เล่ห์รักกลกาล 185-191

ตอนที่ 185 มีแต่นางที่เข้าใกล้จิ่วหุนได้

 

 “เอ๋”


 


 


ราชาต้ามั่วมองแม่ทัพเฮ่อเหลียนด้วยความแปลกใจ


 


 


สายตามองไปที่จดหมายในมืออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ในใจเกิดความสงสัย จดหมายฉบับนั้นเขียนอะไรกันแน่ ถึงทำให้ท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนได้อย่างฉับพลันเช่นนี้


 


 


 “จดหมายบอกว่าอะไร”


 


 


แม่ทัพเฮ่อเหลียนประคองจดหมายส่งไป เอ่ยว่า “มีความช่วยเหลือจากเป่ยเฉินอี้ คาดว่าพวกเราจะทำศึกได้ง่ายขึ้นมาก”


 


 


 “เป่ยเฉินอี้” ราชาต้ามั่วแปลกใจ


 


 


หลังจากรับจดหมายแล้ว อ่านข้อความภายในลายมือธรรมดาเรียบง่าย ดูแล้วไม่ใช่ลายมือของยอดฝีมือเขียน แต่เขาเข้าใจได้ในไม่ช้า หากเป็นจดหมายของเป่ยเฉินอี้จริง เรื่องติดต่อกับศัตรูเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้ย่อมไม่เขียนด้วยตัวเองแน่


 


 


ดังนั้นไม่ใช่ลายมือ เป่ยเฉินอี้ก็ไม่แปลก


 


 


หลังจากเปิดอ่านดูแล้ว ด้านในเขียนไว้ประโยคหนึ่ง “หมากห้าก้าว ทำลายชายแดน ค่าตอบแทน สังหารชาวบ้านชายแดนทั้งหมด”


 


 


เมื่ออ่านจดหมายจบ ราชาต้ามั่วตะลึงไปในทันที


 


 


คนที่มีท่าทางการพูดไม่เกรงกลัวเช่นนี้ เอ่ยคำพูดแบบนี้ได้ ก็มีเพียงเป่ยเฉินอี้คนเดียวเท่านั้น แต่เป้าหมายของเป่ยเฉินอี้คืออะไรกัน


 


 


ได้ประโยชน์อะไรกัน


 


 


การสังหารชาวบ้านชายแดนทั้งหมดมีประโยชน์อะไรต่อเป่ยเฉินอี้


 


 


ในช่วงเวลาที่ราชาต้ามั่วแปลกใจ แววตาของจิวมั่วเหอมองไปที่แม่ทัพเฮ่อเหลียน “ความหมายของแม่ทัพเฮ่อเหลียนคือ ท่านมีการติดต่อกับศัตรูแล้วหรือ”


 


 


จิวมั่วเหอเอ่ยออกมาเช่นนี้ ราชาต้ามั่วคล้ายกับตื่นขึ้นจากฝัน แววตาคมกริบมองแม่ทัพเฮ่อเหลียนทันที


 


 


แม่ทัพเฮ่อเหลียนถลึงตาใส่จิวมั่วเหอ หันกลับไปหาราชาต้ามั่ว อธิบายว่า “ท่านข่าน สามวันก่อน เป่ยเฉินอี้ส่งคนมาหาข้า บอกว่าคิดร่วมมือกับต้ามั่ว ทำลายชายแดนเป่ยเฉิน ข้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งมาโดยตลอด ไม่กล้าเอ่ยออกไป วันนี้ยามเห็นจดหมายฉบับนั้น ข้าก็มอบให้ท่านข่านแล้ว หากข้ามีจิตใจคิดคด จะหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้หรือ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา ประกายคมกริบในดวงตาของราชาต้ามั่วก็ลงลดไปมาก


 


 


จิวมั่วเหอยิ้มเย็นชา เอ่ยต่อ “แต่ใครจะรู้ว่า นี่ใช่แผนการที่ท่านกับเป่ยเฉินอี้ปรึกษากันเพื่อเล่นงานต้ามั่วของพวกเราหรือเปล่า อย่างไรชื่อเสียงปราชญ์อันดับหนึ่งของเป่ยเฉินอี้ ใครต่างก็รับรู้ หากคิดวางแผนซ้อนแผน สำหรับเป่ยเฉินอี้หาใช่เรื่องยากเย็นไม่”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ แม่ทัพเฮ่อเหลียนรีบโต้ตอบกลับไปทันที “ดังนั้นความหมายของแม่ทัพจิวมั่วก็คือ ท่านจะถูกเป่ยเฉินอี้วางแผนซ้อนแผนได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่”


 


 


 “พอแล้ว” ราชาต้ามั่วพลันรู้สึกปวดหัว


 


 


เดิมทีความในใจของเป่ยเฉินอี้ก็ทำให้เขาปวดหัวมากพอแล้ว อีกทั้งรู้สึกว่าตนเองน่าจะใคร่ครวญให้นานอีกหน่อย ยามนี้แม่ทัพคนโปรดที่สำคัญของเขาทั้งสองยังทะเลาะไม่ยอมกัน ราชาต้ามั่วยิ่งรู้สึกปวดหัวคล้ายสมองจะแตกออกมา


 


 


เขามองจิวมั่วเหอ “เช่นเดียวกับที่เชื่อว่าแม่ทัพจิวมั่วจะไม่มีใจเป็นอื่น ข้าก็เชื่อว่าแม่ทัพเฮ่อเหลียนจะจงรักภักดีกับข้า อย่างไรเสียแสงจันทร์ทอดยาวพันลี้ ต้ามั่วมีเพียงดวงเดียวเท่านั้น”


 


 


ยามเมื่อราชาต้ามั่วเอ่ยคำนี้ออกมา คนทั้งหมดก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่


 


 


ตระกูลเฮ่อเหลียนเป็นขุนนางภักดีมาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งรุ่นของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่[1] ห้าปีก่อนเขาอารักขาชีวิตราชาต้ามั่วเอาไว้ได้ สุดท้ายถูกแทงเข้าที่บ่าขวา มาถึงวันนี้เพิ่งจะฟื้นฟูกลับมาจับดาบกระบี่อีกครั้ง


 


 


คนจำนวนไม่น้อยต่างเสียดายแทนเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ เพราะทุกคนต่างรู้ดี อาศัยความสามารถของเขา หากห้าปีก่อนไม่บาดเจ็บ วันนี้เขาไม่มีทางหยุดอยู่แค่ตำแหน่งนี้เท่านั้น


 


 


ยามนั้นเพื่อเป็นการแสดงถึงบุญคุณ ราชาต้ามั่วเอ่ยปากเองว่า “แสงจันทร์ทอดยาวพันลี้ ต้ามั่วมีเพียงดวงเดียวเท่านั้น” เพื่อเป็นการชื่นชมความภักดีของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ บัดนี้ราชาต้ามั่วเอ่ยออกมา จิวมั่วเหอก็ไม่กล้าพูดมากอีก


 


 


เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่รีบเสริมต่อทันที “ท่านข่าน เป่ยเฉินอี้มีใจทะเยอทะยานอยู่ตลอด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีใจต่อบัลลังก์ของเป่ยเฉิน ข้ารู้สึกว่าการร่วมมือกับเขาสามารถใคร่ครวญได้ โดยเฉพาะเงื่อนไขของเขามีเพียงแค่สังหารชาวบ้านชายแดนเป่ยเฉิน สำหรับพวกเราแล้วไม่ใช่เรื่องเสียหาย”


 


 


ครั้นแม่ทัพเฮ่อเหลียนเสนอควาคิดออกมาเช่นนี้


 


 


ราชาต้ามั่วมองจิวมั่วเหอ “จิวมั่วเหอ เจ้าคิดว่าอย่างไร”


 


 


 “ต้องป้องกันไว้บ้าง” จิวมั่วเหอไม่จู่โจมเรื่องความภักดีของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่อีก กล่าวกับราชาต้ามั่วว่า “ความคิดของเป่ยเฉินอี้ใครก็ไม่เข้าใจ หากนี่เป็นแค่แผนการหนึ่งของเขา พวกเราติดกับแล้ว ผลลัพธ์ยากเกิดคาดได้”


 


 


ราชาต้ามั่วก็พยักหน้ารับเช่นกัน


 


 


เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ในเวลานี้ เอ่ยประโยคเห็นด้วยกับจิวมั่วเหอ “ถึงข้าจะคิดว่าร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้ก็ดี แต่คำพูดของแม่ทัพจิวมั่วก็ไม่ผิด เรื่องนี้ยังต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรการร่วมมือกับเป่ยเฉินอี้เหมือนเป็นการขอหนังจากเสือ หากนี่เป็นกับดัก ก็ร้ายแรงมากจริงๆ ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ ราชาต้ามั่วพยักหน้าครุ่นคิด “อย่างนั้นก็ดี ข้าจะใคร่ครวญอีกหลายวันค่อยว่ากันใหม่”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลังเสร็จสิ้นการหารือ


 


 


จิวมั่วเหอกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่สบตากัน ต่างแค่นเสียงเย็นชา สะบัดชายเสื้อออกจากกระโจมไป


 


 


……


 


 


ห้องของจิ่วหุน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเดินมาถึงหน้าห้อง เคาะประตู


 


 


ผ่านไปสักพักไม่มีคนตอบรับ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกไม่สู้ดี เรียกเสียงดังว่า “จิ่วหุน”


 


 


ไม่มีคนตอบ


 


 


นางมุ่นคิ้ว แต่ไม่อาจบุกเข้าไปได้ตรงๆ อย่างไรเสียก็เป็นห้องของบุรุษ “นี่…ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว หรือว่าไม่อยู่กันแน่”


 


 


ในระหว่างที่นางหนักใจ


 


 


ซินเยว่เยี่ยนก็เดินเข้ามาถึงหน้าประตูก็เอ่ยปากขึ้นว่า “อยู่ข้างใน”


 


 


นางมีวรยุทธ์ไม่ต่ำทราม ย่อมรับรู้ถึงลมหายใจคนด้านใน


 


 


 “เอ๋” ซือหม่าหรุ่ยยามนี้ลนลานแล้ว “อย่างนั้นทำอย่างไรดี”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้ตรงไปตรงมา ยกเท้าถีบประตูห้องอย่างแรงทีหนึ่ง


 


 


 “โครม” ประตูพังลงมาแล้ว


 


 


ซือหม่าหรุ่ย “…”


 


 


ก็ได้


 


 


คนทั้งสองรีบร้อนพุ่งเข้าไปด้านใน เห็น จิ่วหุนคุกเข่าอยู่มุมห้อง ดูเหมือนว่าเขาสลบไปแล้ว มุมปากมีเลือดดำ คนชักกระตุกอยู่มุมห้อง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยสาวเท้ากว้างๆ เข้าไปทันที นางก็รู้ว่าพิษชนิดนี้ นอกจากครึ่งปีจำเป็นต้องรับยาแก้แล้ว ในยามปกติก็จำเป็นต้องใช้ยาเพื่อสะกดพิษที่อยู่ในอวัยวะภายใน


 


 


นางเดินหน้าเข้าไป เตรียมจะรักษาให้ จิ่วหุน


 


 


จิ่วหุนที่อยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ชักมีดสั้นออกมาจู่โจมซือหม่าหรุ่ย


 


 


เคราะห์ดีที่ซินเยว่เยี่ยนตาไวมือไว ดึงซือหม่าหรุ่ยถอยหลังมาเล็กน้อย


 


 


หนีจากกระบวนท่าคร่าชีวิตไป แต่ก็ยังตัดผมของซือหม่าหรุ่ยออกไปปอยหนึ่ง


 


 


ซือหม่าหรุ่ยยามนี้รู้สึกเหมือนหนีจากถ้ำเสือได้ มองจิ่วหุนอย่างเคร่งขรึมครู่หนึ่ง “นี่คือสัญชาตญาณปกป้องตัวเองของเขา ข้าเข้าใกล้เขาไม่ได้ ก็รักษาไม่ได้”


 


 


 “ทำไงดี หรือว่าไปตาม แม่นางเยี่ยเม่ย” ซินเยว่เยี่ยนเสนอ


 


 


 “หาข้าทำไมหรือ”


 


 


ในขณะที่พวกนางคุยกับ เยี่ยเม่ยก็เดินเข้ามาพอดี


 


 


หลังจากกลับมาแล้วไม่เห็นจิ่วหุน นางรู้สึกแปลกใจ จึงมาตรวจดูเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเข้าประตู ก็ได้ยินคนพูดถึงนางแล้ว


 


 


หลังจากเข้ามาด้านใน เยี่ยเม่ยก็เห็นจิ่วหุนที่มุมห้อง นางชะงักชั่วครู่ “เขาเป็นอะไรไปแล้ว”


 


 


ระหว่างถาม นางไม่รอคำตอบก็พุ่งเข้าไปข้างกายจิ่วหุน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยคิดเตือนอีกฝ่ายว่า จิ่วหุนจะทำร้ายคนในยามไม่ได้สติ เยี่ยเม่ยก็ไปถึงข้างกายจิ่วหุนแล้ว หญิงสาวยื่นมือออกไปแตะหน้าผากเขา “ร้อนมาก”


 


 


จิ่วหุนในยามนี้เชื่อฟังมาก ไม่ขยับเลยสักนิด


 


 


ซือหม่าหรุ่ยตะลึงงัน มองหน้ากันกับซินเยว่เยี่ยน


 


 


ดังนั้น มีเพียงนางคนเดียวที่เข้าใกล้จิ่วหุนได้หรือ


 


 


 


 


[1] เฮ่าเยว่ ชื่อของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่แปลว่าแสงจันทร์ 

 

 


ตอนที่ 186 ซานเกอขอร่วมวงด้วยคน

 

คนทั้งสองตื่นตระหนก ไม่แสดงความคิดเห็นในทันที


 


 


เยี่ยเม่ยหันมองซือหม่าหรุ่ย ถามด้วยเสียงเย็นชา “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยคือหมอเทวดา น่าจะรู้ดี


 


 


หลังจากซือหม่าหรุ่ยฟังคำถามของเยี่ยเม่ย กลับมีสีหน้าประหม่า “ข้าเข้าใกล้เขาไม่ได้เลยสักนิด เมื่อครู่เขาเพิ่งชักมีดสั้นออกมา เกือบฆ่าข้าแล้ว”


 


 


เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นช่วงเวลาที่นางเข้าใกล้ความตายมากที่สุดในชีวิตอย่างแน่นอน


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย แต่ยามนี้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว นางยื่นมือออกไปจับข้อมือจิ่วหุนไว้ สั่งซือหม่าหรุ่ย “ไม่เป็นไร ข้าจับเขาไว้ เจ้ามาจับชีพจร”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยที่เกือบถูกแทง ยังแตกตื่นมองจิ่วหุน จากนั้นเหลือบมองเยี่ยเม่ยที่มีสีหน้าหนักแน่น ก็บังคับตัวเองก้าวออกมาสองก้าว


 


 


ว่าไปตามจิตใจอันดีงามของนางแล้ว หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าเยี่ยเม่ย ตีให้ตายนางก็ไม่คิดจะตรวจชีพจรที่แสนอันตรายอย่างนี้


 


 


จิ่วหุนถูกเยี่ยเม่ยยึดข้อมือไว้ ทรมานจนมุ่นคิ้ว แต่ก็ไม่ลงมือทำร้ายคนอีก


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกล้าๆ กลัวๆ กึ่งตื่นเต้นกึ่งปวดใจเดินเข้าไปด้านหน้าจิ่วหุน นางนั่งลงตรวจชีพจร ยามที่ปลายนิ้วของนางสัมผัสถูกข้อมือจิ่วหุน อีกฝ่ายกระตุกอย่างแรง คล้ายจะลงมือ


 


 


เยี่ยเม่ยกำข้อมือจิ่วหุนแน่น ปลอบเสียงเย็นชาว่า “เสี่ยวจิ่ว ไม่เป็นไร”


 


 


น้ำเสียงนางเย็นยะเยียบมาก ในฐานะสาวแกร่งน้ำเสียงของนางไม่มีความอ่อนโยนมาโดยธรรมชาติ กลับคิดไม่ถึงเลยว่า น้ำเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความอ่อนโยนเช่นนี้จะปลอบโยนให้จิ่วหุนสงบลงได้


 


 


เขาไม่ขัดขืน ไม่ขยับมือทำร้ายคน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่มองอยู่ด้านข้าง ต่างก็แอบยกนิ้วโป้งให้เยี่ยเม่ยอยู่ในใจ ใช้ได้เลย พวกนางเลื่อมใสมาก การแสดงออกของเจ้าหนูเสี่ยวจิ่วแตกต่างอย่างชัดเจน


 


 


เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา รอผลตรวจชีพจรของซือหม่าหรุ่ยอย่างกระวนกระวายใจ


 


 


หลังจากนั้นพักหนึ่ง ผลตรวจของซือหม่าหรุ่ยก็ปรากฏแล้ว


 


 


นางมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “คือพิษ ข้ามีวิธีสะกดมันไว้ได้ เพียงแต่หลายวันนี้ กำลังภายในของเขาจะถูกพิษสะกดไว้ อาจใช้ไม่ได้ ต่อให้ใช้ออกมาได้ ก็มีไม่ถึงสามส่วน”


 


 


 “อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร รักษาชีวิตไว้ก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


ยามนี้รักษาชีพจรกับชีวิตของเจ้าหนูนี่ไว้ก่อน ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด


 


 


 “อืม”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจแล้ว นางมองเยี่ยเม่ยสั่งว่า “พาเขาไปนอนบนเตียงก่อน”


 


 


เดิมทีคิดว่ารูปร่างอย่างจิ่วหุน จำเป็นต้องให้พวกนางช่วยกันพยุงไป คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยยืนขึ้นก็จับจิ่วหุนพาดบ่า เดินออกไปไม่กี่ก้าวถึงเตียง ก็วางเขาลงไป


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนที่ชมอยู่ทั้งสองคน มุมปากกระตุกไม่หยุด


 


 


ช่างเป็นสตรีแข็งแกร่งจริงๆ แบกคนน้ำหนักร้อยกว่าจิน[1]ได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ไม่มีความกดดันเลยสักน้อย สตรีเข้มแข็งทั่วไปพบเจออาจจะต้องยอมถอย ยอมแพ้ในทันที


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับมาเห็นซือหม่าหรุ่ยจ้องตนเองไม่ขยับ ยามนี้เกิดความร้อนรน เร่งว่า “รีบมาสิ”


 


 


 “อ้อ”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยได้สติ ถึงคิดถึงหน้าที่รักษาชีวิตคน นางเดินมาถึงข้างกายจิ่วหุน ล้วงเข็มเงินออกจากแขนเสื้อ เริ่มสลายพิษให้จิ่วหุน


 


 


เยี่ยเม่ยและซินเยว่เยี่ยนยืนอยู่ข้างเตียงไม่กล้ารบกวน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยฝังเข็มจำนวนมากลงไปที่จุดชีพจรบนร่างจิ่วหุนอย่างช้าๆ มีเข็มหลายเล่มที่เปลี่ยนเป็นสีดำ จนกระทั่งบางเล่มมีไอควันพวยพุ่งออกมา


 


 


เยี่ยเม่ยมองจนสีหน้าหนักใจ


 


 


มุมปากของจิ่วหุนมีเลือดสีดำค่อยๆ ซึมออกมา…


 


 


ซือหม่าหรุ่ยในเวลานี้รวบรวมสมาธิ จ้องเข็มที่ฝังอยู่บนร่างจิ่วหุน รวมถึงการแสดงออกต่างๆ ของเขา หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ก็เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลอด


 


 


หลังจากการรักษาที่ตื่นเต้นเร่งด่วนผ่านไปสักครู่


 


 


ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าดัง


 


 


ไอปีศาจชั่วร้ายกลุ่มหนึ่ง กระจายเข้ามาจากด้านนอกประตู เป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคย นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว โดยพื้นฐานก็ไม่มีใครอีกเป็นคนที่สอง


 


 


เยี่ยเม่ยหันไปมอง 


 


 


เป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสาวเท้ากว้างเข้าประตูมาจริงดังคาด


 


 


ชุดต่วนที่ประสานสีดำและแดงเข้มเอาไว้แสดงออกถึงความสูงศักดิ์ คนเดินมาถึงข้างกายเยี่ยเม่ย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยวาจา เยี่ยเม่ย หันกลับมาทำเสียง “ชู่” ให้เขาเงียบ


 


 


ยามนี้ซือหม่าหรุ่ยกำลังช่วยคน ห้ามรบกวน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมอง จิ่วหุนบนเตียง ร่ายกายเจ้าหนุ่มนั่นมีเข็มเงินสีดำ ทำให้เขาเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะถูกพิษแล้ว


 


 


เพียงแต่ก่อนหน้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย


 


 


คนทั้งหมดจึงได้แต่รอซือหม่าหรุ่ยรักษาต่อไปเช่นนี้


 


 


……


 


 


เมืองหลวงราชสำนักเป่ยเฉินเกิดความโกลาหลวุ่นวาย


 


 


ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลจง จอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่งจงรั่วปิง ได้ฟังความว่าองค์ชายใหญ่คู่หมั้นของตนคิดตบแต่งพระชายารองก่อน ก็ร้องไห้อาละวาดจะแขวนคอตาย


 


 


คนทั้งหลายต่างเห็นใจจงรั่วปิง เดิมทีคิดว่านางกำลังข่มขู่องค์ชายใหญ่ หวังให้เขาถอนรับสั่งโดยเร็ววัน แต่งงานพระชายาเอกเสียก่อนค่อยว่ากัน


 


 


คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า


 


 


ยามเป้าหมายแท้จริงของนางปรากฏออกมา คนทั้งหลายตกใจจนอ้าปากค้าง


 


 


นางคิดจะ…ถอนหมั้น


 


 


นับตั้งแต่ยามที่ราชสำนักเป่ยเฉินก่อตั้งมานับร้อยกว่าปี ไม่มีสตรีคนไหนที่ถอนหมั้นกับราชนิกุลมาก่อน ราชนิกุลคือตระกูลแห่งสวรรค์ งานแต่งงานของสวรรค์มีเหตุผลให้เพิกถอนด้วยหรือ


 


 


ต่อให้ไม่อยากมีชีวิตแล้ว ก็ไม่สมควรเอาชีวิตผู้ใหญ่เด็กเล็กในตระกูลตนมาล้อเล่นกระมัง


 


 


ทุกคนต่างคิดเช่นนี้


 


 


คนทั้งหลายล้วนหลงคิดว่า บิดาของจงรั่วปิง ใต้เท้าจงซานผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นแต่อยู่ใต้คนคนเดียวจะต้องตำหนิที่บุตรสาวตัวเองไม่รู้ความ ซ้ำต้องเข้าวังไปขออภัยโทษ คุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจ พรรณนาถึงความชอบที่ตนมีต่อราชสำนักเป่ยเฉินตลอดหลายปี หวังว่าฝ่าบาทจะละเว้น องค์ชายใหญ่จะใจกว้าง ความจริงคนเหล่านั้นคาดเดาไม่ได้ว่าจงซานเข้าวังไปก็จริง ทั้งยังร้องไห้ยกใหญ่เที่ยวหนึ่ง จนเกือบจะเป็นลมไป ได้ยินว่าฮ่องเต้ทนได้ฟังเสียงร้องไห้ด้วยสีหน้ารังเกียจ หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้า ก็คงโยนใต้เท้าจงซานออกจากวังไปแล้ว


 


 


ตลอดชั่วชีวิตของหัวหน้าขันทีไม่เคยพบเคยเห็นขุนนางใหญ่ร้องไห้แบบนี้มาก่อน


 


 


แต่ทว่า


 


 


ส่วนเนื้อหาที่ใต้เท้าจงซานร้องไห้คร่ำครวญออกมา กลับไม่ใช่ขอร้องให้ฝ่าบาทอภัยโทษ แต่เป็นขอให้พระองค์ทรงถอนหมั้นเสีย เขายินยอมทิ้งตำแหน่งราชการของตน เพื่อแลกกับการยินยอมถอนหมั้น


 


 


คราวนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงคล้ายระเบิดแตก


 


 


คนทั้งหมดคิดว่าจงซานเสียสติไปแล้ว


 


 


ฮ่องเต้เองก็มีพระดำริเช่นนี้ สุดท้ายไล่จงซานกลับไป ให้เขาสงบสติอารมณ์สักหลายวันค่อยว่ากันใหม่


 


 


คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นทุกครั้งที่จงซานพบพระองค์ล้วนน้ำมูกน้ำตาไหล สารพัดวิธีคุกเข่าขอร้องให้พระองค์ยกเลิกสมรสพระราชทาน นั่นคือท่าทางขอให้ยกเลิกงานแต่งโดยไม่ต้องการชีวิต


 


 


ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายในราชสำนัก มองด้วยความรังเกียจ


 


 


ความจริงพวกเขาไม่เข้าใจเลย ใต้เท้าจงซานผู้สร้างความดีความชอบให้กับราชสำนัก ชาวบ้านทั้งหลายต่างเลื่อมใสใต้เจ้าจงซานมาก ไฉนถึงร้องไห้ได้เก่งขนาดนี้ เขาเป็นบุรุษนะ ทุกคนต่างได้เปิดหูเปิดตาได้ความรู้ใหม่ๆ


 


 


จนกระทั่งวันนี้ ฝ่าบาทสุดจะทนอีกแล้ว


 


 


เรียกตัวจงซาน จงรั่วปิง และองค์ชายใหญ่ไปห้องทรงพระอักษร


 


 


 


 


[1] จินเป็นหน่วยวัดของจีน หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโล 

 

 


ตอนที่ 187 เจ้าจะให้เยี่ยนช่วยศัตรูหั...

 

เหล่าผู้คนที่วิพากษ์วิจารณ์ต่างลนลาน 


 


 


เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทเกิดโทสะแล้ว ทั้งไม่รู้ว่าจะเรียกจงซานไปตัดหัวหรือเปล่า ว่าไปแล้วทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ ใต้เท้าจงซานมักเป็นคนแรกที่พุ่งออกไปขอความช่วยเหลือเพื่อชาวบ้าน 


 


 


ทุกครั้งยามเมืองหลวงเกิดเรื่องไม่เป็นธรรมขึ้น ยามที่ศาลาว่าการไม่อาจจัดการได้ ชาวบ้านทั้งหลายจะไปขอร้องที่จวนใต้เท้าจงซาน สุดท้ายก็มักได้รับการช่วยเหลือ  


 


 


ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ใต้เท้าจงซานของฝ่าบาทเปิดยุ้งฉางแจกเสบียงหลวง ช่วยเหลือชาวบ้าน กล่าววาจารุนแรงกลางท้องพระโรงว่า หากทำไม่สำเร็จจะไม่ยอมเลิกรา จนเกือบถูกฮ่องเต้ประหาร 


 


 


ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ชาวบ้านเลื่อมใสใต้เท้าจงซานอย่างมาก 


 


 


ส่วนบุตรสาวของใต้เท้าจงซาน จงรั่วปิงจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่งเลื่องชื่อไปทั่วหล้า นางผดุงคุณธรรมเหมือนดังผู้เป็นบิดา องค์ชายใหญ่ยังเป็นคนที่มีโอกาสขึ้นครองราชย์มากที่สุด คนทั้งหลายต่างคิดว่าจงรั่วปิงจะได้เป็นฮองเฮามารดาของแผ่น ต่างก็เฝ้ารอ 


 


 


ใครจะรู้ว่าเพราะเรื่องการแต่งพระชายารองก่อน จะเกิดเรื่องใหญ่มหันต์ถึงเพียงนี้ 


 


 


บรรดาคนที่ชมดูอยู่ล้วนเป็นกังวล วันนี้สองพ่อลูกตระกูลจงจะถูกฝ่าบาทประหาร 


 


 


ภายในห้องทรงพระอักษร 


 


 


ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ มองคนทั้งสามที่คุกเข่า “จงซาน…” 


 


 


 “ฝ่าบาท” จงซานเงยหน้าขึ้นมา บุรุษอายุสี่สิบปี ที่ดูคล้ายหนุ่มรูปงามอายุสามสิบ 


 


 


ทว่า… 


 


 


ยามเขาเงยหน้าขึ้นมา ฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรเห็นน้ำมูกสองสายไหลย้อย ซ้ำยังมีน้ำตาที่หางตาอีก 


 


 


ฮ่องเต้ทอดพระเนตรน้ำมูก พลันเกิดความรู้สึกรังเกียจ  ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด พระองค์ทรงคลึงขมับหลายครั้ง “ไม่เป็นไร เจ้าก้มหน้าลงไปเถอะ” 


 


 


หลายวันนี้พระองค์เห็นคนที่มีน้ำมูกไหลน้ำตาไหล ร้องไห้อยู่หน้าพระพักตร์ ในฐานะราชาของแผ่นดิน พระองค์ทุกข์ทรมานอยู่ในพระทัยมากแค่ไหน แค่คิดก็รู้ได้แล้ว 


 


 


 “อ้อ…” จงซานได้ยินแล้ว ก็รีบก้มหน้าทันที 


 


 


จงรั่วปิงเองก็มองบิดาของตนด้วยสายตาสั่นสะท้าน  


 


 


แต่เดิมนางได้ยินว่าหลายวันนี้ท่านพ่อใช้สารพัดวิธีร้องขอให้ฝ่าบาทยกเลิกสมรสพระราชทาน นางยังคิดว่าเป็นข่าวลือ คิดไม่ถึงว่าวันนี้พอได้เห็นแล้ว นางอยากแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ใช่บิดาของตน 


 


 


ช่างขายหน้านักเชียว 


 


 


ฮ่องเต้ถอนพระทัย “จงซาน เจ้าอยากให้ข้ายกเลิกงานแต่งงานจริงๆ อย่างนั้นหรือ เจ้าต้องรู้ไว้ องค์ชายใหญ่คือลูกที่ข้ารักมากที่สุด เจ้าก็เป็นขุนนางรักของข้า ถึงเจ้ามักจะเป็นปรปักษ์กับข้าในท้องพระโรงอยู่บ่อยๆ แต่จากคำพูดของเจ้า ข้าก็มักรู้สึกว่าสิ่งที่ข้าจัดการไม่ถูกอยู่เรื่อย…” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ทั่วทั้งราชสำนักเป่ยเฉินไม่อาจหาคนแบบกระหม่อมได้อีกแล้ว ไม่ต้องการชีวิต เป็นขุนนางที่กล้าเถียงกับพระองค์ กระหม่อมช่างลำบากลำบนมีคุณงามความชอบนัก ฝ่าบาท พระองค์ต้องยอมรับคำขอร้องของกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จงซานยามนี้เอ่ยยกยอตัวเอง ด้วยจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของตน จากนั้นเงยหน้าขึ้น ทำให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นใบหน้าเคล้าน้ำมูกน้ำตาเขาอีกทันที 


 


 


ฮ่องเต้ “…” 


 


 


พระองค์ทรงไอออกมา ตรัสต่อไป “แต่ว่าเจ้าต้อง…เจ้าก้มหน้าไปก่อน” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” จงซานก้มหน้าทันที 


 


 


เมื่อไม่เห็นใบหน้าร้องไห้จนอนาถอีก ฮ่องเต้พลันรู้สึกสบายขึ้นมาก ตรัสต่อว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากลำบนมีความชอบ ดังนั้นถึงประทานสมรสให้บุตรสาวของเจ้ากับองค์ชายที่ข้ารักมากที่สุด ให้นางเป็นพระชายา ภายหน้าตำแหน่งฮองเฮาอาจเป็นของนาง”   


 


 


คำพูดของฮ่องเต้เป็นการบอกอย่างชัดเจนแล้ว 


 


 


เป่ยเฉินเสียงทนไม่ไหวเงยหน้ามอง เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ เช่นนี้ก็เท่ากับเปิดเผยว่าจะยกตำแหน่งให้เขาสืบทอด เป่ยเฉินเสียงดีใจจนลิงโลด 


 


 


จากนั้น จงซานกลับแข็งข้อเป็นอย่างมาก “แต่ฝ่าบาท บุตรสาวของกระหม่อมไม่ยินยอม ท่านก็ทรงทราบ กระหม่อมมีลูกสาวคนเดียว มารดาของนางร่างกายอ่อนแอ หลังจากคลอดนางได้ไม่นานก็ลาจาก ก่อนฮูหยินจะไป ฝากฝังให้ข้าดูแลบุตรสาวให้ดี ไม่เช่นนั้นนางคงตายตาไม่หลับ หาก…หากฮูหยินรับรู้ว่า บุตรสาวยอมตายไม่ยอมแต่งงาน กระหม่อมต้องฝืนให้นางแต่งแล้ว…” 


 


 


เขาเอ่ยออกมาอย่างน่าเวทนานัก 


 


 


คนทั้งหลายต่างคิดว่า นี่คือบทพูดที่แสนกินใจของคู่สามีภรรยา จงซานรีบเอ่ยออกมาว่า ตนเองผิดต่อฮูหยินในปรโลก 


 


 


คิดไม่ถึงว่า เขาพลันเงยหน้าขึ้น 


 


 


จากนั้นก็ร้องไห้น้ำตาน้ำมูกไหลต่อหน้าพระพักตร์อีก สะอื้นเสียงเจ็บปวด “กระหม่อมกลัวว่า กลางดึกค่ำคืนฮูหยินจะมาเอาชีวิตกระหม่อม ฝ่าบาท ชั่วชีวิตนี้กระหม่อมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น กลัวแต่ผี ขอให้ฝ่าบาททรงเมตตาด้วย” 


 


 


ฮ่องเต้ “…” 


 


 


คนทั้งหมด “….” 


 


 


จงรั่วปิง “…” 


 


 


ฮ่องเต้กุมขมับ หมดคำพูดมองจงซานสักพักใหญ่ จากนั้นกวาดตามองจงรั่วปิง “เจ้าอยากยกเลิกงานแต่งงานนี้จริงๆ หรือ” 


 


 


 “เพคะ” น้ำเสียงของจงรั่วปิงหนักแน่นมาก 


 


 


พระสุรเสียงของฮ่องเต้เย็นเยียบลงไม่น้อย “ต่อให้ข้าจะตัดหัวเจ้า” 


 


 


จงรั่วปิงไม่ลังเล “ทูลฝ่าบาท ใช่เพคะ” 


 


 


หว่างพระขนงของฮ่องเต้เผยแววโทสะ จงซานเห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้อง รีบตะกายไปข้างพระบาท กอดเอาไว้แน่น จากนั้นสะอื้นเสียงดังอีกครั้ง  “ฝ่าบาท โปรดเมตตาด้วย ฝ่าบาท…” 


 


 


ฮ่องเต้ “…” 


 


 


ครั้นพระองค์ก้มหน้ามองจงซาน ทรงกังวลว่าหากอีกฝ่ายยังร้องไห้ไม่หยุด น้ำมูกน้ำตาพานจะเลอะฉลองพระองค์ไปด้วย 


 


 


ภายใต้ความจนปัญญา ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ช่างเถอะ ทำตามที่พวกเจ้าต้องการ ยกเลิกงานแต่งงานนี้ ถอยออกไปได้แล้ว” 


 


 


 “ขอบพระทัยฝ่าบาท” จงซานปล่อยพระบาทฮ่องเต้ทันที ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดน้ำมูกน้ำตา เวลานี้คลี่ยิ้มเบิกบาน 


 


 


 “กระหม่อมกับบุตรสาวทูลลา” 


 


 


จงซานเอ่ยจบก็ส่งสายตาหาจงรั่วปิง สองพ่อลูกจากไป 


 


 


ยามพวกเขาไปถึงหน้าประตู ฮ่องเต้ได้ยินจงซานฮัมเพลงอย่างมีความสุข พระองค์ทรงกริ้วเสียจนพระพักตร์เปลี่ยนสี 


 


 


จงรั่วปิงมองบิดาที่เปลี่ยนหน้าได้อย่างรวดเร็วด้วยความเลื่อมใส ประสานหมัดชื่นชม “ท่านพ่อของข้าร้ายกาจนัก” 


 


 


คิดไม่ถึงว่าร้องไห้แบบนั้นไป ยังปลอดภัยซ้ำยกเลิกงานแต่งได้ สมควรรู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ว่าเกิดขึ้นกับใครล้วนต้องประหารชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น 


 


 


จงซานผ่อนลมหายใจ มองจงรั่วปิงคำรบหนึ่ง “แค่ภายหน้าชีวิตของบิดาคงไม่ง่ายอีกแล้ว”  


 


 


ยกเลิกงานแต่งงาน ฮ่องเต้เห็นแก่หน้าจึงไม่ทำอะไรตัวเขา ทว่าภายหน้าเขาคงถูกเมิน 


 


 


จงรั่วปิงยามนี้สีหน้าเสียใจ 


 


 


จงซานโบกมือไม่เป็นไร “กลับจวนๆ…”  


 


 


…… 


 


 


ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ทรงถลึงพระเนตรใส่เป่ยเฉินเสียง  


 


 


หยิบแท่นฝนหมึกบนโต๊ะโยนกระแทกใส่องค์ชายใหญ่อย่างแรง “เจ้าเห็นหรือยัง ตระกูลจงไม่เสียดายชีวิต ไม่เสียดายตำแหน่งฮองเฮา ไม่ยอมแต่งงานกับเจ้า เจ้าดูสิว่าเจ้าทำเรื่องโง่เขลาอะไรลงไป” 


 


 


เป่ยเฉินเสียงสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่พูดจา 


 


 


…… 


 


 


ชายแดน 


 


 


หลังจากซือหม่าหรุ่ยถอนเข็มเงินออกจนหมด สีหน้ายังหลงเหลือความหนักใจอยู่บ้าง หันกลับไปมองเยี่ยเม่ย “ถึงพิษในร่างเขาจะถูกสะกดไว้ได้แล้ว แต่ว่าก่อนที่พวกเราจะพบเขา พิษของเขากำเริบหลายชั่วยามแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจฟื้นขึ้นมาทันที หากมีผู้มีกำลังภายในล้ำลึก ช่วยขับพิษ เขาน่าจะฟื้นได้ไวขึ้น” 


 


 


ผู้มีกำลังภายในล้ำลึกหรือ 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่พูดมากความ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้านข้างทันที นางผลักเขาออกไปด้านหน้า “ที่นี่มีคนหนึ่ง เป็นเขาได้ไหม” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตีหน้าขรึมลงทันที ปรายตามองเยี่ยเม่ย “เจ้าจะให้เยี่ยนช่วยศัตรูหัวใจหรือ”  

 

 


ตอนที่ 188 เยี่ยนเป็นสามีแสนดีที่ยอมล...

 

เมื่อสิ้นเสียงเขา เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก 


 


 


ปรายตามองชายหนุ่ม ถามด้วยเสียงเย็นชา “ศัตรูหัวใจหรือ ศัตรูหัวใจอยู่ที่ไหนกัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านอย่าได้เห็นบุรุษแล้วก็พานเหมาเป็นศัตรูหัวใจไปจนหมดได้หรือไม่” 


 


 


นางอยากจะบ้าตายแล้ว 


 


 


เพราะเรื่องของเป่ยเฉินอี้เมื่อครู่ จู่ๆ ก็หึงหวงอย่างไร้เหตุผลไปยกใหญ่ บอกว่าสายตานางยามมองเป่ยเฉินอี้ไม่ปกติ การแสดงออกทั้งหลายทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกยังไม่อาจสงบใจลงได้  


 


 


ยามนี้เสี่ยวจิ่วพลันเปลี่ยนไปเป็นศัตรูหัวใจของเขาอีกแล้ว เยี่ยเม่ยอยากถีบเขาสักทีหนึ่ง มองคน มองปัญหา มองความสัมพันธ์ ทำไมเขาถึงได้คิดอะไรซับซ้อนนักหนา 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ องค์ชายสี่ไม่โกรธ ทว่าหันมองนาง 


 


 


ใบหน้าหล่อร้ายมีความลุ่มลึกขึ้นหลายส่วน ลอบถามว่า “เขาไม่ใช่ศัตรูหัวใจ อย่างนั้นตามความหมายของเจ้า เขาก็คือน้องภรรยาแล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยสีหน้าแข็งทื่อ กลัดกลุ้ม 


 


 


ถึงนางจะมีสัญญาหมั้นหมายกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ทว่ายังไม่ได้แต่งงาน จู่ๆ มาพูดถึงน้องภรรยา นางยากจะรับไหว รู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง 


 


 


ทว่ายามนี้หาใช่เวลาเขินอาย เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สงบสติตัวเอง เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “แน่นอน สรุปท่านจะช่วยหรือว่าไม่ช่วย” 


 


 


คำพูดเยี่ยเม่ยเหมือนกับว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยหาได้อยู่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนเลือกไม่ 


 


 


จากนั้น… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ยคำรบหนึ่ง ถามเนิบๆ ว่า “ข้ามีสิทธิ์พูดว่าไม่อย่างนั้นหรือ” 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า “ท่านว่าอย่างไรล่ะ” 


 


 


น้ำเสียงไม่ยินดีอย่างมาก คล้ายกับว่าหากนางได้ฟังคำตอบที่ไม่อยากฟัง ก็จะลงมือจัดการคนทันที 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันถอนลมหายใจ เดินไปข้างเตียงอย่างยอมรับชะตากรรม ถอนใจช้าๆ “เยี่ยนเป็นสามีแสนดีที่ยอมลำบากลำบนอยู่แล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนสองคนยืนอยู่ข้างเตียง ต่างก็มีสีหน้าจนคำพูด ถึงในใจจะคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกจะใจแคบด้านความรักไปเสียหน่อย ทว่าส่วนลึกในใจยังพอเข้าใจได้อยู่ 


 


 


อย่างไรก็ตามเยี่ยเม่ยเห็นเสี่ยวจิ่วเป็นน้องชาย แต่เสี่ยวจิ่วไม่ได้คิดเช่นนั้น 


 


 


พวกนางที่เป็นคนข้างๆ ต่างก็ดูออกว่าความรู้สึกที่เสี่ยวจิ่วมีต่อเยี่ยเม่ยไม่ปกติ… 


 


 


น่าเสียดายที่เยี่ยเม่ยตรงไปตรงมา มองไม่ออก 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบรุดเข้าไป คิดจะพยุงเสี่ยวจิ่วขึ้นมา แต่พลันนึกถึงตอนที่ตนเองเกือบถูกเสี่ยวจิ่วแทง นางก็ปรายตามอง เยี่ยเม่ยทันที 


 


 


เยี่ยเม่ยก็ตระหนักได้ ยื่นมือออกไปพยุงจิ่วหุน  


 


 


คิดไม่ถึงว่าเมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นมือของเยี่ยเม่ยก็เข้าใจทันทีว่านางคิดทำอะไร เขาปัดมือของหญิงสาวออก รีบเข้าไปพยุงจิ่วหุนด้วยตัวเอง  


 


 


เยี่ยเม่ยหมายเตือนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนว่า จิ่วหุนอยู่ในสภาพไม่ได้สติ อาจลงมือโจมตีด้วยสัญชาตญาณของนักฆ่า 


 


 


คิดไม่ถึงว่าไอสังหารจากร่างจิ่วหุนเพิ่งแผ่ออกมา 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันฟาดมือไปที่ท้ายทอยของเขา ยามนี้จิ่วหุนที่กึ่งมีสติก็สิ้นสติสมประดี 


 


 


คราวนี้… 


 


 


หมดสิ้นเรี่ยวแรงทำร้ายคนแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยตีหน้าขรึม “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านนี่มัน… ข้าให้ท่านช่วยคน ท่านกลับดีนัก ทำให้คนพอมีสติอยู่บ้าง สิ้นสติไปหมดสิ้นแล้ว” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนมุมปากกระตุก 


 


 


ส่วนคนที่ทำเรื่องนี้ มองสีหน้าขุ่นมัวของเยี่ยเม่ย ใบหน้าหล่อร้ายหาได้ตื่นเต้นหรือร้อนใจ  


 


 


เอ่ยปากช้าๆ ว่า “ฮูหยิน อย่าโกรธเลย เขาในตอนนี้มีสัญชาตญาณต่อสู้ ทำให้สลบไปก็ดีแล้ว ตอนนี้เจ้าพยุงเขาขึ้นมา แต่ระหว่างที่เยี่ยนเดินลมปราณให้เขา เจ้าห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด หากระหว่างนี้เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นล่ะก็ ข้ากับเขาคงธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว”  


 


 


ทุกคนหมดคำพูด ฟังดูแล้วก็เหมือนมีเหตุผลอยู่บ้างนะ 


 


 


แต่ไฉนพวกนางถึงฟังว่าเป็นน้ำเสียงของคนเตรียมแก้แค้นกันเล่า 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบก้าวขึ้นมา บอกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “อวัยวะภายในของเขามีพิษ เพื่อรักษาตัวเองก็ปิดจุดชีพจรเริ่นตูไปแล้ว ท่านต้องลงมือตอนนี้ ทะลวงจุดเริ่นตูของเขา ทำให้ลมปราณลื่นไหล เขาถึงจะฟื้นขึ้นมาได้ไวหน่อย แต่ท่านคงเข้าใจนะว่า การทะลวงจุดชีพจรเริ่นตู สำหรับคนทั่วไปแล้วต้องใช้กำลังภายในหกสิบปี ถึงท่านมีพื้นฐานล้ำลึก แต่ว่าก็ต้องใช้กำลังพลังภายในไม่น้อย หลังจากเรื่องนี้ผ่านไปต้องรักษาตัวสองสามวัน ห้ามใช้กำลังภายใน” 


 


 


คราวนี้เยี่ยเม่ยด้านข้างที่คิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนมือช่วย ก็เพียงช่วยเหลือเท่านั้นไม่ถึงขั้น “ลำบากลำบน” ก็ไม่เอ่ยปากอีก 


 


 


ที่แท้ต้องเสียกำลังภายในจำนวนมาก 


 


 


ช่วงนี้นางได้รับเคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่ทั้งลงมือศึกษา กำลังภายในขั้นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปคือพื้นฐานวรยุทธ์หกสิบปี เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอายุน้อย ก็แค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น เขามีกำลังภายในหกสิบปีได้ เห็นได้ว่าเขามีความสามารถเกินธรรมดา ทั้งยังเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกยุทธ์หกเจ็ดปีแล้วจำนวนไม่น้อยเสียอีก 


 


 


กำลังภายในเช่นนี้ ใครเอาออกมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นก็เป็นการเสียหายอย่างใหญ่หลวง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วก็ไม่ตอบอะไร เขารวบรวมสมาธิ เรียวนิ้วยาวดุจหยกสกัดเข้าที่จุดชีพจรของจิ่วหุนอย่างรวดเร็ว รวบรวมสมาธิมั่น โคจรกำลังภายในเข้าสู่ร่างกายจิ่วหุน 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยและซินเยว่เยี่ยน ส่งสัญญาณให้พวกนางออกไป 


 


 


เวลานี้ห้ามรบกวน ทันทีที่รบกวน จะธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างง่ายดาย 


 


 


สตรีทั้งสามออกจากห้องไป 


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับไปมองห้อง เสียงเบาเอ่ยว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีปัญหาใช่หรือไม่” 


 


 


อย่างไรนางก็รู้ว่าการเอากำลังภายขั้นหนึ่งออกมาใช้ เพื่อทะลวงจุดชีพจรเริ่นตูให้ผู้อื่น เท่ากับทำลายการฝึกปรือหกสิบปีของคนผู้นั้น ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอายุยังเยาว์ ระยะเวลาในการฝึกปรือน่าจะยังไม่นาน 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย ปลอบว่า “วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาหรอก องค์ชายสี่เป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค แต่ว่าพื้นฐานของเขาไม่ต่ำไปกว่าขั้นห้าแน่ คำพูดนี้ก็คือผู้อื่นต้องฝึกปรือสามร้อยปีถึงมีวรยุทธ์ระดับนี้ ส่วนเขาอายุยี่สิบกว่าก็สำเร็จแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเลยสักน้อย” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ซือหม่าหรุ่ยเสริมต่ออีกว่า “เพราะว่าพื้นฐานเขาล้ำลึก ดังนั้นต้องรักษาตัวสองสามวัน เขาถึงฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปกลับมาได้ ไม่เหมือนเช่นคนทั่วไปที่สูญเสียกำลังฝึกปรือหกปีไปเลย เพียงแต่ถัดไปสองสามวันนี้ ร่างกายเขาจะอ่อนแอเป็นพิเศษเท่านั้น” 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนยืนมองอยู่ด้านข้าง ก็รีบพยักหน้ารัว “ไม่ผิด องค์ชายสี่มีความสามารถเช่นนี้จริงๆ พูดตามตรงแล้ว พื้นฐานของเสี่ยวจิ่วก็ก้าวผ่านขั้นสี่ไปได้ ในโลกนี้คนที่เป็นเหมือนพวกเขา ไม่ถูกอายุจำกัดควบคุมไว้ กลายเป็นยอดอัจฉริยะในการฝึกยุทธ์มีจำนวนแค่หยิบมือเท่านั้น ความสามารถขององค์ชายสี่ เป็นหนึ่งไม่มีสองอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล” 


 


 


อย่างไรเสีย หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังทำไม่ได้ อย่างนั้นก็ไม่มีใครแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก นางรู้สึกว่าการฝึกกำลังภายในหนึ่งปีก็ยากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังมีคนฝึกมาสำเร็จขั้นฝึกฝนร้อยปี อีกทั้งข้างกายนางยังมีถึงสองคนด้วย 


 


 


นางยังบอกว่านางอิจฉาได้หรือเปล่า  

 

 


ตอนที่ 189 สาเหตุที่เรียกจิ่วหุนว่าเส...

 

ซือหม่าหรุ่ยถอนใจ “ถึงการขับพิษไม่ดีต่อองค์ชายสี่ ทำให้เขาสูญเสียกำลังภายในจำนวนมากในเวลาอันสั้นเช่นนี้ แต่สถานการณ์ของจิ่วหุนตอนนี้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายสี่ แม้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ กระทั่งอาจไม่ฟื้นขึ้นมาก็เป็นได้ ดังนั้นได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้ารับ จ้องเขม็งมองประตูห้อง แอบใคร่ครวญอยู่ในใจ เห็นแก่ที่เขาช่วยนางเช่นนี้ ภายหน้าคงต้องดีกับเขาหน่อย 


 


 


เมื่อคิดได้ เยี่ยเม่ยก็มองซือหม่าหรุ่ย “เรื่องที่เสี่ยวจิ่วถูกพิษนี่มันเรื่องอะไรกัน” 


 


 


 “เจ้าไม่รู้เหรอ” ซือหม่าหรุ่ยตกใจอยู่บ้าง 


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว “หรือว่าเจ้ารู้ตั้งนานแล้ว” 


 


 


น่าแปลกใจจริง วันๆ เสี่ยวจิ่วติดตามอยู่ข้างกายตนเอง เขาถูกพิษนางยังไม่รู้ ซือหม่าหรุ่ยไม่น่าสนิทกับเสี่ยวจิ่ว 


 


 


น่าจะเคยพูดคุยกันไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่ว่าซือหม่าหรุ่ยกลับรู้เรื่องนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยพลันคิดว่านางที่ตั้งตนเป็นพี่สาวของจิ่วหุน แท้จริงแล้วบกพร่องในหน้าที่มาก 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองสีหน้างุนงงของเยี่ยเม่ย ก็รู้ได้ทันทีว่าเยี่ยเม่ยไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น จึงเอ่ยปากอย่างรวดเร็วว่า “เรื่องที่เขาถูกพิษ ตามที่ข้ารู้พิษชนิดนี้ เป็นพิษที่องค์กรนักฆ่าใช้ควบคุมพวกนักฆ่า ไม่มียาถอนพิษที่แท้จริง เพียงแต่ทุกๆ ครึ่งปีกินยารักษาชีวิตครั้งหนึ่ง อีกทั้งผ่านไปช่วงหนึ่งก็ต้องกินยาเพื่อสะกดพิษเอาไว้” 


 


 


เยี่ยเม่ยหรี่ตาลง 


 


 


จิ่วหุนเคยเป็นนักฆ่า นางดูออกนานแล้ว วิธีการสังหารคนของนักฆ่า พฤติกรรมของสหายร่วมอาชีพ ทั้งยังเป็นยอดนักฆ่าในโลกนักฆ่าเช่นนี้ เยี่ยเม่ยรู้อย่างแจ่มแจ้ง 


 


 


แต่ที่คิดไม่ถึง… 


 


 


เยี่ยเม่ยมอง ซือหม่าหรุ่ย ถามเสียงเย็นเยียบ “เจ้ายังรู้อะไรอีก” 


 


 


การวิเคราะห์เรื่องยานี้ 


 


 


ยังมีอย่างอีกหรือเปล่า 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยรีบเอ่ยปาก “ข้ายังรู้ว่าเพราะเขาต้องการออกจากองค์กรนักฆ่า ถึงได้ตกอยู่ในสภาพที่น่าอึดอัดเช่นนี้ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้บอกอะไรข้ามากนัก เพียงแต่ตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงชายแดน เขามาหาข้า ถามว่ามีวิธีหรือเปล่า นี่คือทั้งหมดที่ข้ารู้” 


 


 


 “เป็นอย่างนี้เอง…” เยี่ยเม่ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามขึ้นว่า “เจ้าคาดว่าเขาออกจากองค์กรนักฆ่ามานานแค่ไหนแล้ว” 


 


 


 “ไม่เกินหนึ่งเดือน” ซือหม่าหรุ่ยแสดงความคิดออกทันที ทั้งยังกล่าวต่อว่า “ครั้งก่อนที่เขากินยารักษาชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ดูจากชีพจรแล้ว อย่างมากก็เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่า” 


 


 


เยี่ยเม่ยสงบนิ่งไป 


 


 


ย้อนคิดถึงระยะเวลาที่นางกับจิ่วหุนรู้จักก็เป็นเวลาไม่กี่วัน น่าจะประมาณครึ่งเดือนเห็นจะได้ อีกทั้งตอนที่เพิ่งรู้จักกัน นางไปอาละวาดจวนนายอำเภอ จิ่วหุนหายตัวไปหลายวัน  


 


 


หลังจากกลับมาเขาบอกนางว่าไปจัดการเรื่องส่วนตัวแล้ว ซ้ำยังบอกว่าภายหน้าเขาจะไม่มีเรื่องส่วนตัวอีก หรือว่าเขาไปตัดความสัมพันธ์กับองค์กรนักฆ่ามาแล้ว ก็เพื่ออยู่ข้างกายนาง ถึงผลักไสให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ 


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยครุ่นคิด 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง น้ำเสียงของนางเจือแววสงสัย “ความจริงข้ากับซินเยว่เยี่ยนมีความคิดคาดเดาข้อหนึ่งมาตลอด พวกเราต่างก็คิดว่าเสี่ยวจิ่วคือจิ่วหุน”  


 


 


ดังนั้นตอนนางมาเคาะประตูวันนี้ จึงร้องเรียกจิ่วหุน  


 


 


ถึงจะกังวลอีกฝ่าย แต่คิดจะหยั่งเชิง ดูว่าเสี่ยวจิ่วตอบหรือไม่ 


 


 


เยี่ยเม่ยมองซินเยว่เยี่ยนทีหนึ่ง ซินเยว่เยี่ยนรีบพยักหน้า ความจริงนางก็คิดเช่นนี้ หลังจากสองวันที่พวกนางคาดเดา เวลาพูดถึงปกติเสี่ยวจิ่วเป็นการส่วนตัว บางครั้งยังเรียกว่าจิ่วหุน เพียงแต่ล้วนเป็นการคาดเดา ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน 


 


 


เรื่องนี้ปลุกความแปลกใจของ เยี่ยเม่ย ถามว่า “เสี่ยวจิ่วกับจิ่วหุน สองชื่อนี้ต่างกันอย่างไร” 


 


 


ความจริงวันนั้นนางกำลังจะเรียกชื่อจิ่วหุน พลันถูกจิ่วหุนตัดบท ให้เรียกเขาว่าเสี่ยวจิ่ว นางแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่คิดมาก ดังนั้นต่อหน้าคนอื่นนางก็เรียกเสี่ยวจิ่ว เหล่าหทารชายแดนก็เรียกเขาว่าคุณชายเสี่ยวจิ่ว 


 


 


เดิมทีนางคิดว่าเสี่ยวจิ่วเป็นชื่อเล่น ดูจากคำพูดของซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนในเวลานี้แล้ว เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายดายนัก 


 


 


เมื่อได้ฟังคำถามของเยี่ยเม่ย  


 


 


ซินเยว่เยี่ยนมองคนถามอย่างไม่เชื่อสายตา “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ จิ่วหุนคือนักฆ่าอันดับหนึ่งในใต้หล้า คร่าชีวิตคนไปแล้วนับไม่ถ้วน ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นท่านอ๋องชนชั้นสูง เขาลงมือไม่เคยพลาดมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเป็นนักฆ่าที่ค่าตัวแพงที่สุด นอกจากท่านอ๋องหรือคนชั้นสูงแล้ว ไม่มีใครควักเงินจ้างเขาได้” 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า ดูจากฝีมือของจิ่วหุน ก็ดูออกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดา 


 


 


อีกทั้งนางยังฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ตอนแรกที่พบกัน เจ้าเด็กนั่นมีเงินเยอะเกินเหตุ เขามอบตั๋วเงินปึกหนึ่งให้นาง ตอนนี้ยังวางอยู่บนหัวเตียงนางเลย 


 


 


 “ร่ำรวยถึงขั้นครองดินแดนก็ควรเป็นเขานี่แหละ” ซือหม่าหรุ่ยด้านข้างเสริมขึ้นอีกประโยค “ถึงบอกว่าเงินที่เขาได้รับส่วนหนึ่งต้องแบ่งให้กับองค์กร แต่ว่าตามกฎในโลกนักฆ่า ยอดนักฆ่าจะได้รับส่วนแบ่งจำนวนไม่เลวเลย ความหมายก็คือการค้าทุกครั้ง เขาจะได้รับเงินจำนวนไม่น้อย ถึงกระทั่งอาจได้รับมากกว่าองค์กรของเขาด้วยซ้ำ เมื่อนับจำนวนคนที่ถูกสังหารหลายปีมานี้ ในใต้หล้าคงไม่มีใครมีเงินมากกว่าเขาไปได้อีกแล้ว แม้กระทั่งราชนิกุลส่วนใหญ่ยังไม่อาจเทียบได้” 


 


 


เรื่องนี้เยี่ยเม่ยก็รู้ เพราะนางคือยอดนักฆ่า 


 


 


นางกับเยาเนี่ยรับงาน แบ่งส่วนแบ่งกับหัวหน้า พวกนางได้รับเจ็ดส่วน ส่วนหัวหน้าได้รับสามส่วน 


 


 


แต่ว่า… 


 


 


เยี่ยเม่ยมองพวกนาง “อะไรอีกเล่า” 


 


 


พวกนางสองคนคงไม่หยั่งเชิงกับนางหรอกนะว่าจิ่วหุนมีเงินมากขนาดไหน 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนปรายตามองเยี่ยเม่ย เล่าต่อว่า “แต่เขาก็มีศัตรูไม่น้อย เกรงว่าตัวเขายังนับไม่หมดเลย ขอเพียงฐานะของเขาแพร่งพรายออกมา คนข้างกายทั้งหมดของเขาจะโชคร้ายไปด้วย เขาจะถูกตามไล่สังหารไม่หยุดอย่างแน่นอน” 


 


 


 “เกรงว่าวันที่สุขสงบสักวันก็คงไม่มี” ซือหม่าหรุ่ยวิเคราะห์ กล่าวต่อว่า “ดังนั้นหากเขาคือจิ่วหุน ใช้ชื่อเสี่ยวจิ่วเพื่อปิดบังตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” 


 


 


เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้ว 


 


 


ที่แท้ต้องเรียกเจ้าเด็กนี่ว่าเสี่ยวจิ่ว ก็เพราะเหตุผลนี้ ไม่อยากหาความยุ่งยาก 


 


 


คิดดูแล้วเขาก็เคยบอกว่า คนที่ท่องอยู่ในยุทธภพต้องมีแผนการ ไม่เช่นนั้นก็จะตายเร็ว มาวันนี้ดูท่าจะจริง 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยบอกต่อ “ที่สำคัญกว่าคือ ข้าคิดไม่ออกเลยว่า ในใต้หล้านี้นอกจากจิ่วหุนแล้ว ยังมีนักฆ่าคนไหนที่ประมือกับองค์ชายสี่ พ่ายแพ้เพียงครึ่งกระบวนท่า ดังนั้น…” 


 


 


 “ดังนั้นพวกเราสองคนสงสัยเรื่องฐานะเขามาตลอด” ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยรับอย่างรวดเร็ว 


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยคิดอะไรขึ้นมาได้ ปรายตามองพวกนาง “ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ฐานะจิ่วหุนก็ไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้” 


 


 


 “ถูกต้อง ในสายตาคนทั่วหล้า เขาเป็นปีศาจสังหารคน แต่ละคนต่างคิดฆ่าเขาทั้งนั้น หากแพร่งพรายออกไป ไม่ต้องรอให้คู่แค้นของเขาตามมาหา คนในค่ายทหารทั้งหลายที่ชื่นชอบเขาก็คงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว” ซือหม่าหรุ่ยวิเคราะห์ออกมา 


 


 


เยี่ยเม่ยเข้าใจ 


 


 


ดังนั้นต้องปกปิดฐานะจิ่วหุนให้ดี 


 


 


นางมองพวกนางสองคน เอ่ยว่า “อย่างนั้นเรื่องฐานะของจิ่วหุน พวกเจ้าก็ไม่ต้องถามอีกแล้ว” 


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนก็เข้าใจทันที 


 


 


ก็ถูก หากเป็นจิ่วหุนจริง เยี่ยเม่ยยอมรับแล้วก็เท่ากับสร้างความยุ่งยากให้จิ่วหุน พวกนางก็เป็นคนฉลาด ไม่ถามออกมา ในเวลานี้เอง ในห้องเกิดความเคลื่อนไหว พวกนางรีบหมุนกาย เดินเข้าไปด้านใน   

 

 


ตอนที่ 190 เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโมโหแล้ว

 

ประตูห้องเปิดออก 


 


 


จิ่วหุนกำลังลืมตาขึ้น มองเห็นเยี่ยเม่ยผลักประตูเข้ามา 


 


 


ทั้งยังรับรู้ได้ถึงลมหายที่ติดตามเข้ามา ทำให้รู้ได้ว่ายังมีคนด้านหลังอีก ทว่าเขายังคงมองเยี่ยเม่ยเช่นเดิม 


 


 


หลังจากเยี่ยเม่ยเปิดประตูก็รีบมองเขาสองคนทันที นางสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


 “โอ๊ย สามีเวียนหัว”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกุมขมับตน เซถอยไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


ยามนี้คนเอนพิงอยู่ที่กำแพง เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา คิดได้ว่าเจ้านี่หลังจากประมือกับจิ่วหุนแล้ว แกล้งทำเป็นอ่อนแอ ก็เป็นสภาพเช่นนี้เหมือนกัน 


 


 


นางแค่นเสียงคำหนึ่ง “อย่าเสแสร้งเลย” 


 


 


ระหว่างที่เอ่ย นางก็ไปถึงข้างกายจิ่วหุน 


 


 


นางมองกองเลือดสีดำบนพื้น เป็นเลือดที่จิ่วหุนกระอักออกมาเมื่อครู่ ตอนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโคจรพลังช่วยเขาขับพิษ  


 


 


เยี่ยเม่ยรีบถาม “เจ้าล่ะ ดีขึ้นหรือยัง” 


 


 


 “ไม่เป็นไรแล้ว” น้ำเสียงของจิ่วหุนอ่อนแอ เขาหันกลับไปมอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ขอบคุณ กลับเอ่ยออกไปประโยคหนึ่ง “คราวหน้าไม่ต้องยุ่งมากความแล้ว”  


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มออกมา ปรายตามองเขา เอ่ยแช่มช้าว่า “เจ้าคิดว่า เยี่ยนอยากยุ่งเรื่องของเจ้านักหรือไง” 


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


ไฉนสองคนนี้เจอหน้าก็พร้อมจะฟาดฟันกันทันทีเลยนะ 


 


 


นางมองจิ่วหุนอย่างหมดคำพูด เอ่ยเสียงเย็นว่า “เสี่ยวจิ่ว ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ช่วยเจ้าไว้ เจ้า…” 


 


 


 “ข้าไม่ต้องการให้เขาช่วย” น้ำเสียงของจิ่วหุนหนักแน่นมาก 


 


 


ท่าทางยืนหยัดไม่อ่อนข้อ 


 


 


บ่งบอกว่าเขายินยอมตาย ไม่ต้องการให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ยุ่งเรื่องของตน 


 


 


เยี่ยเม่ยสีหน้าขรึมลง จ้องจิ่วหุน “ข้าขอร้องให้เขาช่วยเจ้าเอง ไม่ใช่เจ้าขอร้อง เจ้าไม่สนใจความเป็นตายของเจ้า แต่ว่าข้าสนใจ” 


 


 


 “ข้า…” จิ่วหุนพลันสงบลง 


 


 


ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จากความสัมพันธ์ของตนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากมิใช่เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก อีกฝ่ายไม่มีทางช่วยตนแน่ 


 


 


ดังนั้นการที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมยื่นมือเข้าช่วย ก็เป็นเพราะเยี่ยเม่ยขอร้อง ตอนนี้เขาไม่รับน้ำใจ จะทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก 


 


 


ในขณะที่เขากำลังใคร่ครวญว่าจะขอโทษดีหรือไม่ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมา “หึ…ช่างเป็นฉากความรักลึกซึ้งระหว่างพี่สาวกับน้องชาย” 


 


 


สิ้นเสียง เขาพลันลุกขึ้น สาวเท้ากว้างออกไป 


 


 


สายตาไม่มองเยี่ยเม่ย ทั้งไม่มองจิ่วหุน ก็เดินจากไป 


 


 


คราวนี้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนขึ้นมาก 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดโทสะอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจคำพูดของเยี่ยเม่ยเมื่อครู่ ส่วนเยี่ยเม่ยในเวลานี้ก็ตระหนักได้แล้วว่าสองคนข้างกายนางไม่มีใครที่นิสัยดี พอจะวางใจได้เลยสักคน 


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเห็นฉากนี้ แอบยินดีอยู่ในใจ ดีมาก พวกเจ้าสองคนสู้กันให้บาดเจ็บ ข้าจะได้มีโอกาสแย่งน้องสะใภ้ 


 


 


จิ่วหุนเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเยี่ยเม่ย  


 


 


เวลานี้ในใจเกิดความรู้สึกผิด เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…” 


 


 


เขาเพียงคำนึงถึงความคิดตัวเองเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงจุดยืนของเยี่ยเม่ย  


 


 


เยี่ยเม่ยรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ขี้อาย ทั้งยังนิสัยแข็งทื่อ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเขาไว้ เขาย่อมไม่พอใจ นางสูดลมหายใจลึก “พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้พิษเจ้ากำเริบโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ได้แต่ใช้กำลังภายในของเขาช่วยเจ้า” 


 


 


 “ข้ารู้แล้ว” จิ่วหุนตอบเสียงกลัดกลุ้ม ทว่าเชื่อฟังมาก 


 


 


เห็นสีหน้าขมขื่นของเยี่ยเม่ยที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขา จิ่วหุนพลันยื่นมือดึงชายเสื้อนาง มองนางด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้าอย่าโกรธเลย อย่างมากข้าก็ไปขอโทษเขา” 


 


 


พูดไป เขาก็ทำท่าจะลุกขึ้น 


 


 


เยี่ยเม่ยรีบกดตัวจิ่วหุนนอนลง เห็นท่าทางเหมือนลูกสุนัขยังไม่หย่านมทำความผิดดูน่าสงสารมาก 


 


 


เยี่ยเม่ยคลายโทสะไปบ้าง “ช่างเถอะ ข้าไปพูดกับเขาเอง ตอนนี้เจ้าห้ามลงจากเตียง เสี่ยวจิ่ว ข้าขอเตือนเจ้าไว้ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรชีวิตต้องมาก่อน เจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่ศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ พวกเจ้าไม่ได้ท้าทายขีดจำกัดและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย ดังนั้นข้าคิดว่า ไม่จำเป็นต้องทำลายชีวิตตัวเอง เพราะอารมณ์ชั่ววูบ” 


 


 


นี่คือสิ่งที่เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจ สองคนนี้เจอหน้ากันทีไรก็พร้อมจะยกดาบแทงกัน นางหลงคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเหลือเสี่ยวจิ่วครั้งหนึ่ง สองคนจะละลายความขุ่นเคืองครั้งเก่าๆ ไปได้ 


 


 


ผลคือจากท่าทีของจิ่วหุน ยอมตายแต่ไม่ยอมให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเหลือ 


 


 


ต้องร้ายแรงถึงขั้นนี้เชียวเหรอ 


 


 


ความสัมพันธ์เลวร้ายขนาดนี้เลยใช่ไหม 


 


 


จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ย “ไม่ท้าทายขีดจำกัดและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย” 


 


 


ปัญหาของพวกเขาสองคนก็คือท้าทายขีดจำกัดและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย 


 


 


นางเป็นขีดจำกัดเดียวของเขา ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแย่งนางไป เขาตายก็ไม่ยอมให้คนที่แย่งนางช่วยตนเอง การให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเขาก็คือการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาจนจมดิน แต่…  


 


 


ครั้นเห็นท่าทางไม่พอใจของเยี่ยเม่ย เขาก็ได้แต่ก้มหน้า รับปากอย่างว่าง่าย “ข้ารู้แล้ว” 


 


 


น้ำเสียงนี้ทั้งเชื่อฟัง ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ 


 


 


เยี่ยเม่ยที่มองยิ้มไม่ออก เหมือนโกรธแต่ก็ไม่โกรธ หันกลับไปมอง ซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “เขายังต้องระวังอะไรอีกบ้าง” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองจิ่วหุน สีหน้าสับสนอยู่บ้าง เอ่ยปากตอบ “สองวันนี้พักฟื้นให้ดีก็พอแล้ว จำไว้ว่าห้ามใช้กำลังภายใน ไม่เช่นนั้นพิษจะกำเริบขึ้นมาอีก ยังมีอีกปัญหาหนึ่งก็คือ หากภายหน้าเจ้ารู้สึกไม่สบาย ต้องมาข้าในทันที หากสามารถสะกดพิษได้แต่เนิ่นๆ ผลลัพธ์ก็ไม่เลวร้ายเช่นนี้” 


 


 


 “อืม” จิ่วหุนพยักหน้า รับคำ 


 


 


เยี่ยเม่ยก็พยักหน้า พรูลมหายใจ ลูบหัวจิ่วหุน เขาก้มหน้าลงสีหน้าโกรธเกรี้ยว 


 


 


แต่เพราะก้มหน้าอยู่ ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงไม่เห็นสีหน้าของเขา เอ่ยปากอย่างจนปัญญาว่า “ภายหน้ามีเรื่องอะไรก็บอกข้ามาตามตรง อย่าแบกรับไว้คนเดียว นิสัยก็อย่าได้แข็งกร้าวขนาดนี้อยู่ตลอด เข้าใจไหม” 


 


 


เมื่อคิดถึงภาพที่เจ้าหนุ่มนี่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีท่าทางพร้อมจะชักดาบฟันกัน นางก็โมโห 


 


 


มีความแค้นอะไรหนักหนา แม้แต่ชีวิตยังไม่ต้องการ 


 


 


หากครั้งหน้าจิ่วหุนเป็นเช่นนี้อีก แล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ยอมช่วยเหลืออีกครั้งเพราะเรื่องในวันนี้ จะทำอย่างไรเล่า  


 


 


ช่างเถอะ นางต้องฝึกปรือกำลังภายในให้เก่ง หวังว่าตัวเองจะพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดสักหนหนึ่ง 


 


 


 “รู้แล้ว” จิ่วหุนหน้าแดงก่ำ ตอบรับอย่างว่องไว 


 


 


เขารู้อยู่ในใจว่าเมื่อครู่ที่เขาเถียงกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำให้นางลำบากใจ พฤติกรรมของเขาแสดงออกถึงว่าเขาไม่รู้ความ  


 


 


เยี่ยเม่ยมอง ซือหม่าหรุ่ย “เจ้าสามารถวิเคราะห์หายาถอนพิษได้หรือเปล่า” 


 


 


 “ได้ เพียงแต่ยังขาดยาอีกหลายตัว ข้าให้พี่บุญธรรมกับเทพกระบี่ช่วยเหลือแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ต้องการเวลาสักพัก ส่วนเรื่องยาที่ช่วยสะกดพิษ ช่วงนี้ข้าจะลองทดสอบดูว่าพอจะมีทางไหม” 


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเคยวิเคราะห์ยาถอนพิษแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร 


 


 


แต่ว่าเจ้ายาสะกดพิษตัวนี้กลับต้องเริ่มต้นศึกษาใหม่ 


 


 


เยี่ยเม่ยพยักหน้า “อย่างนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว ข้าเดาว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน โมโหแล้ว ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย” 


 


 


พูดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  


 


 


สีหน้าของซือหม่าหรุ่ยก็สับสนมาตลอด ยามนี้ยิ่งสับสนวุ่นวายไปใหญ่ นางมองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ความจริงเมื่อครู่ตอนที่พวกเราเข้ามา เขาเซเพราะร่างกายอ่อนแอ ไม่น่าใช่การเสแสร้ง”  

 

 


ตอนที่ 191 เยี่ยนโมโหอย่างมากและแน่วแ...

 

เอ๋?


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักงัน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองจิ่วหุนด้วยความวุ่นวายใจ ทั้งมองซินเยว่เยี่ยนที่วันๆ เอาแต่คิดจะพาน้องสะใภ้กลับไปด้วยความว้าวุ่น


 


 


นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงพูดความจริง “ถึงพื้นฐานของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะล้ำลึกมาก แต่กำลังภายในขั้นหนึ่ง ใช้จนหมดภายในเวลาอันสั้น สำหรับพื้นฐานของใครก็ตามเป็นการทำลายอย่างหนึ่ง เมื่อครู่เขาไม่กระอักเลือดออกมา หรือว่าสลบไป ข้าก็ตกใจมากแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ยตะลึงงันไปแล้ว


 


 


นางเพียงจำได้ว่าครั้งก่อนที่คนผู้นี้ทำร้ายจิ่วหุนบาดเจ็บ แกล้งทำเป็นบาดเจ็บได้เหมือนมาก ดังนั้นเห็นท่าทางไม่สบายที่เขาเอ่ยกับนาง จึงคิดว่าเขาแกล้งทำ


 


 


ดังนั้นไม่เพียงแต่ไม่เป็นห่วง นางยังบอกว่าเขาเสแสร้งแล้ว


 


 


เขาเองก็ไม่ปฏิเสธ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยต่อ “เมื่อครู่เขาประคองตัวเองออกไปได้ ก็พิสูจน์แล้วว่าเจ้าพูดไม่ผิด เขาโมโหมาก อีกทั้งยังแน่วแน่มากอีกด้วย”


 


 


ไม่ว่าเป็นใครในสถานการณ์เมื่อครู่นี้ ไม่สลบไปก็ถือว่ามีพื้นฐานที่เข้มแข็งจนแทบจะมหัศจรรย์แล้ว ซ้ำยังลุกเดินออกไปได้ด้วย หากเป็นคนอื่นไม่น่าจะเป็นไปได้


 


 


แต่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินออกไปแล้ว…


 


 


เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่โกรธเคืองเพียงเล็กน้อย


 


 


เยี่ยเม่ยเวลานี้ไม่พูดมากอีก ก้าวเท้ากว้างเดินออกไป เมื่อไปถึงประตูก็หันหน้ากลับมามองซือหม่าหรุ่ย “แล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องกินยาอะไรเพื่อฟื้นฟู”


 


 


 “ไม่ต้อง เขาแค่ร่างกายอ่อนแอ คืนนี้พักผ่อนให้ดี ก็ฟื้นฟูกำลังกลับมาได้ พรุ่งนี้เขาสามารถโคจรฟื้นฟูกำลังด้วยตัวเอง อาศัยพื้นฐานของเขา สามถึงห้าวันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ” ซือหม่าหรุ่ยตอบฉันพลัน


 


 


เยี่ยเม่ยสั่งจิ่วหุน “เจ้าพักผ่อนให้ดี”


 


 


จากนั้นนางก็ไม่รั้งรออยู่ต่อ เดินจากไป


 


 


จิ่วหุนก็ไม่พูดอะไร และไม่มองซือหม่าหรุ่ยด้วยสายตามาดร้าย อย่างไรเสียเมื่อครู่ตัวเขาเป็นฝ่ายทำไม่ถูกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำให้เยี่ยเม่ยโมโห จิ่วหุนไม่มองใครทั้งนั้น ล้มตัวนอนพักผ่อน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนเดินออกจากห้องจิ่วหุน


 


 


เมื่อออกจากเรือนจิ่วหุน ซินเยว่เยี่ยนถอนหายใจยาว “นี่ ดูจากการพัฒนาของเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้ารู้สึกว่าเรื่องน้องสะใภ้ของข้านี่ดูจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองซินเยว่เยี่ยน สีหน้าขรึมลง “เป็นไปได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ยามนี้ดูเหมือนเยี่ยเม่ยจะไปดูอาการเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ข้าจะยินยอมช่วยเหลือพวกเขาสักหน่อย อย่างไรเสียเป่ยเฉินอี้ก็มาแล้ว เมื่อเขาเห็นใบหน้าของเยี่ยเม่ย ด้วยนิสัยเขาต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ  แน่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ยอมให้เป่ยเฉินอี้ฉวยโอกาสลงมือก่อน”


 


 


เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนพลันตระหนักได้ “มิน่าเจ้าถึงยอมเอ่ยปากว่าจะช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เดิมทีเจ้าไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้เสียหน่อย”


 


 


นางเข้าใจซือหม่าหรุ่ยมาก สหายรักเพียงแค่ห่วงใยสถานการณ์ของเยี่ยเม่ย รวมไปถึงเรื่องล้างแค้นเท่านั้น เยี่ยเม่ยจัดการเรื่องความรักอย่างไร สหายรักไม่คิดสอดมือ เพราะซือหม่าหรุ่ยรู้ว่าใจนางคิดแนะนำเยี่ยเม่ยให้กับน้องชาย


 


 


แต่ทว่าวันนี้ท่าทีกลับตรงข้ามไป ถึงกับบอกเรื่องสภาพร่างกายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้เยี่ยเม่ยฟัง ช่วยผลักดันความรู้สึกของพวกเขา ช่างทำให้ซินเยว่เยี่ยนประหลาดใจนัก


 


 


ที่แท้ ทุกอย่างเป็นเพราะเป่ยเฉินอี้


 


 


หลังจากเห็นซินเยว่เยี่ยนเข้าใจแล้ว ซือหม่าหรุ่ยก็เอ่ยปากต่อ “เป่ยเฉินอี้ผู้นี้อันตรายมาก ไม่ว่าเยี่ยเม่ยใช่อาซีหรือไม่ ข้าก็ไม่ยินยอมให้เขาเข้าใกล้นางอีก ปีนั้นเพื่อบัลลังก์ทำให้อาซีรวมถึงคนในตระกูลนางต้องตาย ภายหน้ายากที่จะเลี่ยงไม่ให้ทำร้ายเยี่ยเม่ยเพราะบัลลังก์อีก ดังนั้นหากอยู่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ไวขึ้น ก็ช่วยปกป้องชีวิตแล้วรักษาความรู้สึกของนางได้ ข้าย่อมเลือกที่จะช่วยเหลือพวกเขา”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนถอนใจอีกครั้ง มองซือหม่าหรุ่ย “น้องชายข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นไม่อยากถามว่าทำไมเจ้าไม่ช่วยเหลือเขา แต่เจ้าเด็กเสี่ยวจิ่วก็ไม่แย่ ทำไมเจ้าถึงอยู่ฝั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เข้าข้างเสี่ยวจิ่ว”


 


 


 “เพราะเยี่ยเม่ยมีใจให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน สายตาที่นางมองเสี่ยวจิ่ว นั่นคือสายตาที่มองน้องชาย ความสำเร็จระหว่างพวกเขามีไม่มาก” ซือหม่าหรุ่ยเป็นสตรีที่เคยมีความรัก ย่อมดูออก


 


 


ซินเยว่เยี่ยนกลับเอ่ยประเด็นสำคัญออกมา “แต่หากเยี่ยเม่ยคือจงเจิ้งซี เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นหนึ่งในศัตรูฆ่าล้างบ้านเมืองของนาง”


 


 


คำพูดนี้ของซินเยว่เยี่ยนกลับตรงไปที่ประเด็นสำคัญ ทำให้ซือหม่าหรุ่ยชะงักไปทันที


 


 


 “ข้า… ข้าเพียงคิดว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนน่าจะจริงใจกับเยี่ยเม่ย เขาไม่มีทางทรยศนางเพื่อผลประโยชน์ของเป่ยเฉิน ทั้งไม่มีทางทำร้ายนาง แต่ข้าลืมเลย…”


 


 


ลืมไปแล้ว หากมีวันนั้นจริงๆ


 


 


แต่เดิมพวกเขาเป็นศัตรูกัน


 


 


ซินเยว่เยี่ยนถอนหายใจ ตบบ่าซือหม่าหรุ่ย “ดังนั้น ภายหน้าพวกเราสมควรช่วยพูดแทนน้องชายข้า คนตระกูลเป่ยเฉินพวกนี้ พวกเราไม่ต้องสนใจ”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยเป้าหมายของตนออกมา


 


 


ทั้งยังกระพริบตาให้ ซือหม่าหรุ่ย หลอกล่อว่า “อีกอย่าง หากเจ้ายินยอมร่วมมือกับข้า ภายหน้าช่วยสร้างโอกาสให้น้องชายข้า ข้าจะให้หน่วยข่าวของหมู่ตึกกูเยว่ ช่วยเจ้าตามหาเบาะแสของเซียวชิน”


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา ซือหม่าหรุ่ยพลันสูดหายใจลึก


 


 


ในโลกนี้ไม่มีใครกล้าตามหาซียวชินอีกแล้ว นั่นเพราะในสายตาของคนทั้งหมด เซียวชินคนบาปชั่วร้ายไม่อาจไว้ชีวิต นอกจากตัวนาง คนอื่นคิดสังหารเขา ตัวนางอยากตามหา แต่ไม่มีร่องรอยเลยสักน้อย


 


 


 


 


 


 


หากหมู่ตึกกู่เยว่ใช้หน่วยข่าวกรองออกค้นหา ก็มีโอกาสหาพบ แต่ขอเพียงเรื่องนี้แพร่ออกไป ทำให้คนรู้ว่าหมู่ตึกกูเยว่ออกตามหาคน ไม่ได้ต้องการสังหารเซียวชินหรือแจ้งเบาะแสให้กับในยุทธภพแล้วล่ะก็ อย่างนั้นหมู่ตึกกูเยว่ก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีของคนทั้งหมด


 


 


กูเยว่อู๋เหินจะสูญเสียตำแหน่งราชันย์ในยุทธจักรไป


 


 


ซือหม่าหรุ่ยมองซินเยว่เยี่ยน “เจ้ามั่นใจหรือ กูเยว่อู๋เหินรู้สิ่งที่เจ้าทำหรือเปล่า ถึงเขาไม่ยินยอมเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะในยุทธภพ แต่ว่าในสายตาคนทั้งยุทธภพ เขาก็คือราชันย์ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป บางทีชื่อเสียงเขาอาจถูกทำลาย ถึงกระทั่งสูญสิ้น”


 


 


 “มั่นใจสิ น้องชายข้าเป็นคนเฉยชา เจ้ายุทธจักร ผู้นำฝ่ายธรรมอะไรนั่น ตำแหน่งราชันย์ล้วนเป็นผู้อื่นพูดกันไป ตัวเขาไม่เก็บไปใส่ใจเลยสักนิด คนนอกจะวิจารณ์อย่างไร เขาไม่เคยใส่ใจ”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็เสริมขึ้นอีกประโยค “หากวันใดที่ชื่อเสียงเขาพังป่นปี้ไปหมดแล้ว ด้วยความเฉยชาและเย่อหยิ่งของเขา เขาก็ไม่มีทางคิดว่าตัวเองผิดอะไร มีแต่จะคิดว่าคนทั่วหล้าโง่เขลา ตาบอด ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล”


 


 


เพียงแต่นางเป็นห่วงชื่อเสียงของหมู่ตึกกูเยว่ เกรงว่าจะทำลายรากฐานชั่วชีวิตของพ่อบุญธรรม ถึงไม่ยื่นมือออกช่วยเหลือสหายรัก ทว่าหากช่วยหมู่ตึกกูเยว่หานายหญิงได้ ชื่อเสียงยังสำคัญอะไรอีก


 


 


อย่างมากที่สุดก็ย้ายถิ่นฐานของหมู่ตึกก็ได้


 


 


ที่สำคัญที่สุดคือนางกังวลว่าน้องชายจะอยู่โดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต ยิ่งเป็นการผิดต่อพ่อบุญธรรมมากกว่า…


 


 


 “อย่างนั้นก็ดี ตกลง”


 


 


 “ตกลง”


 


 


   ……


 


 


เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว เดินเข้าเรือนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม