ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 188-194

ตอนที่ 188 เธอจะได้เดินออกจากอุทยานเอ...

 

ถังจงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดมองเฉียวเหลียงและถามว่า “คุณเฉียว นี่คุณกำลังล้อเล่นใช่ไหม” เท่าที่เขารู้จักเจ้านายมา ท่านเกลียดแพทย์และโรงพยาบาลมาแต่ไหนแต่ไร มีเพียงคุณหนูเท่านั้นที่สามารถโน้มน้าวให้ท่านไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลได้ นับตั้งแต่คุณหนูประสบอุบัติเหตุ นายท่านก็ไม่เคยไปโรงพยาบาล ท่านปฏิเสธแม้แต่จะทานยา เขาจึงต้องคอยจู้จี้เพื่อให้ท่านทานยา… เฉียวเหลียงไม่ได้มาที่นี่พร้อมด้วยนิ้วของคุณหนูเพียงอย่างเดียว แต่เขายังนำแพทย์จำนวนมากมาด้วย เขาไม่กลัวถูกนายท่านไล่ตะเพิดออกไปหรือ 


 


 


เฉียวเหลียงไม่สนใจสิ่งที่ถังจงคิด และขอให้เขานำทางไป “พ่อบ้านถังครับ ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจว่าทำไมผมถึงทำแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ซีซีใส่ใจมากที่สุดคือสุขภาพของคุณปู่ถัง ผมไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ มองดูท่านป่วยได้หรอกครับ” เมื่อเห็นว่าถังจงดูเหมือนจะเชื่อถือในตัวเขาแล้ว เฉียวเหลียงก็กล่าวต่อไป “ซีซีคงไม่อยากให้คุณปู่ล้มป่วยเพราะเธอ จริงไหมครับ” 


 


 


พ่อบ้านถังถกเถียงกับตัวเองอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะทำตามความประสงค์ของเฉียวเหลียงในที่สุด เขาหันหลังกลับและกล่าวว่า “คุณเฉียว กรุณาตามผมมา นายท่านกำลังรอคุณอยู่ในห้องทำงาน” 


 


 


เฉียวเหลียงเดินตามพ่อบ้านถังเข้าไปในประตู อาห้าตามเขาเข้าไป ข้างหลังพวกเขาคือทีมแพทย์ รถบรรทุกพร้อมด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ขับผ่านประตูตรงเข้าไป หลังจากทุกคนเข้าไปข้างในแล้ว ก็มีคนมาปิดประตูทันที 


 


 


แม้ว่าอาห้าจะเคยมาที่อุทยานเอ็มไพร์กับเฉียวเหลียงแล้วก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่เคยเข้าไปข้างใน ทันทีที่ก้าวเข้าสู่อุทยานเอ็มไพร์เขาก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง พระเจ้า นี่ไม่ใช่อุทยาน แต่เป็นวนอุทยาน! ไม่ ไม่ใช่สิ ที่นี่คือวนอุทยานพื้นที่ชุ่มน้ำ และใหญ่กว่าอุทยานพื้นที่ชุ่มน้ำหลายๆ แห่ง! 


 


 


ที่นี่คือเมืองหลวง! ที่ดินทุกตารางนิ้วมีมูลค่า! คุณปู่ถังเป็นเจ้าของสวนขนาดใหญ่ในเมืองหลวง และทำเป็นบ้านของท่าน! ท่านร่ำรวยมหาศาล! 


 


 


เมื่อมองดูเครื่องอุปกรณ์สร้างความบันเทิงที่นี่ ต้องใช้เงินมากเท่าไหร่ในการสร้างทุกอย่างนี้ขึ้นมา! โอ…พระเจ้า! เศรษฐีตัวจริง! ช่างร่ำรวยอะไรอย่างนี้! ไม่จำเป็นเลยสำหรับท่านที่จะออกไปโอ้อวดความมั่งมี ใครก็ตามที่ได้มาที่อุทยานเอ็มไพร์ สามารถบอกได้ว่าคุณปู่ถังร่ำรวยแค่ไหน! 


 


 


เฉียวเหลียงเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่มองซ้ายมองขวา อาห้าถามขึ้นว่า “นายน้อยครับ แม้แต่นายน้อยก็ไม่สามารถมีบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ในเมืองหลวงได้ใช่ไหมครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงไม่สนใจคำถามของอาห้าโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องพูดถึงที่ดินว่ามีราคาแพงแค่ไหนในเมืองหลวง และทุกวันนี้ถึงแม้คุณจะมีเงิน คุณก็ไม่สามารถหาที่ดินผืนใหญ่ขนาดนี้มาสร้างบ้านส่วนตัวของคุณได้ และพื้นที่ในใจกลางเมืองหลวงยังจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาล ถึงแม้คุณจะวางแผนสร้างบ้านบนที่ดินส่วนตัวของคุณเอง รัฐบาลก็จะไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะสร้างบ้านส่วนตัวขนาดใหญ่เท่ากับอุทยานเอ็มไพร์แห่งนี้ 


 


 


ที่ดินผืนนี้ถังเจิ้นหวาซื้อไว้เมื่อห้าสิบปีก่อน ส่วนเครื่องตกแต่งและอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ ที่นี่ ท่านก็ออกแบบสร้างขึ้นมาทีละนิด แม้จะดูเหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่บนพื้นที่กว้างใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่ก็สร้างขึ้นยากกว่าพิพิธภัณฑ์จริงๆ มาก อุทยานเอ็มไพร์แต่ละส่วนสร้างขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ใช้เวลานานหลายทศวรรษ ถังเจิ้นหวาลงทุนด้วยความรักมากมาย รวมถึงความรักที่เขามีต่อซีซี ซึ่งไม่สามารถวัดได้ด้วยเงิน 


 


 


เมื่อถูกเพิกเฉย อาห้าก็เม้มริมฝีปากนิ่ง มองดูเฉียวเหลียงก่อนจะพูดว่า “นายน้อยยอมรับมาสิครับ นายน้อยไม่รวยเท่าคุณปู่ถังใช่ไหมครับ” 


 


 


“ใช่ ฉันไม่มีเงิน เพราะฉะนั้นโบนัสของนายเดือนหน้าก็จะไม่มี นายก็รู้ว่าฉันจน” เฉียวเหลียงตอบกลับทันที ขณะก้าวขึ้นรถบัสสำหรับพาชมอุทยาน 


 


 


อาห้ายืนตกตะลึงนิ่งขึงด้วยท่าทางสับสน ขณะมองดูเฉียวเหลียงเดินตามถังจงอยู่บนรถบัสที่กำลังแล่นไปยังตัวคฤหาสน์ เขารู้สึกราวกับมีตัวอัลปากานับหมื่นตัววิ่งควบอยู่ในหัวใจ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขาเพิ่งตายเพราะปากตัวเอง 


 


 


โบนัส! ห้าล้านหยวน! เขาเพิ่งสูญเสียไปเมื่อกี้หรือ 


 


 


อาห้ารีบวิ่งไล่ตามรถบัส “นายน้อยครับ ผมผิดไปแล้ว ลงโทษผมเถอะ! แต่อย่าหักโบนัสผมเลย! นี่เท่ากับฆ่าผมทั้งเป็นชัดๆ!” 


 


 


ถังจงมองดูอาห้า ซึ่งวิ่งอยู่ด้านหลังรถบัสเหมือนสุนัขไล่ตามเจ้าของ แล้วอ้าปากค้าง เฉียวเหลียงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เขาไม่ใช่ลูกน้องของผม ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับ” 


 


 


ถังจงพูดไม่ออก เฉียวเหลียงเป็นคนที่สร้างความประหลาดใจให้ผู้อื่นได้เสมอ 


 


 


แต่เขาไม่ได้พูดอะไร รถบัสจอดลงหน้าคฤหาสน์ อาห้าแทบหมดลมหายใจ เขาเท้ามือทั้งสองลงบนเข่าเพื่อพยุงตัวเองไว้ และเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงด้วยน้ำตาคลอ “นายน้อย ให้ผมวิ่งไล่ตามรถบัสตั้งห้านาทีแล้ว โปรดอย่าหักโบนัสผมเลยนะครับ!” 


 


 


เฉียวเหลียงชำเลืองมองเขาแล้วคำรามออกมา “ฉันจนเกินกว่าจะจ่ายโบนัสให้นาย ถ้านายรับไม่ได้ ก็ลาออกได้นี่!” 


 


 


“นายน้อยครับ โบนัสไม่มีความหมายอะไรแล้ว! ผมไม่ต้องการแล้วครับตอนนี้!” อาห้าร้องออกมา แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างรวดเร็ว “ผมสาบานว่าจะทำงานให้นายน้อยอย่างซื่อสัตย์ตลอดไป โบนัสไม่มีอะไรเทียบได้กับนายน้อยเลยครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงตอบโต้ด้วยเสียงคำราม เขาหันไปมองหน้าอาห้าตรงๆ แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อนายพูดแบบนี้ โบนัสของนายปีหน้าก็จะไม่มีด้วย นายควรเห็นใจเจ้านายจนๆ ของนายด้วยนะ” เมื่อกล่าวจบเขาก็หันหลังกลับ เดินตามพ่อบ้านถังเข้าไปในคฤหาสน์ 


 


 


ขณะมองตามหลังเฉียวเหลียงที่มีท่าทีไม่แยแส อาห้าก็คว้าตัวอาหก ซึ่งเดินมาพร้อมกับทีมแพทย์และร้องออกมาว่า “ฉันจะทำยังไงดี ฉันอยากลาออก” 


 


 


อาหกเหลือบมองหน้าเขาก่อนจะผลักเขาออก แล้วเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลาออกเลย อย่ามารบกวนฉัน” เขายังคงมองคอมพิวเตอร์ในมือต่อไป ขณะนิ้วมือเขาเคาะลงบนคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว 


 


 


อาห้าตะโกนใส่อาหก “อาหก นายไม่รักฉันแล้วหรือ” 


 


 


อาหกไม่สนใจเขาและเดินต่อไป แพทย์กลุ่มนี้ทำงานกับอาห้ามาบ่อยครั้ง และคุ้นเคยกับเขามาก ขณะที่พวกเขาเดินผ่านอาห้า ทุกคนก็ตบไหล่เขาพร้อมด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ 


 


 


อาห้ายืนนิ่งอยู่กับที่โดยไม่พูดอะไรเลย 


 


 


ในห้องทำงาน 


 


 


ถังเจิ้นหวามองดูแถวของทีมแพทย์ ประกายความไม่พอใจพุ่งทะลุผ่านดวงตาท่านออกมา ท่านแสร้งทำเป็นงุนงง มองเฉียวเหลียงขณะถามเขาว่า “นี่เธอหมายความว่ายังไง เฉียวเหลียง ทำไมถึงพาหมอมาด้วยมากมาย” 


 


 


เฉียวเหลียงหันกลับไปมองทีมแพทย์ที่ยืนอยู่เป็นสองแถว แล้วนั่งลงบนโซฟามองหน้าถังเจิ้นหวา กล่าวว่า “คุณปู่ถังครับ อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความขุ่นเคืองให้ท่าน ผมสัญญาไว้ว่าจะมอบนิ้วของซีซีให้ท่าน แต่ผมไม่สามารถมอบให้ท่านได้ นอกเสียจากท่านจะยอมให้ผมตรวจสอบสุขภาพของท่านก่อน ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่ได้นิ้วของเธอ” 


 


 


ถังเจิ้นหวาหรี่ตาลง “พ่อหนุ่ม นี่เธอกำลังขู่ฉันเหรอ” 


 


 


“คุณปู่ถังครับ ผมเป็นห่วงท่าน” เฉียวเหลียงตอบอย่างจริงจัง “ซีซีจากไปแล้ว และผมไม่สามารถปล่อยให้ท่าน ซึ่งเป็นคนที่เธอห่วงใยล้มป่วยได้” 


 


 


ถังเจิ้นหวาท้าทาย “เธอคิดว่าเธอจะได้เดินออกจากอุทยานเอ็มไพร์ โดยไม่ให้นิ้วซีซีแก่ฉันหรือ” 


 


 


เฉียวเหลียงท้าทายเช่นกัน “ท่านคิดว่าท่านจะได้กล่องในมือผม โดยไม่ให้ผมตรวจสุขภาพท่านก่อนหรือครับ”  

 

 


ตอนที่ 189 คุณอยู่ที่บ้านฉันเหรอ

 

ถังเจิ้นหวาตกตะลึงมองเฉียวเหลียงซึ่งถือกล่องเล็กๆ ไว้ในมือ แต่ถังเจิ้นหวาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เพราะกล่องถูกห่อไว้ด้วยผ้าไหมสีดำสนิท ท่านกำไม้เท้าในมือแน่น กระแทกลงกับพื้นสองครั้ง กล่าวว่า “พ่อหนุ่ม ฉันมีชีวิตอยู่มานานกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ไม่มีใครข่มขู่ฉันได้หรอก!” 


 


 


เฉียวเหลียงตอบกลับคำกล่าวนั้นอย่างหนักแน่น “เช่นเดียวกันครับ คุณปู่ถัง ผมมีชีวิตอยู่มานานกว่ายี่สิบปีแล้ว และไม่มีใครข่มขู่ผมได้ ถ้าคุณปู่อยากได้กล่องในมือผมกล่องนี้ ก่อนอื่นโปรดยอมรับการตรวจร่างกายจากทีมแพทย์ที่ผมนำมาที่นี่ก่อน” เมื่อจบคำพูดนี้ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและท้าทายอีก “คุณปู่ถังกลัวใช่ไหมครับ คุณปู่กลัวใช่ไหมครับว่าจะไม่ได้กล่องในมือผม หลังจากได้รับการตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว” 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นหวาไม่ตอบ เฉียวเหลียงก็ท้าทายต่อไปอีก “ผมคิดไม่ถึงว่า ถังเจิ้นหวา ผู้เป็นนักธุรกิจแนวหน้ามานานแสนนานจะกลัวหมอ ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูใครต่อใคร ภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของคุณถังจะมลายหายไปทันที” 


 


 


ดวงตาฝ้าฟางของถังเจิ้นหวาจ้องเขม็งไปที่เฉียวเหลียง รัศมีท่านนั้นน่าเกรงขาม แต่เฉียวเหลียงไม่กลัวเลย หรือถ้าจะพูดตามตรงก็คือ มีเพียงถังจงเท่านั้นในที่นี้ ที่รู้สึกถึงรัศมีอันทรงพลังของถังเจิ้นหวา ไม่มีใครรู้สึก โดยเฉพาะเฉียวเหลียงที่ดูค่อนข้างผ่อนคลาย เขามองตาถังเจิ้นหวาด้วยรอยยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นและถามอย่างใจเย็น “ทำไมล่ะครับ ผมพูดอะไรผิดไปหรือ” 


 


 


ทันใดนั้นถังเจิ้นหวาก็คลายมือที่จับไม้เท้าออก และพยักหน้าให้เฉียวเหลียง หรี่ดวงตาท่านลง “เก่ง เก่งมาก พ่อหนุ่ม เธอนี่ไม่ธรรมดา เธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ!” 


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ ถังจงก็คิดว่าเฉียวเหลียงสร้างความขุ่นเคืองให้ถังเจิ้นหวา เขาขยับตัวไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปห้ามเจ้านายได้ในทันที ทว่าทันใดนั้นถังเจิ้นหวาก็กล่าวว่า “ให้คนพวกนั้นเข้ามา” จากนั้นท่านก็หันมามองเฉียวเหลียง กล่าวต่อไปว่า “เธอจะให้กล่องในมือเธอแก่ฉัน หลังจากเธอได้รับรายงานการตรวจสุขภาพของฉันใช่ไหม” 


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้า “แน่นอนครับ” 


 


 


ถังเจิ้นหวาพยักหน้า เฉียวเหลียงบอกให้อาห้าโทรแจ้งทีมแพทย์ที่รออยู่ในห้องนั่งเล่น ถังเจิ้นหวามองหน้าเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “เฉียวเหลียง เธอไม่ได้ยืนกรานจะตรวจสุขภาพฉัน เพื่อช่วยให้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปก้าวล้ำเกินหน้าเอ็มไพร์กรุปหรอก ใช่ไหม” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้วขึ้น และโค้งคำนับให้ถังเจิ้นหวา “คุณปู่ถัง กรุณายกโทษให้ผมที่ถือวิสาสะขอให้ท่านเข้ารับการตรวจร่างกาย แต่ได้โปรดเชื่อผม สิ่งที่ท่านกังวลจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผมทำอย่างนี้ก็เพียงเพื่อสุขภาพของท่าน ผมให้สัญญาว่าตราบใดที่ท่านต้องการ เอ็มไพร์กรุปจะเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของประเทศจีนตลอดไป จะไม่มีบริษัทอื่นใดสามารถก้าวเกินหน้าไปได้” 


 


 


ถังเจิ้นหวายกมือขึ้นห้ามเฉียวเหลียงไม่ให้พูดต่อไป “เวลาจะทำให้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทุกสาขาอาชีพ คนหนุ่มจะเข้ามาแทนที่คนชรา” ท่านกล่าวอย่างจริงจัง “หากเธอมีความสามารถที่จะทำให้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเหนือกว่าเอ็มไพร์กรุป ฉันก็จะยินดีกับเธอด้วยเท่านั้น เธอไม่ต้องทำสิ่งนี้เพื่อซีซี นอกจากนี้ซีซีก็ยัง…” 


 


 


เมื่อถังเจิ้นหวาตกลงยอมรับการตรวจร่างกาย ท่าทีขึงขังของเฉียวเหลียงก็อ่อนลง ขณะได้ยินคำพูดของถังเจิ้นหวา เฉียวเหลียงก็เม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “คุณปู่ถัง ได้โปรดอย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ซีซีคงไม่อยากให้ท่านคิดอย่างนั้น สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือการได้มาอยู่กับท่าน และดูแลท่านในทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา ได้โปรดดูแลตัวเองให้ดี เพื่อเห็นแก่ซีซีนะครับ” 


 


 


ถังเจิ้นหวาชะงักและบ่นพึมพำ “เธอทั้งสองเป็นเด็กดีทั้งคู่ น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถร่วมชีวิตกันได้… ถ้าซีซีเป็นเหมือนคุณย่าของเธอ… เอ้อ… เอาล่ะ ช่างเถอะ ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจนะ” ท่านเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงพร้อมกับถอนหายใจ และกล่าวต่อไปด้วยความเศร้า “เฉียวเหลียง ได้โปรดมอบกล่องในมือเธอให้ฉัน หลังจากที่ฉันตรวจร่างกายเสร็จแล้ว ฉันจะได้…” 


 


 


เฉียวเหลียงเห็นหยาดน้ำตาที่หางตาถังเจิ้นหวา ถังจงยืนอยู่ข้างๆ ก็เช็ดน้ำตาตนเองด้วยเช่นกัน เฉียวเหลียงก้าวไปข้างหน้าและกล่าวเพียงว่า “ไม่ต้องห่วงครับ เมื่อไรที่ท่านตรวจร่างกายเสร็จ ผมจะส่งกล่องนี้ให้ท่านด้วยมือผมเอง” 


 


 


ทีมแพทย์ได้เข้าไปรอในห้องทำงานแล้ว ห้องทำงานของถังเจิ้นหวานั้นกว้างขวางมาก ครอบคลุมพื้นที่กว่าสองร้อยตารางเมตร จึงสามารถทำการตรวจร่างกายได้ทุกขั้นตอนในห้องนั้น ในขณะการตรวจร่างกายดำเนินไป เฉียวเหลียง ถังจง และคนอื่นๆ ก็ออกไปจากห้องทำงาน เฉียวเหลียงมองดูคฤหาสน์อันใหญ่โตโอ่อ่าแล้วถามถังจงว่า “ผมขอไปดูห้องซีซีได้ไหมครับ” 


 


 


ถังจงหันมามองเฉียวเหลียงด้วยสายตาลังเล แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้า และชี้ขึ้นไปที่ห้องแรกของชั้นบน “นั่นครับ ห้องของคุณหนู” เขากล่าว “ผมให้แม่บ้านทำความสะอาดทุกวัน เพราะผมคิดว่า ถ้าวันหนึ่งคุณหนูกลับมา… เธอก็จะกลับมาอยู่ห้องนั้น” จมูกเขาสูดฟุดฟิดเมื่อกล่าวเช่นนี้ จากนั้นด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะขำตัวเอง เขากล่าวไปต่อว่า “ผมขอโทษด้วย ผมเก็บความรู้สึกไม่ค่อยได้เมื่ออายุมากขึ้น คุณเฉียว คุณขึ้นไปชั้นบนและเข้าไปดูได้เลย ผมจะไปห้องครัว ดูว่าซุปของนายท่านพร้อมหรือยัง” 


 


 


เฉียวเหลียงเดินขึ้นไปบนชั้นสองพร้อมกับถือกล่องแก้วเจียรนัยไปด้วย เขาเปิดประตูห้องถังซี และเดินเข้าไป ห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก เกือบทุกอย่างภายในห้องเป็นสีโทนเย็น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากห้องเจ้าหญิงที่ครอบครัวเซียวเตรียมไว้ให้เธอ แต่ห้องสีโทนเย็นนี้ดูไม่ไร้ชีวิตชีวา ในท่ามกลางอากาศร้อนห้องนี้ดูเย็นสบาย ห้องของเธอใหญ่มาก ถังเจิ้นหวาแทบจะรื้อผนังห้องทั้งหมดบนชั้นสอง ทำเป็นห้องนี้ให้เธอ มีทั้งห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องเก็บเสื้อผ้า ห้องรองเท้า และห้องน้ำ รวมอยู่ในพื้นที่ของห้องนี้ สิ่งที่เธอมีคือสิ่งที่แม้แต่เจ้าหญิงที่แท้จริงก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ 


 


 


มีภาพถ่ายของเธออยู่ในห้องด้วย เป็นภาพที่เขาเป็นคนถ่ายเมื่อครั้งที่ทั้งสองยังอยู่ชั้นมัธยม เธอน่าจะวางภาพไว้ตรงนี้เพราะเธอชอบภาพนี้ เฉียวเหลียงมองไปรอบๆ ห้องและยิ้ม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาถังซี ไม่นานนักทางปลายสายก็รับโทรศัพท์ เฉียวเหลียงกล่าวว่า “ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะใจแคบเหลือเกิน ไม่มีรูปผมเหลืออยู่เลยหลังจากที่เราเลิกกัน ผมไม่เห็นของขวัญที่ผมให้คุณสักชิ้น ไม่มีแม้แต่ภาพหมู่ที่มีคุณกับผมอยู่ในภาพ คุณนี่ใจหินจริงๆ” 


 


 


เฉียวเหลียงเอนกายพิงหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานในห้องถังซี ขณะถือโทรศัพท์อยู่ในมือ เมื่อมองผ่านระเบียงออกไป เขาสามารถเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของอุทยานเอ็มไพร์ 


 


 


ทางปลายสายอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนถังซีจะเงียบไปพักใหญ่ แล้วจึงตอบกลับมาด้วยอารมณ์น้อยใจ “ก็คุณไม่ต้องการฉันอีกต่อไป ทำไมฉันจะต้องเก็บข้าวของต่างๆ ของคุณไว้ด้วยล่ะ เพื่อจะได้คิดถึงคุณอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง…” 


 


 


คุณไม่ต้องการฉันอีกต่อไป ฉันจะเก็บรูปคุณไว้และคิดถึงคุณทุกวันได้อย่างไร เฉียวเหลียงอยากให้เธอลืมเขาจริงๆ ตอนที่เขาขอเลิกกับเธอ แต่หลังจากนั้นเขาก็เสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อได้รู้ว่าเขาหายเป็นปกติแล้ว 


 


 


เมื่อย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เฉียวเหลียงก็ส่ายศีรษะ ในเวลานั้นเขาอยู่ในอารมณ์ของความหวาดกลัวอย่างที่สุด เขาอาเจียนเป็นเลือดตอนเที่ยงคืน และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยบุคคลที่เขาไว้ใจมากที่สุด เขาจะทำอะไรได้อีก นอกจากปล่อยเธอไป 


 


 


หลังจากถังซีเอ่ยคำเหล่านั้นกับเฉียวเหลียง ทันใดนั้นดวงตาเธอก็เบิกโพลงขึ้น ถามเขาว่า “คุณอยู่ที่บ้านฉันเหรอ”  

 

 


ตอนที่ 190 ความลับเล็กๆ ของถังซี

 

เมื่อได้ยินเสียงถังซี หัวใจหนักอึ้งของเฉียวเหลียงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาพยักหน้า กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ใช่ ผมอยู่ที่บ้านคุณ คุณปู่ของคุณกำลังเข้ารับการตรวจร่างกาย และตอนนี้ผมอยู่ในห้องคุณแล้ว” ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากเขา ซึ่งเป็นความอ่อนโยนของเฉียวเหลียงที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของถังซี 


 


 


หยางจิ้งเสียนปรับเตียงถังซีให้สูงขึ้นในวันนี้ เธอจึงเอนกายพิงหัวเตียงทานแอปเปิล เมื่อได้ยินคำพูดของเขาถังซีก็เบิกตาโต “คุณบอกว่าคุณอยู่ที่ไหนนะ” 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงเธอประหลาดใจ เฉียวเหลียงก็ยิ้มและอารมณ์ดีขึ้น “ผมอยู่ในห้องคุณ ซึ่งดีกว่าห้องเจ้าหญิงของคุณที่ตระกูลเซียวมากมาย ผมยังคงชอบด้านที่เป็นราชินีของคุณมากกว่า” 


 


 


“ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้!” ถังซีกำแอปเปิลในมือแน่น และแทบจะร้องไห้ออกมา บ้าชะมัด ถ้าเขารู้ว่าเธอคิดถึงเขา จะเป็นเรื่องน่าอายมาก! ยิ่งคิด ถังซีก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเธอจะปล่อยให้เฉียวเหลียงอยู่ในห้องเธออีกต่อไปไม่ได้ “นี่คุณ ได้ยินฉันไหม ออกจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้! คุณจะเข้าห้องฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ยังไง” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว เขากำลังจะเดินออกไปอยู่แล้วถ้าถังซีไม่พูดอย่างนี้ แต่เมื่อได้ยินว่าเธอรู้สึกสิ้นหวังที่ไม่สามารถไล่เขาออกไปได้ เขาก็รู้สึกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ เขาจึงเริ่มเดินสำรวจไปรอบๆ ห้องถังซี ขณะพูดโทรศัพท์กับเธอ “ใครบอกว่าผมเข้ามาในห้องคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมเข้ามาหลังจากได้รับอนุญาตจากพ่อบ้านถังแล้ว” 


 


 


ถังซีพูดไม่ออก พ่อบ้านถัง! คุณปู่! ให้คนอื่นเข้าไปในห้องหนูง่ายๆ อย่างนี้ได้อย่างไร 


 


 


“นั่นคือห้องของฉัน ไม่ใช่ห้องของเขา! คำอนุญาตของเขาไม่กี่ยวสิ ออกไปจากห้องฉัน!” ถังซีพูดละล่ำละลัก โอ…ทำไมเธอไม่ทำลายหลักฐานทั้งหมดก่อนจะออกเดินทาง ได้โปรดอย่าให้เฉียวเหลียงเห็น… 


 


 


เฉียวเหลียงเดินดูจนทั่วห้องเธออีกครั้ง แต่ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ เขาขมวดคิ้วขณะมองไปรอบๆ และพูดกับถังซี “ที่รักของผม ผมขอเตือนอะไรคุณอย่างหนึ่งได้ไหม ตอนนี้ชื่อของคุณคือเซียวโหรว และห้องนี้ไม่ใช่ของคุณอีกต่อไป สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือขออนุญาตจากเจ้าของห้อง” 


 


 


ด้วยความโกรธคำพูดของเฉียวเหลียง ถังซีวางสายโทรศัพท์อย่างแรง 


 


 


จะโทษใครล่ะที่เธอเป็นแบบนี้ เขาไง! เขาขอเลิกกับเธอ! ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น เธอก็คงไม่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศจนเป็นกิจวัตรแบบนี้! 


 


 


ตอนนี้เขายังจะมาพูดอีกว่าเธอไม่ใช่ถังซี ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้ใครเข้าหรือไม่ให้เข้าห้องของเธอได้อีก! โอ! เธอโกรธมาก! 


 


 


ถังซีรู้สึกแย่และแอบภาวนาขออย่าให้เฉียวเหลียงพบร่องรอยใดๆ ในห้องเธอ 


 


 


หลังจากเธอวางสาย เฉียวเหลียงก็ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ แล้วเก็บโทรศัพท์ และค้นหาต่อไป เขามองไปรอบๆ ห้องถังซี ต้องมีความลับอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขาในห้องซีซีอย่างแน่นอน 


 


 


เขาอาจถูกประณามที่สอดรู้สอดเห็นในความเป็นส่วนตัวของคนอื่น แต่เขาอยากรู้ว่าซีซีไม่คิดถึงเขาเลยหรือในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่เธอกับเขาไม่ได้คบกันแล้ว เธอลบเขาออกจากหัวใจได้จริงๆ หรือ 


 


 


ทันใดนั้น จู่ๆ เฉียวเหลียงก็เห็นชุดสีแดงชุดหนึ่ง แขวนอยู่บนที่แขวนในห้องเก็บเสื้อผ้าของถังซี ถังซีมีความสามารถในการออกแบบมาก เธอเคยชอบวาดแบบเครื่องประดับและเสื้อผ้าบนกระดาษเวลาเธอเบื่อ ดังนั้นเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวของเธอส่วนใหญ่ จึงได้รับการออกแบบด้วยตัวเธอเอง ยกเว้นบางชิ้นที่แบรนด์หรูที่มีชื่อเสียงมอบให้เธอ 


 


 


อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงไม่เคยเห็นชุดสีแดงนี้มาก่อน ถังซีต้องออกแบบหลังจากที่เขาเลิกกับเธอแล้วแน่ๆ ชุดสีแดงเพลิงมีหางปลา คอคว้านลึกเป็นตัววี ชายกระโปรงยาวเป็นพิเศษ รูปทรงเหมือนดอกไม้ เฉียวเหลียงลองนึกภาพว่าถังซีจะงดงามแค่ไหนเมื่อสวมชุดนี้ 


 


 


เธอไม่ได้เป็นนักออกแบบอย่างที่อยากเป็น แต่ฉินซินหยิ่งผู้อยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลากลับได้เป็น ซึ่งทำให้เฉียวเหลียงประหลาดใจมาก แต่ที่ประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอไม่เคยเลิกออกแบบ ไม่น่าแปลกใจที่เธอเป็นเพื่อนกับนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงในระดับสากล และเป็นที่ชื่นชมของแบรนด์สินค้าชั้นนำระดับโลก ทุกครั้งที่แบรนด์เหล่านั้นเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คนแรกที่ได้รับสินค้ารุ่นนั้นคือถังซี 


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม ขณะเดินเข้าไปดูชุดสีแดงและลองจับดู ในนาทีนั้นนั่นเอง เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ในตู้ก็เริ่มขยับไปด้านหนึ่ง และมีประตูปรากฏขึ้นในตู้เสื้อผ้า ประกายความประหลาดใจเปล่งแสงแวววาวในดวงตาเฉียวเหลียง เขายิ้มด้วยความดีใจอย่างที่สุด ขณะเดินเข้าไป และดึงประตูเปิดออก 


 


 


มีลิฟต์อยู่ด้านในประตู เฉียวเหลียงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีลิฟต์อยู่ในห้องเธอ เขาเข้าไปในลิฟต์โดยไม่ลังเล ในขณะที่เขาเข้าไป ประตูตู้เสื้อผ้าก็ปิดลงโดยอัตโนมัติ และเสื้อผ้าที่แยกออกจากกันก็ค่อยๆ กลับสู่ตำแหน่งเดิม 


 


 


ขณะที่ลิฟต์หยุดลง เฉียวเหลียงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเริ่มกังวล เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตื่นเต้น นี่อาจเป็นโลกเล็กๆ ของถังซี ที่อาจไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย… 


 


 


อย่างไรก็ตาม ในวินาทีที่ลิฟต์หยุดและประตูลิฟต์เปิดออก ความกังวลและความไม่สบายใจในหัวใจเฉียวเหลียงก็หายไปหมดสิ้น ทุกอย่างที่นี่ล้วนเกี่ยวกับเขา หนังสือพิมพ์ที่มีรูปเขาวางอยู่บนเตียง รูปถ่ายเขากับเธอถูกทำเป็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่แขวนไว้เหนือเตียง ของขวัญที่เขามอบให้เธอล้วนอยู่ที่นี่ทั้งหมด คำพูดที่เขาพูดกับเธอกลายเป็นภาพการ์ตูนติดอยู่บนผนัง ในนาทีนี้เฉียวเหลียงรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำเพื่อเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นคุ้มค่าเหลือเกิน ปรากฏว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงลำพังในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา มีใครอีกคนติดอยู่ในวังวนแห่งความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งด้วยเช่นกัน 


 


 


เฉียวเหลียงเดินเข้าไป ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยฝุ่น อาจเป็นเพราะไม่มีใครทำความสะอาดห้องนี้เป็นเวลานาน เขาเอื้อมมือออกไปเช็ดเบาๆ ที่กรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงจนสะอาด ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายในช่วงแรกที่เธอกับเขาคบกัน เมื่อครั้งที่พวกเขายังเด็กมาก แต่มีความสุขมาก เขายิ้มอย่างมีความสุข เธอพิงไหล่เขาหัวเราะอย่างมีความสุขยิ่งกว่าเขาเสียอีก 


 


 


ซีซี นี่คือสิ่งที่คุณพยายามซ่อนจากผมใช่ไหม 


 


 


เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดหมายเลขของถังซีอีกครั้ง 


 


 


ถังซีมองดูโทรศัพท์ เม้มปาก แต่ก็ยังรับโทรศัพท์ “คุณบอกไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่ใช่…” 


 


 


“ผมรักคุณ” น้ำเสียงเฉียวเหลียงแหบห้าว เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยนกับโทรศัพท์อีกครั้ง “ผมรักคุณ” 


 


 


เพราะผมรักคุณ ผมถึงต้องเลิกกับคุณ ผมเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องเลิกกับคุณ แต่เพื่อตัวคุณเอง ผมทำได้เพียงแค่นั้น 


 


 


ถังซีนิ่งขึง ดวงตาเธอเริ่มแดงเรื่อ น้ำเสียงเธอแหบพร่า เธอถามอย่างแผ่วเบา “คุณเห็นแล้วใช่ไหม”  

 

 


ตอนที่ 191 ผลงานการออกแบบของเธอ

 

เฉียวเหลียงยืนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง จนเขาจามออกมาเมื่อสูดหายใจ เขากระแอมเบาๆ ในลำคอแล้วยิ้มเล็กน้อย อย่างไรก็ตามดวงตาเขาเศร้า “ผมเห็นทุกอย่าง ไม่อยากเชื่อเลยว่าซีซีของผมจะเป็นผู้หญิงที่มีสองภาคแบบนี้ คุณไม่ยอมโทรหาผม แม้คุณจะคิดถึงผมมาก” 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดเฉียวเหลียง อีกด้านหนึ่งของหัวใจถังซีก็เจ็บแปลบขึ้นมาเช่นกัน เธอกล่าวเสียงแผ่ว “ฉันก็มีศักดิ์ศรีของฉัน จริงไหม” หญิงสาวผู้มีศักดิ์ศรีของตนเองลืมไปสนิทว่า เมื่อกี้เธอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ใส่ใจเฉียวเหลียงสักหนึ่งสัปดาห์ 


 


 


เฉียวเหลียงยิ้ม “ฮึ?” 


 


 


ถังซีรู้ว่าเฉียวเหลียงหมายความว่าอย่างไร เธอเม้มริมฝีปากแล้วเบาเสียงทีวีลง กระซิบว่า “น่าเสียดายที่ศักดิ์ศรีโง่ๆ พวกนั้นหายไปหมด หลังจากฉันเจอคุณอีกครั้ง และได้ยินเรื่องราวของคุณ” 


 


 


ประกายแวววาวของความรู้สึกอันซับซ้อนไหวระริกไปทั่วดวงตาเฉียวเหลียง “ขอบคุณนะครับ ที่ยอมให้ศักดิ์ศรีทั้งหมดของคุณหายไป” 


 


 


เมื่อได้ยินน้ำเสียงเฉียวเหลียง ถังซีก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ใบหูเธอแดงก่ำ “นี่ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่คุณพูดว่า ‘ผมรักคุณ’ กับฉัน” เธอกล่าวเสียงแผ่วต่ำ 


 


 


“ไม่จริง” เฉียวเหลียงยิ้ม “ผมพูดมาแล้วหลายครั้งมาก” 


 


 


“ไม่จริง นี่เป็นครั้งแรกที่คุณพูดคำนี้กับฉัน ฉันสารภาพรักกับคุณ แต่คุณไม่เคยสารภาพรักกับฉัน” ถังซีหลุบตาลง ใบหน้าแดงก่ำ “บอกฉันอีกครั้งสิ” 


 


 


เฉียวเหลียงหัวเราะเบาๆ “ไม่ คุณยังไม่ยอมพูดแบบนี้กับผมเลย ครั้งต่อไปที่เราเจอกัน คุณบอกผมนะ แล้วผมจะบอกคุณ” 


 


 


ถังซีเม้มริมฝีปากแล้วพึมพำว่า “ไม่ ฉันเป็นผู้หญิง ฉันอาย พูดไม่ได้หรอก!” 


 


 


“ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งคุณเคยบอกว่าความเขินอายเป็นเรื่องไร้สาระ” เฉียวเหลียงกล่าว เขาเงยหน้าขึ้นดูภาพการ์ตูนบนฝาผนัง ซึ่งเป็นภาพถังซีที่บอกว่า ‘ฉันรักคุณ’ กับเขา เขาหัวเราะ แต่ในไม่ช้ารอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็เลือนหายไป เขากระซิบ “ซีซี ผมรักคุณ เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งผมไปอีก อยู่เคียงข้างผมไปตลอดชีวิตของผมนะ” 


 


 


เขาเคยคิดว่าเขาเป็นคนให้ความรักแก่ซีซีมากกว่า แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าซีซีไม่ได้ให้ความรักแก่เขาน้อยไปกว่าที่เขาให้เธอเลย บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เขาจำอะไรไม่ได้มากมายนักในเรื่องราวระหว่างที่ทั้งสองคบกัน แต่ซีซีจำรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะอธิบายช่วงเวลานั้นไว้ในรูปแบบการ์ตูนก็ตาม 


 


 


ในอดีตทุกครั้งที่ถังซีขอให้เฉียวเหลียงพูดคำสามคำนี้กับเธอ เขาปฏิเสธเสมอ อย่างไรก็ตามเมื่อเธอหน้ามุ่ยและหมดความสุข เฉียวเหลียงจะให้ขนมมาร์ชแมลโลว์แก่เธอ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้เธอก็อดยิ้มไม่ได้ขณะกระซิบว่า “ฉันก็รักคุณเหมือนกัน ฉันขอโทษที่ไม่เคยบอกคุณเลยจนกระทั่งตอนนี้” 


 


 


เธอจำคำพูดที่เคยพูดกับเฉียวเหลียงได้ดี ‘ในเมื่อคุณชอบฉันมาก และฉันก็บังเอิญรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่น่าพึงพอใจในสายตาฉัน ทำไมเราไม่คบกันล่ะ’ 


 


 


ในครั้งนั้นเธอคิดว่าเฉียวเหลียงคงหาว่าเธอบ้า และจับเธอโยนออกไป แต่เฉียวเหลียงกลับมองหน้าเธออย่างจริงจังอยู่นานสองนาที ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า ‘ตกลง ถ้าอย่างนั้นเรามาคบกัน’ 


 


 


ในนาทีนั้นเธอรู้สึกว่าเธอโชคดีจริงๆ ที่มีเฉียวเหลียง และในนาทีนี้เธอรู้แล้วว่าการได้เป็นคนรักของเฉียวเหลียงคือโชคดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ 


 


 


ทั้งคู่กำลังดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนหวาน ทันใดนั้นถังซีก็เห็นข่าวทางโทรทัศน์ เป็นข่าวเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเชิญดีไซเนอร์ฉินซินหยิ่ง หนึ่งในนักออกแบบที่มีความสามารถมากที่สุดในประเทศจีนมาร่วมงานอย่างเป็นทางการ เพื่อออกแบบชุดเสื้อผ้าในฤดูกาลใหม่ ถังซีหรี่ตาลงถามเฉียวเหลียง “คุณยังอยู่ในห้องฉันหรือเปล่า” 


 


 


เฉียวเหลียงตอบด้วยเสียงฮื่อเบาๆ ถังซีเม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวต่อไป “ในลิ้นชักที่สองของตู้ในห้องฉัน มีภาพสเก็ตช์งานออกแบบที่ฉันเขียนไว้ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แล้วก็มีแฟล็ชไดร์ฟสองอันอยู่ที่ชั้นบนสุดของตู้ที่ห้องแต่งตัวในห้องฉันชั้นบน…” เมื่อได้ยินอย่างนี้เฉียวเหลียงก็ขมวดคิ้วถามว่า “คุณอยากให้ผมเอาไปให้คุณหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ ไปที่ตู้ข้างเตียง จะมีปุ่มเล็กมากๆ ปุ่มหนึ่งในลิ้นชักตู้ กดปุ่มนั้น” ถังซีขมวดคิ้ว ไม่มีทางเป็นได้ที่เฉียวเหลียงจะนำภาพสเก็ตช์งานออกแบบจำนวนมากออกมาจากอุทยานเอ็มไพร์ได้อย่างเปิดเผย คุณปู่จะไม่ยอมให้เขานำข้าวของของเธอออกมาแน่ ดังนั้นเป็นการดีที่สุดที่จะเก็บของเหล่านี้ไว้ในที่ที่ปลอดภัยในอุทยานเอ็มไพร์ 


 


 


เฉียวเหลียงเดินไปนั่งลงตรงหน้าตู้ข้างเตียง หยิบปากกาจากแขนเสื้อเขา ใช้ไขเปิดลิ้นชัก จากนั้นก็เอื้อมมือเข้าไปควานหา เขาพบปุ่มเล็กๆ ปุ่มหนึ่ง และกดลงเบาๆ ทันใดนั้นเตียงก็เคลื่อนที่ พื้นด้านล่างเปิดออกช้าๆ เฉียวเหลียงมองไปยังพื้นซึ่งเปิดออกแล้วยิ้ม ขณะถือโทรศัพท์อยู่ในมือ “คุณมีความลับเล็กๆ น้อยๆ เยอะแยะมากมายที่นี่” 


 


 


ถังซีทำปากยื่นขณะตอบว่า “ฉันออกแบบให้มีกลไกพวกนี้ เพราะรู้สึกว่าสนุกดี…” จากนั้นเธอก็ถามต่อ “คุณเปิดออกแล้วหรือยัง” 


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงตอบจากลำคอ พร้อมกับเดินเข้าไป เมื่อเห็นตู้เซฟขนาดใหญ่ในนั้น หางตาเขาก็หรี่ลง นี่เป็นครั้งแรกที่สีหน้าแบบนี้ปรากฏบนใบหน้าเขา เขาเลิกคิ้วขณะอุทาน “ตู้เซฟหรือ” 


 


 


ถังซีส่งเสียงตอบรับในลำคอ “รหัสผ่านคือ 03191121” 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว “03191121 หรือ” 


 


 


ถังซีอธิบายว่า “ใช่ค่ะ เป็นวันตายของคุณพ่อคุณแม่และคุณย่าฉัน คนส่วนใหญ่ใช้วันเกิดตัวเอง หรือวันเกิดคนที่รักเป็นรหัสผ่าน แต่รหัสผ่านของฉันคือวันตายของคุณพ่อคุณแม่และคุณย่าฉัน ฉันคิดว่าไม่มีใครจำวันพวกนี้ได้นอกจากฉันกับคุณปู่” 


 


 


อันที่จริงคุณปู่เป็นคนบอกเธอวันเหล่านี้แก่เธอ บางทีอาจเป็นเพราะเธอไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่มาก่อนเลยตั้งแต่ยังเด็ก เธอจึงจดจำได้อย่างแม่นยำ คุณปู่พาเธอไปเยี่ยมหลุมฝังศพคุณพ่อคุณแม่ในวันครบรอบการเสียชีวิตของพวกท่านทุกปี สำหรับคุณย่า… ด้วยเหตุใดไม่รู้ในวันครบรอบการเสียชีวิตของคุณย่า คุณปู่จะพาเธอไปเยี่ยมหลุมฝังศพสองแห่ง และท่านจะนั่งและพูดคุยกับหลุมศพทั้งสอง หลุมศพหนึ่งไม่มีรูปที่หน้าหลุม ขณะที่อีกหลุมมีรูปคุณย่าอยู่ คุณปู่มักจะเรียกคุณย่าว่าซูหวา แต่ชื่อจริงๆ ของคุณย่าคือถานซิง 


 


 


ทุกครั้งที่คุณปู่พาเธอไปเยี่ยมหลุมฝังศพคุณย่า ท่านจะมีท่าทางแปลกๆ แต่เธอไม่อยากทำให้ท่านเศร้า จึงไม่เคยถามท่านว่าทำไม 


 


 


เฉียวเหลียงกระซิบ “ผมจะจดจำวันเหล่านี้ นับจากนี้ไป” 


 


 


ถังซียิ้ม “ตกลงค่ะ แล้วคราวนี้ก็เอาภาพสเก็ตช์กับแฟล็ชไดร์ฟมาใส่ไว้ในเซฟ ฉันคิดว่าเก็บไว้ในนี้จะปลอดภัยกว่า” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว นิ้วเขาลูบโทรศัพท์ไปมาเบาๆ “ทำไมคุณถึงคิดว่าภาพสเก็ตช์กับแฟล็ชไดร์ฟจะไม่ปลอดภัย ในเมื่อคุณเก็บไว้ในบ้านคุณเอง หรือจะมีใครมาเอาภาพสเก็ตช์ของคุณไปใช้” 


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว “คุณนี่ความรู้สึกไวเกินไปแล้ว ฉันแค่ขอให้คุณทำแบบนี้เผื่อว่าจะมีใครขึ้นไปข้างบน แล้วนำภาพสเก็ตช์กับแฟล็ชไดร์ฟของฉันไปทิ้ง ฉันออกแบบในช่วงเวลาต่างกัน เลยเก็บไว้ในแฟล็ชไดร์ฟคนละอัน แล้วตอนที่คุณออกมาหยิบชุดสีแดงออกมาด้วยนะคะ มีทางออกลับที่ห้องใต้ดิน คุณสามารถไปถึงประตูทางเข้าบ้านโดยทางออกนั้น มีจักรยานอยู่ในนั้นด้วย คุณขี่จักรยานออกไปได้ค่ะ” 


 


 


ตราบใดที่เฉียวเหลียงแอบนำชุดนั้นออกไปโดยทางลับ คุณปู่ก็ไม่มีทางรู้  

 

 


ตอนที่ 192 ไม่ยุติธรรม

 

เฉียวเหลียงวางสายโทรศัพท์ แล้วจัดการเก็บภาพสเก็ตช์กับแฟล็ชไดร์ฟทั้งหมดของถังซีเข้าไปในตู้นิรภัยใต้เตียงตามที่เธอขอ ตู้เซฟนั้นใหญ่มาก แต่เนื่องจากภาพสเก็ตช์มีจำนวนมาก พื้นที่ทั้งหมดจึงแทบไม่มีเหลือ เฉียวเหลียงเดินขึ้นไปชั้นบน หยิบชุดสีแดงลงมาจากที่แขวน ใส่ลงในกล่องแล้วถือออกไป 


 


 


ทางเดินใต้ดินนั้นไม่เตี้ย คล้ายๆ อุโมงค์ มีจักรยานอยู่ในนั้นคันหนึ่งอย่างที่ถังซีบอก คงเป็นพาหนะที่เธอใช้เป็นปกติเวลาใช้เส้นทางนี้ออกจากบ้าน อุโมงค์ไม่มืด มีสวิตช์ไฟที่ปลายทางทั้งสองด้านของอุโมงค์ เมื่อกดเปิดสวิตช์ไฟในอุโมงค์จะสว่างขึ้น เฉียวเหลียงขี่จักรยานช้าๆ ไปตามทางสู่ประตู และเมื่อเขาเห็นภาพวาดบนผนังอุโมงค์หัวใจเขาก็เริ่มปวดร้าว 


 


 


ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าเขาคือโลกทั้งใบของเธอ เพราะคนทั้งโลกทอดทิ้งเธอ เธอจึงปลีกตัวตัวเองออกจากคนอื่น ไม่น่าแปลกใจ… 


 


 


เฉียวเหลียงชะลอรถ กล่าวโทษตัวเองขณะมองดูภาพวาดบนผนังระหว่างทาง 


 


 


เวลานี้เขามีความคิดเพียงหนึ่งเดียวในใจ เขาอยากโบยบินไปหาถังซีและไม่แยกจากเธออีกเลย ไม่แม้แต่วันเดียว ไม่แม้แต่ครั้งเดียว 


 


 


เฉียวเหลียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เร่งขี่จักรยานให้เร็วขึ้น ไม่นานเขาก็มาถึงปลายอุโมงค์ มีประตูหิน ซึ่งข้างๆ มีสวิตช์ เฉียวเหลียงเอื้อมมือไปกดสวิตช์ อีกด้านหนึ่งของประตูคือถนนด้านนอกอุทยานเอ็มไพร์ เฉียวเหลียงโทรหาบอร์ดีการ์ด หลังจากนั้นสองนาทีบอร์ดีการ์ดคนหนึ่งก็ขับรถมา เฉียวเหลียงส่งกล่องใส่ชุดให้เขาพร้อมกับบอกว่า “เก็บรักษาให้ดี” 


 


 


เฉียวเหลียงหันกลับมาและปิดประตูหิน บอร์ดีการ์ดรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเฉียวเหลียงออกมาจากประตูหิน แบบนี้… แบบนี้มัน… 


 


 


เมื่อเวลาที่เฉียวเหลียงเดินออกจากลิฟต์ และเสื้อผ้าในตู้ขยับกลับเข้าที่เดิม ถังจงก็มาเคาะประตูแล้วเดินเข้ามาพอดี เฉียวเหลียงเดินออกจากห้องแต่งตัว มองชายชราด้วยท่าทางสงบนิ่ง ถามว่า “คุณปู่ถัง ตรวจร่างกายเสร็จแล้วหรือครับ” 


 


 


ถังจงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขณะเดินนำเฉียวเหลียงออกมาเขากล่าวว่า “คนที่คุณพามาล้วนมีความเชี่ยวชาญสูง นายท่านได้ทำการตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณมากนะครับ คุณเฉียว” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้วให้ถังจง ซึ่งยิ้มอย่างอ่อนโยนและเริ่มอธิบาย “พูดตรงๆ นะครับ เป็นเรื่องปวดหัวมากที่จะขอให้นายท่านเข้ารับการตรวจร่างกาย สมัยที่คุณหนูยังอยู่ เธอคือคนที่สามารถเกลี่ยกล่อมนายท่านให้ไปตรวจได้ แต่ตอนนี้… นายท่านเริ่มดื้อขึ้นเรื่อยๆ พวกเราไม่มีใครเปลี่ยนใจท่านได้ ถ้าไม่ใช่ทีมแพทย์ของคุณ…” เขาหยุดชะงัก มองดูกล่องที่คลุมด้วยผ้าสีดำในมือเฉียวเหลียง จากนั้นก็กล่าวต่อไปเบาๆ “ถ้าไม่ใช่ทีมแพทย์ของคุณ ผมแน่ใจว่านายท่านจะยังลังเลที่จะเข้ารับการตรวจร่างกาย เพราะฉะนั้นผมจึงต้องขอขอบคุณคุณเฉียวมากๆ” 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานำทีมแพทย์มาที่นี่ในวันนี้ เพียงเพื่อเผื่อไว้ในกรณีที่ถังเจิ้นหวาไม่ต้องการไปโรงพยาบาลกับเขา เพราะถังเจิ้นหวาอาจกลัวว่าจะเป็นการนำหายนะมาสู่เอ็มไพร์กรุป หากเขาปรากฏตัวกับท่านในโรงพยาบาล นั่นคือเหตุผลที่เขานำทีมแพทย์มาที่นี่ 


 


 


ถังซีขอร้องเขาเป็นพิเศษ ให้ช่วยจัดการเรื่องตรวจร่างกายคุณปู่ของเธอ เมื่อนึกถึงดวงตาสดใสคู่นั้น เฉียวเหลียงก็เอ่ยขึ้นกับถังจง “พ่อบ้านถัง คุณโทรหาผมได้ทุกเมื่อ หากคุณปู่ไม่ยอมเข้ารับการตรวจร่างกายอีก” จากนั้นเขาก็มอบนามบัตรเขาให้ถังจง 


 


 


ถังจงเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มกล่าวเรียบๆ ว่า “สุขภาพคุณปู่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้” 


 


 


ถังจงร้องไห้ออกมา เขายื่นมือทั้งสองไปรับนามบัตรเฉียวเหลียง และกล่าวเสียงแหบห้าว “ถ้าคุณหนูรู้ว่าคุณใส่ใจคุณปู่ของเธอมากแค่ไหน เธอคงจะมีความสุขมาก… น่าเสียดาย…” 


 


 


หลังจากหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เฉียวเหลียงก็เดินก้าวยาวๆ ลงไปชั้นล่าง เมื่อไปถึงในห้องทำงานของคุณปู่ถัง อาห้าก็เดินเข้ามาหาเขา ส่งรายงานผลการตรวจร่างกายให้เขา “ความดันโลหิตท่านค่อนข้างสูง และค่าคอเลสเตอรอลก็สูงด้วยเหมือนกันครับ แต่อย่างอื่นเป็นปกติทั้งหมด” เขากล่าวเสียงต่ำ 


 


 


เฉียวเหลียงเปิดดูรายงานจนหมดทุกหน้าแล้วส่งคืนให้อาห้า “ส่งไปให้คุณหนูเซียว” เขากระซิบ “นายรู้ใช่ไหม ว่าโรงพยาบาลของคุณหนูเซียวอยู่ที่ไหน” 


 


 


อาห้าส่งกล่องให้เฉียวเหลียงอย่างว่องไว รับรายงานมา และพยักหน้ารับ อย่างไรก็ตามเขายังสงสัยอยู่ว่า ทำไมเฉียวเหลียงจึงให้เขาส่งรายงานผลการตรวจร่างกายคุณปู่ถังไปให้คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณปู่ถังสักหน่อย แต่ในเมื่อนายน้อยสั่งเขาก็ต้องทำ 


 


 


ในเวลานั้นนั่นเอง ถังเจิ้นหวาก็เดินเข้ามาหาเฉียวเหลียงด้วยสีหน้าขึงขัง “ตอนนี้เธอมอบกล่องใบนั้นให้ฉันได้หรือยัง” ท่านถามอย่างเฉยเมย 


 


 


เฉียวเหลียงชะงัก บอกให้อาห้าพาคนอื่นๆ ออกไป จากนั้นก็ก้มลงมองกล่องในมือ ก่อนจะพยักหน้า และส่งกล่องให้ถังเจิ้นหวาด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับกระซิบว่า “ผมต้องขอโทษด้วย ผมพบเพียงนิ้วมือนิ้วนี้เท่านั้น” 


 


 


น้ำเสียงเฉียวเหลียงเบามาก มีเพียงเขาและถังเจิ้นหวาเท่านั้นที่ได้ยิน ขณะยืนอยู่ตรงกันข้ามเขา ถังเจิ้นหวาส่ายศีรษะอย่างแรงแล้วยื่นมือออกมา แต่มือท่านสั่นเทา ท่านกำมือและคลายออกซ้ำๆ หลายครั้ง ก่อนจะรับกล่องจากมือเฉียวเหลียง ท่านเปิดผ้าสีดำออก และได้เห็นเพียงนิ้วเล็กๆ ที่เน่าเปื่อยในกล่องแก้วเจียรนัย ท่านไม่อาจกลั้นน้ำตาที่ไหลพราก 


 


 


ถังจงยืนอยู่ด้านหลังถังเจิ้นหวา อดสั่นสะท้านไปทั้งร่างไม่ได้ เมื่อเห็นนิ้วเล็กๆ นิ้วนั้น คุณหนูผู้น่ารักและมีชีวิตชีวาตอนนี้เหลือเพียงนิ้วนิ้วเดียว… 


 


 


นายท่านจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร!  


 


 


ถังเจิ้นหวาถือกล่องไว้ด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นไม่นานท่านก็สงบลง เงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงแล้วถามว่า “เธอแน่ใจหรือ ว่านี่เป็นนิ้วของซีซีของฉัน” 


 


 


เฉียวเหลียงหลับตาลงและพยักหน้า “แน่ใจครับ ผมตรวจดีเอ็นเอแล้วตอนอยู่ที่ทะเลแปซิฟิก เป็นนิ้วของเธอครับ ผมต้องขอโทษ…” 


 


 


ถังเจิ้นหวาโบกมือไปมา “เธอไม่ต้องขอโทษ ไม่ใช่ความผิดของเธอ นี่คือชะตากรรมของซีซีของฉัน” 


 


 


“ได้โปรดดูแลตัวเองด้วยนะครับ” เฉียวเหลียงกล่าว ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสริมว่า “นั่นคือสิ่งที่ซีซีต้องการครับ” 


 


 


“ขอบคุณนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำเพื่อซีซี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” ถังเจิ้นหวากล่าวกับเฉียวเหลียงด้วยน้ำเสียงแสนเศร้า ขณะเฉียวเหลียงกำลังจะหันหลังกลับ “เธอทำเพื่อซีซีมามากพอแล้ว พยายามลืมเธอเสียต่อจากนี้ไป ฉันคิดว่าซีซีก็คงหวังให้เธอมีความสุข อ้อ…แล้วอีกอย่าง อย่ามารบกวนฉันอีก ฉัน…ไม่ต้องการพบเธออีกต่อไป” 


 


 


เฉียวเหลียงชะงัก แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ผมต้องไปแล้ว ลาก่อน แล้วเจอกันนะครับ” 


 


 


หลังจากเฉียวเหลียงออกไป ถังเจิ้นหวาก็นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับถังจง “พาฉันไปวัดบรรพบุรุษหน่อย” 


 


 


… 


 


 


เฉียวเหลียงก้าวออกจากอุทยานเอ็มไพร์แล้วมองย้อนกลับไป ก่อนจะขมวดคิ้วและหันกลับไปขึ้นรถ อาหกส่งกล่องใส่ชุดสีแดงของถังซีให้เฉียวเหลียง เขารับมาและเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไปสนามบิน” 


 


 


เฉียวเหลียงยังคงนิ่งเงียบระหว่างทางไปสนามบิน อาห้าลังเล แต่แล้วก็ตัดสินใจถาม “นายน้อยครับ ไม่คิดบ้างหรือว่าทำแบบนี้เป็นการไม่ยุติธรรมกับคุณหนูเซียว” 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว อาห้ามองดูเฉียวเหลียงในกระจกมองหลังแล้วกล่าวอีกว่า “ถึงนายน้อยจะจ้องหน้าผมแบบนั้น ผมก็ยังคิดว่าไม่ยุติธรรมกับคุณหนูเซียวอยู่ดี”  

 

 


ตอนที่ 193 ไปลงนรกซะเถอะ!

 

เฉียวเหลียงจ้องหน้าอาห้าซึ่งใจหายวาบ เขาคิดกับตัวเองว่า ‘โอ…ไม่!’ ดูเหมือนเขาจะเหยียบกับระเบิดเข้าอีกครั้งแล้ว! ทำไมเขาถึงไม่สนใจแต่งานของตัวเองนะ อาห้าเอ๋ย…ทำไมนายไม่ระวังปากตัวเอง! แต่ในขณะที่อาห้าเตรียมพร้อมที่จะโดนเฉียวเหลียงซึ่งหน้าตาดูเศร้าหมองด่า ทันใดนั้นจู่ๆ เจ้านายเขาก็เอ่ยขึ้น “นายกับคุณหนูเซียวไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไร กล้าเสี่ยงเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอ” 


 


 


น้ำเสียงเยือกเย็นของเฉียวเหลียงทำเอาหัวใจอาห้าสั่นสะท้าน เขาควรทำอย่างไรดี ดูท่าทางว่าเขาจะพูดอะไรผิดไปอย่างมาก! โอ…อยากตบหน้าตัวเองเหลือเกิน! อย่างไรก็ตามขณะที่ถอยไม่ได้แล้ว เขาก็ทำใจดีสู้เสือตอบว่า “ผมไม่ได้สนิทกับคุณหนูเซียวหรอกครับ แต่ตอนที่เจ้านายนอนไม่หลับ คุณหนูเซียวพยายามปลอบโยนอย่างหนักเพื่อให้เจ้านายได้นอนหลับสนิท เธอไม่สนใจแม้แต่สภาพร่างกายของตัวเอง เธอทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้านายได้พักผ่อน แต่ดูสิครับ เจ้านายทำอะไรลงไป เจ้านายแสดงท่าทางเหมือนว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคุณหนูเซียว แต่ก็ยังแอบเก็บภาพถ่ายของคุณถังไว้ ตอนนี้เจ้านายก็มาส่งนิ้วมือของคุณถังให้คุณปู่ถังอีก เจ้านายห่วงใยสุขภาพท่านมาก ยืนกรานให้ท่านตรวจร่างกาย และเข้าไปอยู่ในห้องคุณถังเกือบสองชั่วโมง… นั่นก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่เจ้านายทำอะไรอย่างนั้น แต่เจ้านายทำยิ่งไปกว่านั้นอีกได้ยังไงครับ เจ้านายสั่งให้ผมส่งรายงานผลการตรวจสุขภาพคุณปู่ถังไปให้คุณหนูเซียว! ทำไมเจ้านายถึงได้เห็นแก่ตัวอย่างนี้ล่ะครับ” 


 


 


ท่ามกลางความประหลาดใจ เฉียวเหลียงไม่ได้โกรธ เขาเลิกคิ้วให้อาห้าแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่คิดว่าฉันเห็นแก่ตัว” 


 


 


อาห้าตกตะลึงมองเฉียวเหลียงแล้วถามว่า “เจ้านายไม่คิดว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเลยหรือครับ เจ้านายเห็นแก่ตัวที่คิดจะให้คุณหนูเซียวเป็นตัวแทนคุณถัง นั่นไม่ยุติธรรมกับคุณหนูเซียวเลย จริงไหมครับ” 


 


 


“ไม่มีอะไรไม่ยุติธรรม คุณหนูเซียวมีความสุขกับสิ่งที่ฉันทำ” เฉียวเหลียงตอบ พร้อมกับหลับตาลงเพื่อพักสายตา แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ลืมตามองอาห้า และกล่าวอย่างจริงจัง “นายไม่ต้องมาเสนอหน้าต่อหน้าคุณหนูเซียวอีกต่อไป เข้าใจไหม” 


 


 


ด้วยความประหลาดใจที่ได้ยินอย่างนั้น อาห้าอ้าปากค้างมองเฉียวเหลียง “อะไรนะครับ นายน้อย” 


 


 


“ดูเหมือนนายจะสนิทสนมกับแฟนฉันมากเกินไป ดูนายพยายามปกป้องเธอเหลือเกิน นายคิดว่าฉันโง่หรือ” เฉียวเหลียงหรี่ตามองอาห้า ก่อนจะหันหน้ากลับไปหลับต่อ แต่ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยอะไรบางอย่างที่ทำให้อาห้าต้องตกตะลึงอย่างแรง แม้แต่อาหกก็ตกตะลึงเช่นกัน “นายอย่ามาทำดีกับแฟนฉันนัก ฉันหึง” 


 


 


อาห้าตะลึงงัน 


 


 


นี่มันเกิดอะไรขึ้น 


 


 


… 


 


 


ที่เมือง A ฉินซินหยิ่งนั่งอยู่ในห้องทำงาน จ้องมองคอมพิวเตอร์ด้วยดวงตาวาววับ เธอไม่สบายใจเลยตั้งแต่สนทนากับผู้หญิงคนนั้นทางโทรศัพท์เมื่อเย็นวานนี้ เธอไม่รู้เลยว่าเฉียวเหลียงคิดอะไรอยู่ เฉียวเหลียงลืมถังซีไปแล้วจริงๆ หรือ เขาหลงรักผู้หญิงคนที่ชื่อเซียวโหรวนั้นแล้วจริงๆ หรือ ถ้าเฉียวเหลียงรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เธอควรพูดยังไง ถ้าเขามาถามเธอหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเล่าให้เขาฟัง ว่าเธอพูดอะไรออกไปบ้างเมื่อคืนนี้… 


 


 


เฉียวเหลียงจะต้องตรวจสอบบันทึกโทรศัพท์อย่างแน่นอน… จะเป็นอย่างไรถ้าผู้หญิงคนนั้นพบกับเฉียวเหลียงวันนี้ ใช่แล้ว เฉียวเหลียง… 


 


 


ทันทีนั้นฉินซินหยิ่งก็ผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกไปข้างนอกพร้อมกับปลอบใจตัวเองไปตลอดทาง “ไม่หรอกน่า เฉียวเหลียงรักถังซีมาก เขาแค่คบผู้หญิงคนนั้นเล่นสนุกๆ ไม่จริงจัง เขาไม่เชื่อผู้หญิงคนนั้นหรอก ถ้าเฉียวเหลียงใส่ใจผู้หญิงคนนั้นจริง หล่อนก็ต้องฟ้องเฉียวเหลียงตั้งแต่เมื่อคืน และเขาจะต้องมาคาดคั้นเธอแล้วตอนนี้ แต่นี่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย” 


 


 


ฉินซินหยิ่งรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากปลอบใจตัวเอง เธอเดินไปที่ห้องเลขานุการของท่านประธาน ถามว่าเฉียวเหลียงอยู่ไหม เลขานุการบอกเธอว่าท่านประธานไม่ได้กลับเข้ามาตั้งแต่เขาออกไปเมื่อวานนี้ ฉินซินหยิ่งกล่าวขอบคุณอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือเธอค่อยๆ กำแน่นขึ้นเรื่อยๆ … 


 


 


เขายังไม่กลับมา… เขาค้างคืนกับผู้หญิงคนนั้นหรือ เขาจะเชื่อคำพูดของเซียวโหรวหรือเปล่า ถ้าเขาเชื่อ เธอคงไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาแล้วใช่ไหม 


 


 


ไม่ เธอปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเหนือกว่าเธอไม่ได้ เธอต้องโทรหาเฉียวเหลียงก่อน บอกว่าเธอพบร่องรอยของถังซี เพื่อทดสอบปฏิกิริยาเขา… 


 


 


ขณะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ไม่ได้สนใจทางเดินตรงหน้า เธอชนเข้ากับเซียวจิ่งซึ่งกำลังเดินมาทางเธอ เซียวจิ่งขมวดคิ้วเมื่อถูกฉินซินหยิ่งชน เขาร้องอุทานอย่างโกรธเคืองโดยไม่ได้มองดูหน้าเธอ “นี่คุณ เดินไม่มองทางเลยหรือไง” 


 


 


ฉินซินหยิ่งกล่าวขอโทษอย่างไร้สติและรีบร้อนเดินต่อไป เซียวจิ่งขมวดคิ้วหันกลับไปมอง ส่ายศีรษะขณะเดินต่อไปข้างหน้า แล้วก็รู้สึกว่าเขาเหยียบอะไรบางอย่าง เขาก้มลงดูและพบว่าเป็นแฟล็ชไดร์ฟ เซียวจิ่งเลิกคิ้วแล้วหยิบขึ้นมา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองฉินซินหยิ่งก็หายไปแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานท่านประธาน ถามเลขานุการว่า “เมื่อกี้ใครหรือ ที่มาขอพบท่านประธานเฉียว” 


 


 


เลขานุการหน้าห้องท่านประธานผู้มีงานยุ่งตลอดเวลาเงยหน้ามองเซียวจิ่ง ทักทายเขาและส่ายศีรษะ “ฉันไม่ทันได้สนใจมากมายค่ะ ผมเธอคลุมหน้า ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ท่านประธานเซียว มีอะไรให้ฉันช่วยคะ” 


 


 


เซียวจิ่งพยักหน้ากล่าวว่า “นำเอกสารของท่านประธานเฉียวมาให้ผม ผมจะจัดการต่อเอง” 


 


 


เลขานุการผู้ซึ่งรู้สึกไม่สบายใจกับกองแฟ้มเอกสารจำนวนมาก ดวงตาเป็นประกายสดใสขึ้นมาด้วยความยินดีทันที “ได้ค่ะ รอครู่เดียวนะคะ ฉันจะส่งแฟ้มไปให้ค่ะ” 


 


 


เซียวจิ่งมองดูเอกสารจำนวนมากบนโต๊ะเลขานุการ และลูบหัวคิ้วตัวเอง เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมา “ผมควรจะอยู่ที่โรงพยาบาล ดูแลน้องสาวผมตอนนี้!” 


 


 


ไอ้บ้าเฉียวเหลียง! ทุกครั้งที่หายตัวไปจะทิ้งงานกองโตไว้มากมาย ทำให้เขาต้องทำงานเหมือนทาส! แย่ชะมัด! 


 


 


เซียวจิ่งกลับไปที่ห้องทำงาน โยนแฟล็ชไดร์ฟลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นก็กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ เอนพิงหนัก พร้อมกับถอนหายใจ “พระเจ้า!” 


 


 


ในเวลานั้นนั่นเองก็มีคนมาเคาะประตูห้องทำงาน เซียวจิ่งลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เข้ามาได้” 


 


 


ประตูห้องทำงานผลักเปิดออก ลินดาเลขานุการหน้าห้องท่านประธาน เข็นรถเข็นที่เต็มไปด้วยกองเอกสารเข้ามา เธอยิ้มให้เขาอย่างระแวดระวัง แล้วค่อยๆ อธิบายว่า “ท่านประธานเซียวคะ เอกสารทั้งหมดนี้ เป็นเอกสารที่ควรได้รับการดำเนินการตั้งแต่เมื่อวานซืน เมื่อวานนี้ และวันนี้ค่ะ” 


 


 


เซียวจิ่งชี้ไปที่รถเข็นของลินดาด้วยมืออันสั่นระริกอยู่นาน กว่าจะพูดออกมาได้ “เอกสารทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เฉียวเหลียงต้องจัดการใช่ไหม” 


 


 


ลินดาพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ ท่านประธานเซียว ท่านประธานเฉียวออกไปตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ และดูเหมือนเขาจะยุ่งมากเมื่อวานนี้ เมื่อคืนเขาก็ตีกลับเอกสารมาหลายฉบับ และสั่งให้เราเอาไปแก้ไขกลับคืนมา ตอนนี้ฝ่ายวิศวกรรมได้ส่งเอกสารกลับมาแล้ว แต่วันนี้ท่านประธานไม่อยู่ค่ะ ดิฉันจึงนำแฟ้มเหล่านี้มาให้คุณ” 


 


 


เซียวจิ่งมองดูกองเอกสารและพยักหน้าให้ลินดาด้วยท่าทางสงบนิ่ง “เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว คุณออกไปได้” 


 


 


ในขณะที่ลินดาออกจากห้องทำงานเซียวจิ่งด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเซียวจิ่งก็สลดลงทันที เขามองดูกองเอกสารอย่างโกรธแค้น และตะโกนออกมา “เฉียวเหลียง ไปลงนรกซะเถอะ!”  

 

 


ตอนที่ 194 ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย

 

หลังจากมานั่งยองๆ กันอยู่หน้าประตู แอบฟังเสียงในห้องทำงานเซียวจิ่ง เหล่าเลขานุการก็ยกมือปิดปากแล้วแอบวิ่งหนีไป ลินดายิ้ม กล่าวว่า “คุณเซียวจิ่งช่างน่ารักมากมาย ตลกจังเลยที่เขาพยายามแสดงท่าทางเคร่งขรึมต่อหน้าพวกเรา เขาคิดว่าเราไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเขาเป็นคนยังไง” 


 


 


แคเธอรินหัวเราะ “แต่ตลกมากเลยเวลาที่เห็นคุณเซียวแสดงท่าทางแบบนั้น จริงไหม ฉันอยากให้คุณเซียวจิ่งน่ารักแบบนี้ตลอดไป!”  


 


 


เลขานุการที่เคยถูกเซียวจิ่งดุด่าทำคอหด มองดูกลุ่มสาวๆ ก่อนจะก้าวถอยหลังและรีบเดินกลับไปที่ห้องทำงานของเธอ พร้อมกับพึมพำขณะเดินไป “พวกเธอนี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย” 


 


 


“เย่ว์เย่ว์ เมื่อกี้ฉันสังเกตเห็นว่าเธอดูไม่ค่อยพอใจ มีอะไรหรือ” ลินดาถามขณะเดินตามมาทัน 


 


 


เย่ว์เย่ว์เบ้ปาก มองไปที่ห้องทำงานเซียวจิ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลและตอบว่า “เพราะฉันโชคร้ายพอที่จะได้เห็นใบหน้าอันแท้จริงของท่านประธานเซียวจิ่งน่ะสิ เขาไม่ใช่คนน่ารักและนิสัยดีอย่างที่เธอพรรณนาหรอก แต่เป็นหมาป่าในเสื้อคลุมของลูกแกะ เธออย่าได้มีปัญหากับท่านประธานเซียวในเวลาอย่างนี้เชียว ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเสียใจ” 


 


 


เมื่อนึกถึงว่าเธอถูกดุด่าอย่างไรในวันนั้น เย่ว์เย่ว์ก็กลืนน้ำลายและกล่าวต่อไป “แล้วที่ท่านประธานเซียวขอให้เธอตรวจสอบเอกสารก่อนส่งให้ท่านประธานเฉียว เธอตรวจสอบอย่างรอบคอบดีหรือยัง” 


 


 


เลขานุการคนหนึ่งกล่าวว่า “เอกสารพวกนั้นจะไม่ไปถึงมือท่านประธานเฉียวหรอก ไม่ต้องห่วง นอกจากนี้ฉันแน่ใจว่าคุณเซียวจิ่งจะอ่านเอกสารพวกนี้ไม่หมดหรอกวันนี้ และ… บางทีเอกสารอาจได้รับการตรวจสอบมาแล้ว ก่อนจะส่งมาที่แผนกเรา ไม่จำเป็นต้องจริงจังมากหรอกน่า ถ้าเอกสารของแผนกไหนได้รับการอนุมัติ นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาทำได้ดีมาก และถ้าพวกเขาไม่ได้รับอนุมัตินั่นก็เพราะพวกเขาโชคร้าย ทำไมต้องมารบกวนให้แผนกเรายุ่งยากด้วยล่ะ” 


 


 


เย่ว์เย่ว์ยิ้มอย่างอ่อนใจ ขณะมองหน้าเลขานุการคนนั้นพร้อมกับถอนหายใจ “เราทำงานอยู่ในส่วนสำนักงานของท่านประธานนะ แม้แต่ผู้จัดการแผนกก็ยังต้องให้เกียรติเรา เราเป็นเหมือนแม่บ้านในวังสมัยโบราณผู้เป็นที่ไว้วางใจของจักรพรรดิ และทุกคนหวังความช่วยเหลือจากพวกเรา เพราะฉะนั้นเราต้องคอยรองรับความยุ่งยากจากพนักงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเรา แต่ต้องไม่ให้เป็นที่รบกวนเจ้านาย เราสามารถทำให้พนักงานภายใต้การควบคุมดูแลตกงานได้ด้วยคำพูดของเรา และในขณะเดียวกันเจ้านายก็สามารถทำให้เราตกงานได้ด้วยคำพูดของเราเหมือนกัน!”  


 


 


ลินดาจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนเย่ว์เย่ว์จริงจังกับการตรวจสอบเอกสารมาก เธอชวนเย่ว์เย่ว์ไปดื่มกาแฟด้วยกันหลายครั้ง แต่เย่ว์เย่ว์ปฏิเสธ และจดจ่ออยู่แต่กับงาน คุณเซียวจิ่งน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือ เมื่อคิดอย่างนี้ลินดาก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “เย่ว์เย่ว์ ฉันคิดว่าไม่น่าต้องจริงจังอย่างที่เธอพูดหรอกนะ คุณเซียวจิ่งใจดีจะตาย ฉันเจอเขาตอนไปซื้อกาแฟนอกบริษัทเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาเลี้ยงกาแฟฉันแก้วหนึ่งด้วย” 


 


 


ทุกคนหัวเราะเธอ ลินดายิ้มแล้วเสริมว่า “เป็นเรื่องบังเอิญน่ะ คุณเซียวจิ่งจ่ายค่ากาแฟให้ฉัน” 


 


 


เย่ว์เย่ว์ยักไหล่ “เดี๋ยวเธอก็รู้ จริงๆ แล้วคุณเซียวจิ่งเป็นคนใจดีมาก ตราบใดที่เธอไม่ยั่วโมโหเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะน่ากลัวมาก” 


 


 


เมื่อจบคำพูดเธอก็ตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะต่อไป เลขานุการหลายคนมองแฟ้มบนโต๊ะเธอด้วยความประหลาดใจ “เธอยังไม่ได้ส่งแฟ้มพวกนี้ไปขออนุมัติจากคุณเซียวจิ่งอีกหรือ” 


 


 


เย่ว์เย่ว์ส่ายศีรษะ มองดูเอกสารบนโต๊ะ “ฉันยังตรวจไม่เสร็จ ฉันจะส่งทั้งหมดนี้ไปให้ท่านประธานเซียวเซ็นอนุมัติ ก็ต่อเมื่อฉันคิดว่าเอกสารไม่มีปัญหาอะไร” 


 


 


ลินดาเม้มริมฝีปาก “ฉันส่งเอกสารที่ไม่ได้ตรวจสอบไปให้ประธานเซียวเพราะไม่อยากให้ล่าช้า แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะมาทำงานหรือเปล่า…” เธอประหลาดใจว่าทำไมเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปจึงดำเนินงานไปได้อย่างดียิ่ง ในเมื่อประธานเฉียวเข้าบริษัทเพียงห้าหรือหกวันต่อเดือนเท่านั้น ส่วนประธานเซียว… ในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจคนสำคัญของบริษัท เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจในงานของตัวเองมากเท่าไร และสำหรับรองประธาน… แม้แต่เลขานุการทั้งหลายก็รู้ว่ารองประธานไม่ได้ยืนอยู่ข้างท่านประธานเฉียว แต่เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปก็ยังคงดำเนินงานไปได้อย่างดียิ่ง… แปลกไหมล่ะ 


 


 


สิบนาทีต่อมาพนักงานในแผนกเลขานุการก็เสร็จจากการพักดื่มน้ำชายามบ่าย แต่เย่ว์เย่ว์ยังคงตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะและจดบันทึกต่อไป เลขานุการคนอื่นๆ นอกจากเลขานุการกลาง ทุกคนมาที่โต๊ะทำงานของเย่ว์เย่ว์ และยิ้มขณะกล่าวกับเธอ “เฮ้…เย่ว์เย่ว์ เธอเดาผิด ประธานเซียวอ่านเอกสารไปยี่สิบนาทีแล้ว แต่ยังน่าจะอ่านได้ไม่ถึงสองฉบับ และเธอเองก็ยังตรวจเอกสารพวกนี้ไม่เสร็จ ดูเหมือนว่าเธอกับคุณเซียวจิ่งจะต้องทำงานล่วงเวลาด้วยกันแล้วล่ะคืนนี้ โชคดีนะ…” 


 


 


เย่ว์เย่ว์เงยหน้าขึ้นมองและยิ้มให้พวกเธอ “ไม่รู้จะทำยังไงนี่ ฉันไม่อยากถูกประธานเซียวดุ เขาน่ากลัวมากจริงๆ เวลาเขาดุ ฉันยอมทำงานล่วงเวลาดีกว่าจะโดนดุ” 


 


 


ลินดาเดินเข้ามาหาเย่ว์เย่ว์ ยืนกอดอกมองเย่ว์เย่ว์ด้วยรอยยิ้ม “เย่ว์เย่ว์เธอคิดผิดแล้วล่ะ ประธานเซียวอ่านเอกสารอย่างละเอียดจริงๆ เหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก… บางทีตอนนี้…” เธอเหลือบดูนาฬิกาบนข้อมือแล้วยิ้ม “บางทีท่านประธานอาจเซ็นเอกสารเสร็จแล้วก็ได้” 


 


 


คนอื่นๆ สนับสนุนเธอ บางคนเย้ยหยันเย่ว์เย่ว์ “เย่ว์เย่ว์เธอพยายามดึงดูดความสนใจจากท่านประธานเซียวใช่ไหม เธอคิดว่าจะสามารถดึงดูดความสนใจจากเขาได้ ด้วยการทำงานล่วงเวลาอย่างนั้นหรือ” 


 


 


เย่ว์เย่ว์ไม่พูดอะไร ใครคนหนึ่งถามว่า “หรือเธอทำอะไรน่ารำคาญ ทำให้ประธานเซียวโกรธเมื่อคราวก่อน เป็นเหตุให้เขาดุเธอ” 


 


 


ใบหน้าเย่ว์เย่ว์เริ่มซีดลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นคราวที่แล้ว เธอกล่าวว่า “ฉันต้องทำงานอย่ารบกวนฉัน” 


 


 


“โอ้ เธอโกรธ…” 


 


 


ทันใดนั้นขณะที่พวกเลขานุการกำลังจะเยาะเย้ยเย่ว์เย่ว์อีก ประตูห้องทำงานเซียวจิ่งก็เปิดออก เซียวจิ่งออกมายืนพิงขอบประตูมองมาทางพวกเธอ เย่ว์เย่ว์กระแอม ทุกคนหันกลับไปมอง และเห็นเซียวจิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาดูหล่อเหลือเกิน พวกเธอบางคนแทบหลงเสน่ห์เขา เซียวจิ่งยิ้มให้ เลขานุการทั้งหลายเกือบกรีดร้องด้วยความตื่นเต้น เลขานุการคนหนึ่งหันมาจ้องหน้าเย่ว์เย่ว์ และกล่าวเสียงเบา “ดูสิ อย่างที่ฉันบอก คุณเซียวจิ่งไม่สนใจหรอก เธอรู้สึกไปเอง เย่ว์เย่ว์” 


 


 


ลินดายังคงมองไปในทิศทางของเซียวจิ่งด้วยดวงตาเป็นประกาย พร้อมกับกล่าวว่า “ใช่ เย่ว์เย่ว์ คุณเซียวจิ่งเป็นคนใจดี เขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอพูด…” 


 


 


เมื่อเซียวจิ่งเห็นปฏิกิริยาของพวกเธอ ประกายเยือกเย็นก็วาววับในดวงตา เขายิ้ม ขณะยกมือขึ้นกระดิกนิ้วมาที่พวกเธอ ลินดาเห็นว่าเซียวจิ่งมองตรงมาที่เธอก็หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอชี้ที่ตัวเอง แต่เซียวจิ่งส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปที่พวกเธอทั้งหมดและกวักมือเรียกให้มาหาเขา เย่ว์เย่ว์ก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน แต่ด้วยท่าทางหวาดกลัว เมื่อเห็นเธอลุกขึ้นเซียวจิ่งก็ขมวดคิ้ว หยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะกระดิกนิ้วแสดงท่าให้เย่ว์เย่ว์นั่งลง 


 


 


เย่ว์เย่ว์ชี้ที่ตัวเองด้วยความไม่แน่ใจ เขาหมายความว่าให้เธออยู่ตรงนี้ใช่ไหม เซียวจิ่งพยักหน้า เมื่อเห็นอย่างนั้นเย่ว์เย่ว์ก็รู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เธอรีบก้มศีรษะลงและอ่านเอกสารต่อไป ดูเหมือนเธอจะรอดพ้นจากลูกกระสุนอย่างหวุดหวิด 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม