวนโทรศัพท์หาเธออีกแล้วจึงรีบหยิบมันขึ้นมาดู แต่ปรากฏว่าเป็นอีเมลจากบุคคลนิรนาม เธอกดเปิดอีเมล สีหน้าของเธอเผือดซีดทันทีที่เห็นรูปถ่ายในนั้น ร่างกายโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มถูกแทนที่ด้วยความไม่อยากจะเชื่ออย่างแรงกล้า 


 


 


สวี่จิ้งที่เดินอยู่ข้างหลังเธอประมาณสองก้าวเห็นท่าทางไม่ดีจึงรีบเข้าไปเอ่ยถาม “คุณเป็นอะไรไป?” 


 


 


เขาต้องปิดปากเงียบทันทีหลังจากเอ่ยถามออกไป เพราะรูปถ่ายที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือชัดเจนจนไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ อีก จิ้นหยวนสวมชุดทักซิโด้สีดำอย่างหล่อเหลากำลังจูงมือเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้าของสองหนุ่มสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนคู่แต่งงานใหม่ไม่มีผิด 


 


 


เฉียวซือมู่จ้องรูปถ่ายนิ่ง รอยยิ้มมีความสุขของพวกเขาบาดตาบาดใจเธอเหลือเกิน ร่างกายเธอโอนเอนไปมาจนแทบจะล้มลง สวี่จิ้งเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปประคองเธอเอาไว้แล้วพาไปนั่งลงบนม้านั่งที่อยู่ใกล้ๆ 


 


 


การกระทำของเขาทำให้เธอได้สติ เธอจ้องเขาตาเขม็งแล้วเอ่ยถาม “นายรู้เรื่องทั้งหมดนี้ใช่ไหม?” 


 


 


สวี่จิ้งรู้สึกยุ่งยากใจมาก คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนส่งอีเมลให้เธอในเวลานี้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นโดยไม่ยอมปริปากใดๆ เพราะตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะโกหกต่อไปหรือพูดความจริงกับเธอดี 


 


 


เธอเห็นท่าทางของเขาแล้วเข้าใจทุกอย่างในทันที ความหวังเพียงเศษเสี้ยวแตกละเอียดในบัดดล ตอนแรกเธอยังแอบหวังว่ามันคงเป็นเพียงแค่ภาพตัดต่อเท่านั้น แต่ตอนนี้ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นรูปจริง 


 


 


เธอดูเวลาแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง จิ้นหยวนแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงแล้ว พวกเขาแต่งงานกันแล้ว! 


 


 


 ส่วนเธอนั้นโง่เง่าจนถูกเขาหลอกไปต่างประเทศ แล้วยังต้องมานั่งเฝ้าคอยให้เขาชื่นมื่นกับหร่วนเซียงเซียงเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วค่อยมาหาตัวเอง 


 


 


ความจริงอันโหดร้ายที่เธอเพิ่งรับรู้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เธอยิ้มเยาะตัวเอง ในรอยยิ้มนั้นแฝงรอยรันทดสลดใจ “ความจริงพวกนายไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ แค่บอกมาคำเดียวฉันก็จะเป็นคนจากไปเอง และไม่มีวันไปรบกวนเขาอีก แต่ทำไมเขาต้องแต่งเรื่องมาโกหกฉันด้วย? ทำไม?” 


 


 


สวี่จิ้งเห็นท่าทางเสียใจมากของเธอแล้วพยายามอธิบาย “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ พี่ใหญ่ถูกบีบบังคับต่างหาก ความจริงแล้วเขาไม่อยาก…” 


 


 


“แต่เขาก็แต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงแล้ว หรือไม่จริง?” เธอเอ่ยแทรกคำพูดของเขา 


 


 


สวี่จิ้งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “คุณควรเชื่อใจพี่ใหญ่” 


 


 


เธอชูโทรศัพท์มือถือขึ้น “มีรูปถ่ายเป็นหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ นายยังจะให้ฉันเชื่อเขายังไงอีก?” 


 


 


สวี่จิ้งจนคำพูดเพราะเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว จุดประสงค์ที่จิ้นหยวนเลือกให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนเฉียวซือมู่เป็นการเฉพาะก็เพราะเขาเป็นคนที่พูดน้อยและหนักแน่นที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เขาไม่มีวันพูดจาพร่ำเพรื่อเหมือนหลินจื้อเฉิง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาได้รับเลือกให้มาปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ 


 


 


เขาปฏิบัติภารกิจอย่างราบรื่นมาโดยตลอด เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นจนได้ และในสถานการณ์ที่เขาถูกเฉียวซือมู่บีบจะเอาคำตอบให้ได้แบบนี้ นิสัยพูดน้อยของเขากลับกลายเป็นข้อเสียเปรียบไปเสียนี่ เพราะเขาไม่สามารถช่วยพูดแก้ต่างให้จิ้นหยวนได้เลย 


 


 


เธอเห็นสวี่จิ้งเอาแต่นิ่งเงียบจึงยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ เธอโงนเงนลุกขึ้นยืน สวี่จิ้งเห็นท่าทางของเธอแล้วมุ่นหัวคิ้วสงสัย “คุณจะไปไหน?” 


 


 


เธอหันหน้าไปมองเขานิ่ง แววตาของเธอหม่นหมองดำมืดจนทำให้เขาใจสั่นด้วยความหวาดหวั่น  


 


 


เธอเปล่งเสียงออกมาชัดถ้อยชัดคำ “ฉันจะไปเดินเล่น นายไม่ต้องตามมา” เอ่ยจบพลางหมุนตัวก้าวเท้าเดินจากไป 


 


 


สวี่จิ้งรีบทักท้วงด้วยความร้อนรนใจ “ไม่ได้นะครับ พี่ใหญ่สั่งให้ผมคอยดูแลคุณเอาไว้” 


 


 


เฉียวซือมู่ตัวสั่นเล็กน้อย เธอไม่ยอมหันกลับไปมองเขา “แต่ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย แค่เห็นหน้านายฉันก็คลื่นไส้แล้ว นายเข้าใจไหม?”  


 


 


สวี่จิ้งชักหัวคิ้วชนกันแน่น หากแต่ไร้คำพูดใดๆ หลุดออกมาอีก เฉียวซือมู่ชะงักฝีเท้าเพียงชั่วครู่แล้วค่อยๆ เดินหายลับไปจากสายตาของเขา 


 


 


เขามองแผ่นหลังเล็กๆ ที่ค่อยๆ เคลื่อนห่างไกลออกไปของเธอ ไม่รู้เพราะอะไร ถึงจะเป็นเพียงแค่แผ่นหลังบอบบาง แต่เขากลับมองเห็นความโศกเศร้าอาดูรของเธอได้อย่างชัดเจน  


 


 


เขาใจลอยไปชั่วขณะ หวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ก่อนสิ้นใจคุณแม่ของเขาก็โศกเศร้าอาดูรเช่นนี้เหมือนกัน แววตาหม่นหมองดำมืดราวกับคนตาบอดที่มองไม่เห็นแสงสว่างและหาทางออกจากความมืดมิดไม่ได้ 


 


 


 เขาปิดเปลือกตาลงด้วยความเจ็บปวด พยายามสลัดภาพหลอนออกจากสมอง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งถึงได้รู้ว่าเฉียวซือมู่เดินหายลับไปจากสายตาของเขาแล้ว 


 


 


เขาร้อนใจมาก รีบออกตามหาเธอทันทีตามทิศทางที่เธอเพิ่งเดินจากไป แต่ถนนสายนี้เป็นถนนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในมิลาน ทั้งนักท่องเที่ยวและผู้คนมากมายจากทั่วทุกมุมโลกต่างมารวมตัวกันที่ถนนสายนี้ การตามหาคนในสถานการณ์ที่มีฝูงชนคลาคล่ำเต็มท้องถนนเช่นนี้ก็เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรไม่มีผิด 


 


 


เขาร้อนใจดั่งไฟลน สายตากวาดมองผู้คนไปทั่วอย่างไม่หยุดยั้ง พยายามมองหาหญิงสาวผมดำที่มาคนเดียวเป็นจำนวนนับสิบแต่ก็ไม่เจอตัวเธอเลย 


 


 


เขายืนหมดอาลัยตายอยากอยู่ท่ามกลางถนนที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ เขารู้แล้วว่าเธอต้องการหลบหน้าเขา และไม่ยอมให้เขาหาเจอเด็ดขาด  

 

 


ตอนที่ 196 พบกันอีกครั้ง

 

สวี่จิ้งรู้สึกเสียใจเสียแล้ว เมื่อกี้เขาไม่น่าใจลอยเลย และที่สำคัญ ตอนแรกยังมีลูกน้องคอยติดตามพวกเขาอยู่ห่างๆ อีกหลายคน แต่เขาไม่อยากทำให้เฉียวซือมู่อึดอัดจึงสั่งให้ลูกน้องเหล่านั้นแยกย้ายกันไป 


 


 


ตอนนี้เขาหน้าดำคร่ำเครียด โทรศัพท์ตามตัวลูกน้องพวกนั้นให้กลับมาช่วยกันออกตามหา ถึงจะมีคนช่วยกันตามหาเพิ่มขึ้น แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ พูดง่ายแต่ทำยาก 


 


 


ลูกน้องคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยเตือนสติ “ต้องโทรบอกพี่ใหญ่หรือเปล่าครับ?” 


 


 


หัวคิ้วของเขาชนกันแน่น เขาบีบหว่างคิ้วตัวเองเบาๆ พลางเอ่ย “รอก่อน ค้นหาตามที่ที่เธอน่าจะไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” 


 


 


เขารู้ดีแก่ใจว่าเฉียวซือมู่มีความสำคัญต่อจิ้นหยวนมากขนาดไหน มิเช่นนั้นจิ้นหยวนคงไม่คิดหาสารพัดวิธีเพื่อหลอกเธอมาถึงที่นี่หรอก ถ้าเกิดจิ้นหยวนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน 


 


 


เขาถอนหายใจแล้วกำชับอีกครั้ง “หาดูก่อน ถ้าหาไม่เจอค่อยว่ากันอีกที” 


 


 


“ครับ!” 


 


 


ลูกน้องที่เป็นชายชาวเอเชียของเขากลุ่มนั้นปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบๆ และสลายตัวแยกย้ายหายเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็วจนไม่เห็นแม้แต่เงา 


 


 


ขณะเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของบุคคลสองคนที่แอบซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง 


 


 


ฉีหย่วนเหิงมองดูสวี่จิ้งที่กำลังลนลานตามหาตัวหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขาแล้วหันกลับมามองเธออย่างใช้ความคิด “คุณตัดสินใจแล้วใช่ไหม?” 


 


 


สีหน้าของเธอย่ำแย่มาก ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด แต่แววตากลับมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว “ทำไม? คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าฉันมีปัญหาอะไรก็ให้มาหาคุณน่ะ? ตอนนี้คิดจะถอยอย่างนั้นเหรอ? ที่แท้คุณมันก็คนขี้ขลาดนี่เอง?” 


 


 


เขาได้ยินแล้วความโกรธปรากฎขึ้นบนใบหน้าแวบหนึ่ง แต่มันก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว “คุณไม่ต้องยั่วอารมณ์ผมหรอก คุณก็รู้นี่ว่าผมคิดยังไงกับคุณ คุณน่าจะรู้นะว่าผมไม่มีวันหลอกคุณ แต่… คุณคิดดีแล้วใช่ไหม? ผมไม่อยากเห็นคุณเปลี่ยนใจกลางคัน” 


 


 


เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ไม่ยอมพูดอะไรอยู่นานสองนาน 


 


 


เมื่อกี้เธอโทรศัพท์ทางไกลเพื่อสอบถามเพื่อนๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หรงเซียวคิดจะปิดบังเธอ แต่ก็ถูกเธอซักไซ้ไล่เลียงจนยอมตอบความจริงออกมาจนได้ เธอได้รับการยืนยันแล้วว่ารูปถ่ายนั้นเป็นของจริง จิ้นหยวนแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงวันนี้จริง และตอนนี้น่าจะกำลังเลี้ยงฉลองอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลจิ้น แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่มีผู้สื่อข่าวไปทำข่าวเลย หรงเซียวบังเอิญรู้เรื่องนี้เข้าเพราะมีญาติที่อาศัยอยู่แถวนั้นพอดี ญาติของเธอเห็นเองกับตาว่าขบวนรถของตระกูลจิ้นที่ไปรับตัวหร่วนเซียงเซียงนั้นยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน 


 


 


มิเช่นนั้น ป่านนี้เธอคงยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ และคงกำลังเฝ้ารอให้จิ้นหยวน “มาหาเธอ” อย่างมีความสุข 


 


 


แววตาของเธอเย็นเยียบ เธอหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ “ที่แท้คนทั้งโลกก็รู้เรื่องนี้ มีแต่ฉันคนเดียวที่โง่ไม่รู้อะไรเลย” เธอนึกถึงคำพูดคลุมเครือของเขาเมื่อคืนนี้แล้วอดถามไม่ได้ “ที่แท้คุณก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน แล้วทำไมคุณถึงไม่เตือนฉันให้เร็วกว่านี้?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงยิ้มขื่น “อยู่ดีๆ ผมไปบอกคุณว่าจิ้นหยวนกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น คุณจะเชื่อผมเหรอ?” 


 


 


เธอนิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่เชื่อ” 


 


 


หากเธอไม่ได้เห็นรูปถ่ายนั้นเองกับตาตัวเองเธอก็ไม่มีทางเชื่อเหมือนกัน นี่คือเรื่องน่าเศร้าของผู้หญิงที่ตาบอดเพราะความรัก 


 


 


เธอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “คนของคุณเป็นคนส่งรูปนั้นให้ฉันใช่ไหมคะ?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงชะงักนิ่งไปชั่วครู่แล้วส่ายศีรษะน้อยๆ “ผมไม่ทำเรื่องแทงคนอื่นลับหลังแบบนั้นหรอก ในเมื่อผมเลือกที่จะปิดบังคุณ ผมก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจบอกความจริงกับคุณเหมือนกัน” 


 


 


เธอเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะยังคลางแคลงใจ แต่ก็ยอมรับเหตุผลของเขา 


 


 


ถ้าเช่นนั้น ใครเป็นคนส่งรูปถ่ายนั้นมาให้เธอล่ะ? 


 


 


“คุณกำลังคิดว่าใครเป็นคนส่งรูปให้คุณใช่ไหม?” เขาดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงเอ่ยถามขึ้น 


 


 


เธอนิ่งเงียบไม่ตอบ เขาจึงเอ่ยขึ้นใหม่ “เรื่องนี้ง่ายมาก คุณแค่ลองคิดดูว่าใครที่ไม่อยากให้คุณกลับไปหาจิ้นหยวนมากที่สุดก็จะรู้เองว่าคนคนนั้นเป็นใคร” 


 


 


เธอนึกออกทันที “หร่วนเซียงเซียงเหรอคะ? แต่ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วย? ทั้งๆ ที่เธอได้แต่งงานกับจิ้นหยวนแล้วแท้ๆ” 


 


 


“จิตใจอิสตรีเปรียบดั่งเข็มในมหาสมุทร บางทีเธออาจจะอยากครอบครองทั้งตัวและหัวใจของจิ้น หยวนเพียงคนเดียวก็ได้” เขาเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก 


 


 


เธอปิดเปลือกตาลงอย่างเจ็บปวด ราวกับว่าภาพของจิ้นหยวนปรากฏขึ้นในสายตาของเธออีกครั้ง 


 


 


ทำไมคุณต้องหลอกฉันด้วย? ทำไมคุณถึงบอกรักฉันด้วยถ้อยคำอ่อนหวานแต่กลับจูงมือผู้หญิงอีกคนเข้าโบสถ์แต่งงานได้อย่างหน้าตาเฉย คุณมันโหดร้ายที่สุด… 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเห็นท่าทางเศร้าโศกเสียใจของเธอแล้วถอนหายใจหนักๆ เขาทนเห็นเธอเสียใจไม่ได้จึงเปลี่ยนใจไม่บอกความจริงกับเธออย่างกะทันหัน แต่ไม่นึกเลยว่าสุดท้ายแล้วเธอก็รู้เรื่องนี้เข้าจนได้ 


 


 


รู้อย่างนี้เขาคงบอกเธอไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะทำอะไรได้บ้าง 


 


 


เขาถอนหายใจอีกครั้ง มองดูเธอที่กำลังหลับตานิ่งด้วยความเศร้าโศกอาดูรแล้วตบไหล่เธอเบาๆ “อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ เดี๋ยวผมให้คุณยืมไหล่ซับน้ำตาเอง” 


 


 


คำพูดปลอบประโลมแสนอ่อนโยนของเขาทำให้เธอกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป เธอถลาเข้าสู่อ้อมกอดของเขา สองแขนของเธอกอดเขาเอาไว้แน่นแล้วปล่อยโฮออกมา “ฮือๆๆ… เขาไม่เอาฉันแล้ว…” 


 


 


เขาลูบแผ่นหลังเธอเบาๆ พลางเอ่ยปลอบโยน “ไม่เป็นไร เขาต้องเสียใจที่ทิ้งคุณไป” 


 


 


“ทำไมเขา… ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย… ฮือๆๆ…” 


 


 


“เขาอาจจะตาบอดไปแล้วก็ได้ ถึงไม่เห็นความดีของคุณ” 


 


 


“ฉันเกลียดเขา… จะไม่… จะไม่เจอเขาอีกแล้ว…” 


 


 


“โอเค ต่อไปผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง…” 


 


 


“ฮือๆๆ…” 


 


 


เธอร้องไห้กับอกของเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาคอยปลอบใจเธออยู่เป็นชั่วโมงกว่าเธอจะค่อยๆ หยุดร้องไห้ 


 


 


เขายื่นกระดาษเช็ดหน้าให้เธออย่างสุภาพ “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?” 


 


 


เธอเห็นเสื้อของเขาเปื้อนคราบน้ำตาและน้ำมูกของตัวเองแล้วหยิบกระดาษเช็ดหน้าเช็ดจมูกตัวเองเบาๆ ด้วยความเกรงใจ จากนั้นเอ่ยเสียงขึ้นจมูก “ขอโทษค่ะ ฉันทำเสื้อคุณเลอะเทอะหมดเลย” 


 


 


เขาก้มลงมองเสื้อตัวเองเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “ไม่เป็นไรเลย เทียบกับคุณแล้ว มันไม่สำคัญเลยสักนิด” 


 


 


เธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี แต่เธอก็รู้สึกดีไม่น้อยหลังจากได้ร้องไห้ปลดปล่อยความอัดอั้นและคับแค้นใจออกมา “ขอโทษค่ะ เดี๋ยวฉันซื้อเสื้อตัวใหม่คืนให้คุณเอง” 


 


 


แววตาของเขาหม่นแสงลง เขาเอ่ยขึ้นอย่างคลุมเครือ “เอาไว้วันหลังดีกว่า คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าจะอยู่กับผมตรงนี้?” 


 


 


เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ เพิ่งรู้ว่ามุมที่เธอแอบซ่อนตัวเป็นมุมลับตามาก แต่ก็สมควรแก่เวลาออกไปจากที่นี่ได้แล้ว มิเช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็วสวี่จิ้งต้องหาเธอเจอแน่ 


 


 


เธอส่ายศีรษะเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างเศร้าๆ “เราไปกันเถอะค่ะ” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงลุกขึ้นยืน เขายื่นมือออกไปจูงมือเธออย่างเป็นธรรมชาติ “ตามผมมา” 


 


 


ร่างกายเธอสั่นเทาเล็กน้อย เธอชักมือออกจากมือของเขาแทบจะทันทีโดยอัตโนมัติ จากนั้นหัวเราะเก้อๆ อย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “ฉันไม่รู้เส้นทางที่นี่ คุณเดินนำหน้าไปก่อนเลยค่ะ” 


 


 


เขาชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ “ได้ ถ้างั้นตามผมมา อย่าตามจนหลงล่ะ” 


 


 


เมื่อกี้เธออัดอั้นตันใจเพราะรู้สึกโมโหมากที่ถูกปั่นหัวเล่น มันทำให้เธอไม่อยากเห็นหน้าสวี่จิ้งอีกเพราะเขาเป็นพวกเดียวกับจิ้นหยวน พวกเขารวมหัวกันโกหกหลอกลวงเธอ ดังนั้น เธอจึงคิดจะหนีไปจากสวี่จิ้ง แน่นอนว่ารวมถึงจิ้นหยวนด้วย 

 

 


ตอนที่ 197 หนีหาย

 

ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่คุณแม่ปลูกฝังเธอมาตลอดชีวิตคือห้ามเข้าไปแทรกกลางครอบครัวของคนอื่นเด็ดขาด หากเธอเป็นมือที่สามในครอบครัวของคนอื่นจริง อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ 


 


 


เพราะฉะนั้น หลังจากที่เธอรู้ว่าจิ้นหยวนแต่งงานแล้ว เธอจึงไม่คิดที่จะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาอีก แต่ว่า ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าจิ้นหยวนไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่นอน 


 


 


ผู้ชายมักมากเหมือนกันหมด เธอควรจะได้บทเรียนจากหยางฉี่ตั้งนานแล้ว แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้จักจำเสียที? 


 


 


นับว่าเธอยังโชคดีมากที่ฉีหย่วนเหิงปรากฏกายขึ้นในขณะที่เธอกำลังทุกข์ใจแสนสาหัสเช่นนี้ ชั่ววินาทีที่เขาเห็นสีหน้าของเธอ เขาได้แต่ทอดถอนใจแล้วว่า “คุณรู้เรื่องแล้วใช่ไหม?”  


 


 


เธอถึงได้รู้ว่า ที่แท้คนทั้งโลกรู้เรื่องของจิ้นหยวนกันหมดแล้ว มีเธอเพียงคนเดียวที่ยังโง่ถูกคำพูดอ่อนหวานของจิ้นหยวนหลอกโดยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย 


 


 


เธอมันโง่ที่สุด 


 


 


หัวใจของเธอเหมือนถูกแช่อยู่ในน้ำเย็นเฉียบ ทั้งหนาวเหน็บทั้งเจ็บปวด แต่เธอก็ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แต่ในสายตาของฉีหย่วนเหิงกลับฉายแววสงสารเธอเหลือเกิน แต่เดิมเขายังรู้สึกสองจิตสองใจ แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจได้แล้ว จิ้นหยวน ในเมื่อนายไม่รักไม่ถนอมเธอ ฉันก็จะเป็นคนปกป้องเธอเอง ฉันจะไม่มีวันทำให้เธอร้องไห้อีกเป็นอันขาด 


 


 


เฉียวซือมู่ที่สภาพจิตใจกำลังย่ำแย่ถึงขีดสุดไม่มีอารมณ์สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบเลยสักนิด จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงความผิดปกติถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองออกนอกเขตชุมชนแล้ว 


 


 


เธอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณจะพาฉันไปที่ไหนคะ?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงจับพวงมาลัยรถอย่างมั่นคง มือขาวลออที่กำลังจับพวงมาลัยรถหนังแท้สีดำเข้ากันได้เป็นอย่างดี “พาคุณไปซ่อนที่ที่หนึ่งก่อน รอให้จิ้นหยวนกลับไปแล้วค่อยเปลี่ยนที่อยู่ใหม่” 


 


 


“เขา… เขาจะมาเหรอคะ?” เธอรู้สึกกระวนกระวายใจมาก ใจหนึ่งแอบหวังให้เขาออกตามหาเธอ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าเกิดเขาหาตัวเธอเจอเธอก็คงไปจากเขาไม่ได้อีก มันทำให้เธอรู้สึกสับสนมาก 


 


 


แววตาของฉีหย่วนเหิงเป็นประกายแวบหนึ่ง “เขาเป็นผู้ชาย ผมย่อมเข้าใจความคิดของเขา ผู้ชายทุกคนไม่รู้จักพอด้วยกันทั้งนั้น เขาเองก็เหมือนกัน จู่ๆ คุณไปจากเขาแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว ต่อให้เขาไม่รักคุณแล้ว แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งมันถือเป็นการหยามหน้าเขามากเกินไป เพราะฉะนั้น เขาจะต้องคิดหาทางจับตัวคุณกลับไปแน่”  


 


 


เธอรู้สึกเสียวสันหลังวาบยามนึกถึงนิสัยเผด็จการและเอาแต่ใจของจิ้นหยวน ถ้าเกิดเธอถูกเขาจับตัวกลับไปจริง ต่อไปเธอคงไม่มีโอกาสหนีอีก จึงเอ่ยขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ ให้ตายฉันก็จะไม่กลับไปกับเขา” 


 


 


เขาพยักหน้า “คุณวางใจเถอะ อยู่ที่นี่ผมพอมีเส้นสายอยู่บ้าง ผมไม่ยอมให้เขาหาคุณเจอหรอก” 


 


 


เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง เธอเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆ ทันใดนั้นความเจ็บปวดแล่นขึ้นในใจเธออีกครั้ง 


 


 


เขามองใบหน้าเจ็บปวดของเธอเงียบๆ เริ่มวางแผนบางอย่างในใจ 


 


 


ที่ที่เขาจะพาเธอไปซ่อนตัวนั้นเป็นบ้านของเพื่อนสนิทที่สุดของเขา บ้านหลังนั้นอยู่ห่างไกลเขตชุมชนมาก รอบข้างเป็นที่ดินของเพื่อนคนนั้นทั้งหมด จึงเป็นที่ที่เหมาะมากสำหรับการซ่อนตัวของพวกเขา ต่อให้จิ้นหยวนเก่งมากแค่ไหนก็คงหาพวกเขาเจอไม่ได้ง่ายๆ 


 


 


ในเวลาเดียวกัน จิ้นหยวนกำลังฟาดหัวฟาดหางด้วยความเกรี้ยวกราด เขากำโทรศัพท์มือถือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ราวกับว่าเขาสามารถบดขยี้โทรศัพท์มือถือที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้แหลกละเอียดคามือได้ในพริบตา “นายว่าอะไรนะ? พูดอีกทีซิ!” 


 


 


ใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราดราวพายุลมฝนโหมกระหน่ำ ส่วนสีหน้าของสวี่จิ้งที่ตามหาเฉียวซือมู่ไม่พบก็ย่ำแย่ไม่แตกต่างกัน เขาพยายามไม่ใส่ใจน้ำเสียงโกรธจัดและน่ากลัวของจิ้นหยวน “ผมบอกว่า คุณเฉียวรู้เรื่องที่พี่ใหญ่แต่งงานกับคุณหนูหร่วนแล้ว เธอเสียใจมากและฉวยโอกาสหนีไปตอนที่ผมเผลอครับ” 


 


 


  ชั่ววินาทีนั้น จิ้นหยวนเพิ่งรู้ตัวว่าเขาไม่ได้กำลังโกรธ แต่เขากำลังหวาดกลัวต่างหาก ในที่สุดสิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ เธอรู้แล้วว่าเขาแต่งงานกับหญิงอื่น เธอจึงเป็นฝ่ายหายตัวไปจากเขาเองโดยที่ไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก 


 


 


แต่… ทำไมหัวใจของเขาถึงเจ็บปวดมากขนาดนี้ ทำไมเขาถึงรู้สึกหายใจไม่ออก? ทำไมเขาถึงอยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าให้ย่อยยับ รวมทั้งตัวเขาด้วย? 


 


 


เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วเธอรู้เรื่องได้ยังไง? นายเป็นคนบอกเหรอ?” 


 


 


“เปล่าครับ ไม่ใช่ผม ผมไม่เคยทำอะไรให้เธอรู้เลย” เขาเอ่ยอย่างใจเย็น พยายามไม่ทำให้จิ้นหยวนสติแตก “มีคนส่งอีเมลให้เธอ ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่ง คนคนนั้นส่งรูปแต่งงานของพวกพี่ให้เธอทางอีเมลโดยตรง ตอนนั้นผมยืนอยู่ห่างจากเธอ ก็เลยห้ามเอาไว้ไม่ทันครับ” 


 


 


ตอนนี้สถานการณ์ย่ำแย่ถึงที่สุดแล้ว จิ้นหยวนกลับรู้สึกใจเย็นลง “ดี ดีมาก ดูเหมือนจะมีเกลือเป็นหนอนซะแล้ว” 


 


 


เขายิ้มเย็น เขาจัดการเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบและรอบด้านจนแนบเนียนไร้ที่ติ แต่การใหญ่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าในวินาทีสุดท้าย ข้างกายเขาจะต้องมีคนคิดไม่ซื่อเป็นแน่ 


 


 


สวี่จิ้งกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาลังเลชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “บางทีอาจจะเป็นฝีมือคนนอกก็ได้ อย่างเช่น…” 


 


 


สวี่จิ้งไม่กล้าเอ่ยประโยคที่เหลือออกมาตรงๆ แต่จิ้นหยวนฟังแล้วเข้าใจทันที เขาปฏิเสธโดยไม่ลังเลเลยสักนิด “ไม่ เธอไม่รู้ว่าเฉียวซือมู่อยู่ต่างประเทศ และไม่รู้ข้อมูลติดต่อของเธอด้วย” 


 


 


“แต่คนของเราจะไปร่วมมือกับเธอเพื่ออะไรกันล่ะครับ? ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ” สวี่จิ้งยังคงไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


เวลานี้จิ้นหยวนใจเย็นลงมากแล้ว “นายไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ ไปตามหาตัวเธอให้เจอ แล้วของของเธอที่อยู่ในห้องพักล่ะ?” 


 


 


คราวนี้สวี่จิ้งเป็นฝ่ายสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แทน “ของใช้ส่วนตัวของเธอยังอยู่ครบครับ แต่ว่า…” เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่า “แต่ว่าเอกสารสำคัญอย่างพวกพาสปอร์ตของเธอหายไปครับ” 


 


 


เขาเอ่ยจบประโยคพลันได้ยินเสียงดังกังวานดังลอดออกมา ราวกับว่าของอะไรสักอย่างถูกกระแทกจนแตกละเอียด หัวใจของเขาเต้นแรงแต่เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามออกไป เพียงไม่นาน เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกของจิ้นหยวนก็ดังลอดมาตามสาย “ดีมาก ดีมาก นายทำงานที่ฉันมอบหมายให้ได้ไม่เลวจริงๆ” 


 


 


สวี่จิ้งรู้สึกเสียใจไม่น้อย เขาอ้าปากเอ่ยอย่างยากลำบาก “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงทำอะไรรวดเร็วขนาดนั้น ตอนที่เธอหายตัวไปผมสั่งให้คนออกตามหาเธอทันที ผมเองก็รีบกลับมาที่โรงแรมภายในครึ่งชั่วโมง แต่ก็พบว่าของของเธอหายไปแล้ว” 


 


 


ตอนนั้นเห็นได้ชัดว่าเฉียวซือมู่ตัดสินใจหนีไปอย่างกะทันหัน เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะกลับมาเอาของพวกนั้นได้รวดเร็วขนาดนี้ ราวกับว่าเธอเตรียมตัวพร้อมตั้งแต่แรกแล้วมากกว่า แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าการหายตัวไปของเธอนั้นเป็นการตัดสินใจแบบปัจจุบันทันด่วน 


 


 


จิ้นหยวนคิดออกทันที “มีคนช่วยเธอ “ เขาเอ่ยเสียงเครียด “จะต้องมีใครสักคนคอยช่วยเธออยู่แน่ๆ” 


 


 


สวี่จิ้งนึกถึงใครบางคนขึ้นมาทันที เขาสูดหายใจแรง 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินแล้วเอ่ยถามทันที “มันเป็นใคร? นายเคยเห็นใช่ไหม?” 


 


 


สวี่จิ้งเอ่ยขึ้นช้าๆ “ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าคนคนนั้นเป็นใครครับ” 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินชื่อนั้นแล้วถึงกับขว้างแจกันราคาแพงกระแทกพื้นจนแตกละเอียด และมันเป็นแจกันที่เข้าคู่กับแจกันที่เพิ่งแตกละเอียดก่อนหน้านี้ 


 


 


“ฉี… หย่วน… เหิง!” เขากัดฟันกรอดยามเค้นเสียงเอ่ยชื่อนั้นออกมาทีละคำ   

 

 


ตอนที่ 198 ฮานส์กับมอลลี่

 

ถ้าตอนนี้ฉีหย่วนเหิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาคงควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องสับฉีหย่วนเหิงออกเป็นหมื่นๆ ชิ้นแน่! 


 


 


“นายค้นหาต่อไป ขยายพื้นที่การค้นหาให้กว้างขึ้น อย่าจำกัดอยู่แค่บริเวณใกล้เคียง ทำทุกวิถีทางให้ได้เบาะแสมา แล้วก็พยายามติดต่อคนในพื้นที่เอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาเธอให้เจอ เข้าใจหรือยัง!” 


 


 


“ครับ” สวี่จิ้งรับคำสั่งทันควัน 


 


 


จิ้นหยวนโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้วกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน เขาหมุนตัวกลับมาก็เห็นหร่วนเซียงเซียงยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้ว เธอกำลังมองเขาอย่างเคอะเขินด้วยใบหน้าแดงซ่านเหมือนกับครั้งแรกที่เธอเจอเขาไม่มีผิด “อาหยวน… คุณจะไปไหนคะ?” 


 


 


จิ้นหยวนชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ” เขาไม่อยากพูดกับเธอแม้แต่คำเดียว จึงสาวเท้าเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว 


 


 


หร่วนเซียงเซียงหน้าถอดสีทันที 


 


 


จิ้นหยวนไม่สนใจมองสีหน้าของเธอด้วยซ้ำ ในใจเขายามนี้เต็มไปได้เฉียวซือมู่ที่หายตัวไปเท่านั้น เขาก้าวลงบันไดอย่างรวดเร็ว จากนั้นสั่งพ่อบ้านให้เตรียมรถให้พร้อม เพราะเขาจะต้องรีบไปให้ถึงสนามบินให้เร็วที่สุด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากประตู พลันเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นมาจากข้างหลัง “จิ้นหยวน!” 


 


 


เขาหมุนกายหันกลับไปมองพลันหน้าเปลี่ยนสีในบัดดล “คุณพ่อ” 


 


 


ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจิ้นเฮ่าก็นั่งอยู่บนรถเข็นตลอด ต่อให้เขาต้องนั่งอยู่บนรถเข็น แต่เขายังคงเชิดหน้าด้วยความหยิ่งผยอง “นี่แกจะไปไหน? คืนนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าหอของแกนะ” 


 


 


จิ้นหยวนมองจิ้นเฮ่านิ่ง “ผมยอมแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียงแล้ว ผมคิดว่าคุณพ่อน่าจะพอใจได้แล้วนะครับ” 


 


 


“เหลวไหล แกแต่งงานกับเขาแต่กลับทิ้งๆ ขว้างๆ เขาแบบนี้ แล้วมันต่างอะไรกับการไม่ได้แต่งงาน?” จิ้นเฮ่าโกรธจัด 


 


 


จิ้นหยวนมองจิ้นเฮ่าด้วยความขมขื่นใจ “คุณพ่อจะให้ผมอยู่กับผู้หญิงเจ้ามารยาตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอครับ?” 


 


 


“นี่แก!” จิ้นเฮ่าเริ่มไอค่อกแค่ก “นี่แก… นี่แกจะทำให้ฉันโมโหตายให้ได้ใช่ไหม…?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆ เพื่อพาเฉียวซือมู่ไปยังคฤหาสน์ชนบทหลังงามที่ตั้งอยู่ห่างจากเขตชุมชน เขาโทรศัพท์ติดต่อเพื่อนคนนั้นชั่วครู่ เพียงไม่นานประตูเหล็กลายดอกไม้ก็เปิดออก เขาค่อยๆ ขับรถเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ 


 


 


เขาอธิบายให้เธอฟังระหว่างทางที่ขับรถมาที่นี่ ทำให้เธอได้รู้ว่าครอบครัวนี้นามสกุลมาร์กีซ เป็นชาวอิตาลีแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าฉีหย่วนเหิงที่มาจากประเทศจีนเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้อย่างไร เขาไม่ยอมบอกอะไรมากนัก แต่ให้เธอรู้เอาไว้ว่าครอบครัวนี้ร่ำรวยมาก ที่ดินระหว่างสองข้างทางตลอดระยะทางหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ที่เขาขับรถผ่านมานั้นเป็นของตระกูลมาร์กีซทั้งหมด 


 


 


ยามแรกเมื่อเธอได้ยินเรื่องราวของพวกเขาเธอรู้สึกกังวลใจไม่น้อย เพราะพวกเศรษฐีมักจะมีนิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนชาวบ้าน แต่พอได้เจอตัวจริง ความกังวลทั้งหลายกลับสลายหายไปพลัน เพราะเธอเห็นคุณผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เหมือนหมีตัวโตๆ กับคุณผู้หญิงรูปร่างผอมบางดูน่ารักยิ้มตาหยีเข้ามาต้อนรับพวกเธออย่างอบอุ่น 


 


 


เธอแอบคิดว่าคนที่ยิ้มได้สดใสราวแสงอาทิตย์เช่นนี้คงไม่ใช่คนเลวร้ายหรอกมั้ง 


 


 


และการต้อนรับของพวกเขาหลังจากนั้นเป็นข้อพิสูจน์ความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี สองสามีภรรยาเป็นมิตรและมีน้ำใจมาก ความสัมพันธ์ระหว่างฉีหย่วนเหิงกับพวกเขาก็ดีมากเหมือนกัน มีการพูดคุยหยอกล้อกันตลอดเวลา 


 


 


แต่เธอกลับรู้สึกลำบากใจไม่น้อย เพราะพวกเขาคุยภาษาอังกฤษเร็วมาก คนที่ไม่ค่อยได้ไปต่างประเทศอย่างเธอจึงฟังบทสนทนาของเขาไม่ทัน ได้แต่ฟังไปเดาไปด้วยความยากลำบากจนมอลลี่รู้เข้า มอลลี่จึงตั้งใจพูดให้ช้าลง 


 


 


ความเอาใจใส่ที่มอลลี่มีให้ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่หลังจากนั้นเธอกลับพบปัญหาใหม่เพิ่มขึ้น นั่นก็คือ สองสามีภรรยาผู้เป็นมิตรเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นคนรักของฉีหย่วนเหิง ทั้งสองมักจะมองเธอและพูดจาแปลกๆ จนทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจมาก พวกเขายังเข้าใจผิดอีกด้วยว่าที่เธอพยายามอธิบายเป็นเพราะเธอเขินอายต่างหาก และไม่คิดใส่ใจคำอธิบายของเธอแม้แต่น้อย 


 


 


ไม่รู้ว่าฉีหย่วนเหิงคิดอะไรอยู่ เพราะเขาไม่ยอมชี้แจงอะไรเลย เวลาเธอพยายามอธิบายเขาก็เอาแต่ยิ้มโดยไม่ยอมพูดอะไรสักคำ จนทำให้สองสามีภรรยาเข้าใจผิดคิดว่าเธอกำลังเขินอาย และไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพยายามบอก 


 


 


 จนกระทั่งหลังอาหารค่ำแสนอร่อย สองสามีภรรยาจัดห้องพักให้เธอกับฉีหย่วนเหิงนอนห้องเดียวกัน และนั่นทำให้เธอกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเห็นว่าสถานการณ์เลยเถิดเกินไปแล้วจึงยอมเปิดปากอธิบายเสียที และนั่นทำให้สองสามีภรรยาถึงบางอ้อว่าทั้งสองไม่ใช่คู่รักกัน ชายเจ้าของบ้านมองฉีหย่วนเหิงด้วยความประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นพูดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว เธองงเป็นไก่ตาแตกเพราะฟังไม่ออกเลยสักคำ ได้แต่มองหน้ามอลลี่อย่างขอความช่วยเหลือ 


 


 


แต่มอลลี่ที่ทำหน้าที่เป็นล่ามให้เธอมาตลอดทั้งคืน เวลานี้กลับเพียงแค่ยิ้มเม้มริมฝีปากเท่านั้นโดยไม่เอ่ยอันใด มอลลี่พาเธอไปยังห้องพักที่จัดเอาไว้ให้เธอใหม่ จากนั้นพาเธอเดินชมห้องพักโดยรอบอย่างกระตือรือร้น ตบท้ายด้วยคำถามที่ว่าเธอยังต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ 


 


 


เธอดูท่าทางแล้วมอลลี่คงไม่ยอมพูดอะไรแน่ จึงไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบอีก เธอมองสำรวจห้องพักที่มีของใช้ครบครันแล้วเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ มอลลี่เพียงหัวเราะเบาๆ “คุณเป็นเพื่อนของฉี ก็เท่ากับเป็นเพื่อนของเราด้วย คุณไม่ต้องเกรงใจนะคะ” เอ่ยจบแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป 


 


 


มอลลี่เดินออกมาจากห้องนอนของเฉียวซือมู่ก็ไม่เห็นสามีของตัวเองกับฉีหย่วนเหิงอยู่หน้าห้องแล้ว เธอเดินไปยังหน้าประตูห้องนอนของฉีหย่วนเหิง ยังไม่ทันเปิดประตูออกก็ได้ยินเสียงของสามีที่กำลังเอ่ยถามฉีหย่วนเหิงดังลอดออกมา “สาวสวยขนาดนั้นทำไมคุณถึงไม่จีบเธอล่ะ คนในประเทศของคุณหัวโบราณมากเลยเหรอ? ทำไมผมถึงได้ยินมาว่าความจริงแล้วพวกคุณเปิดกว้างมากล่ะ หรือว่ามันเป็นความเข้าใจผิด?” 


 


 


ชายเจ้าของบ้านชื่อฮานส์เป็นชาวตะวันตกเต็มขั้น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉีหย่วนเหิงชอบหญิงสาวคนนั้นอย่างเห็นได้ชัดแต่กลับไม่กล้าจีบเธอเสียอย่างนั้น 


 


 


มอลลี่เดินเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ฉี หญิงสาวคนนั้นเป็นคนสวยมาก ทั้งน่ารัก ทั้งเรียบร้อย ฉันว่าสมองคุณต้องมีปัญหาแน่ที่ไม่ยอมจีบเธอ” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงยิ้มเจื่อนพลางส่ายศีรษะเบาๆ “เธอมีคนที่ชอบแล้ว” 


 


 


ฮานส์และมอลลี่พร้อมใจกันเงียบในฉับพลัน สักพักมอลลี่จึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน แล้วคนรักของเธอล่ะ? ทำไมคนรักของเธอถึงไม่มาด้วย?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงหันไปตอบ “เธอเพิ่งอกหัก คนที่เธอรักไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ตอนนี้เธอกำลังเสียใจมาก” 


 


 


ฮานส์คิดได้ทันที เขาขยิบตาให้ฉีหย่วนเหิงพลางจับหัวไหล่ของเขาเอาไว้ จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่เป็นโอกาสของคุณแล้ว หญิงสาวที่กำลังเสียใจอ่อนไหวง่ายที่สุด ผมพูดจริงนะ” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงไม่อยากจะเชื่อ เพราะเขาเห็นเองกับตามาแล้วว่าเธอเศร้าโศกเสียใจมากมายแค่ไหน เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าจะสามารถแทนที่จิ้นหยวนได้ “จริงเหรอ? คุณไม่ได้หลอกผมนะ” 


 


 


“ก็จริงนะสิ!” เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง ฮานส์ยอมเสียสละเล่าเรื่องของตัวเองเป็นตัวอย่างให้เขาฟัง “ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมก็ใช้วิธีนี้จีบดาวมหาวิทยาลัยจนติดนะแหละ โอ้ พระเจ้า ตอนนั้นเธอ… โอ๊ย!” 


 


 


ยังไม่ทันจะเอ่ยจบพลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านมาจากติ่งหูของตัวเองจนต้องหยุดพูด ฮานส์เพิ่งจะสนุกได้ไม่นานก็ต้องพบกับความทุกข์เสียแล้ว ใบหน้าของเขาเหยเกพลางร้องโอดโอยอย่างขอความเมตตา “ที่รัก ผมผิดไปแล้ว…” 


 


 


มอลลี่ไม่สนใจคำร้องขอของฮานส์สักนิด เธอหยิกหูของฮานส์เอาไว้ไม่ปล่อยพลางหันไปเอ่ยกับฉีหย่วนเหิงพลาง “ฉันคิดว่าเธอเหมาะสมกับคุณมาก เพราะฉะนั้น กล้าๆ หน่อย ตามจีบเธอเลย ฉันต้องขอตัวก่อน เพราะต้องกลับไปฟังเรื่องของคุณฮานส์ว่าจีบสาวสวยที่สุดในมหาวิทยาลัยติดได้ยังไงที่ห้องต่อ…”  

 

 


ตอนที่ 199 ยามค่ำคืน

 

ฉีหย่วนเหิงยกยิ้มมุมปากอย่างกลั้นไม่ไหว เขาทำไม้ทำมือเป็นเชิงบอกให้ฮานส์รักษาตัวรอดเองก็แล้วกัน ฮานส์หน้าเ**่ยวหน้าแห้ง คงกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้งที่พูดออกไปแบบนั้น 


 


 


เสียงปิดประตูดังปังกั้นเสียงโมโหของมอลลี่เอาไว้นอกห้อง 


 


 


ประตูห้องที่ปิดลงทำให้รอยยิ้มมุมปากของฉีหย่วนเหิงค่อยๆ หุบลงไปด้วย 


 


 


เพราะความบังเอิญวันนี้เขาถึงมีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองสามารถเอาชนะใจเธอได้ง่ายๆ เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่าในใจเธอมีแต่จิ้นหยวนคนเดียวเท่านั้น 


 


 


เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ไม่ต้องรีบ ยังมีเวลาอีกเยอะ ขอแค่จิ้นหยวนยังอยู่กับหร่วนเซียงเซียงไปเรื่อยๆ สักวันโอกาสก็ต้องเป็นของเขา 


 


 


ตอนนี้ยังมีเรื่องที่เขาต้องทำอีกเยอะ เขาจะมัวเสียเวลาไม่ได้แล้ว 


 


 


เขาครุ่นคิดสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้ววางแผนทีละข้อๆ เขารอเธออยู่ตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ วันที่เธอยอมตัดใจจากจิ้นหยวน แล้วทำไมเขาจะไม่ยื่นมือช่วยเหลือเธอล่ะ? 


 


 


 ในขณะเดียวกัน เฉียวซือมู่ที่จัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงนุ่มหลังใหญ่ เธอจ้องมองฝ้าเพดานนิ่งด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย 


 


 


วันนี้เธอเพิ่งจะประสบเหตุการณ์ที่ตัวเองไม่เคยนึกฝันมาก่อน และเธอไม่เคยได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจมากขนาดนี้มาก่อนจนเป็นเหตุทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ 


 


 


เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ หัวใจเธอเจ็บปวดราวถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ต่อหน้าฉีหย่วนเหิง เธอไม่อาจเผยให้เขาเห็นความเจ็บปวดเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอเธออยู่ จึงได้แต่เก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ส่วนลึกสุดในจิตใจ แต่ความเงียบสงัดในยามค่ำคืนเช่นนี้ ทำให้ความเจ็บปวดที่ถูกกักเก็บเอาไว้ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาเมื่อตอนกลางวันทะลักทลายออกมาจากกรงขังที่เธอสร้างขึ้น ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาทำให้เธอทรมานจนแทบหายใจไม่ออก  


 


 


ทำไมเขาถึงทำกับเธอแบบนี้? ทำไม? เธอทำผิดอะไร? จิ้นหยวน คุณช่างโหดร้ายเหลือเกิน… 


 


 


ความเศร้าโศกเสียใจครอบงำจิตใจเธอ ดวงตาเลื่อนลอยเบิกกว้าง หยาดน้ำใสค่อยๆ ไหลริน… 


 


 


ค่ำคืนนี้ เสียงร้องไห้ไม่ขาดสาย จนกระทั่งรุ่งเช้าเสียงร้องไห้จึงค่อยๆ เงียบเสียงลง 


 


 


ฉีหย่วนเหิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องนอนอันมืดมิดตลอดทั้งคืน สีหน้าของเขาเย็นเยียบ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสารและจนปัญญา เสียงร้องไห้ของเธอทำให้เขาเกือบจะไปปลอบใจเธออยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สองมือจับที่พักแขนเอาไว้แน่น เขาจับที่พักแขนที่ทำจากไม้มะฮอกกานีแรงมากจนเกือบจะทำให้มันแหลกคามือ 


 


 


เขาได้แต่นั่งฟังเสียงร้องไห้เสียใจจนแทบขาดใจของเธออยู่ในห้องมืดๆ อย่างเงียบๆ เขาเจ็บปวดรวดร้าวราวหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ไม่ต่างกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าค่ำคืนอันมืดมิดจะยาวนานขนาดนี้ มันยาวนานจนเขากลัวว่าฟ้าสว่างคงไม่มาเยือนอีกแล้ว 


 


 


ในที่สุดเขาก็หมดความอดทน เสี้ยววินาทีที่คิดว่าตัวเองทนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วนั้น พลันฟ้าสว่างขึ้น และเสียงร้องไห้ของเธอก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง 


 


 


เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูห้อง จากนั้นหยิบกุญแจห้องที่มอลลี่ “ไม่ได้ตั้งใจ” ทิ้งเอาไว้เปิดประตูห้องนอนเธอออกอย่างเบามือ แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทำให้เขาสามารถมองเห็นเฉียวซือมู่ที่หลับสนิทไปแล้วได้อย่างชัดเจน 


 


 


เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนแล้วมองใบหน้าของเธอ สิ่งที่ปรากฎแก่สายตาของเขาคือเปลือกตาบวมเป่งเหมือนลูกท้อที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก เขาสูดหายใจลึกๆ หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาชุบน้ำแล้วบิดจนหมาด จากนั้นวางผ้าขนหนูผืนนั้นลงบนเปลือกตาที่ปิดสนิทของเธอ 


 


 


เธอร้องไห้หนักจนเหนื่อย นิ้วมือเธอกระดิกเล็กน้อยหลังรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเขา จากนั้นเธอจมดิ่งสู่ห้วงนิทราอีกคราโดยที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ อีก 


 


 


เขาเปลี่ยนผ้าขนหนูผืนใหม่ให้เธออย่างเบามือ รอจนกระทั่งเห็นว่าเปลือกตาที่บวมเป่งของเธออาการทุเลาลงแล้วจึงลุกขึ้น เขาเก็บผ้าขนหนูให้เรียบร้อย จากนั้นเดินกลับไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนของเธออีกครั้ง เขาค่อยๆ โน้มกายลงแล้วฝังจุมพิตลงบนแก้มเธอเบาๆ จากนั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างหูเธอ “สักวันคุณต้องเป็นของผม ถึงตอนนั้นผมจะไม่มีวันทำให้คุณต้องร้องไห้เสียใจอีก” 


 


 


เธอยังคงหลับสนิทและไร้ปฏิกิริยาตอบรับใดๆ เหมือนเดิม 


 


 


เขายืนตัวตรงแล้วมองเธอนิ่งอีกสักพัก จากนั้นเดินออกจากห้องไป 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าทุกการกระทำของตัวเองที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ถูกใครบางคนคอยเฝ้ามองดูอยู่เงียบๆ และไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกคนอื่นแต๊ะอั๋งเข้าให้แล้ว เธอไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตื่นขึ้นมาพร้อมกับความประหลาดใจยามมองหน้าตัวเองในกระจก ตอนแรกเธอคิดว่าตาของเธอคงจะบวมเป่งจนออกไปพบหน้าผู้คนไม่ได้เสียแล้ว แต่ปรากฎว่าสภาพของมันดูดีกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก  


 


 


น่าแปลก เธอจำได้ว่าทุกครั้งที่เธอร้องไห้ ตาของเธอจะต้องบวมเป่งทุกครั้งนี่นา เมื่อคืนเธอร้องไห้หนักและนานมากขนาดนั้น แต่ทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ถ้าไม่เห็นว่าดวงตาเธอยังแดงอยู่ เธอคงคิดว่าเมื่อคืนตัวเองฝันไปทั้งคืน ไม่ใช่ร้องไห้ทั้งคืน 


 


 


เธอพยายามเพ่งมองตัวเองในกระจกแต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา สุดท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้แล้วไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เธอเก็บซ่อนความเจ็บปวดแสนสาหัสเอาไว้ในใจแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง 


 


 


เมื่อคืนมอลลี่แนะนำที่ต่างๆ ในคฤหาสน์หลังนี้ให้เธอรู้จักคร่าวๆ แล้ว ทำให้เธอรู้ว่าแม้คฤหาสน์หลังนี้จะใหญ่โตมโหฬารมาก แต่กลับมีคนอยู่น้อยเหลือเกิน นอกจากสองสามีภรรยามาร์กีซแล้ว ที่เหลือเป็นพ่อบ้าน สาวใช้และคนสวน รวมกันแล้วยังไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ 


 


 


เธอรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย คฤหาสน์หลังใหญ่โตขนาดนี้แต่มีคนดูแลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แล้วจะดูแลอย่างไรไหว? 


 


 


แต่เมื่อคิดได้ว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น เธอจึงไม่เอามาใส่ใจอีก 


 


 


เธอค่อยๆ เดินไปยังห้องรับแขกตามความทรงจำเมื่อคืนนี้ ฮานส์กับฉีหย่วนเหิงไม่ได้อยู่ตรงนั้น มีเพียงมอลลี่คนเดียวที่กำลังนั่งดูแท็บเล็ตในมืออย่างเซ็งๆ เธอเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือเฉียวซือมู่เธอจึงคลี่ยิ้มสดใสพลางเอ่ยทักทายเธออย่างกระตือรือร้น “ไฮ อรุณสวัสดิ์” 


 


 


รอยยิ้มของมอลลี่สดใสมากจนเฉียวซือมู่อารมณ์ดีตามไปด้วย เธอยิ้มตอบ “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” 


 


 


มอลลี่เป็นคนร่าเริงแจ่มใสและเป็นกันเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เธอรู้สึกดีกับเฉียวซือมู่มาก ยิ่งรู้ว่าเฉียวซือมู่เป็นผู้หญิงที่ฉีหย่วนเหิงชอบด้วยแล้ว เธอยิ่งกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นเฉียวซือมู่เดินเข้ามาในห้องรับแขก เธอจึงรีบเข้าไปจูงมือเฉียวซือมู่ให้ไปนั่งลงบนโซฟาแล้วพูดจ้อไม่หยุดราวกับรู้จักกันมานานมาก เมื่อคืนเธอพยายามพูดภาษาอังกฤษช้าๆ เพื่อให้เฉียวซือมู่เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้เธอตื่นเต้นมากจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องพูดภาษาอังกฤษเร็วเป็นไฟแลบด้วย 


 


 


เฉียวซือมู่ฟังออกแค่ประโยคแรกๆ เท่านั้น ที่เหลือเธอได้แต่มองริมฝีปากของมอลลี่ที่ขยับไปมาด้วยความงุนงงและลำบากใจยิ่งนัก 


 


 


จนกระทั่งเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มคนหนึ่งช่วยเธอเอาไว้ “มอลลี่ คุณพูดเร็วขนาดนั้นเดี๋ยวแขกของเราก็ตกใจหมดหรอก” 


 


 


เธอจำได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของฮานส์ที่เป็นชายเจ้าของบ้าน เธอหันไปมองเขาด้วยความโล่งอก แต่ก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นฉีหย่วนเหิงอยู่กับเขา 


 


 


 ฮานส์สังเกตเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเธอแล้วยักไหล่เล็กน้อย “ฉีออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว เขาบอกว่ามีธุระต้องไปจัดการ น่าจะกลับช่วงบ่ายๆ” 


 


 


อย่างนั้นเหรอ? เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จู่ๆ ก็ต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย แม้ท่าทางของสองสามีภรรยาคู่นี้จะเป็นคนดีมากก็เถอะ แต่พวกเขาก็เป็นคนแปลกหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักเมื่อคืนนี้เอง เธอจึงรู้สึกยังไม่สนิทใจสักเท่าไหร่ แล้วจู่ๆ ฉีหย่วนเหิงยังหายตัวไปอีก มันทำให้เธอรู้สึกว้าเหว่มากยิ่งขึ้น 

 

 

 


ตอนที่ 200 ข่าวคราวของคุณแม่

 

แต่ฮานส์กับมอลลี่ที่เป็นคนเปิดเผยไม่คิดมากกลับไม่เข้าใจความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของเธอเลยสักนิด มอลลี่เห็นว่าเธอไม่พูดอะไรอีกจึงตบหน้าผากตัวเองเบาๆ ราวเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “โอ้ ฉันลืมไปเลยว่าแขกของเรายังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยนี่นา” 


 


 


ฮานส์ส่ายศีรษะเบาๆ “ทำไมคุณถึงสะเพร่าแบบนี้ ปล่อยให้แขกหิวแบบนี้ได้ยังไง ระวังเถอะ เดี๋ยวฉีก็ไม่พอใจหรอก” 


 


 


เฉียวซือมู่ได้ยินแล้วอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พวกเขาคุยกันสักเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรก็ถูกมอลลี่ลากตัวเธอไปยังห้องรับประทานอาหารเสียก่อน มอลลี่เข้าไปเตรียมอาหารในห้องครัวอย่างคล่องแคล่วแล้วยกอาหารเช้าออกมาเสิร์ฟให้เธออย่างรวดเร็ว 


 


 


อาหารเช้าวันนี้มีพิซซ่าหน้าทะเลหนึ่งชิ้น นมสดหนึ่งแก้ว และโจ๊กข้าวโอ๊ตอีกหนึ่งถ้วย 


 


 


มอลลี่เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันรู้มาว่าอาหารจีนอร่อยมาก แต่ฉันทำไม่เป็นน่ะ” 


 


 


เฉียวซือมู่รีบส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ฉันชอบกินพิซซ่ามากเลยนะคะ” เธอพูดจากใจจริงเพราะดูออกว่ามอลลี่รู้สึกผิดจริงๆ 


 


 


การต้อนรับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันด้วยความกระตือรือร้นและเป็นมิตรมากขนาดนี้ถือว่าดีมากแล้ว เธอจะเรียกร้องมากกว่านี้ไม่ได้ 


 


 


เธอยังแอบคิดอยู่เลยว่าคนต่างชาติมีน้ำใจไมตรีแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า? ไม่เหมือนกับคนในประเทศตัวเองเลยสักนิด 


 


 


 แต่สิ่งที่เธอไม่รู้คือ ต่อให้ฮานส์กับมอลลี่มีน้ำใจมากแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีทางทำดีกับคนที่เพิ่งรู้จักมากมาย ที่พวกเขาดีกับเธอมากเป็นเพราะเห็นแก่ฉีหย่วนเหิงต่างหากเล่า 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาเห็นเธอเป็นคนสำคัญของฉีหย่วนเหิงแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยเธอก็ถูกมอลลี่ลากเข้าไปในห้องหนังสือเพื่ออวดหนังสือโบราณที่เป็นของสะสมของตัวเองให้เธอดู 


 


 


ในที่สุดเฉียวซือมู่ก็เจอหนังสือที่ตัวเองชอบจนได้ เธอขอยืมหนังสือเล่มนั้นจากมอลลี่ จากนั้นเดินกอดหนังสือเล่มนั้นกลับห้องตัวเองด้วยความชื่นบาน 


 


 


มอลลี่มองแผ่นหลังของเฉียวซือมู่จนลับตาแล้วหันไปเอ่ยกับฮานส์ “คุณคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นยังไงบ้างคะ?” 


 


 


“ไม่เลว สายตาของฉีดีใช้ได้เลยทีเดียว” เมื่อครู่ฮานส์แอบสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ เขาพบว่าหญิงสาวที่มาจากดินแดนลึกลับแห่งตะวันออกคนนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีมาก 


 


 


มอลลี่พยักหน้าเล็กน้อย “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่า…” เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “คุณบอกว่าฉีเจอปัญหาเข้าให้แล้วไม่ใช่เหรอคะ? เขาออกไปข้างนอกแบบนี้จะมีอันตรายหรือเปล่า?” 


 


 


ฮานส์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางสวมกอดภรรยาของตัวเองเอาไว้ “คุณเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ ระวังผมหึงนะ” 


 


 


มอลลี่ทุบหน้าอกเขาเบาๆ “คุณพูดอะไรกันเนี่ย ฉันจริงจังนะคะ” 


 


 


“สบายใจได้ ฉีมีแผนรับมือของตัวเองอยู่แล้ว เรารู้จักกับเขามานานหลายปี เคยเห็นเขาประเมินอะไรพลาดบ้างไหมล่ะ?” 


 


 


“ก็จริงค่ะ” เธอพยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกสบายใจขึ้นมาก 


 


 


พวกเขารู้จักกับฉีหย่วนเหิงนานมากแล้ว มอลลี่รักและเอ็นดูเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงมีน้ำใจไมตรีกับเฉียวซือมู่มากเป็นพิเศษ 


 


 


เฉียวซือมู่เดินกอดหนังสือกลับห้องของตัวเอง เธอรู้ดีว่าช่วงนี้ตัวเองต้องอยู่ที่นี่สักระยะ แม้จะกังวลอยู่บ้างที่ต้องอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่เพราะต้องหลบซ่อนตัวจากจิ้นหยวน ทำให้เธอต้องงดใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ รวมเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ ทั้งหมด ดังนั้น ตอนที่เธอเห็นห้องหนังสือของมอลลี่ถึงได้ดีใจมากเป็นพิเศษ 


 


 


เธอคิดว่าการได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่รักถือเป็นเรื่องวิเศษที่สุด เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลือเธอจึงดื่มด่ำอยู่ในโลกแห่งตัวอักษรจนเกือบลืมรับประทานอาหารเที่ยง 


 


 


ฉีหย่วนเหิงแบกร่างกายอันเหนื่อยล้ากลับมาถึงคฤหาสน์มาร์กีซตอนบ่ายแก่ๆ 


 


 


 เขายอมเสี่ยงออกไปข้างนอกก็เพราะไม่ไว้ใจฝีมือการทำงานของลูกน้องตัวเอง เขารู้อยู่แล้วว่าจิ้นหยวนเก่งกาจมากขนาดไหน จิ้นหยวนไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องผิดพลาดเพราะความประมาทเลินเล่อเด็ดขาด วันนี้เขาแอบออกไปสืบข่าวด้วยความระมัดระวัง เขาต้องประหลาดใจมากที่ตัวเองคาดการณ์ผิดไป จิ้นหยวนไม่ได้ตามมาที่มิลานทันที หากแต่มอบหมายให้ลูกน้องฝีมือดีลงมือแทน 


 


 


ตอนแรกเขารู้สึกแปลกใจมาก ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับความจริงที่อาจจะทำให้เฉียวซือมู่เสียใจมากกว่าเดิม ความจริงที่ว่าจิ้นหยวนเบื่อเธอแล้ว และไม่มีความคิดที่จะตามหาเธออย่างจริงจัง 


 


 


ถ้าเธอรู้เรื่องนี้จะต้องเสียใจมากแน่ๆ เขาครุ่นคิดมาตลอดทางที่เดินไปยังห้องพักของเฉียวซือมู่ เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอ ลังเลชั่วครู่จึงยกมือขึ้นเคาะประตูห้อง 


 


 


“เชิญค่ะ” เสียงอ่อนโยนดังลอดออกมาจากข้างในห้อง ฉีหย่วนเหิงที่กำลังลังเลใจตัดสินใจได้ในทันที ในเมื่อพวกเขาเหมือนคนที่เลิกรากันแล้ว ถ้าเช่นนั้น เขาก็จะไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนั้นที่อาจจะทำให้เธอเสียใจอีก 


 


 


เขาคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือเรียวยาวของเฉียวซือมู่ถือหนังสือเอาไว้ เธอกำลังอ่านมันอย่างสนุกสนาน เธอส่งยิ้มให้ฉีหย่วนเหิงยามเห็นเขาเดินเข้ามาในห้อง ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเธอคือคนที่ร้องไห้จะเป็นจะตายเมื่อคืนนี้ 


 


 


“กลับมาแล้วเหรอคะ” เธอยิ้มหน้าบาน “คุณเหนื่อยมากใช่ไหม? ดูสิ ตาคุณแดงหมดแล้ว” 


 


 


เขาส่ายศีรษะเบาๆ “ผมไม่เป็นไร แค่ออกไปทำธุระนิดหน่อย” เขาเอ่ยพลางวางกล่องกล่องหนึ่งที่เขาถือมาด้วยลงตรงหน้าเธอ “อันนี้ให้คุณ” 


 


 


สายตาของเธอหยุดอยู่ที่มือของเขาพลางชะงักนิ่งไปด้วยความตกใจเล็กน้อย “มันแพงเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” 


 


 


เขายิ้มพลางส่ายศีรษะ “คุณรับไว้เถอะนะ โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของคุณก็ใช้ไม่ได้แล้ว มีเครื่องใหม่ผมจะได้ติดต่อคุณได้ง่ายๆ แล้วก็… ผมเอาบัตรประจำตัว พาสปอร์ต แล้วก็เอกสารสำคัญอื่นๆ ของคุณมาด้วย” เอ่ยพลางวางถุงถุงหนึ่งลงตรงหน้าเธอ “เวลาฉุกละหุกเกินไป ผมก็เลยหยิบมาได้มาแค่นี้ ผมขอโทษที่ต้องทิ้งของใช้ส่วนตัวอื่นๆ ของคุณเอาไว้ที่นั่น 


 


 


“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ คุณช่วยเอาของพวกนี้มาให้ฉันก็ดีใจมากแล้ว” เธอเอ่ยขอบคุณจากใจแล้วหยิบถุงนั้นขึ้นมาเปิดดู ข้างในมีแต่เอกสารสำคัญจำพวกพาสปอร์ตอย่างที่เขาบอก  


 


 


“ยังมีอีกเรื่อง” เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ตอนผมกลับมา ผมพบว่าพวกเขากำลังออกตามหาตัวคุณไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากให้คุณกลับไปมากจริงๆ” 


 


 


เขามองเธอนิ่ง “คุณอยากกลับไปหรือเปล่า?” 


 


 


ความจริงเขามั่นใจแล้วว่าเธอคงไม่กลับไปอีก แต่ส่วนลึกในจิตใจยังคงไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่ เขาจึงต้องการคำยืนยันจากเธอเพื่อเพิ่มความมั่นใจ 


 


 


และคำตอบของเธอก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง เธอเอ่ยตอบ “ไม่ค่ะ ฉันจะไม่กลับไป ฉันไม่อยากทำลายครอบครัวของคนอื่น…” เธอเอ่ยถึงตรงนี้แล้วชะงักนิ่ง พลันหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด เธอมองเขาด้วยความตื่นตระหนก “โอ้ พระเจ้า ฉันลืมคุณแม่ไปเลย” 


 


 


เธอจับมือเขาหมับด้วยความร้อนใจ “ฉันลืมคุณแม่ไปได้ยังไง ฉันหนีออกมาแบบนี้ ถ้าเกิด… ถ้าเกิดจิ้นหยวนไม่พอใจขึ้นมาแล้วคุณแม่จะทำยังไง?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงคิดไม่ถึงว่าเธอยังมีคุณแม่ที่ยังอยู่ในประเทศอีกคน เขามุ่นหัวคิ้วพลางเอ่ยปลอบใจเธอพลาง “ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรหรอก ครั้งนี้คุณตัดสินใจหนีออกมากะทันหัน มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณแม่ของคุณสักหน่อย จิ้นหยวนไม่ทำให้ท่านลำบากใจหรอก” 


 


 


“แต่ว่า… แต่ว่าถ้าเกิดจิ้นหยวนเขา…” แววตาเธอตื่นตระหนก พยายามจับมือเขาเอาไว้แน่น “ฉันขอร้องล่ะ คุณช่วยสืบข่าวคุณแม่ให้ฉันหน่อยได้ไหมคะว่าตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง ได้ไหมคะ?” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงพยักหน้ารับปากทันที “ได้ เดี๋ยวผมไปจัดการให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ คุณไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” 


 


 


เธอรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้รับคำปลอบใจจากเขา เธอรีบบอกที่อยู่โรงพยาบาลที่คุณแม่พักรักษาตัวให้เขาทราบทันที 

 

 

 


ตอนที่ 201 ไปจากที่นี่

 

ฉีหย่วนเหิงได้ข้อมูลจากเธอแล้วเอ่ยขึ้น “สุขภาพของคุณป้าแย่ขนาดนั้น จิ้นหยวนคงไม่ทำอะไรให้ท่านต้องลำบากใจหรอก วางใจเถอะ เดี๋ยวผมให้คนไปดูให้เดี๋ยวนี้เลย” 


 


 


เขาไม่ยอมเสียเวลา เอ่ยจบพลันลุกขึ้นยืนแล้วโทรศัพท์ทางไกลกลับประเทศต่อหน้าเธอทันที เขาสั่งให้คนของตัวเองไปดูคุณแม่ของเธอทันที 


 


 


เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วมองเธอนิ่ง “ในเมื่อผมตัดสินใจพาคุณหนีมาแล้ว ผมก็ต้องส่งคุณไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย ส่วนเรื่องของคุณป้า ผมจะพยายามจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย คุณต้องเชื่อผมนะ เข้าใจไหม?” 


 


 


เธอมองแววตาหนักแน่นมั่นคงของเขาแล้วค่อยๆ พยักหน้าตอบรับ 


 


 


หลังจากฉีหย่วนเหิงกลับออกไปแล้ว เธอก็หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกรังเกียจตัวเอง เฉียวซือมู่ เธอทำเกินไปแล้วนะ เพื่อตัวเองแล้วเธอถึงกับลืมคุณแม่เลยเหรอ เธอมันลูกอกตัญญู ถ้าเกิดจิ้นหยวนทำให้ท่านลำบากใจขึ้นมา เธอจะทำยังไง? 


 


 


หลายวันผ่านไป ฉีหย่วนเหิงรีบออกจากบ้านแต่เช้าและกลับบ้านดึกดื่นทุกวัน ส่วนเฉียวซือมู่นั้นไม่กล้าย่างกรายออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว เพราะฉีหย่วนเหิงบอกกับเธอว่าข้างนอกมีคนมากมายกำลังค้นหาตัวเธออยู่ ถ้าเธอออกไปข้างนอก มีหวังถูกจับตัวได้แน่นอน 


 


 


ใจหนึ่งก็กลัวว่าจะถูกคนของจิ้นหยวนจับตัวได้ อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงว่าจิ้นหยวนอาจจะทำอะไรคุณแม่เพราะความโมโห สถานการณ์ที่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้ ต่อให้มอลลี่พยายามทำอาหารนานาชาติไม่ซ้ำเดิมให้เธอทานทุกวัน แต่ร่างกายเธอกลับผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็วจนทำให้มอลลี่เป็นห่วงมาก 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา วันหนึ่ง เขาลากตัวเธอที่กำลังเหม่อลอยออกไปนอกห้อง “มู่มู่ คุณจะทำตัวอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ” 


 


 


เขาเอ่ยอย่างดุดันแล้วจูงมือเธอเอาไว้ “ไป เดี๋ยวผมพาคุณออกไปคลายเครียดเอง” 


 


 


เธอส่ายศีรษะแล้วชักมือกลับ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้าเกิดมีใครมาพบเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉันกลับห้องดีกว่า” 


 


 


นอกจากมีเหตุจำเป็นแล้ว ช่วงนี้เธอแทบจะไม่ออกจากบ้านเลย เธอแทบไม่ได้เห็นแสงแดด ใบหน้าซูบผอมขาวซีด คางมนกลายเป็นคางแหลม ใครเห็นเป็นต้องรู้สึกสงสาร 


 


 


เธอเอ่ยจบเตรียมจะหมุนตัวเดินกลับห้องนอนของตัวเอง แต่กลับถูกเขาห้ามเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน คุณตามผมมานี่” เขาจับมือเธอแน่น น้ำเสียงเด็ดขาดอย่างห้ามปฏิเสธ “ขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไปคุณต้องล้มป่วยแน่ๆ ผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยพลางออกแรงจูงเธอเดินออกไปข้างนอก 


 


 


ช่วงที่ผ่านมาเขาปฏิบัติตนเป็นสุภาพบุรุษมาก เธอจึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่ครั้งนี้เขามีท่าทีแข็งกร้าวขนาดนี้ หลังจากเรียกสติคืนกลับมาได้แล้วเธอจึงคิดจะดิ้นหนีจากการควบคุมของเขา แต่ไม่ว่าเธอจะใช้แรงดิ้นรนอย่างไร มือใหญ่ของเขายังคงจับมือเล็กๆ ของเธอเอาไว้แน่น ไม่มีทีท่าจะผ่อนแรงลงเลยแม้แต่นิดเดียว 


 


 


ในที่สุดทั้งสองก็มายืนอาบแสงสีทองอร่ามใต้ดวงตะวัน เขาหันไปมองเธอ “คุณจำได้หรือเปล่าว่าตัวเองไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์มานานมากแค่ไหนแล้ว?” 


 


 


เธอเม้มริมฝีปากแน่น ไร้คำพูดใดๆ หลุดออกจากปากเพราะเข้าใจความหมายของเขาเป็นอย่างดี 


 


 


ฉีหย่วนเหิงมองท่าทางดื้อรั้นของเธอ มองใบหน้าซูบผอมของเธอแล้วใจอ่อนยวบ เขาเอ่ยเสียงอ่อนลง “ผมไม่อยากจะบังคับคุณ แต่ช่วงที่ผ่านมาคุณทำตัวผิดปกติมากเกินไปแล้ว ขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อ มีหวังร่างกายคุณแย่แน่” 


 


 


เฉียวซือมู่ส่ายศีรษะหน้าเศร้า “ฉันไม่อยากออกจากบ้าน ปล่อยให้ฉันอยู่เงียบๆ ไม่ได้หรือไง?” 


 


 


ล้มป่วยอะไรกัน เธอไม่เคยเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจด้วยซ้ำ 


 


 


ฉีหย่วนเหิงมองเธอนิ่ง “แต่ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนี้” 


 


 


หัวใจเธอกระตุกอย่างแรง เธอชายตามองเขาพลันเห็นแววตาร้อนแรงผิดปกติของเขา ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกกลัว เธอค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหลังหนึ่งก้าว “ฉันรู้แล้วค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง” เธอหัวเราะเบาๆ “ฉันไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองล้มป่วยหรอกค่ะ อย่างน้อยก็ต้องได้ข่าวคราวของคุณแม่ก่อน” 


 


 


เขาจ้องเธอเขม็งจนเธอรู้สึกกระสับกระส่าย “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” 


 


 


เขาเอ่ย “คุณพูดแบบนี้ มันทำให้ผมไม่กล้าบอกคุณแล้ว” 


 


 


เธอตื่นเต้นขึ้นมาทันที ดวงตากลมโตจ้องเขาเขม็ง น้ำเสียงสั่นเครือ “คุณ คุณหมายความว่ายังไง?คุณได้ข่าวคุณแม่แล้วใช่ไหมคะ?” 


 


 


เขาพยักหน้า “ใช่ คนของผมเพิ่งจะได้ข่าวท่านเมื่อเช้านี้” เขามองเธอด้วยแววตายุ่งยากใจเล็กน้อย “จิ้นหยวนรับตัวคุณป้ากลับไปแล้ว” 


 


 


“นี่คุณพูดจริงเหรอคะ?” เธอคว้าจับมือเขาหมับ 


 


 


เขาปรายตามองมือเธอแวบหนึ่ง แล้วมองหน้าเธอนิ่ง “เป็นเรื่องจริง…” 


 


 


ทันใดนั้น ร่างกายเธอสั่นสะท้าน ริมฝีปากซีดเผือด “เขาทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? หรือว่า…” 


 


 


เธอสติแตก อกสั่นขวัญหาย ฉีหย่วนเหิงต้องรีบปลอบใจ “คุณอย่าเพิ่งใจร้อน คนของผมบอกว่าจิ้นหยวนไม่มีท่าทีจะทำให้ท่านลำบากใจ คุณสบายใจได้ จิ้นหยวนไม่ทำอะไรท่านหรอก”  


 


 


หลังจากได้ยินคำปลอบใจของเขาแล้ว จิตใจเธอค่อยๆ สงบลง บางทีเขาอาจจะพูดถูก จิ้นหยวนไม่ใช่คนที่โกรธคนหนึ่งแล้วจะไปพาลหาเรื่องกับอีกคนหนึ่ง ที่เธอหนีออกมาครั้งนี้ก็เป็นการตัดสินใจกะทันหันโดยที่คุณแม่ของเธอไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เพราะฉะนั้น จิ้นหยวนไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ท่านลำบากใจ 


 


 


“แล้วทำไมเขาต้องพาตัวคุณแม่ไปด้วย?” เธอจับมือเขาแน่นแล้วเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ 


 


 


ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจฉีหย่วนเหิง แต่เขาไม่กล้าเอ่ยออกไป ได้แต่เอ่ยปลอบเธอ “บางทีเขาอาจจะไม่อยากให้คุณป้าอยู่แต่ในโรงพยาบาลก็ได้ คุณวางใจเถอะ ผมจะให้คนของผมหาวิธีสืบข่าวให้ได้มากกว่านี้” 


 


 


“ค่ะ ขอบคุณคุณมากนะคะ” เธอได้ยินคำยืนยันของเขาแล้วรู้สึกโล่งใจไม่น้อย ทันใดนั้น เธอเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองจับมือเขาเอาไว้แน่น จึงรีบปล่อยมือออกด้วยความกระดากใจ “ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ฉันใจร้อนเกินไปหน่อย” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงพยายามมองข้ามความผิดหวังเล็กๆ ในใจ เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่เป็นไร ผมลงมือช้าเกินไป ถ้าลงมือเร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าบางทีผมอาจจะได้ตัวท่านก่อน และพวกคุณสองคนคงได้พบหน้ากันในไม่ช้า” 


 


 


เธอส่ายศีรษะหน้าเศร้าๆ “อย่าพูดแบบนั้นสิคะ หลายวันมานี้คุณช่วยฉันมามากแล้ว” เธอลังเลเล็กน้อย จากนั้นตัดสินใจพูดความในใจที่เก็บเอาไว้หลายวันแล้วออกมา “ฉันคิดว่าถ้าได้ข่าวของคุณแม่แล้วฉันจะไปจากที่นี่ค่ะ”  


 


 


ฉีหย่วนเหิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดแบบนี้ “ทำไมล่ะครับ? อยู่ที่นี่ไม่ดีตรงไหน?” 


 


 


เธอยิ้มฝืดเฝื่อน “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ พวกเขาดีกับฉันมาก ฉันเองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ แต่ว่า… ฉันไม่อยากทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนไปด้วย” เธอสูดหายใจลึกๆ พยายามมองเข้าไปในดวงตาของเขาด้วยความจริงจัง “แล้วก็ ต่อไปฉันอาจจะหางานทำ แต่ก็ต้องรอให้จิ้นหยวนยอมปล่อยมือจากเรื่องนี้ก่อน” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงเข้าใจความหมายของเธอ เขารู้สึกขมขื่นใจ ท่าทางเธอคงไม่อยากจะพึ่งพาเขาจนต้องขีดเส้นกั้นระหว่างเธอกับเขาให้ชัดเจน  


 


 


เขายิ้มขมขื่น “คุณไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย รอให้จิ้นหยวนเลิกตามหาคุณแล้ว ผมจะพาคุณกลับไปเอง ถึงตอนนั้น ไม่ว่าคุณอยากจะหางานทำ หรือว่าไปเยี่ยมคุณแม่ของคุณ ผมก็จะช่วยคุณจัดการทุกอย่างเอง แบบนี้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


เธอลังเลชั่วครู่ “เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีดีกว่าค่ะ” เธอดูออกว่าฉีหย่วนเหิงร้อนใจมากขนาดไหน เธอชักรู้สึกเสียใจเสียแล้วสิที่ด่วนบอกความคิดของตัวเองให้เขารู้  

 

 


ตอนที่ 202 ข่าวคราว

 

ความจริงเธอคิดเรื่องไปจากที่นี่มาสักพักแล้ว เธอเป็นคนปกติที่มีมือมีเท้าเหมือนคนอื่น หากเธอเอาแต่หลบอยู่ใต้ปีกคนอื่นตลอดเวลา ก็คงไม่ต่างจากตอนที่เธออยู่กับจิ้นหยวน เธอยังเคยไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าตัวเองอาจจะได้ร่วมชีวิตกับจิ้นหยวนไปชั่วชีวิต แล้วดูสิว่าผลเป็นอย่างไร 


 


 


เรื่องแบบนี้เกิดกับเธอแค่ครั้งเดียวยังพูดได้ว่าเธอโชคร้าย แต่หากเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองนั่นคือเธอโง่เอง 


 


 


เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่เคยหยุดคิดเรื่องที่จะไปจากที่นี่ เพียงแต่ตอนนี้ฉีหย่วนเหิงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เธอจึงเปลี่ยนคำพูดกะทันหัน 


 


 


ฉีหย่วนเหิงดูไม่ออกว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาสังเกตสีหน้าเธออย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าสีหน้าเธอสงบนิ่งจึงรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง 


 


 


เขาตบไหล่เธอเบาๆ พลางเอ่ยปลอบ “คุณวางใจเถอะ ผมต้องหาวิธีสืบข่าวของคุณป้าให้ได้ คุณอดทนหน่อยนะ ถ้าคุณเบื่อมาก อีกวันสองวันเดี๋ยวผมพาคุณออกไปข้างนอกเอง” 


 


 


เธอผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วไม่ได้เอ่ยอันใดอีก 


 


 


มอลลี่มองดูสองหนุ่มสาวจากในบ้าน เธอมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยหลังสังเกตท่าทางที่ทั้งสองพูดคุยกัน ฮานส์เห็นสีหน้าของภรรยาตัวเองแล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ทำไมคุณทำหน้าแบบนั้นล่ะ หรือว่าคุณไม่พอใจที่เห็นเขาคุยกัน?” 


 


 


ในสายตาของเขา เขาเห็นว่าสองหนุ่มสาวเข้ากันได้ดีออก 


 


 


มอลลี่ยักไหล่ “สัญชาตญาณบอกกับฉันว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีใจให้ฉี” 


 


 


ฮานส์มองออกไปนอกบ้านแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฉีก็บอกแล้วนี่ว่าเธอมีคนรักแล้ว ตอนนี้ก็เลยยังเปิดใจยอมรับเขาไม่ได้ล่ะมั้ง แต่ไม่เป็นไร เวลาจะช่วยทำให้อะไรๆ ดีขึ้นเอง” 


 


 


มอลลี่ยังคงไม่สบายใจนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน 


 


 


ฮานส์กับมอลลี่มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ที่เห็นทั้งสองอยู่ว่างๆ นั่นเป็นเพราะพวกเขาอยู่ในช่วงลาพักร้อน และวันลาพักร้อนของพวกเขาก็ใกล้จะหมดลงแล้ว 


 


 


ผ่านไปสองวัน เฉียวซือมู่ถึงได้รับรู้เรื่องนี้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ฮานส์กับมอลลี่จะไปจากที่นี่แล้ว พวกเขาจึงขอให้เธอช่วยดูแลคฤหาสน์หลังนี้แทนอย่างกะทันหัน 


 


 


เธอชะงักนิ่งอึ้ง ได้แต่มองใบหน้ายิ้มแย้มของมอลลี่แล้วเอ่ยขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก “ฉัน… ฉันว่าไม่ดีหรอกมั้ง ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไงคะ?” 


 


 


มอลลี่ยิ้มตาหยี “ไม่เป็นไร พวกเราต้องกลับไปทำงานแล้ว ปกติที่นี่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถ้าคุณชอบก็อยู่ต่อไปเรื่อยๆ สิคะ คุณไม่ต้องห่วง ฉันไม่เก็บค่าเช่ากับคุณหรอกค่ะ” 


 


 


“เปล่า ไม่ใช่นะคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “ความหมายของฉันคือ ฉันอาจจะ…” 


 


 


“อาจจะไปกับฉีใช่ไหมล่ะ คุณสบายใจได้ ถึงตอนนั้นฉีรู้ว่าต้องทำยังไง” มอลลี่เข้าใจความหมายของเธอผิดมหันต์ ยังคงเอ่ยต่อคำพูดของเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส 


 


 


เธออยากจะบอกเหลือเกินว่าอีกไม่นานเธอก็จะไปจากที่นี่แล้ว แต่มาคิดดูอีกที ยังไม่บอกดีกว่า 


 


 


ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เธอเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ไหน เพราะฉะนั้น ยังไม่พูดออกไปน่าจะเป็นการดีกว่า 


 


 


เย็นนั้น ฮานส์กับมอลลี่นั่งรถออกจากคฤหาสน์ชนบทของตัวเอง ในที่สุดคฤหาสน์ชนบทหลังใหญ่โตมโหฬารก็เหลือเธอเพียงแค่คนเดียว 


 


 


เธอมองกุญแจบ้านในมือตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เพิ่งรู้จักกันจะเชื่อใจตัวเองมากขนาดนี้ แต่กุญแจที่อยู่ในมือก็ตอกย้ำกับเธอว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน 


 


 


เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเก็บกุญแจอย่างระมัดระวัง ในใจคิดเอาไว้ว่าถึงเวลาที่เธอต้องไปจากที่นี่เธอค่อยเอากุญแจไปคืนให้พ่อบ้านก็ได้ 


 


 


เธอตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นอยู่ที่นี่ต่อเพื่อรอข่าวจากฉีหย่วนเหิง 


 


 


ในเวลาเดียวกัน จิ้นหยวนกำลังอาละวาดฟาดหัวฟาดหางด้วยความเกรี้ยวกราดหลังจากรับรู้ว่าไร้ความคืบหน้าใดๆ “คนตั้งเยอะแยะใช้เวลาค้นหานานขนาดนั้นแล้วแต่กลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?”  


 


 


ลูกน้องแต่ละคนหน้าซีดเผือดก้มหน้างุด “พวกเราออกค้นหาทุกที่แล้วครับ แต่คุณเฉียวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนระเหยไปในอากาศ ไม่มีเบาะแสอะไรให้สืบหาต่อได้เลยครับ” 


 


 


พายุฝนลมแรงก่อตัวขึ้นในดวงตาของจิ้นหยวน “พวกนายแต่ละคนมันโง่ ดี ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกนายฟังให้ดี…”  


 


 


“พี่ใหญ่!” ขณะที่พายุฝนลมแรงกำลังจะโหมกระหน่ำ ทันใดนั้นเสียงของหลินจื้อเฉิงดังขึ้น เขารีบวิ่งเข้ามาแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้จิ้นหยวน “พี่ดูนี่สิครับ มีเบอร์โทรที่ไม่รู้จักส่งข้อความเข้ามา” 


 


 


จิ้นหยวนรับมันมาด้วยใบหน้าถมึงทึง เขากวาดตามองแล้วถึงกับเบิกตาโต “เบอร์โทรที่ไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ? รีบไปเช็กเดี๋ยวนี้!” 


 


 


หลินจื้อเฉิงไม่รอให้เขาสั่ง “ผมเห็นข้อความแล้วสั่งให้คนไปเช็กที่มาแล้วครับ แต่ต้องรอผลอีกสักพัก”  


 


 


จิ้นหยวนจ้องข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือตาเขม็ง “ฉันไปแล้ว ไม่ต้องตามหา คุณไม่มีวันหาฉันเจอหรอก” 


 


 


ทั้งน้ำเสียง ทั้งคำพูด เป็นของผู้หญิงไร้หัวใจคนนั้นชัดๆ เขากำโทรศัพท์มือถือในมือแน่น ราวกับว่าสามารถบดขยี้มันให้แหลกละเอียดคามือ 


 


 


หลินจื้อเฉิงเห็นแล้วถึงกับหนังตาเต้นตุบๆ มิวายรีบไพล่มือไปข้างหลังแล้วกวักมือไปมาเป็นสัญญาณให้ลูกน้องที่เพิ่งถูกด่าเสียเปิงจนสภาพดูไม่ได้รีบฉวยโอกาสหนี 


 


 


ลูกน้องพวกนั้นต่างพากันโล่งอก เมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถึอจึงพยักพเยิดให้กันแล้วค่อยๆ เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ 


 


 


ไหนๆ การค้นหาก็ไม่ราบรื่นแล้ว มารายงานเรื่องนี้ให้จิ้นหยวนทราบ อย่างมากก็แค่ถูกเขาด่า 


 


 


จิ้นหยวนหน้าดำคร่ำเครียด เขาเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเฉียวซือมู่แข็งใจไม่ยอมกลับมาหาเขาแน่แล้ว มันทำให้เขารู้สึกเกลียดคนที่ปล่อยข่าวนี้เข้ากระดูกดำขึ้นไปอีก 


 


 


เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน่าครั่นคร้าม “หาตัวคนถ่ายรูปนั้นเจอหรือยัง?” 


 


 


สีหน้าของหลินจื้อเฉิงขาวซีด เขาส่ายศีรษะน้อยๆ “ยังครับ ผมตรวจสอบแขกที่มาร่วมงานทั้งหมดแล้ว แต่ไม่มีใครยอมรับว่าทำเรื่องนี้ครับ” 


 


 


เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด เขาพยักหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม “นายออกไปก่อน มีความคืบหน้าอะไรให้มารายงานฉันทันที” 


 


 


“ครับ” หลินจื้อเฉิงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าร่างกายของเขาทรุดโทรมลงมากภายในเวลาเพียงไม่กี่วันจึงเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว “พี่ใหญ่ ผมคิดว่าคุณเฉียวคงตัดสินใจไปจากพี่จริงๆ ถ้าเกิดหาเธอไม่เจอจริงๆ ถ้าอย่างนั้น…” 


 


 


ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยจบประโยคก็ถูกจิ้นหยวนเอ่ยแทรกขึ้น “เป็นไปไม่ได้ ฉันจะต้องหาเธอให้เจอ ต้องหาให้เจอ…” 


 


 


แววตาของเขามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว สองมือที่กำกันแน่นทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง เขาจะต้องหาเธอให้เจอจากนั้นถามเธอว่าเธอยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า ถึงเขาจะผิดที่ปิดบังเรื่องนี้กับเธอ แต่เธอลืมความรักความทะนุถนอมที่เขามีให้เธอไปจนหมดแล้วเหรอ? ทำไมเธอถึงโหดร้ายแบบนี้? 


 


 


หลินจื้อเฉิงเห็นสีหน้าน่ากลัวของเขาแล้วไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ 


 


 


หลินจื้อเฉิงเห็นมู่หรงอวิ่นเจ๋อเดินมาพอดี มู่หรงอวิ่นเจ๋อเห็นหน้าเขาแล้วเอ่ยถามทันที “อาละวาดอีกแล้วเหรอ?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงพยักหน้าให้เพื่อนรักของตัวเอง “ใช่ ถ้ารู้อย่างนี้ ตอนนั้นฉันคง…” 


 


 


มู่หรงอวิ่นเจ๋อส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น “ในเมื่อตัดสินใจทำลงไปแล้วก็ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง ที่สำคัญ นายทำไปเพราะความหวังดี คุณเฉียวมีอิทธิพลต่อพี่ใหญ่มากเกินไป” 


 


 


หลินจื้อเฉิงเม้มริมฝีปากแน่นอยู่สักพักแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “ถึงมันจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันกลัวว่าถ้าสักวันพี่ใหญ่รู้ความจริงแล้วจะ…”  

 

 


ตอนที่ 203 ยั่วยวน

 

“ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้เขารู้” มู่หรงอวิ่นเจ๋อเอ่ยต่อคำพูดของเขา 


 


 


“นายหมายความว่ายังไง?” หลินจื้อเฉิงหวาดหวั่น 


 


 


“หมายความตามที่พูด” เขามองหลินจื้อเฉิงแวบหนึ่งแล้วเลิกคุยเรื่องนี้อีก หากแต่ชูแฟ้มเอกสารในมือขึ้นแทน “เอกสารนี้ต้องส่งให้พี่ใหญ่เซ็นอนุมัติ นายจะเป็นคนเข้าไปส่งเองหรือว่าให้ฉันเข้าไป?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงส่ายศีรษะอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก “นายไปเองเถอะ ฉันจะไปพักสักหน่อย” 


 


 


เอ่ยจบแล้วเดินออกไปข้างนอกทันที ดวงตาพราวเสน่ห์ของมู่หรงอวิ่นเจ๋อมองตามจนเขาเดินหายลับไปจากสายตา จากนั้นหันไปเคาะประตูห้อง “พี่ใหญ่…” 


 


 


อีกฟากหนึ่ง เฉียวซือมู่เพิ่งได้รับข่าวจากฉีหย่วนเหิงว่าคุณแม่ของเธอสบายดี จิ้นหยวนยังจ้างพยาบาลพิเศษคอยดูแลท่านเป็นอย่างดี ทำให้เธอโล่งอกโล่งใจเป็นอย่างมาก 


 


 


ก่อนหน้านี้เธอกลัวเหลือเกินว่าจิ้นหยวนจะระบายความโกรธที่หาเธอไม่เจอกับคุณแม่ ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เธอนึกกลัว เธอจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก 


 


 


เธอขอบคุณฉีหย่วนเหิงจากใจ “ขอบคุณคุณมากเลยนะคะ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้คุณช่วยเป็นธุระให้ ฉันคงไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงส่ายศีรษะ “คุณไม่ต้องเกรงใจหรอก ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา” 


 


 


เธอพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงนั่งอยู่ข้างเธอ เขาเอ่ยถาม “ต่อจากนี้คุณจะเอายังไงต่อ ผมสังเกตเห็นว่าสองสามวันมานี้ คนที่ออกตามหาตัวคุณน้อยลงไปเยอะแล้ว อีกไม่กี่วันคุณก็คงจะออกไปข้างนอกได้แล้ว แล้วคุณอยากจะทำอะไรต่อหรือเปล่า?” 


 


 


แววตาเธอเลื่อนลอยชั่วครู่ จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว “ฉันอาจจะหางานทำ ว่างงานมานานจนกระดูกจะขึ้นสนิมอยู่แล้ว” 


 


 


“ทำงานเหรอ? ให้ผมเป็นคนดูแลคุณไม่ดีกว่าหรือไง?” เขาเอ่ยทีเล่นทีจริง 


 


 


หัวใจเธอเต้นแรง เธอชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง พบเพียงสีหน้าสงบนิ่งของเขา ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ เธอส่ายศีรษะเบาๆ “ทำแบบนั้นได้ยังไงกันคะ เราเป็นเพื่อนกันนะ จะให้คุณดูแลฉันได้ยังไง คุณวางใจเถอะ ฉันต้องหางานดีๆ ได้อย่างแน่นอน” 


 


 


ฉีหย่วนเหิงได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในอก แต่สีหน้ากลับไม่เผยความรู้สึกออกมา “ก็ดีเหมือนกัน รออีกสักพักเดี๋ยวผมพาคุณออกไปเอง” 


 


 


“อื้ม ขอบคุณมากค่ะ” 


 


 


ยามค่ำ ณ คฤหาสน์ตระกูลจิ้น 


 


 


จิ้นหยวนย้ายเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลจิ้นนับตั้งแต่วันที่เขาแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียง ส่วนคฤหาสน์ที่เขาเคยอยู่กับเฉียวซือมู่นั้น เขายกให้คุณนายเฉียวอยู่แทน 


 


 


หร่วนเซียงเซียงกับจิ้นเฮ่าพอใจมาก มีเพียงฉินเพ่ยหรงคนเดียวเท่านั้นที่ได้แต่แอบทอดถอนใจทุกครั้งยามเห็นหน้าลูกชายตัวเอง 


 


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเธอก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกชายอีกเลย ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว เธอรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่เห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของจิ้นหยวน จนทำให้เธอนึกโทษผู้หญิงเลวร้ายอย่างหร่วนเซียงเซียงอยู่ในใจ 


 


 


ความจริงเรื่องนี้จิ้นเฮ่าเองก็มีส่วนผิด แต่ใครใช้ให้เขาเป็นสามีของเธอกันล่ะ เธอไม่อาจโทษเขาได้ จึงทำได้แต่เอาความโกรธทั้งหมดของตัวเองไปลงที่หร่วนเซียงเซียงแทน 


 


 


ดังนั้น หร่วนเซียงเซียงจึงใช้ชีวิตด้วยความกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก เธอไม่สนใจที่แม่สามีเห็นเธอขัดหูขัดตาไปหมด แต่ตำแหน่งคุณนายจิ้นที่ตัวเองอุตส่าห์ลงทุนลงแรงกว่าจะได้มาไม่สมฐานะเอาเสียเลย ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว จิ้นหยวนเอาแต่ออกจากบ้านแต่เช้าและกลับบ้านดึกดื่นค่อนคืนทุกวัน ที่สำคัญ เขาไม่เคยย่างกรายเข้าไปในห้องนอนของเธอแม้แต่ก้าวเดียว เขานอนในห้องหนังสือทุกคืน และไม่เคยชายตาแลเธอเลยสักครั้ง 


 


 


เธอเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโห แต่กลับทำอะไรจิ้นหยวนไม่ได้เลยสักอย่าง 


 


 


ที่เธอได้แต่งงานกับจิ้นหยวนเป็นเพราะมีจิ้นเฮ่าคอยสนับสนุนและเข้าข้างตัวเอง แต่ตอนนี้จะให้เธอไประบายความทุกข์กับจิ้นเฮ่าได้อย่างไรว่าจิ้นหยวนยอมนอนกับกองหนังสือเสียดีกว่านอนกับเธอ ถ้าเธอทำอย่างนั้นคงต้องอับอายขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดีแน่ๆ 


 


 


นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน ขณะที่เธอกำลังกลัดกลุ้มใจอยู่นั้น ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงจิ้นหยวนกลับมาแล้ว 


 


 


เธอรีบวิ่งไปดูตรงหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น เธอเห็นเขาก้าวลงจากรถ จิ้นหยวนสวมชุดสูทสีดำดูสง่างามมาก ใบหน้างดงามราวเทพสูงส่งกลับเรียบเฉยและเย็นชา ให้ความรู้สึกยากจะเข้าถึง 


 


 


เธอเห็นเขาแล้วหน้าร้อนผะผ่าวทันที นี่คือชายหนุ่มที่เธอเฝ้าถวิลหาทุกเมื่อเชื่อวัน หลังจากความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็กลายเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอ ต่อให้หัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่นานวันเข้า เขาจะต้องเห็นความดีของเธออย่างแน่นอน 


 


 


เธอแอบมองเขาอยู่เงียบๆ และพบว่าคนที่อยู่ข้างกายจิ้นหยวนคือหลินจื้อเฉิง เขากำลังประคองจิ้นหยวนที่เหมือนคนเมาเอาไว้ 


 


 


หัวใจเธอเต้นแรง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที 


 


 


หลินจื้อเฉิงประคองจิ้นหยวนที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ขึ้นบันไดไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนังสือ เขาลังเลชั่วครู่ จิ้นหยวนยกมือขึ้นโบกไปมา “นายกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันเข้าไปเอง” 


 


 


คืนนี้เขาดื่มไปแค่สองแก้วเท่านั้น แม้ทั้งเนื้อทั้งตัวจะเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรง แต่สติสัมปชัญญะยังอยู่ครบถ้วน 


 


 


หลินจื้อเฉิงติดตามจิ้นหยวนมานาน เขาย่อมรู้ดีว่าเหตุใดจิ้นหยวนถึงนอนในห้องหนังสือ เมื่อได้ยินสิ่งที่จิ้นหยวนบอกจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขายื่นมือไปเปิดประตูห้อง จากนั้นเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ พี่ดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะครับ” 


 


 


จิ้นหยวนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวเดินเข้าไปในห้อง 


 


 


คฤหาสน์ตระกูลจิ้นนั้นใหญ่โตมาก พื้นที่แต่ละห้องกว้างขวางมาก เช่นเดียวกับห้องหนังสือห้องนี้ ฟังดูเหมือนห้องธรรมดา แต่ความจริงแล้วห้องหนังสือห้องนี้แบ่งออกเป็นสามห้องย่อย ห้องที่อยู่ด้านนอกสุดเป็นห้องรับแขกที่มีโซฟาและโต๊ะน้ำชา ถัดมาจึงเป็นห้องหนังสือที่เอาไว้ทำงาน และห้องที่อยู่ด้านในสุดเป็นห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว 


 


 


เขาเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ด้านในสุดโดยไม่สนใจอะไรอีก เขาดื่มจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ตอนนี้อยากจะอาบน้ำให้สดชื่นเสียเต็มประดา 


 


 


เขาเดินพลางถอดเสื้อสูทตัวนอกออกพลาง มือซ้ายแกะกระดุมเสื้อเชิ้ต มือขวาเลื่อนประตูห้องน้ำให้เปิดออก ทันใดนั้น ไอน้ำลอยปะทะใบหน้าของเขา เขาไม่ได้ใส่ใจนัก ดวงตาดำขลับกวาดสายตามองแวบหนึ่งพลางคิดว่าคนรับใช้คงเข้ามาเตรียมน้ำเอาไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว 


 


 


เสี้ยววินาทีที่เขาจะถอดเสื้อเชิ้ตออกพลันต้องชะงักนิ่งด้วยความตกตะลึง เพราะจู่ๆ ก็มีเรียวขาขาวราวหิมะคู่หนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางไอน้ำที่ก่อตัวขึ้นจนห้องน้ำดูขมุกขมัว เรียวขาเรียวยาวคู่นั้นต้องเป็นของหญิงสาวอย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


ถึงเขาจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจของเขาก็เต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่ เขาเอ่ยเรียกโดยไม่คิดสักนิด “มู่มู่?” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม