ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 189-194

ตอนที่ 189 ใกล้จะถึงวันเกิดลั่วอิง

 

        ลั่วอิงรู้สึกง่วงนอน และในขณะที่ถังโจวโจวกำลังกล่อมเธออยู่นั้น เธอก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อลั่วเซ่าเชินกลับมา เขาก็พบว่าสองแม่ลูกหลับกันไปหมดแล้ว


 


 


           เขาเลิกผ้าห่มออกและแทรกตัวเข้าไปข้างใน เดิมทีเขาอยากจะนอนกอดถังโจวโจว แต่น่าเสียดายที่ตรงกลางมีลั่วอิงมานอนคั่นไว้ ลั่วเซ่าเชินจึงทำได้แค่เพียงดึงมือของเขากลับมาเท่านั้น


 


 


           วันถัดมา ลั่วอิงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากเมื่อคืนนี้เธอเข้านอนแต่หัวค่ำ และวันนี้ก็เป็นวันที่เธอจะได้กลับไปเรียนอีกครั้ง ตอนนี้เธอก็เลยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย


 


 


           เมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเธอนอนอยู่ตรงกลางระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ มุมปากของเธอก็ยกยิ้มขึ้น เธอเห็นว่าคุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่ตื่น ลั่วอิงได้แต่หันหน้ามองคนนี้ทีคนนั้นทีอย่างไม่รู้จักเบื่อ


 


 


และเมื่อเธอหันหน้ากลับมามองลั่วเซ่าเชินอีกครั้ง เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินลืมตามองเธออยู่ก่อนแล้ว “คุณพ่อตื่นแล้ว!” แต่เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าถังโจวโจวยังหลับอยู่ เธอก็รีบลดเสียง กระซิบพูดกับลั่วเซ่าเชินเบาๆ อีกครั้ง “คุณพ่อตื่นแล้วหรือคะ”


 


 


“ทำไมถึงไม่นอนต่อแล้วล่ะลูก” ความจริงแล้วลั่วเซ่าเชินยังคงง่วงอยู่นิดหน่อย แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวไปรอบๆ ของลั่วอิงทำให้เขาต้องตื่น เขาหันไปมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เขาก็พบว่ามันเพิ่งจะหกโมงเช้า ซึ่งมันยังเช้าไปหน่อย


 


 


“หนูนอนไม่หลับแล้วค่ะ คุณพ่อ” ลั่วอิงไม่ง่วงเลยสักนิด ดวงตาอันสดใสของเธอส่องประกายมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกยังหนักหัวอยู่ “ถ้าอย่างนั้นลูกก็ลงไปหาป้าหลิว ให้เธอทำอะไรให้ลูกกินก่อน แม่โจวโจวยังหลับอยู่เลย เราส่งเสียงดังรบกวนเธอไม่ได้นะ”


 


 


“ไม่เอาค่ะ หนูจะอยู่ตรงนี้ คุณพ่อขา หนูสัญญาว่าหนูจะไม่ทำให้แม่โจวโจวตื่น”


 


 


ผลปรากฏว่า หลังจากที่ลั่วอิงพูดจบ เสียงของถังโจวโจวก็ดังขึ้นมาทันที “ทำไมถึงตื่นกันแล้วล่ะคะ”


 


 


น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความง่วงงุน นาฬิกาปลุกที่เธอตั้งไว้ยังไม่ดังเลย นี่น่าจะยังไม่ถึงเวลาที่ต้องลุกไปทำงานใช่ไหม?


 


 


ลั่วอิงจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะว่าถังโจวโจวจะตื่นขึ้นมาในทันทีที่เธอพูดจบ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ เธอกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะเอ็ดเธอ


 


 


“จะนอนต่อไหม ถ้าไม่นอนก็ลุกเถอะ” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าไหนๆ ก็ตื่นกันหมดแล้ว และดูจากอากัปกิริยาของลั่วอิง หากจะนอนต่อก็คงจะนอนไม่หลับแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ลุกเสียเลย


 


 


ถังโจวโจวพยายามปลุกตัวเองให้ตื่น เธอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงพูดคุยของลั่วอิงและลั่วเซ่าเชิน แม้ว่าเสียงของพวกเขาจะเบา แต่ถังโจวโจวก็ยังได้ยินมันรางๆ และเมื่ออยากจะฟังให้มันชัดเจนเต็มสองรูหู เธอก็ยิ่งต้องตั้งสติให้ดี


 


 


“ลุกดีกว่าค่ะ เพราะอีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาต้องตื่นแล้ว” ถังโจวโจวพูดคำไหนคำนั้น เธอเลิกผ้าห่มออกและเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อผ้าที่เธอจะสวมใส่ในวันนี้ออกมา จากนั้นเธอก็ช่วยลั่วอิงแต่งตัว


 


 


อุณหภูมิในวันนี้เกือบจะยี่สิบองศา ถังโจวโจวสวมเสื้อแจ็กเก็ตผ้าฝ้ายให้กับลั่วอิง อุณหภูมิในตอนเช้ายังคงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย สวมเสื้อแจ็กเก็ตผ้าฝ้ายนี่แหละอุ่นกำลังดี นอกจากนี้ อีกเดี๋ยวเธอก็จะต้องอยู่ในห้องเรียน เธอจะได้ไม่ร้อนมากเกินไป


 


 


เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ถังโจวโจวก็อุ้มลั่วอิงให้ลงมายืนบนพื้น “เอาละ ไปล้างหน้าล้างตาค่ะ” สิ่งของของลั่วอิงไม่ได้ถูกย้ายมาที่นี่ ดังนั้นถังโจวโจวจึงพาเธอกลับไปที่ห้องนอนเด็ก


 


 


ป้าหลิวได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากชั้นบน เธอก็รู้ว่าพวกเขาตื่นกันแล้ว เธอจึงเร่งงานที่อยู่ในมือขึ้นอีก และเมื่อพวกเขาลงมาจากชั้นบน อาหารเช้าของป้าหลิวก็ออกมาจากเตาสดๆ ร้อนๆ


 


 


หลังจากกินข้าวและหยิบสัมภาระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ขับรถไปส่งลั่วอิงที่โรงเรียน เมื่อมาถึงโรงเรียน ที่หน้าประตูก็มีเด็กหลายคนกำลังทยอยเดินเข้าไปในโรงเรียน


 


 


และคุณครูประจำชั้นของลั่วอิงเองก็ยืนอยู่ที่หน้าประตู เพื่อรอรับนักเรียนเข้าสู่โรงเรียนด้วยเช่นกัน ถังโจวโจวสะพายกระเป๋านักเรียนให้กับลั่วอิง ก่อนจะจับมือเธอแล้วส่งเธอให้กับคุณครูประจำชั้น


 


 


“สวัสดีค่ะคุณครู” ลั่วอิงทักทายด้วยเสียงสดใส


 


 


“สวัสดีค่ะ ลั่วอิง!” คุณครูประจำชั้นก้มตัวลงมาทักทายลั่วอิงอย่างสนิทสนม ถังโจวโจวพูดคุยกับคุณครูอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเธอเห็นว่ามันสายแล้ว เธอจึงบอกลาคุณครูกับลั่วอิง ก่อนจะกลับไปที่รถ


 


 


ลั่วเซ่าเชินหมุนพวงมาลัยออกรถ เพื่อมาส่งถังโจวโจวที่บริษัท “ฉันไปก่อนนะคะ เซ่าเชิน ขับรถระวังๆ นะคะ เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะไปรับลั่วอิงเอง”


 


 


“โอเค วันนี้ผมเองก็อาจจะต้องกลับดึกเหมือนกัน ถ้าคุณรอผมไม่ไหว พวกคุณก็กินข้าวกันไปก่อนได้เลยนะ”


 


 


“ค่ะ” ถังโจวโจวรู้ดีว่าลั่วเซ่าเชินมีงานค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเรื่องของลั่วอิง เธอคาดว่าในวันสองวันนี้เขาน่าจะยุ่งเป็นพิเศษ


 


 


สองวันต่อมา ถังโจวโจวนึกขึ้นได้ว่านี่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดของลั่วอิงแล้ว เธอควรจะเริ่มเตรียมการอะไรบางอย่าง ถังโจวโจวอยากจะจัดเซอร์ไพรส์ให้กับเธอ และพอดีกันกับที่เธอเห็นลั่วอิงลงมาจากชั้นบน ถังโจวโจวก็เลยกวักมือเรียกเธอ “ลั่วอิง มาหาแม่โจวโจวหน่อยสิคะ”


 


 


“มีอะไรหรือคะ แม่โจวโจว” เมื่อได้เห็นท่าทีตื่นเต้นของถังโจวโจว ลั่วอิงก็ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังวางแผนอะไรอยู่


 


 


ถังโจวโจวกอบกุมมือของลั่วอิงพลางถามว่า “ลั่วอิง อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของหนูแล้ว หนูอยากทำอะไรคะ”


 


 


แล้วจู่ๆ ลั่วอิงก็ตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินคำว่าวันเกิด เหตุเป็นเพราะลั่วเซ่าเชิน แม้ว่าวันเกิดของเธอจะผ่านมาถึงห้าครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยได้จัดงานเลี้ยงเลยสักครั้ง


 


 


ลั่วเซ่าเชินมักจะมอบของขวัญให้เธอในทุกๆ ปี แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะชวนใครต่อใครมาฉลองวันเกิดให้เธอที่บ้านเลย ดังนั้นวันเกิดของลั่วอิงในปีที่ผ่านๆ มาจึงผ่านไปอย่างเรียบง่ายและน่าเบื่อ คุณพ่อกับคุณแม่ลั่วเองก็ไม่ชอบเสียงดังโวยวาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คิดจะจัดงานอะไรให้เธอเช่นกัน


 


 


“แม่โจวโจวจะจัดงานให้หนูเหรอ!” เมื่อได้เห็นท่าทางของถังโจวโจว ลั่วอิงก็คิดว่าวันเกิดในปีนี้ของเธอจะต้องไม่เหมือนเดิมแน่ๆ


 


 


“ใช่ค่ะ ลั่วอิงชอบไหม” ถังโจวโจวถามลั่วเซ่าเชินมาแล้ว แต่เขาบอกมาเพียงว่า เขาไม่เคยเห็นลั่วอิงอยากจะทำอะไรในวันเกิดเป็นพิเศษเลย ซึ่งนั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนลั่วอิงไม่กล้าพูด ลั่วเซ่าเชินจึงไม่ได้มีความคิดเห็นอื่นใด นอกจากหาของขวัญที่ดีที่สุดมาให้เธอ และกินข้าวพร้อมกับตัดเค้กวันเกิดให้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาภายในครอบครัวเท่านั้น


 


 


“ชอบสิคะ! แม่โจวโจวขา หนูอยากชวนเพื่อนๆ มาที่บ้านได้ไหมคะ” เมื่อได้ยินคำตอบที่แน่วแน่ของถังโจวโจว ลั่วอิงก็ตื่นเต้นเสียจนกระโดดตัวลอย


 


 


“ได้ค่ะ แม่โจวโจวจะจัดงานปาร์ตี้วันเกิดให้หนู ถ้าหนูมีเพื่อนที่อยากจะชวนมา หนูก็ชวนมาได้เลยนะคะ คืนวันนั้นจะเป็นคืนที่พิเศษสำหรับหนูคนเดียวเลย!”


 


 


ต่อจากนั้น ลั่วอิงกับถังโจวโจวก็ได้ปรึกษากันว่าจะตกแต่งบ้านอย่างไร จะเชิญเพื่อนๆ คนไหน จะต้องเตรียมอาหารและผลไม้อะไรบ้าง พวกเธอจดสิ่งของที่พวกเธอต้องการลงไปบนกระดาษทีละรายการ และหลังจากที่ทั้งสองคนปรึกษาหารือกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดพวกเธอก็ได้ข้อสรุป หลังจากนี้พวกเธอก็เพียงแต่ตั้งตารอให้ถึงวันถัดไป


 


 


 


 


วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบหกขวบของลั่วอิง ลั่วอิงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่และวิ่งไปวิ่งมา เธอเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในบ้านหลังนี้


 


 


ถังโจวโจวเองก็ตื่นตั้งแต่เช้า เมื่อคืนเธอวานให้ลั่วเซ่าเชินขับรถออกไปซื้อสายรุ้งและลูกโป่งมาให้ เพื่อที่เธอจะได้ใช้ในการตกแต่งบ้าน


 


 


ถังโจวโจวกำลังจะจัดงานวันเกิดของลั่วอิงในวันที่ตามปฏิทินสุริยคติ[1] เธอบอกให้ลั่วอิงชวนคนที่อยากจะชวนมาให้มาร่วมสนุกกันที่บ้าน ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ลั่วนั้น เธอคิดว่าคงจะฉลองวันเกิดให้ลั่วอิงตามวันเกิดแบบปฏิทินจันทรคติ[2] ดังนั้นเธอจึงไม่ได้แจ้งให้พวกท่านทราบ


 


 


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเธอสองคนก็เริ่มใช้ที่สูบลมเป่าลูกโป่ง จากนั้นก็นำลูกโป่งไปผูกติดไว้ตามราวบันได รวมถึงตกแต่งไว้บนข้างฝาอย่างสวยงาม


 


 


ตลอดเช้าที่ช่วยกันตกแต่งบรรยากาศในงาน เพียงไม่นานเวลาก็เดินมาถึงตอนเที่ยง การตกแต่งโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดีแล้ว ในตอนบ่ายจึงสามารถเริ่มทำขนมเค้กได้


 


 


เธอใช้ส่วนผสมที่ซื้อมา และเมื่อเสียง ติ๊ง! ดังขึ้น เค้กที่อยู่ในเตาอบก็สุกแล้ว ถังโจวโจวสวมถุงมือจับของร้อนและยกถาดออกมา จากนั้นถังโจวโจวก็หยิบที่ปาดเค้กขึ้นมาเพื่อเริ่มปาดครีม เมื่อก่อนถังโจวโจวเคยลองทำเค้กมาบ้าง แล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันก็น่าพอใจ


 


 


ดังนั้น วันนี้ถังโจวโจวจึงไม่คิดจะซื้อเค้กจากร้านค้า เพราะเธอตั้งใจลงมือทำเค้กวันเกิดให้กับลั่วอิงด้วยตัวเอง


 


 


เมื่อปาดครีมสีขาวจนหนาเป็นชั้นแล้ว จากนั้นเธอก็ใช้สีแดงเขียนลงไปว่า ‘สุขสันต์วันเกิดลั่วอิง’ เธอประดับตกแต่งหน้าเค้กด้วยช็อกโกแลตและผลไม้อีกสองสามอย่าง เท่านี้ เค้กก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์


 


 


ลั่วอิงตามหาถังโจวโจวอยู่นานแต่ก็ไม่พบ แต่เมื่อเธอมาถึงห้องครัว เธอก็พบว่ามีเค้กก้อนใหญ่วางอยู่ตรงกลางห้อง “ว้าว! แม่โจวโจวทำให้หนูหรือคะ”


 


 


“ใช่ค่ะ ลั่วอิงชอบไหม” ถังโจวโจวเพิ่งจะหมุนเค้กไปมา และเมื่อพบว่ามันไม่มีปัญหาอะไร เธอก็กำลังจะหาอะไรมาคลุมไว้ แต่เธอนึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ ลั่วอิงจะเข้ามาเห็นพอดี


 


 


“ชอบค่ะ แม่โจวโจวใจดีกับหนูที่สุดเลย!” ลั่วอิงเอียงศีรษะมองเค้กที่ถังโจวโจวทำ พลางคิดว่าอีกเดี๋ยวเธอจะต้องอวดเพื่อนๆ ของเธอสักหน่อยแล้วว่านี่คือเค้กที่คุณแม่ของเธอตั้งใจทำให้เธอโดยเฉพาะ


 


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงเวลาหกโมงเย็น คุณพ่อและคุณแม่ของเพื่อนๆ ที่ลั่วอิงชวนมาร่วมงานก็มาส่งเด็กๆ อย่างไม่ขาดสาย ถังโจวโจวพูดคุยกับผู้ปกครองของเด็กๆ เธอตกลงให้พวกเขามารับเด็กๆ ในเวลาสองทุ่ม


 


 


ถังโจวโจวและลั่วอิงช่วยกันทำการ์ดขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งเด็กๆ ทุกคนที่มาในวันนี้จะมีการ์ดคนละหนึ่งใบ และก่อนที่เพื่อนๆ ของลั่วอิงจะมา ถังโจวโจวก็เปลี่ยนชุดกระโปรงตัวใหม่ให้กับลั่วอิง เธอเกล้าผมให้กับลั่วอิงและติดกิ๊บคริสตัลไว้บนนั้น เธอดูน่ารักเป็นอย่างมาก


 


 


ลั่วเซ่าเชินกลับมาถึงบ้าน เขาก็พบว่าไฟทุกดวงในบ้านถูกเปิดอยู่ โดยเฉพาะในห้องนั่งเล่น ในนั้นมีแสงไฟสว่างไสววิบวับ ดูเหมือนว่าจะมีไฟประดับดวงเล็กด้วย และเมื่อเขาจอดรถและลงมาจากรถ เขาก็เดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะพบว่ามีเด็กๆ อยู่เต็มบ้านไปหมด


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวเองก็อยู่ท่ามกลางกองทัพหัวไชเท้าน้อย ลั่วเซ่าเชินก็รีบเรียกเธอออกมา “นี่คุณทำอะไรน่ะ”


 


 


“ก็วันนี้เป็นวันเกิดของลั่วอิง ฉันเลยให้เธอชวนเพื่อนๆ มาฉลองให้กับเธอน่ะค่ะ” ศีรษะของถังโจวโจวยังคงหันไปหาลั่วอิง แต่เธอก็อธิบายมูลเหตุแห่งการตกแต่งบ้านในวันนี้กับลั่วเซ่าเชินไปด้วย


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองดูความสดใสครึกครื้นในบ้านด้วยอาการปวดเวียนศีรษะ “แล้วพวกนี้นี่มันอะไรกัน!”


 


 


เมื่อก่อนที่ไม่ได้ตกแต่งของพวกนี้ บ้านก็ดูดีมากอยู่แล้ว และเมื่อเขาเห็นท่าทางตื่นเต้นของถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกได้ว่าความคิดนี้ต้องมาจากเธออย่างแน่นอน


 


 


“แล้วจะเลิกเมื่อไร”


 


 


“คะ? คุณว่าอะไรนะ” ถังโจวโจวมัวแต่สนใจบรรยากาศในงาน เธอก็เลยไม่ทันได้ยินว่าลั่วเซ่าเชินพูดว่าอะไร


 


 


“ผมถามว่างานจะเลิกเมื่อไร” ลั่วเซ่าเชินพาถังโจวโจวมาที่ห้องครัว ที่นี่น่าจะเงียบกว่ามาก คราวนี้ถังโจวโจวคงจะได้ยินมันชัดเจนเต็มสองหูแล้ว


 


 


“อ๋อ ก็คงจะราวๆ สองทุ่มน่ะค่ะ… โอ๊ย ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว อย่าลืมมากินเค้กด้วยกันนะคะ” ถังโจวโจวพูดทิ้งไว้แค่นี้ ก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปในกองทัพหัวไชเท้าน้อย


 


 


แม้แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังได้ยินน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจของลั่วอิงจากตรงนี้ “เราจะบอกอะไรให้นะ เค้กวันเกิดวันนี้ คุณแม่ของเราทำเองด้วยแหละ อีกเดี๋ยวพวกเธอก็จะได้เห็นกันแล้ว!”


 


 


เด็กๆ ที่อยู่โดยรอบต่างพูดด้วยความอิจฉา “จริงเหรอ ลั่วอิง คุณแม่ของเธอใจดีกับเธอจังเลย”


 


 


“ใช่ๆ แม่เราแค่ไปซื้อมาให้เราเอง แม่ไม่เคยทำเค้กให้เราบ้างเลย”


 


 



 


 


ลั่วเซ่าเชินค่อยๆ ปลีกตัวขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆ ส่วนลั่วอิงก็มัวแต่พูดคุยอยู่กับเพื่อนๆ จนลืมเรียกให้ลั่วเซ่าเชินมาตรงนี้ แต่อีกใจหนึ่งเธอก็แอบกลัวว่าถ้าเธอเรียกเขาแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็จะไม่มาอยู่ดี เพราะเขาเกลียดความวุ่นวายเป็นที่สุด


 


 


 


 


[1] สุริยคติ หมายถึง วิธีนับวันและเดือนแบบสากล กำหนดตำแหน่งของดวงอาทิตย์เป็นหลัก เช่น วันที่ 1 ถึง 31, เดือนมกราคม ถึง เดือนธันวาคม


 


 


[2] จันทรคติ หมายถึง วิธีนับวันและเดือน โดยยึดถือจากดวงจันทร์เป็นหลัก เช่น ขึ้น 1 ค่ำ ถึงแรม 15 ค่ำ, เดือนอ้าย ถึง เดือนสิบสอง 

 

 


ตอนที่ 190 ปาร์ตี้วันเกิด

 

           ป้าหลิววางของว่างและผลไม้ไว้บนโต๊ะน้ำชา หากว่าพวกเด็กๆ ต้องการ พวกเขาก็สามารถหยิบรับประทานได้ในทันที แล้วเธอก็จะคอยเฝ้าสังเกตอยู่ตลอด หากมีอะไรเริ่มพร่องลงไป เธอก็จะรีบยกมาเติม ส่วนถังโจวโจวก็รับหน้าที่พาเด็กๆ เล่นเกม 


 


 


           มีทั้งเกมนกอินทรีจับลูกเจี๊ยบ[1] เกมเออีไอโอยูหยุด หลังจากเล่นอยู่หลายรอบก็ถึงเวลาอาหาร ลั่วอิงชวนเพื่อนๆ มาห้าคน เป็นเด็กผู้หญิงสามคนและเด็กผู้ชายอีกสองคน หนึ่งในเด็กผู้ชายดูเป็นคนขี้อาย เขาไม่ค่อยยอมพูดอะไรสักเท่าไร ถังโจวโจวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลั่วอิงเข้ากับเด็กคนนั้นได้อย่างไร 


 


 


ส่วนเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งดูมีชีวิตชีวาและร่าเริงดี เมื่อเขาเจอถังโจวโจว เขาก็รีบทักทายในทันที “สวัสดีครับคุณน้า” และการเล่นเกมหลังจากนั้น เขาก็ดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ช่างเป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจริงๆ 


 


 


           ถังโจวโจวบอกให้ลั่วอิงคอยต้อนรับเพื่อนๆ ของเธอก่อน จากนั้นถังโจวโจวก็ตรงขึ้นไปยังห้องหนังสือชั้นสอง ก๊อกๆๆ 


 


 


“เชิญ” ลั่วเซ่าเชินอยู่ในนั้นจริงๆ ด้วย และเมื่อถังโจวโจวเปิดประตูเข้าไป เธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้ทำงาน เขาเพียงแต่ยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


“เซ่าเชิน คุณไม่ลงไปหรือคะ” 


 


 


“มันเสียงดังเกินไป” ถังโจวโจวนึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินจะตอบแบบนี้ 


 


 


ถังโจวโจวนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “คุณไม่คิดว่าเด็กๆ น่ารักหรือคะ แล้วเพื่อนๆ ของลั่วอิงเองก็น่ารักเรียบร้อยดี ไม่น่ารำคาญเลย” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ตอบ ถังโจวโจวจึงเอ่ยชวนต่อไปอีกว่า “เซ่าเชิน ใกล้จะถึงเวลาทานข้าวแล้วนะคะ คุณเองก็ไม่ได้เจอหน้าลั่วอิงมาทั้งวัน คุณจะไม่ไปอวยพรวันเกิดเธอเลยเหรอ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินก้มหน้าคิดหนัก และเมื่อถังโจวโจวเห็นว่าสีหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว เธอก็รู้ดีว่าเธอมีหวัง เธอจึงรีบพูดขึ้นว่า “เซ่าเชิน ไปกันเถอะค่ะ นะคะ ไหนๆ คุณก็ไม่ได้ทำอะไรที่ห้องหนังสืออยู่แล้ว? แล้วทำไมคุณถึงไม่ลงไปสนุกกับเราล่ะคะ” 


 


 


“นี่คุณคงจะมีความสุขมากเลยใช่ไหม” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวมีความสุขมากเมื่ออยู่ท่ามกลางเด็กๆ คงใช่สินะ เพราะเธอชอบเด็กมากอยู่แล้ว 


 


 


“เด็กๆ น่ารักจะตายไป! เซ่าเชิน ตกลงคุณจะไปหรือไม่ไปคะ นี่มันก็จะถึงเวลาทานข้าวแล้ว ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องลงไปอยู่ดีนี่?” 


 


 


ถังโจวโจวเกิดร้อนรนใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ยอมขยับตัว เขาจำเป็นจะต้องอยู่แต่ในห้องหนังสืออย่างนั้นหรือ งานไม่เสร็จก็ไม่เห็นเป็นไรเลย วันนี้เป็นวันเกิดของลั่วอิงนะ จะหยุดพักสักวันไม่ได้เลยหรือ? 


 


 


ถังโจวโจวกำลังจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด แต่ที่ไหนได้ จู่ๆ ลั่วเซ่าเชินก็หันตัวกลับมา เธอไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร? ลั่วเซ่าเชินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นว่าถังโจวโจวเอาแต่ยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น “จะลงไปไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“ก็คุณไม่อยากลงไปไม่ใช่เหรอ?” หลังจากนั้นถังโจวโจวก็อยากจะตบปากตัวเอง เธอรีบพูดกลบเกลื่อนว่า “ลงสิคะ รีบไปกันเถอะ” ขอให้เขาไม่ทันได้ยินประโยคนั้นก็แล้วกัน ขอให้เขาไม่ได้ยินด้วยเถอะ ถังโจวโจวบ่นพึมพำกับตัวเอง 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินลงมาชั้นล่างพร้อมกับถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชินยังคงอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมไปทำงาน ส่วนถังโจวโจวก็อยู่ในชุดเดรสลำลองแขนยาวสีน้ำเงินเข้มเช่นกัน ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีขาว ทั้งหมดนี่มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอและลั่วเซ่าเชินแต่งตัวคู่กัน 


 


 


“คุณพ่อขา คุณพ่อมาแล้วหรือคะ” ลั่วอิงรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็นลั่วเซ่าเชินลงมาจากชั้นบนเสียที 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินอุ้มลั่วอิงไว้ในอ้อมแขน ลั่วอิงก้มหน้ามองทุกคนในทันที บนศีรษะของลั่วอิงมีหมวกวันเกิดอยู่ เธออยู่ในชุดเดรสลูกไม้สีขาว เธอเหมือนกับตุ๊กตาตัวน้อยที่ถูกลั่วเซ่าเชินกอดไว้ในอ้อมแขน 


 


 


“คุณชาย คุณผู้หญิงคะ ทานข้าวได้แล้วค่ะ” ป้าหลิวออกมาแจ้งถังโจวโจว 


 


 


“ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ถังโจวโจวตามป้าหลิวไปที่ห้องครัว ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ปล่อยลั่วอิงลง “ลูกไปเล่นกับเพื่อนๆ เถอะครับ” 


 


 


“วันนี้หนูมีความสุขจังเลยค่ะ คุณพ่อ!” ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่รักเธอ ได้อยู่กับเพื่อนๆ ของเธอ ลั่วอิงรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เธอมีความสุขมากที่สุดวันหนึ่ง 


 


 


“ลั่วอิงครับ วันนี้เป็นวันเกิดของลูก ลูกก็ต้องมีความสุขที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าวันนี้ลูกจะขออะไร พ่อจะตามใจหนูทุกอย่างเลยนะ” ลั่วเซ่าเชินย่อตัวลงไปกระซิบกระซาบกับลั่วอิง 


 


 


ถังโจวโจวและป้าหลิวนำอาหารออกมาเสิร์ฟทีละจาน “ลั่วอิง หนูรีบไปเรียกเพื่อนๆ มาทานข้าวกันเร็วค่ะ” 


 


 


“เราไปทานข้าวกันเถอะ! เดี๋ยวพอทานข้าวเสร็จ พวกเธอก็จะได้เห็นเค้กวันเกิดที่คุณแม่ทำให้เราแล้ว” ลั่วอิงพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ 


 


 


ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินช่วยกันอุ้มเด็กๆ ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ทีละคน ป้าหลิวทำอาหารไว้มากมายหลายอย่าง มีทั้งน่องไก่ ปีกเป็ด ซี่โครงหมูตุ๋นมันฝรั่ง ไก่ตุ๋นเห็ด สามสหายผัดเต้าหู้ฝอย[2] และอื่นๆ ละลานตา 


 


 


อาหารถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะ ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินแยกกันนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะของทั้งสองด้าน ลั่วอิงและเพื่อนๆ อีกห้าคนนั่งอยู่ที่ด้านยาวของโต๊ะทั้งสองฝั่ง โดยแบ่งเป็นฝั่งละสามคน 


 


 


เนื่องจากพวกเด็กๆ กินของว่างและผลไม้ไปก่อนแล้ว พวกเขาจึงกินข้าวได้ไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังจะต้องเผื่อท้องไว้กินเค้กอีก ดังนั้น พวกเด็กๆ จึงเน้นกินแต่กับ ไม่กินข้าว ถังโจวโจวเองก็ไม่ได้บังคับพวกเขา พวกเขาอยากจะกินอะไรก็ให้คีบกันเอง 


 


 


หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ถังโจวโจวก็นำเค้กที่เธอเตรียมไว้สำหรับลั่วอิงตั้งแต่ช่วงบ่ายออกมาจุดเทียน จากนั้นเธอก็ให้ลั่วเซ่าเชินดับไฟในห้องนั่งเล่น ภายในห้องนั่งเล่นจึงเหลือแค่เพียงแสงสว่างจากเทียนที่อยู่กลางห้อง 


 


 


แสงเทียนสีเหลืองนวลส่องประกายไปทั่วบริเวณ “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู! แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู! แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู! แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู! สุขสันต์วันเกิดนะ ลั่วอิง!” ทุกคนร่วมกันร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ขึ้นมา ลั่วอิงถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลาง และใบหน้าของเธอก็เปี่ยมไปด้วยความสุข 


 


 


“ลั่วอิง ขอพรก่อนสิคะ แล้วค่อยเป่าเทียนนะ” 


 


 


ลั่วอิงหลับตา และหลังจากนั้นสิบวินาที เธอก็ลืมตาขึ้นมา “คุณแม่ขา หนูขอพรเสร็จแล้ว” 


 


 


“โอเคค่ะ หนูกับเพื่อนๆ ช่วยกันเป่าเทียนนะคะ เดี๋ยวเราจะได้ตัดเค้กกัน” ถังโจวโจวตะโกน “หนึ่ง สอง สาม” แล้วเด็กๆ ก็ช่วยกันเป่าเทียน 


 


 


ถังโจวโจวเปิดไฟและยื่นมีดตัดเค้กให้กับลั่วอิง “ตอนนี้หนูแบ่งเค้กได้แล้วค่ะ ลองนับดูสิคะว่ามีกี่คน แล้วหนูก็แบ่งตามจำนวนนั้นนะ” เด็กๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างจับจ้องไปที่ก้อนเค้กตรงหน้า พวกเขากำลังรอให้ลั่วอิงตัดเค้กอยู่ 


 


 


ลั่วอิงนับจำนวนคนอย่างเงียบๆ เธอตัดออกมาก่อนหนึ่งชิ้น ถังโจวโจวช่วยเธอวางเค้กลงบนจานกระดาษ “ลั่วอิง ชิ้นนี้หนูจะให้ใครคะ” 


 


 


“ชิ้นนี้ให้คุณพ่อค่ะ!” ถังโจวโจวช่วยเธอส่งมันให้กับลั่วเซ่าเชิน 


 


 


จากนั้นเธอก็ตัดออกมาอีกหนึ่งชิ้น “แล้วชิ้นนี้ล่ะคะ” 


 


 


“ให้คุณแม่ค่ะ!” 


 


 


“ขอบคุณค่ะลูกรัก” ถังโจวโจวมีความสุขมาก เธอจูบลงบนใบหน้าของลั่วอิง 


 


 


ชิ้นที่สามถูกตัดออกมาสดๆ ร้อนๆ ถังโจวโจวเห็นพวกเด็กๆ จ้องตาเป็นมัน เธอคิดว่าลั่วอิงจะมอบให้หนึ่งคนในนั้น 


 


 


แต่นึกไม่ถึงเลยว่าลั่วอิงจะพูดประโยคนี้ออกมา “แม่โจวโจวขา หนูอยากมอบเค้กชิ้นนี้ให้กับป้าหลิวค่ะ วันนี้ป้าหลิวช่วยจัดงานให้หนูตั้งหลายอย่าง หนูอยากขอบคุณป้าหลิว!” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นหนูเอาไปให้ป้าหลิวเองดีไหมคะ” ถังโจวโจวส่งจานกระดาษให้ลั่วอิง จากนั้นลั่วอิงก็ค่อยๆ ประคองเค้กไปให้ป้าหลิวอย่างระมัดระวัง 


 


 


ป้าหลิวพูดพลางน้ำตารื้นว่า “ขอบคุณค่ะ คุณหนู” 


 


 


ลั่วอิงก้มหน้าอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดด้วยเสียงเล็กๆ ว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” 


 


 


           ลั่วอิงแบ่งเค้กที่เหลืออยู่ออกเป็นหกชิ้น เธอแบ่งให้กับเพื่อนๆ ของเธอก่อน จากนั้นเธอถึงจะหยิบของตัวเองมากิน ถังโจวโจวมีความรู้สึกเป็นร้อยพันเกิดขึ้นในใจ เมื่อได้เห็นเธอแบ่งให้คนอื่นก่อนแล้วค่อยหยิบให้ตัวเองทีหลัง 


 


 


           เมื่อส่งเพื่อนๆ ของลั่วอิงให้กับคุณพ่อและคุณแม่ของพวกเขาแล้ว ถังโจวโจวก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าในทันที เธอรู้สึกหมดแรง เมื่อนึกถึงของกองใหญ่ที่ต้องเก็บกวาดในห้องนั่งเล่น 


 


 


“เอาละ เรียบร้อยแล้ว” ถังโจวโจวและป้าหลิวช่วยกันเก็บกวาดห้องนั่งเล่น และเมื่อพวกเธอเห็นบ้านที่สะอาดสะอ้าน พวกเธอก็รู้สึกพึงพอใจ 


 


 


หลังจากอาบน้ำให้ลั่วอิงแล้ว ถังโจวโจวก็อาบน้ำต่อ เมื่อออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ ถังโจวโจวก็เห็นว่าลั่วอิงหลับไปแล้ว รอยบุ๋มที่ข้างแก้มของเธอปรากฏขึ้น พิสูจน์ให้เห็นว่าวันนี้เธอมีความสุขมาก 


 


 


ถังโจวโจวสังเกตเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่ค่อยได้กินอะไรเลยเมื่อหัวค่ำ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจต้มบะหมี่มาให้เขาเป็นพิเศษ เธอยกมาที่ห้องหนังสือ “เซ่าเชิน ฉันเข้าไปนะคะ” 


 


 


“เข้ามาเลย” กลิ่นหอมของบะหมี่ลอยตามติดถังโจวโจวเข้ามาด้วย เขาเห็นถังโจวโจววางชามใบหนึ่งลงบนโต๊ะ และชามบะหมี่ไข่ไก่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


           “เมื่อหัวค่ำคุณไม่ค่อยได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือคะ ฉันกลัวว่าคุณจะหิว ฉันก็เลยต้มบะหมี่มาให้ คุณรีบทานสิคะ” ถังโจวโจวดันชามบะหมี่ไปให้ลั่วเซ่าเชิน 


 


 


จากนั้นเธอก็ส่งตะเกียบให้ ลั่วเซ่าเชินรับไป ความหอมของบะหมี่แทงทะลุเข้าไปในโพรงจมูกของถังโจวโจว จู่ๆ เธอก็รู้สึกหิวขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอจึงพยายามกลืนน้ำลายและปลอบตัวเองในใจว่า ฉันไม่หิว ฉันไม่หิว… 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอกำลังหลับตา จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “นั่นคุณทำอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


“เปล่านี่คะ คุณรีบกินเถอะค่ะ” ถังโจวโจวรีบหันหน้าไปทางอื่น เธอพยายามไม่มองบะหมี่ชามนั้น เพื่อที่เธอจะได้ไม่หิวไปมากกว่านี้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองดูบะหมี่ จากนั้นก็มองดูท่าทางที่ยิ่งปกปิดก็ยิ่งเห็นได้ชัดของถังโจวโจว แล้วเขาก็เข้าใจในทันที “คุณอยากกินล่ะสิ” 


 


 


“ไม่อยากค่ะ!” ถังโจวโจวตอบทันควัน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวทำเป็นปากแข็ง เขาก้มหน้าก้มตากินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย พลางพูดขึ้นมาในขณะที่กินอยู่ว่า “คุณไม่อยากกินจริงๆ น่ะเหรอ ใกล้จะหมดแล้วนะ พลาดแล้วพลาดเลยนะ” 


 


 


‘ไม่ ไม่อยาก ไม่กิน ถังโจวโจว เธอต้องห้ามใจเอาไว้’ ถังโจวโจวบ่นพึมพำและไม่หลงไปกับเสียงยั่วยวนของลั่วเซ่าเชิน เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวไม่ติดกับ และบะหมี่ก็ใกล้จะหมดแล้ว เขาจึงได้แต่วางตะเกียบลงและเลื่อนชามไปไว้ตรงหน้าถังโจวโจว 


 


 


“คุณไม่อยากกินจริงๆ เหรอ” ลั่วเซ่าเชินยกชามบะหมี่ไปหยุดอยู่ใต้จมูกของถังโจวโจว 


 


 


เมื่อถังโจวโจวได้กลิ่นหอม เธอก็พยายามกลืนน้ำลาย และเมื่อเธอเปิดตาขึ้นมา เธอก็เห็นสีหน้าอันขบขันของลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวรู้สึกโมโหเล็กน้อย “คุณจะยกมาให้ฉันทำไมคะ รีบกินเร็วๆ เถอะค่ะ ฉันทำมาให้คุณนะ” 


 


 


“เอาละ ผมรู้ว่าคุณเองก็อยากกิน อย่ามัวแต่รั้นอยู่เลย หรืออยากให้ผมป้อน?” ลั่วเซ่าเชินมองดูบะหมี่ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เธออยากจะทดสอบฝีมือของเขาสินะ! 


 


 


ถังโจวโจวรับชามมาในทันที เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินคิดจะป้อนเธอจริงๆ “ไม่ต้องค่ะ ฉันกินเองได้” 


 


 


ถังโจวโจวกินบะหมี่ที่เหลืออยู่จนหมดในไม่กี่คำ ลั่วเซ่าเชินพูดอย่างน่าเสียดายเมื่อเห็นว่าโอกาสของเขานั้นหลุดลอยไปแล้ว “คุณจะรีบกินไปทำไมกัน” 


 


 


ในใจของถังโจวโจวนั้นเต็มไปด้วยคำที่ยากจะอธิบาย ถ้าหากไม่รีบกิน แล้วเกิดคุณป้อนฉันขึ้นมาจริงๆ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ แต่ปากของเธอก็ยังคงพูดคำที่น่าฟังออกมา “ก็ฉันกลัวว่าคุณจะลำบากนี่” 


 


 


“พอๆ ไม่ต้องฝืนพูดหรอก ผมรู้ดีว่าคุณคิดยังไง” ลั่วเซ่าเชินเปิดโปงความคิดของเธออย่างไร้ความปรานี ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวรู้สึกเก้อเขิน 


 


 


“ใช่ที่ไหนกันคะ ฉันพูดจากใจจริงหรอก” ถังโจวโจวรีบปฏิเสธ แม้ว่าเธอจะยังยืนยันตามเดิม แต่ลั่วเซ่าเชินก็รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาตามตรงเท่านั้น นี่เป็นเพราะเขายังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่! 


 


 


 


 


 


[1] นกอินทรีจับลูกเจี๊ยบ การละเล่นพื้นบ้านของจีน คล้ายกับการละเล่นงูกินหางของไทย


 


 


[2] สามสหายผัดเต้าหู้ฝอย อาหารชนิดหนึ่งของจีน วัตถุดิบหลักคือ เต้าหู้แห้ง เนื้อไก่ หน่อไม้และขิง โดยวัตถุดิบทั้งหมดจะหั่นเป็นฝอย

 

 

 


ตอนที่ 191 หัวขโมย / ตอนที่ 192 ฟังหย...

 

ตอนที่ 191 หัวขโมย 


 


 


           วันนี้ถังโจวโจวงานยุ่งทั้งวัน ช่วงนี้บริษัทกำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นตอนวางแนวทางกับโปรเจกต์ของลั่วกรุ๊ป ดังนั้น พนักงานทุกคนจึงกระตือรือร้นกันเป็นอย่างมาก โดยหวังว่าโปรเจกต์นี้จะช่วยพลิกสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทได้ 


 


 


ถังโจวโจวเดินออกมาที่หน้าบริษัทพร้อมกับกระเป๋าเอกสารสีดำ จวิ้นเจี่ยเองก็เดินออกมาด้วยกันกับเธอ “โจวโจว วันนี้มีคนมารับหรือเปล่า” 


 


 


           “ช่วงนี้เซ่าเชินต้องทำงานล่วงเวลาน่ะค่ะ เดี๋ยวฉันขึ้นรถกลับเอง” ลั่วอิงมีคนไปรับกลับบ้านแล้ว ดังนั้น เธอแค่จัดการตัวเองก็พอ 


 


 


จวิ้นเจี่ยถามอย่างกระตือรือร้น เมื่อได้ยินว่าถังโจวโจวไม่มีคนมารับ “วันนี้สามีพี่มารับนะ โจวโจว เธอนั่งรถไปกับพวกพี่ดีกว่าไหม” 


 


 


ถังโจวโจวเคยเห็นสามีของจวิ้นเจี่ยแล้ว ผู้ชายที่ซื่อสัตย์คนนั้น ที่จริงแล้วเขาก็ดูเหมือนว่าจะเข้ากันได้ดีกับเธอ ถังโจวโจวมักจะได้ยินจวิ้นเจี่ยพร่ำบ่นอยู่เสมอว่าสามีของเธอนั้นไร้อารมณ์ อันนี้ก็ไม่ดี อันนั้นก็ไม่ได้เรื่อง 


 


 


แต่ถังโจวโจวก็ดูออกว่าจวิ้นเจี่ยรักเขามาก ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่พูดถึงสามีของเธอด้วยแววตาที่มีความสุข 


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันกลับเองดีกว่า ฉันไม่ไปเป็นก้างขวางคอพวกพี่สองคนหรอก” ถังโจวโจวรีบก้าวขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจวิ้นเจี่ย เมื่อเธอถูกล้อเช่นนั้น ก็หน้าแดงขึ้นมา 


 


 


ถังโจวโจววิ่งออกมาจนกระทั่งไม่เห็นจวิ้นเจี่ยแล้วจึงหยุด เธอแค่คิดว่าทางกลับบ้านของเธอกับจวิ้นเจี่ยนั้นเป็นคนละทางกัน หากเธอรบกวนให้คนอื่นเปลี่ยนทางเพื่อไปส่งเธอ มันจะดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย 


 


 


ถังโจวโจวก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ และเมื่อเห็นว่าที่ป้ายรถเมล์มีคนยืนอยู่มากมาย เธอก็คิดว่าจะเดินเลยไปก่อน แล้วเธอก็เดินผ่านป้ายรถเมล์ไป 


 


 


ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังเดินอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทก ถังโจวโจวกำลังคิดอยู่ว่าทำไมจะต้องรีบร้อนแบบนี้ด้วย และทันใดนั้นเอง เธอก็รู้สึกได้ว่ามือของเธอนั้นว่างเปล่าผิดปกติ และเมื่อก้มลงมอง กระเป๋าของเธอก็ตกไปอยู่ในมือของผู้ชายคนนั้นแล้ว! 


 


 


เขาวิ่งตรงไปข้างหน้า ในที่สุดถังโจวโจวก็ตั้งสติได้และตะโกนว่า “ขโมย! ช่วยจับขโมยหน่อยค่ะ!” ถังโจวโจวรีบตามไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าเห็นว่าถังโจวโจวตามมาแล้ว เขาก็รีบวิ่งหนีด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น เขานึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวตายเลยหรือไง ถึงขั้นวิ่งตามมาอย่างนี้ ในกระเป๋าของเธอมีของมีค่าอย่างนั้นหรือ? 


 


 


ในขณะที่หัวสมองกำลังคิดสุ่มสี่สุ่มห้า ขาของเขาก็ยังคงขยับไม่หยุด เจ้าหัวขโมยออกแรงวิ่งอยู่ด้านหน้า ส่วนถังโจวโจวก็พยายามวิ่งตามอยู่ด้านหลัง เธอไม่เห็นว่าจะมีใครช่วยเธอเลยสักคน แล้วจู่ๆ จิตใจของถังโจวโจวก็รู้สึกเย็นเยียบ และนั่นก็ยิ่งปลุกเร้าสัญชาตญาณในการต่อสู้ของเธอขึ้นมา เธอจะต้องตามล่าไอ้เจ้าหัวขโมยคนนั้นและเอาของของเธอกลับคืนมาให้ได้ 


 


 


พวกเขาทั้งสองคนวิ่งผ่านถนนเส้นหนึ่ง เจ้าหัวขโมยเปลี่ยนเส้นทางวิ่งฝ่าเข้าไปในฝูงชน เป็นเพราะต้องหลบหลีกคนที่เดินอยู่ ถังโจวโจวจึงต้องผ่อนฝีเท้าลง และแค่พริบตาเดียว คนที่ถังโจวโจววิ่งไล่ตามก็หายไป ถังโจวโจวหมุนรอบตัวเองและมองไปรอบๆ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะตามมาจนถึงกลางเมืองได้ 


 


 


ถังโจวโจวย่อตัวลงและหอบหายใจอย่างหนัก พลางพร่ำบ่นอย่างเดือดดาลว่า “อย่าให้ฉันได้เจออีกทีนะ ได้เห็นดีกันแน่!” 


 


 


เมื่อผู้คนรอบข้างได้ยินเธอพูดเช่นนั้น พวกเขาก็มองเธอด้วยความงุนงงไปชั่วขณะ แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ไม่ได้สนใจ เพียงแค่คิดว่าผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว ก่อนจะเดินไปตามทางของตัวเองกันต่อ 


 


 


ถังโจวโจวตามหาสถานที่พักผ่อนภายในจัตุรัสเพื่อนั่งพัก กระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ของเธอล้วนแต่อยู่ในกระเป๋าใบนั้น ตอนนี้เธอไม่มีเงินติดตัวเลย แล้วทีนี้จะทำยังไงดี? 


 


 


ในตอนนั้นเอง ฟังหยวนผ่านมาเห็นถังโจวโจวเข้า เขาพบว่าใบหน้าเล็กๆ ของเธอนั้นแดงก่ำ ราวกับว่าเธอเพิ่งผ่านการออกกำลังกายมาอย่างหนัก ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างก็หัวเราะเฮฮากับพรรคพวกของตัวเอง มีแต่เธอเท่านั้นที่นั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง และท่าทางหมดแรงแบบนั้นก็ทำให้รู้สึกราวกับเหลือเธออยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 192 ฟังหยวนช่วยเหลือ 


 


 


           ฟังหยวนรู้สึกว่าถังโจวโจวช่างมีเสน่ห์มากเหลือเกิน จนเขาอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ ฟังหยวนห้ามปรามขาตัวเองไม่ได้ และในที่สุดเขาก็เดินเข้าไปถึงตัวถังโจวโจว 


 


 


“เป็นอะไรหรือเปล่า” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนยืนอยู่ตรงหน้าเธอ และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็พบว่าเป็นคนรู้จัก เธอรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที “ฟังหยวน คุณนั่นเอง!” 


 


 


ถังโจวโจวเห็นฟังหยวนในเสื้อคลุมสีดำ ดวงตาสีเข้มคู่นั้นจ้องมองมาที่เธอ หัวใจของถังโจวโจวถูกเติมเต็มไปด้วยความความหวังเมื่อได้เจอกับคนที่รู้จัก ในเวลาที่เธอกำลังลำบากเช่นนี้ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะได้พบกับฟังหยวน 


 


 


ต่อแต่นี้ไป ฟังหยวนจะจดจำวันนี้เอาไว้ วันที่ถังโจวโจวมองเขาราวกับว่าเธอเป็นแค่แมวตัวเล็กๆ ที่เคว้งคว้างหาที่พึ่งไม่ได้ และมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาที่เปียกชื้น แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเจอเขา สายตาที่สับสนคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นมีความสุข ดีอกดีใจ เหมือนกับว่าได้เจอคนที่สำคัญที่สุดของตัวเอง 


 


 


“คุณควรจะกลับบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ” ฟังหยวนคิดไม่ออกว่าคนที่ควรจะอยู่ที่บ้านแล้วอย่างถังโจวโจว ทำไมถึงมาอยู่ที่จัตุรัสใจกลางเมืองนี้ได้ 


 


 


ถังโจวโจวเขยิบเว้นที่ให้ “นั่งก่อนค่ะ ฉันจะค่อยๆ เล่าให้คุณฟัง” ตอนนี้เธอมีฟังหยวนอยู่ด้วยแล้ว ถังโจวโจวจึงไม่รู้สึกว้าวุ่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก เธอเล่าเหตุการณ์ที่เธอได้เจอกับขโมยให้ฟังหยวนฟังคร่าวๆ 


 


 


ท้ายที่สุดฟังหยวนก็ได้แต่พูดอย่างปลงตกว่า “วันนี้คุณอาจจะโชคไม่ดีน่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวได้ฟังแล้วก็พูดอะไรไม่ออก ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปก็คงจะปลอบเธอ? แต่ทำไมเขาถึงได้พูดกับเธอด้วยประโยคขวานผ่าซากแบบนั้น ทำเอาเธอเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก “คุณไม่คิดจะปลอบใจฉันสักนิดเลย?” 


 


 


“ปลอบสิ ว่าแต่คุณไม่อยากให้ผมช่วยตามหากระเป๋าให้เหรอ” 


 


 


“คุณสามารถตามหาให้ได้?” ถังโจวโจวคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะตอนนี้ไม่รู้ว่าเจ้าหัวขโมยนั่นไปอยู่ที่ไหน แล้วฟังหยวนจะช่วยเธอตามหากระเป๋าจนเจอได้อย่างไร หรือเขามีวิธีพิเศษ? 


 


 


ในหัวสมองของถังโจวโจวเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ตอนนี้เธอเป็นเหมือนหมอที่รักษาม้าตายดุจม้าเป็น[1] ถ้าฟังหยวนมีหนทางจริงๆ ก็ถือว่าเขาช่วยเธอได้มากเลย! 


 


 


“คุณเชื่อผมไหมล่ะ?” ฟังหยวนถามคำถามนี้ออกมา หากถังโจวโจวไม่เชื่อเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว 


 


 


“เชื่อสิคะ!” ถังโจวโจวมองไปที่เขาอย่างจริงใจ ตอนนี้มีแค่เขาที่มีวิธี มีหนทาง หากเธอไม่เชื่อใจเขา แล้วเธอจะไปเชื่อใครได้ล่ะ 


 


 


“โอเค งั้นตอนนี้เราไปกินข้าวกันก่อน อีกเดี๋ยวกระเป๋าของคุณก็กลับมาแล้ว” ฟังหยวนที่ดูใจเย็นขนาดนี้ ยิ่งทำให้ถังโจวโจวสงสัยหนักมากขึ้นไปอีก เขาดูมั่นอกมั่นใจเอามากๆ เขาจะทำยังไงกันนะ 


 


 


ฟังหยวนลุกขึ้นแล้วเดินตรงนำไป แต่เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยังไม่ตามมา เขาก็หันกลับไปถามว่า “ทำไม? หรือคุณจะนั่งหิวอยู่ตรงนี้?” 


 


 


แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่อยากนั่งหิวอยู่ตรงนี้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่พาเธอไปขายหรอก เมื่อก่อนฟังหยวนมักจะล้อเล่นกับเธอเสมอ เขาพูดอยู่ตลอดว่าอยากให้เธอเป็นผู้หญิงของเขา แต่ท่าทางจริงจังของเขาในตอนนี้ ทำเอาถังโจวโจวปรับตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ 


 


 


ฟังหยวนขับรถพาถังโจวโจวมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พวกเขานั่งอยู่ในห้องส่วนตัว หลังจากสั่งอาหารแล้ว ถังโจวโจวก็ขอยืมโทรศัพท์มือถือของฟังหยวนเพื่อโทรบอกคนที่บ้าน เธอบอกป้าหลิวว่าเธอจะไม่กลับไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้าน 


 


 


           จากนั้นเธอก็เอาแต่คิดว่าฟังหยวนจะตามหากระเป๋าของเธอกลับคืนมาได้อย่างไร เธอรู้สึกว้าวุ่นใจที่เขายั่วให้เธออยากรู้แบบนี้ 


 


 


อาหารมาเสิร์ฟครบแล้ว แต่ฟังหยวนก็เห็นว่าถังโจวโจวยังไม่ยอมขยับตะเกียบ เขาจึงคีบอาหารใส่ชามไว้มากมาย แล้วเขาก็ส่งมันให้กับเธอ “กินข้าวก่อน หลังจากกินเสร็จแล้ว ไม่แน่ว่ากระเป๋าของคุณอาจจะมาถึงพอดีก็ได้” 


 


 


 


 


 


[1] รักษาม้าตายดุจม้าเป็น หมายถึง ยามที่รู้ว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นสิ้นหวัง แต่ก็ยังอยากจะลองอีกครั้งเพื่อรักษามันไว้ โดยทั่วไปแล้วหมายถึงความพยายามครั้งสุดท้าย 


ตอนที่ 193 รับประกัน 


 


 


           ถังโจวโจวไม่ยอมรับชามนั้นไป ฟังหยวนจึงยื่นส่งให้อีกครั้ง “คุณจะคิดมากไปทำไม แค่ได้กระเป๋ากลับมาก็พอแล้ว เดี๋ยวถ้าอะไรหายไป ผมรับผิดชอบเอง” 


 


 


“จริงหรือคะ” 


 


 


“จริงสิ ผมยังจะโกหกคุณได้อีกเหรอ” 


 


 


เมื่อได้ยินฟังหยวนพูดเช่นนั้น ถังโจวโจวก็เริ่มขยับตะเกียบ ฟังหยวนคีบเมนูโปรดของถังโจวโจวไปไว้ในชามของเธอ ถังโจวโจวมองดูกับข้าวที่อยู่ในชามที่ยิ่งถมก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะรีบเอ่ยห้ามฟังหยวนว่า “ไม่ต้องคีบแล้วค่ะ ฉันกินไม่หมด” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล เมื่อมองดูกับข้าวกองใหญ่ที่อยู่ในชาม มือของฟังหยวนที่กำลังจะคีบซี่โครงไปไว้ในชามของถังโจวโจวถึงกับชะงักกึก เขาดึงมือข้างนั้นกลับไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ผมไม่ทันสังเกตน่ะ คุณอย่าจ้องผมแบบนี้สิ รีบกินเถอะ” 


 


 


           ฟังหยวนกลับมาตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารที่อยู่ในชามของตัวเอง และทันใดนั้นเอง ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันผิดแปลกไป เธอมองเห็นท่าทางหดหู่ของฟังหยวน จากนั้นก็มองไปที่โต๊ะอาหาร แล้วจู่ๆ เธอก็ขยับตะเกียบกลางคีบอาหารบางอย่างไปใส่ไว้ในชามของฟังหยวน 


 


 


“ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวฉันนะคะ ในเมื่อคุณคีบกับข้าวให้ฉัน ฉันเองก็ต้องคืนให้คุณบ้าง” ฟังหยวนเห็นน่องไก่ในชาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบกินมากนัก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็คีบมันใส่ปากอยู่ดี เพราะถังโจวโจวเป็นคนคีบมาให้เขา 


 


 


ถังโจวโจวพยายามกำจัดภูเขาก้อนเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าเธอ แต่ไม่รู้ทำไมถังโจวโจวถึงรู้สึกว่ายิ่งกินมันยิ่งเยอะ จนกระทั่งเธอกินจนพุงยื่น โดยที่กับข้าวในชามเพิ่งจะพร่องไปได้นิดเดียว เห็นได้ชัดเลยว่าฟังหยวนคีบอาหารมาให้เธอมากแค่ไหน 


 


 


ถังโจวโจวมองฟังหยวนด้วยสีหน้าลำบากใจ “ฉันกินไม่ลงแล้ว” 


 


 


น้ำเสียงออดอ้อนของเธอ ทำเอาฟังหยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบรับคำว่า “ถ้ากินไม่ลงแล้วก็ไม่ต้องกินหรอก” เขาไม่ได้บังคับให้เธอกินจนหมดเสียหน่อย ใครใช้ให้เธอเอาจริงเอาจังขนาดนั้นล่ะ 


 


 


“แต่ฉันยังเห็นมันวางอยู่ตรงหน้านี่ มันเปลืองนะคะ” ถังโจวโจวทนเห็นการสิ้นเปลืองแบบนี้ไม่ได้ เธอคิดว่าอาจเป็นเพราะเธอเคยลำบากมาก่อน ดังนั้นเธอจึงยอมกินให้ท้องแตกตาย ดีกว่าปล่อยให้ของเหลืออยู่ตรงหน้าแบบนี้ 


 


 


“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ขอให้คุณออกเงินนี่ คุณไม่เป็นห่วงเรื่องของของคุณแล้วเหรอ” เมื่อฟังหยวนเห็นว่าถังโจวโจวเอาแต่สนใจเรื่องอาหารที่ยังเหลือ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นเรื่องอื่น และแล้วถังโจวโจวก็ถูกดึงดูดความสนใจจนได้ 


 


 


“เจอกระเป๋าแล้วหรือคะ” เธอไม่เห็นเขารับโทรศัพท์เลยสักครั้ง แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าทางนั้นหากระเป๋าของเธอเจอแล้ว จู่ๆ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่าฟังหยวนนั้นลึกลับมาก จนเธอแทบจะไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ 


 


 


“ใกล้แล้วล่ะ” ฟังหยวนมองไปที่โทรศัพท์ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองดูท่าทางสนอกสนใจของถังโจวโจว เขาอธิบายให้เธอฟังช้าๆ ว่า “ตอนที่คุณเล่าให้ผมฟัง ผมก็ส่งข้อความไปหาเพื่อนแล้ว เขาเป็นคนรับผิดชอบในส่วนนี้ แค่เขาส่งคนออกไป เรื่องตามหากระเป๋าของคุณกลับมามันก็กลายเป็นเรื่องง่ายน่ะ” 


 


 


“มิน่าล่ะ ที่แท้คุณก็มีพรรคพวก!” ถังโจวโจวยังคิดอยู่เลยว่าทำไมเขาถึงพูดได้อย่างสบายใจ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง “แล้วอีกเดี๋ยวเขาจะมาไหมคะ” 


 


 


ถังโจวโจวอยากรู้ว่าพรรคพวกของเขานั้นน่ากลัวไหม จะโหดร้ายจนคนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าสบตาหรือเปล่า 


 


 


ฟังหยวนเดาออกว่าถังโจวโจวกำลังคิดอะไรอยู่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาดูออก “ไม่ต้องคิดไปไกลหรอก เขาไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น” 


 


 


“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่” ทันทีที่ถังโจวโจวหลุดปากออกมา เธอก็รีบใช้มือปิดปากตัวเองเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่คำพูดเหล่านั้นมันหลุดออกไปหมดแล้ว 


 


 


“ก็ท่าทางของคุณไงล่ะ แค่เห็นก็ดูออกแล้ว เดี๋ยวพอคุณได้เจอ คุณก็รู้เองแหละว่าเขาเป็นคนยังไง” กับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ถังโจวโจวมักจะมีความคิดแบบนี้ ความจริงแล้วพวกนักเลงหัวไม้กับคนทั่วๆ ไปก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก เพียงแต่ข่าวลือที่เคยได้ยินมากลับทำให้คนมีภาพจำที่ไม่ดีก็เท่านั้น 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 194 พี่หลง 


 


 


           หลังจากกินข้าวเสร็จ ฟังหยวนก็บอกให้พนักงานเสิร์ฟมาเก็บจานไป จากนั้นก็สั่งให้ชงชาดีๆ มาหนึ่งกา เพียงไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เชิญ” 


 


 


           ฟังหยวนยืดตัวตรง ทำเอาถังโจวโจวประหม่าตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถังโจวโจวนึกถึงคนที่กำลังจะมา เธอก็ยิ่งหวั่นเกรง ถังโจวโจวรู้สึกว่าแค่ตัวเธอไม่สั่น นั่นก็นับว่าเธอเก่งมากแล้ว 


 


 


เมื่อประตูเปิดออก ถังโจวโจวก็เห็นชายวัยกลางคนที่ดูทะมัดทะแมงคนหนึ่งเดินเข้ามา และเมื่อเขาเห็นฟังหยวน เขาก็ยิ้ม “คุณชายฟัง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!” 


 


 


ลักษณะนิสัยของคนที่เพิ่งจะเข้ามาดูตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก เขาดูเป็นคนที่คล่องแคล่วแข็งแรง เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียว ผมสั้นเกรียน หากฟังหยวนไม่ได้บอกเธอก่อนว่าเขาเป็นนักเลงหัวไม้ พบเจอเขาได้ตามถนน ถังโจวโจวก็อาจจะไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ 


 


 


“พี่หลง คราวนี้รบกวนพี่แย่เลยนะครับ” ฟังหยวนลุกขึ้นอย่างสุภาพนอบน้อม 


 


 


คนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่หลง’ ยื่นส่งกระเป๋าในมือให้ฟังหยวน “เอ้า นี่คนของฉันตามเอาคืนมาให้ ลองดูสิว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า” 


 


 


“พี่หลง พี่เป็นธุระให้ผม ผมก็สบายใจ ผมขอแนะนำให้พี่รู้จักกับเพื่อนของผม นี่ถังโจวโจว” 


 


 


พี่หลงหันไปมองถังโจวโจว ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆ คุณชายฟัง วาสนาดีจริงนะ!” 


 


 


ถังโจวโจวเดาความหมายในน้ำเสียงของพี่หลงออก ชั่วขณะหนึ่งเธอไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร เธอจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น โชคดีที่ฟังหยวนยื่นมือเข้ามาช่วย “พี่เข้าใจผิดแล้ว พี่หลง เธอเป็นเพื่อนผมจริงๆ พี่อาจจะยังไม่รู้ เธอคือภรรยาของอาเชิน” 


 


 


หลังจากพี่หลงได้ยินฟังหยวนพูดเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้มีท่าทีสบายๆ อีกต่อไป เขามองลึกลงไปในดวงตาของถังโจวโจว ถังโจวโจวไม่กล้าขยับตัวไปไหน ด้วยกลัวว่าเธอจะทำให้เขาไม่พอใจอะไรหรือเปล่า หากเขาลงไม้ลงมือกับเธอ เธอจะต่อต้านอย่างไรไหว 


 


 


“ที่แท้ก็เมียของลั่วเซ่าเชินนี่เอง เรียกฉันว่าพี่หลงตามที่คุณชายฟังเรียกก็ได้นะ” 


 


 


เมื่อได้ยินพี่หลงพูดอย่างนั้น ถังโจวโจวก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดด้วยความโล่งอก “ถ้าอย่างนั้นพี่หลงก็เรียกฉันว่าโจวโจวก็พอค่ะ” 


 


 


“ดี! ฉันชอบคนตรงไปตรงมา” พี่หลงยิ้มอย่างจริงใจ 


 


 


ฟังหยวนเอ่ยชวนให้พี่หลงนั่ง ส่วนถังโจวโจวเองก็กุลีกุจอรินน้ำชาให้พี่หลง “พี่หลง ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันตามหากระเป๋าจนเจอ” ถังโจวโจวรู้สึกอยากขอบคุณพี่หลงเป็นอย่างมากสำหรับความช่วยเหลือของเขา ชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรเพื่อขอบคุณความมีน้ำใจของพี่หลง 


 


 


พี่หลงโบกมือไปมา “พอๆ มาพูดขอบคงขอบคุณฉันทำไมกัน มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันจะช่วยสั่งสอนเจ้าเด็กคนนั้นให้ บังอาจไปขโมยของของคนรู้จักมาได้” 


 


 


คำพูดของพี่หลงทำเอาถังโจวโจวตกตะลึง “เอ๊ะ? เขาเป็นลูกน้องของพี่หลงหรือคะ” 


 


 


เมื่อพี่หลงเห็นท่าทางงุนงงของถังโจวโจว เขาก็รู้ว่าเธอเข้าใจผิด เขาจึงค่อยๆ อธิบายให้เธอฟัง 


 


 


“มันเป็นเด็กที่ฉันเพิ่งรับเข้ามาน่ะ แต่มันยังไม่ค่อยเข้าใจกฎ คราวนี้มันก็เลยทำให้โจวโจวตกใจกลัวเอาได้ เธอวางใจได้เลยนะ มือข้างนั้นที่มันขโมยของของเธอมา ฉันจะตัดมันทิ้งซะ ดูสิว่าคราวหน้ามันจะกล้าทำอีกไหม” 


 


 


“พี่หลงคะ ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ… เขาก็แค่ขโมยของ ไม่เห็นถึงกับต้องตัดมือเขาเลย? ตัดมือเขาไปแล้วเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะคะ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเองก็ได้ของคืนแล้วด้วย พี่แค่สั่งสอนเขาก็พอ ไม่ต้องตัดมือเขาทิ้งหรอกค่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวแค่รู้สึกว่านักเลงหัวไม้นี่ช่างโหดร้ายจริงๆ แค่ขยับนิดขยับหน่อยก็ถึงชีวิตแล้ว 


 


 


เมื่อพี่หลงเห็นถังโจวโจวใจดีแบบนี้ เขาจึงรีบตกปากรับคำ “โอเค เอาอย่างที่โจวโจวว่าก็แล้วกัน คราวหน้าถ้าเจออะไรแบบนี้อีก ก็บอกพี่หลงเลยนะ ฉันจะช่วยเธอเอง” 


 


 


“ขอบคุณค่ะพี่หลง” 


 


 


พี่หลงนั่งอยู่ไม่นานก่อนจะลุกขึ้นบอกลา ส่วนฟังหยวนก็พาถังโจวโจวออกมาจากร้านอาหาร “ฟังหยวน คุณกับเซ่าเชินรู้จักพี่หลงทั้งคู่เลยหรือคะ?” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม