ระบบร้านค้าออนไลน์ 189-195
TB:บทที่ 189 การอัพเกรด
“แน่นอนสิ คุณคงไม่คิดว่า “โลกใหม่” ของผมจะมีได้แค่ประมาณนี้นะ คุณยังไม่รู้ประโยชน์จริงๆของเกมนี้เลย” เฉินหลงมีสีหน้าภาคภูมิใจ
นี่คือเกมที่ประเทศนี้ยอมจ่ายสองพันล้านหยวนเพื่อจะซื้อนะ คงจะจินตนาการออกได้ว่าเป็นของที่ดีขนาดไหน แม้เวอร์ชั่นตัดแล้วยังทำให้คนคลั่งไคล้ได้ขนาดนี้
“น้องเฉิน วางใจได้เลยว่าจะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนถ้าเราสามพี่น้องมาประจำที่นี่” หลังได้ยินดังนั้น หวังจุ่ยรีบตบอกเขาเพื่อแสดงให้วางใจ
“คุณเฉิน เราจะไม่ให้ใครเอาโลกใหม่นี้ไปได้” หวังเฟิงกล่าวเช่นกัน
หวังซีหลานพยักหน้า
“นายสองคน คงไม่ดีเท่าไรที่พวกนายจะไม่พูดอะไรและคงจะดีนะถ้าพูดบ้าง หรือจะเป็นเรื่องเกินจริงเกินไป นี่ฉันมีนายสองคนเป็นพี่น้องได้อย่างไรกัน” หวังจุ่ยมองพี่น้องทั้งสองของเขาอย่างรังเกียจ
หวังจุ่ยกล่าวเช่นนั้น ทว่าความเป็นพี่น้องของพวกเขาช่างดีเยี่ยม หวังเฟิงเป็นคนอายุมากที่สุด เขาเกิดออกมาก่อน หวังซีหลานเกิดต่อจากเขาหนึ่งนาที และสุดท้ายหวังจุ่ยเกิดช้ากว่าหวังซีหลานสามนาที พวกเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเขาแทบไม่แยกจากกันเลย แล้วพวกเขาจะมีความรู้แย่ๆต่อกันได้อย่างไร
เขาฟังที่น้องเขากล่าว หวังเฟิงและหวังซีหลานต่างกรอกตาอีกรอบ น้องชายคนสุดท้องไม่ได้ไว้หน้าพวกเขาเลย แม้เขาจะเกิดกว่าแค่สามหรือสี่นาทีแต่อย่างไรเขาก็เป็นน้องคนสุดท้อง นี่คือสิ่งที่พี่น้องจะพูดถึงกันหรือ
“ไม่ต้องห่วงไป จะมีคนอยู่ที่นี่กับพวกคุณ” เฉินหลงคิดถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากพระทั้งสี่คนและพี่น้องทั้งสามมาอยู่ด้วยกัน
“คนอื่นหรือ” หวังจุ่ยมองเฉินหลงด้วยความประหลาดใจ
จากนั้น เขาเห็นพระสี่คน ยังดีที่คนพวกนี้รู้จักกันแล้ว จึงทำให้เฉินหลงไม่ต้องแนะนำพวกเขาอีกรอบ
“ไม่ใช่ว่าคุณต้องการจะตามหาหนังสือลับในวิหารหรือ แล้วคุณมีเวลาว่างมาเล่นที่นี่ได้อย่างไรละ” หวังจุ่ยกล่าวกับเขา
เมื่อเขาฟังที่หวังจุ่ยว่าแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสี่จะไม่รู้สึกเท่าไหร่
“พวกเราสัญญากับคุณเฉินไว้ว่า พวกเราจะแก้ปัญหาให้เขา เป็นเรื่องที่ดีนะที่พวกนายไม่ใช่ปัญหาของเขา ไม่เช่นนั้นพวกเราคงได้แก้ปัญหาเรื่องนายด้วยกัน” “ไม่พูด” ไพูดออกไป
“จริงหรือ มาลองกันสักตั้งไหมละ ครั้งที่แล้วพวกเราไม่ได้ชนะ ครั้งนี้มาดูว่าจะต่างไปไหม พวกพระจะดีกว่าหรือเราสามพี่น้องจะดีกว่ากัน” “ไม่พูด”กล้าที่จะท้าพวกเขาด้วยตัวเอง พวกพี่น้องหวังตอบกลับทันที
สิ้นคำ ทั้งสองฝ่ายต่างพร้อมจะเข้าหากัน
เฉินหลงคิดว่าพวกเขาจะเข้ากันได้ ซึ่งดูเหมือนต้องล้างความคิดนี่ไป แถมยังควบคุมไม่ได้อีก เมื่อเขาเห็นว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เฉินหลงทำได้เพียงรีบกระโจนเข้าไปเป็นคนสงบศึก
“ทุกคนครับ ทุกคน อย่าเลือดร้อนกันไปเลย นี่เป็นแค่การประลองกันครับแต่เราจะไม่ประลองกันในโลกจริงๆนะครับ เราจะไปประลองที่ “โลกใหม่” ในโลกแห่งความเป็นจริง พวกเราต้องสู้กันแบบต้องยั้งมือ แต่ในโลกใหม่ พวกเราจะปลดปล่อยมือและเท้าไปได้ และแม้อีกฝ่ายตายก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรด้วย”
“เข้าไปในเกม ดีนี่ แต่อย่างไรก็ตามฉันไม่เคยหาน้องชายเจอเลย แล้วเราจะเจอพระทั้งสี่ได้อย่างไร”
ไม่มีคำค้านใดจึงเป็นการเห็นด้วยแบบแปลกๆ คนคนหนึ่งเมื่อเข้าเกมไปจะหาพี่น้องที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่เจอ
“ได้สิ ฉันจะช่วยเอง หลังอัพเกรดเกมแล้วพลังของพวกนายไม่นานจะเพิ่มไปเท่ากับระดับพลังที่มีอยู่ตอนนี้ นายจะได้รับแผนที่ที่เป็นลูกเล่นของ “โลกใหม่” ยิ่งไปกว่านั้น ข้อที่สำคัญที่สุดคือลูกเล่นนั่นจะไปเพิ่มพลังในเกมและพลังในโลกแห่งความจริงจะพัฒนาตามไปด้วย” เฉินหลงกล่าวอย่างมีชัยชนะ
เมื่อได้ยินที่เฉินหลงว่าจบ หวังจุ่ยไม่กล่าวอะไรตอบเพราะเขาอึ้งไปแล้ว
ในเกมนี้นอกจากจะเพิ่มระดับพลังได้ยังพัฒนาพลังในโลกแห่งความจริงตามในเกมอีก เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน แต่สีหน้าเฉินหลงไม่ได้เหมือนว่ากำลังโกหกอยู่
“น้องเฉิน นี่เรื่องจริงหรือ” เมื่อหลายๆคนมองตากันแล้ว หวังเจียนจึงถามเพื่อความแน่ใจ
“แน่นอนสิ และตราบใดที่เป็นเวลาที่ถูกที่ควร “โลกใหม่” จะอัพเกรดไปทั่วจีนที่ยิ่งใหญ่นี้ และในตอนนั้นจะเป็นก้าวแรกของประเทศจีนสู่การเป็นผู้มีอำนาจของโลก” เฉินหลงกล่าวอย่างตื่นเต้น
ด้วยความที่เป็นคนจีนคนหนึ่ง เฉินหลงยังมองว่าจีนที่เกรียงไกรจะเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกได้ และจะทำให้ประเทศอื่นอิจฉา อิจฉาและเกลียดชัง เหมือนกับที่ทุกคนอิจฉาสหรัฐอเมริกาตอนนี้
“น้องเฉิน โปรดรีบอัพเกรดเถอะ” เมื่อได้ยินคำของเฉินหลงแล้ว หวังจุ่ยไม่อาจรอต่อไปได้ จึงกล่าวขึ้น
เขาได้ฟังที่เฉินหลงว่าแล้ว หวังจุ่ยรู้ว่าเรื่องสำคัญนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับประเทศ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับระดับประเทศจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องหลอก
“มากับผมสิ” เพราะหวังจุ่ยและคนอื่นๆไม่อาจอดทนรอได้แล้ว เขาจึงอยากทำให้พวกเขาได้ดังที่ใจอยาก
จากนั้น เฉินหลงอัพเกรดโปรแกรมให้พวกหวังจุ่ย
หลังจากเกมอัพเกรดแล้ว หวังจุ่ยใจร้อนที่จะเข้าเกม
แน่นอนว่า พวกเขาได้ตกลงกันว่าจะเข้าเกมในตอนเย็น พวกเขาจะต้องทิ้งคนสองคนไว้เพื่อเฝ้าตอนกลางคืนด้วย ในกรณีที่พวกเขาตื่นมาทุกคนในเกมจะตื่นมาด้วย
หลังจากจบเรื่องนี้ เฉินหลงไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เพราะพี่น้องทั้งหมดของเขาจะมายังบริษัท เฉินหลงต้องเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี
ก่อนหน้านี้เฉินหลงจะขอให้เฉินเซินเป็นคนดูแลเรื่องการติดต่อและสร้างความบันเทิงให้พี่น้องเขา ตอนนี้แทบทุกสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นแล้ว เฉินหลงยังจะต้องกินข้าวกับพวกเขาอีกด้วย และพาพวกเขาไปเที่ยวสักสองสามวัน แล้วจึงจัดเตรียมพวกเขาให้ทำงานในบริษัท พ่อของเฉินหลง เฉินต้ามานมีพี่น้องทั้งหมดห้าคน ดั้งนั้นแล้วในครั้งนี้พี่น้องทุกคนต่างมากันหมด ยกเว้นคนที่ยังเรียนอยู่ และในท้ายที่สุดแล้วตราบเท่าที่เฉินเซินประกาศเรื่องนี้ทีละน้อย พวกเขาจึงได้ข่าวเรื่องการพัฒนาของเฉินหลง เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะมาทีละคน และรวมทั้งหมดเป็นเจ็ดคน
อย่างเช่น เฉินหยิงและเฉินเล่ยที่อยู่บ้าน เฉินหง เฉินฮาว เฉินเฟิงและเฉินฟานที่ทำงานอยู่ที่อื่น ต่างมาที่นี่หมด
เฉินหยิงมีงานอยู่ในเมือง แต่เมื่อเธอคิดได้ว่าคงดีกว่าหากมาทำธุรกิจกับเฉินหลง เธอจึงขอลาเพื่อติดต่อกับเฉินหลง ตอนที่เป็นเวลาที่ใช่ เธอจะลาออก เพราะในท้ายที่สุดเธอทำงานหาเงินในเมืองมาสิบปี
และเนื่องจากเฉินหลงและพี่ชายของเขาไม่ได้ทำงานในที่เดียวกัน พวกเขาจึงไม่ได้มาในเวลาเดียวกัน เฉินหลงจึงให้เฉินเซินจัดการเรื่องนี้ชั่วคราวเพื่อให้พวกเขาพักในโรงแรมห้องสวีท
เมื่อเฉินหลงมาถึงห้องสวีทในโรงแรมแล้ว เฉินเซินและพวกญาติได้พูดคุยกันพักหนึ่ง เมื่อพวกเขาเห็นเฉินหลงเดินมา พวกเขาทั้งหมดอุทานด้วยความตื่นเต้น
“พี่หลง”
“พี่หลง”
“ทุกคนอยู่ที่นี่ มาหาผม ตอนนี้ผมตอนรับไม่ดีเท่าไหร่ ต้องขอโทษด้วย” เฉินหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โรงแรมนี้เป็นเพียงที่ให้พี่น้องเขาอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เฉินหลงตั้งใจว่าจะจัดให้พวกเขาไปยังคฤหาสน์ที่มีสวนตรงกลางที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่
เฉินหยิงและคนที่มาใหม่ทั้งหมด แน่นอนว่าพวกเขาต้องฟังการจัดเตรียมจากเฉินหลงที่เป็นผู้นำในท้องที่ก่อน
และเพราะพวกเขารู้ว่าเฉินหยิงและพวกที่ใหม่ที่นี่จะขึ้นรถของเฉินหลงไปในคราวนี้ด้วยรถลินคอล์นนาวิเกเตอร์
บริษัทที่ใหญ่โตอย่างอย่างบริษัทเทคโนโลยีเว่ยหลงต้องมีรถหลายคันอยู่แล้ว อย่างครั้งนี้คือลินคอล์นนาวิเกเตอร์ที่เป็นรถที่มีไว้ให้พวกหัวหน้าบริษัทใช้ เฉินเซินมีรถด้วยคันหนึ่ง คนขับลินคอล์นสองคันรับเฉินหยิงและคนอื่นไปด้วยกัน
TB:บทที่ 190 พัฒนาพละกำลังอีกครั้ง
ตอนที่เฉินหยิงเห็นคนขับรถลินคอล์นสองคัน เธอรู้สึกได้ทันทีว่าเธอคงมีค่าเท่ากับคำขอปลอมๆนี่และเธอคาดหวังไว้อย่างมากสำหรับชีวิตเธอหลังจากนั้น
เฉินหลงขับรถนำเฉินหยิงและพวกญาติๆไปยังคฤหาสน์ที่มีสวนตรงกลางของเขา
แม้แต่เฉินเซินยังมาที่นี่เป็นครั้งแรก
“น้องหลง เมื่อไหร่กันนะที่ซื้อคฤหาสน์แบบนี้” เฉินเซินมองเฉินหลงที่พาเขาจากข้างนอกเข้าไปยังคฤหาสน์และถามไปอย่างใคร่รู้
เขาได้อยู่ที่เมืองหลวงมาอย่างยาวนาน และเขายังรู้ด้วยว่าราคาของคฤหาสน์สี่เหลี่ยมแบบนี้สูงกว่าวิลล่ามากนัก
เช่นเดียวกัน คนที่รู้เรื่องวงในอย่างเฉินหยิงรู้ด้วยว่าคฤหาสถ์เช่นนี้ราคาช่างมากมาย
“พี่ครับ ผมไม่ได้ซื้อคฤหาสน์นี่มาหรอก เพื่อนที่ผมเล่าไปคราวก่อนให้ผมมา แต่ผมคิดว่าอยู่ที่วิลล่าจะเหมาะกว่าอยู่ที่นี่ ผมเลยไม่ได้พาพี่มาที่นี่” เฉินหลงยิ้มให้และอธิบาย
“พี่หลงคฤหาสน์เหลี่ยมแบบนี้ในปักกิ่งมีไว้ให้แต่พวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น ไม่ก็พวกทายาทเศรษฐี หรือทายาทของพวกเจ้าหน้าที่ และพวกคนรวย ฉันคาดไม่ถึงว่าฉันจะมาอยู่ในคฤหาสน์แบบนี้ตอนที่ฉันมาเมืองหลวง นี่ช่างสุดยอดไปเลย” เฉินหยิงว่าอย่างตื่นเต้น
เฉินหยิงตั้งตาจะมีชีวิตอย่างพวกคนรวย เมื่อก่อนแม้เธอจะหาเงินได้สามพันหรือสี่พันหยวนต่อเดือนในเมืองเล็กๆ แต่นั่นช่างห่างไกลจากชีวิตที่ร่ำรวย ตอนนี้เธอมีโอกาสที่จะไปถึงเป้าหมายได้แล้ว แน่นอนว่าเธอตื่นเต้น
ในความเป็นจริงแล้ว คนมากมายมีความคิดเหมือนเฉินหยิงที่อยากจะมีชีวิตที่โอ่อ่า ไม่เช่นนั้น คนเราคงไม่พยายามอย่างที่สุดเพื่อหาเงินมายกระดับชีวิตเราหรอก
“ตอนนี้ นี่คือที่ที่เธอจะอยู่ หากอยากจะอยู่ไปตลอดเลย ก็ยินดี แต่หากเธออยากจะย้ายออกไปในอนาคต ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะสุดท้ายแล้วคงไม่นานหรอกกว่าเธอจะซื้อบ้านสักหลังในปักกิ่งได้” เฉินหลงมองพี่น้องทั้งหลายของเขาและกล่าวไป
ความจริงในใจเฉินหลง เขาอยากจะให้ญาติๆอยู่ด้วยกันก่อน เขาจึงได้รู้สึกถึงความเป็นกลุ่มก้อนอย่างครอบครัวใหญ่
เฉินหลงเพียงไม่อยากจะบังคับญาติๆของเขา
“พี่คะ พวกเราจะซื้อบ้านในปักกิ่งได้เร็วๆนี้จริงหรือ” เมื่อได้ยินคำตอบของเฉินหลง เฉินหยิงรีบถามไป
เช่นเดียวกันนั้น พี่น้องเฉินต่างมองเฉินหลงและต้องการจะฟังคำตอบของเฉินหลง
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็มาปักกิ่งเพื่อมีชีวิตที่ดี
“แน่นอนว่าหลังจากทำงานในบริษัทแล้ว เธอจะไม่ได้แค่ซื้อบ้านของตัวเองในปักกิ่งได้แต่ยังมีรถของตัวเองในปักกิ่งได้ด้วย ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ เธอลองถามพี่เซินได้เลย” เฉินหลงพยักหน้า
จากนั้น เฉินเซินคุยต่อเรื่องเงินเดือนถึงล้านหยวน
“ตราบใดที่พวกเราขยันทำงานให้บริษัท พวกเราจะรวยเป็นล่ำเป็นสันตอบแทน” เฉินเซินว่า เฉินหยิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มงาน
เฉินหยิงมาที่ปักกิ่งก็เพื่อทำงานให้ได้มากๆ ตอนนี้เธอมีโอกาสแล้ว แน่นอนว่าเธอคงไม่ปล่อยไป
“น้องสาว อย่าได้ตื่นเต้นไป เธอมาปักกิ่งเพื่อเที่ยวเล่นสักสองสามวัน แล้วฉันจะจัดตำแหน่งให้แต่ละคนในบริษัท” พี่น้องของเขาจะต้องมาด้วย เฉินหลงไม่อยากจะปล่อยให้พวกเขาทำงานในบริษัทก่อน ไม่เช่นนั้นพ่อเขาคงต้องว่าเฉินหลงหากว่าเขารู้ว่าเป็นเช่นนั้น
เมื่อเห็นว่าเฉินหลงว่าเช่นนั้น เฉินหยิงจึงไม่ยืนกรานอะไรต่อ เธอจะเที่ยวเล่นต่ออีกสักสองสามวัน
อีกสามวันต่อมา เฉินหลงจะไปเดินเล่นรอบเมืองหลวงเป็นเพื่อนเฉินหยิง
รถอีกหลายคันที่เฉียนชานเจียทิ้งไว้ให้ได้ให้ประสบการณ์ดีๆสำหรับการขับรถหรู
“นี่คือชีวิตที่ฉันต้องการ”
ในอีกสามวัน ในใจเฉินหยิงและพวกญาติๆจะผุดไอเดียดีๆขึ้น
และสามวันต่อมาเฉินหลงจะหาที่ทางให้พวกเขาทำงานในบริษัทเขาเอง
ช่วงสามวันนี้หวังจุ่ยและพวกจะไม่ว่างงาน อย่างที่จางเฟิงหยานว่า มีโจรมากมายที่คอยสอดส่องบริษัทเขาอยู่
ภายใต้การเฝ้ามองของ “ไม่พูด”และหวังจุ่ย มีเพียงปรมาจารย์ระดับกำเนิดสองสามคนที่จะหลบหนีได้ คนอื่นทั้งหมดโดนจับและส่งไปกลุ่มศูนย์เพื่อสอบสวนทีละคน
เป็นเวลาช่วงหนึ่งที่มีกลุ่มกำลังมากมายรู้ว่าหากพวกเขาจะมาเอา “โลกใหม่” ของบริษัทเว่ยหลงไป พวกเขาจะทำได้เพียงส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีพลังเหนือระดับกำเนิดมา แต่จะคุ้มค่ากับของอย่าง “โลกใหม่” หรือ แน่นอนว่าหากไม่ใช่“โลกใหม่”แบบสมบูรณ์แล้ว คุณค่าคงไม่เพียงพอจะจ้างพวกผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้
อีกอย่างหนึ่ง หากกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์พวกนี้มีระดับเหนือระดับกำเนิดไปแล้วและเข้าสู่สวรรค์อันสูงส่ง คงไม่มาทำภารกิจเช่นนี้
ผลที่เกิดนั้น หลังจากสองสามวันแห่งความไม่สงบ พวกกองกำลังนั้นได้หยุดไป
เช่นเดียวกับที่จางเฟิงหยานที่กลับไปเช่นกัน อีกทั้งเขายังไม่กลับมาที่บริษัทเว่ยหลงอีกแล้วด้วย
อย่างไรเสีย
ในตอนเดียวกันนั้น เฉินหลงพร้อมจะให้หวังหูและเจิ้งอี้ใช้หินแห่งแสง
“หวังหู นายอยากพัฒนาพลังไหม” เฉินหลงเรียกหวังหูไปที่ห้องทำงานเขา เขามองตาหวังหู
ด้วยพลังของคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากขึ้นและมากขึ้น เฉินหลงรู้สึกว่าพลังของหวังหูและเจิ้งอี้มีอะไรบางอย่างทำให้ไม่พัฒนาขึ้น ดังนั้นเขาจึงอยากจะยกระดับพละกำลังของพวกเขา ในขณะเดียวกัน เขายังอยากให้พวกเขาได้พลังที่แท้จริงที่ทรงพลังขึ้นด้วย
“ครับ” หวังหูว่าด้วยความมาดมั่น
เหตุการณ์อย่างจางเฟิงหยานเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้ง พลังของคนที่แข็งแกร่งในบริษัททุกวันนี้ยังห่างไกลจากเขาไปมาก หากไม่มีหวังจุ่ยและ “ไม่พูด”แล้ว เขาคงหยุดพวกนั้นเองไม่ได้ ดังนั้นหวังหูจึงหวังว่าจะรีบเร่งพัฒนาพลังของเขา
เฉินหลงมองหวังหูและกล่าวว่า “ผมมีของบางอย่างที่จะช่วยพัฒนาพลังของคุณ แต่จะในขั้นตอนจะมีความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ยังอยากจะใช้ไหม”
หวังหูไม่ได้ใช้ผลซื่อสัตย์ ดังนั้นเฉินหลงจึงตั้งตาฟังความต้องการของเขา หากเขาต้องการ เขาจะใช้ “หินแห่งแสง”ก็ได้ แต่หากเขาไม่ต้องการก็ไม่เป็นไรเช่นกัน ในอนาคต เฉินหลงจะไม่ยกมาพูดอีก และความตั้งใจของหวังหูในใจเฉินหลงจะหายไปด้วย
“หัวหน้าครับ ความเจ็บปวดเป็นยาดีของศิลปะการต่อสู้ หากว่าเกรงกลัวความเจ็บปวดแล้ว ไม่ว่าจะฝึกศิลปะการต่อสู้ประเภทใด ตราบใดที่เราไม่พัฒนาพลังของเราแล้วและไม่พูดเรื่องความเจ็บปวด ก็เป็นเรื่องสมควรตาย”
หวังหูไม่ได้คิดมากมาย น้ำเสียงเขาช่างหนักแน่น
หากนักรบไม่มีหัวใจของศิลปะการต่อสู้ ก็ควรยอมแพ้การฝึกศิลปะการต่อสู้ไปเท่าที่เป็นไปได้และจะกลายเป็นคนธรรมดาไป หากเป็นเช่นนั้นคงมีความสุขเสียมากกว่า
“ดี เช่นนั้นกลืนนี่ลงไป” คำของหวังหูทำให้เฉินหลงเห็นด้วยกับเขาเงียบๆ แล้วเขาจึงหยิบ “หินแห่งแสง” และยื่นไปให้หวังหู
หลังจากหวังหูหยิบหินแห่งแสงไปแล้ว เขากลืนลงไปโดยไม่คิดอะไรอีก
และเมื่อกลืน “หินแห่งแสง” ลงไปแล้ว หวังหูเปลี่ยนเป็นดักแด้แสงทันที คล้ายกับกู่เฟ่ย
จากนั้น เฉินหลงขอให้พี่น้องเจิ้งอี้มาที่ห้องทำงานเขา และเขายังให้ “หินแห่งแสง” ไปอีกด้วย
ไม่นานก็มีดักแด้4ตัวอยู่ในห้องทำงานของเฉินหลง
TB:บทที่ 191 มีดขว้าง
ตอนแรกเฉินหลงคิดว่าระหว่างหวังหูและเจิ้งอี้ หวังหูจะเป็นคนแรกที่พลังเขาจะพัฒนาขึ้น แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เขานั่นเองที่ทรงพลังที่สุดในหมู่สี่คนที่มีพลังระดับยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ ระหว่างเจิ้งอี้และพวกเขาอีกสามคน คนที่มีระดับพลังแข็งแกร่งที่สุดคือเทียซินที่มีพลังระดับปรมาจารย์ขั้นสูง เจิ้งอี้และลู่หงมีพลังระดับปรมาจารย์
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เฉินหลงประหลาดใจคือ เจิ้งอี้เป็นคนแรกที่ออกมาจากดักแด้และพลังของเขาผ่านพ้นระดับกำเนิดไปแล้วและผ่านไปถึงระดับพลังลมปราณ นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลก
ชิ้น “หินแห่งแสง” ทำให้เจิ้งได้ข้ามพ้นระดับพลังไปสามขั้นรวด
อย่างไรเสีย แม้พลังของเจิ้งอี้จะไปถึงระดับของพลังลมปราณแล้ว เขายังคงเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเฉินหลงอยู่ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะศักยภาพของผลซื่อสัตย์ช่างทรงพลังจนไม่อาจทำลายความซื่อสัตย์ที่ผูกมัดหากยังไม่มีพลังไปถึงระดับ “ประมาจารย์แห่งดวงดาว”
ก่อนหน้านี้พลังของเจิ้งอี้เป็นพลังที่คล้ายกับมีดสั้น เมื่อเขาโจมตีเฉินหลง เขาถือมีดพวกนั้นไว้ในมือ แต่จริงๆแล้วกฏการใช้งานคือการปา อย่างการใช้มีดขว้าง ครั้งนี้พลังของเขาได้เพิ่มขึ้นมาถึงระดับพลังลมปราณแล้ว ฝีมือมีดขว้างของเขายังไปถึงระดับที่ร้ายกาจอีกด้วย กูหลงต๋า ลี่เสี่ยว มีดปาของลี่ไม่เคยรอให้พลาดเส้นผมแม้แต่เส้นเดียว มีดขว้างของเจิ้งอี้ก็ไปถึงระดับนั้นได้ด้วยเช่นกัน เฉินหลงยังขอให้เจิ้งอี้ใช้มีดปาด้วย เจิ้งอี้ เฉินหลงไม่อาจมองตามมีดปาได้เลย เมื่อมีดปาโผล่มาอีกรอบ มีดนั่นก็ได้ปักเข้าใส่ร่างกายไปแล้ว
เป็นเรื่องโชคดีที่เจิ้งอี้ฆ่าเฉินหลงไม่ได้ และพลังระดับสิบเอ็ดระฆังทองของเฉินหลงก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
แต่อย่างไรเสีย มีดขว้างของเจิ้งอี้ยังเป็นสิ่งที่เปิดหูเปิดตาเฉินหลงอีกด้วย ทว่านี่ยิ่งทำให้เขามั่นใจในความปลอดภัยของบริษัทกว่าเดิม
ตอนนี้บริษัทเขาได้กลายมาเป็นไข่ทองคำที่สร้างเงินได้มากมาย เพียงเมื่อไม่กี่วันก่อน เครื่องสวมศีรษะขายออกไปกว่าสองร้อยล้านเครื่อง และนั่นทำให้เฉินหลงได้เงินถึงสี่ร้อยพันล้านหยวน การผลิตเครื่องสวมศรีษะสามารถเร่งให้ผลิตได้ก่อนที่พวกนี้จะผลิตโดยรัฐ และยังมีคนมากมายที่ต้องการซื้อเครื่องสวมศรีษะพวกนี้ไว้ก่อนด้วย
ตอนนี้เฉินหลงขายเครื่องสวมศีรษะเพื่อวางรากฐานให้กับอนาคตของประเทศ ประเทศของเขายังรู้เรื่องนี้ด้วย ดังนั้นแล้ว โรงงานที่เป็นธุรกิจของรัฐจึงมีส่วนร่วมในการผลิตเครื่องสวมศีรษะ การผลิตเครื่องสวมศีรษะและชิพพวกนี้ช่างง่ายดายและไม่มีความยากลำบากมากมายอะไร หากไม่มีโปรแกรมของ “โลกใหม่” แล้ว ของทั้งหมดพวกนี้ก็ไร้ประโยชน์
โปรแกรมท้ายสุดได้เพิ่มเข้าไปโดยคอมพิวเตอร์ของเฉินหลงในตึกเว่ยหลง
หลังจากคอมพิวเตอร์ของเฉินหลงแปรเปลี่ยนเป็นระบบอัจฉริยะแล้วจึงไม่มีใครในโลกที่จะบุกรุกเข้ามาในระบบได้ ท้ายที่สุดแล้วคงเป็นเรื่องที่ยากจะเกิดหากคนล้าหลังจะเอาขนะคนที่ทันสมัยได้ คนที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างที่สุด
ตอนนี้เมื่อมีเจิ้งอี้ที่มีพลังระดับลมปราณแล้ว เขาเชื่อว่าจะแทบไม่มีใครเลยที่จะบุกรุกเข้ามาได้
หลังจากนั้นหวังหูก็พัฒนาสำเร็จ
“หัวหน้า ผมทำได้แล้ว พลังของผมไปถึงขั้นกำเนิดแล้ว” เมื่อหวังหูพัฒนาสำเร็จ เขารู้สึกได้ถึงพลังกายของเขาที่ต่างไปจากตอนแรก ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจึงเจอหน้าเฉินหลงอย่างตื่นเต้น
ระดับกำเนิดเป็นระดับที่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนต้องการจะก้าวไปให้ถึง นั่นหมายความว่าพวกเขาได้เดินในทางเดินแห่งศิลปะการต่อสู้เสร็จสิ้นไปทางหนึ่งแล้ว และเขาเดินในทางที่แกร่งกว่าเดิม หวังหูไม่ได้ต่างไปจากพวกนั้น ด้วยคุณสมบัติของหวังหู เขามีพลังระดับกำเนิดได้แต่คงทำไม่ได้ในเวลาสั้นๆ ตอนนี้เฉินหลงเป็นผู้เดียวที่มีเครื่องมือวิเศษที่ทำให้เขามีพลังระดับที่เขาใฝ่ฝันได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่หวังหูจะตื่นเต้นมากขนาดนี้
“แน่นอน ฉันคงผิดหวังถ้านายไม่ได้มีพลังถึงระดับที่นายควรมีแต่เกิด” เฉินหลงมองหวังหูอย่างพึงพอใจ
เมื่อเขาขอให้ถึงหวังหูกิน “หินแห่งแสง” เข้าไป เขาไม่คิดอะไรมากมายเลย นี่ทำให้เฉินหลงพึงพอใจในตัวหวังหูมากและเขาตั้งใจจะลงทุนกับเขาต่อ
หวังหูรีบกล่าวขอบคุณกับเฉินหลง “ขอบคุณสำหรับความสำเร็จนี้”
เขาสามารถมีพลังระดับกำเนิดได้ ทว่าการพัฒนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเฉินหลงไปเสียหมด และการคิดว่าเฉินหลงพัฒนาระดับพลังทางศิลปะการต่อสู้ไปได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นเรื่องธรรมดาๆแล้ว หวังหูได้แต่นับถือเฉินหลง
จากนั้น หวังหูเห็นว่าในห้องทำงานมีกลุ่มแสงอีกสองกลุ่มที่เป็นของเทียซินและลู่หง
“อย่าตกใจไป นายเพิ่งได้ออกมา นี่ยังมีทียซินกับลู่หงด้วย” เฉินหลงว่าด้วยรอยยิ้ม
เขาได้ฟังคำของเฉินหลงแล้วหวังหูแสดงสีหน้าประหลาดใจ ใครจะทัดเทียมกับเทียซินและลู่หงแน่นอนว่าเขารู้ว่าสองคนนี้เป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของเขา และพวกเขายังเคยดื่มด้วยกันอีกด้วย ดังนั้นแล้วเขาจึงแน่ใจเรื่องกำลังที่เขามีได้ เมื่อเขาออกมาจากกลุ่มแสง เขามีพลังระดับกำเนิด แล้วสองคนนี้เล่าจะเป็นอย่างไร
ตอนนั้นเขาพบว่าเจิ้งอี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย
เมื่อเขาเห็นเจิ้งอี้ หวังหูแปลกใจมาก ในเมื่อเจิ้งอี้ยืนอยู่ที่นี่แต่เขาไม่รู้สึกถึงตัวตนได้อย่างไรกัน และพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนแล้วและไม่ใช่เพียงแค่ระดับปรมาจารย์ แต่ตอนนี้เขามองพลังของเจิ้งอี้ไม่ออก นี่พละกำลังเขาเหนือไปแล้วหรือ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
อย่างไรเสีย เมื่อเขาคิดว่าด้วยความช่วยเหลือจากเฉินหลงเขาได้พัฒนาไประดับกำเนิดอย่างง่ายดายได้แล้ว แล้วเพราะเหตุใดเจิ้งอี้ถึงจึงจะผ่านไประดับที่สูงกว่าเขาไม่ได้ ในบริษัทนี้เจิ้งอี้มักจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเฉินหลงเสมอและเฉินหลงก็ควรพัฒนาพลังให้เขา เมื่อคิดได้เช่นนี้หวังหูตัดสินใจได้ว่าจะซื่อสัตย์ต่อเฉินหลงให้มากกว่าเดิม เฉินหลงกล่าวต่อไปว่า “หวังหู เจิ้งอี้ก็เป็นแบบนาย เขากลืน “หินแห่งแสง” ไปเพียงชิ้นเดียวเขาสามารถมีพลังระดับที่เป็นอยู่ได้ด้วยตัวเอง ตราบใดที่นายยังทำประโยชน์ให้ฉันอยู่ ฉันจะไม่ทำอะไรแย่ๆกับนายหรอก”
“เจ้านาย อย่าได้กังวลไป ผม หวังหู จะไม่ทำให้ผิดหวังหรอก” หวังหูรีบตอบไป
จากนั้น อีกไม่นานเทียซินละลู่หงก็พัฒนาได้สำเร็จ
เมื่อได้เห็นว่าพลังของเทียซินและเพื่อนของเขาได้ผ่านพ้นไปสู่ขั้นกำเนิดแล้ว หวังหูก็ยังชื่นชมในตัวเฉินหลงอยู่ดี พลังของคนคนหนึ่งมีสภาพจากที่กำเนิด ร่วมกับฝีมือการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว จากการรวมกันของสองสิ่งนี้จะทำให้การผ่านพ้นของสภาพที่มีง่ายดายราวกับดื่มน้ำ แล้วคนเราจะไม่ชื่นชมเขาได้อย่างไร
และการทำเช่นนี้ทำให้ลูกน้องของเฉินหลงแทบทั้งหมดมีพลังในระดับกำเนิดเหมือนกัน ช่างเป็นพลังที่ไม่ได้อ่อนแอเลย
เมื่อพลังของเทียซินและลู่หงได้ไปถึงขั้นกำเนิด เฉินหลงยังให้พวกเขาได้เข้า “โลกใหม่” ที่สมบูรณ์ไปด้วย เพื่อให้พยายามพัฒนาพลังต่อไป
หลังจากจัดการเรื่องเจิ้งอี้และหวังหูแล้ว เฉินหลงพร้อมให้เฉินหยิงและพวกได้เข้าสู่ “โลกใหม่” ที่สมบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อเป็นเวลาที่ถูกที่ควร “โลกใหม่” ของชาติจีนที่ยิ่งใหญ่จะอัพเกรดไปสู่เวอร์ชั่นเต็ม และเพราะว่าพวกเขาต้องการจะเข้า“โลกใหม่”นี่ ทำไมเขาจะไม่ให้ญาติของเขาได้สนุกกับประสบการณ์ที่ดีกว่าก่อนใครเล่า
“พี่หลง นี่หรือคือโลกใหม่” เฉินหยิงมองเครื่องสวมหัวของเฉินหลงด้วยความแปลกใจ เมื่อไม่กี่วันก่อนในปักกิ่งแทบทุกอย่างที่เฉินหยิงได้ยินเกี่ยวข้องกับเกม“โลกใหม่” อะไรที่ทำให้เฉินหยิงประหลาดใจไปได้มากกว่าเก่าคือบริษัทที่พัฒนาเกมนั้น คือบริษัทที่เธอเข้าทำงาน เธอตัดสินใจได้ในขณะเดียวกันว่าเธอสงสัยเกี่ยว“โลกใหม่”นี่เป็นที่สุด
TB:บทที่ 192 หมีที่น่าเกรงขาม
เฉินหลงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว นี่คือ“โลกใหม่” เธอเข้าไปแล้วลองดูสิ เธอจะได้เจอกับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงเลย”
เฉินหยิงคือคนที่สนใจ“โลกใหม่”มาอย่างยาวนาน เธอรีบสวมเครื่องสวมหัวและรีบลองเข้าไปเล่นทันที
เช่นเดียวกับ เฉินเล่ยและพวกญาติๆที่เข้าเกมกันไป
แม้เฉินหลงจะขอให้เฉินหยิงช่วยเขาเรื่องบริษัทแล้ว จริงๆแล้วเขาอยากจะชวนมาใช้ชีวิตที่ดีร่วมกันด้วย แน่นอนว่าหากพวกเขามีความสามารถจะเป็นผู้จัดการได้ เฉินหลงคงจะมีความสุขมาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนหนึ่งได้ผ่านไป
เดือนนี้เขาไม่รู้ว่าสมาชิกทั้งแปดของหนทางปิศาจได้เข้า“โลกใหม่”มาเพื่อเล่นเกม แต่ไม่มีพวกนั้นมาก่อกวนเฉินหลงเลย
อย่างไรก็ตามคนในหนทางปิศาจไม่ได้มาหาเฉินหลงเพื่อก่อปัญหา ทว่าชายคนหนึ่งต้องการจะมาหาเรื่องกับเฉินหลง
ในเดือนนี้เมืองหลวงช่างไม่สงบสุขเอาเสียเลย เนื่องจาก ประการแรกสุดคือซ่งเทียนฮาว หัวหน้าของสกุลซ่งได้ข้ามไปสู่ระดับกำเนิดแล้ว สกุลซ่งยังได้เผยหลักการเรื่องนี้อย่างมากด้วย
อีกประการหนึ่งคือหวังซือเหวินคนที่เป็น “สี่ความน่าเสียดายของศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองหลวง” จู่ๆก็ได้ฟื้นตัว ยิ่งไปกว่านั้นพลังของเขาได้ก้าวข้ามไปยังขั้นกำเนิด ในขณะเดียวกันเขายังได้รับชื่อเดิมของเขาคืนด้วย หวังหว่านจิน ในตอนนั้นเองมีปรมาจารย์หนุ่มที่ทรงพลังสามคนในสกุลหวัง คนหนึ่งคือหวังเจียนคนที่เอาชนะคนเก้าคนได้ในทีเดียว อีกคนคือหวังเฉียนจินคนที่สร้างกระบวนท่า “เฉียนจิน เฉินฉวน” ขึ้นมาเองด้วยพลังที่สรวงสวรรค์ให้เขามา และหวังหว่านจินคนที่พิการมาสิบเจ็ดปีแต่ตอนนี้เขาได้ฟื้นฟูสู่สภาพตามเดิมแล้ว
เหตุผลอีกประการคือสกุลหวัง สกุลที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ครอบครัวเก่าแก่ทั้งสี่ ได้แข็งแกร่งนำหน้าสกุลซ่งไปในฉับพลัน
ในขณะเดียวกัน สกุลหวังยังได้จัดงานเลี้ยงที่หวังหว่านจินได้ก้าวข้ามระดับตามกำเนิดเขาไปได้แล้ว แน่นอนว่าเฉินหลงเป็นหนึ่งในแขกที่ขาดไปไม่ได้
สำหรับการขาย “โลกใหม่” ในต่างประเทศ เฉินหลงขอให้ประเทศเขาช่วยจัดการกับการขาย เพื่อให้ราคาต่อชิ้นอยู่ที่สองพันดอลลาร์
เมื่อคนดีๆมายังจีนที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาจะแลกเงินได้มากกว่าหกพันหยวนต่อสามหรือสี่ร้อยดอลลาร์ ตอนนี้สินค้าของพวกเขาได้ขายหมดไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะทำเช่นเดิม อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนเดียวที่มีสินค้า หากทำเงินได้มากแล้วคุณจะซื้อก็ทำไม่ได้ เฉินหลงทำเช่นนี้เพราะเขาไม่อาจซื้อสินค้าต่างชาติแพงๆได้ หลังจากเฉินหลงไปหาสกุลหวัง สกุลหวังรีบรับเขาเข้าไปทันที เฉินหลงได้ทำบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้กับความสำเร็จของสกุลหวัง
หลังจากหนึ่งเดือนแห่งการพักฟื้น หวังหว่านจินได้ฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และเนื่องจากเขาใช้เวลาอ่านหนังสือกว่าสิบปี เขาจะไม่ได้มีบุคลิกที่อยู่ไม่นิ่งอย่างคนหนุ่ม ทว่าเขามีความสงบนิ่งที่หาได้ยากในวัยนี้
“อาจารย์เฉิน ผมซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่คุณมาหาหว่านจิน อาจารย์เฉินได้ให้ชีวิตกับหว่านจิน หากคุณต้องการอะไรจากหวังหว่านจินในอนาคต ขอเพียงแค่เอ่ยมา แล้วหวังหว่านจินจะไม่ทำหน้าบึ้งตึงเลย” หวังหว่านจินมองสีหน้าเฉินหลงและกล่าวไปอย่างจริงใจ
สำหรับการตอบแทนเฉินหลงแล้วหวังหว่านจินคิดได้เพียงวิธีนี้ที่จะทดแทน
เฉินหลงยิ้มให้และตบบ่าเขา เขาไม่ตอบอะไร เขาเห็นว่าหวังหว่านจินนั่นจริงใจและเขาดีใจที่เขาเลือกช่วยคนถูก
ในตอนนั้นเอง ในห้องสวีทของโรงแรมหนึ่งห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตร หญิงคนหนึ่งสวมผ้าคลุมหน้ากำลังมองเฉินหลงในบ้านของสกุลหวังด้วยกล้องส่องทางไกล
เมื่อจำหน้าตาของเฉินหลงได้แล้ว สายตาหญิงคนนั้นฉายสีแห่งความขมขื่น ในเวลาเดียวกันเธอยังปล่อยพลังให้ไหลออกมาอีกด้วย พลังที่ไปถึงระดับพลังลมปราณ
หากว่าไม่ใช่เพื่อการทำลายเฉินหลงแล้ว ตราบเท่าที่หวังหว่านจินอายุยี่สิบปีและมีความหมกหมุ่นกับพลังระดับกำเนิดของเขา เขาคงก้าวข้ามไปสู้ระดับพลังลมปราณได้ ทว่าในครั้งนี้เขาจะโดนเฉินหลงทำลาย
หญิงคนนี้เป็นนายแม่ของกลุ่มคนที่อาศัยในภูเขาลึก และเนื่องจาก “มนต์หยินฟู่” ที่สาปร่างหวังหว่านจินได้ถูกทำลายไป “ทักษะการเคลื่อนกง” ของเธอจึงไม่อาจทำได้สำเร็จด้วย และเธอได้เสียความสามารถที่จะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงต้องหารหาคนที่ทำลาย “มนต์หยินฟู่” ของเธอให้เจอ
และเธอก็รู้ด้วยว่า “หยินฟู่” ที่สาปหวังหว่านจินไว้ได้สลายไปแล้ว สกุลหวังอาจจะสงสัยเธอได้ หลังจากไปยังเมืองหลวง เธอซ่อนร่องรอยอย่างระมัดระวังและในเวลาเดียวกันนั้นเธอก็หาตัวคนที่รักษาหวังหว่านจินไปด้วยอย่างรอบคอบ
เนื่องจากเฉินหลงโด่งดังเกินไปในเมืองหลวง และด้วยความสามารถของเธอ เธอจึงรู้ว่าเป็นเฉินหลงได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน เธอยังรู้ด้วยว่าเฉินหลงจะเข้าร่วมงานเลี้ยงของสกุลหวังในวันนี้ และเธอได้เฝ้ามองเป็นเวลานานแล้ว เธอพร้อมที่จะหาโอกาสเพื่อจะฆ่าเฉินหลงเพื่อดับความโกรธแค้นของเธอ
เฉินหลงไม่รู้ว่าเขาโดนเฝ้ามองอยู่ หลังจากเขาอยู่ที่งานเลี้ยงไปครู่หนึ่ง เขาก็ออกไป
เพราะสุดท้ายเฉินหลงไม่คุ้นชินกับงานเลี้ยงเช่นนี้
หลังจากที่เธอเห็นเฉินหลงจากไป หญิงคนนั้นได้อ่านบันทึกจำนวนหนึ่งที่คล้ายกับเป็นการร่ายเวทย์มนต์ด้วยปากไปด้วย ร่างของเธอทั้งร่างเริ่มเลือนไป และร่างเธอได้ค่อยๆหายไปจากห้องนั้น
จากนั้น หน้าต่างในห้องก็เปิดออก
ในขณะนั้น หากมีใครเห็นหญิงคนนั้น คนคนนั้นจะเห็นเธอยืนอยู่ในอากาศแล้วอากาศนั้นก็ตามเฉินหลงไปอย่างใกล้ชิดตรงสู่รถของเขา
เฉินหลงไม่รับรู้ถึงอะไรทั้งนั้น เขากลับไปวิลล่าของเขา
สำหรับเฉินเซิน เฉินหยิง เฉินหลงได้จัดให้พวกเขาพักที่คฤหาสน์ในช่วงหนึ่ง แต่ตัวเขาเองอาศัยอยู่ที่วิลล่าของเขา เพราะสุดท้ายการคุกคามของหนทางปิศาจก็ยังอยู่ที่นั้นและเฉินหลงไม่อยากให้พวกเขาได้ผลกระทบไปด้วย
ตอนที่เขาขับรถอยู่ เฉินหลงคิดว่าจะกลับเข้าเกมเพื่อฝึกทักษะ
ในช่วงเดือนนี้ เฉินหลงไม่มีเวลาว่างเลย เขาพยายามจะพัฒนาพละกำลังในเกม เพราะไม่มีทางที่ตอนนี้จะมีคนจำนวนมากตามรอยเท้าเขามาได้ หากว่าเขาไม่พัฒนาเขาก็จะโดนเหยียบข้ามไปได้
อย่างไรเสียเมื่อเป็นเรื่องของ “โลกใหม่” ที่มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากมายอยู่ ขณะที่ท้าทายพวกมัน พลังของเฉินหลงจะเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ หนึ่งเดือนต่อมา เฉินหลงได้แตะเข้าสู่ระดับพลังลมปราณ
เมื่อเขาขับรถมาถึงวิลล่า เฉินหลงจอดรถและกลับไปห้องของเขา และพร้อมจะเล่นเกมที่อัพเกรดแล้ว อย่างไรก็ตามแต่ครั้งนี้เสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามได้เห่าเขาทันที เฉินหลงรับรู้ได้ถึงสัญญาณที่เลวร้ายอีกด้วย
เมื่อเสี่ยวเฮยหมายเลขสองและหมายเลขสามเห่า เฉินหลงพลันรู้สึกได้ว่าในวิลล่าของเขาห่อหุ้มไปด้วยพลังปริศนา
จากนั้น หญิงคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมหน้าปรากฏขึ้นมาในห้องเฉินหลง
ในทันทีที่หญิงคนนั้นปรากฏกายขึ้นมา เฉินหลงรู้สึกได้ถึงความอันตรายอย่างที่สุด
“คุณเป็นใคร” ขณะที่พูดอยู่เฉินหลงได้ใช้วงแหวนมิติของเขาด้วยจิตแล้ว และเขาก็พร้อมที่จะหยิบเครื่องมือออกมาทุกเมื่อ
หญิงคนนี้มีความรู้สึกที่น่าอันตราย และเฉินหลงไม่ต้องการที่จะล่าช้า
“ฉันจะไม่บอกว่าฉันเป็นใคร ฉันจะทำให้นายตายด้วยความเกลียดชังในใจ” หญิงคนนั้นว่าข้างหลังเธอปรากฏเงาหมียักษ์ เงาของหมีตัวยักษ์นี้กวาดอุ้งมือยังตรงมายังเฉินหลงอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของเฉินหลงพลันเปลี่ยนไปเมื่อเขาเห็นภาพของอุ้งมือที่ตรงมา แม้อุ้งมือยักษ์นี้จะไม่มีสสาร แต่พลังที่กดลงมาเป็นของจริง และนี่ไม่ทำให้เฉินหลงรู้สึกดีขึ้นเลย
TB:บทที่ 193 มนต์คาถาแม่มด
ตอนแรกที่เขาได้เห็นภาพของเงานี่ เฉินหลงอยากจะหยิบเอาโล่ป้องกันออกมา แต่เมื่อคิดอีกครั้ง เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสให้เขาพัฒนาพลังไปอีกขั้น ฉะนั้น มาสู้กันสิ
ระฆังทองของเฉินหลงอยู่ในระดับสิบเอ็ด และแม้ว่าคู่ต่อสู้เขาจะแข็งแกร่งทว่าเขาช่างมั่นใจว่าเขาจะรับมือกับกระบวนท่านี้ได้และไม่ตาย
“ถ้าคุณอยากได้ชีวิตผม คงขึ้นอยู่กับฝีมือคุณแล้วล่ะ” เขากล่าวไป เฉินหลงนำระฆังทองที่มีพลังระดับสิบเอ็ดออกมาระฆังสีทองเรือนใหญ่ที่ดูเก่าแก่ปรากฏรอบตัวเฉินหลง
ครั้งนี้ ระฆังทองดูมีความดุดันกว่าครั้งก่อนที่เฉินหลงพบกับพระทั้งสี่
“ระฆังทองหรือ” หญิงคนนั้นขมวดคิ้วเบาๆ จากนั่นเธอกล่าวอย่างรังเกียจว่า “หากพลังของนายไปถึงระดับพลังลมปราณแล้ว เช่นนั้นฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้ โชคร้ายหน่อยที่พลังของนายอ่อนแอเกินไป”
ตอนที่สิ้นเสียง หมีตัวยักษ์ได้ตะปบอย่างแรงลงบนระฆังทอง
“กึ้ง”
อุ้งมือยักษ์ตบลงบนระฆังทอง จนระฆังส่งเสียงออกมา
จากนั้นเฉินหลงรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่กดลงบนระฆังทอง อักษรรูนบนระฆังทองวิ่งวนอย่างบ้าคลั่งและพยายามจะกระจายพลังไป
อย่างไรเสีย พลังนี้ช่างมากมายเกินกว่าระฆังทองจะต้านทานได้
ภายใต้อุ้งเท้าของหมีที่ตบลงมา รอยแตกเริ่มจะปรากฏบนระฆังทองที่พร้อมจะแตกหักได้ในทุกเมื่อ รอยแตกค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและในท้ายสุดก็แตกออก อุ้งเท้าของหมียักษ์ตามร่างของเฉินหลงไปและทุบโดนเฉินหลง
ยังเป็นเรื่องดีที่ ระฆังทองป้องกันพลังที่โจมตีได้แปดสิบเปอร์เซ็น และด้วยพลังในร่างเฉินหลง มีอีกยี่สิบเปอร์เซ็นที่โจมตีเฉินหลงได้ซึ่งนั่นทำให้เฉินหลงทำได้เพียงสำรอกออกมาพร้อมเลือดที่เต็มปากเท่านั้น อาการบาดเจ็บไม่สาหัสนัก
เฉินหลงใช้โอกาสนี้นำพลังของเขาไว้ที่แขนและทุบกระจกบ้านเพื่อหลบหนี
เฉินหลงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี แต่เพราะหญิงคนนี้มีความสามารถพิเศษในการหาเรื่องให้เฉินหลง ทำไมเธอจะไม่คิดเรื่องนี้ไว้กัน
หลังจากออกมาจากบ้านได้ เฉินหลงคิดว่าเขาจะหลบหนีสำเร็จ ทว่าจู่ๆก็มีพลังที่มองไม่เห็นมาขวางไว้
เขาโดนพลังนี้ทุบเข้า เฉินหลงจึงกระเด็นกลับไป ในการปะทะกันนี้ เฉินหลงกระอักเลือดที่เต็มปาก
“นายคิดว่าฉันไม่เตรียมตัวมาหรือ ฉันใช้การม่านกำบังตัวมาที่นี่ได้ อีกอย่างหากจะทำลายม่านกำบังของฉัน คงไม่มีโอกาศแม้แต่เสียงก็ส่งผ่านออกไปไม่ได้ ดังนั้นนายจะโดนฉันฆ่าทั้งเป็นคนเดียวที่นี่” หญิงคนนั้นกล่าวด้วยเสียงที่เหี้ยมโหด
คำพูดของหญิงคนนั้นทำให้ใจของเฉินหลงกระตุก เขาคิดว่าหญิงคนนั้นมาฆ่าเขาด้วยเหตุผลส่วนตัว
“นี่คุณ คุณคือคนที่ใช้คำสาปกับหวังหว่านจินใช่ไหม” เฉินหลงจ้องมองผู้หญิงคนนั้น
หญิงคนดังกล่าวมองเฉินหลงอย่างเย็นชาและกล่าวไปว่า “นายไม่โง่นี่ นายทำลายมนต์ของฉันไปแล้ว คิดว่าฉันจะปล่อยนายหรอ”
หากว่าไม่ใช่เพราะเฉินหลง เธอคงสามารถเข้าสู่ระดับพลังลมปราณได้ในหนึ่งปี
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของความก้าวหน้า ทว่ายังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของพลังในอนาคตด้วย
เฉินหลงทำลาย “มนต์ตราผูกมัดหยิน” นั่นกล่าวได้ว่าเขาได้ทำลายเส้นทางการพัฒนาของเธอไป
ตามปกติแล้ว เพียงแค่ได้เอาชีวิตเฉินหลงไปเธอคงทำลายความเกลียดชังไปได้บ้าง
ชื่อของหญิงคนนี้คือกู่เหวิน เธอเป็นนายแม่ของกลุ่มลึกลับที่เรียกว่าผู้มีมนต์คาถา “วู๋เจียว” คือกลุ่มหนึ่งของกลุ่มที่ไม่เป็นไปตามปกติ มีกลุ่มที่มีมนต์ลึกลับแบบนี้อีกหลาหลายกลุ่มในหมู่แม่มด “มนต์ตราผูกมัดหยิน” เป็นมนต์ที่เลวร้ายและทรงพลังมากที่สุดในกลุ่มของผู้มีเวทย์มนต์คาถา มีเพียงนายแม่เท่านั้นที่ฝึกคาถาเช่นนี้ได้ นายแม่ในทุกๆรุ่นสามารถพัฒนารากของ “มนต์ตราผูกมัดหยิน” ได้ มนต์นี้จะยึดโยงกับเส้นเลือดหัวใจ รากของ“มนต์ตราผูกมัดหยิน”สามารถวางไว้ในตัวเด็กที่มีความสามารถในการพัฒนาที่ทรงพลัง เมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นแล้ว อีกทั้งยังเป็นไปตามเงื่อนไขของ“มนต์ตราผูกมัดหยิน” “มนต์ตราผูกมัดหยิน”จะฆ่าร่างนั้นและนำเอาพลังที่พัฒนาได้ทั้งหมดมาเป็นของตน
หลังจากนั้น แล้ว“มนต์ตราผูกมัดหยิน” จะกลับมาเป็นรากดังเดิมที่เมื่อใช้คาถาในร่างอื่นอีกครั้งตราบใดที่รากนี้ยังไม่ตายและนายแม่ยังคงอยู่ ตามทฤษฏีแล้วพลังของนายแม่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่สิ้นสุด
นายแม่ของแต่ละรุ่นของกลุ่มผู้มีคาถาจะเพิ่มพลังของตนผ่านวิธีที่ว่า
แต่หาก“มนต์ตราผูกมัดหยิน”ได้ถูกทำลายไป การเพิ่มพลังของนายแม่จะถูกตัดขาดไปด้วย
เป็นเรื่องจริงที่ว่าพ่อแม่ของหวังหว่านจินช่วยกู่เหวินไว้ ทว่าด้วยความโลภต่อการพัฒนาพลังของเธอ ทำให้เธอเริ่มใช้มนต์นี้กับหวังหว่านจิน
ตอนแรกเมื่อพลังของหวังหว่านจินเพิ่มไปถึงระดับกำเนิด กู่เหวินสามารถจะเอาชีวิตเขาไปและนำพลังมาเป็นของเธอได้ แต่เมื่อคิดถึงพ่อแม่ของหวังหว่านจินที่ช่วยเธอไว้ เธอจึงใจอ่อนและปล่อยให้หวังหว่านจินมีอายุถึงยี่สิบปี
อย่างไรก็ตามแต่ เธอคาดไม่ถึงว่าใจเธอที่อ่อนไปจะทำให้เส้นทางการพัฒนาของเธอโดนทำลายไปด้วย
“คุณไม่คิดว่าคุณทำเกินไปกับเด็กสองขวบหรือ” เฉินหลงไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลยแม้ในใจลึกๆก็ตาม และหากเป็นไปได้เขาอยากจะฆ่าเธอเสียจริงๆ
“ถ้าฉันใจเหี้ยมกว่านี้ เขาคงตายไปแล้ว แต่อย่างไรเสียถึงฉันจะคงเป็นคนใจอ่อนแต่ฉันคงปล่อยนายไปไม่ได้หรอกนะ ไอ้ตัวปัญหาที่ทำลาย “มนต์ตราผูกมัดหยิน” และตัดทางพัฒนาของฉันไป วันนี้ฉันจะใช้เลือดของแกไปดับความโกรธแค้น”
“แปลงเป็นหมาป่า”
ภาพของเงาเบื้องหลังของกู่เหวินเปลี่ยนแปลงจากหมีใหญ่เป็นหมาป่าสีขาว กรงเล็บของหมาป่ากำหัวใจของเฉินหลงไว้
“หมีใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเป็นหมาป่าสีเทา” ทั้งสองสิ่งนี้คือวิธีการใช้คาถาหรือ เพื่อเพิ่มความเป็นตัวตนให้กับภาพของเงานี้ เธอจะต้องฆ่าหมีหรือหมาป่าและใช้เวทย์มนต์เพื่อรวมพลังวิญญาณไว้ ยิ่งฆ่ามากเท่าไรพลังที่ใช้ยิ่งมากเท่านั้น ด้วยพลังที่แข็งแกร่งขึ้นตามระดับแล้ว พลังที่มีจะมีความน่าเกรงขามมาก
“หากอยากได้ชีวิตผมนัก ก็เอาไปเลย” สิ้นคำเฉินหลงใช้ระฆังทองขึ้นอีกครั้ง
เธอเห็นเฉินหลงใช้ระฆังทองอีกครั้งแล้ว กู่เหวินแสดงท่าทางเย้ยหยันและกล่าวว่า “ดูสิ นายจะทนได้นานแค่ไหนกัน”
เฉินหลงบาดเจ็บจากการโจมตีในตอนนี้ คงขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทนได้อย่างไรแล้ว
อย่างไรเสียกู่เหวินไม่รู้ว่าร่างของเฉินหลงผลิตฉีรักษาได้ ในตอนนี้เมื่อมองจากภายนอก เฉินหลงยังดูบาดเจ็บอยู่
กรงเล็บของหมาป่าไม่แข็งแกร่งเท่ากับอุ้มเท้าหมีและป้องกันได้ด้วยระฆังทอง
อย่างไรเสีย มีรอยแตกจำนวนมากอยู่ที่ด้านบนของระฆังทอง ตราบใดที่มีต้องรับการโจมตีของกรงเล็บอีก ระฆังทองต้องถูกทำลายเป็นแน่
เธอเห็นเฉินหลงรับกรงเล็บแล้ว กู่เหวินประหลาดใจเล็กน้อย เฉินหลงสามารถป้องกันกรงเล็บของเธอได้ แต่เมื่อเธอเห็นรอยแตกบนระฆังทองแล้ว จึงโจมตีลงไปอีกครั้ง
อย่างไรก็แล้วแต่ กู่เหวินได้เพิ่มกรงเล็บขึ้นอีก เฉินหลงใช้ฉีให้ผ่านระฆังทองได้อีกครั้ง
ก่อนที่กรงเล็บหมาป่าจะโจมตี เฉินหลงซ่อมแซมรอยแตกบนระฆังทองไว้
และหลังจากเขาขวางการโจมตีครั้งที่สองอีกครั้ง กู่เหวินกล่าวกับเฉินหลงคล้ายกับน้ำเสียงของแมวที่ไล่หนู “พลังของนายเยี่ยมจริงๆ แต่นายเพิ่งผ่านระดับของพลังลมปราณมา โชคไม่ดีหน่อยนะ นายไม่มีโอกาสหรอก”
สิ้นคำ ลมหายใจของกู่เหวินเปลี่ยนไปอีกครั้ง และเงาของหมีที่หายไปปรากฏขึ้นอีกรอบ ควบคู่ไปกับเงาของหมาป่า
ในตอนนั้นเองมีเส้นเลือดสีฟ้าบนหน้าผากของกู่เหวิน ดูเหมือนกับว่ามีเงาทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกันซึ่งนี่เป็นภาระต่อร่างของเธอมาก
TB:บทที่ 194 คำมั่นของหนึ่งดาบ
“ดูเหมือนว่าคุณอยากจะฆ่าผมจริงๆ” เมื่อเห็นว่ากู่เหวินยิ่งเพิ่มตัวตนให้กับภาพเงาทั้งสองแล้ว แทนที่เฉินหลงจะยอมแพ้ เขากลับใช้งานรังสีของระฆังทองต่อ
เฉินหลงไม่อาจทานทนแรงของภาพเงาหมีจากกู่เหวินได้ รวมถึงเงารูปหมาป่าด้วย ระฆังทองระดับสิบเอ็ดไม่อาจจะป้องกันไว้ได้ ดังนั้นเฉินหลงจึงไม่ฝืน และเขารู้ดีว่ามีคนอีกคนกำลังมา
แม้ม่านกำบังตัวของกู่เหวินจะทำให้ทั้งคน สิ่งของหรือเสียงไม่อาจผ่านออกจากม่านกำบังไปได้ ทว่าเฉินหลงและผู้ติดตามของเขามี “ผลซื่อสัตย์” ควบคุมอยู่ พวกเขาจึงติดต่อซึ่งกันและกันได้ รวดเร็วเท่ากับที่กู่เหวินจะใช้ได้ เฉินหลงได้บอกเจิ้งอี้ให้เขามาและเพราะเขามีเครื่องมือของเขาอีกชิ้นที่มีเพียงเจิ้งอี้ที่มีพลังระดับพลังลมปราณที่แท้จริงเท่านั้นที่ใช้ป้องกันกู่เหวินได้
“ฉันบอกไปแล้วนี่ ว่าฉันจะเอาชีวิตนาย”
จุดประสงค์ของการฆ่าเฉินหลงของกู่เหวินสามารถเห็นได้ชัดจากเงาภาพสัตว์ร้ายสองตัวข้างหลังเธอ
จากนั้นเฉินหลงพลันเผยยิ้ม “ผมก็อยากจะเอาชีวิตผมให้คุณอยู่หรอก แต่ว่าบางคนคงไม่เห็นด้วยเท่าไหร่”
ในตอนนั้นเองที่มีดปาเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตัวกู่เหวินในทันใด
ม่านกำบังของกู่เหวินมีพลังการป้องกันภายในที่แข็งแกร่งทว่าภายนอกยังไม่แข็งแกร่งพอ
มีดขว้างของเจิ้งอี้เจาะทะลุม่านกำบังเข้ามาและพุ่งลงไปที่ตาของกู่เหวิน
ใบหน้าที่เห็นการปรากฏตัวอย่างฉับพลังของเส้นมีดขว้าง กู่เหวินนั้นแสดงความตื่นตกใจ
แต่อย่างไรก็ตามแต่ ปรมาจารย์ก็ยังคงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่ดี เงาหมีเบื้องหลังเธอรีบเขามาขวางไว้ อุ้มเท้าหมีขวางส่วนใบหน้าของกู่เหวิน
อย่างไรเสีย อุ้งเท้าหมีมีส่วนที่โดนเฉือนไปเมื่อสัมผัสกับมีดขว้างตรงๆ และมีดปาที่โจมตีต่อมาได้แทงตาของกู่เหวิน
ด้วยเวลาการป้องกันสั้นๆ ภาพเงาหมาป่าข้างหลังเธอได้หายไป และภาพเงารูปเต่าได้ปรากฏตัวขึ้นมาขวางหน้ามีดที่ขว้างเข้ามา
กระดองเต่าช่างมีการป้องกันที่แข็งแกร่งและได้เพิ่มระดับพลังของกู่เหวินเป็นระดับพลังลมปราณ สุดท้ายมีดขว้างจึงถูกขวางไว้ได้
อย่างไรก็แล้วแต่ แม้จะขวางมีดขว้างไว้ได้ ทว่ากู่เหวินยังรู้สึกตื่นกลัวกับความทรงพลังของมีดขว้างอยู่ เธอพ่นเลือดที่เต็มปากออกมา
ในตอนนั้นเองร่างของเจิ้งอี้ได้มาโผล่อยู่ข้างเฉินหลง
ใบหน้าของเฉินหลงเผยยิ้มพึงพอใจ “ดูเหมือนว่าคุณจะเอาชีวิตผมไปไม่ได้นะวันนี้”
มีดของเจิ้งอี้ทำร้ายกู่เหวินได้จริงๆ และนั่นทำให้เฉินหลงพึงพอใจอย่างมาก เนื่องจากมีเจิ้งอี้อยู่ทำให้กู่เหวินฆ่าเฉินหลงไม่ได้
“นี่เรื่องของผู้ใช้เวทย์มนต์ คนที่ไม่เกี่ยว โปรดออกไป” กู่เหวินจ้องเจิ้งอี้อย่างจริงจัง
หากระฆังทองของเฉินหลงไม่อาจรับมือมนต์เงาสัตว์ร้ายทั้งสองได้ คงมีแต่เขาที่โดนทำร้าย แต่เขาคงไม่ตาย ทว่าเนื่องจากพลังของเจิ้งอี้แล้ว แม้จะไม่ได้ดีเท่าพลังของเขา แต่พลังโจมตีของมีดขว้างนั้นพอที่จะขู่ให้เธอกลัวได้ ในตอนนี้มีเจิ้งอี้ทำให้ไม่มีทางจะฆ่าเฉินหลงได้
“ผมต้องขอโทษด้วย เขาคือเจ้านายผม ผมไม่ใช่คนนอกอะไร” เจิ้งอี้กล่าวอย่างสุภาพ
เพราะเขาเป็นลูกน้องแสนซื่อสัตย์ของเฉินหลง แม้เจิ้งอี้จะเสียชีวิตของเขาไป แต่เขาจะไม่ยอมให้เฉินหลงบาดเจ็บแม้แต่เส้นผม
“ฉะนั้นแล้ว คุณคงอยากเป็นศัตรูของฉันใช่ไหม” จากการเข้ามาร่วมของเจิ้งอี้ ภารกิจนี้ของเธอคงได้ล้มเหลวเสียแล้ว ดังนั้น กู่เหวินจึงข่มขู่เจิ้งอี้ด้วยพลังข้างหลังเธอ
“ไม่ใช่ว่าผมอยากจะสู้กับพลังเวทย์คุณหรอกนะ แต่เพราะคุณอยากจะฆ่าเจ้านายผมและจับเจ้านายผมไป เรื่องนั้นแหละที่ผมไม่เห็นด้วย ผมจะบอกอะไรให้นะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ตราบใดที่คุณยังกล้าจะเข้ามา ผมก็ยินดีจะขว้างมีดของผม” ฉีของเจิ้งอี้ช่างอ่อนโยน ทว่าทุกคนได้ยินคำขู่ฆ่าของเขา
หลังจากฟังคำของเจิ้งอี้แล้ว ในที่สุดกู่เหวินก็เลือกที่จะยอมแพ้ไปหลังมองเจิ้งอี้หนึ่งนาที
“วันนี้นายโชคดีนะที่เขามาช่วยไว้ อย่างไรก็ตามเขาคงติดตามนายไปไม่ได้ตลอด อย่าให้ฉันหาโอกาสได้ ไม่เช่นนั้นฉันจะฆ่านาย”
สิ้นคำ กู่เหวินพร้อมที่จะไปแล้ว
“มาแล้วก็ไปตามใจอยาก นี่คุณคิดว่าบ้านเจ้านายผมเป็นรถเมล์หรือ” เจิ้งอี้หยุดกู่เหวินไว้
“แกต้องการอะไร” กู่เหวินจ้องเจิ้งอี้
ในห้องนี้ มีเพียงมีดขว้างของเจิ้งอี้ที่ทำให้เธอกลัวได้ เมื่อกู่เหวินมองเจิ้งอี้ เธอระวังตัวเงียบๆ
“นี่คงไม่ใช่ของขวัญหากมาแล้วแต่รีบกลับไป คุณได้ให้ของขวัญเจ้านายผมไปแล้ว ตอนนี้ผมจะให้ของขวัญคุณบ้าง ตราบเท่าที่คุณรับมีดขว้างของผมได้ คุณก็ไปได้” เจิ้งอี้ว่า เขาแตะมีดขว้างของเขา พร้อมสายตาที่บอกว่าถึงไม่เห็นด้วยก็ต้องเห็นด้วย
“ดีมาก นายเป็นคนแรกที่บังคับฉันให้ทำอะไรได้ในหลายปีนี้ ฉันจะรับมีดขว้างของนายเอง” กู่เหวินตกลง
กู่เหวินยังคงกลัวมีดของเจิ้งอี้อยู่ เธอรู้ว่าหากเธอไม่รับคำ เจิ้งอี้คงขว้างมีดใส่เธออย่างไม่ปราณี แล้วจะมีมากกว่าหนึ่งเล่มด้วย
หลังจากที่กู่เหวินตอบตกลง เจิ้งอี้ให้เวลาเธอเพื่อเตรียมตัว
กู่เหวินแสดงเงารูปเต่าและสัตว์ร้าย
เมื่อเขาเห็นภาพเงาของเต่าและสัตว์ร้ายในกู่เหวิน เจิ้งอี้สังเกตกู่เหวินอย่างระมัดระวัง มีดขว้างนี้พร้อมจะโยนใส่เธอทุกเมื่อ
“รับไป”
เมื่อเจิ้งอี้ใช้พลังฉีตรวจสอบเขาก็พบจุดอ่อนของกู่เหวิน มีดขว้างจึงเล็งไปที่กู่เหวิน
มีดขว้างที่โยนออกไปว่องไวราวหายไปในอากาศ มีดที่ขว้างจากมือเจิ้งอี้ได้ปรากฏต่อหน้ากู่เหวิน
“ช่างรวดเร็ว”
“ช่างรวดเร็ว”
มีดของเจิ้งอี้ทำให้เฉินหลงและกู่เหวินนึกคำเดียวกันในใจ
แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยู่ในอารมณ์เดียวกัน
เฉินหลงอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้น แต่อารมณ์ของกู่เหวินคือความกลัว
“เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมีดขว้างนี่รวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร “วิญญาณเต่า” ของฉันไม่มีทางจะขวางได้” กู่เหวินพบว่าวิญญาณเต่าของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว และดูท่าว่าเธอจะหยุดมีดขว้างของเจิ้งอี้ไม่ได้
“หลบหนี”
ในตอนนั้นเองเมื่อมีดขว้างแทงลงไปในการป้องกันของเต่า
จู่ๆ กู่เหวินก็หายไป
มีดขว้างติดในกู่เหวิน หยุดเคลื่อนไหวหลังจากตามเป้าหมายไม่สำเร็จ
ในตอนนั้นเองที่กู่เหวินได้ปรากฏขึ้น สูงห่างจากวิลล่าไปสามสิบเมตร ในขณะเดียวกันร่างของเธอได้หายไปอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามแต่ สายตาของเฉินหลงยังคงมองเห็นร่างกู่เหวินนั่นได้อยู่
และเช่นเดียวกัน ด้วยจิตวิญญาณฉีของเจิ้งอี้ เขาได้พบที่ตั้งของกู่เหวินเพราะการผ่านพ้นสู่ระดับลมปราณ
“ครั้งนี้ฉันล้มเหลว ฉันไม่คาดว่านายจะมีตัวช่วยแบบนี้ แต่ครั้งหน้า นายคงไม่โชคดีแบบนี้” หลังจากนั้นกู่เหวินได้หายไปอีกครั้ง
“ครั้งหน้า คุณอาจจะยังฆ่าผมไม่ได้” เฉินหลงเห็นว่าที่ที่กู่เหวินอยู่นั้นหายไปด้วย เขาเลยว่าไปในใจ
ตลอดการสู้กันนี้ พลังของเฉินหลงมีแววว่าจะผ่านเข้าสู่อีกระดับ ตราบใดที่เขาให้เวลากับตัวเอง เขาคงผ่านพ้นไปสู่ระดับลมปราณได้ เมื่อถึงเวลานั้น ระฆังทองที่ยกระดับไประดับสิบสองแล้วคงบดขยี้กู่เหวินได้อย่างแน่นอนและเขาจะเอาคืนการแก้แค้นในวันนี้ได้
“นายท่านลูกน้องของคุณ จับผู้หญิงคนนั้นล้มเหลว โปรดลงโทษผม” เจิ้งอี้กล่าวกับเฉินหลง
“ไม่เป็นไร พลังของผู้หญิงคนนั้นช่างทรงพลังมากและแปลกประหลาดอย่างมากด้วยเช่นกัน นายจับเธอไว้ไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่คาดไว้แล้ว เธอจะไม่กลับมาอีกหากนายอยู่ข้างกายฉัน ตอนนี้ต้องคิดว่าจะออกไปให้ได้อย่างไรก่อน”
หากเจิ้งอี้ไม่มาตรงเวลาในครั้งนี้ เฉินหลงเกรงว่าเขาคงต้องใช้เครื่องมือ ตามปกติแล้วเขาจะไม่โทษเจิ้งอี้ ในตอนนี้เขายังต้องทำลายม่านกำบังที่กู่เหวินทิ้งไว้ด้วย แล้วเขาจึงจะออกไปได้
TB:บทที่ 195 แถวตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว
มีดขว้างของเจิ้งอี้โยนขึ้นไปสูงจากวิลล่า
เมื่อมีดขว้างที่โยนขึ้นไปโดนกับม่านกำบังแล้ว มีดปาที่หายไปเนื่องจากความเร็วได้ปรากฏกลับมา แล้วเฉือนม่านกำบังและลอยผ่านเข้าไปในม่านนั้น
“เจ้านาย ม่านนี้ขังพลังระดับลมปราณไม่ได้ ทว่าคงเป็นเรื่องที่ยากมากหากจะออกไปได้ด้วยพลังที่ต่ำกว่านั้น” มีดขว้างของเจิ้งอี้ทำให้เขาได้ทดลองพลังของม่านกำบัง “อย่างไรเสีย ตราบเท่าที่พลังยังแข็งแกร่งเพียงพอ เราคงทำลายม่านกำบังนี้ออกไปได้ตรงๆ”
เฉินหลงถามไปว่า “พลังนายไปถึงที่ระดับไหนกัน”
“พลังลมปราณแทบจะปล่อยออกมาไม่ได้เลยครับ” เจิ้งคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวตอบ
“เอาล่ะ ม่านกำบังนี้คงอยู่ที่นี่ไปก่อนในตอนนี้ อย่างไรก็ตามฉันคงยังไม่ต้องออกไปไหนสักพัก” หลังจากที่ฟังคำของเจิ้งอี้ เฉินหลงยอมแพ้แผนที่จะทำลายม่านกำบังด้วยแรงระเบิดทันที
ในท้ายที่สุด ในหมู่คนที่เฉินหลงรู้จัก มีเพียงหวังหงที่มีพลังทำลายม่านกำบังได้ แต่เฉินหลงไม่ต้องการจะให้หวังหงทำลายเพราะนี่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อีกสิ่งหนึ่งเขาเกือบจะเข้าสู่การทะลวงระดับลมปราณได้ แล้วเขาจะเข้าและออกม่านกำบังนี่ได้ดังใจ
อย่างไรก็ตามแต่ เฉินหลงมองไปยังห้องที่โดนทำลายจากการต่อสู้อย่างจริงจัง เขารู้สึกได้ถึงความไร้หนทาง แม้วิลล่าจะพังไปมากแบบที่เขาแทบจะอยู่ไม่ได้ เรื่องนี้มีผลต่ออารมณ์ของเฉินหลง เขาต้องล้มเลิกการต่อสู้นี่
เฉินหลงไม่ต้องการจะหาตัวหวังหง แต่ยังมีทางอื่นที่จะทำให้การต่อสู้นี่ล้มเลิกไป
เขาเข้าไปในระบบเพื่อตามหาหว่านซูจื่อ
“ท่านน้อง มีอะไรให้ช่วยหรือ” หว่านซูจื่อกำลังเล่นเกมอยู่กับป๋ายเอไอ
เพราะเขาเป็นเพื่อนกับหว่านซูจื่อเฉินหลงจึงยกสินค้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบนโลกให้เขา อย่างไรก็แล้วแต่ของพวกนั้นไม่ได้มีราคามากนักอยู่แล้ว
เฉินหลงคุยกับเขาเกี่ยวกับกู่เหวิน เรื่องกลุ่มผู้มีเวทย์มนต์คาถาและเรื่องพวกของเขาโดนขังอยู่ในม่านกำบัง
“สิ่งที่คุณกล่าวมาว่าพวกเราควรจะใช้เวทย์ของบรรพบุรุษของผู้ใช้เวทย์มนต์คาถา คาถาของกลุ่มพวกเขาช่างต่างออกไปจากลัทธิเต๋าแบบปกติ คาถาของพวกเขายึดโยงกับวิญญาณของสัตว์ ยิ่งมีวิญญาณสัตว์มากเท่าไหร่ พลังยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น ตั้งแต่ที่คุณทำลาย “มนต์ตราผูกหมัดหยิน” ได้ เธอและคุณอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่อย่างไรเสีย พลังของนายแม่ไม่ได้แข็งแกร่งนัก ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก” หว่านซูจื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง
พลังของหว่านซูจื่อไปถึงระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาวแล้ว และพลังของกู่เหวินหากเป็นตามปกติแล้วไม่ได้อยู่ในสายตาเขา
“พี่ใหญ่ พี่ช่างทรงพลัง เธอไม่ใช่อะไรสลักสำคัญสำหรับพี่ แต่พลังของผมไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเธอเลย ตอนนี้ผมติดอยู่ในม่านกำบังที่เธอสร้างและออกไปไหนไม่ได้ โปรดสอนวิธีที่จะทำลายม่านกำบังนี่” พลังของหว่านซูจื่อช่างทรงพลัง เขาอาจจะไม่ต้องสนใจกู่เหวินก็ได้ทว่าเฉินหลงไม่อาจเพิกเฉยไปได้ หว่านซูจื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เอาล่ะ ม่านกำบังนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะทำลายได้ง่ายๆ และฉันมี “แผนภาพแถวตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” อยู่ที่นี่ หากนายเอาไปและเรียนรู้ที่จะใช้งาน นายอาจจะทำลายการผูกมัดของเธอไปได้” สิ้นคำ หว่านซูจื่อมอบการแลกเปลี่ยนลับให้กับเฉินหลง
หว่านซูจื่อยังเป็นเจ้าของระบบอีกด้วย ตามปกติแล้วเขารู้ว่าม้วนวิชาที่บันทึกความลับไว้จากระบบนั่นสามารถจะเรียนรู้ได้ตราบใดที่คนคนนั้นมีความสามารถพอ ดังนั้น เขาคงกล่าวได้ว่าหากเขาเรียนรู้วิชานั้น เขาจะสามารถชนะในการต่อสู้นี้ได้
หลังจากที่ได้รับม้วนวิชาลับมาแล้ว เฉินหลงกล่าวไปอย่างตื่นเต้นว่า “ผมจะไม่รบกวนคุณเล่นเกมแล้ว”
กล่าวจบ เฉินหลงได้ตัดการติดต่อไป
“ฉันเล่นเกมนี้ไปแทบหมดแล้ว คราวหน้าช่วยเอาเกมสนุกๆมาให้ฉันอีกนะ” หว่านชูจื่อกล่าวในตอนนั้น
พลังของหว่านชูจื่อเป็นระดับที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ไปถึงในดวงเคราะห์ของเขา และนี่เป็นระดับที่ไม่อาจพัฒนาขึ้นได้อีกแล้ว เมื่อเขาเบื่อ เขาเคยแสร้งทำตัวเป็นคนเกเร แต่ในตอนนี้เนื่องจากสินค้าเทคโนโลยีที่เฉินหลงส่งไป หว่านชูจื่อมีอะไรสนุกๆให้ทำฆ่าเวลาแล้ว
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ใหญ่” เฉินหลงรีบให้คำมั่น
หลังจากนั้น เฉินหลงออกจากระบบไป เขารับเรียนรู้ “แผนภาพตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” “แผนภาพตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” ที่ว่าเป็นม่านกำบังโดยสมบูรณ์ที่รวบรวมขึ้นมาโดยอัจฉริยะในการสร้างม่านกำบังที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้จากดาวเคราะห์ของหว่านซูจื่อ คนคนนี้เก็บสะสมม่านกำบังทั้งหมดบนดาวเคราะห์มาร่วมกับใช้ความคิดของเขา ม่านกำบังที่แข็งแกร่งที่สุดคือ “ม่านกักขังเทพเจ้า” พลังนี้สามารถกักขังได้แม้แต่สิ่งที่มีความแข็งแกร่งระดับ “สละกายหยาบ” ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งมาก
แต่อย่างไรเสีย ในการจะใช้งาน “ม่านกักขังเทพเจ้า” พลังของผู้ใช้ควรไปถึงระดับ “สรวงสวรรค์และมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียว”
เมื่อได้เรียนรู้ “แผนภาพตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” เฉินหลงมีความรู้อย่างมากมายเกี่ยวกับตำแหน่งของม่านกำบังในทันที มีหยินและหยางล้อมรอบด้วยยันต์แปดทิศและส่วนต่างๆอีกมากมาย ในตอนนั้นเอง เฉินหลงได้รู้แล้วว่าเขาจะทำลายการผูกมัดของม่านกำบังที่กักขังไรเขาไว้ได้อย่าง
จากนั้น เฉินหลงเคลื่อนที่ไปรอบๆในทิศทางที่ดูไม่ปกติและเป็นปริศนา
ทุกครั้งที่เขาสัมผัสจุดใด เฉินหลงจะใส่พลังลงไปด้วย เมื่อเฉินหลงได้ไปสัมผัสมาแปดจุดแล้ว ม่านกำบังที่ล้อมรอบวิลล่าได้พังทลายลงไปและเมื่อม่านกำบังทลายแล้ว กู่เหวินที่เคลื่อนที่อยู่นั้นหันไปมองในทางที่วิลล่าตั้งอยู่ จากนั้นเธอจึงหยุดและกลับไปที่ด้านบนของวิลล่า
เธอรู้ได้หลังจากที่ม่านกำบังพังทลายไปแล้ว ว่าเฉินหลงจะต้องออกไป เธอจึงต้องการจะดูว่าเจิ้งอี้จะไม่ตามเฉินหลงไปด้วยสักพักหรือไม่ แต่แม้เธออยากจะไปเท่าไหร่ ทว่าโอกาสที่เจิ้งอี้จะไม่ตามเฉินหลงไปแทบจะไม่มีเลย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเธอก็ต้องการจะไปดู
เมื่อม่านกำบังทลายไปเฉินหลงและเจิ้งอี้ก็ออกไปด้วย สุดท้ายแล้ววิลล่าได้พังไปแล้วเช่นกัน ฉะนั้นพวกเขาจึงอยู่ต่อได้หลังจากซ่อมวิลล่าแล้วเท่านั้น
หลังจากที่เธอยอมแพ้ เธอตรงกลับไปโรงแรมและไปยังแผนกต้อนรับ
ที่นั่นมีหญิงสาวสามคนทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ กู่เหวินไปหาพวกเธอและพ่นเวทย์มนต์คาถาที่ประหลาดออกมา
ตอนที่หญิงสาวทั้งสามได้ยินมนต์นั้นแล้วพวกเธองุนงง
แล้ว พวกเธอได้รับข้อมูลเข้าไปในหัว บ้างเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเฉินหลง และข้อมูลว่าให้พวกเธอจับจ้องเฉินหลง
หลังจากได้รับข้อความแล้วนั้น สายตาของหญิงสาวทั้งสามกลับไปสู่ปกติ และไม่มีใครเห็นว่ามีคนร่ายมนต์ใส่พวกเธอให้กลายเป็นหุ่นเชิดของกู่เหวินไป
“มนต์ตราสะกด” เป็นมนต์ประเภทของผู้ใช้เวทย์มนต์คาถา ที่หากมีใครโดนมนต์นี้ไปแล้วจะกลายเป็นหุ่นเชิดของผู้ร่ายมนต์ไปก่อนมนต์นี้จะโดนถอน ช่างเป็นมนต์ที่ร้ายกาจ
หลังแปรเปลี่ยนสามสาวที่แผนกต้อนรับให้กลายเป็นหุ่นเชิดด้วย “คาถาเวทย์” แล้ว กูเหวินยังได้เปิดห้องสวีทของโรงแรมและพักที่นั่นด้วย
หลังจากที่เฉินหลงไปพักที่โรงแรม เขาเรียกซวีหมิงเหม่ยมาพร้อมกับขอให้เธอช่วยซ่อมวิลล่าให้
ในคราวหน้าที่เฉินหลงพักอยู่ที่โรงแรม เขาได้พยายามจะพัฒนาพลังของตน
เฉินหลงรู้ว่ากู่เหวินเพ่งเล็งเขาอยู่ และเขาไม่อาจจะให้เจิ้งอี้ตามเขาตลอดวันได้ เขาจึงต้องพัฒนาพลังของตัวเอง
เฉินหลงพักอยู่ที่โรงแรมกว่าสิบวัน ในช่วงสิบวันนี้เฉินหลงไม่ออกไปจากห้องเขาเลย ยกเว้นเมื่อจะกินหรือนอนเท่านั้น ที่เหลือนั้นเขาพัฒนาพลังของเขาในเกม
“เข้ามาสิ มาดูกันว่าคราวนี้ใครจะอยู่ใครจะไป” ในเกม ที่ทุ่งหญ้าร่างทั้งร่างของเฉินหลงโชกไปด้วยเลือด และมีลิงที่สูงสิบเมตรคล้ายเป็นสัตว์ร้ายกำลังสู้กับเขาอยู่
ชื่อของลิงในเกมที่รูปร่างดังปิศาจนี่คือ “อสูรลิงคลั่ง” เมื่อโตเต็มวัยแล้ว พลังของมันจะมีมากถึงระดับลมปราณ อีกสิ่งหนึ่งคือพลังตามธรรมชาติของมันยังถือว่าเป็นระดับกลางค่อนสูงที่ไปถึงระดับของสัตว์ประหลาดระดับลมปราณเลยทีเดียว
เพื่อที่จะผ่านพ้นไปอีกระดับ เฉินหลงจึงต้องต่อสู้กับ “อสูรลิงคลั่ง”
ในขณะนั้นเอง แม้เฉินหลงจะบาดเจ็บแต่จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขายังพุ่งสูงไปถึงฟ้า และพลังงานในร่างเขายังไปถึงจุดสูงสุดด้วย เขากำลังจะข้ามผ่านระดับพลัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น