รักเล่ห์เร้นใจ 186-192
ตอนที่ 186 รูปถ่ายไปไหน
คืนนั้นหลังจากเซียวจิ่งสือออกจากห้องของอันซิงแล้ว เขายังไม่ได้รับรูปถ่ายของหลินหว่าน
เซียวจิ่งสือเกรงว่าอันซิงจะโกรธอายจนกลายเป็นโทสะ เอารูปขึ้นเน็ตทำลายชื่อเสียงของหลินหว่าน หรือไม่เธอก็จะใช้รูปถ่ายพวกนี้มาข่มขู่เขาอีก มาคิดดูแล้วเขาจึงเตรียมการลงมือ
เซียวจิ่งสือติดต่อสำนักงานนักสืบแห่งหนึ่งไว้ เขาได้ข่าวว่าสำนักงานนักสืบนี้มีฝีมือดีมาก คนที่คุณต้องการสืบไม่ว่าใคร พวกเขาไม่มีว่าสืบไม่ได้ ทุกเรื่องที่คุณต้องการทำ พวกเขาจัดการให้ได้ทุกอย่าง เซียวจิ่งสือติดต่อกับสำนักงานนักสืบนี้แล้วนัดว่าบ่ายวันนี้ให้อีกฝ่ายมาพบเขาที่บริษัท
ตอนบ่าย ภายในห้องทำงานของเซียวจิ่งสือ ที่นั่งตรงข้ามเขาเป็นผู้ชายที่พล่ามพูดไม่หยุดคนหนึ่ง “คุณเซียว คุณวางใจได้ สำนักงานนักสืบของเรามีฝีมือระดับสุดยอดแน่นอนครับ ขอแค่ไม่ใช่เรื่องทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าคุณจะให้สืบใคร สืบอะไร พวกเราจัดการให้คุณได้เรียบร้อย ไม่ผิดพลาด ตามรอยไม่ได้แน่ครับ นอกจากนี้คุณยังไม่ต้องกังวลว่าฐานะของคุณจะรั่วไหลด้วย เราทำงานนี้อย่างมืออาชีพแน่นอนครับ…”
ชายคนนี้ดูแล้วรูปร่างผอมบาง สวมแว่นตาท่าทางเหมือนหนอนหนังสือ คิดไม่ถึงว่าจะพูดจาไหลลื่นคล่องปากได้ปานนี้
“เอาล่ะ” เซียวจิ่งสือพูดขัดขึ้นอย่างหงุดหงิดรำคาญว่า “พรุ่งนี้คุณแค่ช่วยผมจับตาดูความเคลื่อนไหวของอันซิงคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอัน สืบให้ชัดว่าทุกวันเธอทำอะไร ติดต่อกับใครบ้างก็พอแล้ว”
“ท่านประธานเซียว คุณให้ผมจับตาดู…คุณหนูอันทุกวัน?” นักสืบนั้นฟังคำพูดเซียวจิ่งสือแล้ว นิ่งอึ้งไปอย่างเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ตอนที่ท่านประธานเซียวติดต่อเขานั้น เขาก็สืบค้นข้อมูลของเขามาเหมือนกัน ข่าวว่าอันซิงคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอันเป็นว่าที่ภรรยาในอนาคตของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับให้ไปเฝ้าจับตามองภรรยาในอนาคตของตัวเอง!
นักสืบมองดูเหนือศีรษะของเซียวจิ่งสือ เกิดความคิดวาบผ่านเข้ามาเป็นเรื่องราวชู้สาวหลากหลายรูปแบบ
เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ พูดขึ้นอีกว่า “ใช่ แล้วก็…ในมือเธอมีทรัมพ์ไดร์ฟอยู่ตัวหนึ่ง ข้างในมีภาพถ่ายที่เปิดเผยไม่ได้ ตอนคุณเฝ้าดูเธอ ต้องสังเกตดูเป็นพิเศษถึงการเคลื่อนย้ายภาพถ่ายพวกนี้ อย่าให้เธอเปิดเผยออกไปเด็ดขาด”
นักสืบนั้นอยากรู้นักว่า ‘ภาพถ่ายที่เปิดเผยไม่ได้’ ของเซียวจิ่งสือนั้นเป็นภาพอะไรกันแน่ แต่อาชีพของพวกเขาต้องมีความเป็นมีอาชีพสูง เรื่องที่ไม่ควรถาม เขาย่อมจะไม่ถามแม้สักครึ่งคำ
“ได้ครับ ท่านประธานเซียว เรื่องนี้ทางสำนักงานเราจะจัดการให้คุณอย่างเรียบร้อยครับ คุณวางใจได้!” สมองของเขาวิ่งเร็วจี๋ พอฟังคำของเซียวจิ่งสือแล้ว กลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดใจไว้มิดชิด รีบเอ่ยปากรับรองแข็งขัน
เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าเขาออกจะโอ้อวดเกินตัวไป จึงเกิดสงสัยความสามารถของเขาขึ้นมาอยู่บ้าง แต่เซียวจิ่งสือก็ยังหยิบเช็คที่เตรียมไว้ออกมา วางตรงหน้านักสืบ พูดว่า “นี่เป็นเงินมัดจำล่วงหน้า ผมหวังว่าเรื่องนี้จะสำเร็จได้ยิ่งเร็วยิ่งดี เสร็จเรื่องแล้วยังมีค่าตอบแทนให้อีกต่างหากด้วย”
นับสืบกวาดตาแวบเดียวก็รู้ว่าตัวเลขบนเช็คมีมูลค่าไม่น้อยเลย เขาเก็บขึ้นอย่างยินดี พร้อมกับรับปากรับคำกับเซียวจิ่งสือว่า “ได้ครับ ท่านประธานเซียว คุณวางใจได้ เรื่องนี้ผมจะจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดเลยครับ!”
นักสืบไม่ได้คุยโวเกินจริง วันต่อมาเขาก็สืบทราบว่าภาพถ่ายอยู่ที่ไหน อันซิงส่งภาพถ่ายให้กับนักข่าวจางหานของสำนักพิมพ์อวิ๋นอี้
จางหานเป็นนักข่าวที่มีชื่อในวงการบันเทิงทีเดียว แต่เป็นชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก เขามักจะแอบถ่ายภาพลับเฉพาะของพวกดาราแล้วใช้แบล็คเมล์คนที่อยู่ในภาพถ่ายนั้น ดาราที่ถูกเขาแบล็คเมล์บ้างก็ยอมจ่ายเงินซื้อรูปแต่โดยดี บ้างก็แค่รอให้ภาพถ่ายถูกเปิดเผยสู่สายตาสาธารณชน
นักสืบรีบรายงานผลให้เซียวจิ่งสือทราบทันที เซียวจิ่งสือแอบตกใจพร้อมกับโอนเงินค่าจ้างให้กับเขาไป แล้วให้นักสืบจับตาดูอันซิงต่อไป
หลังจากวางสายจากนักสืบแล้ว เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าอันซิงส่งภาพถ่ายให้จางหาน เพื่อต้องการอะไรแน่
แต่เขารู้ว่าจะให้จางหานเปิดเผยภาพถ่ายพวกนี้ไม่ได้แน่ ไม่อย่างนั้น อนาคตของหลินหว่านในวงการบันเทิงจะดับวูบลงทันที
เซียวจิ่งสือโทรออกสายหนึ่ง จากนั้นเขาบึ่งรถไปที่บ้านของจางหาน พร้อมกับลูกน้องอีกหลายคน
จางหานพักอยู่ในย่านชานเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง พอได้ยินเสียงกริ่งประตู เขาก็เดินเอื่อยๆ ออกมาเปิดประตู พร้อมกับถามอย่างรำคาญว่า “ใครน่ะ?”
แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาเปิดประตูออก ก็มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา พวกเขาพุ่งพรวดเข้ามาจับตัวเขากดลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
“พวกแกทำอะไรน่ะ? พวกแกเป็นใครกัน? ปล่อยฉัน…” จางหานร้องตะโกนไปพลางดิ้นรนไปพลาง
ตอนนั้นเอง มีชายหนุ่มหน้าตาท่าทางไม่ธรรมดาคนหนึ่งเดินมาตรงหน้าเขา ก้มลงมองแล้วถามว่า “แกคือจางหานสินะ? บอกฉันมาว่ารูปถ่ายที่อันซิงส่งให้แกตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ท…ท่านประธานเซียว?” จางหานมองเซียวจิ่งสืออย่างเหลือเชื่อ สีหน้าหวาดกลัว พอได้ยินเขาถามก็รีบตอบว่า “ท่านประธานเซียว คุณพูดอะไรน่ะ? รูปถ่ายอะไร? ผมไม่รู้เรื่องเลย? คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า?”
“อันซิงไม่ได้ส่งรูปถ่ายให้แกหรือไง?” เซียวจิ่งสือจ้องหน้าจางหานนิ่ง แล้วถามเสียงเย็นว่า “รูปถ่ายพวกนั้นอยู่ที่ไหน”
“ไม่มีหรอกครับ…อันซิงไม่ได้ส่งภาพถ่ายให้ผม!” จางหานแย้งขึ้น “ท่านประธานเซียว คุณเชื่อผมสิ! ผมไม่รู้เลยว่ารูปถ่ายอะไร…”
เซียวจิ่งสือมองสำรวจจางหานอย่างไม่เชื่อเขาเลยสักนิด พอเห็นว่าสายตาเขากลอกกลิ้งไปมา ท่าทางตื่นเต้นจนตัวเกร็ง จึงสั่งลูกน้องที่ด้านข้างคนหนึ่งว่า “ไปห้องมัน ค้นในคอมพิวเตอร์กับมือถือ ต้องหารูปถ่ายออกมาให้ได้”
ลูกน้องเขาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือซั่วเฟิงซึ่งมีความสัมพันธ์กับอันซิงแทนเซียวจิ่งสือที่โรงแรมในคืนนั้นนั่นเอง
ซั่วเฟิงเข้าไปที่ห้องจางหานตามสั่ง ชั่วครู่ต่อมา เขาก็ออกจากห้องของจางหาน ในมือมีทรัมพ์ไดร์ฟตัวหนึ่งกับโน๊ตบุ๊กอีกเครื่องหนึ่ง เขาพูดกับเซียวจิ่งสือว่า “ท่านประธานเซียวครับ ได้ภาพถ่ายแล้วครับ!”
“อยู่ที่ไหน?” เซียวจิ่งสือถามซั่วเฟิงอย่างร้อนรน
“ท่านประธานเซียว รูปถ่ายอยู่ในทรัมพ์ไดร์ฟนี่ครับ” พูดพลาง ซั่วเฟิงจัดวางโน๊ตบุ๊กลงบนโต๊ะ เสียบทรัมพ์ไดร์ฟเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดออกดูไฟล์ในทรัมพ์ไดร์ฟ พริบตานั้นภาพถ่ายของหลินหว่านก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
เซียวจิ่งสือเดินมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดดูภาพถ่ายหลินหว่านไปทีละภาพ แต่เซียวจิ่งสือนึกไม่ถึงว่าในทรัมพ์ไดร์ฟนอกจากจะมีภาพถ่ายของหลินหว่านแล้ว ยังมีภาพถ่ายอีกนับพันใบ
เขาเปิดดูภาพถ่ายเหล่านั้น เห็นว่าภาพถ่ายพวกนั้นแต่ละใบแข่งกันสวมใส่น้อยชิ้น ก็พอจะดูออกว่า น่าจะแอบถ่ายมาทั้งนั้น อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นดาราในวงการบันเทิงทั้งนั้นอีกด้วย เซียวจิ่งสือนึกถึงคำพูดที่นักสืบโทรหาเขา แค่นหัวเราะในใจ ดูท่าจางหานคงจะใช้ภาพถ่ายพวกนี้ไปแบล็คเมล์ดาราพวกนั้นสินะ
ตอนที่ 187 ติดคุก
จางหานพอเห็นว่าเซียวจิ่งสือพบรูปถ่ายพวกนั้นแล้ว เขารีบเปลี่ยนท่าทีทันที วิงวอนขอร้องเซียวจิ่งสือว่า “ท่านประธานเซียว ผมผิดไปแล้ว รูปถ่ายนั่นอันซิงส่งให้ผมเอง ผมไม่ได้ทำอะไรเลย! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผมเลยนะ…”
“พอได้แล้ว!” เซียวจิ่งสือพูดตัดบทเสียงเย็น จากนั้นดึงทรัมพ์ไดร์ฟออกจากเครื่อง ถามเขาว่า “รูปถ่ายที่อยู่นี่ แกคงจะใช้แบล็คเมล์ผู้คนมาไม่น้อยสินะ?”
“ผ…ผม…” จางหานกำลังจะพูดแก้ตัว ก็ได้ยินเสียงเย็นเยียบของเซียวจิ่งสือดังขึ้นอีกว่า “ช่างเถอะ แกไปอธิบายกับตำรวจเองก็แล้วกัน”
เซียวจิ่งสือพูดจบก็หันไปทางซั่วเฟิง โยนทรัมพ์ไดร์ฟให้กับเขา พูดว่า “นายไปแจ้งความ เอามันให้ตำรวจ นี่เป็นหลักฐาน!”
ที่สถานีตำรวจ ตำรวจสองนายกำลังสอบปากคำจางหาน บนโต๊ะมีทรัมพ์ไดร์ฟตัวหนึ่ง โน๊ตบุ๊กเครื่องหนึ่งกับมือถือเครื่องหนึ่ง ในมือถือมีบันทึกการพูดคุยที่จางหานแบล็คเมล์พวกดารา ตำรวจถามจางหานว่า “คุณจาง ผลการสืบสวนของเรา คุณมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการทำผิดฐานข่มขู่กรรโชกทรัพย์ หลักฐานแน่นหนา คุณยังมีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม”
จางหานฟังแล้วรีบพูดว่า “คุณตำรวจครับ พวกคุณไม่แยกแยะผิดถูกไม่ได้นะครับ เห็นกันชัดๆ ว่าเซียวจิ่งสือบุกรุกบ้านผมก่อน ทำไมคุณจับผมคนเดียวไม่จับเขาล่ะ!”
“อืมม เนื่องจากคุณเซียวมีความชอบในการแจ้งจับ จึงหักกลบกันไป ไม่ต้องได้รับโทษ” ตำรวจฟังแล้วสบตากันแวบหนึ่ง พูดว่า “แต่ว่า นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เรามาพูดเรื่องที่คุณข่มขู่กรรโชกทรัพย์กันก่อน…”
จางหานพอได้ยินว่าเซียวจิ่งสือไม่เป็นอะไรก็โมโหมาก พูดขัดขึ้นว่า “พวกคุณมันรังแกคนอ่อนแอ! ถ้าผมออกไปได้จะเปิดโปงพวกคุณทุกคนให้ชาวเน็ตทั้งประเทศรุมด่าเลย!”
ตำรวจไม่สนใจคำพูดของจางหาน พูดต่อไปว่า “คุณจาง เนื่องจากคุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยในข้อหาข่มขู่กรรโชกทรัพย์ และวงเงินค่อนข้างสูง ตามกฎหมายแล้ว มีโทษจำคุกสามปี คุณยังมีคำพูดอะไรอีกไหม”
จางหานพอฟังว่าเขาต้องติดคุก ก็รู้สึกหวาดกลัวมาก ร้องลั่นว่า “ไม่นะ คุณตำรวจ ผ…ผมถูกใส่ร้าย!” เขายังไม่อยากติดคุก
“พวกเราใส่ร้ายคุณยังไง?” ตำรวจถาม
“ที่จริงแล้ว ทั้งหมดนี้อันซิงเป็นคนสั่งให้ผมทำ! เธอเป็นคนให้ผมทำ…” จางหานชี้ไปที่ทรัมพ์ไดร์ฟแล้วพูดอีกว่า “รูปถ่ายพวกนั้นเธอก็เป็นคนให้ผมมา ผมถูกบังคับ…”
เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องติดคุก จางหานจำต้องซัดทอดไปที่อันซิง
ภายในสถานีตำรวจ เซียวจิ่งสือนั่งอยู่ในห้องทำงานที่ดูดีที่สุดห้องหนึ่ง ดื่มกาแฟ ฟังรายงานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฟู่เพิ่งสอบปากคำจางหาน “คุณเซียว เมื่อครู่จางหานเพิ่งรับสารภาพว่า ที่เขาทำไปทั้งหมดคุณอันซิงเป็นคนสั่งให้เขาทำ คุณว่า…”
“งั้นก็เรียกตัวอันซิงมาสอบปากคำด้วย เจ้าหน้าที่ฟู่ คุณยังจะให้ผมช่วยสอนคุณทำคดีด้วยรึไง” เซียวจิ่งสือวางถ้วยกาแฟลง ปรายตามองตำรวจแวบหนึ่งแล้วพูดเสียงเย็นชา
“ครับ ครับ คุณเซียว” เดิมทีเนื่องจากเขาได้ยินมาว่าอันซิงเป็นว่าที่ภรรยาของเซียวจิ่งสือ จึงอาจทำคดีได้ลำบาก คิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ปฏิบัติต่อภรรยาในอนาคตอย่างเท่าเทียมกันขนาดนี้
ตำรวจได้ยินเซียวจิ่งสือพูดเช่นนั้นก็ไปจับตัวอันซิงมาที่สถานีตำรวจอีกคน
อันซิงพอถูกนำตัวมาที่สถานีตำรวจ ก็ต่อต้านขัดขืนอยู่ตลอดเวลา “พวกคุณถือสิทธิอะไรมาจับฉัน? พวกคุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? ฉันคืออันซิงในเครือบริษัทตระกูลอันนะ ทางที่ดีพวกคุณรีบปล่อยฉันไปซะ!”
ตำรวจพูดอย่างไม่กลัวเกรง “คุณหนูอัน คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีข่มขู่กรรโชกทรัพย์ผู้อื่น และวงเงินค่อนข้างสูงทีเดียว ตามหลักกฎหมายแล้ว หากผิดจริงคุณจะมีโทษจำคุกสามปี”
“อ…อะไรนะ? จะเป็นไปได้ยังไงกัน?” อันซิงอยู่ดีๆ พอฟังว่าเธอจะถูกตัดสินจำคุกก็ตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
จากนั้น เธอก็เห็นหลักฐานพวกนั้นกับคนที่ถูกสอบปากคำอยู่ข้างเธอ…จางหาน เธอถามจางหานอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “แกเองเรอะ! แกหักหลังฉันใช่ไหม ดีเหลือเกินนะ แกมันทรยศเนรคุณ เอาเงินฉันไป พอถึงตอนนี้ก็ขายฉันเลยสินะ!”
“คุณตำรวจ พวกคุณก็เห็นแล้วนี่ เธอบังคับผม! ผมไม่ได้เต็มใจทำ!” จางหานเห็นท่าแล้วรีบแกล้งทำท่าว่าสำนึกเสียใจจนร้องไห้กับตำรวจ
“คุณหนูอัน คุณยังมีอะไรจะพูดอีกไหม” ตำรวจเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ก็หันมาถามอันซิง
“ฉัน…” อันซิงกำลังจะเอ่ยปาก ก็ถูกเสียงหนึ่งดังขัดขึ้น
“ความผิดของคุณหนูอันมีหลักฐานแน่นหนา ทั้งพยานหลักฐานมัดตัว ยังจะมีอะไรให้พูดอีก!” เซียวจิ่งสือปรากฎตัวต่อหน้าอันซิง พูดว่า “เจ้าหน้าที่ฟู่ ขอให้คุณรักษาความยุติธรรมและดำเนินคดีอย่างเข้มงวดด้วย!”
“เซียวจิ่งสือ?” อันซิงเห็นเซียวจิ่งสือมาปรากฏตัวที่นี่ก็สงสัยมาก แต่ยิ่งทำให้เธอไม่เข้าใจหนักกว่าคือคำพูดเมื่อครู่
คำพูดของเซียวจิ่งสือหมายความว่าเขาอยากให้เธอเข้าคุกหรือไง? อันซิงพูดกับเซียวจิ่งสืออย่างโมโหว่า “เซียวจิ่งสือ ทำไมคุณถึงทำแบบนี้คะ?”
“คุณหนูอัน ในเมื่อคุณทำผิดก็ควรจะได้รับการลงโทษ ต่อให้เป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอันก็เปล่าประโยชน์” เซียวจิ่งสือพูดกับอันซิงว่า “คุณหนูอันก็ยอมรับการตัดสินคดีแต่โดยดีเถอะ หวังว่าตอนอยู่ในคุกคุณจะรู้สึกสำนึกตัว กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีซะนะ”
อันซิงโกรธจัด สามีในอนาคตของเธอ เซียวจิ่งสือกล้าพูดกับเธอแบบนี้ แถมอยู่ต่อหน้าคนตั้งมากมายขนาดนี้ จะให้เธอเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน
“แต่เซียวจิ่งสือ ฉันท้องแล้ว คุณลืมคืนนั้นแล้วรึไง? ฉันมีลูกของคุณอยู่ในท้องนะ” อันซิงพูดเสียงเบาหวิวออกมา แต่เหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาตรงหน้า
เซียวจิ่งสือขมวดคิ้วกวาดตาไปที่ท้องของอันซิง แล้วพูดว่า “น่าขัน คุณจะมีลูกกับผมได้ยังไงกัน คืนนั้นคนที่อยู่กับคุณไม่ใช่ผมซะหน่อย”
“จะเป็นไปได้ยังไง?” อันซิงโพล่งออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
“นายมานี่สิ” ตอนนั้นเอง เซียวจิ่งสือก็ตะโกนออกไปด้านนอก ให้ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเข้ามา ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คน
“คืนนั้นคนที่อยู่กับคุณที่จริงคือเขา ลูกในท้องคุณน่าจะเป็นลูกเขาจึงจะถูกนะ” เซียวจิ่งสือชี้ไปที่ซั่วเฟิงแล้วพูดกับอันซิง
“น…นี่เป็นไปไม่ได้!” อันซิงเห็นซั่วเฟิงแล้ว เหมือนกับมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงที่กลางศีรษะเธอ ทุกอย่างอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเธอไปหมด
อันซิงไม่อยากเชื่อว่าคนที่อยู่กับเธอคืนนั้นไม่ใช่เซียวจิ่งสือ เธอคาดคั้นเอากับเซียวจิ่งสือว่า “เซียวจิ่งสือ คุณหลอกฉันอยู่ใช่ไหมคะ? คุณไม่อยากรับผิดชอบเด็กคนนี้ใช่ไหมคะ?”
“คืนนั้นคนที่มีอะไรกับคุณไม่ใช่ผม คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ” พูดจบ เซียวจิ่งสือก็ดูเวลา แล้วพูดอีกว่า “ทางบริษัทยังมีเรื่องให้ผมต้องจัดการอีก ผมไปก่อนล่ะ เจ้าหน้าที่ฟู่ ผมลาละครับ”
พอเซียวจิ่งสือไปแล้ว ตำรวจสองนายก็จัดการไปตามขั้นตอน เนื่องจากอันซิงเป็นผู้สั่งการ บวกกับข้อหาขู่บังคับให้ผู้อื่นกระทำผิด ถูกตัดสินให้จำคุกสามปี ส่วนจางหานเป็นจำเลยร่วม ถูกตัดสินยึดทรัพย์ที่มาจากการกระทำผิด ไม่ต้องจำคุก
แต่พอจางหานถูกปล่อยตัวออกมา ก็รีบเปิดโปงเรื่องเด็กในท้องอันซิงไม่ใช่ลูกของเซียวจิ่งสือ คราวนี้ทุกคนจึงรู้กันหมดว่าอันซิงสวมเขาให้เซียวจิ่งสือ
ตอนที่ 188 เป้าหมาย
“หลินหว่าน? บังเอิญจังนะ คุณมาทานข้าวที่นี่ด้วย?”
ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลินหว่านกำลังทานข้าวกับเซียวจิ่งสือ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนทักทายเธอดังมา
เธอเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าเป็นสวี่เหวินอี ห่างจากที่ได้พบเขาคราวก่อนนานทีเดียว คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่นี่อีก หลินหว่านยิ้มพลางพูดว่า “ใช่ บังเอิญจัง คุณก็มาทานข้าวที่นี่ด้วย?”
“ใช่ครับ ผมกับพวกเพื่อนร่วมงานมานี่ด้วยกัน” พูดจบ สวี่เหวินอีก็ชี้ไปทางหนึ่งแล้วพูดว่า “พวกเขาอยู่ทางด้านโน้นกัน ผมเพิ่งหาที่จอดรถได้ เลยเสียเวลาไปหน่อย”
หลินหว่านมองตามทิศทางที่สวี่เหวินอีชี้ไป ก็เห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งบุคลิกลักษณะหลากหลายกันไป จึงพูดทักขึ้นว่า “เพื่อนร่วมงานคุณนี่เยอะจังนะคะ”
ตอนนั้น หลินหว่านไม่ได้สังเกตเห็นว่าสีหน้าเซียวจิ่งสือยิ่งบูดลงไปทุกที
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” สวี่เหวินอีเห็นสีหน้าเซียวจิ่งสือแล้ว พูดอีกว่า “เอาละครับ ไม่รบกวนคุณกับประธานเซียวทานข้าวแล้ว เพื่อนร่วมก๊วนผมยังรอผมอยู่แน่ะ ผมไปก่อนนะครับ”
“ค่ะ” หลินหว่านยิ้มๆ มองเขาจากไป
สวี่เหวินอีจากไปแล้ว หลินหว่านจึงเห็นสีหน้าบูดบึ้งของเซียวจิ่งสือ ถามว่า “ทำไมรึคะ เซียวจิ่งสือ?”
“ต่อไปอยู่ห่างหมอนั่นหน่อย” เซียวจิ่งสือนึกถึงตอนที่หลินหว่านยิ้มกับสวี่เหวินอีแล้วรู้สึกอึดอัดขัดใจขึ้นมา ปกติไม่เห็นเธอจะยิ้มกับเขาแบบนี้บ้าง เซียวจิ่งสือยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห พูดอีกว่า “เขาไม่ใช่คนดีนักหรอก”
“…” หลินหว่านไม่รู้จะพูดอะไรดี เซียวจิ่งสือกินน้ำส้มอย่างไร้เหตุผลสิ้นดี เธอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเซียวจิ่งสือแม้แต่น้อย
วันต่อมา หลินหว่านได้รับโทรศัพท์จากสวี่เหวินอี นัดเธอไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน หลินหว่านนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนแล้ว ก็คิดซะว่าเป็นการร่วมทานอาหารของเพื่อนนักเรียนเก่า ไม่น่าจะไม่เหมาะสมตรงไหน จึงรับปากตกลงไป
“หลินหว่าน ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี คุณสวยขึ้นมากเลยนะครับ” สวี่เหวินอีพูดกับหลินหว่านที่นั่งตรงหน้า “ผมได้ดูหนังที่คุณเล่นด้วย แสดงได้ไม่เลวเลยนี่”
“ขอบคุณค่ะ” ต่อให้เป็นเพียงคำพูดตามมารยาท หลินหว่านได้ยินว่ามีคนชมว่าเธอแสดงได้ดี ก็อดดีใจไม่ได้
ทั้งสองต่างทักทายกันไปตามมารยาทอยู่ชั่วครู่ สวี่เหวินอีก็พูดถึงจุดประสงค์ที่เขานัดหลินหว่านทานข้าว “หลินหว่าน ได้ยินว่าแฟนคุณคือเซียวจิ่งสือ ประธานบริษัทเครือวั่นหย่ากรุ๊ปงั้นรึ?”
“อ่า…ก็ใช่นะ” หลินหว่านไม่ต้องการประกาศตัวเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเซียวจิ่งสือ พอเห็นว่าสวี่เหวินอีถามแบบนี้จึงตอบอย่างกำกวมไป
“วั่นหย่ากรุ๊ปเป็นธุรกิจระดับแนวหน้าเลยนะ แฟนคุณนี่ช่างเป็นคนหนุ่มที่เก่งน่าดูเลยนะ” สวี่เหวินอีพูดเหมือนไม่ตั้งใจนัก “ถ้าผมมีบริษัทใหญ่ขนาดนี้บ้างก็ดีสิ”
“ไม่หรอกค่ะ อันที่จริงเขาก็ธรรมดาออกค่ะ” หลินหว่านพูดเชิงถ่อมตัว
สวี่เหวินอีฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมาก เห็นว่าหลินหว่านตั้งใจอวดตัวกับเขา
“เอาเถอะค่ะ ไม่พูดถึงฉันแล้ว พูดถึงคุณบ้างเถอะ ตอนนี้คุณทำงานที่ไหนคะ?” หลินหว่านถามเพื่อหันเหความสนใจ อันที่จริง สำหรับรุ่นพี่ที่เธอเคยชื่นชอบสมัยเรียนมัธยมนี้ หลินหว่านเองก็อยากรู้มากว่าเขายังจะโดดเด่นเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่
สวี่เหวินอีได้ฟังก็มีสีหน้าดีขึ้น พูดอย่างโอ้อวดอยู่บ้างว่า “ผมรึ? เมื่อหลายปีก่อนผมเปิดบริษัทแห่งหนึ่ง เมื่อวานพวกเพื่อนร่วมงานที่คุณเห็น ที่จริงเป็นพนักงานส่วนหนึ่งของบริษัทผมเอง”
“ว้าว! งั้นคุณก็สุดยอดมากเลยสิคะ” หลินหว่านเผลอชมอย่างลืมตัว แล้วตามด้วยถามว่า “บริษัทคุณทำอะไรคะ? ก้าวหน้าดีไหมคะ”
สวี่เหวินอีพูดว่า “บริษัทของผมมีการเติบโตพอๆ กับธุรกิจของบ้านตระกูลเซียว แค่ขนาดบริษัทไม่ใหญ่ขนาดนั้น ขอบข่ายงานก็ไม่กว้างขนาดนั้น”
“ถึงอย่างนั้นรุ่นพี่ก็ยังเก่งมากอยู่ดีค่ะ!” หลินหว่านพูดอย่างจริงใจ รุ่นพี่ของเธอเก่งอย่างที่คิดไว้จริงๆ เปิดบริษัทเองเชียว
สวี่เหวินอีเห็นเป็นโอกาสก็ถอนใจ แล้วพูดเสริมขึ้นว่า “แต่ระยะนี้บริษัทเราเกิดวิกฤตที่ไม่เล็กนัก เลยยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงสิ”
“ทำไมเป็นอย่างนี้ละคะ?” หลินหว่านรีบปลอบโยนสวี่เหวินอีอย่างเป็นห่วง “อย่างกังวลไปเลยค่ะ รุ่นพี่ รุ่นพี่เก่งขนาดนี้ บริษัทจะต้องผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้แน่ค่ะ”
“งั้นหรือ? ถ้าผมได้ตระกูลเซียวช่วยก็ดีสิ วิกฤตแค่นี้ ไม่เท่าไหร่หรอก” สวี่เหวินอีหยอด
หลินหว่านพอได้ฟัง ก็ฉุกคิดได้ทันทีว่า บางทีเป้าหมายที่แท้จริงของสวี่เหวินอีที่เลี้ยงข้าวเธอในวันนี้ ก็คือเพื่อให้บริษัทเขาได้รับความช่วยเหลือจากบ้านตระกูลเซียวนั่นเอง!
หลินหว่านแกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจคำพูดของสวี่เหวินอี กล่าวว่า “งั้นหรือคะ? แต่ว่า รุ่นพี่คะ ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถอย่างพี่นี่ต้องนำพาบริษัทให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้แน่ค่ะ”
สวี่เหวินอีฟังแล้วอดใจไว้ไม่ได้อีก พูดกับหลินหว่านตรงๆ ว่า “หลินหว่าน เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเรา เธอช่วยผมหน่อยเถอะนะ เซียวจิ่งสือมีหนังสือโครงงานอยู่ฉบับหนึ่ง คุณช่วยขโมยมันออกมาให้ผมหน่อยได้ไหม”
หลินหว่านรู้สึกจิตใจหนักอึ้งขึ้นมาทันที รุ่นพี่ที่เธอชื่นชมสมัยมัธยม ไม่เจอกันหลายปี ทำไมจึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้?
“หลินหว่าน เธอวางใจได้ ขโมยหนังสือโครงงานนั่นออกมา ไม่กระทบอะไรกับบ้านตระกูลเซียวหรอก เธอช่วยบริษัทของผมหน่อยนะ!” สวี่เหวินอีเห็นหลินหว่านไม่พูดอะไร ก็ล้อหลอกตะล่อมหลินหว่านต่อไป
“รุ่นพี่คะ ขอโทษด้วยค่ะ เรื่องนี้ฉันทำให้ไม่ได้หรอกค่ะ” หลินหว่านใช้สายตาที่ผิดหวังมองสวี่เหวินอี พูดว่า “ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนค่ะ”
พูดจบ หลินหว่านก็ลุกจากที่นั่งหันหลังเดินจากไป
“เฮ้! หลินหว่าน…” สวี่เหวินอีเห็นหลินหว่านเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง ก็รู้สึกไม่พอใจมาก ตอนหลินหว่านเป็นนักเรียนนั้นชื่นชอบเขามาก เขารู้ดีอยู่แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ เดิมทีคิดจะใช้หลินหว่านให้ช่วยบริษัทตัวเองซะหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยขนาดนี้
หลินหว่านกับสวี่เหวินอีไม่รู้เลยว่า บทสนทนาของพวกเขาเมื่อครู่มีคนได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน
หลายวันก่อนหน้านี้ ตอนที่อันซิงถูกตัดสินจำคุกสามปีนั้น พออันโฮ่วสยงรู้เรื่องก็โกรธมาก ด่าว่าเธอทำให้บ้านตระกูลอันขายหน้า แต่ยังไงเขาก็ปล่อยให้อันซิงติดคุกจริงๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นบ้านตระกูลอันคงได้เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คนแน่! ดังนั้น อันโฮ่วสยงจึงไปวิ่งเต้นเส้นสายมากมาย หาวิธีที่จะเอาตัวอันซิงออกมา
พออันซิงออกมาได้ ข่าวที่เธอติดคุกก็รู้กันไปทั่วแล้ว เธอจึงอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปไม่ได้อีก
อันซิงจึงรู้ว่า ที่แท้เซียวจิ่งสือเพราะเพื่อภาพถ่ายพวกนั้นทำให้เธอต้องติดคุก อันซิงยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น โยนความผิดทั้งหมดไปที่หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือ
หลายวันมานี้ เธอสะกดรอยตามหลินหว่านตลอด คิดจะหาโอกาสแก้แค้น เมื่อครู่ตอนเธอเห็นหลินหว่านกับผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านนี้จึงแอบนั่งอยู่ด้านหลังของหลินหว่าน ฟังเธอกับผู้ชายคนนั้นคุยกัน
พอหลินหว่านจากไป อันซิงก็วางเมนูกับข้าวที่ปิดหน้าไว้ลง มาที่ตรงหน้าผู้ชายคนนั้น แล้วถามว่า “สนใจจะร่วมมือกับฉันไหมล่ะ?”
“คุณเป็นใคร?” สวี่เหวินอีขมวดคิ้วมองผู้หญิงที่จู่ๆ ก็โผล่มาคนนี้
“คนที่อยากให้บ้านตระกูลเซียวอับจนสิ้นหนทาง!” อันซิงตอบเสียงเย็นชา
ตอนที่ 189 จับเป็นตัวประกัน
หลินหว่านจากมาด้วยความรู้สึกผิดหวังมากมาย รุ่นพี่ที่เธอเคยชื่นชอบทำไมจึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยเห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์จนหน้ามืดตามัวไปหมด
เย็นนั้น เซียวจิ่งสือเห็นท่าทีหลินหว่านดูไม่มีความสุขนัก จึงถามเธอว่าเกิดเรื่องอะไร หลินหว่านส่ายหน้า ไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเซียวจิ่งสือ
หลังจากนั้นต่อมาอีกหลายวัน สวี่เหวินอีโทรหาหลินหว่านทุกวัน แต่หลินหว่านทำเหมือนไม่เห็น ไม่รับเลยสักสาย
สวี่เหวินอีคิดจะใช้ประโยชน์จากบ้านตระกูลเซียว ทำให้บริษัทของตัวเองเติบโตก้าวหน้าขึ้น ส่วนอันซิงก็อยากจะสร้างความลำบากให้กับเซียวจิ่งสือและหลินหว่าน ทำให้บ้านตระกูลเซียวอับจนสิ้นหนทาง
เป้าหมายของทั้งสองแม้จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่ก็ไม่ขัดแย้งกัน ดังนั้น ทั้งสองจึงพูดคุยร่วมมือกันได้
วันนี้ หลินหว่านได้รับข้อความหนึ่งจากสวี่เหวินอี ข้อความว่า ‘หลินหว่าน ขอโทษด้วย วันนั้นผมผิดไปแล้ว เนื่องจากบริษัทเกิดวิกฤตขึ้น ผมร้อนใจมากจึงคิดแผนเลวร้ายเช่นนั้นออกมา ตอนนี้พอมานึกดูแล้ว เป็นความผิดของผมเอง อย่างไรก็ตาม บ่ายวันนี้เราจะพบกันสักครั้งได้ไหม ผมอยากจะกล่าวขอโทษกับคุณด้วยตัวเอง หวังว่าคุณจะยอมให้อภัยผม’
จากนั้น สวี่เหวินอีก็ส่งที่อยู่แห่งหนึ่งมาให้ พร้อมแนบข้อความว่า ‘หลินหว่าน ผมอยากจะขอโทษคุณด้วยใจจริง ถ้าคุณไม่มา ผมจะรออยู่นี่ไปตลอด’
หลินหว่านพอได้รับข้อความก็คิดว่า ถ้าหากเธอมีบริษัทของตัวเอง แล้ววันหนึ่งประสบวิกฤต เธอก็คงขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักที่มีอำนาจวาสนาเช่นกัน จะโทษว่าสวี่เหวินอีก็ไม่ได้
ตอนบ่าย หลินหว่านมาถึงสถานที่ที่นัดพบกับสวี่เหวินอี
หลินหว่านคิดในใจว่า นี่อาจเป็นการพบกับสวี่เหวินอีเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะเธอยังรู้สึกไม่ดีกับการที่สวี่เหวินอีให้เธอไปขโมยหนังสือโครงงานของเซียวจิ่งสือ เธอจึงไม่อาจรู้สึกกับรุ่นพี่ที่ตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ได้เหมือนกับเป็นรุ่นพี่คนเดิมที่สำรวมสุภาพได้อีก…
“หลินหว่าน ดื่มกาแฟสักแก้วก่อนเถอะ” เสียงพูดของสวี่เหวินอีดังขัดความคิดของหลินหว่าน เขายื่นแก้วกาแฟให้เธอ
หลินหว่านรับเอามาอย่างไม่ได้ตั้งแง่ระแวดระวังอะไร ดื่มคำหนึ่งแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะ”
“หลินหว่าน คุณไม่ต้องเกรงใจผมขนาดนี้หรอก” สวี่เหวินอีพูดเสียงเรียบ แต่พอเขาเห็นว่าหลินหว่านดื่มกาแฟแก้วนั้นลงไป ก็แอบรู้สึกดีใจไม่ได้
“รุ่นพี่คะ คุณมีคำพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะค่ะ” หลินหว่านไม่อยากพูดมากกับสวี่เหวินอี
สวี่เหวินอีหน้าหุบฉับ แต่เขายังพูดต่อว่า “หลินหว่าน เรื่องวันนั้นผมทำผิดเอง แต่เป็นเพราะบริษัทผมเกิดวิกฤตขึ้น เกิดร้อน่ใจก็เลยคิดวิธีการแบบนั้นขึ้นมา หลินหว่าน คุณยกโทษให้ผมได้ไหม?”
“รุ่นพี่คะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณค่ะ แต่ว่า…” หลินหว่านมองสวี่เหวินอี ถึงยังไงเธอก็พูดตัดเยื่อใยไม่ออก หลินหว่านชะงักไปวูบ แล้วถามขึ้นว่า “รุ่นพี่คะ สถานการณ์บริษัทของรุ่นพี่ยังดีอยู่ไหมคะ ภาวะวิกฤตเป็นยังไงบ้างแล้วคะ”
“ก็ยังพอไปได้อยู่” สวี่เหวินอีบอกปัดพอให้พ้นตัว อันที่จริงบริษัทเขามีวิกฤตที่ไหนกัน ทั้งหมดนี้ก็แค่เป็นข้ออ้างเพื่อให้หลินหว่านช่วยขโมยแผนโครงงานออกมาให้เขาเท่านั้นเอง
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ” หลินหว่านเห็นว่าสวี่เหวินอีไม่อยากเล่าให้เธอฟัง จึงไม่ถามมากความ
แต่แล้วในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลินหว่านรู้สึกเวียนศีรษะ เธอวางแก้วกาแฟลง มือข้างหนึ่งกุมศีรษะอีกข้างจับโต๊ะไว้ พูดว่า “ฉันมึนหัวจังค่ะ รุ่นพี่ รบกวนช่วยส่งฉันไปโรงพยาบาลหน่อยได้ไหมคะ”
สวี่เหวินอีเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่ายาที่เขาใส่ไว้ในถ้วยกาแฟออกฤทธิ์แล้ว จึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเองออกมาในที่สุด บอกกับหลินหว่านว่า “ไปโรงพยาบาลทำไมกันล่ะ หลินหว่าน ผมจะบอกให้นะ วันนี้คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
หลินหว่านพอได้ฟังก็ตกใจมาก รู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว ที่แท้รุ่นพี่ที่เธอชื่นชอบสมัยมัธยม มีโฉมหน้าแท้จริงเป็นแบบนี้เอง
ตอนนั้น หลินหว่านก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “หลินหว่าน ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
หลินหว่านเห็นอันซิงที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ไหน มาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ หลินหว่านตกใจมาก เซียวจิ่งสือบอกกับเธอว่าอันซิงติดคุกไปแล้วไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมเธอยังมาอยู่ที่นี่ได้?
“อันซิง…ธ…เธอมาอยู่ที่นี่ได้ไง?” หลินหว่านศีรษะมึนงงไปหมด เธอถามอันซิงอย่างระวังตัว
“ฮึ เพราะฉันจะแก้แค้นแกนะสิ! วันนี้ ฉันจะให้แกชดใช้ในสิ่งที่แกติดค้างฉันไว้ทั้งหมด!” อันซิงพูดเสียงเย็น พลางมองหลินหว่านอย่างเคียดแค้น/เกลียดชัง
“ธ…เธอ…” หลินหว่านคิดจะพูดอะไร แต่ยาออกฤทธิ์ ทำให้ตลอดร่างไม่มีเรี่ยวแรง พูดอะไรไม่ออกอีก
“คุณหนูอัน เราไปจากนี่กันก่อนเถอะ” สวี่เหวินอีพูดกับอันซิง เมื่อวานเขาเพิ่งได้รู้ว่าอันซิงเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอัน เขาจึงมีท่าทีเกรงอกเกรงใจกับเธอ
สวี่เหวินอีอุ้มหลินหว่านขึ้น ยัดเข้าที่นั่งด้านหลังรถของเขา อันซิงนั่งที่นั่งข้างคนขับ ส่วนเขานั่งในตำแหน่งคนขับ ขับรถไปยังชานเมือง
ตอนนี้ในใจหลินหว่านเปี่ยมด้วยความสิ้นหวัง ใครจะไปนึกว่าอันซิงจะร่วมมือกับสวี่เหวินอีวางแผนทำร้ายเธอ ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพาเธอไปที่ไหนอีก
สวี่เหวินอีขับรถเป็นเวลานาน สุดท้ายมาหยุดอยู่ที่โรงงานร้างแห่งหนึ่ง
พอถึงที่ สวี่เหวินอีลงจากรถ แบกร่างหลินหว่านจากที่นั่งด้านหลังออกมา มือเท้าของหลินหว่านถูกมัดไว้ได้แต่ปล่อยให้เขาแบกเข้าโรงงาน แล้วโยนร่างเธอไว้ที่ข้างกองสินค้าเก่า
“แค่ก…แค่ก…” หลินหว่านทนกับความเจ็บปวดที่ถูกโยนลงกับพื้น และสำลักฝุ่นที่กระจายฟุ้งขึ้นมา
เสียงอันซิงดังใกล้เข้ามา “หลินหว่าน แกคอยดูไปเถอะ วันนี้ทั้งแกกับเซียวจิ่งสือฉันจะไม่ปล่อยไปสักคน ฉันจะเอาคืนที่พวกแกทำกับฉันไว้ทั้งหมด!”
พูดจบ อันซิงก็หยิบมือถือขึ้นมา โทรหาเซียวจิ่งสือ
สัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น “ตู๊ด…ตู๊ด…” หลินหว่านมองดูแล้วพบว่ามือถือที่อันซิงใช้อยู่เป็นมือถือของเธอ
“หว่านหว่าน มีอะไรเหรอ?” ไม่นานนักก็มีคนรับสาย หลินหว่านได้ยินเสียงอบอุ่นนุ่มนวลของเซียวจิ่งสือดังมาจากปลายสายอีกด้าน
“เซียวจิ่งสือ ตอนนี้หลินหว่านอยู่ในมือฉัน ถ้าคุณอยากช่วยเธอ ก็มาที่โรงงานร้างแถบชานเมืองนี่คนเดียว จำไว้ คุณมาคนเดียวเท่านั้น ห้ามแจ้งตำรวจ ห้ามมีคนอื่น ไม่อย่างนั้น…”
“อันซิง? เธอทำอะไรหลินหว่านน่ะ?” เซียวจิ่งสือถามมาในโทรศัพท์อย่างโกรธเกรี้ยว
“ไม่อย่างนั้น คุณจะไม่ได้เห็นเธออีก!” อันซิงพูดเสียงเย็นเฉียบ
(เนื้อหาท่อนนี้ขัดแย้งกับตอนที่ 191– ผู้แปล)
พูดจบ อันซิงก็วางสาย ตอนนั้นเองหลินหว่านรวบรวมกำลังทั้งหมดร้องตะโกนออกมาว่า “เซียวจิ่งสือ คุณอย่ามานะ!”
หลินหว่านตะโกนสุดเสียง โทรศัพท์ไม่มีเสียงอะไรอีก เซียวจิ่งสือกำมือถือไว้แน่น โทสะพลุ่งพล่านอยู่ในใจ แต่เขายังขับรถออกไป มาถึงสถานที่ที่อันซิงบอกไว้อย่างรวดเร็ว
“หึหึ เซียวจิ่งสือ คุณมาจนได้นะ” สวี่เหวินอีพอเห็นเซียวจิ่งสือ ก็เหยียดยิ้มอย่างหมายมาด
เซียวจิ่งสือมาถึงโรงงานแล้วพบว่าที่นี่ไม่เพียงมีหลินหว่านที่ถูกจับตัวมากับอันซิง แต่ยังมีคนที่เขาเคยพบหน้ามาก่อน เพื่อนมัธยมของหลินหว่าน…สวี่เหวินอี
เซียวจิ่งสือเห็นดังนั้นก็คิดจะดึงความสนใจของพวกเขา จะได้ช่วยหลินหว่านออกมา
ตอนที่ 190 ข่มขู่
ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนสุภาพของสวี่เหวินอีบิดเบี้ยวขึ้นมาทันควัน เขาแสยะยิ้มพลางพูดว่า “เซียวจิ่งสือ คุณเห็นผมเป็นคนโง่รึไง ท่าทางแบบนี้ของคุณยังคิดจะให้หลินหว่านมีชีวิตกลับไปไหม ทางที่ดีคุณก็ทำตัวให้ฉลาด เชื่อฟังหน่อย” (ตอนจบของบทก่อนหน้านี้ เซียวจิ่งสือเพิ่งเจอสวี่เหวินอี ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ทำไมท่าทีเปลี่ยนไป หรือจะขาดบทสนทนาไปท่อนหนึ่ง? –ผู้แปล)
ภายในโรงงานขนาดใหญ่นี้ มีเพียงเสียงหัวเราะเยือกเย็นไร้น้ำใจของสวี่เหวินอี ท่ามกลางเศษซากเหล็ก และเครื่องยนต์กลไก ยิ่งทำให้บรรยากาศเย็นเยือกขึ้นไปอีก
เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บที่ไหนหรือเปล่า ทำให้เขาคิดหาลู่ทางอย่างรวดเร็ว สวี่เหวินอีที่ดูเหมือนเป็นพวกมีความรู้ที่ไม่ค่อยมีกำลัง แต่กลับเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ หลินหว่านที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยจึงถูกคนใจสัตว์ประเภทนี้ใช้เป็นเครื่องมือ สถานการณ์ในวันนี้คงจะเอาตัวรอดได้ยากแล้ว เซียวจิ่งสือนึกในใจอย่างอับจน แต่จะถ้าปล่อยให้คนพวกนี้จัดการ เขากับหลินหว่านคงต้องตายอยู่ที่นี่แน่
เซียวจิ่งสือยังคงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ดูไม่หวั่นไหว พูดเสียงช้าชัดว่า “สวี่เหวินอี แกมันไม่ใช่คน เรื่องแบบนี้ยังทำได้ลงคอ หลินหว่านโชคร้ายที่มารู้จักกับรุ่นพี่แบบแก แกอยากได้เงินนักใช่ไหม ฉันจะให้แก แต่ว่าถ้าหากหลินหว่านต้องเจ็บตัวที่ไหนก็ตาม ฉันจะให้แกอยากตายเลยทีเดียว”
สวี่เหวินอีหัวใจกระตุกวูบ นึกในใจว่า เซียวจิ่งสือไม่เสียทีที่ผ่านคลื่นลมในวงการธุรกิจมาก่อน เจอเรื่องแบบนี้ยังสงบสติอารมณ์ได้ ไม่มีท่าทีตื่นตกใจ ไม่ใช่คนใจบุญที่จะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ วันนี้ยิ่งปล่อยเขาไปไม่ได้แล้ว
พอนึกถึงตอนนี้ สวี่เหวินอีก็แสยะยิ้มชั่วร้ายยิ่งขึ้น พูดเสียงเยาะหยันว่า “โอ๊ะๆๆ เสียทีที่เป็นท่านประธานใหญ่เซียวจริงๆ คำพูดคุณเมื่อกี้ทำเอาผมตกใจแน่ะ” พลัน สวี่เหวินอีเปลี่ยนสีหน้าเป็นดุร้าย ดวงตาทั้งคู่ทอแววชั่วร้าย ร้องเสียงดังว่า “แต่ว่า คนอย่างสวี่เหวินอีทำอะไรแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด ในเมื่อเริ่มเรื่องแล้ว ผมก็ไม่เปลี่ยนใจแน่ วันนี้พวกคุณไปได้ แต่ต้องทิ้งของอย่างหนึ่งไว้”
“แกต้องการอะไร?” เซียวจิ่งสือถลึงตาจ้องสวี่เหวินอี ดูว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
“อันที่จริงก็ง่ายมาก คุณแค่หักแขนซ้ายข้างหนึ่งก็ได้แล้ว” สวี่เหวินอีเบิ่งตากว้าง พูดออกมาราวกับถูกผีร้ายเข้าสิงจนเสียสติไปแล้ว
เซียวจิ่งสือนึกในใจว่า แกไอ้เลว ให้ฉันหักแขนตัวเอง งั้นก็ยิ่งไม่ต้องคุยกันแล้ว ต่อให้ฉันยอมหักแขนตัวเอง ถ้าเกิดแกไม่รักษาคำพูดแล้วจะทำไง? (จากรูปประโยคต้นฉบับที่ให้ “ทิ้งของอย่างหนึ่งไว้” น่าจะเป็นให้ตัดแขนข้างหนึ่ง แต่พอด้านหลัง สิ่งที่ทำออกมาคือ หักแขนข้างหนึ่ง…-ผู้แปล)
แต่ว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือก เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่นอนไร้สติอยู่ตรงหน้าสวี่เหวินอีห่างไปไม่ถึงเมตรแล้ว เขารู้ดีว่าความปลอดภัยของหลินหว่านสำคัญที่สุด
สีหน้าเซียวจิ่งสือไม่บอกว่ากลัวเลยสักนิด หัวเราะแล้วพูดว่า “แกจับตัวแฟนฉันมา เพื่อข่มขู่ฉัน ฉันก็ต้องรู้ก่อนสิว่าเธอยังปลอดภัยดีหรือเปล่าไม่ใช่รึไง”
สวี่เหวินอีผงกศีรษะ พูดว่า “คุณก็เป็นงานเหมือนกันนี่ ได้! ผมจะพยุงเธอขึ้นมา คุณถามเธอเองแล้วกัน” พูดจบก็ก้มตัวลงไปพยุงร่างหลินหว่านที่ยังสลึมสลืออยู่ขึ้นมา “ผมแค่ให้หลินหว่านกินยาไปนิดหน่อย อีกเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว” สวี่เหวินอีพูดอย่างสบายอกสบายใจ
“หลินหว่าน! หลินหว่าน! คุณเป็นยังไงบ้าง” เซียวจิ่งสือถามอย่างเป็นห่วง เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านอยู่ในสภาพสลึมสลือ ก็โมโหจนตัวสั่น สวี่เหวินอีแกมันตัวอะไรวะ ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่
หลินหว่านได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอ ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นเป็นเซียวจิ่งสือ ก็พยายามยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยล้า อยากจะบอกเขาว่าเธอไม่เป็นไรหรอก
พอเห็นว่าสายตาของเซียวจิ่งสือที่มองเธอเต็มไปด้วยความห่วงใยกับโทสะ หลินหว่านก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอ่อนล้าว่า “เซียวจิ่งสือ ฉันเหนื่อยมากเลย รีบพาฉันไปจากที่นี่ทีเถอะ”
หัวใจของเซียวจิ่งสือเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ไม่มีความทุกข์ทรมานใจอะไรมากไปกว่าเห็นคนที่ตัวเองรักอยู่ตรงหน้าแต่กลับพาเธอไปไม่ได้อีกแล้ว
เซียวจิ่งสือหยิบท่อเหล็กท่อนหนึ่งที่ข้างตัวขึ้นมา พูดกับสวี่เหวินอีว่า “หวังว่าแกจะรักษาสัญญา ฉันจะหักแขนตัวเอง แกปล่อยตัวหลินหว่าน”
เซียวจิ่งสือตวัดท่อนเหล็กขึ้นสูงแล้วกัดฟันหวดลงที่แขนซ้ายของตัวเอง เซียวจิ่งสือครางออกมาคำหนึ่ง เหงื่อเม็ดเป้งๆ ผุดขึ้นบนหน้าผาก สีหน้ากลายเป็นซีดขาว กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกด้วยความเจ็บปวดจนบิดเบี้ยวไป
“ไม่นะ!!!!” หลินหว่านเห็นเซียวจิ่งสือทำร้ายตัวเอง สายตาเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวและสงสัย แต่สายไปแล้ว หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือที่กุมแขนข้างที่บาดเจ็บทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างเจ็บปวด น้ำตาของหลินหว่านทะลักออกมาบดบังสายตาของเธอ หลินหว่านเข้าใจอย่างเจ็บปวดในที่สุด สวี่เหวินอีใช้เธอข่มขู่เซียวจิ่งสือ ให้เขาทำร้ายตัวเอง
ในที่สุดหลินหว่านก็ได้เห็นธาตุแท้ของรุ่นพี่หน้าเนื้อใจเสือ หลายครั้งที่เขาเข้าใกล้เธอก็เพื่อบรรลุแผนร้ายของตัวเองเท่านั้น หลินหว่านด่าสวี่เหวินอีในใจไปนับหมื่นรอบ แต่ร่างกายเธอยังไม่มีแรงกลับคืนเหมือนเดิม ตอนนี้ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง
สวี่เหวินอีเห็นเซียวจิ่งสือเจ็บปวดก็ตบมืออย่างรื่นเริง “เท่ห์สุดๆ ไปเล้ย ท่านประธานเซียว คุณนี่ลูกผู้ชายขนานแท้เลย ผมล่ะยอมนับถือเลย ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจซะจริง”
เซียวจิ่งสือมองดูสวี่เหวินอีที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นแล้วพูดว่า “สวี่เหวินอี แกหมายความว่าไง”
“ฮ่าๆๆๆ แค่นี้ยังดูไม่ออกรึไง พูดกันถึงขนาดนี้แล้วผมยังจะปล่อยพวกคุณไปได้อีกรึไง คุณนี่มันช่างไร้เดียงสาซะจริง”
หลินหว่านคิดอย่างเจ็บปวดใจ เธอเองเป็นคนทำร้ายเซียวจิ่งสือ เซียวจิ่งสือยอมทำร้ายตัวเองเพราะเพื่อเธอ หลินหว่านโทษตัวเองที่ไม่เห็นคุณค่าในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกัน ได้แต่มองดูสวี่เหวินอีทรมานเซียวจิ่งสืออยู่ด้านข้าง ทุกข์ทรมานจนแทบจะขาดใจ
“สวี่เหวินอี ฉันมันตาบอดเอง จึงเห็นคุณเป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ที่ฉันเคารพนับถือ ตอนนี้ทำไมคุณถึงเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายได้ถึงขนาดนี้ รีบปล่อยพวกเราไปนะ” หลินหว่านพูดไปพลางร้องไห้พลาง
“ฮ่าๆ รุ่นน้องที่น่ารักของพี่ สังคมสมัยนี้ใครใหญ่ใครก็อยู่ ผมแค่ใช้อุบายนิดหน่อยเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ผมผิดรึไง? พวกนักธุรกิจใหญ่ๆ นั่นมีกี่คนที่สะอาดหมดจดกัน?” สวี่เหวินอีหัวเราะอย่างไม่แยแส
หลินหว่านเห็นว่าคนตรงหน้ากลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดทาง รุ่นพี่นี่ถลำลึกจนเกินไปแล้ว กลับตัวกลับใจไม่ทันซะแล้ว
หลินหว่านใช้สายตาที่เศร้าเสียใจมองดูเซียวจิ่งสือที่ทนอดกลั้นความเจ็บปวดอยู่ เธอพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “คุณรีบไปซะ อย่าสนใจฉันเลยค่ะ”
เซียวจิ่งสือสะกดกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวที่แขน แข็งใจส่งยิ้มให้หลินหว่านพลางปลอบเธอว่า “หลินหว่าน คุณวางใจเถอะ ผมไม่เป็นไรหรอก บาดเจ็บแค่นี้ผมยังทนได้ ร่างกายผมแข็งแรงออกนะครับ”
สวี่เหวินอีฟังดูทั้งคู่พูดคุยกันที่ด้านข้างแล้ว พูดแทรกขึ้นอย่างรำคาญว่า “ผมว่านะคุณสองคน นี่ไม่ใช่จะล่ำลากันไปตายซะหน่อย ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้มั้ง เห็นแล้วคลื่นไส้ชะมัด พวกคุณสองคนนี่แสดงได้ดีซะเหลือเกิน แม้แต่ฮอลลีวู้ดยังต้องให้รางวัลตุ๊กตาทองเลยมั้งเนี่ย”
เซียวจิ่งสือแค่นเสียงแล้วพูดว่า “หุบปากเหม็นๆ ของแกไปเลย แกมันสัตว์ชั้นต่ำ ยังจะรู้จักน้ำใจไมตรีของคนด้วยรึไง? ตอนนี้แกรีบปล่อยหลินหว่านไปซะ ถ้าให้ฉันออกไปได้ แกได้ตายดีแน่”
สวี่เหวินอีเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อน พูดว่า “เซียวจิ่งสือ คุณก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมยังไร้เดียงสาขนาดนี้เนี่ย วันนี้ผมไม่มีทางปล่อยหลินหว่านไปแน่ นอกจากว่าคุณจะให้ในสิ่งที่ผมต้องการ”
“แกอย่ามาพูดพล่อยๆ เมื่อกี้จะเอาแขนฉัน ฉันให้แกแล้วไง แกยังจะเอาอะไรอีก? บอกมาเลยดีกว่า อย่าทำให้เสียเวลาคนอื่นเขา” เซียวจิ่งสือพูดอย่างเข่นเขี้ยว
สวี่เหวินอีเผยรอยยิ้มประหลาดออกมา
ตอนที่ 191 ความต้องการที่แท้จริง
สวี่เหวินอียิ้มแล้วพูดว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่ของพิเศษอะไรมาก แค่โอนหุ้นตระกูลเซียวทั้งหมดมา ตอนนี้บริษัทผมกำลังเริ่มเดินหน้า ต้องการเงินทุนจำนวนมาก ถ้าคุณยอมทำตามที่ผมว่า คุณก็จะเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของบริษัทผมเลยทีเดียว”
หลินหว่านนั่งนิ่งอยู่บนพื้น พอได้ยินว่าสวี่เหวินอีเสนอความต้องการนี้ ก็ตกใจจนหน้าขาว ถ้าเซียวจิ่งสือยอมทิ้งหุ้นทั้งหมดไปเพื่อเธอจริงๆ เธอคงกลายเป็นคนบาปไปแล้ว หลินหว่านรีบร้องขึ้นว่า “เซียวจิ่งสือ อย่าโอนหุ้นให้เขานะ ต่อให้คุณโอนหุ้นให้เขา เขาก็ไม่ปล่อยฉันหรอก คุณรีบไปซะไม่ต้องสนใจฉัน”
สวี่เหวินอีพูดอย่างโมโห “หลินหว่าน ผมว่าคุณทำตัวให้ฉลาดหน่อยนะ เห็นแก่ที่เราเคยเรียนด้วยกันมา ผมไม่อยากทำร้ายคุณ แต่ถ้าคุณยังไม่สงบปากคำก็อย่าหาว่าผมใจร้ายนะ”
เซียวจิ่งสือพอได้ยินข้อเสนอของสวี่เหวินอี ก็ขมวดคิ้วแน่น คิดในใจว่า “หลินหว่านพูดถูก ต่อให้ฉันโอนหุ้นทั้งหมดให้ ถึงเวลาเขาจะไม่ทำตามสัญญาก็ได้ คนแบบนี้จะมีอะไรให้เชื่อถือได้กัน แต่ตอนนี้เราไม่มีทางเลือก ฉันไม่ยอมทิ้งหลินหว่านไปแน่”
เซียวจิ่งสือกัดฟันกรอด ดวงตาเป็นประกายเด็ดเดี่ยว ตอบว่า “สวี่เหวินอี ฉันรับปากโอนหุ้นทั้งหมดให้ แต่แกต้องปล่อยตัวหลินหว่านไป ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้แกตายอย่างทุเรศแน่”
พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือยอมรับปาก สวี่เหวินอีก็เปลี่ยนท่าทีเป็นมิตร พูดว่า “ได้สิ แค่คุณมอบหุ้นมา ทุกอย่างแล้วแต่คุณจัดการได้เลย”
ตอนนั้นเอง กองเศษซากเครื่องยนต์ที่ด้านหลังสวี่เหวินอีพลันมีเสียงหัวเราะดังออกมา เซียวจิ่งสือมองหาที่มาของเสียง ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลัง สายตาของผู้หญิงนั้นแฝงแววประหลาด ใบหน้าประดับรอยยิ้มจอมปลอม เธอหัวเราะเสียงดัง พูดว่า “เซียวจิ่งสือ คิดไม่ถึงว่าคุณจะยอมสละหุ้นทั้งหมดเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ ช่างบูชาความรักซะเหลือเกินนะ ฉันนับถือคุณจริงๆ เลย”
หลินหว่านรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นหูมาก จึงหันกลับไปมอง พบว่าผู้หญิงคนนี้ก็คืออันซิง หลินหว่านกับเซียวจิ่งสือต่างมีสีหน้าประหลาดใจ เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน อันซิงอยู่ในคุกไม่ใช่หรือ
อันซิงไม่สนใจท่าทางตกใจของทั้งสอง พูดต่อไปว่า “เซียวจิ่งสือรู้ยังงี้แต่แรกจะขัดขืนไปทำไมกันนะ ถ้าคุณรับปากยอมทำตามฉันซะแต่แรก ก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้หรอก”
อันซิงเดินเข้าหาเซียวจิ่งสือช้าๆ ในมือถือซองเอกสารซองหนึ่ง
พอถึงเบื้องหน้าเซียวจิ่งสือ อันซิงก็ย่อตัวนั่งลง ยื่นมือออกไปคิดจะลูบคลำแขนข้างที่บาดเจ็บของเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือผลักมืออันซิงออก พูดว่า “อย่ามาเสแสร้งแกล้งดัดอยู่นี่ ผมรู้ว่าสภาพผมในตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นฝีมือคุณ”
อันซิงยิ้มฝืดๆ ออกมา พูดว่า “เซียวจิ่งสือ ฉันชอบคุณจริงๆ นะ ทุกอย่างที่ฉันทำลงไปก็เพื่อคุณ แต่ทุกอย่างมันสายไปแล้ว หนังสือโอนหุ้นฉันเตรียมมาแล้ว อยู่ในซองเอกสารนี้ คุณเซ็นชื่อซะ ต่อไปฉันจะไม่มารบกวนพวกคุณอีก”
พูดจบ อันซิงก็ยื่นซองเอกสารมาตรงหน้าเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือลังเลวูบหนึ่งแล้วหยิบปากกาออกมา ขณะจะเซ็นชื่อลงบนเอกสารนั้น พลันมีเสียงร้องอย่างตกใจว่า “ไม่นะ!”
จู่ๆ หลินหว่านก็ลุกขึ้นยืนแล้วใช้พลังในตัวทั้งหมดพุ่งเข้าชนสวี่เหวินอีจนล้มลงแล้วพุ่งเข้าหาเซียวจิ่งสือราวกับคนบ้า
ทุกคนพากันมองไปที่หลินหว่าน แต่ไม่มีใครรู้ว่าหลินหว่านไปเอาแรงมาจากไหน ชั่วขณะนั้นอันซิงตะลึงนิ่งอยู่กับที่ ลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร
หลินหว่านคว้าตัวเซียวจิ่งสือที่คุกเข่าอยู่กับพื้นได้ก็ฉุดให้วิ่งไปทางประตูหลัง เซียวจิ่งสือชะงักไปว่าเกิดอะไรขึ้น พอรู้ว่าหลินหว่านคว้าตัวเขาแล้ววิ่ง ก็เข้าใจทันควัน
พอสวี่เหวินอีรู้ตัวก็กระโดดขึ้นจากพื้น เป็ดต้มสุกจะปล่อยให้บินหนี [1] ไปได้ไงกัน เขาตะโกนดังลั่น “ตามไปเร็ว”
อันซิงจึงนึกขึ้นได้ตามติดออกไป
สวี่เหวินอีกับอันซิงไล่ตามคนทั้งสองที่วิ่งเตลิดอยู่ข้างหน้ามาอย่างกระชั้นชิด
เซียวจิ่งสือที่วิ่งออกมาได้จึงพบว่าที่แท้ด้านนอกคลังเก็บสินค้าเป็นทะเล คิดไม่ถึงว่าแผนของพวกสวี่เหวินอีจะรอบคอบปานนี้ เลือกสถานที่นัดพบห่างไกลผู้คนเช่นนี้ ช่างคิดหามาได้จริงๆ
เซียวจิ่งสือจับมือหลินหว่านไว้แน่น มองดูผืนทะเลกว้างใหญ่ข้างหน้าอย่างหมดสิ้นหนทาง ตรงหน้าไม่มีหนทางอื่นอีก มีเพียงหุบเหวสูงชัน ด้านล่างเป็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ต่อให้มีปีกก็บินกลับไปไม่ได้ เซียวจิ่งสือคิดอย่างสิ้นหวัง
ทันใดนั้น เซียวจิ่งสือเห็นทุ่งหญ้ารกร้างด้านหน้ามีฝุ่นตลบขึ้น รถโฟล์คสวาเกน พาสสาทสีดำสามคันพุ่งตรงมาทางด้านนี้ เซียวจิ่งสือนึกในใจว่า “ผู้ช่วยของพวกเขามาแล้ว? ดูท่าว่าฟ้าไม่เข้าข้างเราซะแล้ว?”
ขณะกำลังสิ้นหวังนั้นเอง มีชายสวมชุดดำแว่นดำลงมาจากรถสิบกว่าคน คนที่นำหน้าคือซั่วเฟิงนั่นเอง
ซั่วเฟิงรีบเข้ามาหาเซียวจิ่งสือ พูดด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยว่า “ท่านประธานเซียวพวกเรามาช้าไป” “แขนคุณเป็นอะไรไป?” พอเห็นเซียวจิ่งสือประคองแขนข้างที่บาดเจ็บก็ถามขึ้น
สวี่เหวินอีวิ่งไล่ตามพลางคิดว่า ยังดีที่ฉันฉลาด เลือกสถานที่ห่างไกลผู้คนแบบนี้ ข้างหน้ายังเป็นทะเลอีก จะดูซิว่าพวกแกจะบินขึ้นฟ้าไปได้ยังไง
แต่ว่าพอไล่ตามมาถึงด้านนอกก็ถูกคนชุดดำกลุ่มหนึ่งล้อมกรอบ อันซิงวิ่งช้า แต่ผลสุดท้ายก็เหมือนกัน
เซียวจิ่งสือมองดูคนหน้าด้านไร้ยางอายทั้งคู่แล้วพูดว่า “คนเลวย่อมต้องได้รับกรรมตามสนอง วันนี้พวกแกตกอยู่ในมือฉัน ก็อย่าหาว่าฉันไร้น้ำใจ”
อันซิงรู้ว่าวันนี้คงหนีไม่รอดแล้ว ต่อไปก็คงหนีไม่รอดเช่นกัน เดิมทีตัวเองก็หลบหนีออกมาจากคุก ตอนนี้ถ้าถูกจับกลับเข้าไปอีก เธอคงต้องอยู่ในนั้นจนตายแน่ ชีวิตแบบนั้นจะไปมีความหมายอะไรกัน อันซิงที่คิดปั่นป่วนวุ่นวายในสมองเฝ้าถามตัวเองไม่หยุด จะทำอย่างไรดี
เซียวจิ่งสือพูดกับซั่วเฟิงว่า “ไม่ต้องพูดมาก จับส่งตำรวจไปเลย”
ขณะที่ซั่วเฟิงกำลังให้ชายชุดดำส่งตัวพวกอันซิงขึ้นรถนั้นเอง จู่ๆ อันซิงก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีกอดรัดร่างหลินหว่านเอาไว้แล้วโดดลงทะเลไป
เหตุเกิดขึ้นกะทันหัน แค่ได้ยินเสียงร้องโอ๊ะ จากนั้นร่างของอันซิงกับหลินหว่านก็หายลับไปจากสายตา จากนั้นเป็นเสียงตูมเมื่อคนทั้งคู่ร่วงลงในทะเลที่มีคลื่นลูกโตซัดสาดอยู่
เซียวจิ่งสือร้องออกมาอย่างร้อนใจ “ช่วยคนเร็ว” ชายชุดดำทุกคนต่างพากันวุ่นวาย ถอดเสื้อผ้าออก บ้างก็ปีนใต่หน้าผา
เซียวจิ่งสือโทษตัวเองที่ไม่ได้ดึงตัวหลินหว่านเอาไว้ ปล่อยให้หลินหว่านร่วงตกลงไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้
เซียวจิ่งสือที่สองตาแดงก่ำ มองสวี่เหวินอีที่อยู่ตรงหน้า ไม่อาจสะกดกลั้นโทสะไว้ได้อีกต่อไป เหวี่ยงออกไปหมัดหนึ่ง จนสวี่เหวินอีร่วงลงไปกองกับพื้น ก็ยังไม่หายแค้น
เขารัวหมัดเข้าใส่ใบหน้าของสวี่เหวินอีเป็นชุด
ซั่วเฟิงเห็นเจ้านายซ้อมเจ้านี่ราวกับเป็นบ้าไปแล้ว ก็นึกกังวลว่าจะถึงตายได้ จึงรีบพุ่งเข้าไปดึงตัวเซียวจิ่งสือออกมา
เซียวจิ่งสือร้องออกมาราวกับสัตว์ที่บาดเจ็บ เหมือนความเจ็บปวดภายในใจที่ไม่อาจบรรเทาลงได้
ซั่วเฟิงพูดปลอบว่า “ท่านประธานเซียว ผมจัดคนไปช่วยคุณหลินแล้ว คุณวางใจได้ จะต้องเจอตัวโดยเร็วแน่”
เซียวจิ่งสือรู้ดีว่า ตอนนี้หลินหว่านเป็นตายเท่ากัน
บนหน้าผา เซียวจิ่งสือหันหน้าเข้าหาท้องทะเล ร้องตะโกนออกมาสุดแรงว่า “หลินหว่าน คุณอยู่ไหน”
——
[1] เป็ดต้มสุกปล่อยให้บินหนีไป หมายถึง ของที่เห็นชัดว่าจะได้มาแต่หลุดมือไป
ตอนที่ 192 ตามหาเธอ
เซียวจิ่งสือนั่งอยู่ที่ห้องทำงานในสภาพผมเผ้ากระเซิง ซั่วเฟิงเคาะประตูห้องเข้ามา เซียวจิ่งสือเด้งตัวผึงลุกขึ้นยืนเหมือนได้ยากระตุ้นประสาท
“เป็นยังไงบ้าง? ได้ข่าวไหม?” เซียวจิ่งสือเขย่าแขนซั่วเฟิงอย่างตื่นเต้น ถามพลางจ้องเขาเขม็ง
“ท่านประธานเซียว ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมาพวกเราปูพรมออกค้นหาไปตามแนวชายฝั่งจนทั่วแล้ว ทุกซอกมุมของทุกหมู่บ้านพวกเราก็สอบถามอย่างละเอียด แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคุณหลินเลยครับ”
เซียวจิ่งสือพอได้ฟังข่าวนี้จากอาการกระชุ่มกระชวยก็กลายเป็นหมดอารมณ์เซื่องซึม เซียวจิ่งสือพูดอย่างหมดแรงว่า “นายออกไปก่อนเถอะ ให้คนออกหาตัวหลินหว่านต่อไป”
ซั่วเฟิงรับฟังคำสั่งแล้ว รีบตอบรับว่า “ได้ครับ ประธานเซียว คุณพักผ่อนก่อนเถอะ พวกเราต้องหาตัวคุณหลินกลับมาได้แน่” พูดจบก็หมุนตัวจะออกจากห้อง
แต่เซียวจิ่งสือรีบร้องเรียกเอาไว้ก่อน “ซั่วเฟิง รอเดี๋ยว”
ซั่วเฟิงที่กำลังตั้งท่าจะก้าวออกไปหยุดชะงักอยู่กับที่ ถามว่า “ประธานเซียว คุณต้องการอะไรอีกหรือครับ”
“เอาเถอะ ผมไปค้นหากับพวกคุณด้วยก็แล้วกัน” เซียวจิ่งสือนึกในใจว่า ‘ตอนนี้หลินหว่านหายตัวไป ฉันก็ไม่มีแก่ใจจะทำอะไร อยู่บ้านก็ยิ่งคิดเรื่อยเปื่อย ออกไปหาด้วยกันเลยดีกว่า บางทีอาจเจออะไรบ้างก็ได้’
ซั่วเฟิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง กำลังคิดจะบอกให้ประธานเซียวเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม ต้องดูแลรักษาสุขภาพอะไรประเภทนั้น แต่แล้วฉุกคิดได้ว่า “ประธานเซียวรักหลินหว่านมาก เกรงว่าจะรั้งไว้ไม่อยู่ งั้นก็ปล่อยตามใจเขาก็แล้วกัน จัดบอดี้การ์ดตามคุ้มกันมากหน่อยก็แล้วกัน”
เซียวจิ่งสือค้นหาหลินหว่านตามแนวกระแสน้ำที่เธอร่วงตกลงมา เขาเข้าไปสอบถามในหมู่บ้านมากมาย พวกชาวบ้านมากมายส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าไม่พบเห็นเธอ เซียวจิ่งสือยืนอยู่ที่ริมทะเล รู้สึกอับจนสิ้นหนทาง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถพบตัวหลินหว่าน ถ้าหาเธอไม่พบแล้วจะทำยังไงต่อไป? นี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นหมู่บ้านที่กี่สิบแล้ว เซียวจิ่งสือคิดเตลิดไปอย่างสับสนว้าวุ่นใจ จู่ๆ ก็อยากสูบบุหรี่ขึ้นมา
เขาหันมาถามซั่วเฟิงที่ด้านข้าง “มีบุหรี่ไหม”
ซั่วเฟิงอึ้งไปวูบ ประธานเซียวดูเหมือนจะไม่สูบบุหรี่นี่ แต่ก็ได้สติอย่างรวดเร็ว ตอบว่า “ม…มีครับ…” พูดพลางยื่นบุหรี่ให้เซียวจิ่งสือมวนหนึ่ง
เซียวจิ่งสือคาบบุหรี่ไว้ในปากอย่างไม่ใส่ใจนัก ซั่วเฟิงรีบจุดไฟแช็กยื่นให้เขา เซียวจิ่งสือสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงคำหนึ่งแล้วพ่นกลุ่มควันออกมา เพียงชั่วพริบตาก็สลายหายไปกับลมทะเล
ทันใดซั่วเฟิงอุทานออกมาว่า “เอ๋” เซียวจิ่งสือหันไปมองอย่างรำคาญ ขึงตาใส่ซั่วเฟิงด้วยท่าทีว่า ซั่วเฟิง นายมันชอบตกใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉันยิ่งกำลังอารมณ์บูดอยู่ด้วย
ซั่วเฟิงยังมีท่าทางประหลาดใจ ชี้มือไปยังเงาหลังคนหนึ่งที่ริมหาดซึ่งอยู่ห่างออกไป พูดว่า “ประธานเซียว คุณไม่รู้สึกว่าเงาหลังนี้เหมือนกับคุณหลินรึไง”
เซียวจิ่งสือพอได้ยินว่าคุณหลิน ก็เหมือนได้น้ำยาชุบชีวิต กระตือรือร้นขึ้นมาทันที ถามว่า “ไหน ตรงไหน?”
เซียวจิ่งสือมองไปยังทิศทางที่ซั่วเฟิงชี้นิ้ว สมองลั่นเปรี้ยะแล้วกลายเป็นว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง ปากพึมพำว่า “หลินหว่าน! หลินหว่าน!” จากนั้นวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ซั่วเฟิงพอเห็นว่าประธานเซียวพุ่งเข้าไปอย่างกับเป็นบ้า ก็รีบเรียกระดมพลตามติดไป
เซียวจิ่งสือโถมเข้าหาแล้วพบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่แค่เงาหลังคล้ายหลินหว่าน เพราะเธอก็คือหลินหว่าน เซียวจิ่งสือคว้าตัวหลินหว่านเอาไว้อย่างตื่นเต้นดีใจจนพูดไม่ออก พวกซั่วเฟิงที่ติดตามมา กลับพบว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนกับหลินหว่านมาก แต่ปฏิกิริยาของเธอที่มีต่อเซียวจิ่งสือกลับเหมือนเป็นคนแปลกหน้า ทุกคนจึงรู้สึกว่าคนนี้อาจไม่ใช่หลินหว่านก็ได้
ตอนนั้นเอง ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวมองดูผู้ชายกลุ่มนี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “พวกคุณเป็นใครกัน ทำไมมายุ่งกับแฟนผม?”
เซียวจิ่งสือ ยังจมอยู่กับความยินดีที่เจอตัวหลินหว่าน จะไปสนใจฟังคนอื่นพูดที่ไหนกัน เขาไม่สนท่าทีตั้งป้อมจากชายคนนั้น และไม่สนที่ผู้หญิงดิ้นรนขัดขืน
ชายคนนั้นเห็นเช่นนั้นก็คิดว่า นี่มันอันธพาลชัดๆ จะมากเกินไปแล้ว กล้าดียังไงมาทำเรื่องแบบนี้ในหมู่บ้านของเรา
ชายหนุ่มนั้นตะโกนไปทางหมู่บ้าน “เฮ้ย พวกเรา มีพวกแก๊งอันธพาลโว้ย”
พอสิ้นเสียง คนกลุ่มใหญ่ล้วนแต่ผิวกายดำมะเมื่อมร่างกายกำยำพากันวิ่งมาทางนี้ ซั่วเฟิงเห็นรูปการณ์ไม่ดี คนมากันเยอะเกินไปแล้ว
เขารีบดึงมือเซียวจิ่งสือ บอกว่า “ประธานเซียว เราค่อยเป็นค่อยไปกันเถอะครับ คุณดูสิหมู่บ้านนี้มีคนตั้งมากขนาดนี้ วันนี้พวกเราคงพาตัวเธอกลับไปไม่ได้แน่”
เซียวจิ่งสือหันไปมอง เห็นคนกลุ่มใหญ่พากันมุ่งตรงมาทางนี้ ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายวาบ นึกในใจว่า ‘หลินหว่าน เธอรอฉันก่อนนะ ฉันรู้ว่าต้องเป็นเธอแน่ รอฉันกลับมา’
เซียวจิ่งสือปล่อยมือจากหญิงสาวอย่างปวดใจ กัดฟันพูดว่า “หลินหว่าน รอฉันกลับมานะ” หันกลับไปส่งสัญญาณให้ซั่วเฟิงถอย
หญิงสาวเหม่อมองเซียวจิ่งสือ นึกในใจว่า ‘คนนี้ประหลาดจัง ฉันไม่รู้จักเขาซะหน่อย เขายังเรียกฉันว่าหลินหว่านอีก ฉันไม่ได้ชื่อหลินหว่านซะหน่อย ฉันชื่ออินเสี่ยวเสี่ยวต่างหาก’
เซียวจิ่งสือกลับถึงออฟฟิศ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ สมองกำลังคิดถึงผู้หญิงที่เจอวันนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะเฉยชากับเขามาก แต่เขารู้สึกได้เลยว่าเธอคือหลินหว่าน
ผู้ช่วยเคาะประตูห้องเข้ามาแล้วถามว่า “ท่านประธานเซียวครับ คุณเรียกตัวผมมามีอะไรให้รับใช้ครับ?”
“ระยะนี้บริษัทเรามีโครงการหนึ่งที่จะพัฒนาหมู่บ้านริมทะเลให้เป็นชายหาดพักผ่อนในวันหยุดใช่ไหม” เซียวจิ่งสือถามกลับ
“ใช่ครับ ท่านประธานเซียว บริษัทเรามีแผนดำเนินโครงการที่ว่านี้ แต่สถานที่ยังไม่ได้ระบุแน่ชัด ท่านประธาน จะสั่งการอย่างไรครับ”
“เลือกหมู่บ้านนี้ก็แล้วกัน” เซียวจิ่งสือหยิบแผนที่ขึ้นมาชี้ไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ครับท่านประธาน ผมเข้าใจแล้ว จะไปดำเนินการทันทีครับ” ผู้ช่วยเข้าอกเข้าใจเป็นอันดี หมุนตัวออกไปจัดการทันที
ในงานฉลองพิธีเปิดหน้างาน ที่เวทีชั่วคราวด้านล่างพวกคนในหมู่บ้านพากันจับกลุ่มบอกเล่ากันให้กระหึ่ม
“ได้ยินว่าหมู่บ้านเราถูกเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่หมายตาไว้ ตัดสินใจจะพัฒนาที่นี่ล่ะ” มีบางคนพูดขึ้น
“ใช่แล้วๆ ได้ยินมาว่าจะพัฒนาหมู่บ้านเราให้เป็นสถานที่พักผ่อนวันหยุดริมทะเลด้วยล่ะ! เงินลงทุนตั้งร้อยล้าน!” ใครบางคนพูดเสริมขึ้น
ฝูงชนต่างแสดงท่าทีชื่นชมยินดีไปตามกัน
ที่มุมหนึ่ง หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็มาร่วมชมพิธีเปิดงานนี้อย่างสงบเช่นกัน
เซียวจิ่งสือสวมแว่นดำนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาสั่งให้ผู้ช่วยขึ้นไปบนเวทีแล้วกล่าวทักทาย จากนั้นแจ้งว่าจะรับสมัครผู้ร่วมงานอีกจำนวนหนึ่ง
พวกคนในหมู่บ้านที่ด้านล่างเวทีพากันดีใจใหญ่โต ถ้าสามารถทำงานที่หมู่บ้านได้จะดีขนาดไหนกัน ทั้งไม่ต้องออกไปหางานที่ด้านนอก อีกทั้งเงินเดือนก็ไม่เลวอีกด้วย คนไม่น้อยที่ได้ฟังเรื่องดีๆ แบบนี้แล้วอยากจะเข้ามาลองสมัครงานดูบ้าง
หญิงสาวนั้นเห็นชายหนุ่มดูเหมือนจะสนใจอยู่บ้างเช่นกัน ก็พูดขึ้น “พี่อวี่ ฉันก็อยากจะหางานทำบ้าง พี่จะได้ไม่ต้องลำบากแบบนี้อีก”
ฮั่วเทียนอวี่นิ่งคิดอยู่นานจึงผงกศีรษะ พูดว่า “เอาเถอะ ในเมื่อเธออยากจะหาอะไรทำบ้าง งั้นก็ไปเถอะ แบบนี้จะได้ไม่รู้สึกว่างเกินไปกระมัง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น