ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 185-192

 ตอนที่ 185 คุณฟังจือหันผู้อยู่ทุกที่


 


 


บรรยากาศตกอยู่ในความกระอักกระอ่วน อวี๋กานกานเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เธออายุน้อยไร้สำนักแล้วมันทำไมเหรอ ผู้หญิงที่สวมชุดชาแนลคนนี้ ดูแล้วก็ยังอายุไม่มาก หากจะวัดกันเรื่องอายุอย่างจริงจัง แพทย์แผนจีนที่มีอายุสามสิบกว่าปีถือว่าเป็นเพียงนักเรียนแพทย์ระดับต้น


 


 


หลังจากที่ได้ยินชื่ออวี๋กานกานรายงานตัว สุภาพสตรีสวมชุดสีฟ้า ดัดผมลอนท่านหนึ่ง กล่าวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “หนูคือกานกานเหรอจ๊ะ นึกไม่เลยจริงๆ ว่าหนูจะวัยรุ่นขนาดนี้”


 


 


น้ำเสียงของเธอทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง


 


 


อวี๋กานกานรีบยื่นมือออกไปเชคแฮนด์ “สวัสดีค่ะ คุณหมอหวง”


 


 


เธอคือหวงไอ้เจินแพทย์แผนจีนของโรงพยาบาลประจำเมือง ก่อนหน้านี้ผู้อำนวยการเฉินเคยกำชับกับเธอว่าให้ศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้จากแพทย์ทั้งสองท่านของโรงพยาบาลประจำเมืองให้มาก


 


 


คนข้างๆ เห็นว่าพวกเขามีบัตรเชิญมาจากโรงพยาบาลเดียวกัน แต่กลับไม่รู้จักกัน จึงอดถามไม่ได้ “พวกคุณอยู่โรงพยาบาลเดียวกันแต่ไม่เคยเจอกันเลยเหรอ”


 


 


“ผู้อำนวยการเฉินเป็นคนแนะนำให้อวี๋กานกานมาร่วมงานก็จริง แต่เธอไม่ได้ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลของพวกเราค่ะ คุณหมอเยียไม่สะดวกทำให้มาไม่ได้ ผู้อำนวยการเฉินจึงให้อวี๋กานกานมาแทน แม้ว่าเธอจะอายุยังน้อย แต่ถือว่ามีประสบการณ์ทีเดียวค่ะ”


 


 


หวงไอ้เจินยิ้มพร้อมกับกุมมือของอวี๋กานกาน เอ่ยถ้อยคำชื่นชมยกยออวี๋กานกาน หวังว่าทุกคนจะช่วยดูแลชี้แนะอวี๋กานกาน


 


 


ทุกคนไม่สงสัยอะไรในอายุของอวี๋กานกานอีก พากันยิ้มอย่างเป็นมิตรให้อวี๋กานกานแต่ย่อมต้องมีคนเห็นต่าง สตรีสวมชุดชาแนลเมื่อครู่ แค่นเสียงดังหึ “จะมีประสบการณ์มากแค่ไหนกันเชียว นับตั้งแต่คลอดออกจากท้องแม่ฉันให้ไม่เกินยี่สิบปี”


 


 


สีหน้าของทุกคนค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ ผู้อาวุโสท่านหนึ่งยิ้มอย่างโอบอ้อมอารี กล่าว “เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวควรจะเรียนรู้ให้มาก ต่อไปงานสัมมนาประเภทนี้ควรเชิญคนหนุ่มคนสาวมามากกว่านี้หน่อย ภายภาคหน้าจะได้ให้พวกเขาเป็นเสาหลักของแพทย์แผนจีน ส่งเสริมและพัฒนาสืบทอดต่อไป”


 


 


ผู้พูดเป็นผู้อาวุโสสวมชุดฉางเผา[1]สีน้ำเงินสดใส ไว้หนวดเครายาวเฟื้อย ให้ความรู้สึกโอบอ้อมอารีทว่าก็ดูน่าเกรงขาม ท่านผู้นี้คือแพทย์อาวุโสหวงถือเป็นนักวิชาการผู้ทรงอิทธิพลในวงการแพทย์แผนจีน ท่านไม่ได้อยู่ร่วมตลอดทั้งงาน น่าจะเข้าร่วมเพียงแค่สองถึงสามครั้ง


 


 


ทุกคนล้วนให้ความเคารพนับถือเขา เมื่อเขาพูดเช่นนี้ทุกคนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางเบาให้ผู้อาวุโสหวง กล่าวขอบคุณ “ขอบคุณผู้อาวุโสหวงนะคะ”


 


 


ผู้อาวุโสหวงลูบหนวดเคราของตนเอง “พยายามเข้าล่ะ เด็กน้อย”


 


 


สตรีสวมชุดชาแนลหน้าแตกเล็กน้อย ถลึงตาใส่อวี๋กานกานด้วยสายตาคาดโทษ อวี๋กานกานหันไปสบตาเธอ ในใจของเธอเองก็รู้สึกไม่พึงพอใจเท่าไรนัก แต่ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ผ่านออกมาทางสีหน้า


 


 


หลังจากรายงานตัวเสร็จแล้ว อวี๋กานกานลากกระเป๋าหอบตำราไปหอพักพร้อมกับหวงไอ้เจิน หวงไอ้เจินยังปลอบเธอว่าไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจ “การศึกษาไร้พรมแดน ไม่แบ่งแยกอายุ”


 


 


อวี๋กานกานส่ายมือเบาๆ สีหน้าไม่ถือสา เธอเองก็รู้ตัวดีว่าตนเองเด็กเกินไปหน่อย ฉะนั้นต่อหน้าผู้อาวุโสควรจะอ่อนน้อมถ่อมตน หากไม่จำเป็นต้องเผยคมเคี้ยวเธอก็จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด


 


 


วันต่อมาเป็นพิธีเปิดงานสัมมนา หลังจากหัวหน้าสมาคมกล่าวจบแล้ว ทุกคนรวมกันเพื่อถ่ายรูป แถวหน้าสุดทั้งหมดเป็นแพทย์ชั้นนำในวงการ ตลอดจนกระทั่งผู้สนับสนุนให้จัดงานสัมมนาครั้งนี้ขึ้น


 


 


ทุกคนต่างพากันเกรงใจ ผลักที่นั่งให้แก่กันและกัน อวี๋กานกานยืนอยู่ด้านหลังสุด ใกล้กับประตู เธอทอดสายตามองออกไปด้านนอก เห็นผู้ชายสวมชุดสูทสีดำ ก้าวย่างอย่างสุขุมสง่างาม ริมฝีปากบางเม้มปิดสนิท บรรยากาศรอบๆ ตัวเย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็งหมื่นปีที่ยังไม่มลาย แผ่ไอเย็นปกคลุม


 


 


ฟะ ฟังจือหัน?


 


 


หัวใจของอวี๋กานกานสั่นไหว ดวงตาเบิกโพลงอ้าปากค้าง ฟังจือหันมาได้อย่างไร มาหาเธออย่างงั้นเหรอ แต่ว่าเธอทิ้งโน้ตให้เขาไว้แล้วนี่ เธอมาศึกษาเล่าเรียนนะ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น ทำไมเขาถึงตามมาถึงที่นี่เนี่ย!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฉางเผา ชุดคลุมผู้ชายปกตั้งที่ยาวลงมาถึงข้อเท้า 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 186 ชอบเธอจนคลั่ง


 


 


อวี๋กานกานลุกลี้ลุกลน มองซ้ายแลขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจเธอ จึงวิ่งจู๊ดออกไปขวางฟังจือหันเอาไว้ตรงระเบียงทางเดิน “นายมาที่นี่ได้ไงเนี่ย” น้ำเสียงแฝงแววตำหนิ แต่ไร้ซึ่งเจตนาหักหาญน้ำใจ มิหนำซ้ำยังเจือไว้ด้วยกลิ่นอายบางเบาของความออดอ้อน แม้จะไม่อยากให้เขามาก่อความวุ่นวายที่นี่ แต่ในใจจริงๆ ของเธอกลับรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อย ผู้ชายคนนี้ต้องชอบเธอมากขนาดไหนกันนะ ชอบมากจนเหมือนกับแทบจะบ้าคลั่ง ถึงได้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรีบตรงดิ่งมาหาเธอถึงที่นี่


 


 


นี่เธอมีเสน่ห์รุนแรงขนาดขนาดนั้นเชียวหรือ!


 


 


สายตาของฟังจือหันจดจ้องมายังใบหน้าของเธอ ยังคงเป็นสายตาที่เรียบนิ่งเฉยชาเหมือนอย่างเคย เขาเป็นคนที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า อวี๋กานกานไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ไหน จึงแสร้งทำเป็นโกรธ “ฉันมาสัมมนาจริงจังนะ นายตามมาไม่ได้ รีบกลับไปเร็ว” เธอเกรงว่าเขาจะไม่ยอม โวยวายจะอยู่ต่อให้ได้ จึงพูดเสริมอีกประโยค “เดี๋ยวจบงาน ฉันจะรีบไปหานายทันที”


 


 


ฟังจือหันยังคงไม่กระดิกกระเดี้ย ทำเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


 


อวี๋กานกานเริ่มโมโหขึ้นมาแล้ว ทำไมหมอนี้ถึงได้ดื้อดึงขนาดนี้ เธอไม่ได้มาเที่ยวเล่นนะที่จะพาคนในครอบครัว…เอ้ยไม่ใช่ ติดนิสัยเสียจากฟังจือหันจนพูดผิดบ่อยเสียแล้ว อย่างไรก็ตามเขาจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ เดิมทีเพราะอายุเธอก็ถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยามอยู่แล้ว ทั้งยังถูกคนตราหน้าหาว่าชุบตัวอีก หากเธอยังพาแฟนหนุ่มมาเข้าชั้นเรียนด้วย ทีนี้จะให้เหล่าผู้อาวุโสมองเธออย่างไร เธอมาศึกษาหาความรู้นะ


 


 


“คุณชายหัน ในที่สุดคุณก็มาถึงแล้ว” น้ำเสียงดีใจเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง


 


 


อวี๋กานกานหันศีรษะไปมอง เป็นผู้อำนวยการของสมาคมที่จัดงานสัมมนานี้ขึ้น เขาก้าวสับๆ ตรงไปหาฟังจือหัน ใบหน้ายิ้มแย้ม “เชิญครับ เชิญครับ…”


 


 


ตอนนี้เองที่ผู้อำนวยการเหลือบไปเห็นอวี๋กานกานที่ยืนอยู่ข้างๆ “คุณหมออวี๋ คุณจะไปไหนเหรอครับ อีกเดี๋ยวจะรวมตัวถ่ายรูปแล้วนะครับ”


 


 


ผู้อำนวยคิดเพียงแค่ว่าอวี๋กานกานและฟังจือหันทั้งสองคนแค่เดินสวนกันเฉยๆ ไม่ได้รู้จักกัน


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน ฟังจือหันไม่ได้มาหาเธอ แต่มาเข้าร่วมงานสัมมนานี้


 


 


ผู้อำนวยการเห็นว่าสายตาของฟังจือหันจดจ้องอยู่ที่อวี๋กานกานตลอด รีบยิ้มแล้วกล่าว “คุณชายหัน นี่คือคุณหมออวี๋ เธอเป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ครับ” จากนั้นหันไปยิ้มให้อวี๋กานกาน แนะนำฟังจือหัน “คุณหมออวี๋ ท่านนี้คือผู้ให้การสนับสนุนการจัดสัมมนาของพวกเราในครั้งนี้ ตัวแทนของบริษัทยาไป๋ฟัง”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


ที่แท้ฟังจือหันเป็นตัวแทนของบริษัทยาไป๋ฟัง?


 


 


ความจริงปรากฏ! หน้าแตกจนเจ็บไปหมดแล้ว ภายในชั่วพริบตาเดียว อวี๋กานกานรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเมื่อครู่ที่ตนเองคิดเองเออเองว่าเขาชอบเธอจนแทบคลั่งจึงรีบมาตามหา ตอนนี้เธออยากจะหารูสักรูเพื่อแทรกแผ่นดินหนี


 


 


อวี๋กานกานชำเลืองตามองฟังจือหันแวบหนึ่ง สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับฉายแววเย้าหยอก


 


 


อวี๋กานกานใบหน้าร้อนผ่าว รู้สึกเคืองอยู่ในใจ ไม่ได้มาหาเธอแล้วทำไมไม่รีบพูดเล่า อีกอย่างก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่ว่าเธอจะมาร่วมงานสัมมนานี้ ทำไมถึงไม่บอกเธอสักคำว่าเขาเป็นตัวแทนของผู้สนับสนุน


 


 


อวี๋กานกานโมโหจึงทำเมิน ไม่ยอมพูดจา ทว่ากลับเหลือบไปเห็นผู้อำนวยการที่จ้องเธอตลอด แววตาของเขาแฝงไว้ด้วยคำเตือน ราวกับกำลังพูดว่า ‘รีบทักทายสิ’


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะอย่างเสแสร้ง จงใจทำตัวน่ารักออดอ้อน กล่าว “สวัสดีค่ะ คุณชายหัน”


 


 


เสียงเรียกคุณชายหันสามพยางค์เห็นได้ชัดว่าจงใจกดเสียงต่ำ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยการยั่วโมโหแบบเด็กน้อย


 


 


มุมปากของฟังจือหันยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณหมอวัยรุ่นขนาดนี้ เรียนจบแล้วหรือครับ”


 


 


อวี๋กานกานเกือบสำลักน้ำลาย “…”


ตอนที่ 187 ป่วย? โรคคิดถึงหรือเปล่า


 


 


จากเขินกลายเป็นโกรธ อวี๋กานกานรู้ว่าฟังจือหันจงใจหยอกล้อเธอ แต่ผู้อำนวยการไม่ได้รู้เรื่องไปกับเขาด้วย เขาตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าฟังจือหันจะคิดว่าพวกเขาใช้เงินสนับสนุนของบริษัทยาไป๋ฟังสุ่มสี่สุ่มห้า งานสัมมนาถูกจัดขึ้นเป็นเพียงฉากหน้า ความจริงแล้วเป็นปาร์ตี้กินดื่มเฮฮาสนุกสนาน รีบอธิบาย “แม้ว่าคุณหมออวี๋จะอายุน้อย แต่ว่าวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมมาก เมื่อวานตอนที่มารายงานตัว ผู้อาวุโสหวงยังเอ่ยปากชมเธอเลยครับ”


 


 


แถไปก่อน ความจริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของอวี๋กานกานเป็นเช่นไร แถมยังลากผู้อาวุโสหวงผู้เป็นเสาค้ำมหาสมุทร[1]ของงานสัมมนาครั้งนี้มาช่วยยืนยัน หวังว่าฟังจือหันจะไม่เข้าใจผิด


 


 


ฟังจือหันลากเสียงอ่อนยาวเหยียด ประหนึ่งว่าเห็นด้วย สายตาแอบเหลือบมองอวี๋กานกาน เห็นใบหน้าของเธอขึ้นสีดั่งดอกซากุระ มุมปากยกขึ้นเป็นมุมโค้ง กล่าว “ในเมื่อวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ถ้างั้นหลังงานสัมมนาจบให้คุณหมออวี๋มาตรวจผมหน่อย สองวันมานี้ผมไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวสักเท่าไร”


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


ผู้อำนวยการ “…”


 


 


คิ้วเรียวสวยของฟังจือหันเลิกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าข้องใจ “ทำไม ไม่ได้เหรอ”


 


 


อวี๋กานกาน “…” ก็ไม่ได้น่ะสิ คนสุขภาพร่างกายแข็งแรงจะตรวจไปให้ได้อะไร ทว่าผู้อำนวยการกลับรีบพยักหน้าอย่างร้อนรน “ได้ครับ ได้ครับ” จากนั้นหันไปทางอวี๋กานกานกล่าว “รบกวนคุณหมออวี๋ด้วยนะครับ”


 


 


ผู้อำนวยการพูดถึงขนาดนี้แล้ว อวี๋กานกานจะไม่รับปากก็ไม่ได้ เธอขมวดคิ้ว ข่มความเดือดดาลที่อยากจะถลึงตาใส่ฟังจือหันเอาไว้ คลี่ยิ้มให้ผู้อำนวยการแล้วกล่าว “ไม่รบกวนอะไรเลยค่ะ” จากนั้นหมุนตัวเหลือให้เห็นแค่หลังศีรษะที่มีควันแห่งความโมโหพวยพุ่งออกมา


 


 


ผู้อำนวยการเดินนำฟังจือหันไปยังห้องโถง เขาไม่ได้แนะนำถึงฐานะของฟังจือหันอย่างละเอียด อธิบายเพียงแค่ว่าฟังจือหันเป็นตัวแทนของบริษัทยาไป๋ฟัง


 


 


ทุกคนต่างหลีกให้ฟังจือหันนั่งตรงกลาง ฟังจือหันปฏิเสธอย่างมีมารยาทเลือกนั่งตรงริมสุด ท่านั่งสบายๆ เม้มปากเล็กน้อย แววตาเย่อหยิ่งเย็นชาราวกับว่าไม่มีอะไรที่สามารถทะลุผ่านเข้าไปในสายตาของเข้าได้


 


 


พนักงานสาววัยรุ่นที่ยืนอยู่แถวนั้น เขินอายจนใบหน้าขึ้นสี สายตาจับจ้องไปที่ฟังจือหันอย่างเคลิบเคลิ้ม


 


 


อวี๋กานกานยังคงยืนอยู่ด้านหลังสุดตรงตำแหน่งเดิม บ่นพึมพำในใจว่าฟังจือหันเป็นคนร้ายกาจจริงๆ ด้วย เที่ยวยั่วยวนทำร้ายหัวใจอันบริสุทธิ์ของสาวน้อย


 


 


กล้าทำเป็นไม่รู้จักเธอ อย่าหวังเลยว่าต่อจากนี้ไปเธอจะให้ความสนใจเขาอีก หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จแล้ว โปรแกรมแรกของงานสัมมนาได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


 


 


ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาค่อนข้างเยอะ เนื่องจากบรรดาผู้สนับสนุนและแพทย์ผู้มีชื่อเสียงที่ทางประทานสมาคมเชิญมา ทั้งหมดตัดสินใจที่จะอยู่ต่อหลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้น


 


 


เก้าอี้ในห้องประชุมกระจัดกระจายเป็นวงกลมหลายวง ประมาณห้าถึงหกวง วงที่อยู่ตรงกลางทั้งหมดล้วนเป็นเหล่าบรรดาผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญ ทุกคนเริ่มทยอยกันหาที่นั่ง ต่างคนต่างพยายามนั่งใกล้ด้านหน้าให้มากที่สุด ทว่าอวี๋กานกานยังคงเลือกที่นั่งหลังสุดเช่นเคย เธอหยิบโน้ตบุ๊กและเครื่องบันทึกเสียงออกมาเพื่อเตรียมตัวจดเลคเชอร์


 


 


ทันใดนั้นที่นั่งข้างๆ เธอก็มีคนหย่อนตัวลงนั่ง อวี๋กานกานเหลือบไปมองตามสัญชาตญาณแวบหนึ่ง เห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างแอบกระตุกมุมปาก


 


 


ผู้อำนวยการเดินเข้ามา มองฟังจือหันแล้วกล่าว “คุณชายหัน ด้านหน้าเหลือที่นั่งไว้ให้แล้วครับ”


 


 


ฟังจือหันไม่ขยับเขยื้อน “ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ นั่งด้านหลังดีกว่าครับ”


 


 


ผู้อำนวยการชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเห็นอวี๋กานกานที่นั่งอยู่ด้านข้างฟังจือหัน ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตนเองเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว เขาเป็นผู้ชาย ย่อมรู้ดีว่าอะไรที่เรียกว่ารักแรกพบ


 


 


คุณหมออวี๋อายุยังน้อย น่าจะยังไม่มีคนคบหาดูใจ หากสองคนนี้ตกลงปลงใจกัน ไม่แน่นะเขาอาจจะได้เป็นพ่อสื่อ ผู้อำนวยการกระหยิ่มยิ้มย่อง “ทราบแล้วครับคุณชาย…”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] เสาค้ำมหาสมุทร หรือ กระบองวิเศษของซุนหงอคงที่ค้ำทะเลตงไห่ไว้ไม่ให้เกิดความปั่นป่วน อุปมาถึงบุคคลที่เป็นที่พึ่งพาได้ในยามคับขัน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 188 โรคจิตน้อย ยิ้มอะไรของคุณ


 


 


ฟังจือหันนั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ต่างกับอวี๋กานกานที่รู้สึกอึดอัดแกมเอือมระอาเล็กน้อย เขาจะกลับไปก่อนก็ได้แท้ๆ ทำไมถึงต้องอยู่ฟังด้วย สำหรับคนนอกวงการแพทย์ การที่ต้องมานั่งฟังบรรยายเกี่ยวกับแพทยศาสตร์ ไม่รู้สึกจืดชืดน่าเบื่อบ้างเหรอ


 


 


อวี๋กานกานที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับฟังจือหันดี จู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่ง เธอหันไปมองตามสัญชาตญาณ พบว่าเจ้าของสายตาคู่นั้นคือสตรีสวมชุดคอลเลคชั่นชาแนลที่หาเรื่องเธอเมื่อวานตอนลงทะเบียนรายงานตัว ผู้หญิงคนนี้ชื่อซูจิ่วซาน ถึงแม้อายุจะยังไม่เกินสามสิบสองปี แต่ได้ขึ้นแท่นเป็นแพทย์เลื่องชื่อของปักกิ่งแล้ว เป็นแพทย์อัจฉริยะที่ทุกคนต่างให้การยอมรับว่ามีอนาคตที่สดใส


 


 


อวี๋กานกานก็ไม่รู้ว่าตนเองไปทำอะไรให้ซูจิ่วซานไม่พอใจ ทำไมซูจิ่วซานถึงได้เอาแต่จ้องจะจับผิดเธอ พฤติกรรมเช่นนี้ชวนให้อวี๋กานกานรู้สึกขำขันอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ผู้อาวุโสหวงเป็นผู้ขึ้นไปประเดิมเวทีเป็นคนแรก เขาบรรยายเกี่ยวกับปัญหาของการสืบทอดศาสตร์แพทย์แผนจีน โครงทฤษฎี ‘ซังหันลุ่น[1]’ และยังเสนอมุมมองใหม่ๆ อีกหลายแง่มุม หวังให้ทุกคนนำเอาไปศึกษาค้นคว้าต่อ เขายังพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า การเรียนแพทย์แผนจีนว่ายากแล้ว การเป็นแพทย์แผนจีนที่ดีนั้นยากยิ่งกว่า ทว่าการจะเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่นั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก


 


 


ในสังคมปัจจุบันอันแสนรีบเร่งนี้ ทุกคนล้วนปรารถนาอยากจะโด่งดังมีเงินทองภายในค่ำคืนเดียว ขนาดหนังสือธรรมดาทั่วไปยังไม่ยอมอ่าน แล้วจะสงบจิตสงบใจหันมาศึกษาตำราแพทย์อย่าง ‘Canon of medicine[3]’ ได้อย่างไร


 


 


ทันทีที่ได้ฟังประโยคนี้ อวี๋กานกานเพิ่งจะเข้าใจว่าเมื่อวานตอนที่รายงานตัว ทำไมผู้อาวุโสหวงถึงยื่นมือมาช่วยเธอ เธอประทับใจผู้อาวุโสท่านนี้มาก รู้สึกเหมือนกับได้เห็นคุณปู่


 


 


ลำดับต่อมาเป็นศาสตราจารย์เฉินบรรยายเกี่ยวกับการราวน์วอร์ดเคสผู้ป่วยที่ต้องฝังเข็ม ใช้ประสบการณ์ราวน์วอร์ดที่สั่งสมมากว่าหกสิบปีของตนเอง อธิบายถึงปัญหาที่พบตอนตรวจคนไข้เป็นวิทยาทานให้กับทุกคน ทำให้อวี๋กานกานได้รับความรู้ไปอย่างล้นหลาม


 


 


หลังจากที่หัวข้อของศาสตราจารย์เฉินจบไปแล้ว ซูจิ่วซานขึ้นมาบรรยายเรื่องต้นกำเนิดและการวิเคราะห์อย่างมีหลักเหตุและผลของหลักปรัชญากับการฝังเข็ม รวมๆ แล้วเป็นการบรรยายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของหลักปรัชญากับการฝังเข็ม โดยที่มีจุดยืนอยู่ตรงข้ามกับประวัติศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบัน ตลอดจนถึงการฝังเข็มต้องธำรงไว้ซึ่งรากเดิมหรือคิดค้นสิ่งใหม่…


 


 


ตอนที่อวี๋กานกานได้ฟัง เธอถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง นี่เป็นงานสัมมนาทางการแพทย์ ทำไมถึงมาบรรยายเรื่องฝังเข็มกับหลักปรัชญา สำหรับเธอแพทย์แผนจีนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับหลักปรัชญา ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝังเข็ม เธอเบือนศีรษะชำเลืองมองฟังจือหันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ได้แอบงีบ นี่เขาชอบฟังจริงๆ หรือว่าต้องการรักษาภาพลักษณ์กันแน่?


 


 


อวี๋กานกานหลุดขำออกมาเบาๆ เบาราวกับเสียงยุงบิน มีเพียงแค่ฟังจือหันที่นั่งอยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ได้ยิน เขาหันหน้ามามองเธอ นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเอ็นดูน้อยๆ เขาหยิบเอาสมุดโน้ตและปากกาของอวี๋กานกาน เขียนลงไปด้านบน ‘โรคจิตน้อย ขำอะไร’


 


 


อวี๋กานกานมองตัวหนังสือที่อยู่ตรงหน้า หัวเราะเหอะๆ อยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักเธอหรอกเหรอ ทีนี้ล่ะทำมาเป็นสนิทสนมเชียว เธอเขียนลงไปบนกระดาษอย่างไม่เกรงใจ ‘คุณเป็นใครคะ ฉันหัวเราะแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ’


 


 


ฟังจือหันหุบยิ้ม เขียนลงบนกระดาษต่อ ‘หลังจบงานไปกับผม’


 


 


อวี๋กานกานเขียน ‘ไม่’ ตัวใหญ่เบ้อเร่อโดยไม่ต้องคิด อีกทั้งไม่ส่งปากกาให้ฟังจือหัน ไม่ยอมให้เขาเขียนอะไรลงบนสมุดโน้ตของเธออีก


 


 


ซูจิ่วซานกำลังบรรยายอยู่ จังหวะที่เหลือบสายตาขึ้นมามอง เธอเห็นอวี๋กานกานและฟังจือหันที่กำลังส่งสมุดกันไปมาพอดี สีหน้าของเธอไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมา แต่ในใจกลับหัวเราะเสียงเย็น ที่แท้ยัยอวี๋กานกานอะไรนี่ ไม่ได้มาที่นี่เพื่อศึกษาเรียนรู้ อาศัยครอบครัวมีเงินทอง ซื้อโควตาที่ว่างเพื่อมาชุบตัว จะปล่อยให้มีค่านิยมแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ต้องหยุดยั้งให้เด็ดขาด


 


 


ซูจิ่วซานหลุบสายตาลงต่ำ แววตาฉายประกายแสงเย็นเยือกหมายจะคิดบัญชี!


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ซังหันลุ่น คือ งานเขียนทางการแพทย์ที่อธิบายเกี่ยวกับวิธีวินิจฉัยและรักษาโรคตามแนวทางของแพทย์แผนจีนโบราณ


 


 


[2] Canon of medicine เขียนโดย Avicenna เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี คริสต์ศักราช 1025 นับเป็นตำราแพทย์ที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่งของโลก 


ตอนที่ 189 ผมจะรอคุณ รอคุณตลอดไป


 


 


 อวี๋กานกานไม่ให้สมุดโน้ตและปากกา ฟังจือหันจึงใช้มือถือพิมพ์อักษรลงไปหลายตัว ‘ผมจะรอคุณ รอคุณตลอดไป’ จากนั้นยื่นไปตรงหน้าอวี๋กานกาน


 


 


ผู้ชายคนนี้เผด็จการเสียจริง อวี๋กานกานที่กำลังจะแสยะยิ้มให้ฟังจือหัน ทันใดนั้นเองเธอได้ยินชื่อของตัวเองถูกเรียก “คุณหมออวี๋กานกาน คุณว่าใช่ไหมคะ”


 


 


อวี๋กานกานค่อนข้างงุนงง เธอเงยศีรษะขึ้นมองซูจิ่วซานที่อยู่ตรงหน้า อะไรใช่ไม่ใช่ ซูจิ่วซานบรรยายอยู่ดีๆ ทำไมจู่ๆ ถึงเรียกชื่อเธอขึ้นมากะทันหัน ต้องการให้เธอตอบอะไร เมื่อครู่ฟังจือหันเอาแต่รบกวนเธอ เธอจึงไม่ได้ฟังว่าซูจิ่วซานพูดอะไรไปบ้าง


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานมีสีหน้าที่สับสนมึนงง รอยยิ้มในใจของซูจิ่วซานยิ่งฉีกกว้างขึ้น กล่าวเพิ่มอีกประโยค “คุณหมออวี๋กานกานสามารถเสนอความคิดเห็นได้นะคะ”


 


 


ทั้งห้องประชุมเงียบลงในทันตา


 


 


สายตาดูถูกเหยียดหยามของฝ่ายตรงข้าม มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าซูจิ่วซานต้องการทำให้เธออับอาย อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ฉันรู้สึกว่าน่าเบื่อมากค่ะ”


 


 


ทั้งห้องประชุมเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที ทุกคนต่างมองอวี๋กานกานด้วยความตกตะลึง บางคนรู้สึกว่าเธออวดดี บางคนรู้สึกว่าเธอก้าวร้าวไม่ให้เกียรติผู้อื่น แต่บางคนก็รู้สึกว่าอวี๋กานกานได้พูดความในใจของพวกเขาออกมา แต่ทุกคนต่างล้วนตกตะลึงในความกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาของเธอ


 


 


ภายในชั่วพริบตาเดียว เกิดเสียงซุบซิบถกเถียงไปทั่วทั้งห้องประชุม เสียงซุบซิบดังราวกับมีผึ้งจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบินอยู่


 


 


ซูจิ่วซานกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ทว่ายังคงรักษารอยยิ้มไว้ “นี่คุณหมออวี๋กานกานหมายความว่ายังไงคะ”


 


 


อวี๋กานกานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แพทย์แผนจีนต้องส่งต่อความรู้ ดังนั้นผู้อาวุโสหวงถึงพูดเรื่องการสืบทอด บรรยายถึงตำราซังหันลุ่น ผู้อาวุโสเฉินบรรยายเกี่ยวกับการฝังเข็มและการราวน์วอร์ด ความจริงทุกคนในที่นี้ต่างก็มีงานรัดตัว อุตส่าห์สรรหาเวลามาเข้าร่วมงานสัมมนานี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ้าหากจะบรรยายเรื่องการฝังเข็มกับหลักปรัชญา ไม่สู้บรรยายเรื่องการฝังเข็มกับอภิปรัชญา[1] แพทย์แผนจีนถือกำเนิดขึ้นจากศาสตร์การแพทย์ในอภิปรัชญา นี่เป็นสาเหตุที่การฝึกอบรมแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่เป็นไปได้ยาก แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับหลักปรัชญา ต่อให้อ่านจนบรรลุก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนได้”


 


 


คำพูดเรียบง่ายไม่กี่ประโยค แต่กลับคมคายเป็นอย่างยิ่ง จี้ใจดำเข้าไปเต็มๆ


 


 


มีทั้งคนที่ตกตะลึง คนที่สติหลุดลอยและยังคนที่หลุดยิ้มออกมา…


 


 


ท่ามกลางห้องประชุมอันเงียบสงัดจู่ๆ ก็มีเสียงปรบมือเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงปรบมือของผู้อาวุโสหวง “ไม่เลว พูดได้ดี นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้แผนแพทย์จีนฝึกอบรมได้ยากกว่าแพทย์แผนตะวันตก”


 


 


ทุกคนต่างพากันปรบมือ ประธานกรมอนามัยและประธานสมาคมที่นั่งอยู่ข้างๆ เอี้ยวตัวไปพูดกับผู้อาวุโสหวง สายตาชำเลืองมามองอวี๋กานกานอยู่เป็นเนืองๆ


 


 


อวี๋กานกานยิ้มบางๆ คำพูดของเธอจี้ใจดำ ทั้งยังไม่ไว้หน้าซูจิ่วซาน แต่นั่นก็เป็นเพราะซูจิ่วซานต้องการจะหาเรื่องเธอ อวี๋กานกานไม่ชอบสร้างเรื่อง เป็นคนที่กลัวความวุ่นวาย แต่หากถูกผู้อื่นยั่วยุ จงใจหาเรื่องให้ เธอก็ไม่ยอมถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวแน่


 


 


ต้องโทษซูจิ่วซานที่มาแหย่ผิดคนแล้ว!


 


 


หลังงานสัมมนาวันนี้จบลง อวี๋กานกานจากเดิมที่ถูกมองเป็นเพียงคนไร้ตัวตน จู่ๆ ก็มีคนมากมายเข้ามาทักทายเธอ อีกทั้งผู้อาวุโสหวงและผู้อาวุโสเฉินยังเชิญเธอไปนั่งเล่นที่โรงพยาบาลของพวกเขาด้วย อวี๋กานกานยิ้มพร้อมกับรับปากว่าจะไป


 


 


ผู้อำนวยการเดินเข้ามาเรียกเธอ “คุณหมออวี๋ มากับผม”


 


 


“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”


 


 


“ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ หลังจบงานให้คุณไปตรวจอาการให้คุณชายหันสักหน่อย”


 


 


อวี๋กานกานหยุดฝีเท้าลงทันที หน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าว “คุณชายหันเขาไม่เหมือนคนป่วยสักกะนิด ดูเขาแข็งแรงจะตายไป ไม่จำเป็นต้องตรวจหรอกค่ะ”


 


 


“แพทย์แผนจีนไม่ใช่ว่าต้องมอง ฟัง ถาม จับชีพจรหรอกเหรอ คุณยังไม่ได้ตรวจชีพจรให้เขาเลยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บ”


 


 


ผู้อำนวยการคิดในใจ ฉันรู้น่าว่าคุณชายหันไม่ได้ป่วย แต่เขาหมายตาเธอแล้วต่างหาก


 


 


อวี๋กานกานยืนนิ่งไม่ขยับ


 


 


ผู้อำนวยการคะยั้นคะยอ “รีบไปเถอะ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] อภิปรัชญา หรือ เซวียนเสวี๋ย ประกอบไปด้วยศาสตร์สำคัญห้าศาสตร์ได้แก่ ศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพ ศาสตร์การแพทย์แผนจีน โหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์และนรลักษณ์ศาสตร์


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 190 ผมมาเพราะคุณ


 


 


อวี๋กานกานอยากตอบกลับว่า ‘ไม่ไป!’ อย่างแข็งกร้าว แต่เธอมีเรื่องที่อยากจะคุยกับฟังจือหันอยู่พอดีและถือเป็นการไว้หน้าผู้อำนวยการด้วย จึงยอมพยักหน้าตอบตกลงพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ


 


 


ผู้อำนวยการยิ้มตาหยี รีบพาอวี๋กานกานเดินผ่านระเบียงทางเดินไปยังห้องประชุมเล็กๆ ที่สงบเงียบ ฟังจือหันยืนหันหลังให้กับพวกเขาอยู่ตรงหน้าหน้าต่างที่ยาวจากพื้นจรดถึงเพดาน


 


 


“ผมยังมีงานต้องทำต่อ ขอตัวไปจัดการก่อนนะครับ…” ผู้อำนวยการใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง หาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไป


 


 


หลังจากที่ประตูห้องปิดสนิทแล้ว แผ่นหลังสูงใหญ่ค่อยๆ หมุนหันมา ฟังจือหันจ้องมองไปยังอวี๋กานกาน เอ่ยเสียงเรียบ “มาแล้วเหรอ”


 


 


เมื่อครู่แววตายังไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับว่าเราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน แล้วหนนี้มาใช้น้ำเสียงสนิทสนมขนาดนี้ทำไมกัน


 


 


อวี๋กานกานเลียนแบบสีหน้าไร้อารมณ์ของเขา สายตาเย็นชา กล่าว “แซ่ฟัง นายต้องการทำอะไรกันแน่” เดี๋ยวบอกว่าเป็นสามีเธอ เดี๋ยวบอกว่าอยากตามหาเบาะแสของอาจารย์เธอ อีกเดี๋ยวก็มากลายเป็นตัวแทนบริษัทยาไป๋ฟัง ต่อจากนี้ไปจะมีบทบาทใหม่ๆ มาอีกหรือเปล่า คนคนนี้ลึกลับซับซ้อนแค่ไหนกันนะ


 


 


ฟังจือหันคลี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย เอนพิงโต๊ะห้องประชุม อยู่ในท่ากอดอก “ต้องให้ผมแนะนำซ้ำอีกเหรอ ฟังจือหัน…”


 


 


อวี๋กานกานเดาออกว่า ประโยคต่อมาเขาต้องพูดคำสามพยางค์นั้นออกมาแน่ กำลังจะอ้าปากขัด แต่ดันถูกฟังจือหันชิงพูดตัดหน้าไปก่อน “…สามีคุณ”


 


 


อวี๋กานกานยิ้มแหยๆ ถาม “นายไม่มีข้ออ้างอื่นแล้วหรือไง”


 


 


คำหกพยางค์นี้เธอฟังจนแทบจะเอียนแล้ว


 


 


ฟังจือหันเน้นย้ำ “นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง นี่เป็นข้อเท็จจริง!”


 


 


เกิดเส้นขีดสีดำพาดไปทั่วบริเวณเหนือศีรษะของอวี๋กานกาน “ดูท่าฉันคงต้องตรวจชีพจรอย่างละเอียดให้นายสักหน่อยแล้ว ดูสิว่านายป่วยเป็นโรคหลงผิดหรือเปล่า”


 


 


“โรคจิตน้อย…” ฟังจือหันเอื้อมมือมาหมายจะลูบศีรษะของเธอ


 


 


“นายนั่นแหละโรคจิต โรคจิตกันทั้งบ้าน” อวี๋กานกานโมโหสะสมจากหลายๆ เรื่อง สะบัดมือของฟังจือหันออก ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ ฉันไปทำอะไรให้นายกันแน่ ทำไมนายต้องสืบประวัติฉันกับอาจารย์ด้วย”


 


 


นัยน์ตาของฟังจือหันดำขลับราวกับท้องฟ้ายามเที่ยงคืน น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่สามารถจับอารมณ์ใดๆ ได้ กล่าวอย่างไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป “ตรวจว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรือเปล่า”


 


 


แม้ว่าเรื่องในวันนั้นอวี๋กานกานจะไม่ได้กดดันคาดคั้นถามเขาต่อว่าทำไมถึงต้องสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์ ทั้งยังทำตัวเหมือนปกติ ปล่อยเลยตามเลย แต่ฟังจือหันรู้ดีว่าอวี๋กานกานยังโกรธอยู่


 


 


ชู้สาว? เมื่ออวี๋กานกานได้ฟังเหตุผลข้อนี้ รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นบ้าเต็มที เธอทั้งอายทั้งโกรธ “ในหัวของนายคิดอะไรอยู่เนี่ย อาจารย์ฉันก็คืออาจารย์ฉัน ในใจฉันเขาเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ ของฉัน นายไม่รู้หรือไง”


 


 


ใบหน้าจิ้มลิ้มเธอของโกรธจนขึ้นสี เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟช่างงดงามน่าดึงดูด ชวนให้รู้สึกหวั่นไหว ฟังจือหันมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง กล่าว “เพราะไม่รู้ถึงได้ตามสืบ”


 


 


“นายโกหก!”


 


 


“ทั้งหมดก็เพื่อคุณ!”


 


 


น้ำเสียงของเธอว่าหนักแน่นแล้ว แต่น้ำเสียงของเขาหนักแน่นยิ่งกว่า


 


 


ดวงตาคู่นั้นของอวี๋กานกานมองฟังจือหันด้วยความโกรธเกรี้ยว “ทักษะการแสดงของนายนี่มันเยี่ยมยอดจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ดันมาเจอกับฉัน ฉันเป็นหมอ ทั้งยังเป็นหมอที่ผ่านการเรียนจิตวิทยามาก่อน คนเราเมื่อโกหกจะมีอาการรีเฟล็กซ์เรียน[1] ฉะนั้นมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่านายกำลังโกหกฉัน”


 


 


ฟังจือหันแค่นหัวเราะเบาๆ มือจัดปอยผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผากของอวี๋กานกาน “ตรงไหนที่ผมมีอาการรีเฟล็กซ์เรียน”


 


 


อวี๋กานกานก้าวถอยหลังอย่างไม่มั่นใจ เธอลากเรื่องนั้นเรื่องนี้มาผสมโรงเพื่อให้ข้อโต้แย้งของตนเองมีน้ำหนักเท่านั้น อวี๋กานกานเพิ่มระดับเสียงขึ้นอย่างลนลาน “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย”


 


 


นัยน์ตาของฟังจือหันฉายประกายความเร่าร้อนดุดัน “ถ้าผมกดคุณไว้กับกำแพงตั้งแต่ตอนนี้แล้วปิดปากคุณซะ หรือลากคุณขึ้นเตียงแล้วปลดเสื้อผ้าออก คุณก็จะเชื่อผมใช่ไหม”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] รีเฟล็กซ์เรียน หรือ รีเฟล็กซ์การวางเงื่อนไข คือ การตอบสนองอย่างมีเงื่อนไขตามประสบการณ์ที่พบเจอในอดีต


ตอนที่ 191 คนผีทะเล หยอดเธออีกแล้ว 


 


 


ฟังจือหันพูดช้าๆ ค่อยๆ ย่างเท้าเข้าใกล้อวี๋กานกานทีละก้าว บีบจนอวี๋กานกานไม่เหลือที่ให้ถอยต่อไปได้อีก จากนั้นเอียงศีรษะ ริมฝีปากแนบชิดกับใบหู ทั้งยังจงใจถูไถไปมา 


 


 


อวี๋กานกานสั่นสะท้าน กัดปากอย่างไม่รู้ตัว หัวใจของเธอสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เธอข่มความเขินอายไว้ในใจ ออกแรงผลักฟังจือหัน ตวาดลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฉันไม่อยากจะคุยกับนายแล้ว…” จากนั้นรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


หลังจากที่ปิดประตู อวี๋กานกานตบหน้าอกออกตนเอง ครุ่นคิดด้วยใบหน้าที่แดงแจ๋และหัวใจที่สั่นไหว หมอนี่หยอดเธออีกแล้ว แต่ว่าเขาก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


“คุณหมออวี๋ตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ” ผู้อำนวยการเดินเข้ามาถามอวี๋กานกานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนตาหยี 


 


 


อวี๋กานกานเก็บอาการ ตอบกลับอย่างปกติ “ตรวจเสร็จแล้วค่ะ” เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองคิดเมื่อครู่นี้ เธอมีความรู้สึกเหมือนกับกำลังทำเรื่องไม่ดีแล้วถูกคนอื่นจับได้ เธอเพิ่มระดับเสียงขึ้น พูดเน้น “ป่วยหนักด้วยค่ะ วิชาแพทย์ของฉันไม่สามารถรักษาเขาได้ ผู้อำนวยการหาหมอท่านอื่นมาลองตรวจดูดีกว่าค่ะ” 


 


 


พูดจบทิ้งไว้เพียงผู้อำนวยที่ช็อกไปเรียบร้อย “…” 


 


 


… 


 


 


ระหว่างทางที่อวี๋กานกานเดินกลับหอพัก เธอพบกับซูจิ่วซานและแพทย์อีกสองคน นั่นคือเซียวเสี่ยวอิงและซย่าเฉิงโจว อวี๋กานกานเห็นว่าพวกเขาทั้งสามล้วนมีสีหน้าเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะทักทาย ถ้างั้นเธอก็จะถือว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าเช่นกัน จึงเดินเฉียดไหล่ผ่านไปเฉยๆ  


 


 


เซียวเสี่ยวอิงและซูจิ่วซานพวกเขาสองคนสนิทสนมกันมาก เธอจ้องมองแผ่นหลังของอวี๋กานกาน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ยัยอวี๋กานกานนี่มีแบ็คอัพจริงๆ ด้วย ยังวัยรุ่นอยู่กลับได้มาเข้าร่วมงานสัมมนาระดับผู้อาวุโส ทั้งยังไปนั่งข้างสปอนเซอร์ เป็นจิ้งจอกสาวเจ้าเล่ห์ไม่ผิดแน่ หลังงานจบยังออกไปกับผู้อำนวยการอีก ตกลงยัยนั่นมาศึกษาหาความรู้หรือมาอ่อยผู้ชายกันแน่” 


 


 


“เขาอาจจะมีพรสวรรค์จริงๆ ก็ได้นะ” ซูจิ่วซานพูดพร้อมกับคลี่ยิ้มบาง ดูกิริยามารยาทงดงาม ทั้งยังหันหน้าไปมองซย่าเฉิงโจวที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยปากถามอย่างมีมารยาท “รุ่นพี่ซย่า พี่ว่าจริงไหมคะ” 


 


 


 ซย่าเฉิงโจวเป็นคนที่มีนิสัยอบอุ่น กิริยามารยาทสง่างาม เป็นแพทย์หนุ่มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อยของปีนี้ 


 


 


เซียวเสี่ยวอิงหัวเราะเสียงเย็นแทรกขึ้นมา “เหอะ มีพรสวรรค์อะไรกัน ฉันไปได้ยินมาว่า ยัยนั่นเป็นลูกคนรวย ยัดเงินใต้โต๊ะซื้อสิทธิ์เข้าร่วมการสัมมนา เธอรู้อะไรไหม นามบัตรที่ยัยนั่นแจกเป็นทองเลี่ยมด้วยกรอบหยก กลัวคนอื่นเขาไม่รู้มั้งว่าตัวเองรวย ทำกับยังกับพวกถูกหวยรวยข้ามคืน อีกอย่างจิ่วซาน เธอใจดีเกินไปแล้วนะ เมื่อกี้ยัยนั่นทั้งไร้เหตุผล ทั้งไม่ไว้หน้าเธอ เธอกลับไม่โกรธ…” 


 


 


ซูจิ่วซานฟังแล้วรู้สึกสะใจอยู่ในอก เธอหลุบสายตาลงต่ำ นัยน์ตาฉายประกายแสงเย็นยะเยือก ทันใดนั้นหางตาของเธอเหลือบไปเห็นว่าซย่าเฉิงโจวมีสีหน้าตึงเครียด นี่เป็นชายหนุ่มที่เธอชอบ ชายหนุ่มที่ติดตามมาโดยตลอด เธอรู้ดีว่าเขาไม่ชอบฟังการนินทาคนอื่นลับหลัง ซูจิ่วซานไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของตัวเองพังทลายลง รีบปรามเซียวเสี่ยวอิง “เสี่ยวอิง พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว นี่เป็นงานดีเบตเรื่องวิชาการ ย่อมต้องมีความเห็นที่แตกต่างออกไปอยู่แล้ว”  


 


 


เซียวเสี่ยวอิงยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่ครั้งนี้ถูกซย่าเฉิงโจวชิงชิงพูดขึ้นมาก่อน “ขอโทษนะครับ พอดีผมยังมีเรื่องต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนนะครับ” 


 


 


ซูจิ่วซานยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับซย่าเฉิงโจว “ค่ะ เดินทางดีๆ นะคะรุ่นพี่ซย่า” 


 


 


รุ่นพี่ซย่าไม่พอใจเพราะนินทาคนอื่นลับหลังหรือเปล่า ซูจิ่วซานรู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมา รอยยิ้มยังคงไว้ซึ่งความงดงาม แต่นัยน์ตากลับแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นอย่างควบคุมไม่ได้ 


 


 


เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะนังเด็กเส้นอวี๋กานกานนั่น! เธอจะทำให้อวี๋กานกานสำนึกให้ได้ว่าวงการแพทย์ไม่ต้องใช้การยั่วยวนผู้ชายหรืออาศัยเส้นสายเพื่อไต่เต้า แพทย์ทุกคนล้วนต้องใช้ความสามารถในการพิสูจน์ตนเอง! 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 192 ปลาเค็มน้อยถูกทับจนจะแบนแต๊ดแต๋อยู่แล้ว 


 


 


หิมะสีขาวบริสุทธิ์ราวกับขนนกและปุยของเมล็ดหลิวโปรยปรายลงสู่พื้นดินประหนึ่งดอกสาลี่ ทัศนียภาพอันสวยสดงดงามของปักกิ่งทุกส่วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว อวี๋กานกานไม่ชอบหิมะ เธอไม่อยากออกจากบ้านในวันที่หิมะตก แต่ถ้าหิมะตกต่อเนื่องแบบนี้ เธอก็ไม่สามารถจะเก็บตัวเอาแต่อยู่ในห้องได้ 


 


 


แพทย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองปักกิ่งส่วนใหญ่ล้วนกลับบ้านของตนเอง ห้องพักจึงเงียบสงัด ส่วนแพทย์ที่มาจากเมืองอื่นๆ ก็ต่างนัดเพื่อนฝูงออกไปสังสรรค์ อวี๋กานกานเองก็นัดรุ่นพี่ไว้เช่นกัน 


 


 


เมื่อพวกเขารู้ว่าเธอจะมาปักกิ่งก็ได้เตรียมการนัดแนะไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจะเลี้ยงต้อนรับเธอ ตอนที่อวี๋กานกานออกจากหอพัก เธอบังเอิญเจอหวังไอ้เจินและซย่าเฉิงโจว เหมือนว่าทั้งคู่เองก็นัดไปเจอใครสักคนเช่นกัน หวังไอ้เจินแนะนำซย่าเฉิงโจวให้อวี๋กานกานรู้จัก เธอเพิ่งรู้ว่าที่แท้ซย่าเฉิงโจวก็เป็นแพทย์อยู่เมืองไป๋หยางเหมือนกันกับพวกเธอ 


 


 


แพทย์สองคนที่ผู้อำนวยการเฉินเป็นคนแนะนำให้มาร่วมงานสัมมนาก็คือหวังไอ้เจินและซย่าเฉิงโจวนี่เอง อวี๋กานกานยิ้มและกล่าวทักทายอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ คุณหมอซย่า” 


 


 


ซย่าเฉิงโจวมองเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบกลับโดยที่ไม่กล่าวอะไรสักคำ มีแต่หวังไอ้เจินที่พูดคุยกับเธอ อวี๋กานกานจับสังเกตได้ว่าซย่าเฉิงโจวดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบเธอเท่าไรนัก 


 


 


อวี๋กานกานจำไม่ได้ว่าตัวเองกับซย่าเฉิงโจวเคยเจอกันมาก่อนไหม ครั้งแรกและครั้งเดียวที่จำได้คือหลังจบงานสัมมนาเมื่อวานตอนบ่าย เธอบังเอิญเจอเขาและซูจิ่วซานอยู่ด้วยกัน 


 


 


แม้ว่าซย่าเฉิงโจวจะไม่ได้เป็นผู้ชายประเภทหน้าตาดีสมบูรณ์แบบ แต่เขาก็มีหน้าผากที่นูนสวย จมูกโด่งเป็นสัน รูปร่างสูงใหญ่ ดูแล้วมาดแมนสมชายชาตรี  


 


 


หากงานสัมมนาครั้งนี้ไม่มีอวี๋กานกาน ในบรรดาแพทย์หญิงทั้งหมด ซูจิ่วซานจะเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุด ราศีจับ เพียบพร้อมทั้งด้านความสามารถและรูปลักษณ์ และในบรรดาแพทย์ชาย ซย่าเฉิงโจวจะเป็นแพทย์หนุ่มอายุน้อยที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ หนักแน่นมั่นคง   


 


 


หรือว่าซย่าเฉิงโจวจะเป็นแฟนของซูจิ่วซาน? ถ้าเป็นแบบนั้น การที่ซย่าเฉิงโจวไม่ชอบขี้หน้าเธอก็ถือเป็นเรื่องปกติ 


 


 


หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ลมกระโชกแรง อวี๋กานกานหดลำคอเข้าไปในเสื้อหนาวขนเป็ดตามปฏิกิริยาตอบโต้ของร่างกาย หลังจากที่แยกกันกับหวังไอ้เจินและซย่าเฉิงโจวแล้ว อวี๋กานกานเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปยังร้านอาหาร เพิ่งลงจากรถแท็กซี่ได้หมาดๆ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งโถมกอดเข้ามาสวมกอดเธอ “ปลาเค็มน้อย” 


 


 


อวี๋กานกานไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ๆ ก็ถูกกระโจมเข้าสวมกอด ทำให้เธอเซถอยหลังไปหลายก้าวจนเกือบจะหงายหลัง แต่มีคนยื่นมือมาจากด้านหลัง ประคองหัวไหล่ของอวี๋กานกานเอาไว้ “จังซ่า ให้มันเหมือนคนปกติหน่อยได้ไหม ปลาเค็มน้อยจะถูกทับจนแบนแต๊ดแต๋อยู่แล้ว” 


 


 


คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็บยี่สิบแปดปี สวมเสื้อโค้ตขนเป็ดสีดำ น้ำเสียงอบอุ่นราวกับสายลมในวสันตฤดู ภายใต้สีหน้าที่ดูสบายๆ แฝงไว้ด้วยความดื้อรั้นไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การถูกบังคับ 


 


 


อวี๋กานกานพยุงคนที่โถมเข้ามาสวมกอดเธอให้ยืนกลับมาในท่าปกติ กล่าว “สวัสดีค่ะรุ่นพี่” จากนั้นหันศีรษะไปทางชายหนุ่มที่ช่วยประคองเธอไว้ ยิ้มแล้วกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะรุ่นพี่” 


 


 


ตอนที่ยังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย เมื่อตอนปิดเทอมฤดูร้อนรุ่นพี่ทั้งสองคนนี้เคยมาศึกษาเล่าเรียนศาสตร์แพทย์แผนจีนจากคุณปู่ ผู้หญิงชื่อจังซ่า ส่วนผู้ชายชื่อเฉินฝูหลี 


 


 


ปัจจุบันจังซ่าเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน มีความรู้ทั้งด้านแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนจีน ส่วนเฉินฝูหลียังหนุ่มยังแน่น แต่กลับได้เป็นถึงแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมประสาทที่มีชื่อเสียงของปักกิ่ง 


 


 


“เรียกอาจารย์อา” เฉินฝูหลีเชิดใบหน้าอันหล่อเหลาขึ้น ออกคำสั่งบังคับให้อวี๋กานกานเรียกให้ถูกต้อง 


 


 


เฉินฝูหลีเคยศึกษาเล่าเรียนกับคุณปู่เหอ ซึ่งเขาเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเหอสือกุย ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบให้อวี๋กานกานเรียกเขาว่ารุ่นพี่ 


 


 


อวี๋กานกานเม้มปากยิ้ม “เรียกพี่ว่าอาจารย์อา มันจะไม่ทำให้พี่ดูแก่เกินไปเหรอคะ” 


 


 


เฉินฝูหลีถลกแขนเสื้อโค้ตขนเป็ดขึ้น จากนั้นสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กล่าว “ไม่…” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม