เนตรเซียนทะลุมิติ 181-196

 181 โรงประมูลที่แสนพิเศษ

หลี่เอ้อเพิ่งจะหันไปกล่าวอธิบายกับทั้งสองคนเสียงเบาว่า “ไม่ต้องรีบร้อนเข้าร่วม ฉันได้ยินมาว่าอีกเดี๋ยวก็จะส่งของชุดหนึ่งเข้าประมูล ล้วนเป็นสมบัติที่ได้มาจากขุมทรัพย์ไท่ผิงเทียนกั๋ว”


ตาอ้วนหลิวเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ท่านนี้ช่างมีความสามารถเหนือมนุษย์จริงๆ! ขุมทรัพย์ไท่ผิงเทียนกั๋วตอนนี้ถูกเปิดเผยอยู่ในสายตาของคนทั้งประเทศ เขายังกล้าทำแบบนี้?”


หลี่เอ้อส่ายหน้า “รายละเอียดก็ไม่ชัดเจนนัก ข้อมูลเหล่านี้ก็แค่ได้ยินมา ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่พาพวกนายมาหรอก แต่ฉันได้ยินมาว่าในขุมทรัพย์มีสามตำหนักหกเรือน สามกระทรวงหกกรม ยังมีคลังสมบัติลับที่ใช้เก็บสมบัติของหงซิ่วเฉวียนเป็นพิเศษด้วย!”


 


สีหน้าของหยางโปผิดปกติขึ้นมาเล็กน้อย เขาชัดเจนดีมากว่าภายในคลังสมบัติของไท่ผิงเทียนกั๋วไม่น่าจะซ่อนสมบัติอะไรเอาไว้


เพราะมันถูกพวกเขาขนออกไปหมดนานแล้ว ในเมื่อเป็นสมบัติลับ ก็ไม่น่าจะมีมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เข้าไปมาแล้ว มีคลังสมบัติลับที่ไหนกัน?


แต่ว่าในเมื่อเป็นแบบนี้ หยางโปก็ยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจต่อโรงประมูลแห่งนี้


ยังไงก็สามารถห้อยชื่อเสียงนี้เอาไว้ได้ ของโบราณเหล่านั้นที่ตระเตรียมมาก็ไม่น่าจะย่ำแย่


“รออีกเดี๋ยวจะต้องปรากฏขึ้นใช่ไหม?” หยางโปเอ่ยถามอีกครั้ง


หลี่เอ้อพยักหน้า “ฉันเองก็ได้รับข่าวลือมา พวกนายไม่ต้องคาดหวังมากนักหรอกนะ


 


หยางโปหันมองไปรอบด้าน ภายในห้องโถงใหญ่มีผู้คนไม่น้อย ดูไปแล้วมีคนเยอะมาก แต่ที่เข้าร่วมการประมูลจริงๆ มีไม่มากเลย มองประเมินหยกสลักหนานหยางที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง หยางโปก็พอจะเดาบางอย่างได้แล้ว


“ดูเหมือนจะมีเยอะ แต่คุณภาพธรรมดา ปกติแล้วก็เป็นแบบนี้เหรอ?” หยางโปชี้ไปที่ของโบราณที่อยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม


หลี่เอ้อไม่ได้สังเกตสังกามาตลอด พอได้ยินหยางโปกล่าวเช่นนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่าวัตถุโบราณเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าคุณภาพธรรมดาจริงๆ เขาอดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ดูท่าเถ้าแก่หยางจะสำรวจอย่างละเอียดจนทะลุปรุโปร่งแล้ว เห็นทีเป็นไปได้มากว่าคำเล่าลือจะเป็นเรื่องจริงแล้ว”


 


เมื่อด้านหลังมีคนมา ทั้งสามก็ไม่สะดวกที่จะสนทนากัน ต่างก็หาทางเดินไปข้างหน้า ข้าวของที่ตกแต่งไว้ภายในห้องมีไม่น้อย หยางโปมองดูแล้วค่อนข้างเหมาะสม การประชุมกำลังจะเริ่มขึ้น ณ ที่นี้แล้ว


ราคาประมูลของหยางโปไม่สูงเลย เขายังต้องเหลือพื้นที่พอจะทำกำไรให้ตัวเอง ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วจะประมูลได้หรือไม่ เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เมื่อเป็นแบบนี้ความถี่ที่หยางโปจะประมูลก็ยิ่งสูง


มองไปรอบหนึ่งแล้ว ทั้งสามคนก็หาที่นั่งลงพักผ่อน


เวลาการเริ่มต้นประมูลลับต้องรอจนถึงตอนบ่าย ดังนั้นพวกเขาก็ไม่มีอะไรทำอยู่ในขณะหนึ่ง ทำได้เพียงรินชาเริ่มต้นรอ


 


ตาอ้วนหลิวร้อนใจเล็กน้อย “เถ้าแก่ที่นี่เป็นใครกันนะ ในเมื่อมีความสามารถสูงส่ง ทำไมยังซุกอยู่ในจินหลิงล่ะ?”


“เพราะว่าในจินหลิงเขาเป็นงูดิน ไปเมืองหลวงแล้วกลับไม่ใช่มังกรข้ามถิ่น” หลี่เอ้ออธิบายประโยคหนึ่ง


ประโยคนี้ถึงแม้เป็นหยางโปก็ฟังเข้าใจ เถ้าแก่คือคนมณฑลซู ไม่ใช่คนเมืองหลวง แต่ว่าเรื่องที่เถ้าแก่เป็นคนที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับเขา


รอไปครึ่งชั่วโมง ผู้คนในที่นี้ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง บ้างก็ดื่มกาแฟแล้วก็จากไป ทั้งสามคนยังคงเฝ้ารอโดยไม่ได้รับข่าวคราวอะไร


หยางโปกังวลใจอยู่บ้าง จึงหันไปเอ่ยถามกับหลี่เอ้อว่า “นายได้ข่าวมาจากที่ไหน? โทรไปคอนเฟิร์มสักสายได้ไหม พวกเรารออยู่ที่นี่อย่างไม่รู้จุดหมายเลย”


หลี่เอ้อลังเลเล็กน้อย ก็ต่อสายโทรศัพท์ครั้งหนึ่งแล้วเดินไปทางด้านข้าง


 


อย่างรวดเร็ว หลี่เอ้อก็เดินกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ “การประมูลกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว การประมูลครั้งนี้จะต้องเตรียมลู่ทางไว้ ถ้าพวกเราไม่ได้ถูกรับเชิญก็เข้าไปไม่ได้!”


หยางโปพลันชะงัก ลุกขึ้นยืน “เตรียมลู่ทาง?”


ตาอ้วนหลิวก็ตกตะลึง แต่ว่าไม่นานเขาก็กดมือ “ไม่ต้องร้อนใจ ฐานะของพวกเราไม่พอ เพื่อที่จะให้การประมูลเป็นความลับ พวกเขาจะไม่ให้เราเข้าไปก็สมควรแล้ว”


ถึงแม้หยางโปจะเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี แต่เฝ้ารออย่างเต็มไปด้วยความคาดหวังมานานขนาดนี้ แต่กลับถูกส่งออกไปด้วยเหตุผลข้อเดียวนี้ ทำให้เขารู้สึกซับซ้อนมากจริงๆ


หลี่เอ้อเองก็เต็มไปด้วยความสับสน เขาพาคนมาก็เพื่อเข้าร่วมการประมูล ตอนนี้ถูกกันไปเป็นคนนอกแล้วจริงๆ ในใจยากที่จะรับรสชาตินี้ได้จริงๆ


 


หยางโปเดินทอดน่องอยู่ด้านหนึ่ง ในใจกำลังครุ่นคิดว่าจะโทรศัพท์หาลัวย่าวหัวดีหรือเปล่ายังไงลัวย่าวหัวก็ยังนับว่าเป็นงูดิน ถึงแม้ยังไม่ชัดเจนว่าพื้นภูมิเบื้องหลังของลัวย่าวหัวเป็นยังไงกันแน่ แต่เขาน่าจะยังมีหน้ามีตาอยู่บ้าง


“หยางโป?”


หยางโปจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก เขาหันหน้าไปมอง มองเห็นผู้ชายคนหนึ่งโบกมือมาให้เขา นั่นก็คือเย่เหวยหลิน


หยางโปประหลาดใจมาก เดินเข้าไปสองสามก้าว “คุณเย่กลับเมืองหลวงไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”


เย่เหวยหลินเองก็เดินมา “กลับไปสองสามวัน นี่ก็เพิ่งจะจัดการเรียบร้อย ได้ยินว่าทางนี้มีข่าวคราวก็เลยมาชมดูความคึกคัก


 


เย่เหวยหลินไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขากลับยังมีผู้หญิงสวยในชุดคลุมขาวคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นหน้ารูปไข่ ใบหน้าขาวสะอาด งดงามมาก


หยางโปมองแล้วกลับรู้สึกคุ้นเคยอยู่หลายส่วน เหมือนจะเป็นดาราสักคนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้มองมาก กำลังจะเอ่ยขอตามเข้าไป


เย่เหวยหลินกลับล่วงหน้าเอ่ยปากก่อนก้าวหนึ่ง “เสี่ยวหยาง นายมีเวลาว่างไหม? ตามฉันเข้าไป ช่วยเป็นตาให้ฉันได้ไหม?”


ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่เขาอย่างประหลาดใจ เธอแน่ใจว่าเมื่อกี้ได้ยินเย่เหวยหลินยังบอกว่าขาดนักประเมินไปสักคน คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับเชิญคนหนุ่มตรงหน้าคนนี้ นักประเมินไม่ควรจะเป็นคนแก่หรอกเหรอ?


 


หยางโปประหลาดใจเล็กน้อย หันหน้ามองไปครั้งหนึ่ง กล่าวกับเย่เหวยหลินว่า “ดีเลยคุณเย่! แต่ว่าผมยังมีเพื่อนอีกสองคน”


เย่เหวยหลินชะงักเล็กน้อย “เข้าไปก็ได้นะ แต่ว่า…”


หยางโปหันไปโบกมือให้พวกหลี่เอ้อสองคน ตาอ้วนหลิวเดินเข้ามาแล้วได้ยินคำพูดนี้ของเย่เหวยหลิน ก็เร่งรีบโบกมือแล้วกล่าวว่า “คุณเย่วางใจได้เลยครับ พวกเราไม่ใช่คนปากมาก!”


เย่เหวยหลินหัวเราะขึ้นมา “ดี ในเมื่อเป็นเสี่ยวหยางแนะนำมา ฉันก็จะเชื่อในคุณธรรมของพวกนาย!”


กล่าวจบ เย่เหวยหลินก็หันไปกล่าวเสียงเบากับหยางโปว่า “ครั้งนี้ก็ไม่แน่ว่าจะมาจากที่นั่นจริงๆ แต่ว่าปกติแล้วน่าจะมีของดีหลายชิ้นไว้ให้กับทุกคนนะ!


 


หยางโปก็หัวเราะขึ้นมา “มีความคิดที่เข้าใจแบบนี้เข้าไป ก็ไม่มีทางผิดหวัง!”


เย่เหวยหลินหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา แล้วถึงได้พาทั้งหมดมุ่งหน้าขึ้นชั้นบนไป


โรงประมูลอยู่ชั้นหน้า มีหลายคนขึ้นลิฟต์ หยางโปเอ่ยถามเย่เหวยหลินอย่างประหลาดใจ “ตอนนี้หงอวี้เป็นยังไงบ้าง?”


เย่เหวยหลินมองหยางโปครั้งหนึ่ง เขาก็เข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างหยางโปกับลัวย่าวหัวไม่ธรรมดา รู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร “ตอนนี้อวัยวะภายในของเขาล้มเหลว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดูไม่ค่อยดี ก่อนหน้านี้ไปรักษาที่อเมริกา แต่ยังคงไม่ได้ผลอะไร ตอนนี้ยังย้ายไปโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงของแต่ละประเทศ”


หยางโปประหลาดใจมาก มองไปที่เย่เหวยหลินอยู่สองครั้ง ตอนนั้นเย่เหวยหลินกับพี่น้องตระกูลหงเข้าไปข้างในด้วยกัน ทำไมหงอวี้ถึงได้ป่วยหนักขนาดนี้?


 


เย่เหวยหลินเหมือนจะมองความคิดของหยางโปออก เขาส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร


หยางโปเดิมทียังคิดว่าอาการป่วยทุกอย่างของหงอวี้เป็นเพราะว่าพลังหยินมากเกินไปทำให้เกิดอาการป่วยทุกอย่าง ตอนนี้ดูท่าแล้วจะห่างไกลจากจุดนี้มากนัก ในใจก็ยากที่จะไม่ดีใจอยู่หลายส่วนไม่ได้ ยังดีที่ตอนนั้นพวกเขาเตรียมตัวไปพร้อม


182 

…..

พวกหลี่เอ้อทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าที่หยางโปพูดถึงคือใคร แต่ก็ไม่ได้ถามมาก


เมื่อมาถึงชั้นห้ามันก็กว้างใหญ่อย่างมาก แต่จำนวนที่นั่งเหลืออยู่ไม่มากแล้ว หยางโปตะลึงเล็กน้อยแล้วก็ได้สติกลับมา ถึงแม้พวกเขาจะบอกว่าการประมูลนี้ต้องมีลู่ทาง แต่จุดสนใจเช่นนี้มาดึงดูดคนก็สามารถดึงดูดมาได้ไม่น้อย


คิดถึงตรงนี้ หยางโปยากที่จะอดผิดหวังเล็กน้อยขึ้นมาไม่ได้


ทั้งห้าคนหาที่นั่งแล้วนั่งลง ที่นี้มีคนมาไม่น้อยทยอยมาเรื่อยๆ แล้ว ด้านหลังเริ่มที่จะมีเสียงของโต๊ะเก้าอี้ดังวุ่นวาย หยางโปหันหน้ากลับไปมอง มองเห็นพนักงานกำลังเพิ่มเก้าอี้อยู่


เย่เหวยหลินอาจจะคาดเดาถึงจุดนี้ได้ อดที่จะเอ่ยกล่าวอย่างถอดถอนใจไม่ได้ “ทำให้คนผิดหวังอย่างที่สุดจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะดึงดูดคนได้จริงๆ!


 


หยางโปหัวเราะ “คนมากันมากขนาดนี้แล้ว ถ้าหากไม่สามารถให้คำอธิบายกับทุกคนได้ อาจจะต้องปิดตัวลงนะ


“ก็ใช่” เย่เหวยหลินพยักหน้า


และแล้วก็มีผู้ชายอายุประมาณสามสิบกว่าปีคนนึงเดินขึ้นเวทีที่อยู่ด้านหน้า ท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส “สวัสดีทุกท่าน ผมโจวหานเป็นผู้ทำการประมูลของวันนี้”


“ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาอย่างมาก เรื่องในการประมูลครั้งนี้ ทุกคนอาจจะได้ยินข่าวลือมาแล้ว ข่าวลือถึงสมบัติขุมทรัพย์ของไท่ผิงเทียนกั๋ว ทุกคนก็ได้ยินชัดเจนดี ตอนนี้ยอดเขาลูกนั้นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเริ่มต้นดำเนินการก่อสร้าง ทุกคนน่าจะไม่ชอบที่จะฟังผมพูดจามากความ ดังนั้นพวกเราก็เริ่มต้นการประมูลกันทันทีเลย!”


 


“เข้าสู่ประเด็นเร็วจริงๆ!” เย่เหวยหลินถอนหายใจ


ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างกายเขาไม่ได้พูดจามาตลอด เวลานี้เพิ่งจะเปิดปากกล่าว “พี่เย่ การประมูลในวันนี้จะมีพวกศพอะไรพวกนั้นอะไรไหมคะ?”


เย่เหวยหลินส่ายหน้า “เธอคิดมากเกินไปแล้ว จะประมูลของพวกนั้นได้ยังไง?”


หญิงสาวยังคงมีท่าทีหวาดกลัว กอดแขนของเย่เหวยหลิน เงียบงันไม่พูดจา


หลี่เอ้อที่นั่งอยู่ข้างกายหยางโปหันไปกระซิบกับหยางโปว่า “นั่นไม่ใช่เสวี่ยหนิงใช่ไหม?”


หยางโปชะงักเล็กน้อยแล้วก็มองไปครั้งหนึ่ง ถึงค่อยจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือดาราหญิงตัวรอง เพียงแต่วันนี้แต่งหน้ามาอ่อนมาก ทำให้หยางโปจำเธอไม่ได้ในทันที แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ได้อยู่ภายใต้แสงสปอร์ตไลท์ ความเปล่งประกายของดาราหญิงท่านนี้ก็น้อยลงมาก


 


หยางโปไม่ได้สนใจ หันหลังกลับไปมองทางเวทีด้านหน้า


ของชิ้นแรกปรากฏขึ้นแล้ว ผู้ทำการประมูลกำลังอธิบาย “ของประมูลชิ้นแรก เงินหลงเฟิ่งต้าฮัวของไท่ผิงเทียนกั๋ว!”


“เงินนี้ทำมาจากทองเหลือง ภายนอกเป็นแผ่นทองคำ แบ่งเป็นสี่ชนิด นี่คือเงินที่มีจำนวนน้อยมาก เงินต้าฮัวทั้งสี่ด้านสลักเป็นมังกรสองตัวชิงไข่มุก ด้านหลังเป็นลายสมบัติทั้งแปด มีรูปสลักสัญลักษ์ทั้งแปดปะรำสมบัติ กงล้อแห่งธรรม มัจฉาทองคำ ร่มสมบัติ บัววิเศษ จานกมล หอยสังข์”


“ราคาขั้นต่ำสามแสนหยวน ราคาที่เพิ่มขึ้นของทุกคนต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหยวน เชิญประมูลได้!


 


ผู้ทำการประมูลพูดอย่างเชื่องช้า ขณะที่พูดภายในที่นี้เงียบสงัด ทุกคนต่างก็ได้ยินคำบรรยายของผู้ทำการประมูล เต็มไปด้วยความตกตะลึง การประมูลครั้งนี้ลงทุนลงแรงไปมากจริงๆ!


เย่เหวยหลินก็ประหลาดใจเช่นกัน หันไปมองหยางโป “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะขึ้นป้ายว่าไท่ผิงเทียนกั๋ว แต่ราคาเป็นธรรมดีนะ!


หยางโปก็ตกตะลึง เพราะว่าเขาคิดว่าโรงประมูลนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับไท่ผิงเทียนกั๋ว คิดไม่ถึงเลยว่าการประมูลเพิ่งจะเริ่มตนก็ปรากฏเรื่องใหญ่แล้ว อ้างอิงจากที่เขารู้ เงินหลงเฟิ่งต้าฮัวของไท่ผิงเทียนกั๋วหายากอย่างมาก ตอนนั้นใช่เป็นเงินที่ระลึกและเงินลองเตา และเป็นเงินพิธีกรรมอย่างหนึ่ง


 


ถึงแม้จะเป็นคนต่างประเทศก็รู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้รับเงินต้าฮัวนี้ เดือนสิงหาคม ปี 1861 ล่ามภาษาอังกฤษได้เขียนจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ระดับนายพลของไท่ผิงเทียนกั๋ว หลี่หมิงเฉิง หวังว่าจะได้รับ “อักษรคัดลอกของเงินศักดิ์สิทธิ์” หลี่หมิงเฉิงตอบกลับไปในจดหมายว่า “เงินศักดิ์สิทธิ์ของประเทศเรา ขณะนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเงินต้าฮัวหนึ่งหยวน ผู้ใต้บัญชาได้รับความกรุณาจากนายเหนือหัว” เห็นได้ว่าเงินพิธีกรรมหลงเฟิ่งนี้งดงามอย่างมาก มีคุณค่าในการสะสมอย่างมาก


“ห้าแสนห้าหมื่นหยวน!” ในขณะนี้เสียงตะโกนดังลั่น ทำให้ทุกคนได้สติกลับคืนมาจากอารามตกตะลึง


เย่เหวยหลินหันหน้ามามองหยางโป “เงินต้าฮัวนี้เป็นยังไงบ้าง? ของจริงใช่ไหม?”


 


กลุ่มของหยางโปนั่งอยู่ที่แถวที่หก ห่างจากเวทีด้านหน้าถึงแปดเก้าเมตร และเงินต้าฮัวนี้ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าเงินโบราณสักเท่าไหร่ อยู่ไกลขนาดนี้ มันจึงมองได้ไม่ชัดเจนแต่แรกแล้ว ถึงแม้หยางโปจะสามารถมองเห็นความหนาแน่นของประกายแสงได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนัก


“ถ้าหากคุณอยากได้จริงๆ งั้นก็ประมูลไปอย่างสบายใจเถอะครับ ตอนนี้มองได้ไม่ชัดเจน ก่อนหน้าที่จะส่งมอบกันยังมีโอกาสประมาณได้” หยางโปกล่าวอธิบาย


เย่เหวยหลินมองครั้งหนึ่งก็แน่ใจว่าที่หยางโปพูดนั้นมีเหตุผล อาศัยสถานะของเขาก็ไม่กลัวว่าจะต้องถูกหลอก รอจนถึงตอนที่เขามีปฏิกริยาตอบกลับ ราคาประมูลในตอนนี้ก็สูงถึงเจ็ดแปดแสนหยวนแล้ว!


 


“หนึ่งล้านหยวน!” เย่เหวยหลินยกป้ายประมูล


ณ ที่นี้ก็เงียบสนิท ราวกับตกตะลึงไป แต่ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นอีก


“หนึ่งล้านหนึ่งแสนหยวน!”


“หนึ่งล้านสองแสนหยวน!”


“หนึ่งล้านสามแสนหยวน!”


ราคาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หยางโปมองราคาอันบ้าคลั่งนี้ก็ถอดถอนใจอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะมีความคิดที่จะได้ครอบครองเงินพิธีกรรมแบบนี้ แต่ราคาในตอนนี้มันสูงเกินกว่าล้านหยวนเขาก็ถอดใจแล้ว เพราะว่าราคาแบบนี้ทิ้งห่างจากมูลค่าที่แท้จริงของมันแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการปั่นราคาขึ้นมา


 


“หนึ่งล้านห้าแสนหยวน!”


ฉวยโอกาสที่ในตอนนี้เงียบสงบ เย่เหวยหลินยกป้ายประมูลขึ้นอีกครั้ง


เสวี่ยหนิงมองเห็นความบ้าคลั่งแบบนี้ในตอนนี้ก็รู้สึกตกตะลึง ดึงรั้งเย่เหวยหลิน “เงินโบราณชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง ทำไมถึงขายได้แพงขนาดนั้น?”


“ฉันก็ไม่เข้าใจนัก!” เย่เหวยหลินทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่การประมูลตรงหน้า ชัดเจนว่าไม่ใส่ใจกับคำถามของเสวี่ยหนิงสักเท่าไหร่


เสวี่ยหนิงโกรธมาก เธอหงุดหงิดจนไม่สนใจเรื่องของเขาอีก


 


หยางโปย่อมไม่ไปอธิบาย ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้ เงินต้าฮัวของไท่ผิงเทียนกั๋วหายากจริงๆ มันปรากฏขึ้นภายในประเทศน้อยมาก ถึงแม้จะขุดออกมาได้ก็ไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ไม่พบเจอในตลาดมาแต่ไหนแต่ไร


หลังจากเย่เหวยหลินยกป้ายประมูล ราคาก็เพิ่มขึ้นถึงสองล้านหยวนแล้ว ไม่นานก็เป็นสองล้านห้าแสนหยวน สามล้านหยวน!


มือขวาของเย่เหวยหลินกำป้ายประมูลที่อยู่ในมือแน่น รอจนผ่านไปครู่หนึ่ง ราคาไม่มีทีท่าว่าจะชะงักลง ในที่สุดเขาก็ถอดใจแล้ว เอนตัวไปบนพนักเก้าอี้อย่างแรง


 


“ราคานี้แพงเกินไปแล้ว” หยางโปกล่าวปลอบ


เย่เหวยหลินพยักหน้า “สูงไปสักหน่อย แต่ว่าถ้าหากได้มาครอบครองล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นของสะสมหรือว่าส่งต่อไปก็น่าจะได้กำไร”


ตาอ้วนหลิวกับหลี่เอ้อสองคน ซุบซิบเสียงเบากันมาตลอด ไม่ได้สนใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย


ในตอนนี้หลี่เอ้อหันไปถามหยางโปเสียงเบาว่า “ทำไมไม่เอามาล่ะ?”


“ราคาแพงเกินไป” หยางโปส่ายหน้า


หลี่เอ้อไม่ได้กล่าวคำ ราคาในตอนนี้สูงถึงสี่ล้านเจ็ดแสนหยวนแล้ว ราคานี้เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าราคาประมูลเป็นสิบเท่าแล้ว สถานการณ์แบบนี้ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง


 


“แปดล้านหยวน!” เสียงบอกราคาหนึ่งทำให้ภาพฉากในขณะนี้เงียบงันไป


ทุกคนหันหน้าไปมอง คนผู้นั้นนั่งอยู่ที่แถวที่สอง เงาร่างและเก้าอี้ถูกผู้หมู่คนห้อมล้อมเป็นชั้นๆ บดบัง หยางโปจนมองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่ยังอดที่จะประหลาดใจกับความใจสู้เช่นนี้ไม่ได้


ยังไงก็ตามราคามันก็เพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัวในทีเดียว!


183 แบบไท่ผิงเทียนกั๋ว

เย่เหวยหลินก็หันมามองครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นก็หันหน้ามามองหยางโปแล้วเอ่ยถาม “ถ้าหากฉันซื้อมา เสี่ยวโปสามารถประเมินได้ไหม?”


“ได้ครับ!” หยางโปกล่าว


เย่เหวยหลินเงียบขรึมไปเล็กน้อยแล้วไม่ได้พูดจา


หยางโปกลับฉุกใจคิดขึ้น หันมองไปทางเย่เหวยหลิน จนกระทั่งวันนี้เขาก็ยังไม่แน่ชัดในความเป็นมาของเย่เหวยหลิน และไม่เคยเอ่ยถาม เขาเข้าใจเรื่องหนึ่งดี ตอนที่ควรรู้ย่อมจะได้รู้ อย่างเช่นตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่เพียงพอ ยังไม่มีทางทำให้ผู้อื่นมองเขาอย่างเท่าเทียมกันได้ ดีที่สุดก็ไม่ต้องไปรู้มากนัก


ผู้ทำการประมูลยกค้อนขึ้นมา “แปดล้านหยวนครั้งที่หนึ่ง!


 


“เงินต้าฮัวเฟิ่งหลงของไท่ผิงเทียนกั๋ว แผ่นแดงแต้มสนิม ของแท้ดั้งเดิม รอยสลักชัดเจน เงินโบราณแบบนี้ คุ้มค่าอย่างที่สุด!


ผู้ทำการประมูลชะงักเล็กลงน้อย มองเห็นว่าไม่มีคนขานราคาอีก “แปดล้านหยวนครั้งที่สอง!


ค้อนยกขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศในตอนนี้ตึงเครียดเล็กน้อย หยางโปจ้องมองค้อนบนเวทีด้านหน้า แต่กลับสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวจากด้านข้าง


“สิบล้านหยวน!” เย่เหวยหลินยกแผ่นป้ายอีกครั้ง ลุกขึ้นยืน แม้สำหรับเขา สิบล้านหยวนก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ!


ภายในที่นี่แตกฮือขึ้นมาทั้งหมด ผู้ทำการประมูลตื่นเต้นยินดีขึ้นมา “สิบล้านหยวน! คุณผู้ชายท่านนี้ขานราคาสิบล้านหยวนแล้ว! ยังมีท่านใดจะขานราคาเพิ่มอีกไหม?”


 


หยางโปตกตะลึง หันหน้าไปมองเย่เหวยหลิน เสวี่ยหนิงดึงแขนเย่เหวยหลินข้างหนึ่ง ให้เขานั่งลง บรรยากาศภายในที่นี้ร้อนระอุเล็กน้อย ทุกคนไม่มีใครคาดคิดถึงเลยว่าเงินโบราณชิ้นหนึ่งจะประมูลไปด้วยราคาที่สูงลิบแบบนี้


“สิบล้านหยวนครั้งที่หนึ่ง!”


“สิบล้านหยวนครั้งที่สอง!”


สายตาของทุกคนหันไปตกอยู่ที่คนที่นั่งอยู่แถวที่สองคนนั้น หยางโปไม่ได้สังเกตเห็นรายละเอียดของสถานการณ์ แต่ก็รู้ว่าคนผู้นั้นน่าจะไม่ได้มีการตอบกลับมา


“เงินต้าฮัวเฟิ่งหลงของไท่ผิงเทียนกั๋ว ประมูลออกไปที่สิบล้านหยวน!”


ตามมาด้วยเสียงเคาะค้อนครั้งหนึ่งของผู้ทำการประมูล ของประมูลชิ้นแรกประมูลเสร็จแล้ว ราคาสูงเสียดฟ้าสิบล้านหยวนทำให้ทุกคนต้องทอดถอนใจ


 


“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!” หยางโปหันไปกล่าวกับเย่เหวยหลิน


เย่เหวยหลินหัวเราะ “ขอบคุณ!


หลี่เอ้อกับตาอ้วนหลินก็หันมากล่าวคำยินดีกับเย่เหวยตอนนี้ ในตอนนี้เต็มไปด้วยความปิติยินดี


เสวี่ยหนิงมองเห็นเย่เหวยหลินซื้อเงินโบราณเล็กๆ อันหนึ่งมาถึงสิบล้านหยวน ก็ประหลาดใจถึงขีดสุดแล้วดึงแขนของเย่เหวยหลิน “คุณบ้าไปแล้วจริงๆ นี่ก็แค่เงินอย่างหนึ่ง จะมีค่ามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?”


เย่เหวยหลินไม่สนใจเลยสักนิด “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ เธอไม่เข้าใจ เงินโบราณชนิดนี้มีค่าแบบนี้แหล่ะ!


เสวี่ยหนิงมองเห็นเย่เหวยหลินเอ่ยอย่างแน่วแน่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก


หลังจากเย่เหวยหลินได้รับเงินโบราณชิ้นนี้แล้ว ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นมาก ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ในตอนนี้วัตถุโบราณชิ้นที่สองถูกส่งขึ้นมา ถึงกับเป็นเครื่องลายครามชิ้นหนึ่ง!


“เครื่องลายครามแบบไท่ผิงเทียนกั๋ว พบเห็นได้น้อยมาก ราคาประมูลเริ่มต้นที่ห้าแสนหยวน!


ของประมูลชิ้นแรกประมูลออกไปด้วยราคาสูงเสียดฟ้า อารมณ์ของผู้ทำการประมูลก็ฮึกเหิมตามขึ้นมาด้วย ทุกถ้อยคำก็ยิ่งดังกังวานมีพลัง


หยางโปเงยหน้าขึ้นมอง บนตัวแจกันเป็นแจกันดอกไม้สีฟ้า ลวดลายพวกดอกไม้ สีสันเจิดจ้า ลวดลายชัดเจน หลังจากปิดฝาแล้วทั้งตัวแจกันก็รวมกันเป็นหนึ่ง และบนหน้าแจกันขนาดใหญ่ก็ปรากฏฐานของตัวแจกัน สลักว่า “ไท่ผิงเทียนกั๋ว” สี่คำนี้เอาไว้อย่างชัดเจน


สุ้มเสียงของผู้ทำการประมูลเงียบลง ในที่นี้ก็พลันเดือดพล่านขึ้นมา


เย่เหวยหลินใคร่อยากลองดู จึงหันมาเอ่ยถามหยางโปว่า “ของชิ้นนี้เป็นยังไง?”


 


หยางโปไม่ได้เอ่ยตอบ สายตาจดจ้องไปที่เครื่องลายคราม เขาประหลาดใจมากเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับเครื่องลายครามมีรอยสลัก “ไท่ผิงเทียนกั๋ว”


“รออีกหน่อยเถอะ” หยางโปกล่าว


ตาอ้วนหลิวมองไปแล้วหันไปกล่าวกับหยางโป “ไท่ผิงเทียนกั๋วยึดจินหลิงในปี 1853 ก่อตั้งเทียนจิง พอถึงปี 1864 เทียนจิงถูกปิดล้อม ในระหว่างเวลารวมสิบปีนั้น เท่าที่ฉันรู้ไท่ผิงเทียนกั๋วทำกับพวกชนชั้นสูงเจ้าที่ดินเป็นปีศาจ จักรพรรดิเป็นปีศาจเฒ่า ตอนที่พวกเขายึดจิ่งเต๋อก็ได้ทำลายเตาทุเรียงหลวง!


หยางโปพยักหน้าแล้วครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “เป็นแบบนี้จริงๆ พวกเขาทำลายเตาทุเรียงหลวงแล้ว เข่นฆ่าช่างฝีมือ จิตรกรที่ทำเครื่องลายคราม แต่ว่าไม่มีบันทึกอะไรเกี่ยวกับเตาทุเรียงหลวงของไท่ผิงเทียนกั๋วเลยสักนิด อีกอย่างต่อมาถึงแม้จะมีจิตรกรช่างฝีมือไม่น้อยที่สร้างเครื่องลายครามต่อไปเพื่อเอาชีวิตรอด แต่พวกเขาก็ใช้ชื่อของพวกเขาเอง


 


“ถ้าหากอ้างอิงตามคำอธิบายของพวกนาย ช่างฝีมือพวกนั้นน่าจะเกลียดไท่ผิงเทียนกั๋วมาก ความเป็นไปได้ที่จะใช้ชื่อสลักของไท่ผิงเทียนกั๋วโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นไปไม่ได้?” หลี่เอ้อเอ่ยปาก


ไม่มีใครตอบรับเขา ทุกคนล้วนเงียบขรึมขึ้นมา


เย่เหวยหลินได้ยินบทสนทนานี้ และก็ไม่ได้รีบร้อน


แต่ว่าในที่นี้กลับเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นมา เพราะว่าพิธีกรได้ใส่ภาพแคปหน้าจอไว้บนจอขนาดใหญ่ภาพหนึ่ง ด้านบนแสดงว่าเครื่องลายครามชิ้นนี้อยู่บนรายการล่าสมบัติของ CCTV ทั้งยังถูกตัดสินให้เป็นสมบัติของชาติสิบอันดับแรกของจินหลิง!


มองเห็นสิ่งนี้ ตาอ้วนหลิวพลันหัวเราะขึ้นมาทันที “โอ้ โชคดีจริงๆ ฉันรู้จักผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายนั่นพอดี ฉันจะโทรไปถามให้แน่ชัดตอนนี้เลย”


 


กล่าวจบ ตาอ้วนหลิวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ว ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างเขาแอบฟังบทสนทนาของพวกเขามาตลอด ได้ยินตาอ้วนหลิวบอกว่ารู้จักกับผู้เชี่ยวชาญรายการล่าสมบัติ สายตาก็อดเปล่งประกายไม่ได้


“ที่นี่ยังจะมีของปลอมหรือ?” เย่เหวยหลินหันไปเอ่ยถามหยางโปเสียงเบา


หยางโปส่ายหน้า “ผมก็มาเป็นครั้งแรก เป็นของจริงหรือของปลอม มักจะมีมาตรฐานและพื้นฐานให้ตัดสิน คุณก็ไม่ต้องร้อนใจ ก่อนอื่นอย่าเพิ่งประมูล!


“ห้าแสนหนึ่งหมื่นหยวน!


รอจนผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดตอนนี้ก็มีคนเริ่มยกป้ายประมูลแล้ว


หยางโปเหลือบมองไปอย่างประหลาดใจครั้งหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมาก


 


บรรยากาศในตอนนี้พลันร้อนระอุขึ้นมา “ห้าแสนห้าหมื่นหยวน!”


“ห้าแสนแปดหมื่นหยวน!


หยางโปจ้องมองแจกันลายครามใบใหญ่ แสงสว่างตรงหน้าเจิดจ้า ประกายแสงก่อตัวขึ้นรูป ประกายแสงเบาบางทำให้หยางโปชะงักไป เพราะว่าเขาแน่ใจมากว่าประกายแสงแบบนี้น่าจะประมาณไม่เกินยี่สิบปี ไม่มีทางเป็นสมัยไท่ผิงเทียนกั๋วตั้งแต่แรกแล้ว!


โทรศัพท์ของตาอ้วนหลิวก็ต่อสายได้แล้ว พอได้ยินเสียงเขากล่าวกับโทรศัพท์เสียงเบาว่า “อาจารย์กุ้ย ช่วงหน้านี้คุณมาที่จินหลิง เคยเห็นแจกันลายครามใบใหญ่แบบของไท่ผิงเทียนกั๋วชิ้นหนึ่งไหม?”


ระดับเสียงโทรศัพท์แผ่วเบา หยางโปไม่ได้การตอบกลับจากอีกฝ่าย เพียงแต่ได้ยินเสียงตอบกลับอืมอืมอาอาของตาอ้วนหลิวเท่านั้น


 


อย่างรวดเร็ว ตาอ้วนหลิวก็หันหลังมา กล่าวเสียงเบากับหยางโปว่า “ของปลอม”


หยางโปไม่ได้ซักไซ้ แต่อย่างน้อยก็ได้ยืนยันเรื่องหนึ่ง แจกันใบใหญ่นี้เป็นของปลอม!


ต่อมาทั้งกลุ่มก็สงบเงียบขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด นั่งมองชมทุกผู้คนภายในที่แห่งนี้ปั่นราคา


ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างกายของตาอ้วนหลิวมองเห็นทุกคนไม่มีการตอบสนองก็ถอดใจที่จะยกป้าย


ประมูลแล้ว


“แปดแสนหกหมื่นหยวน!


“เก้าแสนสามหมื่นหยวน!”


บรรยากาศในตอนนี้ร้อนระอุ และไม่ได้เป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งกลุ่มเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย แต่ว่าครั้งนี้ในความระวังของทุกคนแฝงความรอบคอบ เพราะว่าไม่มีใครเคยเห็นเครื่องลายครามรูปแบบเช่นนี้มาก่อนเลย


 


“หนึ่งล้านห้าแสนสองหมื่นหยวน!


“หนึ่งล้านหกแสนหยวน!


จนกระทั่งราคามาถึงหนึ่งล้านหกแสนหยวน ในที่สุดภายในที่นี้ก็เงียบสงบลงมา ต่อไปก็ปล่อยให้ผู้ทำการประมูลร้องตะโกนเสียงดังจนหน้าขึ้นเส้นเลือดเขียวก็ไม่มีการตอบรับ


อะไรในที่นี้อีก


ผู้ทำการประมูลตระหนักถึงจุดนี้ได้อย่างรวดเร็วมาก เขาจึงยกค้อนเคาะลงไป เครื่องลายครามชิ้นนี้ในที่สุดก็ประมูลไปด้วยราคาสูงถึงหนึ่งล้านหกแสนหยวน!


184 ผงทองแปลกประหลาด

ของสองสามชิ้นที่ประมูลต่อไป ยังคงเป็นวัตถุวัฒนธรรมของไท่ผิงเทียนกั๋ว มีหมดทั้งของจริงของปลอม สิ่งนี้ทำให้หยางโปอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่านักประเมินของอีกฝ่ายมาตรฐานย่ำแย่เกินไปหรือไม่


เย่เหวยหลินอยากยกป้ายประมูลอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้วนถูกหยางโปขัดขวางไว้


จนกระทั่งดาบคาดเอวของนายพลระดับสูงเล่มหนึ่งได้ส่งขึ้นมา หยางโปถึงค่อยหันไปพยักหน้าให้กับเย่เหวยหลิน


ท้ายที่สุดเย่เหวยหลินก็ได้ประมูลมาที่ห้าแสนสามหมื่นหยวน ราคาแบบนี้ทำให้หยางโปขมวดคิ้วไม่คลายเพราะว่าในความจริงแล้วราคานี้แพงมากเกินไป!


ราคาไม่สมเหตุสมผล ปั่นราคาอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นลักษณะที่ชัดเจนที่สุดของการประมูลนี้ หยางโปครุ่นคิดเล็กน้อย และก็สามารถเข้าใจได้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะรัศมีของขุมทรัพย์ไท่ผิงเทียนกั๋ว ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าของพวกนี้ไม่ได้มาจากในสุสาน แต่ก็ยังเลี่ยงที่จะอยากได้รับอิทธิพลไม่ได้


 


 


การประมูลสุดท้ายเป็นของหนังสือภาพเล่มหนึ่ง ในตอนที่ผู้ทำการประมูลประกาศชื่อ หยางโปก็จ้องเขม็งมองตรงไปทางบนเวที


“ตำราเขียนมือ <บทกวีจัดตั้งฟ้าดิน> ของหงซิ่วเฉวียน!


ม้วนอักษรแบบนี้ส่งขึ้นมาพลันทำให้ในที่นี้แตะฮือขึ้น ความจริงเป็นเพราะว่าผลงานตำราเขียนมือทั้งหมดของหงซิ่วเฉวียนส่งต่อมาน้อยมาก ปีนั้นหงซิ่วเฉวียนสอบตกหลายครั้ง ป่วยหนักอยู่สี่สิบวันต่อมาถึงได้กราบไหวพระผู้เป็นเจ้า


ถึงแม้เขาจะมีบทกวีที่สืบทอดลงมา แต่ที่เขียนด้วยลายมือของตัวนั้นกลับไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว


หยางโปมองไป มองเห็น “มังกรหลบซ่อนอยู่ในถ้ำหวั่นเกรงตื่นตระหนก ขณะนี้ลอบเสวยสุขกระโดดอยู่ในบ่อลึก รอจนฤดูกาลควบรวม ทะยานไปจัดตั้งฟ้าดินทุกทิศทาง” อยู่บนหนังสือ


 


ด้านล่างมีเขียนไว้ว่า “หงซิ่วเฉวียน” รวมถึงตราประทับ “ตราหงซิ่วเฉวียน”


ตำราเขียนมือมองดูแล้วไม่เลว ลำแสงสว่างวาบตรงหน้าหยางโป เขามองเห็นลำแสงประกายบนกระดาษอย่างชัดเจน แต่บนลายมือสีดำนั้นกลับมีประกายแสงสว่างเล็กน้อย เล็กบางอย่างที่สุด


รูปร่างแบบนี้ทำให้หยางโปชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงขนาดมองเห็นประกายแสงกลายเป็นสองส่วน


แต่ว่าหยางโปก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วมาก นี่คือของทำปลอมชิ้นหนึ่ง! กระดาษเก่าอักษรใหม่!


ตาอ้วนหลิวจ้องไปที่ตำราเขียนมือแล้วหันมองมาทางหยางโป หยางโปส่ายหน้าน้อยๆ


การแข่งขันในที่นี้กลับเร่าร้อนอย่างที่สุด พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าหยางโปไม่สนใจของพวกนี้แล้ว สนทนากับหลี่เอ้อที่อยู่ด้านข้าง ต้องการรู้จากปากของเขาว่าช่วงนี้มีโอกาสที่ค่อนข้างดีอยู่บ้างไหม


 


รอจนผู้ทำการประมูลเคาะค้อนก็หลังจากครึ่งชั่วโมงไปแล้ว ราคาในตอนนี้ถึงแม้จะแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ก็เพิ่มขึ้นไม่มาก เพิ่มขึ้นทีละน้อย ในที่สุดราคาประมูลก็สูงไปถึงสองล้านสามแสนสามหมื่นหยวน!


เมื่อเป็นแบบนี้ เงินต้าฮัวเฟิงเยว่ที่เย่เหวยหลิวซื้อมาก็กลายเป็นของมูลค่าสูงที่สุดในที่นี้ไป!


ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้เย่เหวยหลินยินดีอย่างมากอยู่ครู่หนึ่ง ถึงขนาดในตอนที่ต้องควักเงินออกมาในท้ายที่สุดก็ยังคงฉีกยิ้มจนปากจะถึงหู


ในใจหยางโปพะวงถึงการประมูลด้านนอก รอจนข้างในเสร็จสิ้นลงแล้ว ทั้งสามคนก็เดินออกไป ด้านนอกมีจอขนาดใหญ่ เริ่มหมุนผลลัพธ์ของสัญญาณลับในตอนสุดท้าย


หยางโปค้นหาที่ที่ถูกใจแล้วนั่งลง จ้องมองไปที่จอขนาดใหญ่ ไม่นานเขาก็พบว่าตำราภาพชิ้นหนึ่งถูกเขาประมูลมาได้แล้วจริงๆ!


 


มองราคาประมูลในท้ายที่สุด หยางโปก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าราคาที่เขาขานออกไปนั้นต่ำมาก ทำได้กำไรเป็นเงินก้อนหนึ่ง


แต่ว่าไม่นานหยางโปก็ไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้น ต่อมาก็พลิกเปิดไปหลายหน้า ไม่มีหมายเลขของเขา!


ตาอ้วนหลิวก็ยิ่งหดหู่ “เป็นคนรวยกันทั้งนั้น การประมูลที่ฉันลงไปไม่มีอยู่สักอัน!


หลี่เอ้อก็กล่าวอย่างหดหู่ “ช่างเถอะ ฉันก็ประมูลไม่ได้


หยางโปจ้องมองจอขนาดใหญ่จนเจ็บตา จากนั้นก็ไม่ได้ปรากฏหมายเลขของทั้งสามคนไปตลอด จนกระทั่งหน้าสุดท้าย ในที่สุดก็ปรากฏหมายเลขของเขา แต่ก็มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!


หลี่เอ้อกับตาอ้วนหลิวต่างโอดครวญขึ้นมา “ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ!”


หยางโปหัวเราะ บอกกล่าวกันแล้วก็รับไปจ่ายเงินแล้วถือของสองอย่างกลับมา


 


หนังสือภาพคือผลงานของอู๋หงจิตรกรสมัยราชวงศ์ชิง สำนักของจิตรกรท่านนี้อยู่หนึ่งในแปดของจินหลิง ชื่อเสียงไม่โดดเด่น แต่ระดับฝีมือเพียงพอ หยางโปซื้อมาราคาราวห้าหมื่นแปดพันหยวน สามารถได้กำไรเพียงหนึ่งเท่า


ส่วนของอีกชิ้นหนึ่ง ตัวหยางโปเองก็ไม่แน่ใจนัก นั่นคือกล่องไม้ใบหนึ่ง เพียงแต่แปลกประหลาดอยู่บ้างอย่างชัดเจน


นั่งพักอยู่ในโถงใหญ่ ตาอ้วนหลิวเอาตำราภาพไว้ด้านหนึ่ง หยิบกล่องไม้ขึ้นมาเปิด มองเห็นกล้องไม้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน สองฝั่งกลายเป็นช่องว่างเปล่าไป แต่ตำแหน่งตรงกลางมีของที่เหมือนเศษฝุ่นสีทองอย่างหนึ่ง


 


“นี่คืออะไร?” ตาอ้วนหลิวหันมองแล้วเอ่ยถามหยางโป


หลี่เอ้อเองก็มองอย่างประหลาดใจครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน


“ผมเองก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่” หยางโปจ่ายเงินไปสองแสนหยวนซื้อของในกล่องไม้นี้มา ในตอนที่มองเห็นนั้น เขาก็รู้ว่ามันแปลกประหลาดอย่างมาก เพราะว่าของที่เหมือนกับฝุ่นดินแบบนี้ มอบความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่งให้กับเขา เขารู้สึกว่าตนเองจะต้องซื้อเอามาให้ได้!


ในที่นี้น่าจะไม่มีใครรู้จักสิ่งของที่เหมือนกับฝุ่นดินแบบนี้ แต่เขาก็ทำเพื่อความปลอดภัย ทั้งราคายังยกขึ้นสูงมาก ท้ายที่สุดก็ได้มาอยู่ในมือ”


ต้าอ้วนหลิวรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “นายไม่รู้เหรอ ถ้างั้นนายจะซื้อมาทำไม?”


“ผมรู้สึกว่ามันไม่เลวเลย” หยางโปกล่าว


 


ตาอ้วนหลิวจ้องมองหยางโป มองเห็นเขาไม่ได้ตอบกลับอย่างอื่นถึงได้นั่งกลับลงไป “ฉันไม่เชื่อ!”


ในที่สุดเย่เหวยหลินก็จัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้วก็พาเสวี่ยหนิงเดินมาตรงด้านข้างของทั้งสามคน มองเห็นในกล่องไม้ในมือของหยางโป ก็ยิ่งหัวเราะ “เสี่ยวโปน่าสนใจจริงๆ ทำไมถึงซื้อกล่องเครื่องประดับที่นี่ล่ะ?”


เสวี่ยหนิงมองไปอย่างประหลาดใจ มองเห็นฝุ่นผงสีทองที่อยู่ในกล่องไม้ก็หัวเราะ “นี่คงไม่ใช่ผงทองใช่ไหม?”


“ผงทอง?” หยางโปจ้องมองกล่องไม้ในมือ เขาไม่รู้สึกว่านี่คือผงทองเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าผงทองพวกนี้ควบรวมกันเป็นก้อน ดูไปแล้วก็ยิ่งเหมือนก้อนดินสีทอง


“ใช่แล้ว สามารถเอามาทาหน้าได้ ดูไปแล้วเป็นสีทองวับวาว สวยมากเลย!” หยางโปเอ่ย


หยางโปก้มหน้าลงไปมอง เขาไม่มั่นใจเลย “ผมจะเอากลับไปศึกษาดูหน่อยก็แล้วกัน!


 


ต่อมาทุกคนก็ไม่ได้สนทนาอะไรมากนัก ต่างก็เอาข้าวของกลับไป ถึงแม้หยางโปจะซื้อมาน้อยมาก แต่ก็นับว่าทำกำไรได้ไม่น้อย


พอกลับมาถึงบ้าน หยางโปก็เอาผงทองมาถ่ายรูป ส่งให้กับเฉาหยวนเต๋อ เพราะว่าเขาคิดว่าเฉาหยวนเต๋อประสบการณ์กว้างไกล อาจจะรู้อะไรบ้าง


เฉาหยวนเต๋อน่าจะไม่ได้สังเกต จึงไม่ได้ตอบหยางโปกลับ


หยางโปเองก็ไม่ได้สนใจ เขาจัดเก็บห้องลับเล็กน้อย สองสามวันนี้เขากำลังจะไปเยอรมัน ในบ้านมีข้าวของต้องจัดเก็บมากมาย ถึงแม้จะอยู่ในตู้เซฟ หยางโปก็รู้สึกว่ามันอยู่ในความไม่ปลอดภัย หยางโปรู้สึกไม่เหมาะสมอยู่ตลอด เพราะว่าของเหล่านี้มูลค่าสูงมากเกินไป ถ้าหากถึงกับมีขโมยยกเอาตู้เซฟหนีไปด้วย หยางโปก็ต้องร้องไห้จริงๆ แล้ว


ดังนั้นหยางโปจึงติดต่อธนาคาร เขาจะเอาของพวกนี้ไปฝากไว้ที่ธนาคาร!


 


แต่ว่านี่ก็ได้เตือนสติหยางโป เขาจะต้องมีพื้นที่ที่นิรภัยปลอดภัยสักแห่ง!


หยางโปมองเห็นบทคอมพิวเตอร์ เฉาหยวนเต๋อส่งข้อความตอบกลับมาแล้ว


“นี่ไม่ใช่ผงทองใช่ไหม? ผงทองที่เป็นก้อนจากความชื้น”


หน้าผากของหยางโปเปียกชุ่ม ผงทองรวมเป็นก้อนจากความชื้น? คำตอบแบบนี้ทำให้คนประหลาดใจจริงๆ ทำไมผงทองถึงควบรวมเป็นก้อนเพราะความเปียกชื้นได้ล่ะ?


ตอนที่ 185 มองทะลุ


หยางโปต่อสายหาเฉาหยวนเต๋อ โทรศัพท์ก็มีการรับสาย


ผงทอง? อาจารย์เฉา คุณคงไม่คิดว่ามันคือผงทองนั่นใช่ไหม? หยางโปเอ่ยถาม


เฉาหยวนเต๋อหัวเราะ เมื่อกี้กำลังยุ่งเลยล้อนายเล่น ตอนนี้ฉันกำลังตรวจสอบวัตถุอ้างอิง ฉันคิดว่าของชิ้นนี้ไม่ค่อยเหมือนผงทอง


บรรจุอยู่ในกล่องแต่งหน้า กล่าวกันโดยทั่วไปแล้วน่าจะเป็นแป้งไว้ทาหน้า แต่ผงทองไม่ได้เป็นผงแป้งทำจากทองเลยน่ะสิ! หยางโปกล่าว


เฉาหยวนเต๋อฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมา


สิ่งที่เรียกว่าเครื่องประทินโฉมผู้หญิงนั้น ในความเป็นจริงแล้วน่าจะเป็นตะกั่วสีขาวอย่างหนึ่ง ไม่ได้เป็นสีทองเลยแม้แต่น่อย ใบหน้าขาวที่ร่องงิ้วในสมัยโบราณก็จะใช้ตะกั่วมาปะทาใบหน้า


 


เอาล่ะ ฉันหาเจอแล้ว! เฉาหยวนเต๋อจู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา


มันคืออะไรเหรอครับ? หยางโปเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้มาก


อื้ม ฉันยังไม่แน่ใจ แบบนี้ก็ดีตอนนี้ก่อนอื่นเธอหยิบผงทองขึ้นมาหยิบมือหนึ่งแล้วลองเผาดูหน่อย” เฉาหยวนเต๋อกล่าว


หยางโปประหลาดใจมาก “เผา?”


“ใช่ ใช้ไฟเผา!” เฉาหยวนเต๋อกล่าวย้ำ


หยางโปไม่ได้ลังเล เขาหยิบจานลายครามใบเล็กมาใบหนึ่ง หยิบผงทองนิดหน่อยไปวางไว้บนจานแล้วค่อยใช้ไม้ขีดก้านหนึ่งจุดไฟ ลำแสงสีเหลืองเข้าไปใกล้ผงทอง อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว ผงทองก็เผาไหม้ขึ้นมา ส่งลำแสงสีขาวเจิดจ้า ดูเหมือนกับการเผาโซเดียมกับโลหะในการทดลองทางเคมีอย่างไรอย่างนั้น!


 


หยางโปรีบหันไปกล่าวกับเฉาหยวนเต๋อ “เผาไหม้แล้ว! มันเผาไหม้แล้ว!”


“ดี!” เฉาหยวนเต๋อร้องดีคำหนึ่ง “หลังจากเผาเสร็จแล้ว เธอดูสีอีกที!


ผงทองน้อยมาก ไม่นานเปลวไฟก็มอดลง เผยผงแป้งสีขาวออกมา ในตอนนี้ถึงจะค่อยดูเหมือนตะกั่ว


“กลายเป็นผงแป้งสีขาวแล้ว!” หยางโปกล่าว


เฉาหยวนเต๋อหัวเราะฮ่าฮ่า แล้วกล่าว “ฉันรู้ว่านี่คืออะไรแล้ว นี่คือหลานจิน!


“หวังเจียในราขวงศ์จินบันทึกเรื่องหนึ่งไว้ใน <บันทึกเสริมยุคก่อนราชวงศ์ฮั่น> ว่าครั่งปิดจดหมายของราชวงศ์หยวนในปีแรก ฝูซินกั๋วโจมตีดินของหลานจิน บอกว่าหลานจินชนิดนี้มาจากน้ำพุร้อน รูปร่างเหมือนดิน หลังจากหลอมกลั่นแล้วสีของมันก็กลายเป็นสีขาว ส่องสว่างราวกับเงิน ถึงขนาดเป็นเทียนเงินได้!”


 


“หลานจินชนิดนี้มักจะใช้เป็นครั่งปิดจดหมาย กล่องไม้ หรือประตูวัง ภูติผีปีศาจไม่กล้ากร้ำกลาย ในสมัยราชวงศ์ฮั่น นายพลออกศึกและใช้กำจัดแว่นแคว้นเหล่านั้น ดินปิดครั่งนี้ใช้ปิดล็อกได้หลากหลาย หลังจากจักรพรรดิอู่ตี้แล้ว ดินทองแบบนี้ก็หายไป”


หยางโปตกตะลึงมาก เขาได้ยินเรื่องหลานจินชนิดนี้เป็นครั้งแรก ทั้งยังได้ผลลัพธ์ที่แปลกประหลาดมาก มีลักษณะของสังคมศักดินาแฝงไว้อย่างเข้มข้น


“ผมมีหลานจินนี้แล้วจะใช้ประโยชน์อะไรได้?” หยางโปมองหลานจิน และเขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง


“เก็บเอาไว้เถอะ บางทีต่อไปอาจจะได้ใช้ เธอไปเจอกับของประหลาดแบบนี้ได้ยังไงล่ะ?” เฉาหยวนเต๋อเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ


“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ก็เลยซื้อมาเพราะความประหลาด” หยางโปส่ายหน้าและไม่ได้พูดมากความ


 


เฉาหยวนเต๋อหัวเราะ “เธอนี่โชคดีจริงๆ!


ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ครุ่งหนึ่ง หยางโปถึงได้วางสายโทรศัพท์


เขาเพิ่งจะมีโอกาสเริ่มต้นสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ผงทองดูราวกับเหมือนโลหะสีทอง เพียงแต่น้ำหนักสู้ทองคำไม่ได้ เมื่อสัมผัสดูแล้วก็เรียบลื่นละเอียดมาก


ประกายแสงปรากฏขึ้นตรงหน้า หยางโปก็เบิกตากว้างจ้องมอง อยากจะรู้ให้กระจ่างว่าสาเหตุที่ทำให้ตนเองจู่ๆ ก็เร่งร้อนจะซื้อผงทองมาคืออะไรกันแน่ เขารู้สึกว่าหลานจินตรงหน้าส่องแสงสว่างเจิดจ้า ประกายแสงนี้สว่างจ้าระยิบระยับ แสงสว่างราวเส้นไหมดังก่อนหน้าได้หายไปแล้ว


 


แสงสว่างระยิบระยับสว่างจ้าขึ้นมา หยางโปปิดตาลงน้อยๆ ต้องการหลบเลี่ยงประกายแสงแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าประกายแสงตรงหน้าจะยิ่งมากขึ้น เขารู้สึกถึงแสงสว่างเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโถมเข้ามาในดวงตาของตนเอง


ตรงหน้าเป็นมหาสมุทรสีขาวผืนหนึ่ง เขามองสถานการณ์ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจน


สมองของเขามึนงงทำให้เขาพลันหมดสติไปบนเตียง


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หยางโปถึงได้สติขึ้นมาจากการหลับใหล


เขาสัมผัสได้ถึงแสงโคมไฟยังเหมือนเดิม เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองหลับไป เพียงแต่ตอนที่เขามองไปทางกล่องไม้ กลับชะงักไปในทันที เพราะว่าเขาเห็นว่าหลานจินที่เดิมเคยมีอยู่เต็มแน่นกลับหายวับไปไม่เห็นเลย!


หยางโปเร่งรีบมองไปทางใต้โต๊ะ ด้านล่างไม่มีอะไรเลย บนเตียงก็ไม่มี ที่อื่นๆ ก็ไม่ปรากฏผงทองสีเหลืองเลยสักนิด ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้หยางโปประหลาดใจมาก


 


อย่าบอกนะว่าตัวเองกลืนผงทองไปแล้ว?


หยางโปอดที่จะคาดเดาไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ปฏิเสธไปอย่างรวดเร็วมาก เพราะว่าตอนที่เขาหยิบกระจกมาส่องดูในปากก็ไม่ปรากฏร่องรอยอะไรของผงทองเลยแม้แต่น้อย


หยางโปถึงค่อยคิดถึงฉากอันผิดปกติก่อนหน้านี้ แสงสีขาวระยิบระยับ ไม่เหมือนกับประกายแสงดั่งเส้นไหมในเวลาปกติเลย หรือว่าปัญหาเกิดขึ้นจากที่นี่?


หยางโปจ้องมองกล่องไม้ กล่องไม้ใบนี้เป็นสิ่งของสมัยปลายราชวงศ์หมิง แต่ว่าทำไมข้างในถึงได้บรรจุหลานจินเอาไว้?


ประกายแสงตรงหน้าวาบขึ้นอีกครั้ง หยางโปสามารถมองเห็นว่ากล่องไม้มีประกายแสงดั่งเส้นไหมควบรวมกันได้อย่างชัดเจน


มันแฝงความสดชื่นเบาสบายสายตาอยู่บ้าง ทันใดนั้นหยางโปก็ชะงักไปครู่หนึ่ง


 


เพราะว่าเขามองเห็นจุดโฟกัสของสายตา ภาพตรงหน้าถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลง เขามองทะลุผ่านกล่องไม้ไปแล้วมองเห็นแผ่นกระดาษที่วางอยู่ใต้โต๊ะ!


มองทะลุ!


หยางโปคิดไม่ถึงว่าตนเองจะถึงกับมองทะลุได้ เขาไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้เลยสักนิด!


แต่ว่าหยางโปก็ดีใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะว่าการมองทะลุนั้นหมายความว่าเขาสามารถประเมินของบางอย่างได้ง่ายดายยิ่งขึ้น!


หยางโปมองดูเวลา ตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว เขาปิดโคมไฟแต่ไม่ว่ายังไงเขาก็นอนไม่หลับ


เขาทนไปตลอดจนถึงเจ็ดโมงเช้ากว่าๆ หยางโปก็ปีนขึ้นจากเตียง เอาตู้เซฟพาข้าวของไปส่งที่ธนาคาร ฝากเอาไว้ในตู้นิรภัย


 


เขายืนอยู่ด้านนอกตู้นิรภัย จ้องมองข้าวของข้างใน แย้มยิ้มอย่างเข้าใจ เพราะว่าเขาค้นพบว่าตัวเองสามารถมองประตูที่อยู่ห่างไปแล้วมองเห็นสถานการณ์ภายในได้จริงๆ


มันดำเนินการได้อย่างราบรื่นมาก วีซ่าและพาสปอร์ตก็ดำเนินการไปอย่างรวดเร็วที่สุด ตาอ้วนหลิวโทรศัพท์มาหาเป็นการพิเศษ ให้หยางโปเตรียมตัวไว้ให้พร้อม


หยางโปจำใจจากตลาดของโบราณทั้งหลาย ในขณะเดียวกันก็เริ่มเตรียมตัวทริปไปเยอรมนี


หยางหล่างยืมเงินจากครอบครัวไม่ได้ ทำให้เขาโกรธจริงๆ แต่ว่าเขาในเวลานี้ก็อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก


“น้องชายของเธอรวยแล้ว แต่เธอดูท่าทางตอนนี้ของเธอสิ ต่อไปก็เป็นคนละโลกกับน้องชายของเธอแล้ว!” หลานเยว่หันไปกล่าวกับหยางหล่าง


 


หยางหล่างใจเสียเล็กน้อย “ฉันจะทำยังไงดี?”


“ไปหาน้องชายของเธอไม่ได้แน่ เธอก็เห็นแล้วนี่ วันนั้นเธอไปหาเขาอยากได้เครื่องลายครามชิ้นหนึ่ง เขาก็ไม่ยอมให้ ขี้งกกระทั่งครอบครัวจริงๆ!” หลานเยว่ก่นด่า


หยางหล่างขมวดคิ้ว “เกรงว่าที่บ้านจะไม่ยอมให้เงิน”


“ถ้างั้นก็กลับไปเอา เธอกลับไปเอามาด้วยตัวเอง!” หลานเยว่ชักชวน


“เอา?” หยางหล่างตกตะลึงมาก “พวกเขาบอกว่าไม่ให้แล้ว ฉันจะไปเอามาได้ยังไง?”


“ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่อยู่ไปเอา!” หลานเยว่กล่าว


หยางหล่างพลันชะงักลงไป “แบบนี้ไม่ดีมั้ง?”


 


“ในเมื่อพวกเขาไร้น้ำใจกับเธอ ถ้างั้นก็อย่ามาว่าโทษเธอที่ไร้น้ำใจ! หยางหล่าง ปีนี้เธออายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว เธอไม่มีเวลามากมายที่จะสามารถใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยแล้ว! เธอต้องรู้ว่าเธออยากทำธุรกิจ ตอนนี้ก็ต้องไปเอาเงินทุนออกมา! เธอไม่มีวิธีอื่นแล้ว!” หลานเยว่กล่าว


หยางหล่างนั่งอยู่ด้านข้างแล้วครุ่นคิดขึ้น เขาไม่ได้เปิดปากพูดมากอีกแต่กลับลังเลขึ้นมาเล็กน้อย


ตอนที่ 186 เจออุปสรรค


เบอร์ลินตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี เป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมนี และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีด้วย นับเป็นเมืองระดับโลก ประชากรของเบอร์ลินมีประมาณสามสิบล้านห้าแสนคน เทียบกับประชากรเมืองหกสิบล้านห้าแสนคนของจินหลิงน้อยกว่าเกือบเท่าตัว!


หยางโปติดตามคนทั้งกลุ่มลงมาจากเครื่องบิน ยังไม่ทันได้ชมวิวก็เร่งรีบขึ้นรถแล้ว


กู้ฉางซุ่นเดิมทีคิดจะอยู่สั่งการที่จินหลิง แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางหนึ่งวัน จู่ๆ ก็บอกว่าจะเดินทางมาเบอร์ลินพร้อมกับทุกคนด้วย


คนทั้งกลุ่มนอกจากหยางโปแล้ว ยังมีตาอ้วนหลิว กุ้ยหรงจิ่ว เหมยเฉาหนิง รวมถึงกลุ่มงานของผู้เชี่ยวชาญอีกกลุ่มหนึ่ง รวมถึงเลขา ทนายความ ล่าม จำนวนมากมาย รวมกันแล้วมีถึงสิบกว่าคน!


 


ในพื้นที่เบอร์ลินนี้ กู้ฉางซุ่นยังจ้างบริษัททนายความท้องถิ่นไว้อีกแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเพื่อซื้อถ้วยดินเผาเคลือบลายไก่นี้ กู้ฉางซุ่นจ่ายเงินไปไม่น้อย


พอมาถึงโรงแรมแล้ว หยางโปกับตาอ้วนหลิวก็พักอยู่ในห้องหนึ่ง


พักผ่อนเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง หยางโปก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอก เขาเปิดประตูมองเห็นเลขาของกู้ฉางซุ่นยืนอยู่ด้านนอก


“คุณหยาง รบกวนแล้ว ท่านประธานกู้ให้ทุกคนไปเริ่มประชุมที่ห้องประชุมชั้นสองในอีกครึ่งชั่วโมง” เลขาของกู้ฉางซุ่นคือผู้หญิงวัยสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง คำพูดก็นับว่าสุภาพ


“ตกลง” หยางโปเอ่ยตอบคำหนึ่ง


รอจนหยางโปปิดประตูแล้ว ตาอ้วนหลิวก็อดพร่ำบ่นไม่ได้ “กู้ฉางซุ่นตามมาทำอะไร?


เขาควรรอข่าวอยู่ที่จินหลิงก็พอแล้ว!


 


หยางโปหัวเราะ “เขามาก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็มีคนรับผิดชอบ การเจรจาก็จะได้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย”


“หวังว่าจะสามารถเจรจาได้เร็วสักหน่อย พวกเราก็จะได้เงินแล้วกลับไปให้เร็วอีกนิด” ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอเหอขึ้นมา


ไปถึงห้องประชุมชั้นสอง ตอนที่หยางโปเข้าไปก็มองเห็นกู้ฉางซุ่นนั่งอยู่ตำแหน่งประธานแล้ว ภายในห้องประชุมเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง ทุกคนต่างก็ไม่ได้พูดจา


หยางโปนั่งลงไป ไม่ได้พูดมาก


ไม่นานคนในกลุ่มก็มากันครบ กู้ฉางซุ่นแสร้งกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยปากว่า “ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกคนที่เดินทางมาไกลถึงต่างแดนนับพันลี้กับผม ลำบากทุกคนแล้ว!


 


หยางโปประหลาดใจเล็กน้อย เขาพบเจอกับการพูดจาอย่างผู้นำแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ว่าเขาก็ปรบมือตามไปกับทุกคน


กู้ฉางซุ่นค้อมหน้า “ทุกคนก็เข้าใจเป้าหมายของการมาเยอรมันในครั้งนี้ของพวกเราดี พวกเราก็ทำเพื่อถ้วยดินเผาเคลือบลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว!”


“นี่คือสมบัติของประเทศชาติของพวกเรา เป็นชิ้นงานเครื่องลายครามที่ยอดเยี่ยมมาก


เพื่อช่วยให้การทวงคืนถ้วยดินเผาเคลือบสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว พวกเราเลยตั้งกลุ่มของพวกเราเอง เชิญทีมทนายความผู้มีชื่อเสียงในท้องที่ของเยอรมนีมาแล้ว ถึงขนาดติดต่อกับกรมโบราณคดีภายในประเทศแล้ว เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา!”


“ฉันกู้ฉางซู่น เกิดใต้ธงแดง เติบโตใต้วสันตฤดู เป็นดินเหลืองที่หล่อเลี้ยงฉัน เป็นประเทศชาติที่หล่อหลอมฉัน เป็นหินถ่านดำที่ทำให้ฉันร่ำรวย!”


 


“หนึ่งร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ ประเทศชาติอ่อนแอลง คนต่างชาติสารเลวกลุ่มนี้แย่งชิงทองคำแร่เงินของพวกเรา แย่งชิงดินแดนของพวกเรา ทั้งยังแย่งชิงสมบัติของชาติ โบราณวัตถุของพวกเรา! ถึงแม้จะไม่มีความสามารถอะไร แต่ไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมาด่าฉันว่าคนรวยไร้น้ำใจได้!”


“วันนี้ ฉันขอให้คำมั่น ครั้งนี้จะต้องเอาถ้วยดินเผาเคลือบสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วกลับประเทศให้ได้ ให้โบราณวัตถุที่สูญหายของพวกเราหวนกลับคืนบ้านเกิด! ให้โลกจดจำว่าพวกเราประเทศจีนในที่สุดก็ร่ำรวยแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว พวกเราจะต้องเอาของที่เป็นของพวกเรากลับไป!


 


“ฆ่าพวกสวะสารเลวกลุ่มนี้! ไอ้พวกเฮงซวย!


กู้ฉางซุ่นยิ่งพูด อารมณ์ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดที่ในตอนท้ายสุดเขาตบโต๊ะแล้วร้องด่าขึ้นมาฉาดใหญ่!ทุกคนที่นั่งอยู่ข้างล่างอึ้งงันก่อน จากนั้นก็ร้องดีขึ้นมา


หยางโปนั่งอยู่ข้างล่าง หันหน้ามองไปทางกู้ฉางซุ่น มองเห็นด้านหน้าของเขาวางคำร่างสุนทรพจน์ส่วนหนึ่งไว้ ในใจก็ประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้อีกฝ่ายจะแสร้งพูดแต่ในท้ายที่สุดแล้วทัศนคติก็ไม่ผิดเพี้ยน


จากนั้นกู้ฉางซุ่นก็พูดคุยถึงขั้นตอนการทำงานต่อไปเล็กน้อย หยางโปได้ยินกู้ฉางซุ่นชี้ไปที่ชื่อของพวกเขาหลายคน ให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม ตอนบ่ายจะไปพบเบอร์ด้า ฟรีแมน ด้วยกัน


ตอนเที่ยงทานอาหารอย่างเรียบง่าย หยางโปกับกุ้ยหรงจิ้ว เหมยเฉาหนิงแลกเปลี่ยนทักษะในการประเมินถ้วยดินเผาเคลือบสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว


 


สำหรับความสามารถในการทำของปลอมพวกนั้น กุ้ย เหมย ทั้งสองคนประสบพบเจอมามาก ทั้งสองคนต่างสนทนาอย่างเข้าใจง่ายไม่น้อย ทำให้หยางโปได้รับผลประโยชน์ด้วย


ตอนบ่ายสองโมงตรง ทั้งกลุ่มภายใต้การนำของกู้ฉางซุ่น มุ่งหน้าไปที่พักของเบอร์ด้าอย่างยิ่งใหญ่


บรรพบุรุษของเบอร์ด้า ฟรีแมนเป็นคนฝรั่งเศส ในปัจจุบันทำธุรกิจแปรรูปไม้ที่นอร์เวย์ บรรพบุรุษของเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพในสมัยสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 นำกองทัพฝรั่งเศสเข้ารุกรานฝรั่งเศส กองทัพพันธมิตรอังกฤษฝรั่งเศสในตอนนั้นเผาพระราชวังหยวนเหอหยวน บรรพบุรุษของเขานับว่าเป็นหนึ่งในหัวหน้าคนร้าย!


และก็เป็นด้วยเหตุผลนี้ หลังจากสืบต่อกันมาสี่ชั่วอายุคน ในการครอบครองของเบอร์ด้าก็ยังเก็บรักษาโบราณวัตถุของประเทศจีนไว้เป็นจำนวนมาก หนึ่งชิ้นในนั้นก็คือถ้วยดินเผาเคลือบสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วที่มีมูลค่ามากที่สุดในนั้น


 


ทั้งกลุ่มมาถึงด้านหน้าวิลล่าของเบอร์ด้า กู้ฉางซุ่นให้เลขาติดต่ออีกฝ่าย อย่างรวดเร็วชายผิวขาวอายุ 50 กว่าปีในชุดสูทสีเทาก็เดินออกมา กู้ฉางซุ่นกำลังจะก้าวไปครึ่งก้าว คิดจะจับมือกับเขา เลขาก็ได้ห้ามเขาเอาไว้แล้วเอ่ยกระซิบว่า “นี่คือพ่อบ้านของเบอร์ด้า!


กู้ฉางซุ่นชะงักฝีเท้า อึ้งงันเล็กน้อย ไม่นานก็มีปฏิกริยากลับมาเป็นปกติ ด้านนอกประตูใหญ่สามารถมองเห็นพื้นที่ด้านนอกหนึ่งร้อยเมตรภายในวิลล่าอยู่ไกลๆ แบบนี้ดูท่าว่าสวนในบ้านของอีกฝ่ายอย่างน้อยก็ต้องใหญ่โตมาก ความมั่งคั่งหรูหราของบ้าน ไม่มีคนอื่นสูงศักดิ์แบบนี้แล้ว!


คุณกู้ที่เคารพ สวัสดีครับ! พ่อบ้านเดินออกมา จมูกตาเชิดขึ้นฟ้า คำพูดสุภาพมากแต่ทว่าท่าทางกลับไม่สุภาพอะไรเลย


กู้ฉางซุ่นขมวดคิ้วนิ่งงัน ได้ยินคำอธิบายจากล่ามแล้วก็ร้องฮึครั้งหนึ่ง ฉันติดต่อคุณเบอร์ด้าไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันนี้จะมาดูเครื่องลายครามชิ้นนั้น


 


พ่อบ้านหันมาเหลือบมองกู้ฉางซุ่นที่อยู่ด้านหลังครั้งหนึ่ง คุณกู้ ทำไมข้อมูลที่ผมได้รับกลับไม่เหมือนกันล่ะ? คุณเบอร์ด้ากำชับผมว่าวันพรุ่งนี้ให้การต้อนรับคุณ วันนี้เขาไม่ได้อยู่บ้านเลย!


กู้ฉางซุ่นชะงักเล็กน้อย หันหน้าไปมองเลขา วันนี้วันที่เท่าไร?


เถ้าแก่ วันนี้วันที่ 9 เดือนตุลาคม เลขาตอบ


ถ้างั้นวันที่ฉันกับคุณเบอร์ด้านัดกันคือวันที่เท่าไร? กู้ฉางซุ่นเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง


เป็นวันที่ 9! เลขากล่าว


กู้ฉางซุ่นมองไปทางพ่อบ้าน ฉันนัดกับคุณเบอร์ด้าไว้ก็วันที่ 9 ไม่รู้ว่าทำไมพวกคุณถึงได้เปลี่ยนวัน?


 


สีหน้าของพ่อบ้านแฝงด้วยรอยยิ้มการค้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะล่วงรู้ได้


กู้ฉางซุ่นขมวดคิ้ว รู้ว่าพูดคุยไม่ได้แล้ว ตัวเองก็ไม่สามารถโกรธเกรี้ยวได้ ทำได้แค่กล่าวว่า คุณโทรศัพท์หาคุณเบอร์ด้าแล้วยืนยันวันสักหน่อยเถอะ!


คุณครับ ถ้าหากทุกครั้งที่มีแขกมาขอเข้าพบแล้วผมทำแบบนี้ ถ้างั้นผมก็ต้องตกงานพ่อบ้านนี้ไปแล้ว ผมทำได้แค่อ้างอิงจากความต้องการจากคุณเบอร์ด้ามาทำ ถ้ายังไงพรุ่งนี้คุณมาอีกครั้งไหมครับ? พ่อบ้านกล่าวพลางหัวเราะ


กู้ฉางซุ่นได้ยินถ้อยคำที่ล่ามบอกมา ทันใดนั้นก็โมโหขึ้น ทางคุณเกิดแสดงวันที่ผิด คุณกรุณาโทรเพื่อตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลย!


“คุณกู้ คุณมาซื้อของจริงหรือ!” พ่อบ้านกล่าวพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า


กู้ฉางซุ่นโกรธจนแทบคลั่งในฉับพลัน!


ตอนที่ 187 แกลลอรี่เบอร์ลิน


หยางโปคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถึงกับเจออุปสรรคตั้งแต่หน้าประตู นี่เกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง อุปสรรคที่หน้าประตูก็เป็นนัยถึงการเจรจาจะพบเจอกับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่กว่า!


เขาก็แน่ใจเป้าหมายของการที่กู้ฉางซุ่นไม่อยู่อย่างสุขสบายในประเทศ แล้ววิ่งออกมาถึงเยอรมนีแล้ว


กู้ฉางซุ่นสีหน้าเขียวคล้ำ ถูกปิดประตูปฏิเสธ


พ่อบ้านคนนั้นสีหน้ากลับแฝงรอยยิ้ม “คุณกู้ ต้องขออภัยจริงๆ ครับ พวกเราพบกันพรุ่งนี้!”


กล่าวจบ พ่อบ้านก็สั่งการให้ปิดประตูใหญ่


กู้ฉางซุ่นแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง “ต้องมีสักวันที่ฉันจะทำให้พวกเขาต้องชดใช้!


กู้ฉางซุ่นจากมาอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็ไม่ได้พูดมาก ตามกลับไปที่โรงแรม


รอจนตอนค่ำสักหน่อยแล้ว จู่ๆ หยางโปก็ได้รับแจ้งเตือนว่าวันพรุ่งนี้ไม่ต้องไปที่คฤหาสห์ของเบอร์ด้าแล้ว ทุกคนมีเวลาว่างตามสบาย


 


ในใจของหยางโปกำลังคิดว่าจะไปเที่ยวที่ไหน คิดไม่ถึงว่ากุ้ยหรงจิ่วกับเหมยเฉาหนิงสองคนจะมาถึงห้องของหยางโปด้วยกัน


เข้ามาในห้องแล้ว กุ้ยหรงจิ่วมองเห็นตาอ้วนหลิวกำลังเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่บนเตียงก็อดหัวเราะไม่ได้ “เสี่ยวหลิว นี่นายกำลังทำโยคะอยู่เหรอ?”


ตาอ้วนหลิวชะงักการเคลื่อนไหว “อาจารย์กุ้ย คุณอย่าล้อผมเลยนะ ผมกำลังลดความอ้วน คนพออ้วนแล้วก็เจ็บป่วยได้ง่าย โรคสามสูง (ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง) รักษายากมาก ดังนั้นผมอยากจะลดน้ำหนักสักหน่อย แค่ไม่เห็นผลมาตลอด”


กุ้ยหรงจิ่วคิดถึงท่าทางเรียบง่ายพวกนั้นเมื่อครู่นี้ของตาอ้วนหลิวก็หัวเราะขึ้นมา “ถ้าหากนายออกกำลังกายง่ายๆ แบบนี้แล้วสามารถลดน้ำหนักได้ก็ไม่มีคนอ้วนแล้ว จะให้ดีที่สุดนายก็ลงไปวิ่งสักหน่อย ดีกว่าวิธีนี้แน่!


 


ตาอ้วนหลิวคิดเล็กน้อย “ก็คงใช่ โรงแรมมียิม อีกเดี๋ยวผมจะไปลองดู!”


หยางโปนั่งอยู่บนเตียง หันไปกล่าวกับกุ้ยหรงจิ่วว่า “อาจารย์กุ้ยพรุ่งนี้มีแพลนอะไรไหมครับ?”


“พวกเราอยากไปที่หนึ่ง” กุ้ยหรงจิ่วได้ยินคำถามของหยางโปก็หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา


“ฉันกับเฉาหนิงปรึกษากันแล้ว พรุ่งนี้พวกเราวางแผนจะไปแกลลอรี่เบอร์ลิน ที่นั่นมีภาพวาดสีน้ำมันอยู่ไม่น้อย พวกเราอยู่ในประเทศมาตลอด ศึกษาเรื่องภาพวาดสีน้ำมันของตะวันตกน้อยมาก ถ้าหากต่อไปเจอกับภาพวาดสีน้ำมันจริงๆ ถ้าหากประเมินออกมาไม่ได้ งั้นก็ขายหน้าแล้ว” กุ้ยหรงจิ่วกล่าวอธิบาย


การประเมินภาพวาดเป็นจุดบกพร่องของหยางโปมาตลอด หยางโปตอบตกลงกับข้อเสนอของกุ้ยหรงจิ่วทันที “ได้ พรุ่งนี้พวกเราไปดูด้วยกัน”


 


ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอะเหอะ “ขากลับก็ไปซื้อเบียร์มาอีกหน่อย


เหมยเฉาหนิงจ้องมองหน้าท้องของตาอ้วนหลิว “ฉันว่านายลดน้ำหนักไม่ได้หรอก”


ตาอ้วนหลิวหัวเราะ “อย่าน่า ยังลดน้ำหนักนะ!”


สนทนากันได้สองประโยค ตาอ้วนหลิวก็หันไปเอ่ยถามกุ้ยหรงจิ่วว่า “ครั้งนี้ถูกปิดประตูปฏิเสธ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ไป จะไม่เป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูเหรอ?”


กุ้ยหรงจิ่วส่ายหน้า “ก็ไม่แน่ ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว อีกฝ่ายถ้าหากไม่ยินยอมขายก็จะไม่ติดต่อหรอก ก่อนหน้าก็น่าจะสนทนากันสักหน่อยแล้ว ตอนนี้น่าจะไม่ยินยอมเรื่องราคา ยังไงก็ต้องต่อรองกัน”


“งั้นจะไม่ยืดยาวไปอีกนานเหรอ?” ตาอ้วนหลิวถอนหายใจ


“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงพวกเราอยู่ที่นี่วันหนึ่งก็จะได้เงินอีกวันหนึ่ง นายจะกระตือรือร้นรีบร้อนไปทำไม?” กุ้ยหรงจิ่วกล่าว


 


ตาอ้วนหลิวเบะปาก “แต่ผมยังมีเรื่องอื่นนะ!


“ฉันยังต้องบันทึกรายการนะ ฉันยังไม่รีบร้อนเลย ยังไงก็รอไปเถอะ!” กุ้ยหรงจิ่วกล่าว


หยางโปไม่ได้พูดอะไรมาก เขารอถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าหากผลลัพธ์มาเร็ว เขายังคิดจะเสนอให้ไปดูตลาดของโบราณของเบอร์ลินดู


รอจนตกดึก ข้อมูลได้รับการยืนยันไปอีกหน่อย ครั้งนี้นับว่าเจรจาล้มเหลว พรุ่งนี้จะไม่ไปที่คฤหาสน์ของเบอร์ด้า ทีมในการเจรจาจะปรึกษาแผนการขั้นต่อไป พวกของหยางโปก็จะต้องการคำแนะนำทางเทคนิค แต่เพราะว่ายังไม่เห็นถ้วยลายไก่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เข้าร่วม


หยางโปยังปรับเวลาร่างกายไม่ได้ แต่โชคดีที่เขาอายุน้อยยังสามารถทนต่อได้


 


แต่อีกทั้งสามคนไม่ไหวแล้ว ค่อยๆ คืบคลานไปจนถึงสิบโมงกว่า ทั้งสี่คนถึงได้ทานอาหารเช้า โรงแรมจัดรถคันหนึ่งส่งพวกเขาไปที่แกลลอรี่เบอร์ลิน


แกลลอรี่เบอร์ลินคืองานจัดแสดงทางศิลปะวัฒนธรรมในที่สาธารณะ มีภาพวาดแบบยุโรปจากศตวรรษที่ 13 ถึง 18 จัดแสดง ไม่ได้จัดแสดงรูปปั้น เป็นหนึ่งในคลังภาพวาดที่สำคัญที่สุดในโลก แกลลอรี่อยู่ภายใต้พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเบอร์ลิน รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าภัณฑารักษ์


รถพาทั้งสี่คนไปที่ลานกว้างด้านนอกพิพิธภัณฑ์เบอร์ลินแล้วก็ขับออกไป


มองดูรถจากไป หยางโปจู่ๆ ก็เอ่ยถามว่า “พวกเราสี่คน มีใครพูดภาษาเยอรมันได้ไหม?”


ทุกคนต่างชะงักนิ่ง กุ้ยหรงจิ่วส่ายหน้า “ฉันแก่แล้ว ปีนั้นเคยเรียนภาษารัสเซีย ตอนนี้ยังพูดได้เล็กน้อย ภาษาเยอรมันก็ช่างมันเถอะ”


 


เหมยเฉาหนิงกล่าวอย่างเปี่ยมพลัง “ฉันก็พูดไม่เป็น”


“พวกคุณไม่ต้องมองผมเลย ผมก็พูดไม่เป็น” ตาอ้วนหลิวกล่าว กล่าวจบเขาก็โบกมือเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดมาก ขอเพียงหาทางกลับไปได้ก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจมากขนาดนั้นหรอก


แกลลอรี่เบอร์ลินเก็บรักษาภาพวาดไว้ทั้งหมดกว่า 3000 ภาพ ประมาณ 1100 ภาพในนั้นจัดแสดงอยู่ในหอจัดแสดงหลัก อีก 350 ภาพสามารถชมได้ที่หอฝึกวาดภาพของแกลลอรี่ ดังนั้นมันจึงจัดแสดงไว้เยอะมาก พื้นที่ก็ไม่เล็ก


หลังจากทั้งสี่คนเข้าไปแล้ว ก็เดินไปตามหอจัดแสดงแรกสุดที่มองเห็นด้านหน้า


หยางโปเข้าใจเรื่องจิตรกรต่างชาติไม่เท่าไหร่ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นกุ้ยหรงจิ่วกับเหมยเฉาหนิงสองคนที่ออกความคิดเห็นปรึกษากัน หยางโปกับตาอ้วนหลิวก็ตั้งใจฟัง


 


“นี่คือผลงาน <เด็กสาวอ่านจดหมายริมหน้าต่าง> ของวอร์เมียร์ โยฮันเนส วอร์เมียร์ตายตั้งแต่ยังหนุ่ม ประวัติศาสตร์บันทึกเกี่ยวกับเขาน้อยมาก อีกอย่างในตอนนั้นชื่อเสียงของเขาก็ไม่โดดเด่น ถึงขนาดที่หลังจากเขาจากโลกนี้ไปแล้ว ในปี 1696 การประมูลครั้งหนึ่งในอัมเตอร์สดัม มีภาพวาดของเขาอยู่ 21 ภาพ ภาพ <เดลฟ์> ขายไปในราคาสูงที่สุด ก็เพียงแค่ 200 กิลเดอร์ดัตช์เท่านั้น”


“ท่านนี้ก็นับตัวอย่างหนึ่งของคนที่ไม่โด่งดังในตอนที่มีชีวิต หลังจากตายไปแล้วค่อยมีชื่อเสียง ก่อนหน้านี้เขาถูกจัดให้ลดตัวอยู่แค่ในรายชื่อจิตรกรน้อยของฮอลแลนด์ แต่ตอนนี้อันดับของเขาพุ่งขึ้นสูง ร่วมกับฮาลส์และเรมแบร้นท์ เบียดกันเป็นสามยอดจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ของฮอลแลนด์”


….


 


ทั้งสี่คนเดินช้ามาก แต่พูดเรื่องสไตล์ของภาพรวมถึงทักษะการวาดภาพน้อยมาก เพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงแลกเปลี่ยนเรื่องชีวประวัติของจิตรกร รวมถึงอิทธิพลของผลงานเสียมาก


ความคิดของหยางโปที่อยากจะเรียนทักษะในการประเมินภาพวาดสลายไป แต่ว่ากลับเข้าใจจิตรกรของตะวันตกที่เคยได้ยินมาขึ้นไม่น้อยเลย


ตาอ้วนหลิวดึงหยางโปไปเดินข้างหลัง เอ่ยเสียงเบาว่า “คืนนี้ฉันพานายไปเปิดหูเปิดตาดีไหม?”


หยางโปชะงัก ใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจออกมา เผยความกระอักกระอวนอีกเล็กน้อย


ตาอ้วนหลิวจ้องมองหยางโป มองเห็นใบหน้าของเขาแดงเรื่อก็ชะงัก ในมือจับไปที่ปากของตนเอง “น้องชาย อย่าสนใจเลย ฉันพลั้งปากไป นายก็คิดว่าฉันไม่ได้พูดนะ ในเมื่อยังอ่อนประสบการณ์ ถ้างั้นจะเอาตัวเองไปมอบให้ดินแดนแปลกหน้านี้ไม่ได้ อีกอย่างนั้นยังเป็นสถานที่แบบนั้นอีก!”


 


หยางโปยิ้มอย่างประดักประเดิด “ไม่ คุณอย่าเข้าใจผิด ผมก็แค่…”


“น้องชาย ฉันเข้าใจ นายไม่ต้องอธิบาย อยู่กับนายมาหลายวันนี้ เห็นพฤติกรรมของนายเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ฉันก็คิดว่านายเคยแล้วมาตลอด…” ตาอ้วนหลิวหัวเราะแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ฉันเพิ่งจะนึกถึงอายุของนายออก นายเหมือนจะเพิ่งยี่สิบนี่!”


ตอนที่ 188 ขอร้อง


พวกหยางโปสองคนไล่ตามกุ้ยหรงจิ่ว กุ้ยหรงจิ่วมองมา “พวกนายกำลังคุยอะไรกัน?”


“เปล่า ไม่ได้คุยอะไร” ตาอ้วนหลิวโบกมือกล่าว


กุ้ยหรงจิ่วจ้องตาอ้วนหลิว “นายอย่าพาหยางโปไปเสียคนนะ!


ตาอ้วนหลิวยิ้มเฝือดเฝือน “อย่าพูดแบบนี้สิ พูดซะเหมือนผมแย่มากอย่างนั้น ผมไม่มีทางทำเรื่องพรรค์นั้นหรอก!


ทั้งกลุ่มก็เดินหน้าต่อไป หอจัดแสดงบ้างก็เงียบเหงา มีนักเรียนบางคนมานั่งวาดเลียนแบบอยู่ด้านหน้าของภาพ บางครั้งหยางโปก็มองไปครั้งหนึ่งอย่างประหลาดใจมาก


 


ตอนที่หยางโปอยู่ภายในประเทศก็เคยไปการจัดแสดงศิลปะมาบ้าง โดยเฉพาะในจินหลิง ทุกครั้งตอนที่มีการแสดงงานของปรมาจารย์ มักจะมีนักเรียนของสถาบันศิลปะท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยไปเยี่ยมชมเพื่อลอกเลียนแบบ


แน่นอนว่าในจำนวนนี้มีนักเรียนศิลปะหญิงจำนวนมากดูมีระดับอย่างมาก หยางโปมองไปทางด้านหน้าก็ชะงักไป เพราะว่าเขามองเห็นคนคุ้นเคยคนหนึ่ง


เสื้อโค้ทสีแดงสด ท่าทีงามสง่า ด้านหน้ามีกระดานวาดภาพแผ่นหนึ่ง หยางโปมองไปก็มองเห็นภาพหนึ่งที่อีกฝ่ายกำลังวาดเลียนแบบคือ <เพอร์ซิอุสช่วยชีวิตอันโดรเมด้า> ภาพวาดสีน้ำมันในรูปแบบของตำนานปกรณัมกรีกผลงานของอันตอน ราฟาเอล เม็งส์


 


พวกของกุ้ยหรงจิ่วมองเห็นหยางโปเดินไปก็รู้สึกประหลาดใจ แล้วก็มองเห็นผู้หญิงผมดำขลับยาวสลวยที่นั่งอยู่ทางนั้นก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้


หยางโปเดินเข้าไป ยืนนิ่งมองภาพวาดที่เพิ่งวาดส่วนเล็กส่วนหนึ่งเสร็จ ตัวละครในภาพมีกล้ามเนื้อทรงพลัง แข็งแกร่งอย่างมาก ดูไปแล้วไม่เหมือนรูปแบบที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะวาดออกมาได้


ภาพนี้วาดมาจากตำนานปกรณัมกรีก อันโดรเมด้าคือลูกสาวของราชาเซอร์ฟิอุสและราชินีแคสซิโอเปียแห่งเอทิโอเปีย แม่ของเธอเพราะไม่หยุดแสดงความงามของตนเองและล่วงเกินแอมโฟรไดท์ภรรยาของโพไซดอนเทพแห่งดาวพฤหัส แอมโฟรไดท์ต้องการให้โพไซดอนแก้แค้นแทนให้เธอ โพไซดอนจึงจัดการส่งซีตุสไปทำลายล้างเอธิโอเปียให้


 


พระราชาตกตะลึงมาก แล้วเชิญผู้ทำนายมา ผู้ทำนายประกาศว่าวิธีเดียวที่จะช่วยได้คือสังเวยอันโดรเมด้าให้กับเทพเจ้า เธอถูกพ่อแม่ของเธอใช้โซ่เหล็กล็อกไว้บนหินก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งบนเส้นทางที่ปีศาจทะเลซีตุสมัก


ปรากฏตัว ต่อมาวีรบุรุษเพอร์ซิอุสบังเอิญสังเกตเห็นสถานการณ์น่าเวทนาจึงส่งศีรษะของปีศาจงูสาวเมดูซ่าออกไปทันที ทำให้ซีตุสกลายเป็นหิน เพอร์ซิอุสฆ่าปีศาจทะเลแล้วก็ช่วยเหลือเธอ


หญิงสาวคนนั้นสีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้าง ผ่านไปชั่วครู่ถึงได้สังเกตเห็นคนยืนอยู่ด้านข้าง เธอหันหน้ามามอง มองเห็นหยางโปก็พลันชะงักอย่างตกตะลึง “เถ้าแก่หยาง คุณมาเยอรมนีเป็นเย่เหวยหลินเชิญมาช่วยฉันใช่ไหมคะ?”


 


หยางโปประหลาดใจเล็กน้อย หลายวันก่อนเขาเพิ่งพบกับเย่เหวยหลิน แต่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เขาจำได้แค่หัวเราะ “น้องสาวหง ผมก็แค่บังเอิญผ่านมาที่นี่เลยมาทักทายคุณเท่านั้นเอง”


สีหน้าของหงซิ่วซิ่วประดักประเดิดอยู่บ้าง เธอลุกขึ้นยืน “เถ้าแก่หยาง ไม่ว่ายังไง ขอร้องล่ะ คุณต้องช่วยพี่ชายฉันนะคะ!”


หยางโปตกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาก็รู้ว่าหงอวี้ถูกส่งไปต่างประเทศ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังไม่สามารถรักษาได้ “ตอนนี้พี่ชายของคุณอยู่ที่เยอรมนีเหรอ? ไม่ใช่ถูกส่งไปอเมริกาเหรอ?”


หงซิ่วซิ่วสีหน้ามองคล้ำ “ผลการรักษาของอเมริกาไม่ดี ยืดเยื้อมานานขนาดนี้แล้ว เขายังคงเดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่น ดังนั้นที่บ้านก็เลยส่งเขามาที่เยอรมนี ทักษะประสาทวิทยาของทางนี้ดีกว่าเล็กน้อย”


 


หยางโปประหลาดใจมาก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะถึงกับพัฒนามาถึงขั้นนี้ เพียงแต่เวลาเช่นนี้ กระจกแสงจันทร์ของเขาจะยังใช้ได้ไหมนะ?


“เถ้าแก่หยาง ฉันขอร้องคุณจริงๆ นะ ขอแค่คุณรักษาพี่ชายให้หายได้ ไม่ว่าเงื่อนไขอะไร ฉันก็ตกลงได้ทั้งนั้น ตระกูลหงจะต้องตอบแทนอย่างดีแน่นอน!” หงซิ่วซิ่วขอร้องอย่างขื่นขม ตอนแรกดวงตายังเรื่อแดงเล็กน้อยก็เกือบจะหลั่งน้ำตาแล้ว


หยางโปลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย


ตาอ้วนหลิวเดินเข้ามา “สาวน้อย หยางโปไม่ใช่คนไร้น้ำใจแบบนั้น เธอวางใจเถอะนะ เขาจะต้องรับผิดชอบเธอแน่!”


 


หยางโปหันไปจ้องตาอ้วนหลิวเขม็ง เมื่อกี้พวกเขาสามคนเดินมาแล้ว ไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนเลย คิดไม่ถึงเลยว่าตาอ้วนหลิวประโยคแรกก็จะเอ่ยปากแบบนี้ ทันใดนั้นก็ทำให้หยางโปอิหลักอิเหลื่อมาก


“ตาอ้วน อย่าพูดเหลวไหล!” หยางโปเอ่ยด่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกว่าอีกฝ่ายว่า “ตาอ้วน” โดยตรง


ตาอ้วนหลิวชะงักไปเล็กน้อยแล้วหัวเราะอย่างละอาย “ถึงขนาดเจ้าหน้าที่ทางการยังยากจะจัดการเรื่องในครอบครัวใครได้ ฉันไม่พูด ฉันไม่พูดแล้ว!”


พูดจบ ตาอ้วนหลิวก็เดินถอยหลังไปสองก้าว แต่กลับยังจ้องมองทั้งสองคน คิดอยากจะแอบฟังบทสนทนาของทั้งสองคน


 


“เถ้าแก่หยาง คุณวางใจเถอะนะ ช่วงนี้แม่ของฉันไม่อยู่ที่เยอรมัน เป็นฉันที่ดูแลพี่ชายมาตลอด ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมให้เธอรบกวนคุณแน่!” หงซิ่วซิ่วกล่าว


ตาอ้วนหลิวหัวเราะ “เสี่ยวหยาง ในเมื่อเป็นคนอื่นขอร้องมา นายก็ตกลงไปเถอะนะ!”


หยางโปเงยหน้ามองไปทางหงซิ่วซิ่ว “แบบนี้ก็ดี คุณบอกที่อยู่กับผมมา ตอนบ่ายผมจะรีบไป ผมต้องการเวลาเตรียมตัวสักครู่”


สองมือของหงซิ่วซิ่วที่กำชายเสื้อโค้ท ในที่สุดก็คลายลง โค้งคำนับให้หยางโปต่ำมาก น้ำตาร่วงลงมา “ขอบคุณคุณมากจริงๆ!”


หยางโปส่ายหน้า “ผมไม่กล้ามั่นใจ รอจนตอนบ่ายเจอกันแล้วค่อยว่ากันเถอะ!


“เถ้าแก่หยาง คุณบอกที่อยู่โรงแรมของคุณให้ฉันเถอะ พอถึงเวลาฉันจะไปรับคุณเอง!” หงซิ่วซิ่วกล่าว


“ได้” หยางโปพยักหน้าตกลง


 


หงซิ่วซิ่วสีหน้ายินดี เริ่มจัดเก็บผ้าใบตรงหน้า


หยางโปบอกลาแล้วจากไป เดินไปสองสามก้าว ตาอ้วนหลิวก็รู้สึกอดรนทนไม่ไหว ยกนิ้วโปงให้หยางโป “นี่คือไปเดทเหรอ? ยังต้องให้หญิงสาวบ้านอื่นร้องขอความโปรดปราน นายนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!


หยางโปจนคำพูดเล็กน้อย “อย่าพูดเหลวไหล พวกเรารีบไปตามพวกอาจารย์กุ้ยกันเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะหายไปนะ”


หงซิ่วซิ่วกำลังจัดเก็บผ้าใบ ชายหนุ่มคนหนึ่งด้านข้างก็รีบเดินเข้ามา “ซิ่วซิ่ว ทำไมเธอถึงได้รีบเก็บของขนาดนี้ล่ะ? ได้ข่าวอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ?”


หงซิ่วซิ่วเงยหน้าขึ้นมองแล้วส่ายหน้า


ชายหนุ่มมองเห็นน้ำตาในตอนนี้ของหงซิ่วซิ่วก็เอ่ยอย่างร้อนใจขึ้นมาทันที “ซิ่วซิ่ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ใครรังแกเธอ บอกฉันมานะ!


 


หงซิ่วซิ่วรีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไร ก็แค่ดีใจไปหน่อย”


กล่าวจบ หงซิ่วซิ่วก็เงยหน้าหันมองไปทางภาพวาดที่อยู่ตรงหน้า


ชายหนุ่มมองตามคลองสายตาของเธอ ถึงแม้ไม่ต้องบอกเขาก็รู้เนื้อหาของภาพนี้อยู่นานแล้ว และก็ยิ่งเข้าใจความคิดของหงซิ่วซิ่ว หงซิ่วซิ่วคาดหวังว่าจะมีวีรบุรุษแบบเพอร์ซิอุสนั่นมาตลอด สามารถช่วยเหลือพี่ชายของเธอได้ เพียงแต่คนแบบนี้ไม่มีตัวตนอยู่จริง!


“ซิ่วซิ่ว ในเมื่อเหนื่อยแล้ว พวกเราก็ไปกันเร็วหน่อยเถอะ อย่ามองภาพนี้อีกเลย ไม่มีประโยชน์หรอก วีรบุรุษเพอร์ซิอุสไม่มีอยู่จริงหรอก” ชายหนุ่มเอ่ยปลอบ


 


หงซิ่วซิ่วจ้องมองภาพวาด ส่ายหน้าแล้วกล่าว “ไม่ ชุยอี้ผิง พี่ชายของฉันมีความหวังแล้ว วีรบุรุษเพอร์ซิอุสอาจจะปรากฏตัวขึ้นแล้ว!


 


ชุยอี้ผิงมองเห็นนัยน์ตาของหงซิ่วซิ่วเปล่งประกาย ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก “ซิ่วซิ่ว เธอไม่เป็นไรนะ พวกเรารีบไปกันเถอะ เธอเหนื่อยแล้วแน่ๆ เลย”


“ฉันไม่ได้เหนื่อย เพอร์ซิอุสปรากฏตัวขึ้นแล้วจริงๆ” หงซิ่วซิ่วเอ่ยยืนยัน


ชุยอี้ผิงกอดหงซิ่วซิ่วแน่น “ซิ่วซิ่ว เธอไม่เป็นอะไรนะ?”


หงซิ่วซิ่วดิ้นออกมา “ไม่เป็นอะไร นายไม่ต้องคิดมาก!”


ตอนที่ 189 รักษา


เมื่อเดินตามพวกกุ้ยหรงจิ่วมาถึงทั้งสองคน กุ้ยหรงจิ่วก็มองมา “ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”


หยางโปส่ายหน้า “ไม่มีอะไรครับ ตอนบ่ายผมต้องไปธุระสักหน่อย


สีหน้าของกุ้ยหรงจิ่วแขวนรอยยิ้ม “เดิมทีฉันคิดว่านิสัยของเสี่ยวโปไม่มีชีวิตชีวาเลย เรื่องความรู้สึกอาจจะช้าไปสักหน่อย ดูท่าจะเป็นฉันที่สายตาไม่ดีแล้ว!”


หยางโปรีบส่ายหน้า “อาจารย์กุ้ย คุณอย่าล้อเล่นแบบนี้สิ ผมแค่ไปช่วยธุระของเพื่อน!


“อื้ม เป็นเพื่อนผู้หญิงสวย” กุ้ยหรงจิ่วกล่าวอย่างจริงจังมาก


หยางโปหัวเราะ จากนั้นหยางโปก็รั้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยโบกรถกลับไปโรงแรม


หลังจากที่รู้ถึงผลลัพธ์มากมายของกระจกแสงจันทร์แล้ว หยางโปก็มักจะพกกระจกแสงจันทร์เอาไว้อยู่ตลอด ครั้งนี้ถ้าหากไม่ได้เอากระจกแสงจันทร์มา แม้ว่าหงซิ่วซิ่วจะขอร้องอีกเขาก็จนปัญญาแล้ว


 


พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง หยางโปก็รับโทรศัพท์ของหงซิ่วซิ่ว เขาเอากระจกแสงจันทร์ลงมาจากตึกแล้วขึ้นรถไป


ขึ้นไปนั่งบนรถ หยางโปเพิ่งจะพบว่าเบาะคนขับมีผู้ชายคนหนึ่ง หงซิ่วซิ่วนั่งอยู่ที่บนหน้าข้างคนขับ เธอยกมือไหว้หยางโป แล้วผงกศีรษะกล่าวว่า “เถ้าแก่หยาง ขอบคุณมากจริงๆ


หยางโปส่ายหน้า “ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลไหม ตอนนี้กล่าวขอบคุณมันดูจะเร็วเกินไป


“ไม่ว่าจะได้ผลหรือไม่ ตระกูลหงก็จะนับว่าคุณหยางเป็นผู้มีพระคุณ” หงซิ่วซิ่วกล่าวอย่างเกรงใจ


หยางโปหัวเราะ ไม่ได้พูดมาก ถ้าเขาช่วยได้เธอก็จะซาบซึ้งมาก ถ้าหากช่วยไม่ได้ก็เป็นไปได้ที่ความจริงแล้วเธอจะซาบซึ้งน้อยมาก แต่ว่ายืดเยื้อมานานขนาดนี้ สำหรับหยางโปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย


ยังไงช่วงเวลานี้คนตระกูลหงก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของอาการป่วยแบบนี้แล้ว


 


ผู้ชายที่นั่งอยู่เบาะคนขับไม่ได้เอ่ยปากพูดจามาตลอด จนกระทั่งรถหยุดลงอย่างราบลื่น ถึงค่อยได้ยินหงซิ่วซิ่วกล่าวว่า “รบกวนเธอแล้ว อี้ผิง”


หยางโปเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นหน้าตาหล่อเหลาของอีกฝ่าย เขาไม่ได้คิดว่าเป็นคนขับรถจริงๆ หยางโปหันไปพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับอีกฝ่าย หันหลังแล้วเดินเข้าไปในโรงพยาบาล


หงซิ่วซิ่วไม่ได้ได้พูดจามากความก็เดิมตามหยางโปเข้าไปในโรงพยาบาล ไม่นานก็ไล่ตามหยางโปที่อยู่ด้านหน้าทัน เธออธิบายสถานการณ์ตอนนี้ของหงอวี้ให้หยางโปฟัง


ชุยอี้ผิงมองเงาหลังของหยางโปอยู่ไกลๆ เขาสงสัยเป็นอย่างมาก เขามักจะรู้สึกว่าตนเองเหมือนเคยเห็นคนแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่มีความประทับใจอะไร น่าสงสัยจริงๆ


 


แต่ว่าในพริบตาเขาก็ลืมเรื่องนี้ไป หลังจากจอดรถแล้วเขาก็เร่งเดินไปทางห้องพักผู้ป่วย เขาจะต้องสำรวจ เจ้าเด็กนี่จะมีวิธีการแบบไหน ถึงกับให้หงซิ่วซิ่วมีความหวังมากขนาดนี้!


การเข้าไปในห้องผู้ป่วยหนักจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากโรงพยาบาล หงซิ่วซิ่วพาหยางโป เดินไปถึงด้านนอกหน้าต่างกระจก มองเข้าไปด้านใน หยางโปสามารถมองเห็นสีหน้าของหงอวี้ซีดเซียวอยู่บ้าง แก้มซูบตอบ นี่เกิดจากการที่ไม่ได้ทานอาหารมาเป็นเวลานาน


“ฉันจะเข้าไปยังไง?” หยางโปเอ่ยถาม


หงซิ่วซิ่วชะงักเล็กน้อย “เถ้าแก่หยาง วิธีการของคุณซับซ้อนมากไหม?”


“ไม่ว่าซับซ้อนไม่ซับซ้อน คุณยังมีทางเลือกอื่นอีกไหม?” หยางโปกล่าว


 


“ฉันจะพาคุณเข้าไป!” หงซิ่วซิ่วกล่าว


“ผมเข้าไปเองก็พอแล้ว อ้อ ผมไม่ชินกับการถูกจ้อง แน่นอนว่าคุณดูอยู่ข้างนอกได้นะ” หยางโปเอ่ย


หงซิ่วซิ่วลังเลครู่หนึ่ง จึงพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ เรื่องทั้งหมดยกให้เถ้าแก่หยางแล้ว”


หยางโปพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป


ด้านนอกกั้นไปด้วยกระจก หยางโปมองชัดเจนมากนัก เดินเข้าไปเขาถึงได้พบว่า ใบหน้าของหงอวี้ซีดเผือด เนื้อตัวมีแต่กระดูก แตกต่างจากรูปร่างที่ดีก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน!


หยางโปคิดออกในทันที สายตาจ้องมองไปที่หงอวี้ ทันใดนั้นหยางโปก็พบการเปลี่ยนแปลงขึ้นตรงหน้า ประกายแสงสีเขียวระเบิดออก ประกายแสงที่ส่งออกมาจากร่างของหงอวี้ถึงกับทำให้หยางโปรู้สึกว่าอุณหภูมิของอากาศรอบด้านพลันลดต่ำลง


 


พลังหยินเข้าสู่ร่าง?


หยางโปจ้องมองหงอวี้ หยิบกระจกแสงจันทร์ออกมาแล้วยัดใส่มือของหงอวี้ มองมือของหงอวี้เหลือแต่กระดูก ไม่มีพลังแม้แต่น้อย จึงยัดเข้าไปง่ายมาก


หยางโปจ้องมองลำแสงสีเขียวที่อยู่ตรงหน้า การค้นพบแบบนี้ทำให้เขาตกตะลึง สำหรับเขาแล้วเดิมทีก็แค่มีลำแสงประเมินวัตถุโบราณ ไหนเลยจะคิดถึงว่าจะสามารถมองเห็นลักษณะของการติดเชื้อได้ หยางโปไม่เข้าใจว่าการทำแบบนี้จะสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่ก็ยังทำให้เขาประหลาดใจมาก


แต่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าพลันเปลี่ยนแปลง หยางโปมองเห็นลำแสงสีเขียวตรงหน้าราวกับถูกลมพัดกระจาย ทันใดนั้นก็กระจายตัวออก แทรกเข้าไปในร่างของหงอวี้เป็นระลอก


 


ภาพเช่นนี้เขย่าขวัญหยางโปจนสะดุ้ง เพราะว่าเขาเข้าใจดีว่าถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้างั้นนี่ก็เป็นโรคที่ดื้อด้านจริงๆ ยากที่จะรักษามาตั้งแต่แรกแล้ว!


แต่ว่าเขาก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่า มีประกายแสงสีเขียวส่วนหนึ่งไม่ได้ถอยกลับเข้าไปในร่าง ถึงกับสลายอยู่ในมือของหงอวี้ ไม่นานก็ถูกกระจกแสงจันทร์ดูดกลืนไป!


หยางโปมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างประหลาดใจ เขาแน่ใจอยู่บ้างว่าวิธีนี้ได้ผลจริงๆ! “ซิ่วซิ่ว เป็นยังไงบ้าง?” ชุยอี้ผิงวิ่งเข้ามา เขาเหนื่อยจนหอบหายใจเล็กน้อย


หงซิ่วซิ่วมองเข้าไปข้างในอย่างเป็นกังวล ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอมองเห็นแค่หยางโปเหมือนจะหยิบของอะไรยัดเข้าไปในมือของหงอวี้ การเคลื่อนไหวต่อจากนั้นก็เป็นการสังเกตุการณ์เป็นส่วนมาก เธอไม่กล้าแน่ใจว่าหยางโปจะสามารถช่วยได้หรือเปล่า!


 


ชุยอี้ผิงมองเข้าไปด้านใน มองเห็นหยางโปยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ทำอะไรก็อดที่จะก่นด่าไม่ได้ “หมอเถื่อนจริงๆ ด้วย! ซิ่วซิ่ว นี่คือหมอเถื่อนนะ เขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่แรก!”


“นายไม่ต้องพูด ฉันตัดสินด้วยตัวเองได้!” หงซิ่วซิ่วขวางอีกฝ่ายเอาไว้ เธอไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วหยางโปจะสามารถรักษาพี่ชายให้หายได้ไหม แต่ตอนนี้เธอพึ่งพาได้แค่หยางโปแล้ว


“เฮ้!” ทันใดนั้นหงซิ่วซิ่วก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นด้านหลัง จากนั้นก็เป็นภาษาเยอรมัน “นั่นใครน่ะ ให้เขารีบออกมาเดี๋ยวนี้!


 


หงซิ่วซิ่วรู้ว่าตอนนี้พี่ชายกำลังอยู่ในความเป็นความตาย ถึงแม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วหยางโปกำลังทำอะไร แต่เธอก็ยังขวางนางพยาบาลที่ร้องตะโกนขึ้นคนนั้นอย่างมั่นคง “สวัสดีค่ะ เขาคือเพื่อนของพี่ชายฉัน เขามาไกลพันลี้จากในประเทศรีบมาที่นี่ ก็เพื่อจะได้พบเขาสักครั้ง ขอให้คุณยืดหยุ่นสักหน่อยนะ!


หงซิ่วซิ่วเรียนที่เยอรมนีมาหลายปี ภาษาเยอรมันย่อมไม่เลว


แต่ว่านางพยาบาลอายุสี่สิบกว่าปีคนนั้นกลับไม่ยอมปล่อย “ไม่ได้ ให้เขาออกมาเดี๋ยวนี้ เดิมทีคนไข้ก็ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างร้ายแรง หลังจากเขาเข้าไป เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเอาเชื้อไวรัสเข้าไป ให้เขาออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


หงซิ่วซิ่วลังเลเล็กน้อย มองเห็นการเคลื่อนไหวของหยางโปไม่เร็ว ราวกับกำลังหน่วงเวลา!


“ไม่ได้ค่ะ” หงซิ่วซิ่วกล่าว


“ถ้าหากคุณไม่ให้เขาออกมาตอนนี้ ฉันจะโทรเรียกคุณหมอเจ้าของไข้มาเดี๋ยวนี้” นางพยาบาลกล่าวในที่สุด


ดวงตาของหงซิ่วซิ่วจ้องไปด้านใน มองเห็นหยางโปไม่เคลื่อนไหว ราวกับว่ากำลังศึกษาอะไร แต่เธอไม่มีเวลานานขนาดนั้นจริงๆ ดังนั้นเธอจึงเปิดประตู


หยางโปมองเห็นกระจกแสงจันทร์ค่อยๆ ดูดซับจนเปล่งประกาย อย่างรวดเร็วแสงสีเขียวราวกับเส้นไหมก็ซึมออกมาจากตัวของหงอวี้ ไม่นานก็เข้าไปในกระจกแสงจันทร์


อย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวยังคงอยู่ แต่กระจกแสงจันทร์ในมือของหยางโปไม่สามารถดูดซับได้อีกแล้วก็มองเห็นหงซิ่วซิ่วเดินเข้ามา หยางโปก็ได้เดินออกไป


ตอนที่ 190 หมอผี


หยางโปได้ยินเสียงตะโกนข้างนอกนานแล้ว และก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน เขาหันไปพยักหน้าให้หงซิ่วซิ่วเล็กน้อย


หงซิ่วซิ่วกลับอดที่เอ่ยถามไม่ได้ “ตอนนี้พี่ชายของฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”


หยางโปส่งสัญญาณไปทางด้านหลัง ให้หงซิ่วซิ่วหันไปมองด้วยตัวเอง เขาก็เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป


นางพยาบาลมองเห็นหยางโปเดินออกมา ทันใดนั้นก็ตะโกนเสียงดังอย่างโมโหพุ่งเข้าใส่หยางโปหลายประโยค หยางโปไม่เข้าใจภาษาเยอรมัน ย่อมไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องอะไรกันแน่


ชุยอี้ผิงยื่นมือมาขวางพยาบาล กล่าวกับหยางโปว่า “นายมันเป็นหมอเถื่อน ส่งหงอวี้ถึงมือนายก็รักษาไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว!”


 


หยางโปขมวดคิ้ว “ผมไม่เคยบอกว่าผมเป็นหมอ”


ชุยอี้ผิงชะงัก ก่นด่า “ในเมื่อนายไม่ใช่หมอ ถ้างั้นนายก็หลอกลวงซิ่วซิ่วแล้ว นายมันไอ้ต้มตุ๋น พวกสิบแปดมงกุฏ จะต้องทำได้แค่หลอกลวงคน ฉันไม่มีทางปล่อยให้นายออกจากเบอร์ลินไปได้แน่!


นางพยาบาลก็ตะคอกมาที่หยางโปอีกสองคำ หันมองไปทางหงซิ่วซิ่วที่ยืนอยู่ด้านใน เธอเร่งรีบพุ่งเข้าไป เธอจะต้องดึงหงซิ่วซิ่วออกมา เธอต้องเฝ้าระวังห้องคนไข้ให้เข้มงวดขึ้นอีกนิด และจะไม่ให้คนนอกเข้ามาได้อีก!


หงซิ่วซิ่วจ้องมองหงอวี้อย่างมึนชา มองเห็นสีหน้าซีดเซียวของเขาถึงกับฟื้นคืนไปกว่าครึ่งแล้วภายในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ใบหน้าถึงกับอมชมพูเล็กน้อย คิ้วที่ขมวดแน่นบนหน้าผากก็คลายลงเล็กน้อย สถานการณ์ทั้งตัวราวกับความเจ็บปวดให้ถูกนำออกไปแล้วมีชีวิตใหม่!


 


นางพยาบาลเข้ามา ตบไหล่ของหงซิ่วซิ่วแล้วพร่ำบ่นเสียงเบาว่า “ฉันจะอธิบายกับคุณยังไง ที่นี่จะต้องไม่พาคนนอกเข้ามา คุณไม่ได้ปลอดเชื้อก็เข้ามาไม่ได้ คุณต้องรับผิดชอบชีวิตของพี่ชายคุณนะ!


“พี่ชายของฉันถูกเชื้อไวรัสเอาไปครึ่งชีวิตแล้ว ครึ่งชีวิตนี้จะรักษาเอาไว้ได้ไหม ต้องอาศัยความความพยายามของพวกเราร่วมมือกัน! คุณหง คุณกังวลใจ ฉันก็เข้าใจเหตุ… เหตุผล…”


พูดไปพูดมา นางพยาบาลถึงกับจ้องมองตาค้าง มองไปทางด้านหลังของหงซิ่วซิ่ว สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง!


หงซิ่วซิ่วตกใจอย่างมาก หันหลังมามองแล้วอดที่จะหลั่งน้ำตาไม่ได้…


หยางโปยืนอยู่ด้านนอกประตูกระจก ฟังเสียงก่นด่าและดูแคลนของชุยอี้ผิง อดที่เอ่ยปากถามไม่ได้ “นายชื่ออะไร?”


 


“ชุยอี้ผิง! ชื่อของฉันในแวดวงคนจีนในเบอร์ลินนี้ยังนับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง ฉันพูดเรื่องอะไรก็ไม่มีทางจะไม่สำเร็จ นาย…”


ชุยอี้ผิงพูดพล่ำอย่างเห็นได้ชัด ปากพูดจาไม่หยุดอยู่ตลอด


หยางโปทนไม่ไหวอยู่บ้าง “ฉันกำลังถามว่านายกับตระกูลหงมีความเกี่ยวพันอะไรกัน? นายแซ่หงเหรอ?”


“อย่าบอกนะว่านายไม่ได้ยินที่ฉันพูด? ฉันไม่ได้แซ่หง ฉันแซ่ชุย!


ชุยอี้ผิงรู้สึกว่าความโมโหของตนเองไม่มีทางหยุดยั้งได้อีกแล้ว เขาหันหน้ามองไปข้างในห้องพักผู้ป่วยครั้งหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะโง่งมไป…


หงอวี้เขาฟื้นแล้ว! ภายใต้การช่วยเหลือของหงซิ่วซิ่ว ถึงกับลุกนั่งเอนกับหัวเตียงอยู่ครึ่งตัว!


ชุยอี้ผิงชะงักนิ่งไปเลย หงอวี้ไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว ภาพนี้ไม่น่าเชื่อมากเกินไปจริงๆ!


ไม่ นี่ต้องไม่ใช่ผลงานของคนตรงหน้านี้แน่!


 


ชุยอี้ผิงพุ่งเข้าไป เขามองเห็นนางพยาบาลยังเหม่อลอยอยู่ก็เร่งรีบกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปตามหมออีก!


“โอ้ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!” นางพยาบาลถูกตวาดใส่ก็เร่งรีบตอบรับแล้ววิ่งออกไปด้านนอก


ตอนที่นางพยาบาลวิ่งผ่านข้างกายของหยางโปก็อดที่จะหันมามองเขาครั้งหนึ่งไม่ได้ เธอเข้าใจอาการป่วยของหงอวี้ดี เขาโคม่ามาหลายวันขนาดนี้ ขนาดหมอก็บอกว่าไม่มีหนทางแล้ว เจ้าหนุ่มนี่มาครั้งหนึ่งถึงกับเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ขึ้นมา อย่าบอกนะว่าคนนี้เป็นหมอผีที่เก่งกาจมากจริงๆ?


หยางโปไม่อยากเจอปัญหามากนัก เขาจึงเดินเข้าไปมองหงอวี้ครั้งหนึ่ง มองเห็นว่าพลังหยินที่ออกมาจากร่างของหงอวี้ลดน้อยลงมากแล้ว ทั้งคนสีหน้าก็ดีขึ้นไม่น้อย เพียงแต่นอนมานานขนาดนี้ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่


 


หงซิ่วซิ่วมองมาอย่างเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “คุณหยาง ขอบคุณคุณมากจริงๆ พวกเราตระกูลหงจะไม่มีทางลืมน้ำใจของคุณ!


หยางโปส่ายหน้า “ตอนนี้พูดแบบนี้ก็ยังเร็วเกินไป ในเมื่อหงอวี้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ถ้างั้นผมก็ขอตัวไปก่อน ตอนนี้ร่างกายของเขายังอ่อนแอมาก พักสักหน่อยก็จะดีขึ้น วันนี้เวลาการรักษาสั้นเกินไป น่าจะยังต้องการอีกสามวัน พรุ่งนี้ฉันจะโทรหาเธออีกทีนะ!”


หงซิ่วซิ่วรีบพยักหน้า “ขอบคุณคุณหยางมากจริงๆ ค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะรอการติดต่อจากคุณ ถึงเวลาฉันจะไปรับคุณที่โรงแรม!”


หยางโปพยักหน้าแล้วหันหลังเดินจากไป


หงซิ่วซิ่วกล่าวกับชุยอี้ผิงว่า “นายยังจะมองอะไรอีก ยังไม่รีบขับรถไปส่งคุณหยางกลับไปอีกเหรอ?”


 


ชุยอี้ผิงชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มองไปทางหงซิ่วซิ่วอีกครั้งหนึ่ง ค่อยเร่งรีบตามไป


ตามไปถึงหยางโป สีหน้าของชุยอี้ผิงประดักประเดิดมาก ถึงแม้ว่าเขายังคงยากที่จะเชื่อ แต่เรื่องนี้ก็ชัดเจนมากแล้วว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้านี้ช่วยให้หงอวี้ฟื้นได้จริงๆ


“คุณหยาง…” ชุยอี้ผิงเอ่ยปาก


หยางโปหันหน้ามามอง “คุณชุยมีธุระเหรอ?”


ชุยอี้ผิงหัวเราะเก้อๆ “คุณหยาง ต้องขออภัยจริงๆ ครับ เมื่อกี้ผมไม่ควรสงสัยคุณ”


หยางโปในใจไม่โกรธอะไรเลย เขาส่ายหน้าหัวเราะ “ความจริงแล้วผมไม่ใช่หมอ และก็ไม่ได้เรียนการแพทย์อะไร เพียงแต่อาการป่วยของหงอวี้แตกต่างออกไป ผมก็แค่ใช่ของนิดหน่อยแค่นั้นเอง”


 


หยางโปไม่ได้พูดเรื่องกระจกแสงจันทร์ออกไป ทำได้แค่ตอบกลับอย่างอ้อมค้อม


ชุยอี้ผิงเดินไปอยู่ด้านข้างของหยางโป หันหน้ามองไปทางหยางโป ใบหน้าด้านข้างธรรมดาไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนสักเท่าไหร่ “คุณรู้ไหม หน้าตาคุณคล้ายกับคนหนึ่งมาก”


หยางโปหันหน้ามายิ้ม “ถ้างั้นก็เพราะว่าหน้าตาของผมโหลน่ะสิ”


หยางโปไม่ได้ซักไซ้ ชุยอี้ผิงก็ไม่ได้ไล่เลียง เขาส่ายหน้าแล้วก็โยนเรื่องที่คิดในสมองออกไป


เมื่อส่งหยางโปกลับไป ชุยอี้ผิงกลับไปถึงโรงพยาบาล มองเห็นภายในห้องพักผู้ป่วยกลับสู่ความสงบแล้ว หงซิ่วซิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ พ่อแม่ของเธอกลับกอดเธอร้องไห้ ปากกล่าวอะไรบางอย่างเป็นครั้งคราว


 


บอร์ดี้การ์ดกับเจ้าหน้าที่การแพทย์ยืนอยู่ด้วยกันด้านหนึ่ง ใบหน้าของทุกคนแฝงด้วยความยินดี แน่นอนว่าการที่หงอวี้ล้มป่วยสร้างแรงกดดันให้กับทุกคนมาก เวลานี้ทุกคนล้วนโล่งใจขึ้นมา


เนิ่นนาน คุณแม่หงในที่สุดก็หยุดร้องไห้


หงซิ่วซิ่วถึงได้กล่าวกับคุณแม่เสียงเบาว่า “แม่คะ เดี๋ยวพี่ชายก็จะหายแล้ว แม่ไม่ต้องเสียใจแล้วนะคะ”


“แม่กำลังดีใจ!” คุณแม่หงปาดน้ำตา “ตอนที่แม่อยู่ในประเทศไหว้พระสวดมนตร์ ไม่ได้ผลอะไรมาตลอด คิดไม่ถึงว่าวันนี้ไปโบสถ์ ถึงกับเกิดเรื่องดีแบบนี้ขึ้น ดูท่าต่อไปแม่จะต้องเปลี่ยนศาสนาแล้ว?”


“แม่!” หงซิ่วซิ่วดึงแขนแม่ข้างหนึ่ง น้ำเสียงลังเลเล็กน้อย “ครั้งนี้ที่พี่ชายฟื้นขึ้นมาได้เป็นเพราะเหตุผลอื่น”


คุณแม่หงมองมา “เหตุผลอะไร?”


 


“แม่ยังจำได้ไหม ตอนที่อยู่จินหลิง ฉันพาคนหนุ่มมาคนหนึ่ง? ตอนนั้นบอกว่าเชิญเขามาช่วยรักษาพี่ชาย” หงซิ่วซิ่วกล่าว


คุณแม่หงครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า “เหมือนว่าจะมีเรื่องนี้นะ”


“ครั้งนี้พอดีเขามาที่เยอรมนี พวกเราเจอกันที่แกลลอรี่เบอร์ลิน ฉันเลยเชิญเขามาช่วยรักษาพี่ชาย” หงซิ่วซิ่วอธิบายขึ้นมา


คุณแม่หงกลับพลันสะดุ้งขึ้นมา “นี่จะเป็นไปได้ยังไง? เด็กคนนั้นเป็นหมอจีนเหรอ? เขาไม่ใช่อาจารย์ฮวงจุ้ยหรอกเหรอ?”


“แม่ ไม่ว่าสถานะของอีกฝ่ายจะเป็นอะไร เขาก็รักษาพี่ชายจนหาย” หงซิ่วซิ่วเอ่ยย้ำ “ครั้งหน้าแม่เจอเขาช่วยสำรวมสักนิดได้ไหมคะ?”


คุณแม่หงชะงักนิ่งแล้วก็พยักหน้า กล่าว “ขอแค่เขารักษาหงอวี้ให้หายดีได้ ถึงแม้จะต้องคุกเข่าลงตรงหน้าเขา แม่ก็ยอม!


ตอนที่ 191 ไม่นับความแค้นเก่าก่อน


เมื่อหยางโปกลับมาถึงโรงแรม ตาอ้วนหลิวก็ไม่ได้อยู่ในห้องพัก เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เดาในใจว่าพวกเขาคงกำลังเดินเล่นอยู่ข้างนอก เลยยังไม่กลับเข้ามา


หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ตาอ้วนหลิวก็กลับมาถึงห้อง พอหย่อนก้นนั่งบนเตียง ก็เอนลงนอนทันที


“เมื่อกี้เหล่ากู้เรียกประชุมด่วนจี๋!” ตาอ้วนหลิวบอก


หยางโปถือหนังสือเล่มหนึ่งกำลังศึกษาภาพสีน้ำมันตะวันตก พอได้ยินคำพูดนี้ของตาอ้วนหลิว ก็ชะงักไปทันที “เมื่อกี้พวกคุณประชุมกันเหรอ? กู้ฉางซุ่นรีบร้อนอะไรขนาดนั้น?”


 


“พวกเราเพิ่งกลับมาถึง ก็ถูกเขาลากไปประชุม เธอไม่รู้อะไร ทางเบอร์ดาส่งข่าวกลับมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเรียกราคามาที่สามร้อยล้าน นี่เทียบกับหนึ่งร้อยห้าสิบล้านที่กู้ฉางซุ่นเสนอไปแล้วมากกว่าเท่าตัวเลยนะ!” ตาอ้วนหลิวกล่าวพลางส่ายหัว


หยางโปชะงักค้าง สองปีมานี้เศรษฐกิจในประเทศพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ตลาดค้าวัตถุโบราณจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดก็คือราคาที่เพิ่มสูงขึ้น วัตถุโบราณบางชิ้นซื้อมาไว้ครึ่งปี พอขายออกไป ราคาก็ล้วนสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกครึ่งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขมันไม่เหมือนกัน!


ถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วเองก็นับว่าราคาสูง แต่อย่างมากก็อยู่ระหว่างหนึ่งถึงหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน เบอร์ดาเสนอราคามาที่สามร้อยล้าน ช่างเป็นสิงโตอ้าปากกว้างจริงๆ!


 


“สามร้อยล้าน? ก็ไม่แปลกที่กู้ฉางซุ่นจะด่าพ่อล่อแม่ ถ้าเป็นผม ผมก็ไม่ตกลงด้วยหรอก” ดวงตาของหยางโปจับจ้องหนังสือ ขณะเอ่ยตอบ


“ใช่น่ะสิ นี่คิดจะปล้นกันชัดๆ จะให้จ่ายเงินซื้อด้วยราคาที่แพงขนาดนี้ได้ยังไง?” ตาอ้วนหลิวบ่น


หยางโปพลันเงยหน้าขึ้น “ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเราจะต้องกลับจีนกันแล้วหรอกเหรอ?”


ตาอ้วนหลิวส่ายหัว “จะไปได้ยังไง? กู้ฉางซุ่นที่เป็นคนแบบนี้ จะยอมทิ้งไปง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไง?”


หยางโปมองอีกฝ่าย “คุณรู้ได้ยังไง?”


ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอะเหอะ ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง หันไปทางหยางพูดว่า “ดูท่า เธอจะยังไม่รู้ถึงเรื่องเล่าของเถ้าแก่กู้สินะ!”


 


“ปีนั้นที่เถ้าแก่กู้ออกจากหมู่บ้านมา เขาอายุได้ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี เป็นช่วงแรกของการเปิดประเทศพอดี เขาหาบคานขายของตระเวนไปสิบหลี่แปดหมู่บ้าน ในตอนนั้นคนที่ทำการค้ายังถูกมองว่าเป็นพวกทุนนิยม แม้จะเป็นพ่อค้าหาบเร่เล็กๆ ก็ยังต้องกังวลว่าจะถูกตำรวจจับ”


“ต่อมา เขาเก็บเล็กผสมน้อย แล้วก็เปิดโรงงานแปรรูปขึ้นในท้องถิ่น ทำสินค้าพลาสติกโดยเฉพาะ เพราะคุณภาพดีมีฝีมือ สินค้าจึงขายดี ไม่นานก็มีทรัพย์สินเป็นร้อยล้าน กลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งในพื้นที่! แต่พอปี 83-84 ลมพัดน้ำทะลัก เขาถูกควบคุมตัว ไม่นานก็ถูกตัดสินจำคุกสองปี ทรัพย์สินทั้งหมดกระจัดกระจายสูญหาย”


 


“หลังออกมาจากคุก กู้ฉางซุ่นก็เรื่อยเปื่อยอยู่สองสามปี จากนั้นด้วยเพราะมีชีวิตที่ยากลำบาก เขาจึงลงใต้ไปกวางโจว ที่นั่น เขาอาศัยการขายซีดีเถื่อนหาทองถังแรก และก็ได้สร้างฐานการผลิตแผ่นซีดีเป็นของตัวเองที่กวางโจว เป็นพวกหนังฮ่องกงเถื่อนจำนวนมาก ในหลายปีนั้นเขารวบรวมเงินทองจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ตอนนั้นยังเป็นตอนประมาณปี 95 เขาก็มีทรัพย์สินหลายร้อยล้านแล้ว”


“แต่ฮ่องกงกลับกำลังจะกลับคืนสู่จีน ความสัมพันธ์ของสองแผ่นดินดีขึ้น การกระทำของกู้ฉางซุ่นถูกรัฐบาลจับตามอง โรงงานเจอตรวจอายัด เขาถูกจับเข้าคุกอีกครั้ง ทรัพย์สินก็กระจายสูญหาย สุดท้ายก็ถูกตัดสินรอลงอาญาสองปี ทรัพย์สินก็เป็นอันตรธานหายไปในคืนเดียว”


 


“ต่อมา เขาเปิดบริษัทนำเข้าส่งออก เก็บเล็กผสมน้อยอีกครั้ง ครั้งนี้ เขาอายุสี่สิบกว่าปี ตอนนั้นก็เป็นปี 98 แล้ว เขากลับไปที่ภูมิลำเนาเดิม ได้รับเหมาเหมืองถ่านหินแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เขาเกือบจะยันไว้ไม่อยู่ จนก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ราคาถ่านหินถึงเพิ่มสูงขึ้นมาก เหมืองถ่านหินที่เขารับเหมาไว้ ก็ถูกสำรวจว่าเป็นถ่านหินคุณภาพสูง เงินทองถึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!”


“ไม่กี่ปีมานี้ เขาอาศัยฝีมือด้านการเงิน ได้เหมืองถ่านหินมาอีกไม่น้อย แต่ละปีทรัพย์สินจึงเพิ่มเป็นเท่าทวี ตอนนี้เขามีทรัพย์สินหลายพันล้านแล้ว!”


หยางโปที่ได้ฟังเรื่องราวของกู้ฉางซุ่น ก็รู้สึกว่ามันช่างเหมือนประวัติศาสตร์แห่งการดิ้นรนฟันฝ่าเรื่องหนึ่ง เจออุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายเขาก็ฟันฝ่ามาได้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลังจากที่หยางโปได้ยินความล้มเหลวมากมาย ตัวอย่างเหตุการณ์ของการล้มลงอย่างไม่มีวันฟื้น


 


“ดูท่าพวกเราจะต้องรอต่อไปแล้ว” หยางโปพูดอย่างปลงๆ


วันต่อมา ด้านเบอร์ดาไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงไม่มีการหารือเรื่องราคา หยางโปได้แต่โทรหาหงซิ่วซิ่ว และให้อีกฝ่ายมารับตัวเอง


รอจนหงซิ่วซิ่วโทรมา หยางโปจึงค่อยออกจากโรงแรม เห็นหงซิ่วซิ่วยืนรอต้อนรับอยู่ข้างตัวรถ ก่อนจะช่วยเขาเปิดประตูรถ หยางโปประหลาดใจเป็นอย่างมาก “ลำบากคุณหนูหงแล้ว”


หงซิ่วซิ่วเข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะหันกายมาถามหยางโปว่า “ทั้งหมดล้วนสมควรค่ะ คุณหยางคะ ตอนนี้พี่ชายฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ รู้สึกตัวได้แล้ว แต่ตอนนี้การตอบสนองยังช้าอยู่เล็กน้อย ร่างกายก็ไม่มีแรง เขาเป็นอะไรกันแน่คะ?


 


หยางโปเห็นว่าคนที่นั่งตำแหน่งคนขับเป็นบอดี้การ์ดบนร่างสวมสูทสีดำ เมื่อได้ยินคำถามของหงซิ่วซิ่ว จึงตอบว่า “พวกคุณคงตรวจมาแล้วสินะ?”


หงซิ่วซิ่วพยักหน้าเบาๆ “อืม ตรวจแล้วค่ะ แต่ก็ไม่เจออะไรเลย หมอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร”


หยางโปลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองทางบอดี้การ์ดแวบหนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “หงอวี้จะต้องไปสถานที่ที่มีพลังหยินบางอย่างมาแน่นอน แต่พลังหยางของเขาไม่เพียงพอ เลยติดพลังหยินมา ถึงจะดูเหมือนอุณหภูมิร่างกายของเขาไม่ได้ต่ำ แต่เขาต้องมีความรู้สึกหนาวมากแน่ๆเลยล่ะมั้ง?”


หงซิ่วซิ่วตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้วค่ะ ทุกครั้งที่พี่ได้สติ มักจะพูดว่าตัวเองหนาวมาก แต่ก็ตรวจหาสาเหตุไม่เจอ ก่อนหน้านี้ คุณเองก็เคยพูดทำนองนี้มาก่อน ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อะไรคือที่ที่มีพลังหยินอยู่กันคะ?”


 


หยางโปหันไปมองหงซิ่วซิ่วอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคิดได้ว่าอีกฝ่ายกลับมาจากต่างประเทศ จึงอธิบายสั้นๆ “นี่เป็นสำนวนของศาสตร์ฮวงจุ้ยจีนโบราณ พลังหยินที่มีมากเกินไปนั้นปกติจะอยู่ในสถานที่ที่มีซากกระดูกศพจำนวนมากจำพวกนั้น สถานที่ประเภทนั้นโดยทั่วไปจะมืดและหนาว ทำให้ปราณและเลือดของคนไม่ไหลลื่น ง่ายที่จะถูกคุกคามรบกวน”


“ฉันก็เข้าไปพร้อมกับเขานะคะ แต่ทำไมฉันไม่เป็นอะไรเลย?” หงซิ่วซิ่วพูดอย่างไม่เข้าใจ


หยางโปลังเลเล็กน้อย “เพราะพลังหยางของคุณเหนือกว่าเขา”


“จะเป็นไปได้ยังไง?” หงซิ่วซิ่วพูดอย่างยากที่จะเชื่อ


 


“ชีวิตส่วนตัวของพี่ชายคุณไม่ค่อยจะแน่นอนใช่ไหม?”


หยางโปพูดอ้อมค้อม แต่หงซิ่วซิ่วกลับเข้าใจได้ในทันที ความหมายของหยางโปก็คือกำลังพูดว่าหงอวี้มั่วโลกีย์เกินไป ความจริงก็เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่เธอย่อมไม่พูดออกมา


ภายในรถเงียบงัน เมื่อตรงไปถึงโรงพยาบาล ก็ได้พบหญิงงามสง่าวัยกลางคนอีกครั้ง หงซิ่วซิ่วจึงชี้หยางโปพลางแนะนำว่า “แม่คะ ท่านนี้ก็คือคุณหยาง หยางโป”


เมื่อแม่หงซิ่วซิ่วเห็นหยางโป ก็พลันโค้งกาย ก่อนกล่าวขอโทษหยางโป “คุณหยาง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ เป็นฉันพูดจาอวดดีเอง ในท้องอัครเสนาบดีอย่างคุณสามารถถ่อเรือได้ ขอให้คุณได้โปรดให้อภัยฉันด้วยนะคะ!”


 


ในใจหยางโปยังรู้สึกขุ่นเคือง แต่ตอนนี้เขาตกใจกับท่าทีของอีกฝ่ายยิ่งกว่า เขาไม่คาดว่าแม่ของหงอวี้จะทำอย่างนี้ ถ้าอีกฝ่ายเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว บางทีเขาคงจะไม่ไว้หน้าแล้วจากไป แต่อีกฝ่ายเป็นอย่างนี้ ทำให้เขาไม่อาจไม่ช่วยได้ หัวใจที่น่าสงสารของพ่อแม่ในโลกหล้า แม่คนหนึ่งทำเพื่อลูกชายถึงขนาดนี้ เขาเองก็ย่อมไม่อาจจะใจแคบได้


“คุณรีบเงยขึ้นเถอะครับ ไม่ถึงกับจะให้อภัยไม่ให้อภัย ความปรารถนาที่จะช่วยลูกชายก่อนหน้านี้ของคุณนั้น ผมเข้าใจได้” หยางโปกล่าว


แม่หงซิ่วซิ่วรีบพูดว่า “ขอบพระคุณคุณหยางที่ไม่นับความแค้นเก่าก่อน ตระกูลหงจะไม่ลืมพระคุณของคุณเลย!”


ตอนที่ 192 ตกตะลึงทั้งโรงพยาบาล


หยางโปไม่พูดอะไรมากความ ก่อนหน้าที่อาการป่วยของหงอวี้ยังไม่รักษาหายขาด ความสำนึกในบุญคุณทั้งหมดนี้ก็ล้วนไม่อาจบรรลุได้ และเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน


ห้องถูกกั้นด้วยกระจก สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่เตียงผู้ป่วย


หยางโปขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่าความลับเรื่องกระจกแสงจันทร์ไม่มีทางเก็บไว้ได้แน่ แต่ว่าถึงถูกเปิดโปงไปก็ไม่มีอะไรหนักหนา ขอให้อีกฝ่ายช่วยรักษาความลับให้ก็ใช้ได้แล้ว


ตอนนี้หงอวี้ได้สติอยู่ เขาเบิกตาจ้องมองหยางโป แต่กลับพูดอะไรออกมาไม่ได้


หยางโปหยิบกระจกแสงจันทร์ออกมา วางใส่ไว้ในมือของหงอวี้ ก่อนจะนั่งลงอีกด้าน รอคอยอย่างเงียบๆ


 


เมื่อแม่หงซิ่วซิ่วเห็นสิ่งที่หยางโปทำก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะหันไปถามหงซิ่วซิ่วว่า “เมื่อวานเองก็เป็นอย่างนี้เหรอ?”


หงซิ่วซิ่วส่ายหน้า “เมื่อวานหนูไม่ได้สังเกตที่เขาทำเลย พอเขาออกไป ก็เห็นพี่ชายฟื้นขึ้นมาแล้ว”


“ของที่อยู่ในมือของเขาเมื่อกี้คืออะไรน่ะ? มีใครเห็นชัดๆ บ้างไหม?” แม่หงซิ่วซิ่วหันไปถามคนข้างกาย


“เหมือนจะเป็นเครื่องทองแดงครับ กลมกลม และก็ขนาดไม่ได้ใหญ่ครับ” บอดี้การ์ดตอบกลับมา เพราะเขาไม่ได้สวมแว่นตา สายตาของเขานับว่าดีที่สุดในคนทั้งหมดแล้ว จึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน


“เป็นสีเขียว คงไม่ใช่เข็มทิศฮวงจุ้ยแบบขนาดเล็กหรอกนะ?” อีกคนคาดเดา เพราะจากที่หยางโปทำนั้น ทำให้คนมากมายตัดสินใจเอาเองให้เขารับบทเป็นหมอซินแส


 


ขณะเดียวกัน ในห้องควบคุมเองก็กำลังวุ่นวายเช่นกัน


เมื่อพยาบาลวัยกลางคนเห็นหยางโปเดินไปถึงด้านนอกห้องพักผู้ป่วย ก็รีบหันไปหานายแพทย์ข้างกายแล้วกล่าวว่า “หมอลูคัสคะ เป็นเขาค่ะ คนที่เมื่อวานมารักษาผู้ป่วยจนหายก็คือเขาค่ะ!”


ปีนี้ลูคัสอายุสี่สิบกว่าปี เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทของโรงพยาบาลเบอร์ลินคูริสทาน และเป็นนายแพทย์เฉพาะทางด้านสมองและระบบประสาทที่มีชื่อเสียงในระดับสากล คนไข้ที่เข้ารับการตรวจรักษาในครั้งนี้มีอาการประหลาด ไม่สามารถที่จะตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงได้เลย เขาเองก็ไม่สามารถที่จะกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ ได้แต่มองอาการของผู้ป่วยที่ค่อยๆ แย่ลง แต่เขากลับทำได้เพียงรักษาทรงอาการไว้เท่านั้น นี่ทำให้เขาจนปัญญาเป็นอย่างมาก


 


แต่บ่ายเมื่อวาน เขาพลันได้รับรายงานจากพยาบาล แจ้งว่าคนไข้อาการดีขึ้น อยู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมา เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะตามการคาดการณ์ของเขา ภายใต้สภาวะอย่างนี้ ยากที่คนไข้จะฟื้นขึ้นมาได้


หลังจากนั้น พยาบาลก็ได้บอกเขา ถึงสาเหตุที่ทำให้คนไข้ได้สติขึ้นมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะหมอผีชาวจีนที่เข้ามาในห้องพักผู้ป่วยคนหนึ่ง หมอผีคนนั้นใช้เวลาแค่สั้นๆ ก็สามารถช่วยให้คนไข้ฟื้นคืนสติ เรื่องนี้ทำให้ลูคัสรู้สึกยากที่จะเชื่อได้


ต่อมาเขาเจาะจงที่จะดูภาพวงจรปิดในตอนนั้นโดยเฉพาะ พบว่าหมอผีเพียงถือกระจกทองแดงอันเล็กๆ ไว้ ก็ปลุกคนไข้ขึ้นมาได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้แพทย์ทั้งโรงพยาบาลตะลึงงัน ถ้าใช้กระจกทองแดงบานเดียวก็สามารถรักษาจนหายได้จริงๆ อย่างนั้นยังจะให้แพทย์อย่างพวกเขาทำอะไร?


 


ภายในห้องควบคุมคนมารวมกลุ่มกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีคนจำนวนมากที่ได้ยินเรื่องเล่าเรื่องนี้ ทุกคนทำเหมือนเรื่องนี้เป็นตำนาน ต่างก็คิดอยากจะมาดูสักหน่อย ในห้องควบคุมเกิดเสียงเอะอะโวยวาย ทุกคนแบ่งกันเป็นสองฝ่ายอย่างคึกคัก แล้วก็โต้เถียงกัน


เสียง “ชู่!” ดังขึ้น ทุกคนมองไปทางภาพวงจรปิด เห็นหยางโปเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย แล้วหยิบกระจกทองแดงอันนั้นออกมาจากกระเป๋า ในตอนนี้คนไข้ยังไม่สามารถที่จะขยับตัวได้ ทั้งสองคนไม่แม้จะพูดคุยอะไรกัน หยางโปเอากระจกทองแดงวางไว้ในมือของหงอวี้


“เป็นกระจกมหัศจรรย์อันนั้น!” พยาบาลที่เห็นมาเมื่อวาน ชี้กระจกทองแดงที่ภาพบนจอ พลางร้องออกมาอย่างตกใจ


 


ทุกคนต่างจ้องมองภาพบนจอเขม็ง ด้วยกลัวว่าจะพลาดอะไรไป


แต่แป๊บเดียวพวกเขาก็หมดหวัง ในภาพวงจรปิด หลังจากที่หยางโปวางกระจกเสร็จแล้ว ก็นั่งลง ไม่ทำอะไรอีก


การกระทำนี้ทำให้ทุกคนงงงวยเป็นอย่างมาก ลูคัสจ้องมองภาพบนจอ เห็นหยางโปนั่งอยู่ที่ด้านหนึ่ง ใช้เพียงสายตาจ้องมองหงอวี้ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “หรือว่าจะเป็นการรักษาด้วยพลังจิต?”


“รักษาด้วยพลังจิต?” มีคนไม่เข้าใจ


“ก็คือการอาศัยพลังจิตของตัวเอง โดยใช้กระจกบานนั้นเป็นสื่อกลาง วิธีแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นนัก” ลูคัสอธิบาย


 


กลุ่มคนรอบๆ ส่งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง “หรือว่านี่จะเป็นไสยศาสตร์?”


หยางโปไม่ได้รับรู้เรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังหงอวี้ เห็นกระแสปราณถูกดูดเข้าไปในกระจกเป็นสายๆ ความเร็วเมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้จะต้องเร็วกว่าเล็กน้อย เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ


ผ่านไปสิบกว่านาที ปราณที่ไหลออกมาก็น้อยลงเรื่อยๆ หยางโปเห็นได้ว่าปราณที่เหลืออยู่บางส่วนเปลี่ยนเป็นดื้อด้าน ยากที่จะถูกกระจกแสงจันทร์ดูดออกมาอีก


อีกทั้งเพียงแป๊บเดียวกระจกแสงจันทร์ก็ช้าลง จนไม่ดูดปราณอีกต่อไป แม้หยางโปจะไม่เข้าใจหลักการทำงานของกระจกแสงจันทร์ แต่เขาก็รู้ดีว่า กระจกแสงจันทร์คล้ายกับว่าจะมีความสุขในการดูดปราณเย็นจนไม่อาจพรรณาออกมาได้


 


หยางโปเก็บกระจกแสงจันทร์กลับมา เขาเห็นบนใบหน้าหงอวี้มีเลือดฝาดขึ้นมา ร่างกายของหงอวี้ที่เคยอ่อนเปลี้ย กลับหันมาพยักหน้าให้หยางโปได้ ก่อนจะพูดเสียงแหบกับเขาว่า “ขอบคุณ!”


หยางโปโบกมือ เขารู้ว่าหงอวี้ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว “คุณพักผ่อนเถอะ!”


พูดจบ หยางโปก็เดินออกไปทางด้านนอก ปราณเย็นที่เหลืออยู่ดื้อด้านเกินไป ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งถึงสองวัน


หยางโปหันกายเดินออกไป เมื่อถึงส่วนกระจกที่กางกั้น เขาก็ต้องตกใจขึ้นมา เนื่องจากเขาเห็นว่าที่ด้านนอกกระจกเต็มไปด้วยคนที่มุงล้อม ทั้งแพทย์ทั้งพยาบาลทั้งคนตระกูลหง


หยางโปก้าวเท้าออกมาจากประตูกระจก เสียงปรบมือด้วยความชื่นชมดังขึ้นในโถงทางเดิน


 


หยางโปเห็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเดินมาทางเขา พูดรัวเร็วอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่หยางโปไม่เข้าใจภาษาเยอรมัน ยากที่จะสื่อสารกันได้


แต่โชคดีที่หงซิ่วซิ่วเป็นล่ามพร้อมใช้ เธอรีบแทรกกายเข้ามาในกลุ่มคน หันไปหาหยางโปพร้อมแนะนำว่า “คุณหยาง ท่านนี้เป็นแพทย์เจ้าของไข้พี่ชายของฉันเองค่ะ คุณหมอลูคัส!”


หยางโปจับมือกับอีกฝ่าย ยิ้มพลางกล่าวว่า “สวัสดีครับ”


หลังจากจับมือ ลูคัสก็หันไปพูดกับหยางโปโดยตรงว่า “คุณหยาง อุปกรณ์ที่ใช้รักษาเมื่อกี้ของคุณคืออะไรกันแน่?”


 


หยางโปชะงักเล็กน้อย “ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษครับ”


ลูคัสชะงัก “คุณหยาง คุณรักษาหงอวี้ได้ยังไงกัน?”


หยางโปขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาแน่ใจว่าที่ห้องมีกล้องวงจรปิด แต่เขาคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาถึงเร็วขนาดนี้


หยางโปส่ายหน้า “ที่คุณเห็นไปนั้นก็ถูกต้องแล้ว”


ลูคัสยังคิดอยากถามต่ออีก แต่หยางโปกลับหันไปพูดกับหงซิ่วซิ่วว่า “ส่งผมกลับไปเถอะ!”


หงซิ่วซิ่วรีบสั่งให้บอดี้การ์เข้ามาในวงล้อม ก่อนพูดด้วยภาษาเยอรมันอย่างคล่องแคล่วว่า “ทุกคนหลีกทางหน่อยค่ะ คุณหยางยังมีธุระ”


 


ลูคัสดึงหยางโปไว้ “คุณหยาง คุณทิ้งวิธีติดต่อไว้ได้ไหมครับ ระหว่างพวกเรายังมีปัญหาทางวิชาการที่จะให้ศึกษาวิจัยกันอีกไม่น้อย!”


หยางโปส่ายหน้า “ผมไม่ใช่หมอจริงๆ ครับ”


พูดจบ หยางโปที่อยู่ในความคุ้มกันของบอดี้การ์ด ก็ปลีกตัวจากกลุ่มคนออกมาอย่างยากลำบากได้ในที่สุด


เมื่อหยางโปเข้าไปนั่งในรถ หงซิ่วซิ่วก็พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ ทำให้คุณยุ่งยากกว่าเดิมแล้ว”


หยางโปส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ตำหนิคุณหรอก คุณสั่งพวกเขาไม่ได้อยู่แล้วนี่”


 


“พี่ชายฉันเขาจะหายเป็นปกติประมาณเมื่อไหร่คะ?” หงซิ่วซิ่วเอ่ยปากถาม


หยางโปใคร่ครวญเล็กน้อย “การรักษาของผมใช้เวลาไม่นาน พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็น่าจะเสร็จแล้ว ต่อไปก็ต้องอาศัยพวกคุณดูแลเขาให้ดีแล้วล่ะ”


พูดจบ หยางโปก็ชะงักเล็กน้อย “ทางที่ดีคือต้องให้เขาครองตัวเป็นโสด”


ใบหน้าหงซิ่วซิ่วก็แดงก่ำ แล้วพยักหน้าเบาๆ


ตอนที่ 193 เช็ค


ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เรื่องถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วยังคงไม่มีข่าวคราว การเจรจาของกู้ฉางซุ่นตกอยู่ในสภาพชะงักงัน


หยางโปติดต่อหงซิ่วซิ่ว อีกฝ่ายรับหงอวี้ออกมาจากโรงพยาบาล แล้วพามาที่โรงแรม หยางโปอยู่ที่โรงแรมแล้ว เพื่อที่จะทำการรักษาหงอวี้ในขั้นตอนสุดท้าย


หงอวี้ก็ดีขึ้นไม่น้อย สามารถพูดคุยได้อย่างเป็นปกติแล้ว


ขณะที่หยางโปเอากระจกแสงจันทร์วางไว้ในมือของหงอวี้ หงอวี้ก็อดครางอย่างสบายตัวออกมาไม่ได้


 


“คุณหยาง กระจกอันนี้ของคุณสุดยอดจริงๆ เลย!” หงอวี้อดไม่ได้ที่จะชื่นชม หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาได้ฟังเสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงและการคาดการณ์มากมาย แต่มีเขาเพียงคนเดียวที่จะกระจ่างแก่ใจ


หยางโปไม่ได้ใช้วิธีการอะไรอื่นเลยแม้แต่อย่างเดียว สิ่งที่ทำให้เขาหายจริงๆ นั้น มาจากกระจกทองแดงที่อยู่ในมือของเขาอันนี้เท่านั้น!


ตอนนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มือซ้ายของตัวเองที่กำลังถือกระจกทองแดงไว้นั้นร้อนขึ้นเล็กน้อย กระแสปราณเย็นจากทั่วทั้งร่างเคลื่อนเป็นเส้นสายผ่านทางฝ่ามือข้างซ้าย ปราณเย็นที่ไหลออกไปจากร่างเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกถึงความสบายที่คลี่แผ่ออกไป


หยางโปพยักหน้า ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร


 


หงอวี้นอนอยู่บนเตียง “กระจกอันนี้ชื่อว่าอะไรเหรอครับ?”


“กระจกแสงจันทร์” หยางโปกล่าว


“กระจกแสงจันทร์?” หงอวี้พยักหน้า “เป็นชื่อที่เพราะมากครับ มีที่มายังไงเหรอครับ?”


“ผูเช่อซูเวยมีกระจกอยู่บานหนึ่ง ไม่ต่างจากกระจกบานนี้ เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์นั้นแตกต่างกัน” หยางโปตอบ


หงอวี้ผงกศีรษะ สัมผัสได้ว่าปราณเย็นในร่างกายกำลังไหลออกไป แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ถึงปราณเย็นในร่างกายที่กำลังไหลออกพลันรุนแรงขึ้น เดิมทีมันแค่เหมือนเป็นน้ำเย็นที่ไหลผ่าน แต่ตอนนี้พลันเหมือนถูกขูดด้วยเหลี่ยมน้ำแข็ง ทั่วทั้งร่างราวกับถูกมดกัด


 


“เจ็บ!” หงอวี้อุทานด้วยความเจ็บปวด


หยางโปตกใจจนสะดุ้ง เขารีบหันไปมอง กลับเห็นปราณเย็นยังคงไหลออกมาจากร่างหงอวี้เป็นสายๆ เพียงแต่ปราณเย็นเหล่านี้นั้นออกมาได้อย่างยากลำบาก


“ขูดกระดูกรักษาพิษ ทนอีกหน่อยก็จะหายแล้ว” หยางโปกล่าวเตือนสติ


หงอวี้ได้รับคำเตือนสติประโยคนี้ ก็จับกระจกแสงจันทร์แน่น แล้วกัดฟันทนต่อ


ภายในห้องมีเพียงหยางโปกับหงอวี้สองคน หงอวี้กำกระจกแสงจันทร์แน่น เขารู้สึกว่าแต่ละนาทีแต่ละวินาทีช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่นาน หน้าผากของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเต็มไปหมด


 


หยางโปนั่งอยู่ด้านหนึ่ง จับตาดูความเปลี่ยนแปลงของหงอวี้ ผ่านไปหลายนาที ปราณเย็นก็จางลง ก่อนจะค่อยๆ หายไป เห็นร่างทั้งร่างของหงอวี้กำลังใกล้จะหมดแรง หยางโปจึงเอ่ยปากว่า “ปล่อยได้แล้ว”


หงอวี้ก็ปล่อยกระจกแสงจันทร์ นอนอ่อนเปลี้ยไร้แรงอยู่บนเตียง ร่างทั้งร่างโชกไปด้วยเหงื่อ


หยางโปหยิบกระดิ่งข้างกายขึ้น แกว่งไปมา หงซิ่วซิ่วและแม่ทั้งสองคนก็พุ่งนำเข้ามาข้างในห้อง!


“หงอวี้ ลูกไม่เป็นอะไรนะ?” เมื่อแม่เห็นหงอวี้เหงื่อท่วม ก็ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก


หงอวี้ส่ายหน้า เขาไม่มีแรงจะพูดแล้ว


 


หยางโปกระแอมเบาๆ เอ่ยปากว่า “คุณนายหง หงอวี้เพิ่งจะมีเหงื่อออกมามาก ตอนนี้ถ้าจะให้ดีก็ให้คนมาช่วยเขาอาบน้ำซะหน่อย จะได้ไม่เป็นหวัด”


“ได้ค่ะ!” คุณนายหงรีบรับคำ เมื่อสั่งให้คนสองคนหามหงอวี้ไปอาบน้ำแล้ว เธอจึงหันกายมองมาทางหยางโป “เคราะห์ดีจริงๆ ที่ได้คุณหยาง ถ้าไม่ใช่คุณหยาง หงอวี้บ้านฉันไม่รู้จะต้องลำบากขนาดไหน!”


หยางโปส่ายหน้า เขาหยิบกระจกแสงจันทร์ขึ้นมา “คุณนายหงเกรงใจไปแล้ว”


หงซิ่วซิ่วเองก็เดินมาข้างหน้า “คุณหยาง ลำบากคุณแล้ว พวกเราได้เตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว อีกสักครู่ก็ส่งมาแล้วค่ะ ส่วนพี่ชายของฉันอีกเดี๋ยวก็จะอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเองก็ต้องหวังอยากจะขอบคุณคุณต่อหน้าแน่นอนค่ะ!”


 


หยางโปโบกมือ “เป็นเรื่องง่ายเพียงยกฝ่ามือเท่านั้นเอง พวกคุณไม่จำเป็นต้องเกรงใจอย่างนี้เลยจริงๆ!”


“คุณหยางคะ สำหรับคุณคุณบอกว่าง่ายเพียงยกฝ่ามือ แต่สำหรับพวกเราถ้าจะให้พูดแล้ว ก็นับเป็นบุญคุณช่วยชีวิต ขอให้คุณอย่าได้ปฏิเสธเลยค่ะ” คุณนายหงพูดอย่างจริงใจ


หยางโปลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ “งั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้วนะครับ”


ไม่นานอาหารเย็นก็ส่งมาถึง หงซิ่วซิ่วจัดเตรียมไว้อย่างครบครัน เป็นอาหารฝรั่งเศสแบบฟูลคอร์สที่เริ่มด้วยไวน์เปิดรส อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก และของหวานตามลำดับ


หยางโปไม่ชินกับอาหารฝรั่งเศสแบบฟูลคอร์สเลยสักนิด แต่ไม่สามารถไม่พูดว่าอาหารหลายอย่างทำมาได้ไม่เลวเลยจริงๆ


 


ผู้ร่วมโต๊ะหนึ่งครอบครัวสามสมาชิกยกแก้วกันไม่หยุด เพื่อแสดงความขอบคุณแก่หยางโป หยางโปตอบรับอย่างเกรงใจทีละคน หงอวี้ยกน้ำเปล่า ยกแก้วคารวะหยางโปไปหลายจอก


เมื่อดูจากร่างกายที่อ่อนเปลี้ยของหงอวี้ อาหารเย็นจึงจบลงอย่างรวดเร็ว


หงซิ่วซิ่วประคองหงอวี้ไปพักผ่อนแล้ว แต่คุณนายหงยังคงรั้งอยู่ เธอหยิบซองจดหมายจากกระเป๋าขึ้นมาซองหนึ่ง แล้ววางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะดันมาทางหยางโป “คุณหยางคะ คุณเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงของครอบครัวฉัน ตระกูลหงไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงหมด จากนี้ไปถ้าคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ขอให้มาหาตระกูลหง พวกเราไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอนค่ะ!”


 


หยางโปยิ้ม “คุณนายหงเกรงใจไปแล้วครับ เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นใครมาประสบพบเจอ ก็ล้วนสามารถยื่นมือช่วยเหลือได้ทั้งนั้น”


พูดแล้ว หยางโปก็ดันซองกลับไป ทันทีที่นิ้วสัมผัสกดไปที่ซอง หยางโปก็รู้ได้ว่า นั่นเป็นเช็คใบหนึ่ง เขาเกิดความหวั่นไหวขึ้นในใจเล็กน้อย แต่ก็ยังปฏิเสธอย่างหนักแน่น


คุณนายหงดันซองกลับมาอีกครั้ง “คุณหยาง คุณรับไว้เถอะค่ะ นี่เป็นสิ่งที่คุณสมควรที่จะได้รับ!”


หยางโปส่ายหัว ยังคงไม่ยอมรับไว้ คุณนายหงพูดกลั้วหัวเราะว่า “คุณหยาง คุณรับไปก่อนเถอะค่ะ นี่เป็นความคิดของเหล่าหงบ้านพวกเรา เมื่อตอนเที่ยงฉันโทรไปหาเหล่าหง เขาบอกว่า ถ้าคุณไม่รับไว้ เย็นนี้เขาจะบินตรงมา เพื่อมามอบมันให้คุณเองอีกครั้ง”


 


หยางโปชะงักเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ดันกลับไป เขาหันไปพูดกับอีกฝ่ายว่า “คุณหงเกรงใจไปแล้ว”


พูดเกรงใจกันอีกหลายคำ ทางหยางโปก็เป็นฝ่ายบอกลา


โรงแรมทั้งสองแห่งอยู่ไม่ไกลกัน ไม่นานเขาก็กลับมาถึงห้องพักที่โรงแรม


ตาอ้วนหลิวกำลังนั่งเบื่ออยู่ในห้อง เมื่อเห็นหยางโปเดินเข้ามา ก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เด็กสาววันนั้นคนนั้นหน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ สองสามวันนี้เธอไปแอบนัดเจอกันมาใช่ไหม?”


หยางโปถลึงตา “อย่าพูดจาไร้สาระ เขามีแฟนอยู่แล้ว!”


ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอะเหอะ “เธอต้องเชื่อมั่นสิว่าไม่มีมุมกำแพงที่ขุดไม่ได้!”


 


“พูดเหลวไหล!” หยางโปตำหนิ


ตาอ้วนหลิวหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง


หยางโปส่ายหัว ก็ไม่พูดอะไรอีก


หลังจากนอนลงบนเตียง หยางโปก็หยิบซองที่คุณนายหงให้เขาออกมา เห็นบนเช็คเขียนเลข “1” เอาไว้หนึ่งตัว ด้านหลังยังมีเลขศูนย์อีกหกตัว นี่ก็คงเป็นหนึ่งล้าน


หยางโปอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ตอนเขารับเช็คใบนี้มา ความจริงก็คาดหวังไว้เล็กน้อย เพราะเมื่อเขารับมันมาแล้ว ต่อไปหากคิดไปทำธุระกับอีกฝ่ายอีก ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก เพราะการให้เช็คก็เป็นสิ่งที่ถือแทนการตอบแทนบุญคุณแล้ว


 


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะให้เขาแค่หนึ่งล้าน น้อยไปหน่อยจริงๆ


ตาอ้วนหลิวเห็นเช็คในมือหยางโป ก็รีบกระโดดเข้ามา เมื่อเห็นจำนวนเงินของเช็คในมือหยางโป ก็ยิ่งเบิกตากว้าง “นี่มันหนึ่งล้านนี่!”


หยางโปไม่ได้เอ่ยปาก


ตาอ้วนหลิวอุทานอย่างตกใจว่า “หนึ่งล้านยูโร มีค่าเท่ากับสิบล้านหยวนเลยนะ!”


หยางโปชะงักไปทันที “อะไรนะ? นี่เป็นเงินยูโรเหรอ?”


ตอนที่ 194 การเจรจาครั้งที่หนึ่ง


ตาอ้วนหลิววางเช็คลงที่ด้านหนึ่ง ก่อนจะหันมาถลึงตามองหยางโป “ทำไม? เธอไม่รู้ว่าเช็คใบนี้เป็นเงินเท่าไหร่เหรอ? งั้นเช็คใบนี้ก็ไม่ใช่ของเธอแล้ว!”


หยางโปแย่งเช็คเงินสดกลับมา ในใจตื่นเต้นยินดี “นี่เป็นเช็คที่ผมถือกลับมา ไม่ใช่ของผม แล้วจะเป็นของใครได้อีก?”


ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอะเหอะ “เล่ามา บอกมาตามตรง เธอกับสาวสวยคนนั้นมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่? ทำไมนัดเจอกับเธอสามสี่ครั้ง ก็ได้เช็คจำนวนเงินมามากขนาดนี้ได้?”


“อย่าคิดเหลวไหล ทำเรื่องของคุณไปเถอะ!” หยางโปพูดด้วยท่าทางรำคาญ


ตาอ้วนหลิวไม่ยอมปล่อย “เรื่องดีงามอย่างนี้ เธอก็ช่วยแนะนำให้ฉันบ้างสิ?”


 


หยางโปส่ายหน้า “จะมีเรื่องดีงามอะไรกันล่ะ?”


“เรื่องดีงามที่สามารถหาเงินสิบล้านมาได้ในสามวันไงล่ะ!” ใบหน้าตาอ้วนหลิวประดับสีหน้ายินดี พลางหันไปพูดกับหยางโป


หยางโปอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “เรื่องนี้คุณทำไม่ได้หรอก”


“มีอะไรที่จะทำไม่ได้? ขอเพียงเป็นเรื่องที่ผู้ชายสามารถทำได้ ฉันก็ทำได้!” ตาอ้วนหลิวพูดอย่างหนักแน่น


หยางโปจนปัญญา “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายจะทำได้จริงๆ!”


ตาอ้วนหลิวหันไปมองหยางโปอย่างแปลกประหลาด ใบหน้าพิลึกกึกกือ ก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่าเธอไปเป็นเป็ดมา?”


 


หยางโปพูดอย่างโมโหว่า “คุณรักษาโรคเป็นไหมล่ะ?”


ตาอ้วนหลิวตกใจ “รักษาโรค? เธอบอกว่ารักษาโรค หรือว่าเธอไปรักษาโรคให้ใครเขามา คนเขาเลยให้เงินสิบล้านเป็นค่าตอบแทน?”


หยางโปพยักหน้า “ที่รักษาได้ก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง คุณทำได้ไหมล่ะ?”


ใบหน้าตาอ้วนหลิวกระอักกระอ่วน “ที่แท้เป็นการรักษาโรคนี่เอง ฉันทำไม่เป็นจริงๆ นั่นแหละ”


ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน ก็มีเสียงคนเคาะประตู ตาอ้วนหลิวก็วิ่งไปเปิดประตู


หยางโปมองไม่เห็นคนที่อยู่หน้าประตู แต่ได้ยินเพียงแค่เสียง เขาก็รู้แล้วว่า คนคนนั้นก็คือเลขาของกู้ฉางซุ่น


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายดังขึ้นว่า “ทางประธานกู้ติดต่อกับเบอร์ดาได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้จึงจะไปทำการประเมินของ ขอให้ทั้งสองท่านกรุณาเตรียมตัวด้วยค่ะ”


ตาอ้วนหลิวถามอย่างแปลกใจว่า “เจรจากันได้แล้วเหรอ? ราคาที่คุยกันไว้เป็นเท่าไหร่ล่ะ?”


“เรื่องนี้ดิฉันไม่ทราบค่ะ บางทีราคาอาจจะยังไม่ได้ข้อยุติ” พูดจบ เลขาสาวก็จากไป


ตาอ้วนหลิวหันกายกลับมาหาหยางโป พูดกับหยางโปว่า “เบอร์ดาโลภมากจริงๆ ทำให้พวกเราต้องเสียเวลาตั้งนานขนาดนี้!”


หยางโปมองเช็คในมือ “นี่ก็เป็นผลมาจากความเสื่อมถอยและอ่อนแอของประเทศ ถ้าตอนนั้น…”


 


หยางโปพูดไปได้ครึ่งเดียว ก็รู้สึกคร้านจะสนใจ ต่อให้ถ้าหากว่ามีอีกมากมาย ก็ล้วนไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว


ตาอ้วนหลิวยิ้ม ก็ไม่ได้พูดอะไร


หนึ่งคืนผ่านไปโดยไร้บทสนทนา


วันต่อมา หยางโปกับกุ้ยหรงจิ่วรอให้คนมาพร้อมหน้ากัน ทุกคนตามกู้ฉางซุ่นไป เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในคฤหาสน์ของเบอร์ดา พ่อบ้านที่ครั้งก่อนปฏิเสธไม่ให้พวกเขาเข้ามาข้างในเดินอยู่ด้านหน้าสุด


ตาอ้วนหลิวดึงกุ้ยหรงจิ่วไว้แล้วเล่าเรื่องเมื่อคืนวาน ทำให้กุ้ยหรงจิ่วหันมามองทางหยางโปไม่หยุด


นอกจากนี้ กุ้ยหรงจิ่วยังวิ่งมาข้างกายหยางโป ก่อนถามว่า “รักษาโรคแล้วได้เงินสิบล้าน เป็นเรื่องจริงเหรอ?”


 


“มีเรื่องอย่างนี้จริงๆ” หยางโปพยักหน้า จากนั้นก็หันไปถลึงมองตาอ้วนหลิวแวบหนึ่ง


เมื่อผ่านเข้าประตูไป ก็เป็นลานขนาดใหญ่ ภายในลานรายล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว สามารถมองเห็นคฤหาสน์สีขาวอีกร้อยเมตรได้ไกลๆ เป็นคฤหาสน์เก่าที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ดูแล้วงดงามตามแบบฉบับดั้งเดิม


ตาอ้วนหลิวดึงหยางโปทีหนึ่ง “คฤหาสน์หลังนี้มีมูลค่าสูงมาก!”


หยางโปพยักหน้า ในจีนเองคฤหาสน์ก็เริ่มเป็นที่นิยม แต่ระหว่างจีนกับเยอรมันนั้นไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย คฤหาสน์ในจีนมากกว่าครึ่งเป็นที่ดินที่มีราคาสูง แต่คฤหาสน์ตรงหน้าหลังนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นคฤหาสน์ของชนชั้นสูง เป็นคฤหาสน์ของตระกูลที่สืบทอดกันมา


 


วังหรือปราสาทประเภทนี้ นับว่าประเมินค่าไม่ได้ มันไม่ได้เป็นที่พักอาศัยที่จ่ายไหวก็จะสามารถซื้อได้ พูดได้ว่ามีตลาดแต่ประเมินค่าไม่ได้ มีนักธุรกิจญี่ปุ่นที่ยอมจ่ายไม่อั้น เพื่อซื้อที่พักอาศัยประเภทนี้ในเยอรมัน แต่รัฐบาลกับวัฒนธรรมในสังคมของท้องถิ่นไม่อนุญาตให้ทำได้ สิทธิ์ในการครอบครองพวกมันปัจจุบันนี้ตกอยู่ในมือของสายตระกูลหรือรัฐบาลเป็นจำนวนมาก บางแห่งก็บำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดี และใช้เป็นบ้านพักมาจนถึงปัจจุบัน บางแห่งก็ทำเป็นพิพิธภัณฑ์หรือโบราณสถานให้สาธารณชนได้เข้าชม


ประเทศฝรั่งเศสที่เป็นเพื่อนบ้านกับประเทศเยอรมนีเองก็มีที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์และปราสาทโบราณที่โอ่อ่าที่สืบทอดมาหลายศตวรรษอยู่มากมาย ซึ่งได้บำรุงรักษาไว้เป็นอย่างดี และก็เป็นสมบัติชาติของฝรั่งเศส


 


เมื่อเข้ามาในห้องโถงใหญ่ หยางโปจึงเห็นชายผิวขาวผมสีขาวดอกเลาคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น พอเห็นพวกหยางโปเดินเข้ามา คนคนนั้นก็เดินมาทางด้านนี้สองก้าว ก่อนจะใช้ภาษาเยอรมันถามสารทุกข์สุกดิบ


หยางโปฟังไม่เข้าใจ ล่ามที่อยู่ข้างกายเริ่มแปลภาษา “สวัสดีครับ คุณกู้!”


“คุณเบอร์ดา สวัสดีครับ!” กู้ฉางซุ่นพูด แล้วก็จับมือกับอีกฝ่าย


ทั้งสองคนมองกันพลางยิ้ม ก่อนจะนั่งลง


เบอร์ดาอายุเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ใบหน้ายับย่นเป็นริ้ว ยังมีกระฝ้ากระจายเป็นจุดๆ เขาพูดกับกู้ฉางซุ่นว่า “คุณกู้ ผมเคารพนับถือวัฒนธรรมของประเทศคุณเป็นอย่างยิ่ง ถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วนั้นเป็นของชิ้นที่ผมรักที่สุด เดิมทีผมไม่ได้คิดที่จะขาย”


 


หยางโปที่นั่งอยู่ด้านข้างฟังคำพูดจาไร้สาระของเบอร์ดา ในใจก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินเบอร์ดาพูดว่า “แต่ว่าครั้งนี้คุณกู้ให้คนติดต่อมาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ผมประทับใจเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าผมควรจะทำเพื่อวัฒนธรรมของประเทศจีน นี่เป็นสมบัติชาติของประเทศจีน และก็เป็นของล้ำค่าของโลกใบนี้!”


กู้ฉางซุ่นยิ้มพลางพูดว่า “ในเมื่อเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศจีน งั้นก็ควรคืนกลับมาให้พวกเราถึงจะถูก”


“ไม่! ไม่!” เบอร์ดารีบพูดพลางโบกมือ “คุณกู้ฟังความหมายของผมไม่เข้าใจ ผมพูดว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าของชาวโลก เอาไว้ที่นี่กับผม นับได้ว่าเหมาะสมยิ่งกว่า”


“ฮิวโก้นักเขียนชาวฝรั่งเศสเคยพูดเอาไว้ว่า มีวันหนึ่ง โจรสองคนบุกเข้าไปในพระราชวังฤดูร้อน คนหนึ่งปล้น คนหนึ่งวางเพลิง” กู้ฉางซุ่นจ้องอีกฝ่าย “ในเมื่อเป็นโจร อย่างนั้นการจะคืนของก็คงต้องมีจุดมุ่งหมาย!”


 


หยางโปฟังคำพูดนี้จบ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เห็นใบหน้าอีกฝ่ายแดงเถือก ในใจก็กระจ่างขึ้นมา คำพูดนี้กู้ฉางซุ่นต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วแน่ๆ ตอนนี้สามารถพูดได้ถึงขนาดนี้ นับว่าไม่เลวแล้ว


สีหน้าเบอร์ดาเปลี่ยน ก่อนจะส่ายหน้าทันที “คุณกู้ โปรดระวังคำพูดด้วย!”


“คุณเบอร์ดาคิดว่าคำพูดของผมมีปัญหางั้นเหรอ?” กู้ฉางซุ่นถาม


“ตระกูลเบอร์ดาของผมไม่เคยเป็นโจร!” เบอร์ดาเอ่ยปาก


กู้ฉางซุ่นเอ่ยต่อว่า “ตอนนั้นรัฐบาลอังกฤษกับฝรั่งเศส ถือเป็นโจรที่ตัวใหญ่ที่สุด!”


เบอร์ดายิ้ม พลางส่ายหัว “ราคาที่ทั้งสองฝ่ายเสนอแตกต่างกันมาก คุณกู้ ผมคิดว่าพวกเราคุยกันให้นานอีกหน่อยเถอะนะ!”


 


กู้ฉางซุ่นขมวดคิ้ว เขายังมีธุรกิจในจีนอยู่ ทุกครั้งที่ถูกดึงยืดออกไปหนึ่งวัน เขาล้วนต้องจ่ายต้นทุนที่ราคาสูง ที่สำคัญที่สุดก็คืออาจเกิดผลกระทบกับธุรกิจของเขาได้!


“คุณเบอร์ดา ในเมื่อวันนี้ไม่มีทางที่จะเจรจากันได้แล้ว พวกเราค่อยนัดเวลาแล้วกัน ตอนนี้ผมอยากให้คนของผมประเมินราคาและเฝ้าดูของ” กู้ฉางซุ่นว่า


“ได้สิ” เบอร์ดาตอบรับ


ตอนที่ 195 เล่นละคร


เบอร์ดาตอบรับคำขอในการประเมินของอย่างตรงไปตรงมา นี่ทำให้หยางโปที่ฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อคิดว่าจะได้รีบทำงานรีบเสร็จงานแล้วจะได้กลับจีน ในใจหยางโปเองจึงดีใจเป็นอย่างมาก


จากนั้น กู้ฉางซุ่นก็ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรออยู่ที่นี่ เขากับพวกหยางโป เดินตามเบอร์ดาที่อยู่ด้านหน้าไปยังห้องสะสม


คฤหาสน์ของเบอร์ดานั้นดูแล้วยิ่งเหมือนป้อมปราการ ไม่เพียงแต่ลานที่มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โต พื้นที่ของสิ่งปลูกสร้างเองก็ไม่เล็กเลย ขณะที่เดินตามหลังเบอร์ดา ทุกคนได้ผ่านสิ่งปลูกสร้างมากมาย เมื่อมาถึงด้านหลังป้อมปราการ ตอนนี้เอง ทุกคนถึงได้เห็นอาคารทันสมัยแห่งหนึ่ง ภายนอกทั่วทั้งอาคารหลังนี้ถูกทาไว้ด้วยสีขาว ดูรูปแบบแล้วเหมือนกับป้อมปราการไม่มีผิด


 


เบอร์ดาหยุดเท้าลงที่ชั้นล่าง หันมาพูดกับกู้ฉางซุ่นว่า “นี่คือห้องสะสมของผม ทั้งอาคารเป็นองค์ประกอบเดียวกัน ลึกลงไปใต้ดินยี่สิบเมตร ทั้งหมดล้วนใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก!”


เบอร์ดาเพียงอธิบายแค่ประโยคนี้ จากนั้นก็หมุนกายเดินเข้าไปข้างใน


กู้ฉางซุ่นชะงัก ในใจตื่นตระหนก เนื่องจากเขารู้ดีว่าการสร้างอาคารอย่างนี้ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล สามารถสร้างอาคารอย่างนี้ได้ แสดงว่าอีกฝ่ายได้สะสมของไว้มากมาย บางทีอาจไม่จำเป็นต้องขายถ้วยลายไก่ ของอื่นๆ ที่ขาย ก็สามารถหาเงินได้เหมือนกัน เมื่อเป็นอย่างนี้เขาก็ไม่ได้ได้เปรียบกว่าสักเท่าไร


หยางโปเห็นเบอร์ดาเดินไปถึงหน้าประตู ก่อนจะทาบลายนิ้วมือยืนยันตัวตน แล้วก็ใช้รูม่านตายืนยันตัวตนอีกครั้ง ท้ายสุดก็กรอกรหัสผ่าน มาตรการสามชั้นทำให้ผู้คนตกใจจนปากอ้าตาค้าง


 


เมื่อเดินเข้ามาในอาคาร ก็ราวกับได้เดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง หยางโปเห็นว่ารอบด้านล้วนใช้กระจกครอบของสะสมไว้ ภายในมีการรักษาอุณหูมิและความชื้น สภาพเช่นนี้ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่กู้ฉางซุ่นเองเวลานี้ก็ปิดบังความตื่นตระหนกที่แสดงอยู่บนใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่


ใบหน้าเบอร์ดาปรากฏความลำพองใจ หันไปทางกู้ฉางซุ่นพูดว่า “ในตึกใหญ่ตึกนี้มีของสะสมรวมพันกว่าชิ้น ปีก่อนผมได้เชิญคนมาช่วยผมประเมินราคาโดยเฉพาะ ได้ราคาทั้งหมดเกือบห้าร้อยล้านยูโร!”


กู้ฉางซุ่นพยักหน้า ไม่พูดอะไร เพราะเขาเห็นได้ว่าของสะสมส่วนใหญ่ในห้องล้วนเป็นวัตถุโบราณของประเทศจีน ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่ปล้นและแย่งชิงมาจากจีน!


 


เบอร์ดาเองก็ไม่สนใจ เขาพาทุกคนเดินหน้าต่อไป ก่อนจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสอง เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ช้อนตาขึ้นก็จะเห็นว่ากึ่งกลางโถงใหญ่มีที่ที่คลุมด้วยกระจกอยู่ที่หนึ่ง ด้านในเป็นถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วนั่นเอง!


หยางโปเดินไปข้างหน้า มองอย่างถี่ถ้วนแวบหนึ่ง พบว่าตัวถ้วยวาดเป็นไก่ตัวผู้กำลังเชิดหน้าอย่างโอหัง ไก่ตัวเมียกับลูกไก่กำลังจิกตะขาบกิน ลูกไก่อีกสองตัวเล่นกันอยู่ ภาพวาดเหล่านี้ก็คือลายของถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว


เบอร์ดาเห็นพวกหยางโปออกไปข้างหน้า ก็ยิ้มขึ้นมา “คุณกู้ ถ้วยลายไก่อันนี้ของผมไม่มีทางที่จะผิดพลาดไปได้แน่ ปีนั้นปู่ทวดของผมบอกผมด้วยปากของท่านเองว่าถ้วยลายไก่ใบนี้เป็นท่านที่หยิบมาจากพระราชวังของจีนด้วยมือของตัวเอง”


 


กู้ฉางซุ่นเดือดดาล แต่ยังเอ่ยปากว่า “คุณเบอร์ดาคงไม่รู้เรื่องเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือโบราณวัตถุของจีนมีเทคนิคการทำปลอมที่ลึกซึ้งกว้างไกลเป็นอย่างมาก ในสมัยราชวงศ์ถังซ่ง ก็มีคนที่เริ่มทำเครื่องเคลือบลายครามปลอมแล้ว ดังนั้นผมต้องตรวจสอบให้แน่ใจไว้ดีกว่า”


เบอร์ดาฟังคำอธิบาย ก็ชะงักไปทันที “วิธีโกงแล้วหาเงินจากคนอื่นของประเทศจีนช่างลึกซึ้งกว้างไกลจริงๆ แถมยังมีประวัติความเป็นมาอีกด้วย!”


กู้ฉางซุ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยคำ ด้วยกลัวว่าเบอร์ดาจะไม่ขายถ้วยลายไก่ให้อีก


หยางโปได้ยินคำพูดนี้ กลับเงยหน้าโต้กลับไปว่า “คำพูดนี้ของคุณผิดแล้ว วัฒนธรรมจีนลึกซึ้งกว้างไกล ที่ทำให้เกิดของปลอม ของเลียนแบบขึ้นมาได้นั้น ก็เป็นเพราะมีคนจีนมากมายที่ไล่ตามประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นเพราะมีวัฒนธรรมอย่างนี้รายล้อม ถึงทำให้อารยธรรมจีนมาไกลได้ถึงขนาดนี้”


 


เบอร์ดาหัวเราะฮ่าฮา “ก็นับว่าโชคดีที่เป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจที่จะมีพวกคุณในวันนี้ได้”


หยางโปชะงัก รู้สึกเซ็งเหมือนกินแมลงวันเข้าไป อีกฝ่ายหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนี้ ความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่ประเทศแพ้สงครามพรรค์นี้ทำให้หยางโปรู้สึกอับอาย!


“สงครามมีแพ้มีชนะ สำหรับพวกเราที่เป็นคนธรรมดาแล้ว ล้วนเป็นความทุกข์ยากเท่านั้น!” กุ้ยหรงจิ่วกล่าว


เบอร์ดากับพ่อบ้านของเขามองตากันพลางยิ้ม ราวกับเป็นผู้ชนะ


หยางโปขมวดคิ้วไม่คลาย แต่ยังใช้สายตาตัวเองมองไปทางถ้วยลายไก่


 


ถ้วยลายไก่เบื้องหน้าเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม เค้าโครงลายเส้นนุ่มนวล ในความตรงมีความลึกลับซับซ้อน ในความโค้งงอมีความตรง แสดงออกมาเป็นเสน่ห์แห่งความงามสง่าและความหมดจด ถ้วยด้านนอกตกแต่งเป็นกลุ่มแม่ไก่สองกลุ่ม ตรงกลางเป็นหินทะเลสาบ ต้นกุหลาบจันทร์ และกล้วยไม้ เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ


เนื่องจากกั้นด้วยกระจก จึงไม่สามารถหยิบถ้วยลายไก่ออกมาดูอย่างละเอียดได้ หยางโปดูอยู่ครู่หนึ่ง ในสถานการณ์แบบนี้ระดับความยากในการประเมินของต้องสูงมาก


แต่สำหรับหยางโปแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย แสงสว่างเบื้องหน้าเขาวาบผ่าน แสงรวมตัวกัน ด้วยความหนาแน่นของออร่า ไม่นานหยางโปก็แน่ใจ


 


เครื่องเคลือบ “ลายครามลงสี” เริ่มเผาในสมัยเฉิงฮั่วของราชวงศ์หมิง เป็นเครื่องเคลือบสีขาวราวหิมะที่เผาในเตาเผาราชสำนักของเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น ใช้การเคลือบลายครามแบบพิเศษที่เรียบง่ายงดงามของสมัยเฉิงฮั่วทำเป็นเค้าโครงลวดลาย ใช้สีอย่างสีแดง เขียว เหลือง ม่วง ที่วิจิตรงดงามเสริมเติมอยู่บนผิวเคลือบ นำเข้าเตาเผาเผาด้วยอุณหภูมิต่ำสองครั้ง ปรากฏเป็นสีสันแห่งดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ส่องสว่างแพรวพราวซึ่งกันและกัน


ในบันทึกประวติศาสตร์กล่าวไว้ว่า จักรพรรดิเฉิงฮั่วหลงใหลภาพอักษรเป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งเขาชื่นชม 《ภาพแม่ไก่ลูกเจี๊ยบ》 ที่คนในราชวงศ์ซ่งวาด เมื่อเห็นภาพอบอุ่นหวานชื่นที่แม่ไก่พาลูกไก่หลายตัวจิกหาอาหาร ก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก บนภาพภาพนี้นั้นเขียนกลอนเจ็ดอักษรบทหนึ่ง แสดงถึงความรักที่อยากจะปกป้องลูกไก่ของแม่ไก่ อาจเป็นเพราะแบบนี้ จักรพรรดิเฉิงฮั่วจึงแตกหน่ออ่อนของปณิธานที่อยากจะทำถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วขึ้นมา


 


นักวิชาการอีกคนวิเคราะห์ว่า จุดมุ่งหมายที่วาดไก่นั้นมีสองอย่าง หนึ่งคือปีแรกของรัชสมัยเฉิงฮั่วเป็นปีระกา อีกข้อคือ “ไก่ (จี)” กับ “มงคล (จี๋)” ของคำว่า “สิริมลคล (จี๋เสียง)” ออกเสียงคล้ายกัน


กุ้ยหรงจิ่วหยิบแว่นขยาย จ้องมองถ้วยลายไก่ด้านใน พยายามที่จะค้นหาเบาะแส


เวลาจะประเมินถ้วยลายไก่ ลักษณะวงกลมและสัญลักษณ์ข้างล่างถ้วยล้วนช่วยได้เป็นอย่างมาก แต่สถานการณ์ตรงหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้ ณ ตอนนี้สามารถประเมินได้เพียงแค่ขีดอักษรและสีสันเท่านั้น


ผ่านไปเนิ่นนาน กุ้ยหรงจิ่วก็วางแว่นขยายลง เหมยเฉาหนิงเองไม่นานก็วางลงด้วยเช่นกัน ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนไม่พูดอะไร


 


กุ้ยหรงจิ่วควักกล้องถ่ายรูปออกมา ขณะจะถ่ายรูป กลับถูกพ่อบ้านขัดขวางเอาไว้


หยางโปเข้าใจความคิดของกุ้ยหรงจิ่ว เพราะเงื่อนไข ณ ขณะนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถที่จะถกปัญหากันตรงๆ ได้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็จะถูกอีกฝ่ายได้ยิน และสามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อการเจรจาที่จะมีต่อไปด้วย ดังนั้นกุ้ยหรงจิ่วจึงคิดจะถ่ายรูปสักสองสามรูป เพื่อใช้เป็นหลักฐานตอนถกกัน


การที่ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปได้ ทำให้กุ้ยหรงจิ่วตกตะลึง หยางโปรีบดึงอีกฝ่ายทีหนึ่ง หันไปส่งสายตาให้เหมยเฉาหนิง ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินไปที่มุมห้อง


“เป็นยังไงบ้าง?” เหมยเฉาหนิงหันไปมองกุ้ยหรงจิ่ว


กุ้ยหรงจิ่วลังเลเล็กน้อย หันไปมองทางหยางโป “เธอคิดว่ายังไงล่ะ?”


 


หยางโปไม่มีท่าทีใดๆ หันไปมองรอบๆ สังเกตเห็นกล้องวงจรปิดที่อยู่ไม่ไกล ใจของเขาก็สะดุด ใบหน้าหนักแน่นจริงจัง ส่ายหัวพูดว่า “ชิ้นนี้ไม่ผิด เป็นของจริง!”


กุ้ยหรงจิ่วประหลาดใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำไมการกระทำของหยางโปถึงได้แสดงออกมาเป็นตรงกันข้าม


หยางโปเหมือนจะเข้าใจในจุดนี้ อธิบายว่า “ข้างหลังพวกคุณมีกล้องวงจรปิด อย่าหันไป พวกเราต้องหลอกให้ดูเหมือนเถียงกันอยู่!”


ตอนที่ 196 แสร้งปล่อยเพื่อจับ


เมื่อหยางโปอธิบายอย่างนี้ กุ้ยหรงจิ่วก็มีปฏิกิริยาในทันที เขาเข้าใจวัตถุประสงค์ของหยางโปที่คิดจะใช้ประโยชน์จากการถกเถียงในการประเมินมาลดราคาซื้อขายถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่ว การใช้วิธีนี้แม้ว่าย่อมต้องมีข้อสงสัย แต่กุ้ยหรงจิ่วก็ยอมร่วมด้วย


เมื่อรู้ว่ากล้องวงจรปิดไม่สามารถบันทึกได้ กุ้ยหรงจิ่วจึงพยักหน้า “ฉันเองก็ไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไรเหมือนกัน”


เหมยเฉาหนิงยิ้ม “ถ้าสามารถดูสัญลักษณ์ที่ก้นถ้วยได้ ตอนนี้จะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ว่าการประเมินเครื่องเคลือบนั้นปกติต้องดูสัญลักษณ์ที่ก้นถึงจะยืนยันได้ ยิ่งเป็นถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วที่ถูกทำเลียนแบบมาหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วย”


 


หยางโปขมวดคิ้วไม่คลาย ก่อนส่ายหน้า “เจียจิ้ง หลงชิ่ง ว่านลี่ สามรัชสมัยแห่งราชวงศ์หมิง และคังซี ยงเจิ้ง เฉียนหลง สามรัชสมัยแห่งราชวงศ์ชิง ต่างก็ประสบความสำเร็จในการเลียนแบบของในสมัยเฉิงฮั่ว โดยเฉพาะสมัยคังยงเฉียนทั้งสามรัชสมัย ระดับในการทำของเลียนแบบยิ่งเหนือชั้น สัญลักษณ์ที่ก้นถ้วยส่งผลเป็นอย่างมาก”


ท่าทางของหยางโปรวมกับน้ำเสียงของเขา ทุกอย่างตรงข้ามกันเกือบจะสิ้นเชิง ทำให้คนยิ้มออกมาอย่างทนไม่ไหว


ใบหน้าเหมยเฉาหนิงเคร่งขรึมจริงจัง แต่หางตาประดับรอยยิ้ม “ฉันทนไม่ไหวแล้ว พวกเรากลับไปค่อยปรึกษากันดีกว่า ทำให้พวกเขาดู พวกเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด!”


 


หยางโปหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นเบอร์ดากำลังมองมา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ส่วนใบหน้าของกู้ฉางซุ่นนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง


“เรียบร้อยแล้วครับ!” หยางโปส่ายหัวอย่างจนปัญญา


เมื่อทั้งสามคนเดินกลับไป กู้ฉางซุ่นเองก็ไม่ถามอะไร แต่หันไปพูดยิ้มๆ กับเบอร์ดาว่า “คุณเบอร์ดา วันนี้ต้องขอบคุณจริงๆ ผมคิดว่าพวกเราควรจะเร่งขั้นตอนการเจรจาให้เร็วขึ้น เรื่องนี้ไม่ถึงกับต้องดึงให้ถึงหนึ่งปีครึ่งปีหรอกมั้ง?”


เบอร์ดายิ้ม “ไม่รีบๆ!”


 


กู้ฉางซุ่นไม่พูดอะไรอีก เขาพาทุกคนหมุนกายจากไป


เมื่อออกมาจากลาน กู้ฉางซุ่นก็หันกายมามอง “เป็นยังไงบ้าง? เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”


ใบหน้ากู้ฉางซุ่นปรากฎความร้อนใจ การเจรจาเรื่องถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วดำเนินมาสองเดือนกว่าแล้ว มันพัวพันเขาไว้เป็นอย่างมาก เขาเองก็คาดหวังเอาไว้สูงเช่นกัน ตอนนี้ในที่สุดก็จะได้มันมาไว้ในมือ ไม่แปลกที่เขาจะร้อนใจ


ใบหน้ากุ้ยหรงจิ่วฉายแววปั้นยาก ก่อนจะหันไปดูรอบด้าน


กู้ฉางซุ่นมีท่าทีทันที “กลับไปค่อยว่ากันๆ”


 


เมื่อกลับถึงโรงแรม กู้ฉางซุ่นก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรแม้แต่น้อย กลับพาทั้งสามคนเข้าไปที่บาร์เหล้าสาเกใกล้ๆ ก่อนจะมองมาทางทั้งสามคน “หรือว่าจะมีปัญหาอะไร?”


กุ้ยหรงจิ่วมองไปทางหยางโป ส่งท่าทีให้เขา “ให้หยางโปพูดดีกว่าครับ”


หยางโปหันมองกุ้ยหรงจิ่วแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “คุณกู้ คุณไม่ต้องกังวลใจไป ตอนนี้ดูแล้วถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ที่พวกเราเป็นอย่างนี้กัน ก็เพราะหวังที่จะหลอกอีกฝ่าย ดังนั้นต่อไป คุณก็สามารถเจรจากับอีกฝ่ายอย่างวางใจได้ แต่ต้องระวังกลยุทธ์เอาไว้กันหน่อย”


 


กู้ฉางซุ่นเป็นคนค้าขาย พอได้ฟังก็เข้าใจวัตถุประสงค์ของหยางโป เขาหันไปมองหยางโป “ความหมายของพวกเธอก็คือจากนี้ไปอยากให้ฉันทำเป็นลังเลใจ?”


หยางโปพยักหน้า “ถูกต้องครับ ถ้าให้อีกฝ่ายเห็นว่าคุณรีบร้อนเกินไป จะไม่เป็นผลดีต่อการเจรจาครั้งต่อไป”


กู้ฉางซุ่นพยักหน้า เขาเองก็ตระหนักได้ถึงปัญหานี้เช่นเดียวกัน เวลานี้เขาทำตัวรีบร้อนเกินไป รีบบินจากจีนอย่างเร็วที่สุดเพื่อมาเจรจา เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ามีแต้มต่อที่สำคัญอยู่ในมือ กลยุทธ์นี้เขาเข้าใจ แต่พอคนร้อนใจ ก็ง่ายที่จะว้าวุ่น


“ได้! ฉันเห็นด้วยกับคำแนะนำของพวกเธอ เมื่อเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวฉันจะจองตั๋วกลับจีนวันพรุ่งนี้เลย!” กู้ฉางซุ่นกล่าว


 


พูดแล้วเขาก็ยกขาทั้งคู่ขึ้นขัดสมาธิบนโซฟา มือหนึ่งควักซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ฉีกเปิดซอง ก่อนจะหันไปพูดกับพวกหยางโปทั้งสามคนว่า “ฉันรู้ว่าพวกเธอล้วนไม่สูบบุหรี่ ฉันก็จะไม่แจกบุหรี่ให้พวกเธอหรอก”


หยางโปมองอีกฝ่าย และเห็นว่าซองบุหรี่ที่กู้ฉางซุ่นถืออยู่เป็นยี่ห้อ “ต้าเฉียนเหมิน!”


“ต้าเฉียนเหมิน” หนึ่งซองสองหยวน เป็นเถ้าแก่ที่ครอบครองสินทรัพย์หลายพันล้าน กลับสูบ “บุหรี่ประชาชน” พรรค์นี้ ช่างทำให้คนประหลาดใจจริงๆ!


กู้ฉางซุ่นเองก็เหมือนจะเห็นความแปลกใจในดวงตาของหยางโป จึงยิ้มพลางอธิบายว่า “เมื่อก่อนตอนฉันยังจนอยู่ ก็ซื้อใบยาสูบ แล้วเอากลับมาใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อสูบเอง นี่นับว่าไม่เลวแล้ว!”


 


พูดจบ สีหน้าท่าทางกู้ฉางซุ่นก็พลันเศร้าสลดขึ้นมา เนิ่นนานถึงเอ่ยปากว่า “ตอนนั้นต้าเฉียนเหมินยังนับเป็นบุหรี่เกรดกลางถึงสูง ครั้งแรกที่ฉันถูกจับเข้าคุก ที่บ้านยังมีเงินเหลืออยู่ไม่น้อย ฉันจะให้ภรรยาส่งต้าเฉียนเหมินมาให้ฉันในคุก นั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว”


“ตอนนั้น ฉันเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน ว่าครอบครัวจะมาแพ้ให้กับเรื่องพรรค์นั้น ภรรยาฉันออกไปใช้แรงงานใช้รถเข็นขนของ หาเงินค่าเทอมให้ลูกชายลูกสาว แล้วยังต้องมาซื้อบุหรี่ให้ฉันอีก ตอนนั้นฉันมันเลวจริงๆ ทุกครั้งที่เธอมาส่งให้ช้า ฉันก็จะด่าเธอ!”


กู้ฉางซุ่นสูดควันเฮือกหนึ่งอย่างดุดัน ก่อนจะพ่นออกมาแรงๆ “เรื่องดีมักผ่านการต่อสู้โชกโชนจึงจะสำเร็จ เรื่องในโลกนี้ยากจะคาดเดา ล้วนผ่านไปหมดแล้ว อย่าไปพูดถึงมันเลย!”


 


ในใจหยางโปตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขาคาดไม่ถึงว่ากู้ฉางซุ่นจะเล่าเรื่องประเภทนี้ ตอนที่ได้ฟังเรื่องราวของเขา เป็นชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ แต่ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งไม่สามารถคุมได้ในสายตาคนนอกนั้น ไหนเลยจะเทียบเท่าคนที่เกี่ยวข้องสัมผัสได้?


กุ้ยหรงจิ่วหยิบเบียร์ขึ้นมา ก่อนจะเทลงไปในแก้วของกู้ฉางซุ่น “มา ไม่ต้องพูดแล้ว ชนแก้วให้แก่ความยากลำบากของชีวิต!”


“ดี! ชนแก้วให้แก่ความยากลำบากของชีวิต!” กู้ฉางซุ่นชูแก้วพลางพูด


ทั้งสี่คนดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า ไม่พูดถึงเรื่องธุรกิจอีก ทุกคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย กลับเข้ากันได้ดีเป็นอย่างมาก


 


วันต่อมา หยางโปตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมาค้าง สังเกตเห็นพระอาทิตย์ลอยสูงถึงกลางฟ้าแล้ว เขาก็ลุกจากเตียงล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็รีบลงไปกินอาหารเช้า


ตาอ้วนหลิววิ่งเข้ามา ถามเสียงค่อยว่า “เมื่อวานพวกเธอคุยอะไรไปบ้างกันแน่? ทำไมวันนี้เหล่ากู้ถึงจะไปแล้ว?”


หยางโปยิ้ม พูดเสียงค่อยเช่นกันว่า “แสร้งปล่อยเพื่อจับ”


ตาอ้วนหลิวเข้าใจในทันที พูดยิ้มๆ ว่า “เป็นวิธีที่ดี ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีคนเคยพูดเรื่องนี้เลย นั่นก็เพราะเหล่ากู้คนนี้หัวแข็งมาก ก่อนหน้านี้เสนอแผนไปตั้งมากมาย เขาก็ไม่ยอมรับฟังเลย คนอื่นต่างก็ไม่กล้าเสนอคำแนะนำอะไรแล้ว”


 


หยางโปประหลาดใจ “นี่ ไม่ใช่ล่ะมั้ง คุยกันง่ายจะตายนะ!”


“นั่นเพราะน้ำหนักความน่าเชื่อถือของนักวิชาการไงล่ะ!” ตาอ้วนหลิวกัดแซนด์วิชหนึ่งคำ หันไปพูดกับ


หยางโปว่า “จริงสิ เธออย่าไปเสนอคำแนะนำอะไรล่ะ น้ำหนักของเธอยังไม่มากพอ เดี๋ยวจะถูกเขาปฏิเสธ ครั้งต่อไปจะไม่มีสิทธิมีเสียงได้พูดอะไร!”


หยางโปพยักหน้า รู้สึกประหลาดใจ เพราะความเห็นของเขาก็ถูกอีกฝ่ายยอมรับไปเรียบร้อยแล้ว


“อ๊ะ จริงสิ วันนี้พวกเธอมีเวลากันไหม?” ตาอ้วนหลิวถาม


“มีสิ ก็นี่ไม่ใช่เวลาว่างหรอกเหรอ? อีกสองสามวันพวกเราก็จะกลับกันแล้ว” หยางโปกล่าว


 


ใบหน้าตาอ้วนหลิวปรากฏรอยยิ้มหัวขโมย “เฮ้ย อย่ารีบร้อนน่า ฉันติดต่อนักสะสมเชื้อสายจีนในท้องถิ่นเอาไว้แล้ว ในมือของเขาสะสมวัตถุโบราณของจีนเอาไว้เยอะแยะ และกำลังจะปล่อยของอยู่พอดี พวกเราไปดูกันหน่อยไหม?”


หยางโปผงกศีรษะทันที “อืม กลับช้าหน่อยก็ไม่นับว่าเป็นอะไร”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม