พันธกานต์ปราณอัคคี 184-190
ตอนที่ 184 เหยื่อล่อมหึมา
มั่วชิงเฉินคิดไม่เข้าใจจริงๆ ก่อนหน้านี้แม้นางโยนคุณชายสี่ลงพื้นทีหนึ่ง กลับควบคุมความแรง ที่สำคัญเพราะร่างกายคุณชายสี่สูญเสียการปกป้องจากพลังวิญญาณจึงอ่อนแอลงมาก ทนการกระแทกไม่ไหวถึงหมดสติไป ทว่าตามที่นางคาดคะเน ไม่เกินหนึ่งชั่วยามคุณชายสี่ก็จะฟื้นขึ้นมาเอง ทว่าบัดนี้หลังจากนางตรวจดูถึงพบว่าคุณชายสี่ลมหายใจสงบนิ่ง ในร่างกายไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ หากจะพูดว่าหมดสติ ไม่สู้พูดว่าหลับไปจะดีกว่า
“ท่านหัวหน้าตระกูล ท่านดูนางยังมีสิ่งใดจะพูดอีก!” ผู้เฒ่าสามพูดด้วยสีหน้าอึมครึม
หัวหน้าตระกูลหวังตรวจสถานการณ์ของคุณชายสี่อีกทีเช่นกัน จ้องมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าคาดเดาไม่ถูก “แม่นางมั่ว เรื่องมาถึงขั้นนี้ เกรงว่าเจ้าต้องให้คำตอบตระกูลหวังเราเสียหน่อย ตระกูลหวังเราแม้เป็นตระกูลเล็กๆ กลับไม่อาจปล่อยให้คนมารังแกถึงบ้านได้”
สถานการณ์ที่คาดไม่ถึงของคุณชายสี่ออกจะเหนือความคาดหมายของมั่วชิงเฉิน ทว่านางยังคงถามด้วยสีหน้าเงียบสงบว่า “ไม่ทราบหัวหน้าตระกูลหวังอยากให้ผู้น้อยให้คำตอบเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังมองดูมั่วชิงเฉิน ในตาเหมือนทอดถอนใจว่า “ตระกูลหวังเราไม่เข้าข้างกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในเมื่อหวังสี่ล่วงเกินแม่นางมั่วอยู่ก่อน หากแม่นางมั่วสามารถทำให้เขาฟื้นมาได้ เรื่องนี้ก็ให้จบกันแค่นี้ หากหวังสี่ไม่ฟื้นขึ้นมาตลอดล่ะก็ ก็ได้แต่ให้แม่นางมั่วทนลำบากอยู่ตระกูลหวังแล้ว”
ความหมายนี้ก็คือจะกักขังนางแล้วเช่นนั้นหรือ? มั่วชิงเฉินแอบคิด
แล้วก็ได้ยินผู้เฒ่าสามฮึเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง “ท่านหัวหน้าตระกูล นี่ไม่สบายนางเด็กบ้านี่เกินไปซะหน่อยหรือ หวังสี่เป็นลูกหลานที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นพวกเขาเชียวนะ เป็นคนที่มีความหวังที่สุดที่จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนที่สามในตระกูลหวัง หากถูกนางหนูนี่ทำลายแล้ว การลงโทษเช่นนี้ไม่ใช่สบายนางเกินไปหรอกหรือ!”
“เช่นนั้นตามความหมายของท่านผู้เฒ่าสามคือ?” หัวหน้าตระกูลหวังถาม ในใจกลับถอนใจเสียงหนึ่ง ผู้เฒ่าสามอยู่ที่ทะเลขนาบใจมานาน นิสัยความคิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสุดโต่งเกินไปสักหน่อย ไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าไม่ว่าเรื่องใดๆ ในโลกต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้บ้าง
ผู้เฒ่าสามตาเหยี่ยวฉายแสงเย็นเยียบ “ฆ่าคนชดใช้ชีวิตติดเงินใช้หนี้เป็นเหตุผลมาแต่โบราณ นางหนูนี่ทำลายหวังสี่ ย่อมต้องเอาชีวิตมาชดใช้ ทว่าในเมื่อหวังสี่ทำผิดอยู่ก่อน เช่นนั้นจึงให้ทางเลือกนางทางหนึ่ง ข้าดูนางอายุน้อยๆ กลับมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลาง อีกทั้งยังสามารถกำราบหวังสี่อย่างง่ายดาย คิดว่าพรสวรรค์คงไม่เลว หากสามารถให้กำเนิดชนรุ่นหลังที่มีรากวิญญาณไม่เลวสักคนหนึ่งล่ะก็ เช่นนั้นก็ไว้ชีวิตนางสักครั้ง”
มั่วชิงเฉินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง นางไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณท่านหนึ่งจะสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ต่อหน้าผู้คน
หัวหน้าตระกูลหวังเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน ทันใดนั้นรู้สึกว่าข้อเสนอข้อสองของผู้เฒ่าสามไม่เลวยิ่งนัก ทั้งไม่ต้องเอาชีวิตมั่วชิงเฉินล่วงเกินพรรคเหยากวง ยังสามารถเพิ่มชนรุ่นหลังที่มีรากวิญญาณคนหนึ่งให้ตระกูลหวัง หากรุ่นหลังคนนั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณสูงกว่ารากวิญญาณคู่ล่ะ เช่นนั้นตระกูลหวังก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าไม่มีคนสืบทอดแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องดีที่โยนหินก้อนเดียวได้นกสองตัวจริงๆ
จึงถามทันทีว่า “แม่นางมั่วเจ้าว่า?”
มั่วชิงเฉินแอบกัดฟัน นางเติบใหญ่ในตระกูลบำเพ็ญเพียรแต่เล็ก ย่อมรู้ว่าความคิดที่จะปกป้องวงศ์ตระกูลสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรพวกนี้สำคัญเพียงใด โดยเฉพาะหัวหน้าตระกูลที่แบกความรุ่งโรจน์ตกต่ำของตระกูลไว้บนบ่า เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลถึงกับทำเรื่องบางเรื่องที่ขัดต่ออุดมการณ์ของตน
และคิดจะให้คนเช่นนี้เปลี่ยนความคิด ที่จริงก็ง่ายมาก นั่นก็คือเจ้าเสนอเงื่อนไขที่นำผลประโยชน์ที่มากขึ้นให้เขาและตระกูล!
ยังดี เงื่อนไขเช่นนี้นางยังสามารถเสนอได้ นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง หากผู้น้อยไม่ว่าทางไหนก็ไม่อยากเลือกล่ะเจ้าคะ?”
เพิ่งสิ้นเสียงก็ได้ยินผู้เฒ่าสามตะคอกว่า “นางเด็กบ้า นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า!” พูดพลางเปลือกหอยในมือก็อ้าออกอีก คลื่นพลังวิญญาณที่ส่งผ่านมาจากสมบัติวิเศษรุนแรงกว่าก่อนหน้านี้อีก
หลี่จื้อหย่วนเข้าไปขวางหน้ามั่วชิงเฉินทันที จ้องผู้เฒ่าสามตรงๆ ว่า “ท่านผู้เฒ่าสาม ผู้น้อยก็เข้าร่วมในการต่อสู้กับคุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ด หากคิดจะลงโทษ เช่นนั้นก็เชิญลงโทษด้วยกันเถอะ”
“คุณชายหลี่!” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างคาดไม่ถึงเสียงหนึ่ง
หลี่จื้อหย่วนหันหน้ามายิ้มอย่างปลอบโยนให้นาง ต่อให้มั่วชิงเฉินที่ในใจคิดแผนไว้นานแล้วเห็นรอยยิ้มนี้เข้า ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก
คุณชายหกสีหน้าแย่มาก กำหมัดแน่นจนเอ็นเขียวปูดขึ้น ในที่สุดก็กัดฟันยืนเคียงไหล่กับหลี่จื้อหย่วนว่า “ท่านผู้เฒ่าสาม ยังมีข้า…”
เสียงไม่ดัง กลับมีพลังของการรุดไปข้างหน้าอย่างมีคุณธรรม เห็นชัดว่าทำใจสำหรับผลที่แย่ที่สุดไว้แล้ว
“เจ้า พวกเจ้า!” ผู้เฒ่าสามโมโหจนสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง หวังหกก็ช่างเถอะ หลังเรื่องจบแล้วย่อมมีกฎตระกูลจัดการ เฉพาะเจาะจงศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของท่านโจวท่านนั้นยื่นมือเข้ามา ช่างทำให้คนอึดอัดเสียจริง!
หัวหน้าตระกูลหวังก็ปวดศีรษะเช่นกัน คบหากับท่านโจวผู้บำเพ็ญเพียรสายปราชญ์มานานถึงเพียงนี้ เขาย่อมดูออกว่าคนคนนั้นปกป้องลูกศิษย์เพียงใด
เพราะเรื่องของหวังสี่ลงโทษมั่วชิงเฉินก็ชั่งเถอะ เพราะอย่างไรเสียมังกรแกร่งไม่กดขี่งูเจ้าถิ่น ขอเพียงไม่ทำร้ายถึงชีวิตมั่วชิงเฉิน เขาไม่เชื่อว่าพรรคเหยากวงจะถ่อมาไกลหมื่นลี้เพื่อจัดการกับตระกูลหวังเพราะเรื่องนี้ ทว่าท่านโจวก็ยืนดูอย่างข้างๆอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม หากล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอีกคนหนึ่ง เช่นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
หัวหน้าตระกูลหวังกำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไรดี ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก
เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งวิ่งออกจากสวนปี้หยวน หญิงสาวที่นำหน้ามาสีหน้าสลด รูปร่างผ่ายผอม ราวกับเพียงลมพัดมาก็สามารถพัดนางปลิวได้ นางวิ่งโซซัดโซเซถึงหน้าทุกคนแล้วคุกเข่า ‘ตึง’ ลง สะอื้นว่า “ท่านหัวหน้าตระกูล ได้โปรดปล่อยน้องสิบหกของข้าไปเถอะเจ้าค่ะ บ่าว…บ่าวยินยอมชดใช้ด้วยชีวิต!” พูดถึงตรงนี้ก็หอบแฮ่กๆ แล้ว กลับมองหัวหน้าตระกูลหวังอย่างมุ่งมั่น
มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง พี่สิบสี่ยังคงไร้เดียงสาเช่นนั้น ไม่รู้ว่าการที่นางปรากฏตัวขึ้นนี้กลับทำให้ตนเสียเปรียบ หากไม่เพราะตนวางแผนไว้ก่อนแล้ว ด้วยลูบหน้าปะจมูกก็ได้แต่ปล่อยให้ตระกูลหวังลงโทษตามอำเภอใจแล้ว
“เจ้าคือ…” หัวหน้าตระกูลหวังกระทั่งจำไม่ได้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือใคร
มั่วชิงเฉินรู้สึกสลดแทนมั่วหนิงโหรวอยู่ในใจ ฐานะของอนุ เกรงว่าในสายตาของคนพวกนั้นคงไม่ต่างอะไรกับมดปลวกกระมัง
นางเดินเข้าไปพยุงมั่วหนิงโหรวว่า “พี่สิบสี่ ท่านสุขภาพไม่ดี รีบลุกขึ้นมาเถอะ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
มั่วหนิงโหรวกลับเหมือนไม่ได้ยิน มองหัวหน้าตระกูลหวังตรงๆ ว่า “บ่าวเป็นอนุของคุณชายสี่ กับชิงเฉินเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน ท่านหัวหน้าตระกูล เห็นแก่ที่บ่าวให้กำเนิดเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้ตระกูลหวัง ได้โปรดอนุญาตให้บ่าวชดใช้ชีวิตให้คุณชายสี่ ละเว้นน้องสิบหกของข้าเถอะเจ้าค่ะ!”
หัวหน้าตระกูลหวังเบนสายตาไปที่มั่วชิงเฉิน “แม่นางมั่ว ที่หญิงผู้นี้พูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
มั่วชิงเฉินฝืนพยุงมั่วหนิงโหรวขึ้นมา ยืนตัวตรงพูดกับหัวหน้าตระกูลหวังว่า “ถูกต้อง เราสองคนเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกันจริงๆ”
หัวหน้าหวังหน้าบึ้งทันที “ที่แท้แม่นางมั่วมาตระกูลหวังเรา มีจุดประสงค์อื่นอยู่แล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้ม “นี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง บัดนี้จัดการเรื่องของคุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดก่อนเป็นเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังถามเสียงเย็นว่า “แม่นางมั่วคิดจะจัดการเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินไม่พูดอะไร เดินวนคุณชายสี่รอบหนึ่ง ปากก็พึมพำว่า “แปลก”
ในยามนี้เองจู่ๆ อีกาไฟก็บินถลาออกจากมุมอับ ตาขาวคู่หนึ่งกวาดมองหัวหน้าตระกูลหวังและผู้เฒ่าสามอย่างระแวง แล้วเขยิบไปข้างๆ มั่วชิงเฉินอย่างระมัดระวัง
พวกหัวหน้าตระกูลหวังสองคนย่อมดูออกว่านี่เป็นอสูรวิญญาณของมั่วชิงเฉิน
“อู๋เย่ว์?” มั่วชิงเฉินเรียกเสียงหนึ่ง
อีกาไฟแค่กๆ สองที กระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อยว่า “ข้า ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงไม่ฟื้นขึ้นมา”
“เพราะเหตุใด?” ทุกคนถามขึ้นพร้อมกัน
อีกาไฟตกใจจนบินไปอยู่บนไหล่มั่วชิงเฉิน เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าสาปเอง”
ทุกคนฟังไม่เข้าใจความหมาย มั่วชิงเฉินกลับเข้าใจในพริบตาแล้ว หันหน้าไปว่า “อู๋เย่ว์ เจ้าพูดให้ชัดเจนหน่อย”
ขาคู่หนึ่งของอีกาไฟสลับกันเหยียบไหล่มั่วชิงเฉิน ร้องแว้ดๆ สองทีว่า “ยามนั้นพวกเจ้าล้วนวิ่งไปสวนปี้ซิ่วแล้ว ข้าเห็นเขาถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ จึงบินเข้าไปดู จากนั้นเผลอปากพูดไปว่า ‘สมน้ำหน้า ทางที่ดีหลับไปสักสิบปีแปดปี’”
เห็นทุกคนยังจ้องมันอยู่ อีกาไฟกระแอมแล้วว่า “ก็เป็นเช่นนี้แหละ”
“น่าขันสิ้นดี!” ผู้เฒ่าสามสะบัดแขนเสื้อ
คุณชายสิบเจ็ดที่ถูกอัดจนเป็นหัวหมูตามพวกมั่วหนิงโหรวรีบรุดมากลับเหมือนเข้าใจอะไรในทันทีชี้อีกาไฟว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง วันนั้นข้าก็ถูกเจ้าเดรัจฉานขนแบนนี่สาปให้ตกลงไปในน้ำวนในทะเล ท่านหัวหน้าตระกูล พี่สี่ต้องถูกมันทำร้ายเป็นแน่ขอรับ ท่านต้องจับเจ้าเดรัจฉานขนแบนนี่ถอนขนแล้วย่างกินให้ได้!”
หัวหน้าตระกูลหวังกลับมองมั่วชิงเฉินด้วยความตะลึงว่า “อสูรวิญญาณแปรผัน!”
เขาเดินทางไปฝึกตนที่ดินแดนเทียนหยวนหลายครั้ง เคยฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรนิกายเจิ้นโซ่วคนหนึ่ง รื้อม้วนคัมภีร์หยกจากถุงเก็บวัตถุออกมาได้ม้วนหนึ่ง ในนั้นบันทึกสภาพการณ์ของอีกาไฟไว้ รู้ว่าอสูรวิญญาณชนิดนี้ปัญญาวิญญาณเปิดเร็ว ถึงชั้นสองก็สามารถพูดภาษาคนได้ หากมีพลังในการสาปแช่ง นั่นต้องเป็นอสูรวิญญาณแปรผันที่ในหมื่นตัวก็หาไม่ได้สักตัวเป็นแน่!
หัวหน้าตระกูลหวังมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางหนูน้อยคนหนึ่งจะมีอสูรวิญญาณแปรผันได้ แม้จะบอกว่าเผ่าพันธุ์ด้อยไปเสียหน่อย ทว่าพลังแฝงของอสูรวิญญาณแปรผันกลับไม่อาจคาดเดาได้
มั่วชิงเฉินจับความเปลี่ยนแปลงของแววตาหัวหน้าตระกูลหวังได้ ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีก จึงเปิดปากว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง ผู้น้อยอยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”
หัวหน้าตระกูลหวังชะงัก เห็นสีหน้ามั่วชิงเฉินสงบ เกิดคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งกั้นเขตอาคมกันเสียงขึ้นมา ถึงเอ่ยว่า “เจ้าพูดเถอะ”
ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งกั้นเขตอาคมกันเสียง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันจะไม่อาจแอบฟังได้
มั่วชิงเฉินสีหน้ายิ่งผ่อนคลายลง ที่นางกลัวเสมอมาไม่ใช่คนที่เมื่อพบเจอปัญหาจะพิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและรอบคอบเช่นหัวหน้าตระกูลหวัง กลับเป็นคนที่ทำสิ่งใดตามอำเภอใจ ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เช่นผู้เฒ่าสามต่างหาก
เพ่งพิศผมขาวข้างหูของหัวหน้าตระกูลหวัง มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากเล็กน้อยว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง หากผู้น้อยดูไม่ผิด ตบะของท่านน่าจะเป็นระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
หัวหน้าตระกูลหวังไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของมั่วชิงเฉินหมายความว่าเช่นไร จึงเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ถูกต้อง”
มั่วชิงเฉินยิ้ม “ได้โปรดอภัยที่ผู้น้อยละลาบละล้วงถามอีกประโยคหนึ่ง บัดนี้ท่านเกรงว่าจะอายุขัยเหลือไม่มากกระมังเจ้าคะ?”
หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง แล้วก็ได้ยินมั่วชิงเฉินถามเนิบๆ ว่า “ขาดเพียงก้าวเดียวก็สามารถก้าวเข้าระดับก่อกำเนิด หากต้องดับสูญอย่างน่าสลดเพราะอายุขัยใกล้แล้ว ท่านไม่รู้สึกเสียดายหรือไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังเยือกเย็นสุขุมเพียงไรก็อดเผยสีหน้าโกรธไม่ได้ ระยะนี้เขารู้สึกว่าตนรู้แจ้งถึงการก้าวเข้าระดับก่อกำเนิดได้รางๆ แล้ว ถ้าน้อยอาจจะยี่สิบปี มากอาจสามสิบปี เขาก็สามารถเข้าระดับก่อกำเนิดแล้ว ทว่าเฉพาะเจาะจงอายุขัยเหลือเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น รสชาติเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหดหู่จริงๆ มั่วชิงเฉินกลับดันยังจะพูดออกมา
มั่วชิงเฉินมองสีหน้าหัวหน้าตระกูลหวังด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน คำพูดที่พูดออกมาเมื่อเข้าไปในหูหัวหน้าตระกูลหวังกลับเหมือนฟ้าผ่า “ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าตระกูลหวังเคยได้ยินโอสถอายุวัฒนะหรือไม่?”
ตอนที่ 185 ผลลัพธ์อันเหนือความคาดหมาย
“เจ้าพูดอีกครั้งสิ!” หัวหน้าตระกูลหวังจับไหล่มั่วชิงเฉินไว้ ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนสั่นไหวแผ่วเบา
มั่วชิงเฉินเหลือบมองมือของหัวหน้าตระกูลที่วางอยู่บนไหล่ตนเองอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่ง หัวหน้าตระกูลหวังที่เคร่งขรึมสุขุมมาตลอดสีหน้าฉายแววเหนียมอายแวบหนึ่ง เขาได้ยินสามคำนั้นแล้วเสียกิริยาไปบ้างจริงๆ ขัดต่อท่วงท่าของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ
หัวหน้าตระกูลหวังบังคับตนให้ใจเย็นลง สูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่รู้ว่าแม่นางมั่วพูดถึงโอสถอายุวัฒนะเพราะเหตุใด หรือว่าแม่นางมั่วมีโอสถนี้อยู่?”
เขาไม่กล้ายืนยัน หากคำพูดที่มั่วชิงเฉินพูดออกมาได้ทำลายโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของตน ตนจะตีนางตายโดยไม่สนใจเรื่องใดๆ หรือไม่
มั่วชิงเฉินรู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาอ้อมค้อม จึงเอ่ยอย่างสงบว่า “บนตัวผู้น้อยแม้ไม่มีโอสถอายุวัฒนะ ทว่า ผู้น้อยเคยโชคดีได้ผลอายุมาผลหนึ่ง ได้มอบมันให้อาจารย์แล้ว อาจารย์สัญญาว่าหากหลอมได้สำเร็จ จะมอบโอสถอายุวัฒนะให้ผู้น้อยเม็ดหนึ่ง”
“สหายน้อยช่างมีวาสนาเซียนที่ล้ำลึก!” หัวหน้าตระกูลฟังความหมายแฝงออกได้เล็กน้อย จึงเปลี่ยนสรรพนามอย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินได้ผลอายุสามผล เทียบโอสถของโอสถอายุวัฒนะและวัตถุดิบเสริมทั้งหมดในการหลอมโอสถอายุวัฒนะจากนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว นางรู้ว่าโอสถฝืนลิขิตฟ้าเช่นโอสถอายุวัฒนะเช่นนี้ ต่อให้หลอมได้สมบูรณ์ก็ได้เพียงห้าเม็ด ในสถานการณ์ปกติได้สองสามเม็ดก็ไม่เลวแล้ว ผลอายุสามผลนี้ของนางหากหลอมสามเตาล่ะก็ ไม่กล้าพูดมาก คิดว่าโอสถอายุวัฒนะสามเม็ดอย่างไรก็รับประกันได้
แม้จะบอกว่ามอบโอสถอายุวัฒนะให้คนอื่นเม็ดหนึ่งจะปวดใจอยู่บ้าง ทว่าหากสมารถแลกด้วยความสงบสุขทั้งชีวิตของมั่วหนิงโหรว ก็คุ้มค่าแล้ว
“แปดปีให้หลัง ท่านหัวหน้าตระกูลหวังสามารถไปหาข้าที่พรรคเหยากวงได้ ผู้น้อยยินดีมอบโอสถอายุวัฒนะเม็ดนั้นให้ท่านผู้อาวุโส” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
หัวหน้าตระกูลหวังตาเป็นประกาย มือสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ “คำพูดนี้จริงหรือไม่?”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าก็กลับคืนสู่ความสงบอีก “สหายน้อย คำพูดนี้ของเจ้าทำให้ข้ายากจะเชื่อได้ ก่อนอื่น เหตุใดต้องกำหนดไว้แปดปีให้หลัง? อีกอย่าง ข้ารู้ว่าอาจารย์เจ้าเป็นคนรักษาคำพูด ทว่าการหลอมโอสถอย่างไรเสียก็มีส่วนของโชคช่วยอยู่ด้วย หากหลอมล้มเหลวนั่นจะทำเช่นไรอีก? สุดท้าย โอสถอายุวัฒนะเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่นักบำเพ็ญเพียรทั้งหมดละเมอเพ้อหา เจ้ายอมตัดใจมอบให้ข้าจริงหรือ?”
มั่วชิงเฉินรู้ว่าที่หัวหน้าตระกูลหวังถามเช่นนี้ คือใจอ่อนไหวแล้ว นี่ก็อยู่ในความคาดหมายของนางนานแล้ว อย่าว่าแต่เป็นเขา ต่อหน้าโอสถอายุวัฒนะที่สามารถเพิ่มอายุขัยได้ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเกรงว่าก็ยากจะต้านความเย้ายวนได้
มั่วชิงเฉินมองหัวหน้าตระกูลหวังแล้วยิ้มนิ่งเรียบ “ในเมื่อท่านหัวหน้าตระกูลหวังสงสัย ผู้น้อยก็ขอพูดสักหน่อย ที่ต้องกำหนดไว้แปดปีให้หลัง เพราะอาจารย์ข้าช่วงนี้จำเป็นต้องกักตน ไม่มีเวลาว่างออกไปข้างนอก ส่วนการหลอมโอสถอายุวัฒนะต้องใช้หญ้าทิพย์ที่ชื่อว่าหญ้าดอกเหลืองชนิดหนึ่ง เกิดที่ปราณภูเขาไฟไหล ลักษณะเฉพาะของหญ้าทิพย์ชนิดนี้ที่ทำให้คนปวดศีรษะที่สุดก็คือหลังจากเด็ดออกมาแล้ว ไม่ว่าเก็บรักษาเช่นไรหากเกินเจ็ดวันฤทธิ์ยาจะหายไปโดยสิ้น ดังนั้นอาจารย์ข้าจำเป็นต้องมีเวลาว่างถึงสามารถไปปราณภูเขาไฟไหลได้”
หัวหน้าตระกูลหวังพยักหน้า นี่ก็ฟังดูมีเหตุผลแล้ว
“ส่วนข้อที่สอง เกรงว่าหัวหน้าตระกูลหวังไม่ทราบ อาจารย์ข้าเป็นยอดฝีมือการหลอมโอสถที่เลื่องชื่อของพรรคเหยากวง การหลอมโอสถที่ล้ำค่าเช่นโอสถอายุวัฒนะนั้น แม้ไม่กล้าพูดว่าไม่ผิดพลาดเลย ทว่าโอกาสการสำเร็จต้องสูงกว่าคนอื่นหลายส่วน หากโชคไม่ดีหลอมไม่สำเร็จ เช่นนั้นสัญญาที่ผู้น้อยให้ไว้ย่อมเป็นบุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี[1] ทว่าหัวหน้าตระกูลหวังไม่ลองคิดสักหน่อยหรือ นอกจากแปดปีให้หลังมีความมั่นใจห้าส่วนในการได้โอสถอายุวัฒนะเม็ดหนึ่ง ท่านยังมีวิธีอื่นหรือไม่? จะยินยอมใช้เงื่อนไขไม่กี่ข้อตรงหน้าไปพนันโอกาสรอดสายหนึ่งในแปดปีให้หลังหรือไม่?” มั่วชิงเฉินมองหัวหน้าตระกูลหวัง ถามอย่างมั่นใจ
หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายถอนใจยาวเสียงหนึ่งว่า “สหายน้อย เจ้าพูดต่อเถอะ”
เขาไม่ยอมรับไม่ได้ว่านางหนูน้อยตรงหน้ามองจิตใจคนได้ปรุโปร่งนัก ตนอายุขัยใกล้เข้ามาแล้ว นอกจากจะมีโอกาสวาสนาอันใหญ่หลวงสามารถทะลวงได้ในเร็ววัน มิเช่นนั้นก็ได้แต่มรณะไปอย่างเศร้าสลดแล้ว อย่าว่าแต่ความมั่นใจห้าส่วนเลย ต่อให้เพียงหนึ่งสองส่วน เขาก็จะขอพนันสักตั้งอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้มว่า “พูดถึงข้อสาม หึๆ ในเมื่อท่านหัวหน้าตระกูลหวังรู้ความสัมพันธ์ของข้าและพี่สิบสี่แล้ว ผู้น้อยก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป ผู้น้อยปีนี้อายุสามสิบสี่ปี คิดว่าชั่วเวลาหนึ่งยังไม่ต้องใช้โอสถอายุวัฒนะ”
หัวหน้าตระกูลหวังจำมั่วหนิงโหรวไม่ได้เอาเสียเลย แม้ตัดสินใจว่าหลังจบเรื่องแล้วจะไปสืบสักหน่อย ยามนี้กลับไม่รู้อายุของมั่วหนิงโหรว ดังนั้นเมื่อมั่วชิงเฉินพูดอายุของนางออกมาด้วยตนเอง หัวหน้าตระกูลหวังตกตะลึงจนพูดไม่ออก ครึ่งค่อนวันถึงถอนใจยาวอย่างไม่รู้ความหมายเสียงหนึ่งว่า “สหายน้อยไม่เสียทีที่เป็นศิษย์รักของนักพรตหวงกวง ข้าดูออกแต่แรกแล้วว่าสหายน้อยอายุไม่มาก ทว่าคิดไม่ถึงว่าสหายน้อยเพียงแค่สามสิบเล็กน้อย กลับเป็นข้าที่มีมองผิดแล้ว”
มั่วชิงเฉินแม้จะรู้ว่าตนอายุน้อยเพียงนี้ก็อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ลือออกไปจะทำให้คนตกตะลึง กลับคนบ้านตนเองรู้เรื่องที่บ้านตนเอง หากไม่มีน้ำเต้าล้ำค่านั่นบวกโอกาสวาสนามากมาย ด้วยพรสวรรค์รากวิญญาณเทียมของตนเกรงว่าดึงจนหมดอายุขัยก็บำเพ็ญเพียรไม่ถึงตบะเช่นนี้ จึงถ่อมตนทันทีว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยเพียงแต่โชคดีสักหน่อยเท่านั้น”
หัวหน้าตระกูลหวังส่ายศีรษะ” ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมีใครไม่รู้บ้าง เดิมทีโชคก็คือส่วนหนึ่งของความสามารถ สหายน้อยไม่จำเป็นต้องถ่อมตน”
มั่วชิงเฉินไม่อยากพูดเรื่องนี้มาก จึงว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง หากสามารถรับปากเงื่อนไขที่ผู้น้อยเสนอ ผู้น้อยยินดีสาบานต่อจิตมาร ขอเพียงอาจารย์ข้าหลอมโอสถอายุวัฒนะได้สำเร็จ ผู้น้อยต้องมอบเม็ดของตนให้ท่านผู้อาวุโสแน่นอน ท่านว่าเป็นเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังแววตาเป็นประกาย “ไม่รู้ว่าสหายน้อยมีเงื่อนไขอันใด?”
มั่วชิงเฉินยอมสาบานต่อจิตมาร เขาย่อมไม่ต้องกังวลอีก เพียงแต่เงื่อนไขที่นางเสนอออกมาเกรงว่าก็คงไม่ง่ายกระมัง?
มั่วชิงเฉินเห็นหัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเป็นห่วงว่านางจะโลภมาก จึงเม้มปากยิ้มว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวังน่าจะรู้แล้ว คุณชายสี่เพียงแต่ถูกอสูรวิญญาณของข้าสาป จะหมดสติหลับไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่นนั้น…”
“ในเมื่อไม่ได้ทำร้ายหวังสี่จนถึงแก่ชีวิต เรื่องนี้ย่อมแล้วกันไป” หัวหน้าตระกูลหวังพูดอย่างไม่ลังเล ในใจกลับแอบเบ้ปาก ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ช่วงระยะเวลาหนึ่งคือสิบปีแปดปีเลยนะ สำหรับนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่อยู่ในวัยที่กำลังรุ่งโรจน์พลังแฝงไร้ขีดจำกัดคนหนึ่ง แทบจะทำลายวันเวลาที่ดีที่สุดของเขา
เพียงแต่ความเสียหายเหล่านี้เทียบกับตระกูลหวังสามารถมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่งนั้น ย่อมเทียบกันไม่ได้ หัวหน้าตระกูลหวังที่แยกแยะหนักเบาออกแน่นอนย่อมไม่ลังเลในช่วงจังหวะที่สำคัญเช่นนี้
มั่วชิงเฉินชอบคบหากับคนเช่นนี้นี่แหละ จึงเอ่ยต่อว่า “เดิมทีผู้น้อยมาถึงทะเลขนาบใจโดยบังเอิญ ได้รู้ว่าพี่สิบสี่ข้ากลายเป็นอนุของคุณชายสี่อย่างไม่ได้ตั้งใจ หึๆ ไม่ปิดท่านหัวหน้าตระกูลหวัง ตระกูลมั่วเราแม้ไม่ใช่ตระกูลใหญ่โตอะไร พี่สิบสี่กลับเป็นคุณหนูสายเลือดโดยตรงอย่างสง่าผ่าเผย นางมีสามรากวิญญาณ พี่สาวคลานตามกันมามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมรากวิญญาณคู่ ดังนั้นผู้น้อยก็อยากลองดูสักหน่อย ว่าผู้ชายแบบไหนที่พี่สิบสี่ไม่คู่ควร เป็นได้เพียงอนุเท่านั้น”
ในเมื่อพี่สิบสี่ไม่ยินยอมจากตระกูลหวังไป เช่นนั้นก็ช่วยให้นางมีฐานะและพลังอำนาจเถอะ หวังว่าเช่นนี้ นางจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขสักหน่อย
มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี หัวหน้าตระกูลหวังที่เหมือนจิ้งจอกเฒ่ามีนัยอันใดที่ฟังไม่ออก ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยทันทีว่า “หวังสี่ยังไม่แต่งงาน ในเมื่อเขาหมดสติไม่ฟื้น ข้าในฐานะหัวหน้าตระกูลก็ขอออกหน้าแทนเขา แต่งคุณหนูสิบสี่แห่งตระกูลมั่วอย่างถูกต้อง เจ้าดูเป็นเช่นไร?”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า ทันใดนั้นนึกถึงคุณชายหกขึ้นมา ในใจเกิดความคิดว่า “หากพี่สิบสี่ข้าอยู่ในตระกูลหวัง ยังขอให้ท่านหัวหน้าตระกูลหวังดูแลพวกนางแม่ลูกให้ถี่ถ้วน หากมีวันหนึ่งนางอยากจากตระกูลหวังไป หรือได้พบคนดี ก็ขอให้ท่านหัวหน้าตระกูลหวังและคนในตระกูลอย่างทำให้นางต้องลำบากใจ”
หัวหน้าตระกูลหวังมองมั่วชิงเฉินอย่างไม่เข้าใจปราดหนึ่ง ถึงพยักหน้าว่า “เรื่องนี้แน่นอน เราตระกูลนักบำเพ็ญเพียร เดิมทีก็ไม่เหมือนตระกูลในโลกฆราวาส นักบำเพ็ญเพียรบำเพ็ญเพียรคู่ก็เน้นหนักที่ต่างฝ่ายต่างยินยอมอยู่แล้ว”
มั่วชิงเฉินแอบถอนใจอึดหนึ่ง พี่สิบสี่ ที่ชิงเฉินทำเพื่อเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว ส่วนต่อไปเจ้าจะสามารถมีชีวิตที่มีความสุขเช่นที่เจ้าอยากได้หรือไม่ เช่นนั้นก็ต้องพึ่งตัวเจ้าเองแล้ว
“สหายน้อย เจ้ายังมีเงื่อนไขอื่นอีกหรือไม่?” หัวหน้าตระกูลหวังเห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบขึ้นมา จึงถามว่า
มั่วชิงเฉินเม้มปาก “ยังมีเงื่อนไขสุดท้ายข้อหนึ่ง ข้าน้อยได้ยินว่าคุณชายสิบเจ็ดผ่านการทดสอบตามหากระสายยาได้สำเร็จ จะได้รับแบ่งโอสถจากในตระกูลหนึ่งเม็ด ผู้น้อยอยากได้โอสถเม็ดนั้นของเขา”
หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยว่า “สหายน้อยทำไปเพื่อเหตุใด?”
มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หรือว่าท่านหัวหน้าตระกูลหวังไม่ทราบ คุณชายสิบเจ็ดใช้กำลังบังคับสาวใช้ที่ปรนนิบัติข้าคนหนึ่ง สาวใช้อีกคนหนึ่งก็กระโดดทะเลสาบ หากไม่เพราะผู้น้อยรุดไปทันท่วงที เกรงว่าพวกนางสองพี่น้องล้วนดอกไม้ร่วงโรยหยกงามแตกหักแล้ว”
“มีเรื่องเช่นนี้หรือ?” สีหน้าหัวหน้าตระกูลหวังย่ำแย่ เขาเร่งรุดมาถึงสวนปี้ซิ่วก็ถูกเรื่องของหวังสี่ดึงความสนใจไป ไม่ได้ใส่ใจว่าสาวใช้ตัวเล็กๆ พวกนั้นเป็นเช่นไร
มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะว่า “ผู้น้อยยังพูดจาส่งเดชได้หรือเช่นไร? ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง แม้สาวใช้คู่นั้นเป็นคนของตระกูลหวังท่าน ทว่าอย่างไรเสียก็จัดสรรมาปรนนิบัติข้างกายข้า คุณชายสิบเจ็ดทำเรื่องไร้ยางอายต่อพวกนางเช่นนี้ เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่?”
หัวหน้าตระกูลหวังถอนใจอึดหนึ่ง “ก็ทำตามที่สหายน้อยว่ามาแล้วกัน”
ในชั่วพริบตาหนึ่งจู่ๆ เขาก็เกิดหดหู่ขึ้นมา รุ่นใหม่ในตระกูลหวัง หวังสี่ที่มีหวังที่สุดต้องนอนหลับสิบกว่าปี สิ้นเปลืองช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของนักบำเพ็ญเพียร หวังสิบเจ็ดก็ไม่เอาถ่านเช่นนี้อีก หากไม่ใช่ลูกหลานตระกูลหวัง แม้แต่เขาก็แทบอยากจะฆ่าเขาทิ้ง
เมื่อเปรียบเทียบกับแม่นางมั่วที่อยู่ตรงหน้านี้อีก ยิ่งรู้สึกว่าคนเก่งของตระกูลหวังเ**่ยวเฉาโรยรา
คิดอีกทีหนึ่ง หัวหน้าตระกูลก็นึกถึงอีกว่าหากตนเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด ก็จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกพันปี ย่อมมีเวลามากมายในการฟูมฟักลูกหลานที่พรสวรรค์ไม่เลวของตระกูลหวัง
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวหน้าตระกูลหวังสงบจิตใจ กับมั่วชิงเฉินต่างสาบานต่อจิตมารของตน
สองคนประสานสายตากันแล้วยิ้ม หัวหน้าตระกูลหวังโบกมือถอนเขตอาคมกันเสียงออก
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกรอคอยอย่างร้อนรน เห็นสองคนใบหน้าเปื้อนยิ้มออกมา ต่างมีความคิดในใจ
หัวหน้าตระกูลหวังค่อยๆ กวาดสายตามองทุกคนที่สีหน้าต่างๆ กัน ถึงเอ่ยว่า “นับแต่วันนี้ แม่นางมั่วก็คือแขกคนสำคัญของตระกูลหวังข้า ไม่ว่าใครก็ห้ามละเลย หากขัดคำสั่ง ก็ไล่ออกจากตระกูลหวัง”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!” ผู้เฒ่าสามและคุณชายสิบเจ็ดเรียกขึ้นพร้อมกัน
พวกหลี่จื้อหย่วนก็ตกใจต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
หัวหน้าตระกูลหวังไม่ได้สนใจ เอ่ยต่อว่า “หวังสี่ต้องนอนหลับไปหลายปี ก็ยกกลับสวนปี้ซิ่วไป นางมั่วหนิงโหรวอ่อนโยนฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังให้กำเนิดทายาทให้ตระกูลหวัง จึงมีข้าตัดสินใจแทนแต่งให้หวังสี่เป็นภรรยา ลูกหลานในตระกูลห้ามระรานพวกนางแม่ลูก หากนางมั่วหนิงโหรวคิดจะจากไป คนอื่นก็ห้ามขัดขวาง”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!” คุณชายสิบเจ็ดได้ยินดังนั้นตกใจหน้าถอดสี เขารู้มาตลอดว่าคุณชายสี่ไม่เคยใส่ใจอนุกลุ่มนั้นเลย
หัวหน้าตระกูลหวังถลึงตาใส่คุณชายสิบเจ็ดอย่างเย็นชาปราดหนึ่งว่า “หวังสิบเจ็ด เจ้ากำเริบเสิบสาน ทำให้ตระกูลหวังต้องอับอาย นับแต่วันนี้ไปให้กักตนสำนึกผิด สิบปีห้ามออกจากที่พำนักแม้ครึ่งก้าว นอกจากนี้ โอสถในตระกูลส่วนของเจ้าจะโอนไปให้แม่นางมั่ว ชดเชยที่เจ้าล่วงเกินสาวใช้ข้างกายนาง!”
“ท่านหัวหน้าตระกูล!” คุณชายสิบเจ็ดร้องอย่างตกใจอย่างไม่อยากเชื่อ ในที่สุดก็สลบไปอย่างสวยงามพร้อมใบหน้าที่บวมเป็นหัวหมู
——
[1] บุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี อุปมาถึงสิ่งสวยงามที่จับต้องไม่ได้
ตอนที่ 186 รูปโฉมของเจ้า
วันเวลาต่อจากนั้นสงบราบเรียบ ไม่มีคุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดกระโดดออกมาเกะกะลูกตา มั่วชิงเฉินเข้าพักที่ซีสุ่ยเสี่ยวจู้ในสวนปี้ซิ่ว ปรับสภาพร่างกายของมั่วหนิงโหรวอย่างตั้งใจ
ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนั้นไปเก็บน้ำหวานที่ต้นท้อเฒ่านั่นทุกวัน น้ำผึ้งที่บ่มออกมาเติมขวดกระเบื้องขาวกะทัดรัดขนาดยาวหนึ่งนิ้วกว่าเต็มพอดี มั่วชิงเฉินจึงผสมน้ำผึ้งวิญญาณพวกนี้ลงในน้ำแกงฝูหลิงเม็ดบัวแล้วส่งให้มั่วหนิงโหรวกินทุกวัน
ใบหน้าของมั่วหนิงโหรวเห็นได้ว่ามีเลือดฝาดขึ้น แม้ดูแล้วยังคงอ่อนแอยิ่งนัก ปราณที่มืดมนพวกนั้นกลับไม่เห็นแล้ว
ในระหว่างนี้ มั่วชิงเฉินแอบเสียบกิ่งท้อที่คุณชายสี่มอบให้กิ่งนั้นไว้ที่สวนสมุนไพรพกพา ไม่คิดว่ากิ่งท้อนี้งอกงามขึ้นมาได้จริงๆ ภายใต้การหล่อเลี้ยงของสุราทิพย์จากน้ำเต้าเซียน วันหนึ่งก็เท่ากับเวลาหนึ่งปี กิ่งท้องอกเป็นต้นกล้าอย่างรวดเร็ว ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ก็มีดอกท้อสวยงามผลิบานออกมาแล้ว
แต่ละวัน สำหรับต้นท้อในสวนสมุนไพรแล้วก็คือการหมุนเวียนสี่ฤดูหนึ่งครั้ง ดอกผลิบานร่วงโรยแล้วบานอีก กลับไม่เคยงอกผลมาเลย
มั่วชิงเฉินหักกิ่งท้อลงมาทดสอบ พบว่าต้นท้อนี้แม้มีอายุเพียงไม่กี่ปี ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตกลับชอบเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ นางเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ที่ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตพิถีพิถันไม่ใช่อายุของดอกไม้หากแต่เป็นชนิด
หรือว่าต้นท้อเฒ่าในสวนปี้ซิ่วต้นนั้นอาจจะเป็นต่างสายพันธุ์ที่คนไม่รู้กระมัง มั่วชิงเฉินแอบคิด
ในเมื่อกิ่งท้องอกงามในสวนสมุนไพรพกพาแล้ว อีกทั้งนางก็พำนักอยู่ในสวนปี้ซิ่วสะดวกให้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตเก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้อีก มั่วชิงเฉินที่ไม่ยอมให้เกิดเรื่องแทรกขึ้นมาอีกจึงล้มเลิกแผนการที่มีต่อต้นท้อเฒ่า
ในวันนี้ หลังจากมั่วหนิงโหรวกินน้ำแกงฝูหลิงเม็ดบัวเสร็จแล้วนอนลงมั่วชิงเฉินจึงเดินเล่นไปถึงข้างทะเลสาบ สาวใช้ฝาแฝดตามอยู่ข้างหลังเงียบๆ
มั่วชิงเฉินหันหน้ามองพี่น้องฝาแฝดปราดหนึ่ง ในใจถอนใจเสียงหนึ่ง
ระยะนี้นางพบว่าพี่น้องฝาแฝดคู่นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ไห่เอี้ยนเดิมทีเพียงแต่สุขุมนิ่งเงียบ ทว่าบัดนี้ดวงตาว่างเปล่าไร้แวว คนทั้งคนถูกปกคลุมอยู่ในบรรยากาศที่ไร้ชีวิตชีวา ก็เหมือนกับหุ่นเชิดที่หายใจได้ตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนไห่อิงที่ร่าเริงสดใสก็กลายมาพูดน้อย มักเหม่อมองไห่เอี้ยนอย่างรู้สึกผิด มองไปมองไปในดวงตาที่สวยงามก็เต็มไปด้วยน้ำตา แล้วกลัวตนเห็นแล้วอารมณ์ไม่ดีจึงรีบเช็ดทิ้งอีก
มั่วชิงเฉินเห็นการเปลี่ยนแปลงพวกนี้กับตา กลับจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดอะไร
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่มีความสุขดีงามได้ ต่อให้เป็นมั่วหนิงโหรว หนทางต่อจากนี้ก็ต้องเดินเอง สามารถใช้ชีวิตที่อยากได้หรือไม่ สุดท้ายยังคงต้องพึ่งตัวนางเอง
ส่วนสาวใช้ฝาแฝดคู่นี้ แม้จะพูดว่ามีวาสนาต่อกันที่ได้ปรนนิบัติตน ทว่าการทำร้ายที่ได้รับไม่ได้เกิดจากตนเอง พูดอย่างแล้งน้ำใจหน่อย ตนไม่มีหน้าที่ต้องช่วยพวกนาง
ที่จริงที่มั่วชิงเฉินไม่ได้พูดอะไรมากมาตลอด ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่ง ก็คือสาวใช้ฝาแฝดคู่นี้หลังจากเกิดเรื่องนั้นแล้วก็จมปลักอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา ไม่ได้พยายามเพื่อชีวิตในอนาคตเลย
มั่วชิงเฉินไม่ใช่คนดีไม่เลือกหน้า มีคำพูดประโยคหนึ่งนางชอบมากมาตลอด ‘เป็นคนต้องช่วยตนเองก่อนคนอื่นถึงช่วยเจ้าได้’
น้ำในทะเลสาบกระจ่างใส ห่านขาวฝูงหนึ่งร้องแคว่กๆ ว่ายผ่านไป กระเพื่อมให้เกิดวงคลื่นสีมรกต
มั่วชิงเฉินก้มตัวเก็บก้อนหินเล็กขึ้นมาก้อนหนึ่ง ขว้างไปกลางทะเลสาบทำให้ก้อนหินกระดอนบนผิวน้ำอย่างสวยงาม จากนั้นพูดเองเออเองว่า “ประสบการณ์ที่โชคร้ายช่วงหนึ่งก็เหมือนก้อนหินเล็กก้อนนี้ สุดท้ายจะจมลงก้นทะเลสาบ ระลอกคลื่นที่ถูกทำให้เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ กลับคืนความสงบ ลักษณะที่คนอื่นเห็นยังคงเป็นผิวทะเลสาบที่สงบสวยงาม น้ำในทะเลสาบนี้กระทั่งเพราะรองรับของที่มากขึ้น ทำให้สีสวยยิ่งขึ้น ยิ่งโดดเด่นขึ้น”
พูดจบมั่วชิงเฉินเดินหน้าต่อ ทันใดนั้นตรงหน้าปรากฏยันต์ส่งสารขึ้นใบหนึ่ง นางยื่นมือรับมา ที่แท้หลี่จื้อหย่วนศิษย์อาจารย์จะจากไปแล้ว จึงมาบอกลานาง
ยามนี้ยันต์ส่งสารอีกใบหนึ่งปลิวมา มั่วชิงเฉินกวาดจิตตระหนักดู หัวหน้าตระกูลหวังเป็นคนส่งมา เช่นเดียวกันเพราะเรื่องที่หลี่จื้อหย่วนศิษย์อาจารย์จะจากไป เขาจัดงานเลี้ยงส่งที่แหล่งพำนัก จึงเชื้อเชิญนางเข้าร่วม
“ข้าจะออกไปคราหนึ่ง พวกเจ้าสองคนไม่ต้องตามแล้ว หากฮูหยินสี่ตื่นแล้ว ก็บอกแทนข้าที” มั่วชิงเฉินกำชับเสร็จก็ก้าวขึ้นเรือเล็กเหินเวหาไป
เรือเล็กนี้นางหาเจอในท้องปลาประหลาดเช่นกัน ถูกนางโยนเข้าไปในถุงเก็บวัตถุมาตลอด ต่อมาเห็นอาวุธเวทเหินหาวของนักบำเพ็ญเพียรในทะเลขนาบใจส่วนใหญ่เป็นลักษณะของเรือเล็ก เมื่อว่างแล้วมั่วชิงเฉินจึงเอามันออกมาหลอมสักหน่อย
เมื่อหลอมดูถึงพบว่าเรือเล็กเป็นอาวุธเวทที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งอย่างนึกไม่ถึง ทั้งสามารถเหินหาวอีกทั้งยังข้ามทะเลได้ แม้ความเร็วจะสู้ชามใหญ่ไม่ได้ กลับดีกว่ากระบี่บินธรรมดามากมาย
ชามใหญ่ของมั่วชิงเฉินวันนั้นถูกผู้เฒ่าสามซัดเป็นรูเล็กๆ ออกมาหลายรู นางไม่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ จึงได้แต่ทิ้งไว้ในกำไลรอกลับถึงสำนักหาศิษย์ร่วมสำนักที่เชี่ยวชาญด้านหลอมอาวุธช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนี้ เรือเล็กก็ได้ใช้ประโยชน์แล้ว
มาถึงที่พำนักของหัวหน้าตระกูลหวัง คนที่นำนางเข้าไปยังคงเป็นทิงเฉา เพียงแต่ครั้งนี้แววตาที่ทิงเฉามองนางต่างออกไปอีกแล้ว ในคำพูดแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสที่แต่ก่อนไม่มี
มั่วชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจ เดินตรงเข้าไป
ในโถงมีคนสามคนอยู่แล้ว คือหัวหน้าตระกูลหวังและหลี่จื้อหย่วนศิษย์อาจารย์
มั่วชิงเฉินเอ่ยคำทักทาย แล้วนั่งลงข้างๆ หลี่จื้อหย่วน หลี่จื้อหย่วนยิ้มให้นาง เห็นฟันขาวทั้งปาก
ไม่นานนัก ผู้เฒ่าสามก็รุดมา สายตากวาดถึงมั่วชิงเฉินก็ให้หน้าบึ้งทันที จากนั้นถึงมองท่านโจวแล้วฝืนยิ้ม
ทั้งห้าคนดื่มสุราทิพย์ร่วมกันจอกหนึ่ง จากนั้นคุยเป็นพิธีรีตองสองสามประโยค จู่ๆ ท่านโจวก็ว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง พวกเขารุ่นเด็กอยู่ต่อหน้าตาเฒ่าพวกนี้แล้วไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่สู้ปล่อยพวกเขาไปสนุกกันเอง ท่านว่าเป็นเช่นไร?”
หัวหน้าตระกูลหวังยิ้มว่า “ข้ากำลังจะพูด หวังหกเตรียมสุราอาหารอยู่ในศาลาสวนด้านหลังแล้ว รอแม่นางมั่วและหลานหลี่อยู่เลย”
หลี่จื้อหย่วนสีหน้ายินดีขึ้นมาทันที คำนับพร้อมมั่วชิงเฉินแล้วถอยออกไปด้วยกัน
“ฟู่ ออกมาสบายกว่ากันเยอะเลย” หลี่จื้อหย่วนหายใจออกอึดใหญ่
มั่วชิงเฉินกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “คุณชายหลี่ เจ้าจะดีใจออกนอกหน้าต่อหน้าหัวหน้าตระกูลหวังไปสักหน่อยหรือไม่ อย่างไรเสียรอออกมาก่อนค่อยแสดงออกสิ”
ต่อหน้าเจ้าภาพเมื่อได้ยินว่าสามารถออกไปได้แล้ว ก็ดีใจหัวเราะจนปากเกือบเบี้ยว มั่วชิงเฉินทำไม่ได้หรอกนะ
หลี่จื้อหย่วนขยิบตา “เป็นเช่นไร เช่นนี้ไม่ดีหรือ?”
มั่วชิงเฉินชะงัก
หลี่จื้อหย่วนยิ้มจนตาเป็นเส้นโค้ง ดูแล้วมีความไร้เดียงสาเหมือนเด็ก “หัวหน้าตระกูลหวังรู้ความคิดของเรา เขาไม่ใส่ใจหรอก”
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก รู้สึกว่าหลี่จื้อหย่วนไร้เดียงสาเกินไป ทว่าเห็นรอยยิ้มที่สะอาดกระจ่างใสของเขา ในใจกลับคิดอะไรขึ้นมาได้ในทันใด
เขากำลังบอกตนใช่หรือไม่ ว่าไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา ในสถานการณ์ที่ไร้พิษภัยเป็นตัวของตัวเอง อาจจะเป็นความสุขชนิดหนึ่งก็ได้?
มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าวิถีแห่งการดำเนินชีวิตที่เหมาะกับหลี่จื้อหย่วนก็จะเหมาะกับตน กลับพบว่าพลังที่สะอาดบริสุทธิ์เฉพาะตัวที่แผ่ซ่านออกจากตัวเขา ไม่ใช่เพราะความไม่รู้ หากแต่เพราะเข้าใจทุกอย่างดีต่างหาก ถึงได้ทำตามใจจริง เปิดเผยตรงไปตรงมา
นี่อาจจะเป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตเฉพาะตัวของนักบำเพ็ญเพียรปราชญ์กระมัง
ในศาลาสวนด้านหลัง คุณชายหกกำลังรอทั้งสองคนจริงๆ เห็นสองคนเข้ามารีบลุกขึ้นต้อนรับ
“พี่หลี่ ไม่คิดว่าเร็วเพียงนี้เจ้าก็จะไปแล้ว” คุณชายหกพลางเชื้อเชิญสองคนดื่มสุรา พลางถอนใจ
ระยะนี้เขาและหลี่จื้อหย่วนคบหากันได้สบายใจนัก การกระทบของทฤษฎีต่างแขนงเต๋าปราชญ์ ยิ่งทำให้เขาได้ประโยชน์มากมาย
หลี่จื้อหย่วนยกจอกสุราในมือว่า “ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา คุณชายหกจะอ่อนไหวไปไย ขอเพียงพวกเราเดินต่อไป จะกลุ้มไปไยว่าจะไม่ได้พบกันอีก?”
คุณชายหกตบโต๊ะ “พี่หลี่พูดถูก อาจจะอีกไม่นานข้าก็ออกจากบ้านเดินทางฝึกตน ไม่แน่ก็อาจเจอสหายเก่าที่ไหนสักที่แล้ว ฮ่าๆ มา ดื่มอีกจอกหนึ่ง!”
มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองอยู่ รู้ว่าคุณชายหกดื่มมากไปสักหน่อยแล้ว
ที่จริงนักบำเพ็ญเพียรสามารถขับเคลื่อนพลังวิญญาณขับสุราออกนอกกาย เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ดื่มสุรายังมีอะไรน่าสนใจอีก โดยเฉพาะยามที่ดื่มกับสหายจะทำให้ขาดความจริงใจ
ดื่มได้อีกพักหนึ่ง หลี่จื้อหย่วนจึงว่า “ไม่ดื่มแล้วไม่ดื่มแล้ว ดื่มจนเมากรึ่มข้ามทะเล หากเกิดตกลงไปในทะเล อาจารย์ไม่ช่วยข้าจะทำเช่นไร?”
คำพูดนี้แม้เป็นการพูดเล่น ทว่าการข้ามทะเลอย่างไรเสียก็อันตรายหนักหนา คุณชายหกจึงหยุดคารวะสุรา ทั้งสามคนเริ่มกินผลไม้ทิพย์ขึ้นมา
“พี่หลี่ นี่คือมุกจื่อหวาสงบจิตผลิตผลเฉพาะของทะเลขนาบใจเรา แม้คุณภาพงั้นๆ กลับเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้าน้อย ขออย่าได้รังเกียจ” คุณชายหกยื่นมุกสีม่วงที่ใช้เชือกสีเขียวร้อยขึ้นมาเม็ดหนึ่งข้ามมา
มุกเม็ดนั้นเล็กกว่าที่มั่วชิงเฉินได้มาในวันนั้นเล็กน้อย ด้านบนแกะสลักคาถาสีทึมไว้
หลี่จื้อหย่วนยื่นมือรับมา แล้วแขวนไว้บนป้ายหยกที่เอวโดยตรง จากนั้นเหล่มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตั้งใจหยอกเขาเล่น จึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเอ่ยกับคุณชายหกว่า “คุณชายหก ชิงเฉินได้มุกจื่อหวาสงบจิตมาสองเม็ดโดยบังเอิญ ได้ยินว่ามุกนี้ต้องให้ตระกูลหวังของพวกเจ้าเสกคาถาลับก่อนถึงใช้ประโยชน์ได้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” พูดพลางดันกล่องหยกที่ใส่มุกจื่อหวาสงบจิตไว้ข้ามไป
คุณชายหกเปิดออกก็เห็นมุกขนาดเท่าลำไยคู่หนึ่ง แสงสีม่วงแวววาว อดชื่นชมไม่ได้ว่า “โชคของแม่นางมั่วช่างไม่เลวจริงๆ มุกคู่นี้นับเป็นระดับยอดเยี่ยม รอเจ็ดวันให้หลังข้าทำเสร็จก็ส่งไปให้เจ้า”
“แม่นางมั่ว…” หลี่จื้อหย่วนเรียกอย่างน่าสงสาร
มั่วชิงเฉินเหลือบมองเขา แล้วยิ้มละไมว่า “คุณชายหลี่ ชิงเฉินไม่รู้ว่าเจ้าจะไปวันนี้ ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรไว้หรอกนะ”
หลี่จื้อหย่วนฮึเสียงหนึ่ง ทันใดนั้นก็แย้มหนึ่งยิ้มว่า “แม่นางมั่ว ขอเพียงเจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง ก็นับว่ามอบของขวัญจากลาให้ข้าแล้ว เจ้าว่าเป็นเช่นไร?”
“เรื่องอันใด?” มั่วชิงเฉินถาม
หลี่จื้อหย่วนกระแอมสองที “เรื่องนั้นสำหรับเจ้าแล้วง่ายมาก อีกทั้งยังไม่เสียหายใดๆ ด้วย”
มั่วชิงเฉินไม่พูด นั่งจ้องเขา ตามประสบการณ์ของนาง ยามที่มีคนพูดเช่นนี้รับรองไม่มีเรื่องดี
“แม่นางมั่ว ข้าอยากเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเจ้า” ในที่สุดหลี่จื้อหย่วนก็พูดออกมา
มั่วชิงเฉินชะงัก คำพูดนี้หากเป็นชายอื่นพูดออกมา นางต้องรู้สึกว่าคนผู้นั้นเป็นพวกเกี้ยวพาราสี ทว่ามองดูหลี่จื้อหย่วนท่าทางเต็มไปด้วยความวิงวอน วิตกกังวล กลับไม่ว่าดูเช่นไรก็ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น
“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินถามอย่างจริงจัง นางต้องการเหตุผลหนึ่ง ทั้งให้เขาและก็ให้ตนเอง
คุณชายหกมองทั้งสองคนอย่างแปลกใจ
แล้วก็ได้ยินหลี่จื้อหย่วนพูดว่า “ตั้งแต่ปีนั้นที่พบกันโดยบังเอิญ ข้าก็มักคิดว่าหลังจากเจ้าเติบใหญ่จะมีลักษณะเช่นไร ครั้งนี้เจอเจ้าแล้วหากยังไม่ได้เห็น เช่นนั้นข้าจะกินไม่อร่อยนอนไม่หลับ ไม่แน่อาจเกลี้ยกล่อมอาจารย์ว่าต่อไปให้ตามเจ้าไปฝึกตน ไหนๆ พวกเราก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับสภาพการณ์นั้นๆ ได้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว”
เมื่อมั่วชิงเฉินนึกถึงว่าต่อไปไปถึงไหนข้างหลังก็จะมีบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งคอยตาม เกิดกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ถลึงตาใส่หลี่จื้อหย่วนครึ่งค่อนวันถึงถอนใจว่า “เอาเถอะ ถือว่าเจ้าโหด เจ้าดูเถอะ”
ตอนที่ 187 ปราณสีม่วงจากทิศตะวันออก
มั่วชิงเฉินทัดผมข้างหน้าไปหลังหูเบาๆ แล้วยิ้มอย่างจำใจ
“อย่าขยับ!” จู่ๆ หลี่จื้อหย่วนก็ตะโกนเสียงดัง ทำมั่วชิงเฉินตกใจสะดุ้งโหยง
แล้วก็เห็นในมือหลี่จื้อหย่วนมีพู่กันเพิ่มมาด้ามหนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นกระดาษม้วนสีขาวบริสุทธิ์ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เขาถือพู่กันเขียนๆ วาดๆ บนม้วนกระดาษ เหล่มั่วชิงเฉินเป็นระยะ ผ่านไปครึ่งชั่วยามจู่ๆ ก็หยุดลง จ้องกระดาษตรงหน้าอย่างเหม่อลอย แล้วหันมาจ้องมั่วชิงเฉินเขม็งอีก
หากไม่เพราะในแววตาของหลี่จื้อหย่วนนอกจากความกระตือรือร้นแล้วไม่มีความหมายอื่น สายตาที่ร้อนแรงเช่นนี้เกรงว่ามั่วชิงเฉินต้องหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้สึกได้รางๆ ว่าบัดนี้หลี่จื้อหย่วนดูเหมือนเข้าสู่สภาพน่ามหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง สภาพเช่นนี้สำหรับเขาแล้วสำคัญมาก ดังนั้นนางไม่กล้าขยับเขยื้อน กลัวว่าหากตนขยับก็จะทำให้เขาต้องพลาดโอกาสวาสนาไปต่อหน้าต่อตา
“ใช่แล้ว!” หลี่จื้อหย่วนดูเหมือนรู้แจ้งอะไรแล้ว ถือพู่กันวาดอย่างรวดเร็วบนกระดาษขึ้นมา เพียงชั่วครู่ก็เห็นเขาโยนพู่กันขนหมาป่าไว้ข้างหลัง ตนเองถือม้วนกระดาษเหม่อลอย
ในเวลานี้เองทันใดนั้นปราณสีม่วงสายหนึ่งมาจากทิศตะวันออก ตกลงเหนือศีรษะหลี่จื้อหย่วนตรงๆ ต่อจากนั้นรอบตัวเขาก็ถูกปราณสีม่วงห้อมล้อม กลายเป็นวังวนปราณสีม่วงใหญ่ๆ น้อยๆ เคลื่อนไหวเป็นระลอกๆ
มั่วชิงเฉินตะลึง เลื่อนขั้นเล็ก หลี่จื้อหย่วนจะทะลวงระดับสร้างรากฐานระยะต้นแล้ว!
ที่แท้การเลื่อนขั้นของนักบำเพ็ญเพียรปราชญ์ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสภาพเช่นนี้? มั่วชิงเฉินรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาในทันใด
นักบำเพ็ญเพียรที่กำลังดื่มชาทิพย์อยู่ในโถงในเวลาเดียวกันก็สังเกตได้ถึงปราณสีม่วงที่แวบผ่านเพียงแวบเดียวในอากาศ
“ปราณสีม่วงจากทิศตะวันออก?” หัวหน้าตระกูลหวังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ท่านโจวสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ขยับตัวพุ่งออกไป หัวหน้าตระกูลหวังและผู้เฒ่าสามมองตากันปราดหนึ่ง แล้วรีบตามหลังไป
เห็นสภาพในยามนี้ของหลี่จื้อหย่วน ท่านโจวสีหน้าปีตินัก ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ คอยคุ้มกันให้ศิษย์
หัวหน้าตระกูลหวังและผู้เฒ่าสามต่างเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ย่อมเข้าใจกฎเกณฑ์ดี ต่อให้ในใจมีข้อสงสัยมากมาย ยามนี้ล้วนยืนรออยู่ที่เดิมอย่างสงบ
ผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ ปราณสีม่วงรอบกายหลี่จื้อหย่วนถึงค่อยๆ กระจายไป แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
แววตาของหลี่จื้อหย่วนค่อยๆ กลับมาสดใสดังเดิม มองดูผู้คนแล้วก้มหน้ามองดูมือตนเองอีก แล้วถามอย่างประหลาดว่า “อาจารย์ ข้า ข้าเลื่อนขั้นแล้ว?”
ท่านโจวหัวเราะคิกคักถามว่า “เจ้าเด็กโง่ เลื่อนขั้นหรือไม่ตนเองไม่รู้หรือ?”
แน่นอนหลี่จื้อหย่วนย่อมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เพียงแต่ทุกอย่างมาอย่างกะทันหันเกินไป เขายังไม่ค่อยอยากเชื่อ
ทันใดนั้นสายตาของท่านโจวตกไปอยู่บนกระดาษม้วนในมือหลี่จื้อหย่วน “นี่คือ…”
หลี่จื้อหย่วนซ่อนกระดาษม้วนไว้ข้างหลังด้วยปฏิกิริยาตอบโต้ แล้วมองท่านโจวเหมือนมองหัวขโมย
ท่านโจวโมโหจนหัวเราะแล้ว ยื่นมือใช้พัดเคาะศีรษะหลี่จื้อหย่วนว่า “เอาออกมา”
“ไม่” หลี่จื้อหย่วนออกแรงส่ายศีรษะ
“เอาออกมา” ท่านโจวโมโหจนหนวดกระดิกตาถลน
หลี่จื้อหย่วนร่างกายเกร็งแน่น ทำท่าพร้อมจะยกขาวิ่งได้ตลอดเวลา
หัวหน้าตระกูลหวังทนไม่ไหวกระแอมออกมาสองที
ท่านโจวหน้าแดงโดยพลัน เขาตื่นเต้นชั่วขณะจนลืมว่ารอบข้างยังมีคนอื่นอยู่
“พี่โจว ขอแสดงความยินดีด้วย หลานหลี่อายุน้อยๆ ก็เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ท่านมีผู้สืบทอดแล้ว” หัวหน้าตระกูลหวังออกเสียงกู้สถานการณ์
ความดีใจที่ปิดไม่มิดบนหน้าท่านโจว ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าเขา นักบำเพ็ญเพียรปราชญ์เลื่อนขั้นยากเพียงใด คำพูดของหัวหน้าตระกูลหวังพูดเข้าไปถึงส่วนลึกในใจของเขา
“ท่านหัวหน้าตระกูลหวัง ท่านผู้เฒ่าสาม ข้าและศิษย์มารบกวนนานแล้ว อีกทั้งศิษย์ก็ได้เลื่อนขั้นที่นี่อีก ข้าซาบซึ้งเหลือคณา บัดนี้เวลาไม่เช้าแล้ว ก็ขออำลา ณ ที่นี้เลยแล้วกัน” ท่านโจวกอบหมัด
“ท่านโจวเดินทางปลอดภัย” ทุกคนเอ่ยพร้อมกัน
ท่านโจวโยนพัดในมือขึ้นฟ้า พัดใหญ่ขึ้นในพริบตา แล้วลากหลี่จื้อหย่วนกระโดดขึ้นไปพร้อมกัน
“ไว้พบกันใหม่” ท่านโจวพยักหน้าแผ่วเบาให้ทุกคน อุตส่าห์กวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ภาพม้วนนั้นแม้ถูกศิษย์ซ่อนขึ้นมา รายละเอียดในนั้นเขากลับเห็นนานแล้ว ถ้าเขาเดาไม่ผิด คนรูปโฉมสะคราญในภาพก็คือแม่นางมั่วที่ทำตัวค้อมต่ำตรงหน้าผู้นี้แล้ว
เช่นนี้แล้ว ศิษย์ของตนกลับติดค้างหนี้น้ำใจแม่นางมั่วผู้นี้แล้ว
“ไว้พบกันใหม่นะ!” หลี่จื้อหย่วนโบกมือให้มั่วชิงเฉินและคุณชายหก ยามที่กำลังพูดอยู่นั้นพัดที่อยู่ใต้เท้าก็พุ่งออกไปดั่งดาวตก เขายืนไม่นิ่งเกือบถูกแกว่งตกลงมา สองมือกอดขอบพัดไว้แน่น ร้องเสียงดังว่า “อาจารย์ ท่านเร่งอาวุธเวทเหตุใดไม่บอกกล่าวกันสักคำล่ะ”
จากไกลๆ ยังสามารถได้ยินท่านโจวฮึเสียงเย็นเยียบและเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของหลี่จื้อหย่วน “อาจารย์ นี่ท่านต้องเอาคืนอยู่แน่ๆ…อ๊าก ช้าหน่อยสิ ให้ข้าขึ้นไป!”
ผู้คนในศาลาต่างมองหน้ากัน มั่วชิงเฉินและคุณชายหกหัวเราะออกมาเบาๆ หัวหน้าตระกูลหวังสีหน้าเคร่งขรึม ในใจกลับแอบคิดว่า ตนก็ควรรับศิษย์สักคนแล้วใช่หรือไม่?
ส่งอาจารย์ศิษย์สองคนไปแล้ว มั่วชิงเฉินจึงร่ำลาจากไป
คุณชายหกกำลังจะถอยลงไป ทันใดนั้นหัวหน้าตระกูลหวังเอ่ยว่า “หวังหก เจ้ารอสักครู่”
“ท่านหัวหน้าตระกูลมีอันใดจะสั่งการขอรับ?” คุณชายหกถามอย่างนอบน้อม ในใจกลับตีกลองอยู่
หัวหน้าตระกูลหวังเหลือบมองคุณชายหกปราดหนึ่ง ถึงว่า “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
ยังคงถามตามคาดจริงๆ คุณชายหกแอบถอนใจอยู่ในใจ ปากก็ว่า “เมื่อครู่พวกเราสามคนดื่มสุราอยู่ในศาลา จู่ๆ คุณชายหลี่ก็เกิดอารมณ์สุนทรีย์ ถือพู่กันวาดภาพหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เห็นปราณสีม่วงสายหนึ่งมาจากทิศตะวันออก แล้วเขาก็เข้าสู่สภาพเลื่อนขั้นขอรับ”
“วาดภาพหนึ่ง? ภาพอะไร?” หัวหน้าตระกูลหวังรีบถาม ดูท่าจุดสำคัญที่หลานหลี่ผู้นั้นเลื่อนขั้นก็อยู่ที่ภาพนั้น
คุณชายหกชะงักทีหนึ่งถึงว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ พวกเรายังไม่ทันได้เห็นภาพนั้น เขาก็เข้าสู่สภาพเลื่อนขั้น พวกเราจึงไม่กล้าขยับส่งเดช หลังจากนั้นท่านหัวหน้าตระกูลพวกท่านก็รุดมาแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นช่างเถอะ เจ้าถอยไปเถอะ” หัวหน้าตระกูลหวังโบกมือ
คุณชายหกโล่งใจ รีบถอยออกไป
“หัวหน้าตระกูล เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กหวังหกนั่นรู้รายละเอียดบนภาพนั่นล่ะ?” ผู้เฒ่าสามเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ตั้งแต่หวังสี่เกิดเรื่อง หวังหกและแม่นางมั่วก็สนิทสนมกันมาก เขาจึงมองเจ้าเด็กนั่นขวางหูขวางตา ช่วยไม่ได้ที่หัวหน้าตระกูลบอกว่าบัดนี้ในตระกูลไม่มีรุ่นหลังที่โดดเด่น หวังหกนับว่าไม่เลวแล้ว เขาจึงได้แต่อดทนไว้
“ในเมื่อเขาไม่อยากพูด เรื่องของเด็กๆ ก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” หัวหน้าตระกูลหวังเอ่ยนิ่งเรียบ
คุณชายหกที่เดินออกจากประตูมากลับต้องเช็ดเหงื่อเย็น พูดปดต่อหน้าหัวหน้าตระกูล แรงกดดันช่างมากเหลือเกิน
แน่นอนเขาย่อมรู้รายละเอียดในภาพนั้นอยู่แล้ว ก็เพราะว่ารู้ถึงไม่กล้าพูดออกมา
ในพริบตาที่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมั่วชิงเฉิน เขาที่คิดว่าพลังการควบคุมตนเองของตนแข็งแกร่งมากมาตลอดยังลืมหายใจ มีความรู้สึกอยากใช้กำลังยึดความสวยงามตรงหน้าไว้เป็นของตน นั่นไม่เกี่ยวกับความรัก หากแต่เป็นความละโมบตามธรรมชาติของคน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดแม่นางมั่วมักไว้ผมข้างหน้าหนาๆ ทำให้คนมองหน้าตาไม่ชัด
หากนางเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริงต่อหน้าผู้คน นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั่วไปจิตใจยังฝึกฝนไม่พอ เห็นแล้วไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดหายนะมากน้องเพียงใด
เกรงว่าแม่นางมั่วอย่างน้อยต้องถึงระดับก่อแก่นปราณ ถึงสามารถไม่สนใจสายตาของผู้อื่นได้กระมัง
นักบำเพ็ญเพียรระดับตั้งแต่ก่อแก่นปราณขึ้นไป จิตใจมั่นคง ยากมากที่จะหวั่นไหวเพราะรูปลักษณ์ภายนอกอีก ส่วนนักบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ระดับก่อแก่นปราณลงมา ย่อมไม่กล้าตอแยนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่แข็งแกร่ง
นึกถึงตรงนี้ คุณชายหกยิ่งสงสารและนับถือมั่วชิงเฉินขึ้นอีก หญิงสาวคนใดไม่อยากเปิดเผยด้านที่สวยงามที่สุดต่อหน้าผู้คนล่ะ? ส่วนนางกลับสามารถยับยั้งชั่งใจนิสัยตามธรรมชาติได้ ตั้งใจฝักใฝ่เต๋า
หากมั่วชิงเฉินรู้ความคิดของคุณชายหก เกรงว่าจะพูดไม่ออกบอกไม่ถูก นางไม่เคยรู้สึกว่าที่ตนเองเป็นเช่นนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม เหตุการณ์ที่ต้วนชิงเกอถูกนักบำเพ็ญเพียรชายนับไม่ถ้วนไล่ตามต้องกลัดกลุ้มอย่างยิ่งในปีนั้นทำให้นางยังกลัวไม่หาย รู้สึกโชคดีมาตลอดว่าตนมีสายตาที่มองเหตุการณ์ล่วงหน้าออก
เจ็ดวันให้หลัง ยามที่มั่วชิงเฉินเดินเล่นอยู่ข้างทะเลสาบ คุณชายหกได้ส่งมุกจื่อหวาสงบจิตคู่หนึ่งที่สลักคาถาเร้นลับแล้วมาให้ แววตามองไปยังซีสุ่ยเสี่ยวจู้อย่างไม่รู้ตัว
มั่วชิงเฉินแอบถอนใจเสียงหนึ่ง ดูท่าทางคุณชายหกต้องมีใจให้พี่สิบสี่อย่างลึกซึ้ง
“คุณชายหก ไม่สู้ไปนั่งที่ซีสุ่ยเสี่ยวจู้สักครู่?” มั่วชิงเฉินถาม
นัยน์ตาคุณชายหกฉายแววมืดมนแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างระทมว่า “ไม่แล้ว ข้ายังมีธุระ” พูดจบก็ร่ำลาจากไป
มั่วชิงเฉินมองดูเงาหลังที่จากไปไกลของเขา มักรู้สึกว่าออกจะทุลักทุเลอยู่บ้าง
หลังอาหาร มั่วชิงเฉินและมั่วหนิงโหรวเอนอยู่บนต่างคุยสัพเพเหระกันตามอำเภอใจ
“วันนี้คุณชายหกมาแน่ะ” จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็เอ่ยขึ้น
มั่วหนิงโหรวชะงักงัน จากนั้นสีหน้ากลับคืนสู่ความสงบ
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ในที่สุดก็ทนไมไหวว่า “พี่สิบสี่ เจ้าคิดเช่นไรต่อคุณชายหก?”
มั่วหนิงโหรวเบิกตากว้าง “คุณชายหกเป็นคนดีมากนะ เป็นอันใดหรือ น้องสิบหกเจ้า?”
สวรรค์ ดูความหมายของนางเช่นนี้ช่างไม่รู้ถึงความรู้สึกที่คุณชายหกมีต่อนางเสียเลย!
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ เบนหัวข้อว่า “พี่สิบสี่ บัดนี้สุขภาพของเจ้าแม้ยังรีบบำเพ็ญเพียรไม่ได้ กลับบำรุงรักษาจนดีขึ้นแล้ว ดังนั้นชิงเฉินกะว่าอีกไม่กี่วันก็จะไปจากทะเลขนาบใจ”
มั่วหนิงโหรวหน้าซีด “เร็วปานนี้เชียว? น้องสิบหก เจ้าจะไปไหน?”
มั่วชิงเฉินกุมมือนางไว้ว่า “ข้าจากสำนักมาห้าปีกว่าแล้ว ในใจคิดถึงยิ่งนัก อยากกลับไปดูในเร็ววัน พี่สิบสี่ ชิงเฉินขอถามเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าไม่ยอมไปกับข้าจริงหรือ?”
มั่วหนิงโหรวส่ายศีรษะ “น้องสิบหก ข้าเคยบอกไว้นานแล้ว ข้าไปไม่ได้”
มั่วชิงเฉินโกรธแล้ว “เหตุใดไม่ได้ หวังสี่มีอะไรดี ต่อให้เป็นเยี่ยนเยี่ยน ข้ามองดูอย่างคนภายนอกก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะเห็นความสำคัญสักเพียงไหน”
นางรู้ว่าตนพูดเช่นนี้หนักไปสักหน่อยแล้ว ทว่าดูท่าทางเอื่อยเฉื่อยของมั่วหนิงโหรวเช่นนี้แล้ว ทนไม่ไหวจริงๆ
มั่วหนิงโหรวกัดริมฝีปากมองหน้าแฝงไว้ด้วยความโกรธของมั่วชิงเฉิน แล้วหลุบหน้าลงช้าๆ เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่อาจไม่รักษาคำพูดต่อเขาได้”
“หมายความว่าเช่นไร?”
มั่วหนิงโหรวนิ่งเงียบชั่วครู่ ในที่สุดก็เอ่ยเนิบๆ ว่า “ปีนั้นข้ารับปากเป็นอนุของเขา เขาจึงสาบานว่าหากมีวันหนึ่งกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็…ก็จะช่วยข้าแก้แค้น”
มั่วหนิงโหรวพูดถึงตรงนี้แล้วหลับตาลง เหตุการณ์ในปีนั้นค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา
“ถึงข้าตายก็ไม่เป็นอนุ!” สาวน้อยชุดชมพูถลึงตาใส่ผู้ชายหล่อเหลาตรงหน้า ใบหน้าฉายแววมุ่งมั่นแวบหนึ่ง
ผู้ชายยิ้มว่า “หากเจ้ารับปาก ข้าก็จะทำความหวังของเจ้าให้เป็นจริงข้อหนึ่ง”
สาวน้อยพิจารณาผู้ชายอย่างลังเล ในที่สุดก็ทนความเย้ายวนไม่ไหวบอกความหวังที่อยู่ลึกเข้าไปในใจออกมา
ผู้ชายชะงัก จากนั้นว่า “หากข้าเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อแก่นปราณ ก็จะไปช่วยเจ้าแก้แค้น เพียงแต่เจ้าก็ต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง หลังจากเป็นอนุของข้าแล้ว เจ้าไม่อาจหย่อนการบำเพ็ญเพียรได้ ต้องพยายามเพิ่มตบะให้สูงขึ้นอย่างสุดความสามารถ”
“ข้ารับปาก” สาวน้อยไม่รู้สึกว่านี่นับว่าเป็นเงื่อนไข
ผู้ชายมองสาวน้อยที่โฉมดั่งบุปผาที่อ่อนเยาว์ หัวเราะเสียงกังวาน แล้วอุ้มสาวน้อยโยนลงบนเตียงใหญ่อันสวยงาม…
ตอนที่ 188 ฤกษ์งามยามดีคู่ทิวทัศน์งดงาม
มั่วชิงเฉินกุมหน้าผาก หวังสี่ที่สมควรตาย หวังสี่ที่ไม่ได้ตายดี มิน่าพี่สิบสี่ถึงเชื่อเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ที่แท้ก็ถูกคำพูดหวานหอมเสนาะหูหลอกลวงแล้ว เอาเป็นว่านางไม่มีทางเชื่อว่าผู้ชายที่ไม่เลือกวิถีทางเพื่อหนทางแห่งอายุยืนยาว จนสามารถทำลายขีดจำกัดทุกอย่างจะทำเพื่ออนุคนหนึ่งในจำนวนอนุมากมายไปแลกชีวิตกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้
ทว่าดูท่าทางจิตใจตุ้มๆ ต่อบๆ ของมั่วหนิงโหรว มั่วชิงเฉินกลืนคำพูดที่เอ่อขึ้นมาถึงริมฝีปากลงไป
ยามนี้บอกนางว่าคำสัญญาของผู้ชายคนนั้นไม่อาจเชื่อได้ เช่นนั้นไม่เท่ากับบอกว่าการเสียสละและอดทนของนางในหลายปีมานี้กลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งหรอกหรือ เช่นนั้นความยึดมั่นที่ค้ำชูนางตลอดมานี้จะพังทลายลงทันทีหรือไม่?
“น้องสิบหก เจ้าว่า เขา…เขาจะรักษาสัญญาหรือไม่?” มั่วหนิงโหรวถามอย่างลังเล
มั่วชิงเฉินถอนใจ “ข้าไม่รู้ ใจคนเปลี่ยนง่ายยากคาดเดาที่สุด ดังนั้นหากเป็นความหวังที่ชิงเฉินอยากให้เป็นจริง ก็จะพึ่งแต่ตนเองเท่านั้น”
มั่วหนิงโหรวสีหน้าซีดแล้วซีดอีก หลุบม่านตาลงถูนิ้วมือที่แห้งเ**่ยว พึมพำว่า “หลายปีมานี้ มีบางเวลาหนิงโหรวก็คิดอยู่ ว่าเขาหลอกข้าอยู่หรือไม่ เมื่อถึงระดับก่อแก่นปราณไม่มีทางแก้แค้นแทนข้าโดยสิ้นเชิง ทว่าทุกครั้งที่ปรากฏความคิดเช่นนี้ข้าก็จะพยายามสุดชีวิตกดลงไป น้องสิบหก เจ้าว่าข้าโง่มากใช่หรือไม่?”
มั่วชิงเฉินมองมั่วหนิงโหรวด้วยความสงสาร ไม่ได้พูดอะไร
มั่วหนิงโหรวพูดเองเออเองต่อว่า “ที่จริงถึงบัดนี้หนิงโหรวก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจภายหลังแล้ว มาถึงตระกูลหวัง ต่อให้ไม่กลายเป็นอนุของคุณชายสี่ ก็ต้องกลายเป็นของคนอื่น ชีวิตนี้ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หลายปีมานี้คุณชายสี่ก็ไม่นับว่าปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับข้า อีกทั้งยังมีลูกที่น่ารักเช่นเยี่ยนเยี่ยน ดังนั้นหนิงโหรวเต็มใจเชื่อคำพูดของคุณชายสี่ ถึงวันที่หลับตาลงวันนั้น อย่างน้อยก็มีสิ่งให้ยึดถือบ้าง”
เห็นมั่วชิงเฉินไม่พูดมั่วหนิงโหรวยิ้มอย่างขมขื่นว่า “น้องสิบหก เจ้ารังเกียจข้าไม่เอาไหนใช่หรือไม่? ตั้งแต่เด็กเจ้าก็เก่งกว่าข้า ก็เหมือนที่เจ้าพูด ของที่เจ้าอยากได้ก็จะพยายามเอามาด้วยตนเอง ส่วนหนิงโหรว กลับมักรอให้คนอื่นหยิบยื่นมาให้…”
มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “พี่สิบสี่ นิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน การกระทำก็ย่อมต่างกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องดูถูกตนเองจนเกินไป ทว่ามีข้อหนึ่งเจ้าต้องทำให้ได้ นั่นก็คือมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี ถึงวันที่เห็นตระกูลมั่วเราได้แก้แค้นอันใหญ่หลวงกับตา”
“ข้า…”
มั่วชิงเฉินโบกมือ ก็ปรากฏขวดหยกกล่องหยกใหญ่ๆ เล็กๆ ขึ้นบนต่าง จากนั้นชี้กล่องหยกสองใบขนาดเท่ากล่องเครื่องประดับว่า “ข้างในใบสีชมพูใส่ฝูหลิงเหลืองไว้ ข้างในใบสีมรกตใส่เม็ดบัวหิมะไว้ พี่สิบสี่ ทุกวันเจ้าต้องกินน้ำแกงฝูหลิงเม็ดบัวหนึ่งชาม รอสมุนไพรทิพย์สองกล่องนี้ใช้หมด ก็สามารถบำเพ็ญเพียรตามปกติได้แล้ว ในขวดหยกสีเขียวพวกนี้คือยาลูกกลอนรวมวิญญาณ ในขวดหยกสีขาวคือโอสถหน่อเหลือง โอสถพวกนี้พอให้เจ้าบำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์แล้ว”
พูดถึงตรงนี้ยังไม่รอมั่วหนิงโหรวพูด ก็หยิบขวดหยกสีมรกตใบหนึ่งออกมายื่นไป พูดเบาๆ ว่า “ในนี้คือโอสถสร้างรากฐานสามเม็ด”
“หา!” มั่วหนิงโหรวอยู่ในความตะลึงตลอดเวลา ได้ยินโอสถสร้างรากฐาน ในที่สุดก็ตกใจร้องเสียงหลง
“รอกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ก็จะมีอายุขัยสามร้อยปี พี่สิบสี่ เจ้าสามารถทำได้ใช่หรือไม่?” มั่วชิงเฉินกุมมือของมั่วหนิงโหรวไว้
มั่วหนิงโหรวจ้องมือที่ขาวดั่งหยกของมั่วชิงเฉิน น้ำตาหยดลงไปหนึ่งหยด กลับเงยหน้าขึ้นว่า “น้องสิบหกเจ้าทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้ หากหนิงโหรวไม่เอาถ่านอีก ต่อให้ตายไปก็ไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อท่านแม่แล้ว”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “ดังนั้นเจ้าจะตายไม่ได้ ใช่แล้ว โอสถพวกนี้เป็นส่วนของเยี่ยนเยี่ยน พี่สิบสี่ฝากมอบให้แทนชิงเฉินด้วย”
รอถึงยามอาหารเย็น มั่วชิงเฉินหยิบมุกกันน้ำเม็ดหนึ่งและอาวุธเวทปิ่นหยกที่ได้มาตั้งแต่หลายปีก่อนมอบให้เยี่ยนเยี่ยนอีกถือเป็นการชดเชยของขวัญพบหน้า
ไข่มุกแสนสวยและปิ่นหยก แม่นางน้อยดีใจจนกระโดดโลดเต้น ล้อมหน้าล้อมหลังมั่วชิงเฉินพูดไม่หยุด
อยู่อีกสองวัน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็พูดถึงการจากลา
“พี่สิบสี่ เจ้าไม่ต้องส่งแล้ว ชิงเฉินไปบอกกล่าวหัวหน้าตระกูลหวังเสียงหนึ่งก็จะจากไปโดยตรงแล้ว” มั่วชิงเฉินมองท่าทางมั่วหนิงโหรวที่ร้องไห้จนดวงตาพร่าเลือน จึงเกลี้ยกล่อมเสียงเบา จากนั้นเสียงต่ำลงมาว่า “พวกเราพี่น้อง ต้องมีวันที่ได้พบกันแน่นอน”
มั่วหนิงโหรวพยักหน้าเบาๆ จับมือของเยี่ยนเยี่ยนไว้แน่น
มั่วชิงเฉินยื่นมือลืบศีรษะเยี่ยนเยี่ยน “เยี่ยนเยี่ยน ท่านแม่เจ้าสุขภาพไม่ดี เจ้าต้องดูแลนางดีๆ แทนน้าสิบหกนะ”
เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าแรงๆ เอ่ยเสียงหวานว่า “ท่านน้าสิบหกวางใจเจ้าค่ะ เยี่ยนเยี่ยนจะดูแลท่านแม่ให้ดี แล้วก็จะตั้งใจบำเพ็ญเพียรปกป้องท่านแม่ ท่านน้าสิบหก ท่านอย่าลืมเยี่ยนเยี่ยนนะ ยังต้องกลับมาเยี่ยมเยี่ยนเยี่ยนอีกนะเจ้าคะ”
มั่วชิงเฉินหยิกใบหน้าของเยี่ยนเยี่ยนอย่างเอ็นดู “แน่นอน หากเยี่ยนเยี่ยนเติบใหญ่แล้วเก่งแล้ว ก็ไปเยี่ยมน้าสิบหกได้เช่นกันนะ”
“อืม!” เยี่ยนเยี่ยนดวงหน้าน้อยๆ เป็นประกาย
มั่วชิงเฉินกวาดสายตาผ่านสาวใช้ฝาแฝดที่สีหน้าบอกไม่ถูก เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ไห่อิง ไห่เอี้ยน นี่ข้าก็จะไปแล้ว วันเวลาเหล่านี้ขอบคุณที่พวกเจ้าดูแลข้าอย่างเอาใจใส่ ทำให้ข้าไม่ต้องกังวลเรื่องตั้งมากมาย ยาลูกกลอนรวมวิญญาณสองขวดนี้พวกเจ้ารับไว้ นับว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ฮูหยินสี่จิตใจเมตตาคิดว่าพวกเจ้าก็เห็นแล้ว หากเต็มใจ ก็อยู่ที่ซีสุ่ยเสี่ยวจู้คอยปรนนิบัตินางเถอะ”
พูดจบ มั่วชิงเฉินยกตัวกระโดดขึ้นเรือเล็ก
พี่น้องฝาแฝดถือโอสถทิพย์แล้วมองตากันอย่างงงๆ ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้ามั่วชิงเฉิน เอ่ยพร้อมกันว่า “แม่นางมั่ว ได้โปรดรับพวกเราไว้ด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินงงงันเล็กน้อย
พี่น้องฝาแฝดเห็นมั่วชิงเฉินไม่พูด ร้อนใจขึ้นมาทันที ศีรษะติดพื้น โขกดังปึงๆ ว่า “แม่นางมั่ว พวกเรารู้ว่าท่านไม่ชอบให้คนปรนนิบัติ พวกเราสองคนพี่น้องสามารถเก็บกวาดที่พำนักให้ท่านได้ ดูแลเรื่องจิปาถะ ดูแลสวนสมุนไพร หรือว่ากวาดพื้นก็ได้ ขอเพียงท่านรับพวกเราไว้ ให้พวกเราทำอะไรก็ได้เจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสองพี่น้องคู่นี้หลายวันมานี้ไม่ออกเสียงสักแอะ ในใจกลับตัดสินใจเช่นนี้แล้ว จึงอดถามไม่ได้ว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจากไปดินแดนเทียนหยวนครั้งนี้ ชั่วชีวิตนี้อาจไม่ได้กลับมาทะเลขนาบใจอีกแล้วก็ได้?
ไห่อิงโขกศีรษะทีหนึ่งพูดว่า “แม่นางมั่ว พวกเราพี่น้องถูกตระกูลหวังซื้อไว้ตั้งแต่เยาว์วัยกลายเป็นสาวใช้สำรองของหอว่างไห่ หากไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้าหอว่างไห่ก็ได้พบแม่นาง ช้าเร็วต้องเหมือนพวกพี่สาวก่อนหน้าถูกมอบให้แขกของหอว่างไห่เหมือนสิ่งของ ต่อให้ไม่เข้าหอว่างไห่อีก คุณชายสิบเจ็ดวันหลังก็ไม่ละเว้นพวกเรา แม่นางมั่ว ได้โปรดรับพวกเราไว้เถอะ ไม่ว่าท่านไปไหน พวกเราล้วนเต็มใจติดตามเจ้าค่ะ”
ไห่เอี้ยนที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดสักแอะ เพียงแต่ยิ่งออกแรงโขกศีรษะ
มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ทำให้ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนอย่าไม่ทันตั้งตัว ถึงว่า “ทะเลขนาบใจห่างจากดินแดนเทียนหยวนนับหมื่นลี้ ระหว่างทางไม่รู้ต้องพบเจออันตรายเท่าไร ข้าเป็นเพียงนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน เกรงว่ายากจะปกป้องพวกเจ้าพี่น้องได้ถี่ถ้วน”
ไห่เอี้ยนที่นิ่งเงียบมาตลอดจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ขอเพียงแม่นางมั่วยอมให้ทางรอดอันริบหรี่แก่พวกบ่าว วันหลังจะเป็นจะตายล้วนเป็นบุญกรรมของพวกเรา จะไม่โทษเทวดาฟ้าดินแน่นอน ขอเพียงไปจากตระกูลหวังได้ อย่างไรเสียก็สะอาด…”
มั่วชิงเฉินครุ่นคิดเนิ่นนาน ในที่สุดถอนใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ตามข้าไปเถอะ”
พี่น้องสองคนประสานสายตากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติ เอ่ยพร้อมกันว่า “ขอคุณหนูโปรดประทานชื่อ!”
เสียงหวานกังวาน ในที่สุดก็กลับมามีลักษณะของเด็กสาวที่ควรมีแล้ว
มั่วชิงเฉินนึกถึงเหตุการณ์ที่ปีนั้นท่านปู่หัวหน้าตระกูลประทานชื่อให้นาง ชื่อใหม่ชื่อหนึ่ง ก็หมายถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่กระมัง
“ใครๆ ก็ว่าฤกษ์งามยามดี ทิวทัศน์งดงาม จิตใจเบิกบาน ความอภิรมย์ ทั้งสี่ยากจะครบได้ ข้าไม่ละโมบ ก็ขอรับสองสิ่งก่อนแล้วกัน ไห่อิงชื่อว่าเหลียงเฉิน[1] ไห่เอี้ยนชื่อว่าเหม่ยจิ่ง[2] พวกเราไปเถอะ” มั่วชิงเฉินโบกมือให้มั่วหนิงโหรวแม่ลูก พาสาวใช้สองคนนั่งเรือจากไป
มั่วชิงเฉินร่ำลาหัวหน้าตระกูลหวัง ส่งยันต์ส่งสารให้คุณชายหกใบหนึ่ง รออยู่ครึ่งชั่วยามไม่เห็นเงาของเขา จึงบังคับเรือเล็กบินออกจากเกาะใจศักดิ์สิทธิ์
ตามองเกาะใจศักดิ์สิทธิ์เล็กลงเรื่อยๆ จนค่อยๆ กลายเป็นจุดดำเล็กๆ จุดหนึ่งอย่างช้าๆ มั่วชิงเฉินถอนใจ อยู่ที่นี่มานานปานนี้ ในที่สุดบัดนี้ก็จากไปได้แล้ว ทว่าสถานที่แห่งนี้วันหลังก็คงจะกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่นางคำนึงถึงกระมัง
“แม่นางมั่ว แม่นางมั่ว…” เสียงเรียกอันร้อนรนของคุณชายหกดังมาจากด้านหลัง
มั่วชิงเฉินหยุดเรือเล็กไว้บนฟ้า ไม่นานนักก็เห็นคุณชายหกบังคับเรือบินรุดมา
“แม่…แม่นางมั่ว เหตุใดไม่รอข้ากล่าวลา ก็จากมาทั้งเช่นนี้แล้ว?” คุณชายหกเหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ เห็นชัดว่าสูญเสียพลังวิญญาณไปไม่น้อย
มั่วชิงเฉินยิ้มหวาน “พบกันจากลาฟ้ากำหนด วาสนาดั่งลม คุณชายหก เราพบกันคราวหน้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ ใยจำต้องกล่าวลาด้วยล่ะ?”
คุณชายหกหน้าบึ้ง “ได้ๆ พวกเจ้าล้วนอิสระผึ่งผายกว่าข้า ข้ามันก็คนยึดติดตนหนึ่ง พอใจหรือยัง? เช่นนั้นดีเลย ของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ก็ไม่จำเป็นต้องให้แล้ว ไหนๆ พวกนี้ก็ล้วนเป็นก้อนเมฆใช่ไหมล่ะ”
มั่วชิงเฉินสนุกขึ้นมาแล้ว ถึงยามนี้นางถึงพบว่าคุณชายหกก็เป็นคนตลก รีบเอ่ยว่า “คุณชายหก ไม่รู้ว่าก้อนเมฆที่เจ้าเตรียมไว้คืออันใด ให้ข้าคนยึดติดคนนี้ดูสักหน่อยสิ
คุณชายหกถึงพอใจ ยื่นกระดาษหนังวัวม้วนหนึ่งให้ว่า “ไม่ใช่ของมีราคาอะไร เพียงแต่รู้สึกว่ามอบให้แม่นางมั่วเหมาะสมที่สุดแล้ว”
มั่วชิงเฉินยื่นมือรับมาใช้จิตตระหนักกวาดดู แล้วอดดีใจไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าในนี้บันทึกวิธีหมักสุราทิพย์ไว้สิบกว่าชนิด เป็นของขวัญที่ถูกใจมากจริงๆ เพียงแต่ คุณชายหกรู้ได้อย่างไรว่าตนชอบดื่มสุราหมักสุราล่ะ?
เห็นสายตาประหลาดใจของมั่วชิงเฉิน คุณชายหกยิ้มว่า “ได้ยินโหรวเอ๋อร์พูดโดยบังเอิญว่านางมีน้องสาวคนหนึ่งชอบดื่มสุราตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์ในด้านหมักสุราเป็นพิเศษ ข้าเห็นแม่นางมั่วคอแข็งไม่อาจประมาณได้ คิดว่าน้องสาวที่โหรวเอ๋อร์พูดคนนั้นต้องเป็นเจ้าแน่แล้ว”
ความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในใจมั่วชิงเฉิน มองรอยยิ้มจริงใจที่เผยออกมาในตาคุณชายหก ทันใดนั้นจึงว่า “คุณชายหก มีเรื่องบางเรื่องเจ้าไม่พูดคนอื่นก็ไม่อาจรู้ได้ โชคดีหรือโชคร้าย บางทีอยู่แค่ชั่วความคิดของเจ้า”
เพิ่งสิ้นเสียง เรือเล็กก็จากไปไกลดั่งดาวตก ทำให้เกิดลำแสงสีเขียวสายหนึ่ง
คุณชายหกที่หยุดอยู่ที่เดิมเหลอหลาชั่วครู่ จู่ๆ มุมปากก็กระดกขึ้น แล้วบังคับเรือบินเหินไปทางตระกูล
เพราะว่ามีสาวใช้เพิ่มขึ้นมาสองคน พวกนางที่อยู่ระดับหลอมลมปราณขั้นสี่นั่งอาวุธเวทเหินหาวยังจำเป็นต้องมีพลังวิญญาณคุ้มกาย การเดินทางจึงช้ากว่าที่คาดคะเนไว้มากนัก
ดีที่มั่วชิงเฉินอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว การจู่โจมมีก้อนอิฐและเถาวัลย์ และเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ที่อานุภาพเพิ่มมากขึ้นทุกวัน การป้องกันมีไหมเกล็ดน้ำแข็ง บวกกับอีกาไฟชั้นสองเป็นผู้ช่วย อสูรปีศาจที่พบเจอตลอดทางที่เดินทางมาล้วนกลายเป็นหินวิญญาณที่ส่งมาถึงหน้าบ้าน
น่านน้ำพิเศษบริเวณนั้นไม่สามารถใช้อาวุธเวทเหินหาวได้ เพราะว่ามีถุงหอมพิเศษอยู่ในมือ อสูรปีศาจในน่านน้ำจ้องตาเป็นมันกลับไม่กล้าเข้าใกล้ มั่วชิงเฉินจึงข้ามทะเลได้อย่างง่ายดาย
ผ่านตรงนั้นไป นางเหินหาวอย่างเต็มกำลังอีกครึ่งเดือนกว่า ก็ถึงน่านน้ำน้ำตื้นแล้ว เห็นคนธรรมดาไม่น้อยนั่งเรือจับปลา และก็มีนักบำเพ็ญเพียรจับอสูรปีศาจชั้นต่ำด้วยเช่นกัน
มั่วชิงเฉินไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย บินตรงไปยังเทือกเขาฟางจู
ในวันนี้ หน้าประตูพรรคเหยากวงมีเรือเล็กลำหนึ่งร่อนลงอย่างเนิบๆ หญิงสาวสามนางเดินลงมาจากด้านบน
——
[1] เหลียงเฉิน หมายถึง ฤกษ์งามยามดี
[2] เหม่ยจิ่ง หมายถึง ทิวทัศน์งดงาม
ตอนที่ 189 เรื่องแปลกประหลาดในสำนัก
มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองประตูสำนักที่คุ้นเคยปราดหนึ่ง ในใจรำพึงรำพัน จากสำนักห้าปี ในที่สุดก็กลับมาแล้ว
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งตามอยู่หลังมั่วชิงเฉินติดๆ ตามองไปทั่วช่างมองไม่ทันเอาเสียเลย
มั่วชิงเฉินล้วงป้ายประจำตัวสีควันเขียวออกมา เสกคาถาส่งสารให้ศิษย์เฝ้าประตู เพียงชั่วครู่ประตูสำนักก็เปิดออก จึงพาสาวใช้สองคนก้าวเข้าไป
ทางเดินหินเขียวที่กว้างขวางโอ่อ่าตรงไปยังโถงประชุมเขาโฮ่วเต๋อ นักบำเพ็ญเพียรร่อนลงจากฟ้าเป็นระยะ แสงวิญญาณสีต่างๆ เป็นประกายแวววับ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ครึกครื้นที่สุดของพรรคเหยากวงเสมอมา
มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองดูสิ่งเหล่านี้ รู้สึกเพียงว่าคุ้นเคยอย่างไม่มีเหตุผล ใจดวงหนึ่งบินไปเขาชิงมู่ตั้งนานแล้ว กลับยังต้องมารายงานตัวที่โถงประชุมก่อน
เดิมทีนางคิดจะส่งยันต์ส่งสารให้อาจารย์ใบหนึ่ง กลับไม่รู้จะเขียนอะไรดี ตรองไปตรองมาสุดท้ายก็ไม่ได้ส่ง มีคำพูดอะไรเก็บไว้พบหน้าค่อยพูดแล้วกัน
พวกมั่วชิงเฉินสามคนต่างเป็นหญิงสาว อีกทั้งไม่ได้ใส่ชุดของพรรคเหยากวง เดินอยู่บนถนนย่อมเป็นที่ดึงดูดสายตานัก
โดยเฉพาะเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง เสื้อผ้าเหมือนกันหน้าตาการกระทำเหมือนกัน ดึงให้สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนตัวพวกนาง
“ศิษย์พี่ เจ้าดูเร็ว เป็นแม่นางที่เหมือนกันเปี๊ยบเลยนะ” นักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งสายตาไล่หลังเหลียงเฉินเหม่ยจิ่ง ใช้มือกระตุกแขนของนักบำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างๆ
นักบำเพ็ญเพียรคนนั้นส่งสายตามา รู้สึกหายากมากเช่นกัน ทว่าต่อจากนั้นสายตาตกไปที่มั่วชิงเฉินที่อยู่เดินอยู่ข้างหน้า หน้าถอดสีทันทีแล้วรีบหันหน้าไป
“ศิษย์พี่ เจ้าเป็นอะไรไป?” นักบำเพ็ญเพียรก่อนหน้าถามอย่างสงสัย ศิษย์พี่ที่ปกติดื่มสุราด้วยกัน มีสาวงามก็แอบดูด้วยกัน เขาไม่เชื่อหรอกนะว่านิสัยจะเปลี่ยนไปในทันที
นักบำเพ็ญเพียรคนนั้นรีบถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตว่า “เจ้าหลงจนมึนศีรษะหรือ ไม่เห็นคนที่เดินอยู่ข้างหน้าคืออาจารย์อาระดับสร้างรากฐานหรือไร? ใครไม่รู้ว่ายามนี้ในพรรคเหยากวงที่ตอแยด้วยยากที่สุดก็คือนักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานพวกนั้นแล้ว”
ดูเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ นักบำเพ็ญเพียรก่อนหน้าสีหน้าซีดเซียวทันที ตอบว่า “ศิษย์พี่ตักเตือนได้ถูกต้องยิ่งนัก ศิษย์น้องประมาทชั่วครู่เกือบลืมเสียแล้ว”
สีหน้าของเหม่ยจิ่งซีดเซียวเล็กน้อย ตั้งแต่ผ่านฝันร้ายฉากนั้น นางก็รู้สึกต่อต้านรังเกียจผู้ชายอย่างบอกไม่ถูก
เหลียงเฉินแอบกุมมือของเหม่ยจิ่งไว้ เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว มีคุณหนูอยู่นะ”
มั่วชิงเฉินคุ้นเคยกับสายตาเช่นนี้นานแล้ว ลมเกิดใต้เท้ายิ่งเดินยิ่งเร็ว ไม่นานก็มาถึงนอกโถงประชุม
“พวกเจ้าสองคนรออยู่ที่นี่ก่อน ไม่นานข้าก็ออกมา” มั่วชิงเฉินกำชับเสร็จก็ก้าวเข้าโถงประชุม
การตกแต่งของโถงประชุมไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นักบำเพ็ญเพียรที่เข้าเวรได้ยินความเคลื่อนไหวเงยหน้าขึ้นมา หน้าทารกที่ไร้ความรู้สึกชะงักงันทันที
“ศิษย์พี่หวัง” มั่วชิงเฉินออกเสียงทักทาย
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังยังคงไม่ออกเสียง เพ่งพิศมั่วเชิงเฉินอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนกระทั่งมั่วชิงเฉินถูกดูจนกลัว ถึงออกเสียงว่า “เจ้ายังไม่ตาย?!” พูดจบไม่คิดเลยว่ายังกวาดสายตามองบนพื้นอีก
มั่วชิงเฉินกดเขาที่เหมือนมองหาเงาบนพื้นไว้ มุมปากอดกระตุกอย่างแรงทีหนึ่งไม่ได้ “พึ่งบุญบารมีของศิษย์พี่ น้องยังมีชีวิตอยู่ วันนี้เพิ่งกลับสำนัก จึงมารายงานตัวที่โถงประชุมโดยเฉพาะ” พูดพลางยื่นป้ายประจำตัวไป
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังสีหน้าฟื้นคืนปกติแล้ว รับป้ายประจำตัวแล้วกวาดมั่วชิงเฉินอีกปราดหนึ่ง แล้วสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนอีกครั้ง ตกใจร้องว่า “เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว?”
เมื่อครู่เขาพบว่าคนที่มาไม่คิดเลยว่าจะเป็นนางหนูที่หายสาบสูญที่พูดกันว่าดับสูญไปนานแล้ว ตกตะลึงจะลืมสิ่งอื่น จนกระทั่งยามนี้ถึงสังเกตถึงตบะของนาง
มั่วชิงเฉินอมยิ้มพยักหน้า “พึ่งบุญบารมีของศิษย์พี่ ยามที่น้องฝึกตนอยู่ข้างนอกโชคดีเลื่อนขั้นแล้ว”
นักบำเพ็ญเพียรกัดฟัน อะไรเรียกว่าพึ่งบุญบารมีของข้า ถ้าข้ามีบุญบารมีนั่นก็เลื่อนขั้นเองไปนานแล้ว
พลางบ่นพึมพำพลางบันทึกข้อมูลของมั่วชิงเฉินลงป้ายประจำตัว อายุยี่สิบสองสร้างรากฐาน อายุสามสิบสี่สร้างรากฐานระยะกลาง ตัวอักษรพวกนี้ช่างบาดตาเหลือเกิน
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังคิดอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ผ่านไปอีกสองปีตนควรเปลี่ยนมาเรียกนางศิษย์พี่หรือไม่นะ เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เช่นนั้น ในใจก็อึดอัดทันที มองท่าทางที่มั่วชิงเฉินยืนอมยิ้มอย่างไม่แยแสอีกที ก็รู้สึกขวางหูขวางตาขึ้นมาเล็กน้อย
เห็นนักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังบันทึกข้อมูลใหม่ลงไปแล้วกลับจับป้ายประจำตัวของตนไว้ไม่ปล่อย มั่วชิงเฉินจึงลองเรียกศิษย์พี่หวังเสียงหนึ่ง
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังได้สติกลับมา จึงโยนป้ายประจำตัวของมั่วชิงเฉินข้ามไป
มั่วชิงเฉินไม่ใส่ใจ ยังคงยิ้มว่า “ขอบคุณศิษย์พี่หวัง น้องขอตัวก่อนแล้ว”
มองดูแผ่นหลังของมั่วชิงเฉินที่จากไปอย่างรวดเร็ว จู่ๆ นักบำเพ็ญเพียรหวังก็ออกเสียงว่า “ช้าก่อน”
มั่วชิงเฉินหันกลับมา เห็นนักบำเพ็ญเพียรหวังใช้แววตาประหลาดมองนางอยู่ จึงอดถามไม่ได้ว่า “ไม่ทราบศิษย์พี่หวังมีอะไรชี้แนะ?”
“นี่เจ้าจะกลับเขาชิงมู่?” นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังถาม
มั่วชิงเฉินพยักหน้า “น้องย่อมต้องกลับไปคารวะอาจารย์”
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังหงายตัวไปข้างหลัง เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าไปจะดีกว่า”
มั่วชิงเฉินรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที “ศิษย์พี่หวังหมายความว่าเช่นไร?”
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังยกตามองมั่วชิงเฉิน ถึงเอ่ยว่า “เจ้าไปแล้วก็ไม่ได้เจอนักพรตเหอกวงอยู่ดี”
“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินถามเสียงร้อนรน แม้แต่ตนก็ไม่สังเกตว่าหน้าถอดสีจนน่ากลัว
เห็นในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ไม่ใช่สีหน้าสงบไม่แยแสเช่นนั้นอีกแล้ว นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังรู้สึกทันทีว่าสบายใจขึ้นมาสักหน่อย แล้วพูดสิ่งที่น่าตกใจออกมา “ข้าจำได้ว่าเจ้าและศิษย์น้องมั่ว ศิษย์น้องต้วนแห่งเขารั่วสุ่ยสองคนสนิทสนมกันสินะ ใช่แล้ว ยังมีศิษย์พี่เยี่ย”
มั่วชิงเฉินสงบจิตใจทีหนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธ แม้นางไม่รู้ว่าตนไปสนิทสนมกับศิษย์พี่เยี่ยผู้นั้นตั้งแต่เมื่อไร ทว่ายามนี้มีกะจิตกะใจไปโต้แย้งเรื่องพวกนี้ที่ไหน
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังยิ้ม “เจ้าก็ไม่ต้องติดต่อพวกเขาแล้วเช่นกัน พวกเขาล้วนไม่อยู่ที่เขา”
“ขอบังอาจถามศิษย์พี่หวัง อาจารย์ข้าและศิษย์พี่ทั้งสองอยู่ที่ใด?” มั่วชิงเฉินพยายามถามอย่างใจเย็นเท่าที่ทำได้
นักบำเพ็ญเพียรแซ่หวังกระดกมุมปากว่า “พวกเขายามนี้ล้วนอยู่โถงลงทัณฑ์!”
“อะไรนะ?” มั่วชิงเฉินถามเสียงหลง
โถงลงทัณฑ์ของพรรคเหยากวง เป็นสถานที่ที่มีไว้ลงโทษนักบำเพ็ญเพียรที่ประพฤติผิดโดยเฉพาะ ตั้งอยู่บนเขาที่อยู่ลึกที่สุดลูกหนึ่งของเขาโฮ่วเต๋อ
พรรคเหยากวงแต่ไหนแต่ไรมาสนับสนุนอิสระตามสบาย ไม่ผูกมัดศิษย์สักเท่าไร ปกติไปรับการลงโทษที่โถงลงทัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ระดับหลอมลมปราณ ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานก็มีไม่มาก
พวกมั่วหลีลั่วล้วนเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ยิ่งเป็นบุตรที่ได้รับการโปรดปรานจากสวรรค์ในรุ่นนี้ของพรรคเหยากวง ตกลงทำผิดอันใดกันแน่ ถึงกับต้องเข้าโถงลงทัณฑ์?
ยังมีอาจารย์อีก เขาเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเชียวนะ ไม่นึกเลยว่าก็ไปโถงลงทัณฑ์เช่นกัน หรือว่าทำผิดมหันต์อะไรไว้?
มั่วชิงเฉินสมองหมุนอย่างไว ใบหน้ากลับใจเย็นลงมา ยิ่งเป็นเวลานี้ ยิ่งไม่อาจร้อนรนได้
“ศิษย์พี่หวัง บอกน้องได้หรือไม่ว่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับอาจารย์ข้าและศิษย์พี่ทั้งสอง เหตุใดถึงได้เข้าโถงลงทัณฑ์?” มั่วชิงเฉินถามอย่างจริงใจ
ศิษย์พี่หวังมองมั่วชิงเฉินอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้มปราดหนึ่ง สองมือประสานไว้ที่ท้ายทอย เอ่ยเนิบนาบว่า “เหตุการณ์อย่างเป็นรูปธรรมข้าก็ไม่รู้แล้ว ได้ยินเพียงว่าดูเหมือนล้วนมีความเกี่ยวข้องกับเจ้า”
มั่วชิงเฉินโมโหจนควันออกหู นางนับว่าดูออกแล้ว ศิษย์พี่หวังผู้นี้จงใจทรมานตนนี่เอง ก็ไม่รู้ว่าตนไปล่วงเกินเขาตั้งแต่เมื่อไร หรือว่ายังปวดใจที่มอบผึ้งวิญญาณเลือดมรกตให้ตนไม่กี่ตัวในปีนั้น?
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องก็ขอตัวก่อนแล้ว” มั่วชิงเฉินโยนคำพูดออกมาอย่างเย็นชา หันหลังจากไป
ออกจากประตูใหญ่โถงประชุม มั่วชิงเฉินพบว่ามีศิษย์ระดับหลอมลมปราณสองสามคนล้อมสาวใช้สองคนของตนไว้ พี่น้องสองคนตกใจจนหน้าถอดสี สายตามองไปทางประตูใหญ่โถงประชุมเรื่อย กลับไม่กล้าเข้ามา
“นี่พวกเจ้าทำอะไร!” มั่วชิงเฉินเดิมทีในใจก็โมโหอยู่แล้ว เห็นสภาพการณ์เช่นนี้แล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ จึงตะคอกเสียงกังวานว่า
“คุณหนู!” เหลียงเฉินเหม่นจิ่งเห็นเป็นมั่วชิงเฉิน เผยสีหน้าเหมือนได้รับการปลดแอกออกมา
ศิษย์ระดับหลอมลมปราณทั้งหมดเห็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งเดินสวบๆมา สะดุ้งเฮือกทันที คารวะอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “ขอคารวะท่านอาจารย์อา!” พูดจบ ก็ตั้งท่าจะรีบหนี
มั่วชิงเฉินกวาดมองพวกเขาอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ตะคอกว่า “หยุดอยู่กับที่ให้หมด!”
ทันใดนั้นทุกคนหยุดอยู่ที่เดิม มองมั่วชิงเฉินอย่างสะดุ้งกลัว
“พวกเจ้าตามข้ามา!” มั่วชิงเฉินพูดพลางอัญเชิญเรือเล็กออกมา พาศิษย์ระดับหลอมลมปราณไม่กี่คนขึ้นอาวุธเวทเหินหาวไป หายอดเขาที่ไม่มีคนแห่งหนึ่งถึงค่อยๆ ร่อนลง
“แย่…แย่แล้ว อาจารย์อาท่านนี้คงไม่ฆ่าพวกเราปิดปากนะ?” ศิษย์ระดับหลอมลมปราณขั้นเจ็ดคนหนึ่งส่งเสียงทางจิตตัวสั่น
“ทำลายศพกลบร่องรอย?” ศิษย์อีกคนหนึ่งสีหน้ายิ่งซีด
“ไม่…ไม่หรอกกระมัง แม้บอกว่านักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานของสำนักเราร้ายกาจไปบ้าง ทว่าก่อนหน้านี้ลงโทษไปสองสามคนมิใช่หรือ ได้ยินมาว่าบัดนี้ศิษย์หญิงไม่น้อยล้วนเก็บงำไปมากแล้ว” ศิษย์อีกคนหนึ่งฝืนทำใจเย็นว่า
มั่วชิงเฉินจิตตระหนักเทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย การคุยกันผ่านจิตตระหนักของศิษย์ระดับหลอมลมปราณระยะปลายไม่กี่คนนี้ถูกนางคอยสอดแนมเห็นตั้งนานแล้ว ใจว่าเป็นไปตามคาด คนที่รู้ข่าวคราวมากที่สุดก็คือคนพวกนี้แล้ว
“ข้ามีเรื่องถามพวกเจ้าสักหน่อย หากพูดออกมาตามจริง ก็จะละเว้นพวกเจ้า หากไม่เช่นนั้น พวกเจ้าเกี้ยวพาราสีสาวใช้ประจำตัวข้า ข้าก็ไม่ลงมือหรอกนะ พวกเจ้าไปรับโทษเองที่โถงลงทัณฑ์!” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
พูดถึง ‘โถงลงทัณฑ์’ สามคำ ศิษย์ไม่กี่คนสีหน้าซีดเซียว ศิษย์พรรคเหยากวงใครไม่รู้ถึงความน่ากลัวของโถงลงทัณฑ์บ้าง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ระดับหลอมลมปราณ สร้างรากฐานหรือว่าก่อแก่นปราณ ย่อมมีวิธีจัดการกับเจ้า
“อาจารย์อาเชิญถามได้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ศิษย์รู้ ต้องบอกหมดอย่างไม่ปิดบังแน่นอนขอรับ” ศิษย์ที่หน้าตาเฉลียวฉลาดรีบเอ่ยว่า
มั่วชิงเฉินลังเลทีหนึ่ง ไตร่ตรองแล้วว่า “ข้าได้ยินมาว่า ในโถงลงทัณฑ์ขังนักพรตเหอกวงไว้ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พวกเจ้ารู้สาเหตุหรือไม่?”
ศิษย์สองสามคนหน้าถอดสีเล็กน้อย มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ ดูท่าได้เรื่องแล้ว
“เอ่อ…” ศิษย์สองสามคนมองหน้ากัน ใครก็ไม่กล้าออกเสียง
มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาลง กวาดมองพวกเขาปราดหนึ่ง อานุภาพของนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทำให้สองสามคนขาสั่นขึ้นมาทันที
“อา…อาจารย์อา นักพรตเหอกวงจะเป็น…จะเป็นที่วิจารณ์ส่งเดชของพวกเราศิษย์ระดับหลอมลมปราณตัวเล็กๆ ได้อย่างไรขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งรวบรวมความกล้าว่า
ประกายแสงสองสามสายแวบมา ศิษย์สองสามคนนึกว่าอาวุธลับซัดมา รีบกอดศีรษะวิ่งหนี ประกายแสงนั่นซัดถึงบนมือถึงพบว่าไม่นึกเลยว่าจะเป็นยาลูกกลอนรวมวิญญาณขวดหนึ่ง
มั่วชิงเฉินพูดอย่างจำใจว่า “พวกเจ้ารีบมานี่ ข้าเพียงแต่ถามเพราะอยากรู้อยากเห็น ไม่พูดออกไปส่งเดชหรอก พวกเจ้าลองพูดดูจะเป็นไรไป?”
ศิษย์สองสามคนมองตากันปราดหนึ่ง รู้ว่าวันนี้ไม่พูดก็หลบไม่พ้นแล้ว จึงดันคนออกมาคนหนึ่งว่า “เรียนอาจารย์อา ที่จริงเรื่องนี้ศิษย์ในสำนักที่รู้ก็มีไม่น้อย ได้ยินมาว่า ได้ยินมาว่าศิษย์เพียงคนเดียวของนักพรตเหอกวงต้องตายเพราะนางมารแห่งนิกายเหอฮวน นักพรตเหอกวงลงเขาไปตามหาแม้แต่ศพก็ไม่ได้กลับมา ด้วยความโมโหไม่นึกเลยว่าจะไปนิกายเหอฮวนตามลำพัง ไม่เพียงแต่ฆ่านางมารสองคนที่ทำให้ศิษย์ต้องตาย ยังท้าประลองเดี่ยวกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณของนิกายเหอฮวนรวดเดียวเจ็ดคนอีก”
ศิษย์อีกคนหนึ่งพูดแทรกว่า “นักพรตเหอกวงร้ายกาจเหลือเกิน มือถือกระบี่ชิงมู่เล่มเดียว ไม่ว่าจะเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้นหรือว่าก่อแก่นปราณระยะปลายล้วนพ่ายแพ้ใต้กระบี่ พูดได้ว่าไปทางไหนก็ราบเป็นหน้ากลอง ถึงตอนหลังในที่สุดก็สะเทือนถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแห่งนิกายเหอฮวน นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้นั้นติดที่ฐานะพิเศษของนักพรตเหอกวงจึงแจ้งข่าวมาทางผู้เฒ่าไท่ซ่างแห่งเขาโฮ่วเต๋อของเรา”
“หลังจากนั้นล่ะ?” มั่วชิงเฉินพูดไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร จึงพึมพำถามว่า
ตอนที่ 190 เรื่องสะท้านทรวงที่แสนน้ำเน่า
เมื่อได้เริ่มพูด ปุ่มช่างพูดของศิษย์สองสามคนก็ถูกเปิดออกแล้ว ต่างคนต่างแย่งกันพูดว่า “เพราะว่าอาจารย์ของนักพรตเหอกวงกำลังกักตนอยู่ ผู้เฒ่าไท่ซ่างจึงส่งหรูอวี้เจินจวินแห่งเขารั่วสุ่ยไป นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแห่งนิกายเหอฮวนเรียกร้องให้นักพรตเหอกวงขอขมา ท่านเดาสิว่านักพรตเหอกวงพูดว่าเช่นไร?”
ยังไม่รอมั่วชิงเฉินพูด ศิษย์คนนั้นก็กระแอมแล้วว่า “หากพรรคของท่านสามารถมอบศิษย์ของข้ากลับคืนโดยสวัสดิภาพ เหอกวงย่อมยอมรับผิดและรับโทษด้วยตนเอง หากไม่เช่นนั้น ชีวิตข้านี้เจินจวินมาเอาไปได้เลย เรื่องขอขมานั้นอย่าได้หวัง!”
ศิษย์อีกคนหนึ่งว่า “นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านนั้นโกรธมาก จึงเจรจากับหรูอวี้เจินจวิน เดิมทีหรูอวี้เจินจวินรับคำสั่งผู้เฒ่าไท่ซ่างคิดจะใช้สิ่งของล้ำค่าชดใช้ให้ ทว่าไม่รู้เหตุใดทั้งสองคนเจรจาไม่สำเร็จ หรูอวี้เจินจวินพานักพรตเหอกวงกลับมาโดยตรงแล้ว แม้แต่ขนไก่สักเส้นก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้นิกายเหอฮวน”
“ให้ข้าพูดนะ หรูอวี้เจินจวินทำได้ดี ได้ยินมาว่าศิษย์ของนักพรตเหอกวงเป็นนักบำเพ็ญเพียรอัจฉริยะที่อายุยี่สิบสองปีก็สร้างรากฐานเลยนะ แล้วก็ถูกนางมารนิกายเหอฮวนทำลายทั้งอย่างนี้แล้ว พรรคเหยากวงเราเสียหายเพียงใด ตามหลักแล้วพวกนางควรขอขมาชดใช้ให้เหยากวงเราถึงจะถูก!” ศิษย์คนหนึ่งพูดจนน้ำลายกระเซ็นไปทั่ว
ศิษย์คนหนึ่งรีบเอ่ยว่า “ก็นั่นน่ะสิ สุดท้ายกลับมาถึงสำนักผู้เฒ่าไท่ซ่างยังคงให้นักพรตเหอกวงไปสำนึกผิดที่โถงลงทัณฑ์สิบปี จิ๊ๆ สถานที่แบบนั้นทรมานคนปานใดกัน บัดนี้เพิ่งผ่านไปสองปี”
ศิษย์อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างเร้นลับว่า “พวกเจ้าไม่ได้ยินว่าหลิวซางเจินจวินแห่งเขาชิงมู่ออกจากกักตนแล้วหรือ บัดนี้ได้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายแล้ว กลายเป็นคนแรกที่อยู่รองจากผู้เฒ่าไท่ซ่างทันที ศิษย์แห่งเขาชิงมู่ก็น้ำขึ้นเรือย่อมสูงตาม ยามนี้มองคนล้วนเชิดหน้ามองเลยนะ ได้ยินมาว่า เมื่อหลิวซางเจินจวินรู้เรื่องนี้แล้ว วันนั้นก็วิ่งไปที่ผู้เฒ่าไท่ซ่างนั่นเลย คาดว่าอีกไม่นานนักพรตเหอกวงก็ออกมาได้แล้ว
สองสามคนยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ลืมไปแล้วโดยสิ้นเชิงว่ามั่วชิงเฉินยังอยู่ข้างๆ
มั่วชิงเฉินกระแอมเบาๆ หนึ่งที เตือนสองสามคนที่พูดจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปสิ้น
ศิษย์ระดับหลอมลมปราณสองสามคนรีบว่าง่ายขึ้นมาทันที มองมั่วชิงเฉินตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร
รู้ว่าอาจารย์ไม่มีอันตราย ในใจมั่วชิงเฉินโล่งขึ้นมากมาย สีหน้าก็ดีขึ้นมา “เช่นนั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ โถงลงทัณฑ์ยังขังนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานไว้อีกสองสามคน?”
คำพูดนี้เพิ่งถามออกไป ศิษย์สองสามคนสีหน้าต่างก็ประหลาดขึ้นมา อีกทั้งอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดแล้ว
มั่วชิงเฉินโบกมือทีหนึ่ง ในมือแต่ละคนก็มียาลูกกลอนเสริมวิญญาณเพิ่มมาขวดหนึ่ง “พูดมากพูดน้อยก็พูดไปหมดแล้ว พวกเจ้าอ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนี้เหมือนลูกผู้ชายที่ไหน?”
ต่อให้มั่วชิงเฉินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาว ศิษย์ระดับหลอมลมปราณรู้สึกเสียหน้าทันที แย่งกันพูดขึ้นมาแทบไม่ทัน
“อาจารย์อาท่านไม่รู้ ได้ยินมาว่าเรื่องนี้ยังคงเกี่ยวข้องกับศิษย์ของนักพรตเหอกวง” ศิษย์ที่หน้าตาเฉลียวฉลาดคนนั้นว่า
มั่วชิงเฉินแอบคิดว่าหรือว่านี่จะเป็นเรื่องสองเรื่อง จึงพยักหน้าอย่างให้กำลังใจบอกใบ้ให้เขาพูดต่อไป
“ก็คือก่อนหน้านี้ไม่นาน อาจารย์อาเยี่ยที่ออกไปฝึกตนกลับมาแล้ว จิ๊ๆ อาจารย์อาเยี่ยอายุเพิ่งจะห้าสิบกว่าปี ก็เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว ศิษย์ในสำนักต่างคาดเดากันว่าอาจารย์อาเยี่ยจะก่อแก่นปราณได้ก่อนอายุหกสิบแปดปี ทำลายสถิติของนักพรตเหอกวงหรือไม่” ศิษย์นั่นพูดต่อ
“ข้าว่าไม่มีปัญหา ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของอาจารย์อาเยี่ยน่าตกใจเหลือเกิน อีกทั้งยังเป็นชนรุ่นหลังสืบสายเลือดของเสวียนหั่วเจินจวิน โอสถยาวิเศษอะไรหาไม่ได้บ้าง” ศิษย์คนหนึ่งพูดแทรก
ศิษย์อีกคนหนึ่งคัดค้านทันทีว่า “นั่นก็ไม่แน่ นักพรตเหอกวงยังมีรากวิญญาณฟ้านะ หลิวซางเจินจวินรักใคร่ปกป้องศิษย์คนสุดท้ายของตนเช่นกัน”
ศิษย์อีกคนถอนใจว่า “ใช่ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีฐานะสำคัญพรสวรรค์สุดยอด ไม่เหมือนพวกเรา เป็นแหนไร้รากฐานนั่น…”
“ตรงประเด็นหน่อย!” มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งว่า
ศิษย์สองสามคนหดศีรษะ ศิษย์ที่หน้าตาฉลาดเฉลียวคนนั้นหัวเราะแห้งๆ สองทีว่า “อาจารย์อาเยี่ยกลับมาแล้วมิใช่หรือ ในสำนักก็เกิดเรื่องใหญ่ครึกโครมสะเทือนความรู้สึกของคนขึ้นมาทันที ไม่นึกเลยว่าเสวียนหั่วเจินจวินจะไปสู่ขอให้อาจารย์อาเยี่ยที่เขารั่วสุ่ยด้วยตนเอง สู่ขออาจารย์อาต้วนที่เป็นศิษย์คนสุดท้ายของนักพรตรั่วซีคนนั้น!”
“หา?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจ นึกถึงผู้ชายที่เย็นชาเย่อหยิ่งหัวรั้นคนนั้น ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นสามีของศิษย์พี่ต้วนแล้วหรือ?
ศิษย์คนนั้นเห็นมั่วชิงเฉินประหลาดใจ ในใจเดาว่าอาจารย์อาท่านนี้คงจะออกไปฝึกตนเพิ่งกลับมา จึงอดยิ่งคึกคักไม่ได้ว่า “อาจารย์อาต้วนท่านรู้จักใช่หรือไม่ นางเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ที่หายากในรอบพันปีเชียวนะ จิ๊ๆ หน้าตาก็สวยหยดย้อยอีก เล่าลือกันว่า ขอให้เป็นหญิงสาวที่มีร่างหยินบริสุทธิ์หรือผู้ชายที่มีร่างหยางบริสุทธิ์ รูปโฉมล้วนโดดเด่นเหนือใคร”
มั่วชิงเฉินพยักหน้า อดทนฟังอยู่
“ท่านคิดดูนะ อาจรย์อาเยี่ยเป็นร่างหยางบริสุทธิ์ อาจารย์อาต้วนเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ สองคนต่างก็ฐานะสูงส่ง นี่มิใช่สวรรค์ส่งมาให้เป็นคู่กันหรอกหรือ หรูอวี้เจินจวินรีบรับปากทันที เมื่อข่าวนี้ลือออกมา ทั้งสำนักต่างตกตะลึง ไม่ว่าศิษย์ชายหรือว่าศิษย์หญิง คนเป็นเบืออดอาหารร่ำไห้คร่ำครวญเมาสุรา ก็เป็นแบบนี้แหละ เรื่องก็เกิดคลื่นลมขึ้นมาอีก” ศิษย์ที่หน้าตาฉลาดเฉลียวพูดจนเห็นภาพ
มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนตนเองฟังนิทานอยู่อย่างไรอย่างนั้น ก็ไม่เร่งแล้ว บอกใบ้ให้เขาพูดต่อ
ศิษย์นั่นพูดต่อว่า “หรูอวี้เจินจวินมีหลานสาวคนหนึ่งท่านคงรู้กระมัง นางมีใจรักงมงายต่ออาจารย์อาเยี่ยจริงๆ หลายปีมานี้ศิษย์หญิงคนใดลองคุยกับอาจารย์อาเยี่ยสักประโยค นางก็จะอาละวาดยกใหญ่ บัดนี้อาจารย์อาเยี่ยหมั้นหมายกับอาจารย์อาต้วนแล้ว จะยังเฉยอยู่ได้หรือ ยามนั้นก็ไปเตะประตูของอาจารย์อาต้วน สองคนจึงตีกันขึ้นมา”
การกระทำเช่นนี้ของหรวนหลิงซิ่วมั่วชิงเฉินไม่แปลกใจเลยสักนิด กลับเป็นห่วงสถานการณ์ของต้วนชิงเกอ จึงรีบถามว่า “เช่นนั้นใครชนะล่ะ?”
ศิษย์นั่นโบกมือว่า “ไม่มีใครชนะ ทั้งสองคนตีกันจนมืดฟ้ามัวดิน สะเทือนไปถึงหรูอวี้เจินจวินและนักพรตรั่วซี หรูอวี้เจินจวินเห็นหลานสาวไม่รู้อะไรควรไม่ควรเช่นนี้ ไม่สบายอารมณ์ยิ่งนัก ทว่ายังไม่ทันได้จัดการเรื่องนี้ เรื่องที่ยิ่งทำให้คนคาดไม่ถึงเกิดขึ้นแล้ว”
“พูด!” มั่วชิงเฉินก็ถือว่าตนฟังนิทานแล้ว
“แค่กๆ” ศิษย์คนนั้นกระแอม พูดต่อว่า “อาจารย์อาเยี่ยมาแล้ว คำพูดที่พูดออกมาถึงกับทำให้หรูอวี้เจินจวินนั่งไม่ติด ไม่นึกเลยว่าเขาจะถอนหมั้น!”
“อะไรนะ!” มั่วชิงเฉินตกใจ จากนั้นว่า “หรือว่าเสวียนหั่วเจินจวินสู่ขอแทนเขา เขาไม่รู้เรื่องเลย?”
ศิษย์นั่นส่ายศีรษะว่า “เรื่องแปลกก็แปลกอยู่ตรงนี้น่ะสิ อาจารย์อาเยี่ยเสนอจะถอนหมั้น ทุกคนต่างตกใจหน้าถอดสี อาจารย์อาต้วนยิ่งในยามนนั้นก็วิ่งกลับเข้าที่พำนักปิดประตูไม่ออกมาแล้ว จากนั้นเสวียนหั่วเจินจวินรีบรุดมาเขารั่วสุ่ย ยังตีอาจารย์อาเยี่ยต่อหน้าหรูอวี้เจินจวิน ถามอาจารย์อาเยี่ยอย่างโกรธและลนลานว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา อาจารย์อาเยี่ยไม่พูดสักแอะ หรูอวี้เจินจวินจึงให้เสวียนหั่วเจินจวินให้เหตุผลอธิบายมา เสวียนหั่วเจินจวินจึงถามอาจารย์อาเยี่ย ยามนั้นสู่ขอแทนเขา ได้ปรึกษาเขาแล้วมิใช่หรือ เขาไม่ได้แสดงออกว่าคัดค้านเลยนี่นา ท่านเดาสิว่าอาจารย์อาเยี่ยพูดว่าอะไร?”
“พูดอะไร” โครงเรื่องน้ำเน่าเช่นนี้ มั่วชิงเฉินก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว
“อาจารย์อาเยี่ยพูดออกมาประโยคหนึ่งซึ่งแปลกมาก เขาพูดว่า “ผิดแล้ว” เสวียนหั่วเจินจวินถามเขาว่าอะไรผิดแล้ว เขาก็เป็นตายร้ายดีไม่ยอมพูดแล้ว คุกเขาโดยตรงต่อหน้าหรูอวี้เจินจวิน บอกว่าตนเข้าใจเรื่องถอนหมั้นเป็นการทำร้ายอาจารย์อาต้วน ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของตน ยินดีรับการลงโทษใดๆ จากหรูอวี้เจินจวิน ยามเดียวกันก็สาบานว่าตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ก็จะทำตามความต้องการข้อหนึ่งของอาจารย์อาต้วนให้เป็นจริง ไม่ว่าอาจารย์อาต้วนจะเสนอออกมายามไหน ต่อให้ร่างกายแหลกเหลวก็จะทำให้นางให้ได้ ขออย่างเดียวคือไม่อาจแต่งงานกับนางได้” ศิษย์ถอนใจว่า
‘ผิดแล้ว’ สองคำนั้นเหมือนค้อนเล็ก ทุบตรงไปยังใจมั่วชิงเฉิน
เขา เหตุใดเขาถึงพูดว่า “ผิดแล้ว”? นึกถึงเขาดูเหมือนเข้าใจผิดว่าตนมีร่างหยินบริสุทธิ์ ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินก็ไม่กล้าคิดต่อไป เพียงพึมพำถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาถึงไปโถงลงทัณฑ์อีกล่ะ?”
ศิษย์พูดต่อว่า “หรูอวี้เจินจวินฟังอาจารย์อาเยี่ยพูดเช่นนี้ จึงตายใจแล้ว เข้าใจแล้วว่าเขาไม่มีความรู้สึกให้อาจารย์อาต้วนแม้สักนิด แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ยิ่งกว่านั้นการบำเพ็ญเพียรคู่เน้นที่จิตใจสื่อถึงกัน หรูอวี้เจินจวินจึงรับปากถอนหมั้น ณ ที่นั้น พอดีเห็นท่าทางท่านเซียนหรวนดีใจออกนอกหน้า ยามนั้นจึงตำหนิยกหนึ่งแล้วส่งไปโถงลงทัณฑ์ หลังจากนั้นหรูอวี้เจินจวินก็ไม่ได้ลงโทษอาจารย์อาเยี่ย แล้วไล่อาจารย์อาเยี่ยและเสวียนหั่วเจินจวินออกจากเขารั่วสุ่ย ใครจะรู้ว่าเรื่องยังไม่จบ อาจารย์อามั่วที่ทำภารกิจกลับมาได้ยินเรื่อง อาจารย์อาเยี่ยถอนหมั้น โมโหจนทนไม่ไหวลากอาจารย์อาต้วนตรงไปเขาหลิวหั่ว อัดอาจารย์อาเยี่ยอย่างรุนแรงยกหนึ่ง อาจารย์อาเยี่ยไม่ตอบโต้เลย สุดท้ายยังกระอักเลือด สุดท้ายเรื่องนี้สะเทือนไปถึงผู้เฒ่าไท่ซ่าง ติเตียนหรูอวี้เจินจวินและเสวียนหั่วเจินจวินอบรมไม่เข้มงวด ทำให้ศิษย์หัวกะทิพวกนี้ผยองไม่เชื่อฟัง กำเริบเสิบสาน จึงไล่พวกเขาไปสำนึกผิดที่โถงลงทัณฑ์หมดเลย”
ศิษย์อีกคนหนึ่งพูดแทรกว่า “เรื่องพลิกผันไปมาเช่นนี้ ครึกโครมไปทั้งสำนัก วันเวลาเหล่านั้นศิษย์ในสำนักคุยกันเรื่องนี้ทั้งวัน จึงลือข่าวหนึ่งออกมา ข่าวลือนี้ก็เกี่ยวข้องกับศิษย์ผู้นั้นของนักพรตเหยากวง”
มั่วชิงเฉินรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว จึงถามว่า “ข่าวลืออะไร?”
ศิษย์นั่นหัวเราะแหะๆ ว่า “อาจารย์อา ก็บอกแล้วว่าเป็นข่าวลือ ท่านฟังแล้วก็ให้แล้วกันไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเท็จ เพราะว่าเรื่องนี้ประหลาดเหลือเกิน จึงมีคนที่อยากรู้อยากเห็นไปตามหาต้นตอ ไม่นึกเลยว่าจะพบว่าอาจารย์อาต้วนที่ถูกถอนหมั้นผู้นั้นและอาจารย์อามั่วศิษย์ของนักพรตเหอกวงเคยถูกขนานนามว่า ‘สองโฉมสะคราญชิงชิง’ ไม่เพียงเท่านี้ ยามที่พวกนางสองคนเข้าร่วมการทดสอบที่หุบเขาโยวเล่อเมื่อสิบกว่าปีก่อน อาจารย์อาเยี่ยก็พึงใจต่ออาจารย์อามั่วตั้งแต่แรกพบ ด้วยเหตุนี้ท่านเซียนหรวนยังเคยไปหาเรื่องอาจารย์อามั่วมาก่อน ดังนั้นจึงลือกันว่า ที่อาจารย์อาเยี่ยพูดว่า ‘ผิดแล้ว’ เพราะคนที่เขาชอบคืออาจารย์อามั่ว ส่วนเสวียนหั่วเจินจวินสู่ขอผิดคนแล้ว”
มั่วชิงเฉินหน้ามืด เอาเถอะ โวยวายมาครึ่งค่อนวันรู้กันไปทั่วโลกแล้ว จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนเองกลับมาไม่ถูกเวลามาก
มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างหมดแรง พาสาวใช้ฝาแฝดนั่งเรือจากไป
เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งมองดูหน้าถอดสีของมั่วชิงเฉินด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่กล้าออกเสียง
ในโถงลงทัณฑ์เยี่ยมไม่ได้ และก็ส่งยันต์ส่งสารไม่ได้ มั่วชิงเฉินจึงได้แต่ไปโถงจัดหารับเสื้อผ้าเครื่องประดับของทางสำนักก่อน แล้วกลับเขาชิงมู่ที่พำนักของนักพรตเหอกวง
ทะเลไผ่ยังคงงดงามเช่นนั้น พื้นหญ้าหน้าเรือนไม้ไผ่ อสูรเสือพายุทะลุฟ้าหมอบอยู่อย่างขี้เกียจ ดูแล้วโดดเดี่ยวอ้างว้าง
เห็นมั่วชิงเฉินกลับมา อสูรเสือพายุทะลุฟ้าเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างหายาก จากนั้นคร่ำครวญว่า “ห้าปีก่อนเจ้านายพาเสี่ยวอวี้ไปหาเจ้า ไม่กลับมาเลย บัดนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรแล้ว ฮึ ปล่อยให้ข้าเฝ้าบ้านคนเดียว เบื่อจะตายแล้ว”
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ไม่กล้ารับคำ แล้วสั่งเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสางขนให้เสือยักษ์ ตนกลับห้องเก็บกวาดคราหนึ่ง แล้วส่งยันต์ส่งสารให้เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่งคนละใบ
ทางด้านเสี่ยวซย่าไม่ได้ตอบรับกลับมาเลย ยันต์ส่งสารของเฉินเจียวซิ่งไม่นานก็มาแล้ว ด้านบนเขียนอักษรไว้ไม่กี่ตัว “พบกันที่เก่า!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น