ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 182-188

ตอนที่ 182 กลอุบายของลั่วอิง

 

       พยาบาลสาวคนนั้นกระตุกหนวดเสือเข้าให้แล้ว เดาได้เลยว่าคุณแม่ลั่วโมโหมากแค่ไหน แต่น่าเสียดายที่พยาบาลคนนั้นไม่สนใจ เธอเดินตรงไปข้างหน้าราวกับว่าเธอไม่ได้ยิน


 


 


แต่ในขณะที่คุณแม่ลั่วเห็นว่าอีกฝ่ายเดินจากไปแล้ว เธอก็ยังคงพูดอย่างหยิ่งผยองว่า “โชคดีที่เธอเดินออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องบอกให้ทางโรงพยาบาลไล่เธอออกให้เร็วที่สุด!”


 


 


จากนั้นคุณแม่ลั่วก็หันไปหาถังโจวโจว เธอย้ายอารมณ์โกรธที่มีทั้งหมดไปไว้ที่ถังโจวโจวทันที “ถังโจวโจว เธอเข้ามายุ่งทำไม! แล้วนี่เธอเป็นสะใภ้ของตระกูลลั่วแน่หรือเปล่า แทนที่จะช่วยฉัน แต่กลับไปขอโทษคนอื่นเนี่ยนะ?”


 


 


“คุณแม่คะ หนูรู้ว่าคุณแม่ไม่อยากให้ใครมารับรู้ว่าหนูเป็นสะใภ้ของคุณแม่ แต่เมื่อครู่นี้หนูแค่ต้องการให้คนอื่นถอยออกไป ก็เลยรีบพูดมากเกินไปหน่อย ทำให้ไม่ทันได้นึกถึงความรู้สึกของคุณแม่ คุณแม่คะ เราเข้าไปข้างในห้องกันก่อนดีกว่าไหมคะ ลั่วอิงกำลังรอให้คุณแม่มาเยี่ยมอยู่ด้านใน”


 


 


คุณแม่ลั่วรู้สึกพออกพอใจกับคำพูดของถังโจวโจว และเมื่อถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ลั่วไม่ได้โกรธจัดเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว ก็เท่ากับว่าถังโจวโจวหาจุดอ่อนของคุณแม่ลั่วเจอ ตราบใดที่ไม่พูดอะไรขัดหูเธอ คุณแม่ลั่วก็จะไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยนานนัก


 


 


“ในเมื่อเธอพูดมาแบบนี้ ฉันก็จะยอมปล่อยเธอไปก่อน เพราะตอนนี้ฉันต้องเข้าไปเยี่ยมหลานสาวของฉันแล้ว แต่ถังโจวโจว…เธออย่าคิดนะว่าฉันจะให้อภัยเธอง่ายๆ พอเรื่องของลั่วอิงจบแล้ว ฉันจะกลับมาคิดบัญชีกับเธอ!”


 


 


“ค่ะ คุณแม่ เอาตามที่คุณแม่เห็นสมควรได้เลยค่ะ ขอเพียงแค่คุณแม่หายโกรธ ตอนนี้เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะนะคะ” แม้คุณแม่ลั่วจะสงสัยว่าทำไมวันนี้ถังโจวโจวถึงยอมตามใจเธอ แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไร เธอจึงสาวเท้าเดินไปข้างหน้า


 


 


ลั่วเซ่าเชินยืนมองถังโจวโจวเกลี้ยกล่อมคุณแม่ของเขาให้เดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอยู่ด้านหลัง เขาแค่รู้สึกว่านับวันพลังของถังโจวโจวจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้แม้แต่คุณแม่ของเขา เธอก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียว


 


 


เขาเดินตามถังโจวโจวมาและกระซิบถามเธอเบาๆ ว่า “คุณทำได้อยังไงน่ะ ทำไมแม่ถึงยอมฟังคุณ แล้วก่อนหน้านี้ทำไมคุณถึงไม่ใช้วิธีนี้ล่ะ”


 


 


ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังจะตอบเขา เธอก็เห็นว่าคุณแม่ลั่วหันหลังกลับมามองอย่างกะทันหัน ถังโจวโจวจึงรีบก้มหน้าก้มตาลง เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นเธอเงียบลงทันที ก็เบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก คุณแม่ลั่วไม่เข้าใจความคิดของเธอเลยสักนิด เพิ่งเอ่ยชมเธอในใจไปหยกๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นยายโง่เง่าไปเสียแล้ว ซึ่งนั่นทำให้คุณแม่ลั่วไม่สบอารมณ์


 


 


“มัวยืนอยู่ทำไมล่ะ ลั่วอิงอยู่ห้องไหน ยังไม่รีบนำทางไปอีก” คุณแม่ลั่วรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ทำไมถึงไม่ได้ดั่งใจเธอเหมือนเมื่อครู่นี้เลย


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ลั่วเริ่มโมโหขึ้นมาอีก ในใจของเขาก็คิดว่าช่วงนี้คุณพ่อกับคุณแม่ลั่วผิดใจกันหรือ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณแม่ลั่วถึงหงุดหงิดง่ายขนาดนี้ “ก็ห้องข้างหน้านี่ไงครับแม่ มาครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเป็นเพื่อน” ลั่วเซ่าเชินโอบไหล่ของคุณแม่ลั่ว ก่อนจะเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยแล้วเดินเข้าไป


 


 


เมื่อคุณแม่ลั่วเห็นลั่วเซ่าเชินออกมาประนีประนอม เธอก็ไม่คำรามใส่ถังโจวโจวอีกต่อไป ลั่วเซ่าเชินพาเธอเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยของลั่วอิง ส่วนถังโจวโจว พอเห็นว่าตัวเองผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้แล้ว เธอก็แอบกลอกตาขึ้นฟ้าและถอนหายใจออกมายาวเหยียด เธอได้แต่นึกในใจว่า คุณแม่ชักจะเอาใจยากมากขึ้นทุกที


 


 


หลังจากเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยแล้ว คุณแม่ลั่วก็เห็นว่าลั่วอิงกำลังนอนอยู่บนเตียง เธอไม่พูดอะไรไปพักใหญ่ เธอเอาแต่นั่งอยู่ที่ข้างเตียงของลั่วอิงและพิจารณาใบหน้าของหลานสาวอยู่นาน และเมื่อเธอเห็นว่าสีหน้าของลั่วอิงนั้นค่อนข้างดี ในใจของคุณแม่ลั่วก็รู้สึกคลายความกังวลลง


 


 


“แล้วนี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า มีบาดแผลตรงไหนไหม”


 


 


คุณแม่ลั่วไม่ได้เอ่ยชื่อเสียงเรียงนาม แต่ลั่วเซ่าเชินก็รู้ว่าเธอถามถึงลั่วอิง เขาจึงตอบกลับไปเบาๆ ว่า “ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ เธอแค่ตกใจ แล้วตอนนี้ก็มีไข้นิดหน่อย”


 


 


เมื่อได้เห็นลั่วอิงหลับสนิท ในที่สุดหัวใจของลั่วเซ่าเชินก็หวนคืนสู่สภาวะปกติ หากลั่วอิงเป็นอะไรไป เขาจะมีหน้าอยู่ได้อย่างไร…


 


 


ถังโจวโจวตามลั่วเซ่าเชินและคุณแม่ลั่วเข้ามาทีหลัง เธอได้ยินสิ่งที่ลั่วเซ่าเชินพูดกับคุณแม่ลั่วเข้าพอดี และหลังจากที่คุณแม่ลั่วได้ยินอย่างนั้น ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรอีก คุณแม่ลั่วเอาแต่จับมือของลั่วอิงไว้และมองดูอยู่อย่างนั้น


 


 


แล้วจู่ๆ โทรศัพท์ของถังโจวโจวก็ส่งเสียงร้อง ถังโจวโจวกดรับสายในทันที ก่อนที่เธอจะเดินออกไปข้างนอก ลั่วอิงยังคงหลับอยู่ เธอกลัวว่าเสียงโทรศัพท์จะทำให้ลั่วอิงตื่น “โจวโจว ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม ลั่วอิงล่ะ?”


 


 


“หนูขอโทษค่ะแม่ หนูลืมโทรไปบอกว่าหนูปลอดภัยดี” ถังโจวโจวพูดด้วยความรู้สึกผิด


 


 


เธอมัวแต่สนใจปลอบโยนจิตใจของลั่วอิง จนลืมไปว่าคุณแม่ของเธอก็กำลังรอฟังข่าวของเธออย่างเป็นกังวลอยู่ที่บ้าน เธอนี่ช่างอกตัญญูเสียจริงๆ เธอมักจะบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเธอจะไม่ทำให้คุณพ่อและคุณแม่ถังเป็นกังวล แต่เธอกลับทำไม่ได้เลยสักครั้ง


 


 


เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยของถังโจวโจว คุณแม่ถังก็พูดปลอบใจเธอในทันที “โจวโจว ลูกอย่าพูดแบบนั้นสิ แค่ลูกปลอดภัยกลับมา แม่ก็สบายใจแล้ว แล้วลั่วอิงล่ะ? ปลอดภัยดีเหมือนกันใช่ไหม พวกลูกจะกลับมาเมื่อไร”


 


 


“ตอนนี้ลั่วอิงอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ หนูคิดว่าวันนี้คงจะไม่ได้กลับ ต้องรอดูอาการพรุ่งนี้อีกทีค่ะ”


 


 


“ลั่วอิงเป็นอะไร เธอป่วยหนักใช่ไหม แม่จะรีบไปหาเธอเดี๋ยวนี้”


 


 


ถังโจวโจวได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบของคุณแม่ถัง เธอคาดว่าคุณแม่ถังน่าจะเตรียมตัวออกมาข้างนอกอยู่แล้ว เธอจึงรีบพูดว่า “แม่คะ เธอแค่มีไข้ หนูนึกไม่ถึงเลยว่าแม่จะเป็นห่วงลั่วอิงมากขนาดนี้ แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะค่ะ”


 


 


“เธอเป็นไข้ได้ยังไง แล้วตอนนี้ไข้ลดลงหรือยัง ไม่ได้ๆ แม่ทนรอไม่ไหวหรอก แม่จะไปหาเธอเดี๋ยวนี้”


 


 


“แม่คะ แม่อย่าเพิ่งมาเลยนะ เอาอย่างนี้ค่ะ เดี๋ยวแม่บอกให้ป้าหลิวต้มซุปไก่หน่อยนะคะ แล้วก็ให้เธอถือมาให้ลั่วอิงที่โรงพยาบาล อย่างนี้ได้ไหมคะ”


 


 


“…โอเค ถ้าอย่างนั้นแม่ไปบอกให้ป้าหลิวทำซุปก่อน แค่นี้นะโจวโจว”


 


 


“ค่ะ” ถังโจวโจวรู้สึกเบาใจขึ้นมาก เมื่อในที่สุดเธอก็สามารถพูดโน้มนาวคุณแม่ถังได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากให้คุณแม่ถังมาเยี่ยมลั่วอิงในตอนนี้ เพียงแต่คุณแม่ลั่วยังอยู่ เธอกลัวว่าหากทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน คุณแม่ลั่วอาจจะพูดอะไรที่ทำให้คุณแม่ถังรู้สึกไม่ดีได้


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าเธอสามารถรับมือกับความไม่พอใจของคุณแม่ลั่วได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรคุณแม่ลั่วก็เป็นแม่สามีของเธอ แต่ถังโจวโจวจะไม่ยอมให้คุณแม่ถังถูกคุณแม่ลั่วรังแกโดยเด็ดขาด คุณแม่ถังเลี้ยงดูเธอมาจนโตขนาดนี้ เธอจะไม่ทำให้แม่รู้สึกว่ามันไร้ค่า แม้แต่แม่ของตัวเองเธอก็ดูแลปกป้องไม่ได้


 


 


หลังจากวางสายจากคุณแม่ถังแล้ว เธอก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง แล้วเธอก็พบว่าลั่วอิงตื่นแล้ว คุณแม่ลั่วกำลังคุยกับเธออยู่ “ลั่วอิงน้อยของย่า ทรมานแย่เลย” คุณแม่ลั่วรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ลูบสัมผัสใบหน้ารูปไข่ที่เห็นได้ชัดว่าซูบลงไปมาก


 


 


ลั่วอิงพูดออดอ้อนคุณแม่ลั่ว “คุณย่าขา คุณย่าเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้หนูด้วยนะคะ”


 


 


“โอเคจ้ะ ไว้ย่าจะเตรียมไว้ให้นะลูก ลั่วอิง วันหลังหนูอย่าเดินตามใครไปง่ายๆ อีกนะ หากไม่ทันระวัง หนูจะถูกคนไม่ดีจับตัวไปอีก ลั่วอิงที่แสนน่ารักของเรา ย่าทำใจไม่ได้เลยหากจะไม่ได้เจอหน้าหนูอีก”


 


 


ทันทีที่ลั่วอิงได้ยินอย่างนั้น เธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อสองวันก่อนที่เธอถูกจับตัวไป แววตาของเธอดูหวาดกลัวขึ้นมาชั่วขณะ ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าสิ่งที่คุณแม่ลั่วพูดมานั้นทำให้ลั่วอิงตกใจกลัว เขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที “แม่ครับ ตอนนี้ลั่วอิงก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว แม่จะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม ดูสิครับ แม่ทำให้เธอตกใจกลัวหมดแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วอิงตกใจกลัวจริงๆ คุณแม่ลั่วก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว แต่เธอไม่สามารถเอ่ยคำขอโทษออกมาได้ บรรยากาศจึงถูกแช่แข็งไว้อย่างนั้น


 


 


ถังโจวโจวรีบออกหน้าพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณแม่ ครั้งหน้ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก คราวนี้เป็นหนูเองที่ไม่ดี ไม่สามารถดูแลลั่วอิงให้อยู่ในสายตาได้”


 


 


“มันก็ต้องเป็นความผิดของเธออยู่แล้วแหละ หากไม่ใช่เพราะเธอ หลานสาวของฉันก็คงไม่ต้องมาระทมทุกข์อยู่แบบนี้ ไม่รู้ว่าสองวันที่ต้องไปลำบากอยู่ข้างนอกนั่น ลั่วอิงจะทรมานมากขนาดไหน” เมื่อคุณแม่ลั่วนึกถึงว่าลั่วอิงจะต้องกินไม่อิ่ม สวมเสื้อผ้าไม่อบอุ่น ซ้ำพวกเขาสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ก็ยังปิดบังเรื่องนี้จากเธออีก เธอก็รู้สึกเกลียดถังโจวโจวมากขึ้นไปชั่วขณะ


 


 


“แล้วพวกเธอสองคน นับวันก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ นะ ถ้าแม่ไม่มาเอง พวกเธอสองคนก็คงจะปกปิดแม่กับพ่อไปจนตายใช่ไหม”


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับแม่ ที่เราทำแบบนี้ก็เพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วง” ลั่วเซ่าเชินยืดอกรับความโกรธแค้นของคุณแม่ลั่ว เขาเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ถังโจวโจวไม่รู้เรื่องด้วย


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าทั้งสามคนกำลังจะวางมวยกันแล้ว ดวงตาเรียวเล็กของเธอก็หรี่ลง แล้วส่งเสียงร้องขึ้นมาทันที “แม่โจวโจวขา หนูไม่สบายตัว ปวดจังเลย…”


 


 


ถังโจวโจวรีบถลาตัวเข้าไปหาลั่วอิงด้วยความเป็นห่วง เธออยากจะแตะตัวลั่วอิงแต่ก็ไม่กล้า “ลั่วอิง หนูไม่สบายตัวตรงไหนคะ หนูบอกแม่โจวโจวมาเร็วเข้า ไม่สิ แม่จะออกไปตามคุณหมอเดี๋ยวนี้แหละ!”


 


 


“หลบไป! ลั่วอิง ไหนให้ย่าดูสิลูก” คุณแม่ลั่วผลักถังโจวโจวที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าออก ก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปหาลั่วอิงอย่างรวดเร็ว


 


 


คุณแม่ลั่วผลักถังโจวโจวจนล้มลงไปกับพื้น แต่ถังโจวโจวกลับไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นอะไรหรือเปล่า เธอคิดแต่จะวิ่งออกไปข้างนอกห้อง เพื่อไปตามคุณหมอมาดูอาการของลั่วอิง


 


 


ลั่วเซ่าเชินสังเกตเห็นว่าลั่วอิงกัดริมฝีปากไว้แน่น และนัยน์ตาของเธอก็ดูตกใจที่เหตุการณ์กลับวุ่นวายมากกว่าเดิม สีหน้าท่าทางของเธอตกอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมดแล้ว เขาสงสัยว่านี่อาจจะเป็นกลอุบายเล็กๆ ของลั่วอิง เขาจึงรีบรั้งตัวถังโจวโจวไว้


 


 


“โจวโจว ที่ข้างเตียงก็มีกริ่งนะ แค่กดสองสามทีหมอก็มาแล้ว คุณไม่ต้องวิ่งออกไปตามเองหรอก แล้วเมื่อกี้นี้คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”


 


 


พอถังโจวโจวได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดอย่างนั้น เธอก็นึกขึ้นได้ว่าภายในห้องมีกริ่งจริงๆ และในขณะที่เธอกำลังจะกดกริ่งนั้น เธอก็ได้ยินเสียงของลั่วอิงพูดไม่เต็มปากว่า “แม่โจวโจวขา คุณย่าขา หนูไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ ตอนนี้ไม่ปวดแล้ว”


 


 


ถังโจวโจวมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ไม่ปวดแล้วจริงๆ หรือคะ ทำไมถึงแปลกอย่างนี้ล่ะ ลั่วอิง หนูไม่ได้หลอกแม่โจวโจวใช่ไหม”


 


 


คุณแม่ลั่วเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเธอจะได้ยินประโยคนั้นที่จู่ๆ ก็หลุดออกมาจากปากของลั่วอิง เธอตะลึงงันไปชั่วขณะ แต่ไม่นานเธอก็ตั้งสติได้ “ลั่วอิง อย่าปิดบังย่านะลูก ถ้าหนูปวดตรงไหนก็ให้บอก จะได้รีบเรียกคุณหมอมาตรวจดูอาการให้นะ”


 


 


ถังโจวโจวนึกว่าลั่วอิงเพิ่งจะพบบาดแผลที่มองไม่เห็นบนร่างกายของเธอเอง แล้วเธอเผลอไปสัมผัสมันเข้า เธอถึงได้ร้องว่าเจ็บว่าปวด แต่เมื่อดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ลั่วอิงก็ไม่ได้ดูเจ็บปวดตรงไหนเลย เมื่อครู่นี้เป็นเพราะถังโจวโจวร้อนใจมากเกินไปหน่อย จึงไม่ทันได้สังเกตว่าแววตาที่แท้จริงของลั่วอิงเป็นอย่างไร


 


 


ถังโจวโจวยิ่งรู้สึกสงสัยเมื่อเห็นว่าลั่วอิงหลบสายตา “ลั่วอิง บอกแม่โจวโจวมานะ ตกลงแล้วหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”


 


 


“ถังโจวโจว นั่นมันน้ำเสียงอะไรของเธอ นี่เธอคิดว่าหลานสาวของฉันไม่สามารถแยกแยะได้เลยเหรอว่าตัวเองเจ็บหรือไม่เจ็บตรงไหนน่ะ?” คุณแม่ลั่วคิดว่าถังโจวโจวชักจะกำเริบเสิบสาน หากเป็นเมิ่งชิงซีที่อยู่ตรงนี้แทน เธอก็คงจะไม่พูดจาแบบนี้กับลั่วอิง


 


 


“คุณแม่คะ หนูเองก็เป็นห่วงลั่วอิงเหมือนกัน ถ้าเธอไม่มีปัญหาอะไรก็ดีที่สุดแล้วค่ะ แต่ถ้าเธอมีปัญหาตรงไหนที่เราไม่รู้ คุณแม่จะให้เธอเก็บมันไว้กับตัวหรือคะ” ถังโจวโจวอยากจะตะโกนให้สุดเสียง แต่เธอรู้ว่ามันไม่ควร เธอค้นหาสาเหตุที่ลั่วอิงทำแบบนี้ก่อนจะดีกว่า


 


 


ถังโจวโจวแน่ใจแล้วว่าลั่วอิงไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ลั่วอิงก็นึกหลอกพวกเธอขึ้นมา ในความคิดของถังโจวโจว ลั่วอิงไม่เคยทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ และถ้าหากปล่อยให้ทำจนติดเป็นนิสัย ลั่วอิงก็จะกลายเป็นเด็กโกหกเอาได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นมันจะไม่ดีต่อตัวลั่วเองเองมากขนาดไหน?


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นท่าทางจ้องจับผิดของถังโจวโจว เธอก็เริ่มกลัวและพึมพำออกมาว่า “หนูแค่ไม่อยากให้คุณแม่กับคุณย่าทะเลาะกัน หนูก็เลยหลอกคุณแม่กับคุณย่าว่าหนูไม่สบายตัว” 

 

 


ตอนที่ 183 คุณพ่อคุณแม่ถังมาเยี่ยม

 

    ถังโจวโจวและคุณแม่ลั่วยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน ลั่วอิงเงยหน้ามองพวกเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปเล่นนิ้วมือของตัวเอง ริมฝีปากเล็กๆ นั้นกระดกขึ้นสูง ลั่วอิงเฝ้ารออย่างเป็นกังวลจนอดถามขึ้นมาไม่ได้ “คุณแม่กับคุณย่าเป็นอะไรไปคะ ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย”


 


 


ถังโจวโจวตั้งสติ ก่อนจะลูบเช็ดที่หางตา เธอเกือบจะร้องไห้เมื่อได้ยินในสิ่งที่ลั่วอิงพูด “เอ่อ… คือแม่…” ถังโจวโจวไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองอย่างไรไปชั่วขณะ


 


 


แม้คุณแม่ลั่วจะรู้สึกว่าลั่วอิงรู้จักคิดอ่านแบบผู้ใหญ่ แต่ความขัดแย้งระหว่างเธอกับถังโจวโจวนั้นมาไกลเกินกว่าที่คำพูดของลั่วอิงจะช่วยอะไรได้แล้ว


 


 


“เอาละ เดี๋ยวย่าจะรีบบอกให้แม่นมจ้าวเอาซุปมาส่งให้นะคะ วันนี้ย่ากลับก่อนล่ะ” คุณแม่ลั่วลูบศีรษะของลั่วอิงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย


 


 


แล้วเมื่อเห็นว่าคุณแม่ลั่วออกไป ลั่วอิงก็กวักมือเรียกถังโจวโจว ถังโจวโจวก็เดินเข้าไปหาเธออย่างว่าง่าย “อะไรหรือคะ”


 


 


“แม่โจวโจวขา คุณแม่อย่าโกรธคุณย่าเลยนะคะ? คุณย่าไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น” ลั่วอิงพูดออดอ้อนพลางเขย่าแขนของถังโจวโจว


 


 


เธอไม่อยากให้คุณแม่ลั่วกับถังโจวโจวทะเลาะกัน ก่อนหน้านี้เธอมักจะพูดถึงถังโจวโจวในทางที่ดีต่อหน้าคุณแม่ลั่ว แต่น่าเสียดายที่คุณแม่ลั่วไม่ได้คล้อยตามไปกับคำพูดของเธอ ตอนนี้เธอจึงจำต้องขอความร่วมมือจากถังโจวโจวแทน ดังที่ลั่วอิงเอ่ยออกมาในวันนี้


 


 


“ลั่วอิง หนูสบายใจได้เลยนะคะ แม่โจวโจวจะไม่ทะเลาะกับคุณย่าหรอกค่ะ แล้วนี่หนูหิวหรือยังคะ เดี๋ยวแม่โจวโจวจะออกไปหาอะไรมาให้หนูทาน หนูอยากทานอะไรคะ”


 


 


เมื่อได้ยินเรื่องของกิน ลั่วอิงก็ตื่นเต้นขึ้นมา “หนูอยากทานน่องไก่ ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ไก่ฉีก…”


 


 


“พอก่อนค่ะ ของพวกนี้หนูยังทานไม่ได้ เดี๋ยวคุณแม่เลือกมาให้ดีกว่าค่ะ” ถังโจวโจวปฏิเสธคำขอของลั่วอิง ตอนนี้เธอป่วยอยู่ เธอจะกินของมันๆ พวกนั้นได้อย่างไร


 


 


“เซ่าเชิน คุณอยากทานอะไรไหมคะ” ถังโจวโจวหันไปมองลั่วเซ่าเชิน


 


 


ลั่วเซ่าเชินฉุกคิด “ไม่ต้องไปซื้อหรอก เดี๋ยวให้ป้าหลิวเอามาส่ง” ลั่วเซ่าเชินไม่ค่อยสนใจอาหารจากข้างนอก เขารู้สึกว่าอาหารที่ปรุงเองภายในบ้านนั้นสะอาดและถูกสุขลักษณะมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ลั่วอิงเพิ่งฟื้นไข้ ภูมิคุ้มกันของเธอยังค่อนข้างต่ำ


 


 


“รอให้ป้าหลิวมาส่ง ลั่วอิงอาจจะไม่ไหว ฉันออกไปซื้อโจ๊กให้ก่อนดีกว่าค่ะ หาอะไรรองท้องสักหน่อย” เมื่อถังโจวโจวปรึกษาหารือกับลั่วเซ่าเชินเสร็จแล้ว เธอก็เดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย


 


 


ภายในห้องเหลือแค่เพียงลั่วเซ่าเชินและลั่วอิง ลั่วเซ่าเชินเดินเข้าไปหาเธอที่ข้างเตียง “กลัวไหมลูก” ลั่วอิงก้มหน้าจับผ้าห่มอยู่ขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็ถามออกมาอย่างกะทันหัน


 


 


ลั่วอิงกะพริบตามองและไม่ได้พูดอะไร แววตาของเธอเจือไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เข้าใจว่าลั่วเซ่าเชินถามเธอเกี่ยวกับอะไร


 


 


ลั่วเซ่าเชินเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง “อยู่ตรงนั้น ลูกกลัวไหมครับ” ลั่วเซ่าเชินทัดปอยผมของลั่วอิงไว้ข้างหู เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่ของเธอ


 


 


ลั่วอิงพยักหน้า พอนึกถึงช่วงเวลานั้น ตัวของเธอก็สั่นเทิ้ม ลั่วเซ่าเชินรีบกอดเธอไว้แน่น “โอเค เราเลิกคิดถึงเรื่องนี้กันเถอะนะ พ่อจะไม่ถามแล้ว”


 


 


เขาลูบแผ่นหลังของลั่วอิงและตบเบาๆ เป็นจังหวะ ลั่วอิงสั่นอยู่นานก่อนจะค่อยๆ สงบลง เธอพูดด้วยเสียงอู้อี้


 


 


“คุณพ่อขา… ตอนนั้นหนูกลัวมาก หนูกลัวว่าคุณพ่อกับแม่โจวโจวจะหาหนูไม่เจอ คนพวกนั้นดุร้ายมาก… ฮือ… แต่พอหนูได้เจอแม่โจวโจวแล้ว หนูก็หายกลัวไปเลยค่ะ”


 


 


เมื่อนึกถึงตอนที่ถังโจวโจวปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอราวกับนางฟ้าใจดีมาช่วย นัยน์ตาของลั่วอิงก็เป็นประกาย ความสำคัญของถังโจวโจวที่อยู่ในใจเธอถูกยกขึ้นไปอีกขั้น ในสายตาของลั่วอิงนั้น ไม่มีใครสามารถเทียบกับถังโจวโจวได้เลย


 


 


ลั่วเซ่าเชินเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ เมื่อได้ยินน้ำเสียงชื่นชมเลื่อมใสของลั่วอิง “ลูกชอบแม่โจวโจวมากขนาดนั้นเลยหรือครับ”


 


 


“แน่นอนค่ะ! คุณพ่อขา ทำไมคุณพ่อถึงถามคำถามนี้อีกแล้วล่ะคะ หนูบอกคุณพ่อไปไม่รู้กี่รอบแล้วนะ” ปากเล็กๆ ของลั่วอิงพูดด้วยความพึงพอใจ ลั่วเซ่าเชินจึงได้แต่อิจฉา


 


 


ก๊อกๆๆ


 


 


“เชิญครับ” ลั่วเซ่าเชินนึกว่าพยาบาลจะเข้ามาเปลี่ยนยาให้ลั่วอิง เขาจึงพูดเสียงเรียบ


 


 


“เซ่าเชิน ลั่วอิงเป็นยังไงบ้าง” แต่แล้วกลับเป็นคุณแม่ถังที่เดินเข้ามา


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบลุกขึ้นยืนในทันที “แม่ครับ แม่มาได้ยังไงครับ”


 


 


“คุณยายมาเยี่ยมหนูแล้ว!” ลั่วอิงอุทานออกมาด้วยความดีใจ


 


 


คุณแม่ถังวางกระติกเก็บความร้อนไว้บนโต๊ะ ลั่วเซ่าเชินยกตำแหน่งที่ข้างเตียงให้กับคุณแม่ถัง ส่วนเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวถัดออกไปแทน “ทำไมถึงไม่เรียกผมไปรับล่ะครับ” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าคุณแม่ถังยังถือถุงมาอีกหนึ่งใบ เขาไม่รู้ว่าภายในนั้นมีอะไร แต่มันดูค่อนข้างหนัก


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แม่ไม่ค่อยมีของน่ะ จะให้คุณไปรับทำไม เผื่อคุณทำธุระอยู่ แม่ก็เลยนั่งรถมาเองจ้ะ”


 


 


หลังจากที่คุณแม่ถังโทรคุยกับถังโจวโจวแล้ว เธอก็รีบเก็บข้าวเก็บของอย่างรวดเร็ว พอป้าหลิวแกทำกับข้าวเสร็จ เธอก็ถือติดมือมาด้วยเลย


 


 


“อ้อ อีกเดี๋ยวป้าหลิวจะมาส่งซุปไก่ให้อีกทีนะ แต่นี่แม่ถือกับข้าวมาให้ลั่วอิงก่อนแล้ว แม่กลัวว่าพวกคุณจะทานอาหารของโรงพยาบาลไม่ลง”


 


 


จากความคิดเห็นของคุณแม่ถัง ลั่วเซ่าเชินดูเป็นคนถือเนื้อถือตัว เขาคงจะไม่กินอาหารของทางโรงพยาบาลแน่ ส่วนลั่วอิงเองก็กำลังอยู่ในช่วงบำรุงร่างกาย หากให้ป้าหลิวทำอาหารที่ถูกปากมาให้ น่าจะทำให้เธอกินได้เยอะขึ้น และร่างกายของเธอก็จะได้หายไวๆ


 


 


“คุณยายขา ป้าหลิวทำอะไรอร่อยๆ มาให้ทานหรือคะ ขอหนูดูหน่อย!” ลั่วอิงกำลังหิวอยู่พอดี ส่วนโจ๊กที่ถังโจวโจวกำลังจะซื้อเข้ามา เธอก็ลืมความอยากไปหมดสิ้น


 


 


อาจเป็นเพราะว่าตอนที่เธอถูกลักพาตัวนั้น เธอไม่ค่อยได้กินอะไรสักเท่าไร ดังนั้น ตอนนี้ลั่วอิงจึงรู้สึกหิว เธออดใจรอแทบไม่ไหวแล้ว น้ำลายของเธอสอไปหมด เธอแค่อยากจะยัดของอร่อยให้เต็มปาก


 


 


“โอเคค่ะ เด็กดี หนูไม่ต้องรีบค่ะ คุณยายกำลังจะหยิบออกมาให้ดูนะ เซ่าเชิน คุณช่วยยกโต๊ะมากางตรงนี้ให้แม่หน่อยนะ”


 


 


เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าลั่วอิงอยากกินใจจะขาด เธอก็รีบนำเสนออาหารแต่ละอย่างในทันที


 


 


“มีซุปซานเซียน[1] ผัดดอกกะหล่ำหมู แล้วก็เห็ดผัดจ้ะ” เป็นเพราะเวลากระชั้นชิดมากเกินไป ป้าหลิวจึงไม่ได้ทำอาหารอะไรที่ซับซ้อนมากนัก นอกจากนี้ หากทำมากเกินไป ลั่วอิงก็กินไม่หมด


 


 


เนื่องจากคุณแม่ถังรีบออกมาก่อน เธอจึงหยิบมาแค่ส่วนของลั่วอิงเพียงคนเดียว เธอค่อยๆ วางอาหารลงบนโต๊ะทีละอย่าง จากนั้นเธอก็ส่งช้อนและตะเกียบให้กับลั่วอิง ลั่วอิงรีบก้มหน้าก้มตากินในทันที


 


 


“เซ่าเชิน เดี๋ยวป้าหลิวจะถือข้าวของคุณกับโจวโจวมาให้นะ” คุณแม่ถังเห็นว่าดวงตาของลั่วเซ่าเชินดูเหนื่อยล้ามาก และเมื่อคิดๆ ดูแล้ว เขาอาจจะไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันเนื่องจากเรื่องของลั่วอิง “คุณเอนพักสักหน่อยดีไหม อย่าฝืนร่างกายจนไม่สบายไปอีกคนนะ”


 


 


“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมยังทนไหว คุณพ่อท่านทราบหรือยังครับว่าลั่วอิงกลับมาแล้ว”


 


 


“รู้แล้วจ้ะ แม่บอกพ่อเขาแล้ว อีกเดี๋ยวเขาก็มา”


 


 


คุณแม่ถังยืนคุยอยู่กับลั่วเซ่าเชิน สายตาของเธอมองไปที่ลั่วอิงเป็นระยะๆ และเมื่อเห็นว่าลั่วอิงกินข้าวได้ดี ซ้ำยังคำใหญ่อีกด้วย คุณแม่ถังก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ตอนที่เธอมาเธอยังกลัวอยู่เลยว่าลั่วอิงจะกินอะไรไม่ลง เนื่องจากความหวาดกลัวยังฝังอยู่ในใจ แต่เมื่อได้เห็นแบบนี้แล้ว เธอก็โล่งอก


 


 


คุณแม่ถังดึงลั่วเซ่าเชินมาอีกฝั่ง ก่อนจะกระซิบถามว่า “นอกจากมีไข้แล้ว ลั่วอิงก็ไม่ได้เป็นอะไรอีกใช่ไหมคะ แล้วโจวโจวล่ะ?”


 


 


“ไม่แล้วครับ ภายนอกไม่มีอะไรร้ายแรง แต่ผมไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไง ส่วนโจวโจวออกไปซื้อโจ๊กครับ อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมา เธอเองก็สบายดี” ลั่วเซ่าเชินเล่าสถานการณ์โดยรวมให้คุณแม่ถังฟังอย่างคร่าวๆ และเมื่อคุณแม่ถังฟังจบ เธอก็พรูลมหายใจออกมายาวเหยียด


 


 


“โชคดีจริงๆ โชคดีที่คนๆ นั้นมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่อย่างนั้นคง… ช่างมันเถอะ! เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงมันหรอก” คุณแม่ถังกลัวว่าจะมีคำไหนไปกระทบจิตใจของลั่วอิงและลั่วเซ่าเชินเข้า เธอจึงรีบหยุดมันไว้


 


 


“ไม่เป็นไรครับแม่ วันหลังผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ ผมจะไม่ปล่อยให้ลั่วอิงกับโจวโจวคลาดสายตาอีกแล้ว” ที่จริงแล้วลั่วเซ่าเชินก็นึกกลัวอยู่เหมือนกัน หากเจ้าแผลเป็นยอมตายเสียดีกว่ายอมปล่อยคน บางทีเขาก็อาจจะสูญเสียถังโจวโจวกับลั่วอิงไปแล้วก็ได้ ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้น


 


 


แม้ว่าจะเตรียมการมามากมาย แต่มันก็ไม่สามารถหักล้างความใจอ่อนของเจ้าแผลเป็นได้ โชคดีที่ทุกอย่างจบลงได้ด้วยดี


 


 


“เซ่าเชิน ฉันซื้อโจ๊กมาแล้ว ทางร้านเขาให้ผักเคียงมาด้วยนะ… อ้าว แม่คะ? แม่มาแล้ว!” เมื่อถังโจวโจวปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเข้ามา เธอก็เห็นว่าสีหน้าของคุณแม่ถังนั้นมีแต่ความสุข ปราศจากความเหนื่อยใจ


 


 


“อีกเดี๋ยวป้าหลิวจะเอากับข้าวของพวกลูกมาส่งให้ ตอนนี้กินโจ๊กรองท้องกันไปก่อนก็แล้วกัน” เมื่อคุณแม่ถังเห็นว่าถังโจวโจวถือโจ๊กมาด้วยสามถุง และอีกหนึ่งถุงที่เหลือก็อาจจะเป็นผักเคียงที่ไว้กินกับโจ๊ก เธอก็รีบบอกให้ถังโจวโจววางของไว้บนโต๊ะเล็ก


 


 


“แม่คะ นี่อะไรเหรอ” ถังโจวโจวเห็นถุงตุงๆ อีกใบหนึ่ง เธอจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


 


“อ๋อ แม่เอาเสื้อผ้ามาให้ลั่วอิงน่ะ ไว้ให้เธอใส่ตอนที่ออกจากโรงพยาบาล”


 


 


ลั่วอิงทำลายล้างอาหารได้อย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ป้าหลิวก็มาส่งอาหารในส่วนของลั่วเซ่าเชินและถังโจวโจว ในขณะที่ลั่วอิงก็ยังคงกินซุปไก่ที่ถูกตุ๋นมาให้เธอโดยเฉพาะต่อ


 


 


เมื่อคุณพ่อถังได้ข่าวว่าลั่วอิงไม่เป็นอะไร หลังจากที่เขาทำธุระเสร็จ เขาก็รีบไปที่โรงพยาบาล เขาได้ยินคุณแม่ถังบอกว่าถังโจวโจวไปรับลั่วอิงตามลำพัง ดังนั้น เมื่อคุณพ่อถังได้เจอหน้าถังโจวโจวแล้ว เขาจึงตำหนิเธอยกใหญ่


 


 


สำหรับถังโจวโจวแล้ว เธอรู้สึกว่าลั่วอิงได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน แต่ถังโจวโจวกลับได้รับสิ่งตรงกันข้าม ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวหงุดหงิดมาก “นี่พ่อได้หลานแล้วลืมลูกจริงๆ!”


 


 


“เจ้าเด็กคนนี้นี่ พูดอะไรน่ะ!” คุณพ่อถังจิ้มไปที่หน้าผากของถังโจวโจว ถังโจวโจวกุมหน้าผากพลางมองไปที่คุณพ่อถังอย่างเจ็บปวด


 


 


“พ่อขา หนูไม่ใช่คนที่พ่อรักมากที่สุดแล้วสินะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีเหรือที่พ่อจะทำอะไรแบบนี้กับหนูน่ะ” เมื่อคุณพ่อถังเห็นว่าถังโจวโจวเล่นเป็นเด็กๆ เขาก็ไม่สนใจเธออีก


 


 


แต่สุดท้ายแล้วถังโจวโจวก็รีบพุ่งตัวเข้าไปออดอ้อนในอ้อมแขนของคุณพ่อถัง สีหน้าเธอไม่มีแววล้อเล่นอีก “หนูรู้ว่าพ่อหวังดีกับหนู ครั้งนี้มันเป็นความผิดของหนูเอง ที่ทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วง”


 


 


เดิมทีถังโจวโจวก็แค่หุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ เธอคิดแค่ว่าในเมื่อเธอเป็นคนทำให้ลั่วอิงหายไป เธอก็ต้องเป็นคนที่พาลั่วอิงกลับมาอย่างปลอดภัย แต่ที่ไหนได้ เธอกลับทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ถังพลอยเป็นกังวลไปด้วย


 


 


ถังโจวโจวรู้ดีว่าเบื้องหลังการตำหนิเธอของคุณพ่อถังแอบแฝงไปด้วยความห่วงใย แต่คุณพ่อถังนั้นแสดงออกไม่เก่ง ดังนั้นท่านจึงดูน่ากลัวอยู่เล็กน้อย


 


 


และเมื่อคุณพ่อถังเห็นว่าถังโจวโจวเข้าใจในความหมายที่เขาจะสื่อแล้ว เขาก็ทอดถอนหายใจ ถือว่าเลี้ยงไม่เสียข้าวสุก! หากถังโจวโจวเข้าใจเขาผิดไปจริงๆ เขาก็คงจะต้องตีถังโจวโจวเพื่อเตือนสติ แต่คุณพ่อถังก็แค่คิดเล่นๆ เขาจะทำอย่างนั้นจริงได้อย่างไร!


 


 


ตกดึก ถังโจวโจวเป็นคนที่อยู่เฝ้าลั่วอิงในห้องพักผู้ป่วย เธอบอกให้ลั่วเซ่าเชินไปส่งคุณพ่อกับคุณแม่ถังที่บ้านก่อน ส่วนเธอก็ขอให้พยาบาลนำเตียงเสริมมาให้เธอ เพื่อที่เธอจะได้นอนข้างๆ ลั่วอิง


 


 


ลั่วอิงบอกให้ถังโจวโจวขยับเตียงเข้ามาใกล้ๆ ทำให้มันกลายเป็นเตียงหลังใหญ่หนึ่งหลัง “แม่โจวโจวขา เดี๋ยวเรานอนด้วยกันนะคะ!” ดูเหมือนว่าลั่วอิงจะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้นอนกับถังโจวโจว คิดๆ ดูแล้วก็มีความสุข


 


 


ภายในห้องพักผู้ป่วยมีแค่พวกเธอสองคน ถังโจวโจวยกอ่างน้ำเล็กๆ ออกมาอ่างหนึ่ง เพื่อเช็ดตัวให้กับลั่วอิง หลังจากนั้นเธอก็เข้าไปอาบน้ำ เธอขอให้ลั่วเซ่าเชินเอาเสื้อผ้าเธอมาให้ และเมื่อเธอเปลี่ยนชุดแล้ว ถังโจวโจวก็ลองนอนลงไปบนเตียง


 


 


ลั่วอิงเขยิบตัวจนเหลือที่กว้าง แต่ถังโจวโจวกลัวว่าลั่วอิงจะตกเตียง เธอจึงขยับตัวลั่วอิงเข้ามาเล็กน้อย และเมื่อเธอทาบฝ่ามือลงไปบนหน้าผากของลั่วอิง เธอก็พบว่าอุณหภูมิในร่างกายของลั่วอิงไม่ได้สูงจนน่าตกใจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ถังโจวโจวจึงคลายความตึงเครียดในใจของเธอลง “เอาละค่ะ นอนกันเถอะนะ”


 


 


 


 


[1] ซุปซานเซียน หรือ ซุปสามสหาย อาหารดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียง ส่วนผสมหลักที่ใส่ในซุปคือ ปลิงทะเล ปลาหมึก และหน่อไม้แห้ง 

 

 


ตอนที่ 184 ฝันร้าย

 

           “แม่โจวโจวขา คุณแม่นอนกอดหนูได้ไหมคะ” ลั่วอิงพูดพลางหันหน้าไปมองถังโจวโจวเล็กน้อย


 


 


“ได้สิคะ ตอนนี้หนูไม่กลัวแล้วใช่ไหม” ถังโจวโจวตะแคงตัวและใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ของลั่วอิง ส่วนลั่วอิง เมื่อเธอได้รับอนุญาตจากถังโจวโจว เธอก็รีบใช้แขนทั้งสองข้างกอดตัวถังโจวโจวเอาไว้


 


 


“แม่โจวโจวขา ขอแค่มีคุณแม่ หนูก็ไม่กลัวแล้วค่ะ” ลั่วอิงกอดถังโจวโจวไว้แน่น ราวกับว่าต้องการจะรับพลังงานความแข็งแกร่งจากตัวของถังโจวโจว


 


 


วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยสำหรับถังโจวโจว และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว และในขณะที่เธอกำลังหลับลึกอยู่นั้น ถังโจวโจวก็ได้ยินเสียงตะโกน


 


 


เมื่อเธอลืมตาที่สะลึมสะลือขึ้น ถังโจวโจวก็พบว่าลั่วอิงกำลังถูกความฝันเล่นงานอยู่ ลั่วอิงหลับตา แต่ปากกลับตะโกนร้องไม่หยุดว่า “คุณพ่อขา แม่โจวโจวขา หนูไม่อยากอยู่ที่นี่…”


 


 


ถังโจวโจวตาสว่างทันควัน “ลั่วอิง ตื่นก่อนลูก ตื่นเร็ว” ถังโจวโจวพยายามจับมือของลั่วอิง เพื่อไม่ให้เธอดิ้นไปดิ้นมา หลังจากนั้นลั่วอิงก็ค่อยๆ สงบลง และดวงตาของเธอก็ยังคงปิดอยู่


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วอิงผ่านฝันร้ายนั้นไปได้ ถังโจวโจวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อเธอลูบแผ่นหลังของลั่วอิง เธอก็พบว่ามันเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ถังโจวโจวลุกขึ้นมาเติมน้ำร้อนในอ่าง เพื่อเช็ดแผ่นหลังให้ลั่วอิง เธอหันมองดูเวลา ก็พบว่ามันเป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว


 


 


ความจริงแล้วถังโจวโจวง่วงมาก แต่เธอก็เป็นห่วงว่าลั่วอิงจะฝันร้ายแบบนั้นอีก เธอจึงรออยู่พักหนึ่ง และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงหลับสนิทจริงๆ ถังโจวโจวก็ค่อยๆ หลับไป


 


 


ในตอนเช้า ทันทีที่ลั่วอิงขยับตัว ถังโจวโจวก็ลืมตาตื่น ลั่วอิงกำลังจะลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ เธอตั้งใจขยับตัวให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้ถังโจวโจวตื่น แต่เห็นทีจะไม่ทันแล้ว


 


 


“เป็นอะไรไปคะ แล้วหนูจะไปไหน” ถังโจวโจวยันตัวเองขึ้นมาจากที่นอน และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงพยายามจะลงจากเตียง เธอก็เข้าใจได้ในทันที “อยากไปห้องน้ำใช่ไหมคะ”


 


 


“ค่ะ” เสียงนั้นเบาเสียยิ่งกว่ายุง ถังโจวโจวเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ของลั่วอิงมีสีแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอหลับสบายหรือว่าเป็นเพราะเธอเก็บกักมันมานาน?


 


 


ถังโจวโจวรีบสวมเสื้อคลุมเพื่อลงจากเตียง จากนั้นเธอก็สวมให้ลั่วอิงด้วยเหมือนกัน “รอเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวแม่โจวโจวจะอุ้มหนูไป”


 


 


“ไม่ต้องค่ะ หนูไปเองได้” ลั่วอิงปฏิเสธในทันที เธอโตแล้วนะ อีกทั้งสุขภาพร่างกายของเธอเองก็แข็งแรงดี เธอไม่ต้องการให้ถังโจวโจวอุ้ม


 


 


“โอเคค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูไปเองนะ แม่โจวโจวไม่อุ้มแล้ว” ถังโจวโจวคอยช่วยเหลือลั่วอิงในขณะที่ไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงยังไม่คิดจะนอนต่อ เธอจึงคิดจะอาบน้ำให้ลั่วอิง “หนูนั่งรออยู่บนเตียงก่อนนะคะ คุณพ่อกำลังจะมาแล้ว แม่โจวโจวจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วเดี๋ยวคุณแม่จะออกมาอยู่เป็นเพื่อนนะ”


 


 


“ค่ะ แม่โจวโจว หนูจะรออยู่ตรงนี้ คุณแม่รีบไปเถอะค่ะ”


 


 


ถังโจวโจววางใจลงได้ชั่วคราว ที่นี่คือโรงพยาบาล ไม่มีใครสามารถลักพาตัวลั่วอิงไปได้อีก แต่เป็นเพราะฝันร้ายก่อนหน้านี้ ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังแปรงฟันอยู่นั้น เธอจึงชะโงกหน้าออกมาจากประตู และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงปกติดี เธอจึงหันกลับไปแปรงฟันต่อ


 


 


ทันทีที่ถังโจวโจวอาบน้ำเสร็จ ลั่วเซ่าเชินก็ถือของเดินเข้ามา “คุณตื่นนานแล้วเหรอ” ลั่วเซ่าเชินเอ่ยถามในขณะที่วางของลง


 


 


“สักพักเองค่ะ ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จก่อนที่คุณจะมา วันนี้คุณจะเข้าบริษัทไหมคะ” ลั่วเซ่าเชินไม่ได้เข้าบริษัทมาหลายวันแล้ว วันนี้เขาควรจะเข้าไปดูสักหน่อย


 


 


“อืม รอพวกคุณทานเสร็จกันก่อนแล้วค่อยไป รีบทานข้าวเช้าเถอะ” อาหารเช้าถูกแบ่งออกเป็นสองกล่อง กล่องหนึ่งเป็นข้าวต้ม อีกกล่องหนึ่งเป็นซาลาเปา ป้าหลิวน่าจะเตรียมแป้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แล้วก็ค่อยลุกขึ้นมาทำให้ในตอนเช้า


 


 


“ลำบากป้าหลิวแย่เลย อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาทำอาหารให้” จะนึ่งซาลาเปาแต่ละทีนั้นต้องใช้ฝีมือและเวลาอย่างมาก ถังโจวโจวคิดว่าพอลั่วอิงหายดีแล้ว เธอควรจะบอกให้ลั่วเซ่าเชินให้รางวัลแก่ป้าหลิวบ้าง เพื่อตอบแทนน้ำใจของป้าหลิวที่ดูแลพวกเธออย่างดีมาตลอด


 


 


“เอาละ รีบทานเถอะ คุณไม่เห็นเหรอ ลูกสาวเราน้ำลายจะหกแล้ว”


 


 


ลั่วอิงรีบเช็ดมุมปากทันที แล้วเธอก็พบว่าเธอถูกลั่วเซ่าเชินหลอก ดังนั้น เธอจึงตะโกนลั่นออกมา “คุณพ่อ! ไม่จริงสักหน่อยค่ะ”


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วอิงร่าเริง แต่สิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจของเธอก็คือฝันร้ายของลั่วอิงเมื่อคืนนี้ ถังโจวโจวเชื่อว่าเรื่องนี้ยังคงส่งผลกระทบต่อจิตใจของลั่วอิงอยู่ ที่ลั่วอิงดูยิ้มแย้มแจ่มใส อาจเป็นเพราะกลัวว่าเธอกับลั่วเซ่าเชินจะเป็นห่วง


 


 


“เซ่าเชิน เราออกไปคุยกันสักนิดเถอะค่ะ ลั่วอิงทานไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวแม่โจวโจวกับคุณพ่อกลับมา”


 


 


ลั่วอิงยุ่งอยู่กับซาลาเปาที่แสนเอร็ดอร่อย “ค่ะ ได้เลยค่ะ”


 


 


“มีอะไรเหรอ โจวโจว คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับผม” ลั่วเซ่าเชินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย เขาเห็นถังโจวโจวขมวดคิ้วยุ่ง ราวกับว่าเธอมีบางสิ่งบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ และเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เขาก็คิดไปถึงว่า หรือจะเป็นเพราะคำพูดของคุณแม่ลั่ว?


 


 


“เซ่าเชิน คุณอย่าเพิ่งคิดไปในทางอื่น เรื่องที่ฉันจะคุยกับคุณ มันเกี่ยวข้องกับลั่วอิง” ถังโจวโจวรีบอธิบายให้ลั่วเซ่าเชินเข้าใจก่อน ไม่ต้องบอกเธอก็รู้ว่าลั่วเซ่าเชินคิดไปถึงเรื่องของคุณแม่ลั่วอีกแล้ว เพราะมีแต่คุณแม่ลั่วเท่านั้นที่สามารถทำให้เธออารมณ์เสียได้


 


 


“ลั่วอิงเหรอ ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า” ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าลั่วอิงกินได้ ดื่มได้ ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แสดงออกมาให้เห็น แล้วเธอก็ดูจะดีวันดีคืนเลยทีเดียว!


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกได้ว่าหัวใจของชายหนุ่มนั้นช่างหยาบกระด้างเสียเหลือเกิน “คุณคิดว่าเรื่องนี้มันจะผ่านไปได้ง่ายๆ หรือคะ”


 


 


“คุณหมายถึงปัญหาทางด้านจิตใจ?” ลั่วเซ่าเชินรีบนึกถึงความเป็นไปได้ที่ทำให้ถังโจวโจวระแวดระวังมากขนาดนี้ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นได้อีก


 


 


ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ลั่วเซ่าเชินเองก็เคยกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้อยู่เหมือนกัน แต่เท่าที่ดูลั่วอิงแล้ว เธอก็ไม่ได้ออกอาการน่าเป็นห่วงอะไร ลั่วเซ่าเชินจึงแค่เข้าใจว่าลั่วอิงอาจจะเปิดใจมากขึ้นและไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก แต่ตอนนี้ถังโจวโจวกลับหยิบยกหัวข้อนี้ขึ้นมาพูด


 


 


“เมื่อคืนตอนที่ฉันนอนกับลั่วอิง เธอฝันร้ายค่ะ เธอเอาแต่พูดว่า ‘คุณพ่อขา แม่โจวโจวขา หนูไม่อยากอยู่ที่นี่’ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร พอเช้านี้ฉันถามเธอว่าเมื่อคืนฝันร้ายหรือเปล่า เธอก็ตอบว่าไม่”


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าจิตใจของลั่วอิงจะมีปัญหา “คุณหมายความว่าเธอตั้งใจทำให้เราคิดว่าเธอไม่เป็นอะไร เพื่อไม่ให้เราต้องเป็นกังวลอย่างนั้นเหรอ”


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันคิดแบบนั้น เพราะเมื่อตอนเช้าที่ฉันถามเธอ เธอหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง ราวกับว่าเธอกำลังคิดว่าเธอจะตอบคำถามของฉันยังไงดี แล้วถ้าเธอไม่ได้ฝันร้ายจริงๆ ทำไมเธอถึงต้องตอบมันด้วยล่ะคะ”


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าบางทีลั่วอิงอาจจะไม่อยากให้พวกเขาเป็นกังวล ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะปิดบัง แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าถังโจวโจวนั้นคิดผิด ลั่วอิงอาจจะจำสิ่งที่เธอฝันเมื่อคืนไม่ได้จริงๆ เพราะบางครั้งเธอเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน พอตื่นเช้าขึ้นมา เธอก็ลืมไปหมดแล้วว่าเมื่อคืนเธอฝันอะไร


 


 


“โอเค ผมจะคอยจับตาดูไว้ คุณนอนกับเธออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน คอยสังเกตดูว่าเธอเป็นแบบนั้นบ่อยหรือเปล่า หากว่าเธอเป็นแบบนั้นจริงๆ เราค่อยเชิญจิตแพทย์มาดูอาการของเธอ”


 


 


“ค่ะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินอยู่กับสองแม่ลูกต่ออีกสักพัก ก่อนจะเข้าไปที่บริษัท ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังเล่านิทานให้ลั่วอิงฟัง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “เชิญค่ะ”


 


 


“ลั่วอิง น้าหลินเหยามาเยี่ยมแล้ว” หลินเหยาหอบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่มาด้วย เจ้าหมีตัวนี้บังเธอไปเกือบครึ่งตัว คงจะพอจินตนาการได้ว่าเจ้าหมีตัวนี้มันใหญ่มากขนาดไหน


 


 


“น้าหลินเหยาคะ อันนี้ให้หนูเหรอ” ลั่วอิงมองไปที่ตุ๊กตาหมีด้วยความตกตะลึง เธอไม่เคยได้รับตุ๊กตาตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เธอจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


 


 


“ใช่ค่ะ น้าให้หนู ชอบไหมคะ” หลินเหยาวางตุ๊กตาหมีไว้บนเตียง และทันใดนั้นเตียงก็แออัดขึ้นมา


 


 


“เธอจะซื้อหมีตัวใหญ่ขนาดนี้มาทำไม” ถังโจวโจวถาม


 


 


“ก็ลั่วอิงชอบตุ๊กตาหมีไม่ใช่เหรอ ฉันซื้อมาให้ลั่วอิงโดยเฉพาะเลยนะ ลั่วอิงจะได้ดีใจ” ตอนที่หลินเหยาได้รับข่าวว่าลั่วอิงหายตัวไป เธอก็ได้แต่ปลอบโยนถังโจวโจวผ่านโทรศัพท์ โดยหวังว่าถังโจวโจวจะไม่โทษตัวเอง แต่มันก็คงไร้ประโยชน์ในเวลานั้น


 


 


หลินเหยารู้ว่าหากลั่วอิงไม่สามารถกลับมาได้ ถังโจวโจวก็จะไม่ยอมยกโทษให้ตัวเองไปตลอดชีวิต และเมื่อได้ข่าวว่าลั่วอิงกลับมาอย่างปลอดภัย หลินเหยาก็รีบซื้อของเล่นสุดโปรดของลั่วอิงมาเยี่ยมเธอในทันที


 


 


ประตูถูกเคาะขึ้นอีกครั้ง หลินเหยาเป็นฝ่ายเดินไปเปิดให้ พลางถาม “คงไม่ใช่สามีเธอหรอกใช่ไหม” ท่านบอสลั่วมาเหรอ?


 


 


“จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อเช้านี้เขามาแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะอยู่ที่บริษัท” แต่เธอเองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าไม่ใช่ลั่วเซ่าเชิน ถ้าเซ่าเชินจะมา ทำไมเขาถึงต้องเคาะประตูด้วยล่ะ?


 


 


และเมื่อหลินเหยาเปิดประตู “ฟังหยวน คุณนั่นเอง!”


 


 


ฟังหยวนก้าวเข้าไปในห้องพร้อมกับตะกร้าผลไม้ ถังโจวโจวยิ้มพลางมองไปที่เขา “ฟังหยวน คุณรู้ข่าวได้ยังไงคะ”


 


 


“โจวโจว ผมได้ยินมาจากอาเชินน่ะ ลั่วอิง ลุงฟังมาเยี่ยมหนูแล้วนะ ดีใจไหมครับ” ฟังหยวนส่งตะกร้าผลไม้ให้กับถังโจวโจว ถังโจวโจวยกมันไปวางไว้บนโต๊ะ ฟังหยวนลูบศีรษะของลั่วอิงอย่างแรง


 


 


ลั่วอิงร้องออกมาเสียงดัง “ลุงฟังคะ คุณลุงอย่าลูบหัวหนูแบบนี้ ผมหนูยุ่งไปหมดแล้วค่ะ”


 


 


ฟังหยวนรีบเอ่ยขอความเมตตา “โอเคๆ ครับ เจ้าหญิงน้อย ลุงฟังผิดไปแล้ว แต่ที่ลุงลูบหัวหนูก็เพราะลุงชอบหนูนะ” ฟังหยวนน้อยใจ หากไม่ใช่เพราะเป็นเธอ เขาก็ไม่แตะหรอกนะ


 


 


ลั่วอิงจับผมเปียที่ถังโจวโจวถักให้เธอเมื่อเช้านี้ หลังจากเธอรู้แล้วว่ามันยังไม่เสียทรง เธอถึงคลายความโกรธลงบ้าง


 


 


และเมื่อได้ยินฟังหยวนพูดแบบนั้น เธอก็ตั้งคอเถียงกับเขาอีก “หนูไม่ได้อยากให้คุณลุงชอบหนูสักหน่อย แล้วนี่ก็เป็นเปียที่แม่โจวโจวถักให้หนูเลยนะคะ”


 


 


“อ้อ จริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นลุงยิ่งต้องแตะมันดีๆ” เขาแกล้งยื่นมือออกไปทางศีรษะของลั่วอิง


 


 


ลั่วอิงเอียงหลบอยู่ด้านข้างและตะโกนบอกถังโจวโจวว่า “แม่โจวโจวขา ช่วยหนูด้วย หนูไม่อยากให้คุณลุงฟังทำเปียหนูยุ่ง”


 


 


“ฟังหยวน พอแล้วค่ะ! เดี๋ยวถ้าเจ้าหญิงน้อยโกรธขึ้นมาจริงๆ คุณจะปลอบเธอไม่ไหวนะคะ” ถังโจวโจวเอ่ยเตือนเขา


 


 


ฟังหยวนจึงเก็บมือกลับมา ก่อนจะพูดติดตลกว่า “แหม แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ลั่วอิง หนูนี่นะ…”


 


 


“เชอะ…”


 


 


เมื่อเห็นว่าลั่วอิงไม่สนใจเขาจริงๆ ฟังหยวนจึงทนหน้าหนาอีกครั้ง “ลั่วอิง หนูจะไม่สนใจลุงฟังแล้วเหรอ ไม่สนใจจริงๆ เหรอ…”


 


 


ลั่วอิงถูกฟังหยวนวอแวและถูกจักจี้ เธอจึงไม่อาจฝืนทำหน้านิ่งต่อไปได้ “ฮ่าๆๆ คุณลุงอย่าจักจี้…”


 


 


“รีบบอกลุงมานะ หนูยังจะโกรธลุงอยู่ไหม”


 


 


“ฟังหยวน เบาหน่อยค่ะ ลั่วอิงเพิ่งจะหายดีนะ” ถังโจวโจวกลัวว่าลั่วอิงจะเล่นจนเหนื่อยมากเกินไป เธอจึงอยากให้ฟังหยวนรามือ


 


 


“ไม่เป็นไร ผมรู้น้ำหนักมือดี” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ยังไม่หยุดมือและจักจี้ลั่วอิงต่ออยู่อย่างนั้น


 


 


ลั่วอิงขอร้องหลินเหยา เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยืนอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรเธอมากกว่านี้เลย “น้าหลินเหยาขา คุณน้าช่วยดึงลุงฟังออกไปหน่อย หนูถูกจักจี้จนจะไม่ไหวแล้วค่ะ”


 


 


“ฟังหยวน พอแล้ว ลั่วอิงจะทนไม่ไหวแล้ว คุณทำตัวเองทั้งนั้น ใครบอกให้คุณแหย่เธอ” หลินเหยาเองก็เอ่ยตักเตือนเขาเหมือนกัน ฟังหยวนจึงรู้สึกว่าเขาเล่นต่อไปไม่ได้แล้ว


 


 


“พวกคุณนี่นะ…”


 


 


“ทำไม พวกเราพูดผิดเหรอ?”


 


 


“ไม่ผิดครับ ไม่ผิด” 

 

 


ตอนที่ 185 เดินเล่นในสวนหย่อม

 

           ในตอนบ่าย คนในบริษัทของลั่วเซ่าเชินก็ส่งลูซี่มาเยี่ยมลั่วอิงแทนทุกคน ลูซี่ถือตะกร้าผลไม้และช่อดอกยิปโซมาด้วยช่อหนึ่ง เธอเคาะประตูห้องพักผู้ป่วย


 


 


“คุณผู้หญิงคะ ฉันมาเยี่ยมคุณหนูลั่วอิงในนามของพนักงานบริษัททุกคนค่ะ” ลูซี่มอบดอกไม้ให้กับถังโจวโจว ถังโจวโจววางมันไว้ในแจกัน ก่อนจะตั้งมันไว้บนโต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย


 


 


ช่อดอกยิปโซช่อนี้ช่วยประดับประดาให้ห้องนี้ได้ไม่น้อย ถังโจวโจวแอบนึกเสียใจ เธอน่าจะซื้อดอกไม้มาวางไว้ที่นี่บ้าง สภาพจิตใจและอารมณ์ของลั่วอิงจะได้ดีขึ้น


 


 


“ขอบคุณที่มานะคะ ลูซี่”


 


 


“พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ คุณผู้หญิง” ดวงหน้าของลูซี่ค่อยๆ ปรากฏสีแดง ในฐานะเลขาฯ ของลั่วเซ่าเชิน เธอถูกใครต่อใครมองว่าเป็นผู้หญิงแกร่งตลอดเวลา มีเพียงแค่ถังโจวโจวเท่านั้นที่ปฏิบัติกับเธอตามปกติ ราวกับว่าเธอไม่ได้เป็นเลขานุการของท่านผู้อำนวยการแห่งลั่วกรุ๊ป


 


 


“ความจริงแล้วฉันควรจะมาที่นี่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่วันนี้ท่านผอ. กลับไปจัดการธุระต่างๆ แล้ว ฉันก็เลยมีโอกาสได้มาเยี่ยมคุณหนู แต่ก็แค่พักเดียวค่ะ เดี๋ยวก็ต้องรีบกลับไปแล้ว ฉันหวังว่าคุณผู้หญิงคงจะไม่ถือสา”


 


 


ลูซี่เองก็เข้าหาเด็กๆ ไม่ค่อยเป็น นอกจากทักทายลั่วอิงแล้ว เธอก็คุยกับถังโจวโจว


 


 


“ถ้าคุณมีธุระก็รีบกลับเถอะค่ะ ลั่วอิงคะ รีบขอบคุณคุณน้าลูซี่เร็ว”


 


 


“คุณผู้หญิงคะ จะให้คุณหนูลั่วอิงขอบคุณฉันทำไมคะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย คุณหนู วันนี้ฉันต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ อีกสองสามวันจะมาเยี่ยมใหม่” ลูซี่พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น


 


 


แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมในยามที่เธอพยายามจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ถึงทำให้ลั่วอิงมีสีหน้าขมขื่นอย่างนั้น ลูซี่จึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ


 


 


“ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ คุณผู้หญิง คุณมีอะไรจะฝากถึงท่านผอ. ไหมคะ”


 


 


“ไม่มีค่ะ แค่คุณช่วยแบ่งเบางานจากเขา แค่นี้ฉันก็ขอบคุณคุณมากแล้ว” ถังโจวโจวรู้ว่าเธอไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายกับงานของลั่วเซ่าเชินได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่เพียงกึ่งกำชับให้ลูซี่ช่วยงานเขา


 


 


“แน่นอนค่ะ ในฐานะที่ฉันเป็นเลขาฯ ของท่านผอ. ฉันจะทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด” พวกเธอโบกมือลากัน และเมื่อเห็นว่าลูซี่ออกไปจากห้องแล้ว ลั่วอิงก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ


 


 


“ลั่วอิง เป็นอะไรไปคะ คิดว่าลูซี่จะกินคนหรือไง” ถังโจวโจวเอ่ยถามอย่างติดตลก เมื่อเห็นท่าทางเกินจริงของลั่วอิง


 


 


“แม่โจวโจวขา เธอไม่กินคนหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าสีหน้าของเธอดูเย็นชามาก ต่อให้อากาศร้อน หนูก็คงจะสั่นด้วยความเย็นชาของเธอ” ลั่วอิงทำตัวสั่นในขณะที่พูด ถังโจวโจวจึงรู้สึกว่าเธอพูดเกินไป


 


 


“ตรงไหนกันคะ ทำไมคุณแม่ไม่เห็นรู้สึกเลย” ถังโจวโจวกลับรู้สึกว่าวันนี้ลูซี่พกรอยยิ้มมาเป็นพิเศษ เธอคงหวั่นใจว่าลั่วอิงจะกลัวเธอ เธอถึงได้ทำแบบนี้ แต่ที่ไหนได้ ลั่วอิงก็ยังคงกลัวเธออยู่นั่นเอง นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี


 


 


“แม่โจวโจวคะ บางทีผู้ใหญ่อย่างคุณแม่อาจจะรู้สึกไม่เหมือนกับเด็กๆ อย่างหนู” ลั่วอิงสามารถสรุปได้ดังนี้ นอกเหนือจากนี้ เธอก็ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว


 


 


ถังโจวโจวพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กไว้อย่างชัดเจน “จ้ะ เจ้าเด็กน้อย นอนกลางวันได้แล้วค่ะ”


 


 


“แม่โจวโจวขา หนูยังไม่อยากนอน เราไปเดินเล่นรับแดดกันดีกว่านะคะ หนูนอนอยู่ที่นี่ทั้งวันจนราแทบจะขึ้นตัวหนูหมดแล้ว” หน้าต่างห้องลั่วอิงหันไปทางสวนหย่อมของโรงพยาบาล เธอรู้สึกทนไม่ไหวเมื่อได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวด้านนอก แต่ตัวเธอกลับยังต้องอุดอู้อยู่ในห้อง


 


 


ถังโจวโจวเห็นเธอหยิบยกเอาเหตุผลมาอ้าง “เป็นเด็กเป็นเล็ก รู้จักขึ้นราด้วย หนูไปฟังจากใครมาคะ?”


 


 


“ไม่ได้ฟังจากใครมาหรอกค่ะ แม่โจวโจวขา เรารีบไปกันเถอะ พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว” ลั่วอิงออดอ้อนและตั้งตารอให้ถังโจวโจวหลุดพูดตกลงออกมา


 


 


“เอาละๆ หยุดเขย่าแขนก่อนค่ะ ตัวคุณแม่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงปล่อยมือแล้ว เธอก็รีบเก็บแขนอย่างรวดเร็ว นับวันลั่วอิงกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจมากขึ้น ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ ถ้าเธอไม่ได้สมใจ เธอก็จะไม่ยอมแพ้!


 


 


“แม่โจวโจวขา ไปกันเถอะค่ะ หนูรู้ว่าคุณแม่ก็อยากไป” ลั่วอิงกลัวว่าถังโจวโจวจะโกรธ เธอจึงสงบนิ่งลงแต่โดยดี


 


 


หลังจากคุมเชิงกันอยู่นาน ถังโจวโจวก็หลุดยิ้มออกมา “มัวมองอยู่ทำไมคะ รีบลุกขึ้นมาเลย!”


 


 


“เย่! แม่โจวโจวใจดีที่สุดเลย” ลั่วอิงโห่ร้อง


 


 


บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยนั้นแปรเปลี่ยนไปเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ และเมื่อพวกเธอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ พวกเธอก็ลงไปที่สวนหย่อมด้วยกัน


 


 


ถังโจวโจวห่อตัวลั่วอิงเอาไว้หลายชั้น แม้จะมีแสงแดด แต่เธอก็กลัวว่าลั่วอิงจะหนาว เธอเพิ่งจะหายไข้ได้ไม่ทันไร เดี๋ยวจะโดนหวัดเล่นงานเข้าอีก


 


 


ใบหน้าของลั่วอิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถังโจวโจวเห็นว่าสายตาของลั่วอิงจับจ้องไปยังกลุ่มเด็กๆ ที่อยู่ทางด้านหนึ่ง “หนูอยากออกมาเล่นไม่ใช่หรือคะ รีบไปสิ”


 


 


“แล้วแม่โจวโจวล่ะคะ” ความปรารถนาในแววตาของลั่วอิงไม่สามารถหลอกลวงใครได้ อาจเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เธอมีเงามืดตามตัว หากเป็นยามปกติ เธอก็คงจะออกไปเล่นแล้ว ไม่มัวมามองถังโจวโจวอย่างลังเลใจแบบนี้


 


 


“คุณแม่จะรอหนูอยู่ตรงนี้ค่ะ แค่หนูเงยหน้าขึ้นมา หนูก็จะเห็นคุณแม่ตลอด แบบนี้หนูสบายใจแล้วใช่ไหมคะ” ถังโจวโจวรู้ว่าลั่วอิงคิดเช่นไร ในเมื่อสัญญากับเธอแล้วว่าจะพาเธอออกมาเล่น แต่ถ้าเธอกลับรู้สึกมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ แล้วทีนี้จะให้เธอเล่นอย่างสนุกสนานได้อย่างไร


 


 


ลั่วอิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “แม่โจวโจวต้องอยู่ในสายตาของหนูตลอดเลยนะคะ!”


 


 


เมื่อได้ฟังคำพูดของลั่วอิง ถังโจวโจวก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ ดูเหมือนว่าเธอจะยังลืมเหตุการณ์นั้นไม่ได้จริงๆ! “ค่ะ แม่โจวโจวจำไว้แล้ว รีบไปได้แล้วค่ะ เพื่อนๆ กำลังรอหนูอยู่”


 


 


เธอมองดูลั่วอิงที่วิ่งออกไปอย่างมีความสุข ถังโจวโจวเจอม้านั่งที่ตั้งหันหน้าเข้าดวงอาทิตย์ แสงแดดสาดส่องลงมาที่เธอ เธอรู้สึกอบอุ่นไปทั่วตัว และเมื่อเธอได้นั่งพิงหลังสบายๆ แบบนี้ ความง่วงก็เข้ามาเยือน


 


 


ในขณะที่เธอกำลังเคลิบเคลิ้มท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ก็มีใครคนหนึ่งมายืนบังแสงแดดของเธอ เดิมทีถังโจวโจวนึกว่าคนคนนั้นแค่เดินผ่านมา แต่ช่วงเวลาที่เขาจะเดินผ่านไปนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน ถังโจวโจวจึงลืมตาขึ้นมอง “เซียวโม่ นายนั่นเอง!”


 


 


แต่ทำไมเขาถึงจ้องเธออยู่อย่างนั้นล่ะ เธอไม่ได้ทำเรื่องน่าอายอะไรออกไปใช่ไหม ถังโจวโจวขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลบจากตำแหน่งยืนของเขา แต่น่าเสียดายที่เซียวโม่เหมือนจะตั้งตัวเป็นอริกับเธอ เขาขยับสองก้าว เพื่อมายืนบังอยู่หน้าเธอต่อ


 


 


“เซียวโม่ นายคิดจะทำอะไร” ถังโจวโจวเสียงแข็ง กว่าเธอจะมีเวลามานั่งดื่มด่ำกับแสงแดดอันอบอุ่นทั้งที ก็มาถูกเขาบดบังไปเสียหมด นี่เขาเหมือนกับคนโรคจิตไม่มีผิด


 


 


แต่มันก็เป็นแค่ความคิดที่อยู่ในใจ แน่นอนว่าเซียวโม่สังเกตเห็นความรำคาญที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของถังโจวโจว เพียงแต่เขามีบางเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจ และเมื่อได้เจอถังโจวโจวที่นี่ เขาจึงปรี่เข้ามาหาเธอทันที


 


 


“โจวโจว ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เซียวโม่สำรวจมองดูร่างกายของถังโจวโจว เขาไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ แสดงว่าไม่ใช่ถังโจวโจวที่ป่วยหรือบาดเจ็บ


 


 


“มันไม่ใช่เรื่องของนาย แล้วสวี่โยวล่ะ?” ดูจากท่าทางของเซียวโม่แล้ว เขาน่าจะพาสวี่โยวมาตรวจร่างกาย แล้วที่เขามายืนบังเธออยู่ตรงนี้โดยทิ้งภรรยาไว้คนเดียว มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?


 


 


จู่ๆ ถังโจวโจวก็รู้สึกว่า ยิ่งนานวันเข้า เธอก็ยิ่งไม่อยากคุยกับเซียวโม่แล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเซียวโม่แล้ว


 


 


ในตอนนี้พวกเธออาจจะคุ้นเคยกันมากกว่าคนแปลกหน้า แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนแปลกหน้าสักเท่าไร นี่สวรรค์กำลังเล่นตลกกับเธออยู่หรือเปล่า?


 


 


ถังโจวโจวไม่เข้าใจ แต่เธอก็จะไม่โทษใคร ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็ได้แต่เดินหน้าต่อไปทีละก้าว ขนาดม้าดียังไม่กลับไปกินหญ้าเก่าเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเธอ!


 


 


“เธอพบหมออยู่ กำลังตรวจร่างกายน่ะ” เซียวโม่ตอบไปตามตรง เขาเชื่อว่าแม้ว่าเขาจะพูดความจริงอย่างนี้ แต่ถังโจวโจวก็คงจะไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่าตอนนี้หัวใจของเธอมีแต่ลั่วเซ่าเชินและลั่วอิง ลูกสาวของพวกเขา


 


 


บางครั้งเซียวโม่ก็จะมองดูหน้าท้องที่นับวันก็ยิ่งโตขึ้นของสวี่โยว แล้วก็จินตนาการว่า หากคนที่อยู่ข้างกายเขาคือถังโจวโจว หากเด็กที่อยู่ในท้องเป็นลูกของเขากับถังโจวโจว เขาก็แทบไม่ต้องนึกเลยว่าเขาจะมีความสุขมากขนาดไหน เขาจะเฝ้ารอคอยการมาของเด็กคนนี้มากแค่ไหน แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดมันเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ


 


 


ความจริงก็คือถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินจะต้องมีลูกด้วยกัน และเขาก็จะต้องอยู่กับสวี่โยวตลอดไป ภาระและหน้าที่ของเซียวโม่ไม่อาจทำให้เขาถอยได้อีกแล้ว ลูกของเขากับสวี่โยวใกล้จะคลอดแล้ว และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเขากับถังโจวโจว


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าเซียวโม่ผิดปกติไป เธอไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้เธอกำลังทะเลาะกับเขาอยู่หรือไม่ “เซียวโม่ เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอพูดอะไรผิดไปหรือ? ถังโจวโจวนึกคำที่เธอเพิ่งจะพูดออกไปเมื่อครู่นี้ มันก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่! นี่มันชักจะแปลกๆ แล้ว


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก โจวโจว ถ้าเธออนุญาต ฉันจะขอกอดเธอเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม” เซียวโม่อยากจะทำให้ตอนจบของเขากับถังโจวโจวเป็นตอนจบที่สวยงาม


 


 


“ทำไมจู่ๆ ถึงขอแบบนี้ล่ะ” ตอนนี้ถังโจวโจวไม่อยากจะสร้างข้อพิพาทกับเซียวโม่อีกต่อไปแล้ว และเมื่อเซียวโม่เห็นว่าถังโจวโจวเอ่ยคำถามนี้ออกมา เขาก็อยากจะทำเป็นมองไม่เห็นว่าเธอปฏิเสธเขา เขาได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น


 


 


“ที่แท้ฉันก็กลายเป็นนักต้มตุ๋นในความคิดของถังโจวโจวไปแล้ว แม้แต่คำขอร้องแค่นี้ เธอก็ให้ฉันไม่ได้”


 


 


จู่ๆ ถังโจวโจวก็หงุดหงิด “นายอยากให้ฉันกอดนายเป็นครั้งสุดท้ายไม่ใช่เหรอ ก็มาสิ” เขายืนห่างเธอขนาดนั้น เธอจะกอดเขาได้อย่างไรกันล่ะ


 


 


เซียวโม่รู้สึกมึนงงชั่วขณะที่ถูกเซอร์ไพรส์อย่างกะทันหัน เขานึกว่าเขาได้ยินผิดไป “โจวโจว ถ้าเธอไม่อยากทำก็ช่างมันเถอะ ฉันไม่ได้บังคับเธอ”


 


 


ถังโจวโจวแทบจะกลอกตาขึ้นฟ้า “นายไม่อยากกอดฉันแล้วใช่ไหม โอเค” เธอเองก็ไม่ได้อยากจะกอดเขานักหรอก เพียงแต่เห็นท่าทางน่าสงสารของเซียวโม่แล้ว เธอก็ทนดูไม่ได้


 


 


“ไม่ โจวโจว ฉันแค่ถามเพื่อความแน่ใจ ฉันอยากให้เธอกอดฉัน” เซียวโม่พูดอย่างจริงจัง


 


 


ถังโจวโจวอ้าแขนทั้งสองข้าง เซียวโม่ก็โอบกอดเธอไว้แบบเดียวกัน พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นภูมิทัศน์อันแสนสวยงามในสวนหย่อมแห่งนี้ ซึ่งภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ตกอยู่ในสายตาของสวี่โยวเช่นกัน


 


 


สวี่โยวกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อตรงกลางฝ่ามือ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย เธอเพียงแค่ยืนมองพวกเขาสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น


 


 


สวี่โยวรู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน ที่แท้เซียวโม่ก็ยังคงลืมเธอไม่ลง ตอนนี้เขาคิดจะกลับไปหาถ่านไฟเก่าอย่างถังโจวโจวแล้วอย่างนั้นหรือ?


 


 


ถังโจวโจวอยากจะกอดแค่ครู่เดียว แต่ที่ไหนได้ เซียวโม่กลับกอดเธอแน่นไม่ยอมปล่อย แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจที่ข้างหู เซียวโม่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “โจวโจว ฉันจะไม่มารบกวนเธออีกแล้ว ฉันจะจดจำเรื่องราวของเราเอาไว้ ให้มันฝังอยู่ในใจของฉันตลอดไป”


 


 


ราวกับว่าคำพูดของเซียวโม่ร่ายมนตร์สะกดเอาไว้ ถังโจวโจวรับคำเบาๆ ว่า “อืม” มันเป็นเรื่องดีสำหรับเธอที่เซียวโม่สามารถปล่อยวางได้ นับว่าเธอได้ปลดปล่อยเรื่องราวที่มันหนักอกออกไปได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว 

 

 


ตอนที่ 186 ปรับความเข้าใจ

 

“อาโม่ คุณบอกว่าคุณจะไปเข้าห้องน้ำไม่ใช่เหรอ” จู่ๆ เสียงของสวี่โยวก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง ถังโจวโจวรีบผลักเซียวโม่ออก และในทันทีที่เธอหันไปมอง เธอก็พบว่าสวี่โยวยืนอยู่ด้วยท่าทีแปลกๆ 


 


 


ถังโจวโจวกลัวว่าเมื่อสวี่โยวเห็นเธอกับเซียวโม่กอดกันแล้วจะเข้าใจผิด เธอจึงรีบอธิบายในทันที “สวี่โยว มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ” 


 


 


ดูเหมือนว่าสวี่โยวจะไม่ได้ยินในสิ่งที่ถังโจวโจวพูด สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เซียวโม่ “อาโม่ เมื่อครู่นี้คุณหมอบอกว่าเด็กแข็งแรงดี ทำไมคุณถึงไม่ไปรับฉันล่ะคะ” 


 


 


เขานึกไม่ถึงเลยว่าสวี่โยวจะมาเห็นเข้า เซียวโม่รู้ว่าสวี่โยวจะต้องคิดเองเออเองอย่างแน่นอน จู่ๆ เขาก็เกิดอยากจะเป็นบ้าขึ้นมา ทำไมแค่เขาอยากจะบอกลากับถังโจวโจวดีๆ มันถึงได้ยากเย็นเหลือเกิน? 


 


 


“อาโม่ ทำไมคุณถึงไม่พูดอะไรเลย” สวี่โยวหวาดกลัวมาก นี่มันเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ เหรอ ก่อนหน้านี้เซียวโม่แค่หลอกเธอ เพื่อให้เธอค่อยๆ ตายใจอย่างนั้นหรือ ปากเขาก็พูดไว้เสียดิบดี แต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้! 


 


 


“สวี่โยว มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ…” ถังโจวโจวพยายามอธิบาย เธอไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายอยู่ในความสัมพันธ์ของสวี่โยวกับเซียวโม่อีกแล้ว 


 


 


“ถังโจวโจว หุบปาก! มันเป็นเรื่องของฉันกับอาโม่ คุณไม่ต้องเข้ามาสอด!” สวี่โยวรู้สึกว่าถังโจวโจวนั้นน่ารังเกียจสิ้นดี เธอเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่าเธอจะไม่รักเซียวโม่อีกต่อไปแล้ว แต่เธอก็ยังวนเวียนอยู่กับเขา 


 


 


สวี่โยวเกลียดทุกคน ทำไมถึงมองไม่เห็นความสุขของเธอ เธอกับเซียวโม่กำลังจะไปกันได้ดีแล้วแท้ๆ แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีคนเข้ามาขัดขวางอยู่ แล้วไหนจะเซียวโม่อีก เขาบอกกับเธอว่าเขาจะลืมถังโจวโจว แต่ความจริงแล้วเขากลับมองไปที่ถังโจวโจวอย่างไม่วางตาในทุกครั้งที่เขาเห็นเธอ 


 


 


สวี่โยวเหนื่อยมาก เธอไม่อยากจะมาคอยป้องกันไม่ให้เซียวโม่คุยกับถังโจวโจวอีกราวกับป้องกันขโมย บางทีเธออาจจะอยู่ผิดที่เอง ซึ่งก็เหมือนกับในตอนนี้ ที่พวกเขากำลังกอดกันอยู่ ทำไมพวกเขาถึงไม่นึกถึงความรู้สึกของเธอบ้างเลย? จริงสินะ พวกเขาจะนึกถึงได้อย่างไร ถ้านึกถึงก็คงไม่มีโอกาสได้พลอดรักกันน่ะสิ! 


 


 


“สวี่โยว เรากลับกันเถอะ ขอโทษนะ โจวโจว ดูเหมือนว่าฉันจะก่อเรื่องอีกแล้ว” เซียวโม่รู้สึกราวกับว่าเขาถูกเทพเจ้าแห่งความซวยเข้าสิง เขาอยากจะให้ถังโจวโจวมีชีวิตที่ดี อยู่อย่างสงบสุข แต่เขากลับทำให้เธอเดือดร้อนอยู่เสมอ 


 


 


“อาโม่ คุณรู้ตัวไหมว่าคุณน่ารังเกียจมากแค่ไหน คุณเรียกชื่อของฉันซะแข็งกระด้าง แต่กับถังโจวโจว คุณกลับเรียก ‘โจวโจว’ ซะรื่นหู น้ำตาของฉันนี่แทบจะไหลล้นออกมาแล้ว!” สวี่โยวปาดเช็ดน้ำตาที่มันไม่ควรปรากฏขึ้นมาที่หางตาของเธอในตอนนี้ 


 


 


น้ำตาที่รินไหลออกมามีแต่จะทำให้ถังโจวโจวมองว่าเธออ่อนแอ และทันใดนั้นเอง สวี่โยวก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวในท้องของเธอ ราวกับว่าเธอได้รับพลังงาน เมื่อเธอคิดถึงลูกที่อยู่ในท้อง สวี่โยวก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอไม่สามารถอ่อนแอได้ในเวลานี้ 


 


 


เธอต้องคิดถึงลูกให้มากเข้าไว้ ลูกของเธอจะต้องมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา และคุณยาย ที่รักเขาสุดหัวใจ 


 


 


ลูกของเธอจะต้องได้รับความรักที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก จะต้องไม่มีอะไรมาขัดขวางหรือทำลายความตั้งใจนี้ลงได้ 


 


 


เมื่อเซียวโม่เห็นสวี่โยวกุมหน้าท้องอย่างกะทันหัน เขาก็นึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับลูกของเขา เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหา “คุณเจ็บท้องใช่ไหม” เซียวโม่เข้าไปประคองร่างกายที่หนักอึ้งของสวี่โยวเอาไว้ เพราะกลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บ 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกโล่งใจในทันที เมื่อเห็นเซียวโม่ประคับประคองสวี่โยวไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง และเมื่อเธอเห็นว่าพวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยความอบอุ่น เธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เธอกำลังจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ เธอเชื่อว่าเซียวโม่จะอธิบายให้สวี่โยวเข้าใจเอง 


 


 


สวี่โยวรีบเรียกถังโจวโจวเอาไว้เมื่อเห็นว่าเธอจะเดินจากไป “ถังโจวโจว คุณกลัวเหรอ” ถังโจวโจวชะงักฝีเท้า เธอไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกผิดหรือรู้สึกกลัวไปทำไม สวี่โยวเข้าใจผิดไปเอง แต่กลับขวางเธอเอาไว้ นี่มันเรื่องอะไรกันอีก? 


 


 


“สวี่โยว คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเอง อย่ามัวแต่ตัดสินเรื่องราวจากสิ่งที่คุณมองเห็น” ถังโจวโจวให้คำแนะนำกับสวี่โยวด้วยความหวังดี แต่สวี่โยวจะรับฟังหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องของเธอแล้ว ตอนนี้เธอควรจะไปหาที่ที่เงียบสงบเพื่อดื่มด่ำกับการอาบแสงแดดต่อไป 


 


 


สวี่โยวยังอยากจะพูดอะไรอีกมากมาย แต่น่าเสียดายที่ถังโจวโจวนั้นเดินจากไปไกลแล้ว เธอจึงได้แต่เม้มปากแน่นด้วยความโมโห 


 


 


เซียวโม่เห็นว่าเธอโกรธ จึงรีบอธิบาย “สวี่โยว คุณเข้าใจผิดไปแล้วจริงๆ ผมกับโจวโจวไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกฉันมาสิคะว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” สวี่โยวพยายามพูดอย่างใจเย็น 


 


 


เธอรู้ดีว่าความโกรธมันไม่ดีต่อเธอและเด็ก แต่เธอทนไม่ได้ หัวใจของเธอมันขมขื่นเกินทน หากการรอคอยของเธอมันต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้น เช่นนั้นทุกสิ่งที่เธอพยายามมาตลอดก็คงจะพังทลายแน่แล้ว 


 


 


“ผมแค่อยากจะยุติความสัมพันธ์ของผมกับโจวโจวด้วยดีก็เท่านั้น” อารมณ์ที่ดำดิ่งของสวี่โยวกลับกลายเป็นสว่างสดใสมากขึ้นเพราะคำพูดของเซียวโม่ 


 


 


แต่เธอก็ยังคงลังเลใจ “จริงหรือคะ อาโม่ คุณไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม คุณคงไม่ได้โกหกฉันเพราะลูกหรอกนะ…” 


 


 


“พอเลยพอ คุณคิดเองเออเองทั้งนั้นแหละ จนป่านนี้แล้วคุณไม่เคยเชื่อผมเลยหรือไง” เซียวโม่เอ่ยตัดบทการคาดเดาของสวี่โยว เขาไม่อยากจะทะเลาะกับสวี่โยวด้วยปัญหานี้อีก และสุขภาพร่างกายของสวี่โยวในตอนนี้ก็ไม่เหมาะสำหรับการขัดแย้งกัน 


 


 


“เชื่อสิคะ ฉันจะไม่เชื่อคุณได้ยังไง อาโม่ เมื่อครู่นี้ฉันพูดไปตามอารมณ์ คุณอย่าถือสาฉันเลยนะคะ ฉันจริงใจกับคุณจริงๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันกลัวว่าคุณกับถังโจวโจวจะกลับไปคบกันอีกครั้ง อาโม่ ทั้งหมดที่ฉันทำนี้เป็นเพราะว่าฉันรักคุณนะ” 


 


 


เป็นเพราะสวี่โยวรีบพูดความในใจเหล่านี้ออกมาในคราวเดียว จึงทำให้เธอหอบเหนื่อย เซียวโม่มองไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของเธอที่กำลังจับจ้องเขาอยู่ ราวกับว่าถ้าเขายังไม่เข้าใจเธออีก เธอก็จะพรั่งพรูคำพูดออกมาได้อีกยกใหญ่ 


 


 


“ผมรู้แล้ว เอาเป็นว่าเรื่องวันนี้ให้มันจบลงแค่นี้… แล้วคุณหมอบอกว่าลูกเป็นยังไงบ้าง” เซียวโม่เดินโอบสวี่โยวออกไปจากโรงพยาบาล 


 


 


เมื่อสวี่โยวได้ยินเซียวโม่เอ่ยถึงลูก เธอก็เปิดปากพูดในทันที “อาโม่ คุณหมอบอกว่าลูกของเราแข็งแรงดีค่ะ อีกไม่นานเขาก็จะได้ออกมาเจอหน้าเราแล้ว ตอนนี้ฉันเฝ้ารอคอยเขาอย่างมาก เขาจะหน้าตาเป็นยังไงนะ? จะเหมือนคุณ หรือเหมือนฉัน…” 


 


 


“เหมือนใครก็ดีทั้งนั้นแหละ ขอแค่ลูกแข็งแรงก็พอ ผมว่าตอนนี้คุณแม่รอแย่แล้ว เรารีบกลับกันเถอะ” 


 


 


เซียวโม่กุมมือสวี่โยว สวี่โยวตกตะลึงไปกับการสัมผัสที่ยากจะเกิดขึ้นได้จากเซียวโม่ จากนั้นเธอก็รีบตอบว่า “ค่ะ กลับบ้านกัน” 


 


 


เธอชอบคำๆ นี้ กลับไปที่บ้านของเธอกับเซียวโม่ ที่มีแค่พวกเขา ไม่มีถังโจวโจว ไม่มีคนอื่น 


 


 


ลั่วอิงวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน หากถังโจวโจวไม่มาตาม เธอก็อาจจะเล่นไม่เลิก “ลั่วอิง กลับกันเถอะค่ะ” ถังโจวโจวเห็นว่ามีเด็กๆ ที่สวมชุดผู้ป่วยเล่นอยู่กับลั่วอิงด้วย เธอไม่รู้ว่าพวกเด็กๆ กำลังกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่ 


 


 


“แม่โจวโจวขา หนูอยากเล่นต่ออีกหน่อย” ลั่วอิงยังเล่นไม่จุใจ เธอเพียงแต่ก้มหน้าก้มตาลงและไม่กล้ามองถังโจวโจว 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอไม่ยอมกลับ ก็คิดหาวิธีหลอกล่อ “เซ่าเชิน มาแล้วเหรอ!” ลั่วอิงตกหลุมพรางในทันที เธอรีบลุกขึ้นยืนและซ่อนมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง เธอดูว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที หากมองข้ามเม็ดทรายที่ติดอยู่บนใบหน้าของเธอไป 


 


 


ส่วนลั่วอิง เมื่อเธอสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ และไม่พบเงาของลั่วเซ่าเชิน เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอถูกหลอกเข้าให้แล้ว เธอหันหน้ากลับมามองถังโจวโจวและพบว่าบนใบหน้าของถังโจวโจวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ก็เกือบจะยิ้มไม่ออกแล้ว 


 


 


“แม่โจวโจวหลอกหนูเหรอคะ หนูอุตส่าห์เชื่อคุณแม่…” ลั่วอิงพร่ำบ่นด้วยความเสียใจ แต่น่าเสียดายที่ความน่าสงสารของเธอไม่มีประโยชน์ 


 


 


“พอแล้วค่ะ ก่อนมาคุณแม่บอกหนูแล้วว่าห้ามเล่นนานจนเกินไป แต่ตอนนี้หนูเป็นฝ่ายที่ไม่เชื่อฟังคุณแม่ ดังนั้น คุณแม่จึงต้องเล่นแง่หาวิธีลงโทษหนูนิดหน่อย” 


 


 


ถังโจวโจวไม่ได้คิดว่าเธอรังแกลั่วอิง ถ้ากล้าขอ เธอก็ให้! แต่ถ้าลั่วอิงไม่ได้คิดวางแผนอะไรอยู่ในใจ แล้วจะกลัวกับคำพูดของเธอทำไม! 


 


 


“แม่โจวโจวขา ผลงานของหนูใกล้จะเสร็จแล้ว คุณแม่ให้หนูอยู่ต่ออีกนิดหนึ่งได้ไหมคะ” ถังโจวโจวเห็นว่าลั่วอิงพูดเสียน่าสงสาร และตอนนี้ก็ยังคงมีแสงตะวันอยู่ แม้ว่าดวงอาทิตย์จะเริ่มยอแสง แต่ก็ใช่ว่าจะอยู่ต่ออีกสักนิดไม่ได้ 


 


 


“ได้สิคะ คุณแม่จะให้หนูอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง แต่เราต้องตกลงกันก่อนว่าพอหนูทำธุระของหนูเสร็จแล้ว เราจะกลับกันทันที” ถังโจวโจวก้มตัวลงไปตกลงกับลั่วอิงให้เรียบร้อยก่อน 


 


 


“ได้เลยค่ะ ไม่มีปัญหา!” และเมื่อลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวอนุญาตแล้ว เธอก็ย่อตัวลงไปเล่นในบ่อทรายต่อ 


 


 


เธอไม่รู้ว่าบ่อทรายนี่มาจากไหน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสวรรค์ของเด็กๆ ที่อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ไปแล้ว พวกเด็กๆ นั่งล้อมกันเป็นวงและกระซิบกระซาบคุยกัน ซึ่งเมื่อมองดูแล้วก็เป็นภาพที่มีความสุขมาก 


 


 


เมื่อถังโจวโจวได้มองดูพวกเด็กๆ เล่นกัน เธอก็นึกถึงตอนที่เธอยังเป็นเด็ก นึกถึงช่วงชีวิตที่ไร้ความกังวล ตอนนี้เธอคิดถึงมันเป็นอย่างมาก ยิ่งเธอเติบโตมากขึ้นเท่าไร ปัญหาต่างๆ ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น 


 


 


ถังโจวโจวดำดิ่งอยู่ในความทรงจำของเธอ จนกระทั่งลั่วอิงส่งเสียงเรียก “แม่โจวโจวคะ เรากลับกันได้แล้วค่ะ” ลั่วอิงหน้าแดงก่ำ ดูเหมือนว่าเธอจะเล่นจนจุใจแล้ว 


 


 


“กลับห้องได้แล้วเหรอ” 


 


 


“ค่ะ” ลั่วอิงพยักหน้า เธอยื่นมือออกมาและชักกลับไปในทันที แต่ถังโจวโจวก็ยังทันได้เห็นว่ามือของเธอนั้นเต็มไปด้วยเม็ดทราย 


 


 


“ถ้าคุณพ่อมาเห็นเข้า หนูก็คงจะถูกเอ็ดแน่ๆ” ถังโจวโจวมองดูเธอพลางรู้สึกปวดหัวที่เห็นว่าเธอเล่นจนเนื้อตัวสกปรกไปหมด ดูเหมือนว่ากลับไปแล้วคงจะต้องรีบอาบน้ำให้เธอ 


 


 


“คุณพ่อไม่เอ็ดหรอกค่ะ” 


 


 


แม้คำพูดของลั่วอิงจะฟังดูมั่นอกมั่นใจ แต่เธอก็รู้สึกหวั่นๆ อยู่ไม่น้อย และเมื่อเธอนึกถึงลั่วเซ่าเชินที่เป็นคนรักสะอาดอย่างมาก ลั่วอิงก็คิดว่าเธอควรจะรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับถังโจวโจวที่ห้องโดยด่วน 


 


 


“แม่โจวโจวขา หนูอยากกลับไปอาบน้ำแล้ว” เมื่อลั่วอิงได้รับคำเตือนจากถังโจวโจว เธอก็ไม่อาจทนกับเม็ดทรายที่อยู่บนร่างกายของเธอได้อีกต่อไป 


 


 


“ไปค่ะ” ถังโจวโจวพาลั่วอิงกลับไปที่ห้อง เธอช่วยเตรียมเสื้อผ้าให้ลั่วอิง จากนั้นเธอก็ถอดเสื้อผ้าของลั่วอิงออกและพาเข้าไปอาบน้ำ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเข้ามาในห้อง เขาก็ไม่พบถังโจวโจวและลั่วอิง เขายืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงน้ำและเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากในห้องน้ำ ลั่วเซ่าเชินจึงนั่งลงอย่างสบายใจและรอให้พวกเธอออกมา 


 


 


“เซ่าเชิน! มาแล้วหรือคะ” 


 


 


ถังโจวโจวบอกให้ลั่วอิงรีบขึ้นไปบนเตียง หัวใจของลั่วอิงเต้นตึกตัก หากคุณพ่อมาไวกว่านี้อีกนิดเดียว เขาก็อาจจะทันเห็นเนื้อตัวมอมแมมของเธอและเอ็ดเธอเอาได้ 


 


 


“อืม แล้วทำไมถึงอาบน้ำให้ลั่วอิงตอนนี้ล่ะ” 


 


 


“อ๋อ พอดีว่าวันนี้อากาศดี แล้วลั่วอิงเองก็เกือบจะหายดีแล้ว สองสามวันที่ผ่านมาเธอก็ได้แต่เช็ดตัว วันนี้ฉันก็เลยอาบน้ำให้เธอน่ะค่ะ” ถังโจวโจวคิดคำอธิบายไว้ก่อนแล้ว ลั่วเซ่าเชินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับ และเรื่องนี้ก็ผ่านไปอย่างง่ายดาย 


 


 


ลั่วอิงมองไปยังถังโจวโจวด้วยสายตาเปล่งประกาย เธอทอดถอนใจพลางคิดไปด้วยว่า แม่โจวโจวเก่งมากเลย! นี่ดีนะที่คุณพ่อไม่ได้ถามเรา ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไง 


 


 


ลั่วอิงค่อยๆ ซ่อนตัวลงไปอยู่ใต้ผ้าห่ม พยายามทำตัวราวกับว่าเธอได้กลายเป็นมนุษย์ล่องหนไปแล้ว 


 


 


“อ้าว ลั่วอิงคะ ผมยังไม่แห้งเลย อย่าเพิ่งหนุนหมอนสิ” ถังโจวโจวหยิบไดร์เป่าผมออกมา เธอให้ลั่วอิงนอนหนุนอยู่บนหน้าขาของเธอโดยที่มีผ้าขนหนูรองอยู่ใต้ศีรษะเล็กๆ นั่น  

 

 


ตอนที่ 187 จิตแพทย์

 

 


 


 


           มีเพียงเสียงเป่าลมที่ดังอยู่ ลั่วอิงสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออบอุ่นของถังโจวโจวที่ลอดผ่านเส้นผมของเธอไป ผ่านไปสักพัก เสียงของถังโจวโจวก็ดังขึ้น “ลั่วอิง ลุกได้แล้วค่ะ” ผมของเธอเกือบจะแห้งดีแล้ว ในที่สุดก็ให้ลั่วอิงนอนบนเตียงได้อย่างหมดห่วง 


 


 


           ลั่วอิงอยู่โรงพยาบาลมาสองสามวัน แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่เธอจะได้กลับบ้าน เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ลั่วอิงก็ดูสดใสมากกว่าเดิม ถังโจวโจวช่วยเธอเก็บเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำ จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็ช่วยเธอถือของ แล้วพวกเขาสามคนก็ออกไปจากโรงพยาบาลพร้อมกัน 


 


 


           ถังโจวโจวไม่ได้แจ้งข่าวให้คนอื่นทราบ พวกเธอออกมาจากโรงพยาบาลอย่างเงียบเชียบ เธอคาดว่าคุณแม่ถังกับป้าหลิวคงจะเตรียมอาหารมื้อใหญ่รอไว้อยู่แล้ว 


 


 


           เมื่อกลับมาถึงบ้าน คุณพ่อกับคุณแม่ถังก็ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น “ในที่สุดลั่วอิงก็กลับมาแล้ว!” คุณพ่อถังอุ้มลั่วอิงขึ้น 


 


 


ส่วนคุณแม่ถังก็รับของมาจากมือของถังโจวโจว “โจวโจว ทำไมถึงช้านักล่ะ รีบเข้ามาทานข้าวกันเร็ว” 


 


 


“เซ่าเชิน เข้าไปทานข้าวกันเถอะ” คุณพ่อถังเอ่ยกับลั่วเซ่าเชิน 


 


 


“ครับ คุณพ่อ คุณแม่” ลั่วเซ่าเชินจอดรถให้เรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูและตามคุณพ่อกับคุณแม่ถังเข้าไปในบ้าน 


 


 


ป้าหลิวพูดอย่างดีอกดีใจ เมื่อเห็นว่าพวกเขามากันแล้ว “อาหารเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณชาย คุณผู้หญิง จะรับตอนนี้เลยหรือว่ารออีกสักครู่คะ?” 


 


 


“ทานตอนนี้เลยดีกว่า” ลั่วเซ่าเชินพูดขึ้นหลังจากมองเห็นลั่วอิงที่ทำท่าว่าน้ำลายจะหกเมื่อพูดถึงของกิน เขาเองก็รู้สึกหิวเหมือนกัน วันนี้เขาทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้กับลั่วอิง แม้ว่ามันจะไม่ได้ยุ่งยากมากนัก แต่มันก็ใช้เวลาไม่น้อย ส่วนถังโจวโจว เธอก็มัวแต่เก็บข้าวเก็บของ ตรวจความเรียบร้อยต่างๆ จนเพิ่งจะได้กลับมากันตอนนี้ 


 


 


เมื่อพวกเขาทั้งห้าคนนั่งลงบนโต๊ะอาหารแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ถังก็คอยคีบกับข้าวให้ลั่วอิง ปากของพวกเขาก็พร่ำพูดอยู่ตลอดว่า “ลั่วอิงน้อยของเราต้องทานเยอะๆ นะลูก ดูสิ นอนโรงพยาบาลแค่ไม่กี่วันเอง ผอมลงไปหมดแล้ว ต้องทานของอร่อยๆ เติมกลับเข้าไปเยอะๆ นะ” 


 


 


“ใช่ๆ ดูสิ หน้าของลั่วอิงตอบลงไปตั้งเยอะ คุณยายรู้สึกว่าหนูผอมลงไปมาก หลังจากความทุกข์ทรมานในครั้งนี้ วันข้างหน้าคุณยายก็ขอให้หนูมีแต่ความปลอดภัยและความสุขกายสบายใจนะลูกนะ” คำพูดดีๆ หลุดออกมาจากปากของคุณแม่ถังไม่หยุด เธอต้องการทำให้ลั่วอิงรู้สึกสบายใจที่สุด 


 


 


ป้าหลิวทราบดีว่าวันนี้ลั่วอิงจะออกจากโรงพยาบาล ดังนั้นหนึ่งในสามของอาหารบนโต๊ะจึงเป็นของโปรดของลั่วอิง และเธอก็ยังตุ๋นซุปไก่ให้ลั่วอิงทานอีกด้วย เธอตักซุปไก่เสิร์ฟให้ทุกคนคนละถ้วย “ลั่วอิง รีบทานสิลูก นี่เป็นแม่ไก่แก่[1]ที่คุณยายวานให้คนเอามาให้จากหมู่บ้าน มันอร่อยมากๆ เลยนะ” 


 


 


คุณแม่ถังตั้งใจวานให้คนนำไข่ไก่และแม่ไก่แก่มาให้จากหมู่บ้านโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมให้ป้าหลิวตุ๋นซุปให้ลั่วอิงในวันนี้ ถังโจวโจวไม่ได้รู้สึกอิจฉา ตอนนี้เธอกำลังคิดถึงอีกปัญหาหนึ่งอยู่ บาดแผลที่เกิดขึ้นภายในใจของลั่วอิงจะรักษาได้อย่างไร?  


 


 


เมื่อสองสามวันก่อน ถังโจวโจวเป็นคนที่เฝ้าเธออยู่โรงพยาบาล เธอเห็นว่าลั่วอิงมักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกอยู่เสมอ และเนื่องจากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถังโจวโจวก็เลยไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม เพราะเป็นห่วงลั่วอิงอยู่ทุกคืน 


 


 


หลังจากที่ถังโจวโจวได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ลั่วเซ่าเชินฟัง ลั่วเซ่าเชินก็เก็บเอาเรื่องนี้ไปคิด เขาจำได้ว่าฟังหยวนเหมือนจะมีเพื่อนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยา เขาจึงรีบต่อสายหาฟังหยวน และเมื่อฟังหยวนได้ฟังดังนั้น เขาก็อาสาทันทีว่า “เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง” 


 


 


จิตแพทย์จะมาที่บ้านในอีกสองวันถัดไป คุณหมอเองก็เล็งเห็นถึงลักษณะเฉพาะของลั่วอิงเช่นกัน คุณหมอกลัวว่าถ้าหากพาเธอมาที่คลินิกเธออาจจะต่อต้านได้ แล้วมันก็จะไม่เอื้ออำนวยต่อการรักษาทางจิตใจของเธอได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลา คุณหมอก็มาในฐานะเพื่อนของคุณพ่อ เพื่อเข้าใกล้กับลั่วอิงก่อน และเมื่อกระชับความสัมพันธ์ได้แล้ว เขาค่อยพูดถึงแนวทางการรักษา 


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ ลั่วเซ่าเชินก็พาคุณพ่อกับคุณแม่ถังกลับไปส่งที่บ้าน ลั่วอิงไม่ได้ไปโรงเรียนมาหลายวันแล้ว จึงไม่ได้เจอเพื่อนเลย ดังนั้นเมื่อเธอกินข้าวเสร็จ เธอก็ไปที่บ้านของเพื่อนทันที 


 


 


ถังโจวโจวช่วยป้าหลิวทำความสะอาดครัวและโต๊ะอาหาร จากนั้นเธอก็นำของใช้ของลั่วอิงไปวางไว้ในห้องนอนของเธอ อันไหนที่ควรจะซักก็ซัก อันไหนที่ควรจะเก็บก็เก็บ 


 


 


แล้ววันที่พวกเขานัดกับคุณหมอจางก็มาถึง วันนี้ถังโจวโจวตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ลั่วเซ่าเชินเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทำงาน ที่คุณหมอจางมาในวันนี้ พวกเขาเองก็ต้องการได้ยินกับหูว่าคุณหมอจะว่าอย่างไรเมื่อได้ดูอาการของลั่วอิง 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้รีบร้อนให้ลั่วอิงไปโรงเรียนทันที เพราะเขากลัวว่าลั่วอิงอาจจะยังไม่หายดี อาการป่วยของเธอไม่ได้ปรากฏแค่บนร่างกาย แต่ยังรวมไปถึงด้านจิตใจด้วย หากมีอะไรเกิดขึ้นกับลั่วอิงที่โรงเรียน เขาคงจะตามไปช่วยเธอไม่ทัน ดังนั้นเขาจึงให้เธอพักอยู่ที่บ้านก่อนอีกสักสองสามวัน 


 


 


ถังโจวโจว ลั่วเซ่าเชิน และลั่วอิงร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน พวกเขากินโจ๊กเห็ดหูหนูขาวใส่ไข่ และนมอีกคนละแก้ว อาหารเช้าของพวกเขาอุดมไปด้วยสารอาหารและมีคุณค่าทางโภชนาการ 


 


 


หลังจากมื้อเช้าแสนอร่อยผ่านไปแล้ว ถังโจวโจวก็ไม่ได้รั้งลั่วอิงไว้ เธอปล่อยให้ลั่วอิงออกไปเล่นตามประสาเด็ก ส่วนเธอก็เก็บกวาดบ้านไปเรื่อยๆ ถังโจวโจวชอบความรู้สึกที่ได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เธอได้ใช้พลังงานและเวลาอย่างเต็มที่ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามาก 


 


 


เก้านาฬิกา เสียงออดดังขึ้น ป้าหลิวรีบเดินออกไปเปิดประตู เมื่อเธอได้ยินว่าคุณจางที่คุณชายกับคุณผู้หญิงกำชับไว้มาถึงแล้ว เธอก็รีบเชิญเขาเข้ามาในบ้านทันที “เชิญค่ะ คุณจาง คุณชายกับคุณผู้หญิงรออยู่เลยค่ะ” 


 


 


จางจิ่งเซินดูเป็นคนที่มีความรู้และสง่างามมาก สามารถรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยตั้งแต่แรกเห็น เขาไม่ใช่คนที่หล่อมากนัก แต่ก็สามารถทำให้คนรู้สึกได้ถึงความสบายใจ ดูน่าเชื่อถือ นี่คือความรู้สึกทั้งหมดของถังโจวโจวที่ได้เจอเขาเป็นครั้งแรก เธอเชื่อว่าคุณหมอจางจะสามารถรักษาอาการทางจิตใจของลั่วอิงได้อย่างแน่นอน 


 


 


“คุณผู้หญิงลั่ว สวัสดีครับ!” 


 


 


“เชิญนั่งก่อนค่ะ คุณจาง ป้าหลิวคะ รบกวนชงชามาให้คุณจางหน่อยค่ะ” 


 


 


“ค่ะ คุณผู้หญิง รอสักครู่นะคะ” ป้าหลิวรีบเดินกลับไปยังห้องครัว ส่วนถังโจวโจวก็นำจางจิ่งเซินไปที่ห้องนั่งเล่น 


 


 


จางจิ่งเซินไม่ได้ถือสัมภาระมามากมาย ในมือของเขามีแค่กระเป๋าเอกสารสีดำใบหนึ่ง บนร่างกายของเขาคลุมด้วยเสื้อโค้ทสีกากี ด้านในเป็นเสื้อถักไหมพรมคอเต่าสีน้ำเงินเข้ม ดูสุขุมนุ่มลึกเป็นอย่างมาก 


 


 


หลังจากป้าหลิวยกน้ำชาออกมาเสิร์ฟ ถังโจวโจวก็บอกให้ป้าหลิวรีบไปเรียกลั่วเซ่าเชินมา จากนั้นก็ค่อยไปตามลั่วอิง ลั่วอิงเป็นคนสำคัญในวันนี้ จะขาดเธอไปไม่ได้เลย 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินว่าจางจิ่งเซินมาแล้ว เขาก็รีบออกมาจากห้องหนังสือ ลั่วเซ่าเชินสวมชุดลำลองอยู่บ้าน เพราะเรื่องของลั่วอิง วันนี้เขาจึงไม่ได้ไปทำงานที่บริษัท เขาเชื่อว่าจางจิ่งเซินจะไม่ถือสาว่านี่คือการไม่ให้เกียรติต่อแขก 


 


 


“คุณจางครับ เรื่องลูกสาวของผม ผมคงต้องรบกวนคุณแล้ว” 


 


 


“ผอ. ลั่วไม่ต้องเกรงใจหรอกนะครับ มันเป็นหน้าที่ของผม” จางจิ่งเซินได้พบกับคนดังแห่งเมือง S ก่อนหน้านี้เขาได้รับข้อมูลของลั่วอิงจากฟังหยวนแล้ว แต่เขาก็ยังอยากเจอเธอด้วยตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป 


 


 


แม้ว่าปัญหานี้จะไม่ได้หนักหนาสาหัสมากนัก แต่เธอก็คือลูกสาวอันเป็นที่รักของลั่วเซ่าเชิน ดังนั้น จางจิ่งเซินจึงยินดีมาช่วยและจะพยายามระมัดระวังให้มากที่สุด 


 


 


ลั่วอิงกระโดดโลดเต้นเข้าไปในบ้าน และเมื่อถังโจวโจวเห็นเหงื่อที่ท่วมตัวเธอไปหมด ก็ได้แต่พูดออกมาว่า “นี่หนูไปทำอะไรมาคะ ทำไมเหงื่อถึงได้เต็มตัวแบบนี้ล่ะ มากับแม่โจวโจวเร็ว เดี๋ยวคุณแม่จะเช็ดให้ค่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวบอกให้ลั่วอิงตามเธอไปที่ห้องน้ำ เธอเช็ดหน้าผากและลำตัวของลั่วอิงด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น “เป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นไหมคะ” 


 


 


ถังโจวโจวอยากจะเช็ดอีกสักรอบ แต่ลั่วอิงรีบส่ายหน้าเสียก่อน “หนูโอเคแล้วค่ะ แม่โจวโจว สบายมากเลย ขอบคุณค่ะแม่โจวโจว” 


 


 


“ครั้งหน้าไม่ให้ทำแบบนี้อีกแล้วนะคะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง” 


 


 


“ไม่เป็นหวัดหรอกค่ะ แม่โจวโจว คุณลุงที่นั่งอยู่กับคุณพ่อด้านนอกคือใครหรือคะ” ลั่วอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


“อ๋อ เขาคือเพื่อนของคุณลุงฟังค่ะ วันนี้เขาแวะมาเยี่ยม อีกเดี๋ยวออกไปทักคุณลุงจางด้วยกันนะคะ” ถังโจวโจวกำชับกับลั่วอิง 


 


 


“ค่ะ แม่โจวโจว เราไปกันเถอะค่ะ คุณพ่อน่าจะรอคุณแม่แย่แล้ว” ลั่วอิงพูดราวกับเป็นผู้ใหญ่ 


 


 


ถังโจวโจวหัวเราะออกมา “นี่คุณพ่อไม่ได้รอหนู รอแต่คุณแม่หรือคะ? เดี๋ยวคุณแม่จะออกไปถามคุณพ่อ” 


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ แม่โจวโจวขา หนูพูดผิด คุณพ่อกำลังรอเราสองคนอยู่ เรารีบออกไปกันเถอะค่ะ” ลั่วอิงดันถังโจวโจวให้ออกไปจากห้องน้ำ 


 


 


“ลั่วอิง มาหาพ่อเร็วลูก” ลั่วเซ่าเชินกวักมือเรียกเธอ 


 


 


ลั่วอิงหันไปมองถังโจวโจวตามปกติ ถังโจวโจวพยักหน้าให้อย่างนึกสนุก “หนูมองคุณแม่ทำไมคะ คุณพ่อเรียกหนูแน่ะ รีบไปสิ” 


 


 


จากนั้นลั่วอิงถึงวิ่งเข้าไปหาลั่วเซ่าเชินอย่างกระตือรือร้น เธอถูกเขาอุ้มขึ้นไปนั่งบนหน้าตัก หลังจากนั้นลั่วอิงก็ได้สบตาเข้ากับจางจิ่งเซิน ลั่วอิงจดจำคำพูดของถังโจวโจวได้ดี เธอจึงร้องทักด้วยเสียงหวานๆ ว่า “สวัสดีค่ะ คุณลุงจาง!” 


 


 


“ลั่วอิงใช่ไหมครับ! ลุงได้ยินลุงฟังหยวนพูดถึงหนูอยู่บ่อยๆ นึกไม่ถึงเลยว่าหนูจะหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ ลุงตกหลุมรักหนูตั้งแต่แรกเห็นเลยนะเนี่ย” จางจิ่งเซินไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขาให้เธอรู้ เพราะเขากลัวว่าเธอจะปฏิเสธเขา และเมื่อได้เห็นความปีติยินดีในสายตาของลั่วอิง จางจิ่งเซินก็ประสบความสำเร็จแล้วในขั้นตอนแรก 


 


 


“คุณลุงฟังมักจะพูดถึงหนูต่อหน้าคุณลุงจริงๆ หรือคะ” ลั่วอิงคิดว่าถ้าคุณลุงจางคนนี้พูดเรื่องจริง เธอคงจะต้องทำตัวดีๆ กับคุณลุงฟังซะแล้ว เขาชมเธอต่อหน้าคนอื่น เธอก็ควรจะตบรางวัลให้กับเขา 


 


 


“จริงสิครับ ถ้าหนูไม่เชื่อหนูก็ลองไปถามลุงฟังหยวนดูได้ เขาบอกว่าหนูเป็นเจ้าหญิงน้อยที่สวยที่สุดในโลก แม้ว่าเขาจะชอบแกล้งหนูจนทำให้หนูโกรธอยู่บ่อยๆ แต่ที่จริงแล้วเขาชอบหนูมากๆ เลยนะครับ” แล้วลั่วอิงก็ยิ่งประทับใจจางจิ่งเซินมากขึ้น 


 


 


ฟังหยวนเคยทำอย่างที่เขาพูดจริงๆ และถังโจวโจวเองก็บอกว่าจางจิ่งเซินมาเยี่ยมพวกเธอ ลั่วอิงก็เลยไว้วางใจในตัวเขามากขึ้น ตลอดหนึ่งชั่วโมง จางจิ่งเซินชวนลั่วอิงคุยในเรื่องที่เธอสนใจ ก่อนจะนำเธอไปยังหัวข้อที่เขาสนใจ 


 


 


ลั่วอิงมีความสุขตลอดเวลาที่ได้คุยกับจางจิ่งเซิน เธอเกือบจะลืมไปแล้วว่าตรงนี้มีถังโจวโจวกับลั่วเซ่าเชินอยู่ด้วย จนกระทั่งถังโจวโจวยกจานผลไม้ออกมาให้ “คุณจางคะ ลั่วอิง พักทานผลไม้กันก่อนดีกว่าค่ะ พวกคุณน่าจะเหนื่อยกันแล้ว” 


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วอิงพูดไม่หยุด ที่จริงแล้วจางจิ่งเซินเองก็ใช่ว่าจะพูดเก่ง เขามักจะเป็นคนเปิดบทสนทนา แล้วหลังจากนั้นคำพูดที่เหลือก็ตกเป็นของลั่วอิงทั้งหมด จางจิ่งเซินเพียงแค่ตั้งใจฟังเธอ และตรงจุดนี้เองที่บางครั้งถังโจวโจวก็ทำไม่ได้ 


 


 


เขาสามารถทนฟังเสียงพูดของลั่วอิงได้เป็นชั่วโมงๆ ซ้ำนั่นยังเป็นความคิดของเด็กอีก จึงทำให้ถังโจวโจวอดชื่นชมและนับถือเขาไม่ได้ 


 


 


ลั่วอิงรับน้ำอุ่นมาจากถังโจวโจวและดื่มมันจนหมดแก้วในสองสามอึก ในตอนแรกเธอยังไม่ได้รู้สึกกระหายอะไร แต่เมื่อถังโจวโจวเอ่ยเตือน เธอก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาทันที 


 


 


จากนั้นเธอก็ทกินแอปเปิลอีกสองสามชิ้น ในปากของเธอถูกโอบอุ้มไปด้วยความหวาน อารมณ์ของเธอก็ยิ่งดีขึ้น จากเดิมที่อารมณ์ของเธอก็ดีอยู่แล้ว 


 


 


จางจิ่งเซินฝากฝังให้ถังโจวโจวนำผลไม้มาให้ลั่วอิง เพื่อที่เธอจะได้พักสักหน่อย จางจิ่งเซินมีแผนที่จะเดินหน้าต่อไปและเขาก็จะเดินไปให้ถึงในจุดนั้น ยิ่งลั่วอิงแสดงออกมากเท่าไร เขาก็จะได้รู้จักกับลั่วอิงมากยิ่งขึ้น ซึ่งแบบนี้มันจะได้ครอบคลุมทุกๆ ด้าน 


 


 


และเมื่อพูดถึงวันที่เธอถูกลักพาตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ ลั่วอิงก็ไม่ได้พูดเสียงดังฟังชัดเหมือนก่อนหน้านี้ เสียงของเธอค่อยๆ เบาลง หากไม่ใช่เพราะจางจิ่งเซินเฝ้าสังเกตเธออยู่ตลอด เขาก็อาจจะคิดว่าเธอไม่ได้พูดอะไร 


 


 


แต่ความจริงแล้ว ลั่วอิงก็แค่ตกตะลึง อาจเป็นเพราะว่าเธอเผลอนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายในวันนั้น จากนั้นเธอก็เลยนิ่งเงียบไป 


 


 


 


 


 


[1] แม่ไก่แก่ คือ ไก่ตัวเมียที่มีอายุครบตามกำหนด โดยทั่วไปแล้วจะหมายถึงแม่ไก่ที่มีอายุเลี้ยงมากกว่า 400 วันขึ้นไปและผ่านการฟักไข่มาแล้ว ซึ่งการนำแม่ไก่แก่มาทำอาหารนั้น จะทำให้รสชาติอาหารกลมกล่อม ส่วนใหญ่จะนำแม่ไก่แก่ไปตุ๋นหรือแกง เพราะมีไขมันค่อนข้างสูง จะช่วยให้น้ำแกงมีกลิ่นที่หอมหวนยิ่งขึ้น  

 

 


ตอนที่ 188 ลั่วอิงจะดีขึ้น

 

      “เป็นอะไรไปครับ ลั่วอิงไม่อยากเล่าให้ลุงจางฟังเหรอ บางทีถ้าหนูได้เล่าสิ่งที่หนูกำลังกลัวอยู่ มันจะทำให้หนูหายกลัวได้นะ


 


 


หนูดูคนที่ห่วงใยหนูสิครับ มีทั้งแม่โจวโจว คุณพ่อ แล้วไหนจะคุณปู่ คุณย่า คุณตา แล้วก็คุณยายอีก มีคนเป็นห่วงหนูตั้งเยอะแยะ หนูจะทำให้พวกท่านเสียใจไม่ได้นะครับ” จางจิ่งเซินหวังว่าลั่วอิงจะเป็นฝ่ายที่เล่าให้เขาฟังเอง เพื่อที่เธอจะได้ไม่ทิ้งปมไว้ในใจ


 


 


ผู้ป่วยทางจิตหลายรายมักจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากสภาวะเก็บกดในระยะยาว แม้ว่าลั่วอิงจะไม่ได้มีอาการป่วยทางจิต แต่เธอก็มีปมที่ถูกทิ้งอยู่ในใจ หากเธอไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ยังเด็ก ก็อาจจะส่งผลเกี่ยวกับโรคทางจิตใจหนักขึ้นได้เมื่อเธอโตขึ้น


 


 


หากใครบางคนถูกขังไว้ในที่มืดตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากโตขึ้นมา เขาคนนั้นก็จะเป็นโรคกลัวที่แคบหรือกลัวความมืด หากเขาอยู่คนเดียวในห้องที่มิดชิด เขาคนนั้นก็จะเกิดอาการหวาดกลัว หัวใจของเขาจะสูบฉีด หายใจลำบาก บางครั้งความเจ็บปวดทางจิตก็รุนแรงกว่าทางร่างกายมาก


 


 


เมื่อลั่วอิงได้รับกำลังใจจากจางจิ่งเซิน เธอก็ค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่เธอถูกลักพาตัวไปออกมา ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินเงยหน้าตั้งใจฟัง นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วอิงเล่าถึงเหตุการณ์ในระหว่างที่เธออยู่ที่นั่นเพียงลำพัง


 


 


“พอหนูตื่นขึ้นมา หนูก็ไม่เห็นแม่โจวโจวแล้ว หนูถูกมัดอยู่ในที่แปลกๆ หนูกลัวมาก หนูก็เลยร้องไห้ออกมา แต่ว่าตรงนั้นไม่มีแม่โจวโจวคอยปลอบหนูอยู่ข้างๆ มีแต่คนใจร้ายที่ไม่ยอมให้หนูร้องไห้อีก และหนูก็ต้องกลั้นมันไว้ เพราะกลัวว่าเขาจะตีหนู


 


 


…จากนั้นพวกเขาก็หาอะไรมาให้หนูกิน แต่หนูไม่อยากกิน ทั้งๆ ที่หนูก็หิวมาก …พอแม่โจวโจวมาถึง ตอนแรกหนูก็ไม่เชื่อ แต่พอมองดีๆ หนูก็แน่ใจแล้วว่าเป็นแม่โจวโจวจริงๆ หลังจากนั้นหนูก็จำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ”


 


 


เมื่อลั่วอิงเล่าจนจบ คราวนี้เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ากลัวเหมือนที่เธอฝังใจ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเธอเลย พวกเขานำอาหารมาให้เธอด้วย แต่เธอไม่ยอมกินมันเอง


 


 


สองวันนั้นช่างเป็นวันที่มืดมน เดิมทีลั่วอิงคิดว่าการกลับไปคิดถึงเรื่องในวันนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่หลังจากที่ได้เล่ามันออกมาแล้ว เธอกลับรู้สึกดี มันไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอเคยผ่านมาก่อนเลยสักนิด


 


 


“ลั่วอิง หนูรู้ไหมครับ ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกๆ คนต่างก็ผ่านความล้มเหลวหรือเจ็บปวดกันมาก่อนทั้งนั้น และในเมื่อหนูผ่านเรื่องนี้มาได้ ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่หนึ่งในอุปสรรคของชีวิตหนู ตอนนี้หนูผ่านมันมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว เพราะฉะนั้นหนูอย่าได้กลัวมันอีกเลยนะครับ”


 


 


“แล้ววันข้างหน้าหนูจะเจออะไรอีกหรือคะ หนูขอไม่เจอมันได้ไหม” ลั่วอิงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องเจอกับ ‘อุปสรรค’ มากมายขนาดนั้นอีก เธอจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้เหรอ?


 


 


เมื่อจางจิ่งเซินเห็นว่าเธอไม่เข้าใจ เขาก็เลยเล่านิทานสั้นๆ ให้เธอฟัง ซึ่งความหมายโดยรวมก็คือ ‘เธอชอบเจอความลำบากก่อนแล้วสบาย’ หรือ ‘ชอบเจอความสบายก่อนแล้วค่อยเจอความลำบาก’? จากนั้นเขาก็ยังบอกเธออีกว่า เธอสามารถเรียนรู้อะไรได้มากมายจากอุปสรรค เช่น ความกล้าหาญ ความเมตตา ความยุติธรรม และอื่นๆ


 


 


เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่ลั่วอิงได้ฟังและคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วเธอจะเข้าใจหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จางจิ่งเซินถือว่านี่เป็นแค่การโยนหินถามทาง หากลั่วอิงยอมรับได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดี เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอื่น


 


 


หลังจากการสนทนาระหว่างเขากับลั่วอิงจบลง จางจิ่งเซินก็บอกลาถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวและลั่วอิงเดินกลับเข้าไปในบ้านเมื่อเห็นว่าจางจิ่งเซินขึ้นรถไปแล้ว ส่วนลั่วเซ่าเชินนั้นจงใจตามกลับเข้าไปทีหลัง แล้วก็ดูเหมือนว่าจางจิ่งเซินจะอ่านความคิดของลั่วเซ่าเชินออก เขาจึงยังไม่ได้เคลื่อนรถออกห่างจากตัวบ้านไป


 


 


ลั่วเซ่าเชินใช้เวลาเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็สามารถขึ้นไปนั่งบนรถของจางจิ่งเซินได้ และก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูด จางจิ่งเซินก็ได้อธิบายความตั้งใจของลั่วเซ่าเชินก่อนแล้ว “ผอ. ลั่วคงอยากจะทราบว่าอาการของคุณหนูเป็นยังไงบ้างใช่ไหมครับ?”


 


 


“คุณหมอจาง ในเมื่อคุณพูดออกมาแล้ว เราก็ไม่ต้องอ้อมค้อมกันแล้วนะครับ อาการของลั่วอิงคงไม่ยากเกินไปใช่ไหม? ผมแค่หวังว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเธอในวันข้างหน้า”


 


 


หากลั่วอิงมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในภายหลังอย่างที่จางจิ่งเซินยกตัวอย่าง เขาก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าแผลเป็นไป


 


 


“ท่านวางใจได้เลยครับ ลั่วอิงไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก สองสามวันนี้พวกคุณก็คอยสังเกตดูเธอสักหน่อย พวกคุณสามารถให้เธอดื่มนมก่อนนอนได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมประสิทธิภาพในการนอนของเธอ วันนี้ผมให้เธอเล่าเรื่องนั้นออกมา เธอก็น่าจะดีขึ้นเยอะแล้ว หากในตอนกลางคืนเธอไม่ได้ฝันร้ายแล้ว ก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรครับ”


 


 


จางจิ่งเซินเห็นว่าอาการของลั่วอิงไม่ได้ร้ายแรงมากนัก เธออาจจะแค่ตกใจกลัว เวลาเธออยู่ใกล้กับใครก็เลยรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย ดังนั้น ในคืนนั้นเธอจึงมีอาการผิดปกติเล็กน้อย และตอนนั้นก็เป็นเพราะว่าเหตุการณ์เพิ่งจะผ่านมาได้สองวัน


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกโล่งใจขึ้นมากเมื่อได้ฟังคำอธิบายของจางจิ่งเซิน “วันนี้ผมขอบคุณคุณมากนะครับ คุณหมอจาง”


 


 


“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับท่าน… ตอนนี้ก็คุณผู้หญิงกับคุณหนูคงจะรอท่านแย่แล้ว ท่านอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลยครับ ผมเองก็ต้องขอตัวกลับก่อน” ลั่วเซ่าเชินลงจากรถและคอยส่งจางจิ่งเซินจนลับสายตา


 


 


หลังจากส่งจางจิ่งเซินแล้ว เมื่อลั่วเซ่าเชินกลับเข้าไปในบ้าน เขาก็ไม่พบร่างของถังโจวโจวและลั่วอิง และเมื่อเขาเห็นว่าป้าหลิวเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องครัว เขาก็เอ่ยถามว่า “ป้าหลิว คุณผู้หญิงกับคุณหนูล่ะ?”


 


 


“น่าจะอยู่ข้างบนนะคะ เมื่อครู่นี้คุณผู้หญิงบอกว่าจะอาบน้ำให้คุณหนูค่ะ” ลั่วเซ่าเชินเดาเหตุผลออกได้ในทันที น่าจะเป็นเพราะลั่วอิงเหงื่อซกเต็มตัว ถังโจวโจวก็เลยกลัวว่าเธอจะเป็นหวัด ดังนั้นจึงทำแบบนี้


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบก้าวขึ้นไปบนชั้นสองและเคาะประตูห้องของลั่วอิง แต่ก็ไม่มีใครตอบรับ ลั่วเซ่าเชินจึงไม่ได้รบกวนอะไรอีก เขาเดินกลับไปที่ห้องหนังสือ


 


 


ถังโจวโจวอาบน้ำให้ลั่วอิงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่แห้งสบายเรียบร้อยแล้ว เธอก็ปล่อยให้ลั่วอิงออกไปก่อน ส่วนเธอก็ยังคงเก็บเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องน้ำ ชิ้นไหนควรแยกประเภทก็แยกไว้ อันไหนควรซักก็ซัก เธอวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


 


 


เมื่อถังโจวโจวลงมาจากชั้นบน ป้าหลิวก็เอ่ยเรียกเธอไว้ “คุณผู้หญิงคะ เมื่อครู่นี้คุณชายเธอถามหาค่ะ”


 


 


“เขาว่าอะไรหรือคะ?”


 


 


“ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องดีๆ นะคะ ฉันเห็นว่ามุมปากของคุณชายกำลังยิ้มอยู่” ป้าหลิวเดาว่ามันน่าจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี หากเป็นเรื่องที่ไม่ดี คุณชายจะยิ้มได้อย่างไร


 


 


ยิ่งเธอทำงานอยู่ที่บ้านตระกูลลั่วมานานมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้จักและเข้าใจลักษณะนิสัยของแต่ละคนมากขึ้นเท่านั้น ลั่วเซ่าเชินนั้นค่อนข้างเย็นชา เขาไม่ค่อยพูดอะไรกับเธอสักเท่าไร นอกจากจำเป็นจริงๆ หากวันไหนลั่วเซ่าเชินคุยกับป้าหลิวยาวหลายประโยค เธอคงจะตกใจมาก


 


 


ถังโจวโจวนั้นโอบอ้อมอารี เธอมักจะช่วยทำในสิ่งต่างๆ ที่เธอพอจะทำได้ เธอไม่ได้วางมาดคุณผู้หญิงเลยสักนิด ป้าหลิวชื่นชอบถังโจวโจวเป็นอย่างมาก ดังนั้น ป้าหลิวจะคิดเผื่อเธออยู่เสมอ หากมีสิ่งใดที่มันเป็นผลเสียกับถังโจวโจว ป้าหลิวก็เต็มใจที่จะช่วยสกัดกั้นให้เธอก่อน


 


 


ส่วนลั่วอิง เธอเป็นภาพลักษณ์แห่งความน่ารักในใจของป้าหลิว แม้เธอจะยังดูดื้อรั้นตามนิสัยคุณหนูอยู่ แต่ความดื้อรั้นของลั่วอิงก็ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เพราะมันไม่ได้ทำให้คนรำคาญใจ ในทางกลับกัน เธอทำให้คนรู้สึกว่าเธอน่ารักน่าเอ็นดู


 


 


แน่นอนว่าถังโจวโจวไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของป้าหลิว ตอนนี้เธอกำลังคิดว่าลั่วเซ่าเชินตามหาเธอทำไม เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับเธอ? ถังโจวโจวเข้าไปชงกาแฟและยกมันไปเสิร์ฟที่ห้องหนังสือ


 


 


ก๊อกๆๆ “เซ่าเชิน ฉันขอเข้าไปได้ไหมคะ” ถังโจวโจวถือจานรองถ้วยกาแฟไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็เคาะประตูห้องหนังสือ


 


 


“เข้ามาสิ” น้ำเสียงทุ้มต่ำของลั่วเซ่าเชินดังออกมาจากห้องหนังสือ


 


 


ถังโจวโจวเปิดประตูและเอี้ยวตัวกลับไปปิด จากนั้นเธอก็วางกาแฟไว้ใกล้ๆ กับมือของลั่วเซ่าเชิน ก่อนจะยืนอยู่ที่โต๊ะแล้วถามว่า “ป้าหลิวบอกว่าคุณตามหาฉัน มีอะไรหรือเปล่าคะ”


 


 


“เรื่องลั่วอิงน่ะ เมื่อครู่นี้คุณหมอจางเขาพูดอะไรกับผมนิดหน่อย”


 


 


“อะไรหรือคะ” ถังโจวโจวรีบเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าจางจิ่งเซินมีข้อสรุปแล้ว


 


 


ลั่วเซ่าเชินย้ำคำพูดของจางจิ่งเซินอีกครั้ง ถังโจวโจวได้ยินแล้วกลับรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจ


 


 


“เขาหมายความว่าลั่วอิงไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ?”


 


 


“ผมตีความว่าอย่างนั้นนะ” เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินที่จางจิ่งเซินพูด เขาเองก็คิดว่านี่น่าจะเป็นข่าวดี แม้ว่าน้ำเสียงของจางจิ่งเซินจะไม่ค่อยหนักแน่นมากนัก แต่ลั่วเซ่าเชินก็เชื่อว่าลั่วอิงจะไม่มีปัญหาอะไร


 


 


“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้ก็ให้ลั่วอิงนอนกับเราเถอะค่ะ” ถังโจวโจวเสนอความเห็น พอเธอนึกถึงว่าลั่วอิงจะหวาดกลัวแค่ไหนเมื่อต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง ถังโจวโจวก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าหากให้ลั่วอิงนอนด้วยกันกับเธอและลั่วเซ่าเชิน ลั่วอิงก็จะไม่ต้องรู้สึกกลัวอีก


 


 


ลั่วเซ่าเชินคิดว่าข้อเสนอแนะของถังโจวโจวนั้นเป็นปัญหาใหญ่ “คุณจะให้ลั่วอิงนอนกับเรานานแค่ไหน” หากแค่วันสองวันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ามันนานมากเกินไป ลั่วเซ่าเชินนี่แหละที่จะทนไม่ไหว


 


 


“คุณหมายความว่ายังไงคะ ก็ต้องจนกว่าลั่วอิงจะหายดีสิ!” แน่นอนว่าเพื่อลั่วอิงแล้ว เธอย่อมต้องคิดถึงลั่วอิงก่อนเสมอ


 


 


ซึ่งนั่นหมายความว่าหากลั่วอิงยังไม่ดีขึ้น เธอก็จะได้นอนอยู่บนเตียงหลังนั้นกับพวกเขาไปตลอด ถ้าอย่างนั้น หากเขาคิดจะใกล้ชิดกับถังโจวโจว เขาก็ทำไม่ได้น่ะสิ! ลั่วเซ่าเชินอยากจะปฏิเสธเสียเดี๋ยวนั้น แต่เมื่อเขาเห็นสายตามุ่งมั่นของถังโจวโจว เขาก็ปฏิเสธไม่ลง


 


 


“โอเคๆ เอาตามที่คุณว่าก็แล้วกัน” ลั่วอิงครับ รีบๆ หายนะลูก ความสุขของพ่ออยู่ในกำมือหนูแล้ว!


 


 


คืนนั้น เมื่อถังโจวโจวแจ้งข่าวนี้กับลั่วอิง ลั่วอิงก็ตื่นเต้นมากจนเอ่ยถามไม่หยุดว่า “แม่โจวโจวพูดจริงหรือคะ”


 


 


ที่จริงแล้ว ลั่วอิงอยากจะนอนกับถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินมานานแล้ว มันต้องแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าครอบครัวเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นลั่วเซ่าเชินไม่เห็นด้วย เขาบอกว่าเขาต้องการปลูกฝังความ สามารถในการช่วยเหลือตัวเองให้กับเธอ และเป็นเพราะลั่วอิงไม่อยากให้ลั่วเซ่าเชินคิดว่าเธอไม่สามารถอยู่ด้วยตัวของตัวเองได้ เธอจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าถังโจวโจว


 


 


คราวนี้ เมื่อเธอได้ยินข่าวดีจากปากของถังโจวโจว ซ้ำลั่วเซ่าเชินเองก็ยังเห็นดีเห็นงามด้วย ลั่วอิงจึงตื่นเต้นดีใจเสียยกใหญ่ “ดีจังเลย หนูจะได้นอนกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว!”


 


 


หลังจากถังโจวโจวแจ้งข่าวนี้จบ ลั่วอิงก็เร่งกินข้าวเร็วขึ้นอีก และเมื่อได้เห็นว่าลั่วอิงมีความสุขมากขนาดนี้ จิตใจที่เศร้าหมองของลั่วเซ่าเชินก็ได้รับการปลอบประโลม เอาเถอะ ลูกสาวดีใจขนาดนี้ เขาก็จะยอมเสียสละสักหน่อย


 


 


หากถังโจวโจวได้ล่วงรู้ถึงความคิดที่อยู่ในใจของลั่วเซ่าเชิน เธอคงจะหัวเราะเยาะเขาแน่ๆ ลั่วเซ่าเชินเสียสละที่ไหนกัน แล้วไหนยังจะพูดเสียน่าสงสารอีก


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ ถังโจวโจวก็พาลั่วอิงออกไปเดินเล่น ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ไปออกกำลังกายที่ยิม จากนั้นถังโจวโจวก็ช่วยลั่วอิงเตรียมกระเป๋านักเรียนของเธอให้เรียบร้อย ลั่วอิงอยากจะไปโรงเรียนแล้ว เธอบอกว่าเธอคิดถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียน เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินดังนั้น เขาก็ตกลง


 


 


มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะขังลั่วอิงไว้แต่ในบ้าน แบบนั้นมันจะไม่เอื้ออำนวยต่อการพักฟื้นของเธอ พวกเขาต้องทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย เบิกบานใจ และทำให้เธอรู้สึกมั่นคง เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องหวาดกลัวกับโลกภายนอกอีก


 


 


ถังโจวโจวให้ลั่วอิงนอนตรงกลาง จากนั้นเธอก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ และหลังจากที่เธอเป่าผมจนแห้งแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่กลับมา ลั่วอิงรู้สึกเป็นกังวล “แม่โจวโจวขา เราควรจะเข้านอนแล้วไม่ใช่หรือคะ ทำไมคุณพ่อถึงยังไม่มาอีก”


 


 


“น่าจะกำลังยุ่งอยู่กับงานน่ะค่ะ ลั่วอิง เอาอย่างนี้ดีกว่านะ เราเข้านอนกันก่อนค่ะ เดี๋ยวคุณพ่อเขาก็กลับมา”


 


 


สีหน้าของลั่วอิงเศร้าลง เธอดูผิดหวังเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากลั่วเซ่าเชินต้องทำงานและกลับมาที่ห้องดึกทุกคืน มันก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของถังโจวโจว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม