ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง 181-187

ตอนที่ 181 หลงเซี่ยว

 

ณ อาคารสำนักงานในเขตชานเมือง A ซึ่งครอบคลุมพื้นที่หลายพันหมู่ [1] ที่ทางออกฉุกเฉินบนชั้นสาม อาห้าคว้าโทรศัพท์มือถือจากมือชายคนหนึ่ง ขณะมองดูบันทึกการโทรประกายความเดือดดาลก็วาววับในดวงตาเขา เขาโยนโทรศัพท์ให้อาหก แล้วหันกลับไปมองชายคนนั้น ถามว่า “ลัวเทียน แกติดต่อกับคุณฉินทำไม” 


 


 


ลัวเทียนคิดไม่ถึงว่าจะมีใครมาเห็นเขาแอบพูดโทรศัพท์ที่บันไดหนีไฟ เขากลืนน้ำลายขณะมองดูอาห้าที่โกรธมาก และตอบเสียงสั่น “คุณห้า ผม… ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้น ผมแค่… คือแค่คุณฉินขอให้พวกเราบอกเธอทันทีที่เราพบคุณถังซี แต่เรายังไม่พบคุณถังซี ผมก็เลยไม่ได้บอกอะไรเธอเลย เมื่อกี้เธอโทรมาหาผม ผมไม่ได้เป็นคนโทรหาเธอ และผมก็ไม่ได้บอกอะไรเธอ…” 


 


 


“ใช่สิ แกยังไม่ได้บอกอะไร เพราะฉันยึดโทรศัพท์แกมาไง ไม่อย่างนั้นแกคงจะบอกเธอทุกอย่างที่แกรู้ ใช่ไหม” อาห้าจ้องหน้าลัวเทียนเขม็งด้วยสีหน้าดุดัน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนทรยศที่ไร้ความซื่อสัตย์คนนี้ จะเป็นคนในหลงเซี่ยวกรุป 


 


 


ลัวเทียนส่ายศีรษะอย่างแรงและปฏิเสธ “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยครับคุณห้า ผมตั้งใจว่าจะบอกคุณฉินว่าผมไม่รู้อะไรเลย! ผมไม่รู้จริงๆ …”  


 


 


อาห้าหรี่ตาลง แน่นอนสิ เขาไม่รู้! เพราะพวกเขาไม่พบคุณถังซีจริงๆ! เขาจึงไม่รู้ และไม่ได้บอกอะไรฉินซินหยิ่ง แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาพบคุณถังซี และ… อาห้าเอื้อมมือไปคว้าคอลัวเทียน เขาหรี่ตาซึ่งเต็มไปด้วยประกายดุดัน ถามอย่างเยือกเย็น “บอกฉันมา แกคือคนที่เปิดเผยตำแหน่งที่พักของนายน้อยให้ฉินซินหยิ่งรู้ใช่ไหม” 


 


 


ลัวเทียนส่ายศีรษะ หน้าซีดเผือด “ไม่ครับ ไม่ใช่ผม” 


 


 


เมื่อเห็นว่าลัวเทียนไม่ยอมสารภาพ อาห้าก็ปล่อยเขาแล้วหัวเราะเย้ยหยัน “ดูเหมือนแกนี่จะไม่หลั่งน้ำตาจนกว่าจะเห็นโลงศพใช่ไหม อยากลิ้มลองรสการลงโทษของหลงเซี่ยวหรือ” 


 


 


ทันทีที่ลัวเทียนได้ยินคำว่าการทำโทษของหลงเซี่ยว ร่างเขาก็ทรุด เขาคุกเข่าขอร้อง “คุณห้า โปรดไว้ชีวิตผมด้วย!” 


 


 


อาห้ายิ้มอย่างเย็นชา “แกจะสารภาพไหม” 


 


 


ลัวเทียนก้มศีรษะลง กล่าวเสียงต่ำ “ผมแค่บอกคุณฉินว่าเราอยู่บนเกาะไหนในทะเลแปซิฟิก และ…” 


 


 


“งั้นหรือ” อาห้าหรี่ตาลงถาม “แล้วนายน้อยก็ไปที่ลองบีช จากนั้นก็ไปเมืองหลวง โดยมีผู้หญิงคนนั้นสะกดรอยตามไปตลอด แล้วแกบอกฉันว่าแกไม่รู้อะไรเลยงั้นหรือ” 


 


 


“ผมไม่ได้ให้ข้อมูลพวกนั้นกับคุณเฉียวเลยครับ คุณห้า ผมสาบาน!” ลัวเทียนร้องออกมา ขณะกอดขาอาห้าไว้แล้วกล่าวต่อไป “ผมอยู่หลงเซี่ยวมาห้าหกปีแล้ว ผมจะทรยศนายน้อยได้ยังไงครับ คุณฉินคนนั้นมาขอความช่วยเหลือจากผม เพราะเธอเป็นห่วงคุณถัง แล้วก็ไม่ได้มีผลร้ายอะไรต่อนายน้อยเลยนี่ครับ ถ้าผมบอกตำแหน่งที่พักของนายน้อยคุณกับฉิน” 


 


 


“ไอ้โง่! ไม่มีผลร้ายอะไรเลยอย่างนั้นหรือ” อาห้าคว้าปกเสื้อลัวเทียน ดึงเขาขึ้นมาจากพื้นแล้วถามอย่างดุดัน “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตำแหน่งที่พักของนายน้อยถูกเปิดเผยกับ ‘พวกมัน’ โดยฉินซินหยิ่ง หรือถ้าพวกมันรู้ว่ามีคนแบบฉินซินหยิ่งอยู่ จับเธอไปทรมาน และรู้จากเธอว่าคุณถังคือจุดอ่อนของนายน้อย ยิ่งไปกว่านั้น แกก็รู้ว่าสภาพนายน้อยเป็นอย่างไรในช่วงเวลานั้น ถ้าพวกมันตามหานายน้อยจนเจอด้วยการตามรอยฉินซินหยิ่งมา แล้วฆ่านายน้อยล่ะ แกจะทำยังไง ทำไมแกถึงโง่บัดซบอย่างนี้” 


 


 


เมื่อถูกอาห้าดุด่าอย่างแรงลัวเทียนก็อึ้ง เขาทำได้แค่ก้มหน้านิ่ง ยอมรับความผิดของตนเอง ทันใดนั้นอาหกก็เอ่ยขึ้น “โอ…ไม่ โทรศัพท์ของฉินซินหยิ่งกับลัวเทียนถูกดักฟัง น่าจะเป็นแก๊งลาสเวกัส” 


 


 


อาห้าชกหน้าลัวเทียนอย่างแรง “บัดซบ! ไอ้อัปรีย์เอ๊ย ฉันไม่เคยเตือนแกหรือว่าไม่ให้ใช้โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่องานโทรหาใคร!” เมื่อกล่าวจบเขาก็มองหน้าอาหกด้วยความวิตกกังวล และถามอย่างเคร่งเครียด “พวกมันจะตามหาที่นี่เจอไหม” 


 


 


อาหกขมวดคิ้ว ขณะเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเข้ากับคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก ในไม่ช้าก็สามารถเข้าสู่ระบบที่เขาคิดขึ้นเองและทำการตรวจสอบ หลังจากเห็นการแสดงผลของระบบ เขาก็ส่ายศีรษะอย่างโล่งอก ตอบว่า “ไม่เป็นไร นายตัดสายและปิดโทรศัพท์ทันเวลา พวกมันหาพิกัดเราไม่ได้” 


 


 


แม้จะเป็นเพียงสัญญาณเตือนภัยที่ยังไม่นำพาไปสู่หายนะ แต่เหงื่อที่หน้าผากของทั้งสามก็ไหลโชก หัวใจอาห้ายังคงเต้นแรง หากเขาช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว พวกแก๊งลาสเวกัสก็จะรู้พิกัดของสถานที่แห่งนี้ใช่ไหม 


 


 


ทันทีที่เกิดความคิดเช่นนี้ เขาก็ลากตัวลัวเทียนขึ้นจากพื้น แล้วตะคอกใส่อย่างเยือกเย็น “แกไม่ต้องมาทำงานบนชั้นสามอีกต่อไป ไปอยู่ที่คุกใต้ดินชั้นหนึ่ง และทบทวนความผิดที่แกทำ!” 


 


 


“คุณห้าครับ คุณห้า ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะครับ ผมสาบานว่าจะไม่ติดต่อคุณฉินอีกเลย ผมจะไม่ทำผิดอีก!” ทันทีที่ลัวเทียนได้ยินคำว่า ‘คุกใต้ดินชั้นหนึ่ง’ เขาก็ตกอยู่ในความสะพรึงกลัว ที่นั่นคือก้นบึ้งของนรกอย่างแท้จริง! อาชญากรหลายคนที่ถูกโยนลงไป ตายภายในสิบวัน และคนที่ถูกส่งลงไปนั้นคือบรรดาศัตรูของหลงเซี่ยว หรือไม่ก็อาชญากรที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุด ผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง หรือที่รัฐบาลไม่สามารถจัดการได้ แม้จะดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นหายไปจากโลก แต่เขารู้ดีว่าแท้จริงแล้วพวกเขาถูกนำไปขังที่นั่น! 


 


 


หลงเซี่ยวเป็นองค์กรที่ไม่เป็นทางการ ก่อตั้งโดยผู้ชายสามคน คนธรรมดาทั่วไปอาจไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับองค์กรนี้ แต่คนสำคัญ คนใหญ่คนโตทุกคนในโลก ล้วนเคยได้ยินชื่อหลงเซี่ยวกรุป องค์กรอันดับหนึ่งของโลก องค์กรนี้ไม่เพียงผลิตกระสุนปืน แต่ยังขายกระสุนปืนที่ผลิตได้ไปทั่วโลกในจำนวนมหาศาลอีกด้วย หลงเซี่ยวกรุปเป็นองค์กรที่ทั้งน่ากลัวและเป็นที่นับถือยำเกรงจากทุกประเทศ 


 


 


ทั้งอาวุธแบบจุดระเบิดและไม่จุดระเบิดของหลงเซี่ยวกรุปรวมกัน เพียงพอที่จะทำลายล้างโลกได้ทั้งโลก… และอาวุธของเกือบทุกประเทศส่งไปจากหลงเซี่ยว ดังนั้นหลงเซี่ยวจึงแทบจะผูกขาดการค้าอาวุธระดับโลก… 


 


 


คนส่วนใหญ่คิดว่าผู้นำสูงสุดของหลงเซี่ยวกรุป คือผู้บริหารสองคนที่พำนักอยู่ในบริเวณหลงเซี่ยวกรุป นั่นคือ วิลสันกับเจสซ์ ชายหนุ่มสองคนที่มีใบหน้าแบบชาวตะวันออก แต่มีชื่อเป็นภาษาต่างประเทศ… อย่างไรก็ตามมีเพียงสมาชิกของหลงเซี่ยวเท่านั้นที่รู้ว่า ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดของหลงเซี่ยวกรุปเป็นชายหนุ่มสามคน เฉียวเหลียงผู้มีอำนาจชี้ขาดสูงสุด ถัดมาเป็นวิลสันและเจสซ์… 


 


 


วิลสันกับเจสซ์จะมาปรึกษาเฉียวเหลียง และขอให้เขาเป็นคนตัดสินใจเมื่อเป็นเรื่องสำคัญ 


 


 


ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เฉียวเหลียงสามารถนำเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปซึ่งซวนเซใกล้จะล้ม กลับมาผงาดได้อีกครั้งในระยะเวลาอันสั้น ในความเป็นจริงไม่ใช่เพราะเขาเป็นอัจฉริยะ หรือปาฏิหาริย์ทางธุรกิจ ที่สามารถรักษาเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปไว้ได้เพียงลำพัง แต่เป็นเพราะเขาได้เตรียมการมานานแล้ว และหลงเซี่ยวกรุปที่อยู่เบื้องหลัง ก็อัดฉีดเงินทุนจำนวนมากเข้าไปยังเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป 


 


 


มีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเฉียวเหลียง และคนที่รู้เหล่านั้นก็พยายามจะสังหารชายหนุ่ม เพราะไม่เช่นนั้นคนที่รู้จะต้องถูกเขาตามล่า 


 


 


นี่คือเหตุผลว่าทำไม ไม่ว่าจะมีความกล้าได้กล้าเสียเพียงใด เขาจึงไม่กล้าทรยศเฉียวเหลียง… 


 


 


ลัวเทียนเงยหน้าขึ้นมองอาห้า และเกือบจะร้องไห้ออกมาขณะเอ่ยวิงวอน “คุณห้า ได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากไปอยู่คุกใต้ดินชั้นหนึ่งเลยครับ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] หมู่ – มาตราวัดพื้นที่ของจีน 1 หมู่ = 166.5 ตารางวา หรือ 666.67 ตารางเมตร  

 

 


ตอนที่ 182 ถังเจิ้นหวา

 

“บันทึกคำพูดทั้งหมดนี้ไว้ให้นายน้อย คุณเจ็ด และคุณเก้า!” อาห้ากล่าวลอดไรฟัน วิลสันเป็นลูกชายคนที่เจ็ดของตระกูลเจียงแห่งประเทศ C สมาชิกหลงเซี่ยวทุกคนจึงเรียกวิลสันว่า ‘คุณเจ็ด’ ส่วนเจสซ์เกิดเดือนตุลาคม แต่หมอดูบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน ถ้าความจริงเรื่องนี้เป็นที่เปิดเผยแก่คนอื่น ครอบครัวเขาจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘เซ็พเทมเบอร์’ และเปลี่ยนเดือนเกิดของเขาเป็นเดือนกันยายนด้วย…


 


 


เมื่อนึกถึงอารมณ์เดือดดาลของวิลสันที่จะระเบิดออก ลัวเทียนก็คิดว่าไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเช่นกัน หากวิลสันรู้ว่าเขาเกือบจะเปิดเผยที่ตั้งโรงงานผลิตของหลงเซี่ยวในเมือง A เขาอาจถูกชายหนุ่มยิงทิ้ง!


 


 


แม้เฉียวเหลียงจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของหลงเซี่ยว แต่เขาแทบจะไม่เข้ามาจัดการกับกรณีเฉพาะกิจใดๆ หลงเซี่ยวจึงอยู่ภายใต้การจัดการของวิลสันกับเจสซ์เป็นส่วนใหญ่ เจสซ์เหมือนเสือซ่อนยิ้ม แม้ท่าทางเขาจะดูสุภาพ แต่เมื่อใดที่เขายิ้มอย่างกระหายเลือด เขาจะไม่มีทางหยุดจนกว่าจะมีการนองเลือด…


 


 


ลัวเทียนเงยหน้าขึ้นมองอาห้าอย่างสิ้นหวังพร้อมกับอ้อนวอน “คุณห้า ได้โปรดเถอะครับ! ได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้ง!”


 


 


“จะไปอยู่คุกใต้ดินชั้นหนึ่ง หรือจะไปพบคุณเก้าและคุณเจ็ดด้วยตัวเอง เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง” อาห้าตอบกลับด้วยสายตาถมึงทึง “แกมีโอกาสเลือก เพราะแกไม่ได้ทำผิดร้ายแรง แกรู้ไหมถ้าคนพวกนั้นมันหาพิกัดเราเจอ แกจะไม่มีแม้แต่โอกาสมายืนพูดกับฉันอยู่ตรงนี้!”


 


 


ลัวเทียนหมอบลงอย่างสิ้นหวังและพึมพำ “คุณห้า ผมจะไปอยู่คุกใต้ดินชั้นหนึ่ง ผมจะรับผิดชอบสิ่งที่ผมทำ ขอแค่ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวผม”


 


 


อาห้าขมวดคิ้วเล็กน้อย “เราไม่เคยเอาครอบครัวใครเข้ามาเกี่ยวข้อง”


 


 



 


 


เฉียวเหลียงอยู่กับถังซีที่โรงพยาบาลจนถึงหกโมงเย็น เขากลับไปหลังจากนั้น เพราะตอนห้าโมงสี่สิบหยางจิ้งเสียนโทรมาหาถังซี บอกว่าวันนี้เธอทำซุปไก่ตุ๋นตังกุย กำลังจะนำมาให้ถังซี และบอกด้วยว่าอย่าทานอาหารที่พี่ชายซื้อมาให้…


 


 


หลังจากเฉียวเหลียงออกจากโรงพยาบาล เขาก็ตรงไปที่เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เมื่อมาถึงเขาพบว่าอาห้ารออยู่ที่นั่นนานแล้ว ทันทีที่อาห้าเห็นรถเฉียวเหลียงเข้ามาจอดใต้อาคารเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เขาก็รีบเข้าไปเปิดประตูรถให้เฉียวเหลียง และกระซิบ “นายน้อยครับ เราพบคนทรยศแล้ว มันคือลัวเทียนครับ”


 


 


เฉียวเหลียงพยักหน้า เดินต่อไปเพื่อเข้าไปในอาคาร อาห้ามองตามเฉียวเหลียงที่เงียบกริบด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะตามเขาไปอย่างรวดเร็วและถามว่า “นายน้อย จะให้ผมจัดการกับฉินซินหยิ่งไหมครับ”


 


 


เฉียวเหลียงหยุดนิ่งชั่วอึดใจ แล้วเดินต่อไป พร้อมกับตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย “ไม่ต้อง แต่จับตาดูเธอไว้”


 


 


อาห้าสงสัยว่าทำไมนายน้อยถึงไว้ชีวิตฉินซินหยิ่ง แต่เมื่อได้ยินคำสั่งดวงตาเขาก็วาววับขึ้นมาทันที เขาเอ่ยเสียงดังว่า นายน้อยมั่นใจได้เลยครับ ผมจะจับตาดูเธออย่างใกล้ชิด” เขาเดินตามเฉียวเหลียงเข้าไปในลิฟต์แล้วถามขี้นเบาๆ “นายน้อยครับ พวกเราจะหยุดค้นหาคุณถังก่อนใช่ไหมครับตอนนี้”


 


 


เฉียวเหลียงชะงัก ละสายตาจากกระจกเงาในลิฟต์ไปที่อาห้า สายตาเขาไม่บ่งบอกความรู้สึก เมื่อถูกนายน้อยจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้อาห้าก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาเพิ่งเหยียบกับระเบิดใช่ไหม ในที่สุดนายน้อยก็ลืมเรื่องคุณถังไปแล้ว เพราะคุณเซียว เขาพูดถึงเธอขึ้นมาอีกทำไม…


 


 


ในขณะที่เขาอยากมองหารูบนพื้นเพื่อจะมุดลงไปซ่อนตัว ไม่ให้มอดไหม้ตายไปด้วยสายตาของเฉียวเหลียง จู่ๆ เจ้านายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “ใช่ ความจริงปรากฏแล้ว หยุดค้นหาเธอได้”


 


 


ฮึ? อาห้าจ้องมองเฉียวเหลียงด้วยความตกใจ ง่ายขนาดนั้นเลยหรือสำหรับนายน้อย ที่จะยอมรับความจริงว่าคุณถังเสียชีวิตแล้ว แต่นายน้อยเกือบฆ่าตัวตายเพราะคุณถังเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เอง! ทำไมเขาถึงได้กลับมาเป็นนายน้อยผู้เย็นชาและไร้อารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพียงเพราะคุณเซียว


 


 


อาห้าอยากถามว่า ‘นายน้อยครับ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ผ่านมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ คือการแสดงใช่ไหมครับ’


 


 


อย่างไรก็ตามเฉียวเหลียงไม่ได้มองมาที่อาห้าอีกต่อไป และเดินออกจากลิฟต์ อาห้าตามติดเขาทันทีพร้อมกับถามว่า “ถ้าอย่างนั้น นายน้อยจะให้เรียกคนที่ได้รับมอบหมายงานที่เมืองหลวงกลับมาก่อนไหมครับ”


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “แค่คอยคุ้มกันคุณปู่ถัง และช่วงนี้ไม่ต้องสนใจอะไรอื่นนอกจากนี้”


 


 


“เอ่อ…” อาห้าท่าทางสับสน แต่เฉียวเหลียงมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น เขาจึงรีบตอบอย่างรวดเร็ว “ผมเข้าใจแล้วครับ”


 


 



 


 


ที่เมืองหลวง


 


 


ในอุทยานเอ็มไพร์ คุณปู่ถังนั่งอยู่บนชิงช้าในสวน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองจับจ้องอยู่ที่ชิงช้าสวรรค์ไม่ไกลจากตรงนั้น พ่อบ้านเดินเข้ามาหาท่านด้วยสีหน้าเศร้าหมองและก้มลงกระซิบ “นายท่าน ถึงเวลาทานยาของท่านแล้วครับ”


 


 


คุณปู่ถังหันกลับไปมองพ่อบ้านด้วยสายตาว่างเปล่าแล้วถอนหายใจ “อาจง คนพวกนั้นไปกันหมดแล้วหรือ”


 


 


ถังจงก้มศีรษะ พยักหน้าแล้วตอบว่า “พวกเขาไปหมดแล้วครับ นายท่าน… ทำไมท่านถึงต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนี้ ตอนนี้คุณหนู…” น้ำเสียงถังจงสั่นสะท้าน เขาสำลักด้วยแรงสะอื้น ดวงตาแดงเรื่อ เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวจนจบ “ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะครับ ทำไมเราต้องสนใจ…”


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดเขาคุณปู่ถังก็ถอนหายใจลึก “เป็นเรื่องง่ายที่จะเปิดร้าน แต่ยากที่จะให้เปิดอยู่ได้ยาวนานตลอดไป ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ฉันควรเกษียณตัวเอง แต่สถานการณ์ของฉันไม่พร้อมที่จะให้ฉันทำอย่างนั้นได้ ฉันเจอะเจอความโชคร้ายมามากมายในชีวิต คนรักของฉันเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ลูกสาวฉันเสียชีวิต ภรรยาฉันเสียชีวิต จากนั้นลูกชายกับลูกสะใภ้ก็เสียชีวิต และตอนนี้ฉันยังต้องมาแบกรับความเจ็บปวด ที่ต้องมาเห็นว่าหลานสาวฉันกำลังจะเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา”


 


 


ในที่สุดเมื่อเขาได้หญิงสาวคนนั้นมาเป็นภรรยา เขาคิดว่าพระเจ้าทรงอวยพรเขาแล้ว แต่สิ่งที่เขาบอกตัวเองมาตลอดเวลาว่าคือพรนั้น ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น


 


 


ถังจงสูดจมูกฟุดฟิดและเกือบจะร้องไห้โฮออกมา เขาเอื้อมมือออกไปพยุงคุณปู่ถัง ซึ่งกำลังจะทรุดลงด้วยความโศกเศร้า และพยายามปลอบใจท่าน “นายท่าน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือสุขภาพของท่าน ท่านทรุดลงแบบนี้ไม่ได้นะครับ”


 


 


“อย่าให้ใครรู้ว่าซีซีประสบอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ ฉันจะปล่อยให้ใครต่อใครเอาเรื่องนี้มาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองไม่ได้” แม้ดวงตาคุณปู่ถังจะเต็มไปด้วยความหมองหม่น แต่ประกายความเฉียบคมก็กระพริบไปทั่วดวงตาคู่นั้น ท่านกระแทกไม้เท้าลงกับพื้นอย่างแรง และกล่าวอย่างดุดัน “ฉัน… ถังเจิ้นหวา กินเกลือมามากกว่าที่พวกเขากินข้าว คิดว่าฉันจะทำไม่ได้ถ้าหากซีซีเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ ฉันจะทำให้พวกเขาได้เห็นว่าพวกเขาคิดผิด ที่คิดว่าจะเอาชนะฉันได้ง่ายๆ!”


 


 


หลังจากลูกสาวคนเล็กเสียชีวิต เขาก็คอยปลอบโยนภรรยา และช่วยเธอดูแลลูกชาย หลังจากภรรยาเขาเสียชีวิตเมื่อลูกชายอายุเพียงสิบขวบ เขาก็สามารถเลี้ยงดูลูกชายมาได้ตามลำพังคนเดียว หลังจากลูกชายและลูกสะใภ้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เขาก็เลี้ยงดูหลานสาวมาด้วยตัวเขาเองตั้งแต่เธอยังเป็นทารก มีอะไรในโลกที่สามารถเอาชนะเขาได้บ้าง 

 

 


ตอนที่ 183 คุณปู่ถังผู้โศกเศร้า

 

ถังจงติดตามเจ้านายมาเกือบหกสิบปี ได้เห็นมาตลอดว่าผู้ชายคนนี้ผ่านอะไรมาบ้าง เขาเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกับเจ้านาย แต่เจ้านายไม่เคยแสดงให้เห็นด้านที่โศกเศร้าและอ่อนแอของท่านเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเจ้านายก็เป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์และความต้องการ เมื่อจู่ๆ ได้ยินคำพูดถึงความจริงในชีวิตท่าน เขาก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ 


 


 


ใช่ ถึงแม้เจ้านายจะไม่เคยมีท่าทางโศกเศร้าให้เห็น แต่จริงๆ แล้วในใจท่านนั้นเศร้ามาก เมื่อครั้งที่คุณหนูถังหยาหายตัวไป จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินว่าเธอเสียชีวิต ผมของนายท่านเปลี่ยนเป็นสีขาวในชั่วข้ามคืน ต่อมาภรรยาท่านก็เสียชีวิต หลังจากนั้นเขาแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าท่านอีกเลย แต่นายท่านของเขาก็ยังสามารถเลี้ยงดูนายน้อยขึ้นมาได้โดยลำพัง 


 


 


เขายังจำได้ว่าครั้งแรกที่นายท่านยิ้มหลังจากภรรยาเสียชีวิต ก็คือตอนที่คุณหนูถังซีเกิด ทันทีที่นายท่านเห็นทารกน้อย ใบหน้าท่านก็สดใสด้วยรอยยิ้ม ในตอนนั้นท่านกล่าวว่า “เด็กหญิงน้อยๆ คนนี้คือความหวังของตระกูลถังของเรา เราจะเรียกเธอว่าถังซี” 


 


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณหนูถังซีอายุยังไม่ถึงสองขวบ นายน้อยกับภรรยาก็ประสบอุบัติเหตุขณะออกไปข้างนอก นายท่านต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมอย่างกล้าหาญ ท่านพาคุณหนูถังซีตามติดท่านไปตลอดเวลา และเลี้ยงดูเธอด้วยตัวเอง ไม่ว่าคุณหนูถังซีจะต้องการอะไร นายท่านจะหามาให้เธอ… 


 


 


ในขณะที่ถังจงค่อยๆ ย้อนรำลึกถึงชีวิตของถังเจิ้นหวา บุคคลในความคิดของเขากำลังเดินไปที่ตัวคฤหาสน์ด้วยไม้เท้า เมื่อมาถึงหน้าประตูท่านก็หยุด หันกลับไปมองท้องฟ้าแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ พึมพำเบาๆ “ซีซี ให้อภัยปู่ด้วย ที่ปู่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง แม้จะรู้ว่าหนูตายไปแล้ว ให้อภัยปู่ด้วยที่ไม่ได้พาหนูกลับบ้าน แม้จะรู้ว่าหนูอยากกลับบ้าน โปรดให้เวลาปู่ รอก่อน ปู่จะพาหนูกลับบ้านเร็วๆ นี้” 


 


 


เมื่อถังจงได้ยินคำพูดของถังเจิ้นหวา ดวงตาเขาก็แดงก่ำและถามออกมา “นายท่าน ทำไมท่านต้องทรมานตัวเองอย่างนี้” 


 


 


ถังเจิ้นหวาหันไปมองถังจง แล้วถอนหายใจ “นั่นสิ ทำไม” 


 


 


ทำไมเขาต้องชนะ ทำไมเขาถึงไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา ทำไมเขาต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยเมื่อหลานสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามหากเขาไม่ทำเช่นนี้ เอ็มไพร์กรุปที่เขาสร้างขึ้นเพื่อลูกหลานผู้สืบสกุลก็จะกลายเป็นของคนอื่น เขาจะไม่ยอมให้คนพวกนั้น คนที่ฆ่าหลานสาวเขา ได้เงินจากทรัพย์สินของเขาไปแม้แต่สตางค์เดียว เพราะฉะนั้นเขายังคงต้องรอ จนกว่าเขาจะสามารถนำร่างหลานสาวจากมหาสมุทรแปซิฟิกกลับมาบ้านได้ 


 


 


ถังเจิ้นหวาเดินเข้าไปในบ้าน ขณะที่ถังจงเรียกแม่บ้านให้ยกอาหารอ่อนๆ ที่เตรียมไว้มา ถังเจิ้นหวามองดูอาหารอ่อนที่ยกมาและขมวดคิ้ว “อาจง ใครจะนึกภาพออกว่า ถังเจิ้นหวาแห่งเอ็มไพร์กรุป จะทานได้แค่อาหารแบบนี้เท่านั้น” 


 


 


ถังจงหยิบช้อนคันหนึ่งขึ้นมาส่งให้ถังเจิ้นหวา โดยไม่สนใจคำพูดของเจ้านาย เขากล่าวอย่างสุภาพว่า “นายท่านครับ ท่านยังมีความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูงอยู่นะครับ อาหารพวกนี้เราปรุงขึ้นตาม… สูตรที่คุณหนูคิดขึ้นมาสำหรับท่านนะครับ ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีเพื่อคุณหนูด้วยนะครับ” 


 


 


“ฉันก็คงเถียงไม่ได้สินะ” ถังเจิ้นหวาตอบอย่างสิ้นหวัง ขณะหยิบช้อนขึ้นมาเริ่มตักข้าวต้มรับประทาน หลังจากทานไปสองคำ ท่านก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารจากจานอื่น แล้วมองหน้าถังจง พร้อมกับกล่าวว่า “นั่งลง แล้วทานเป็นเพื่อนฉัน” 


 


 


“เอ้อ…” ถังจงชะงัก มองหน้าถังเจิ้นหวาด้วยความประหลาดใจ ถังเจิ้นหวาชี้ไปที่เก้าอี้ทางซ้ายท่านแล้วกล่าวซ้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นั่งลง แล้วทานเป็นเพื่อนฉัน” 


 


 


ถังจงลังเล แต่ก็รีบทำตาม เขาบอกให้สาวใช้ที่คอยดูแลอยู่นำตะเกียบกับชามมาให้เขา แล้วนั่งลงทางด้านซ้ายของถังเจิ้นหวา ทานอาหารร่วมกับเจ้านาย 


 


 


นายท่านช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน ในอดีตนั้นถึงแม้คุณหนูจะไม่ได้อยู่บ้าน แต่เธอจะกลับมาทานอาหารค่ำกับนายท่านสัปดาห์ละสองหรือสามวัน ต่อมาเมื่อนายท่านเริ่มสุขภาพไม่ดี และคุณหนูเลิกคบกับคุณเฉียวเหลียง เธอก็มาอยู่ที่บ้านกับนายท่านเกือบทุกวัน หลังจากนั้นเธอก็เริ่มไปทำงานที่บริษัท แต่เธอยังคงกลับมาทานอาหารค่ำกับนายท่านทุกคืน… ตอนนี้นายท่านมีเพียงเขาเท่านั้น ที่จะร่วมทานอาหารด้วย 


 


 


ถังจงเคี้ยวผักช้าๆ พยายามระงับความขมขื่นในใจ เมื่อเห็นถังจงทานแต่กะหล่ำปลีอย่างนั้น ถังเจิ้นหวาก็ขมวดคิ้ว “กะหล่ำปลีนั่นอร่อยมากหรือ เก็บไว้ให้ฉันบ้างสิ!” จากนั้นท่านก็คีบเอากะหล่ำปลีผัดจากตะเกียบของถังจงมาทานเอง 


 


 


ถังจงอึ้ง “…” นายท่าน! แล้วแต่ท่านครับ อะไรก็ได้ที่ท่านจะมีความสุข!  


 


 


เมื่อมีถังจงทานอาหารด้วยในที่สุดถังเจิ้นหวาก็ไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป หลังอาหารเย็นถังจงไปเปิดทีวีที่ห้องนั่งเล่นให้ถังเจิ้นหวา ซึ่งมีนิสัยชอบดูข่าวหลังอาหารค่ำทุกวัน ถังเจิ้นหวาเดินไปนั่งที่โซฟา ขณะถังจงไปยกน้ำผลไม้มาให้ 


 


 


ถังเจิ้นหวาจิบน้ำผลไม้แล้ววางลงบนโต๊ะ ท่านมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่นอันกว้างขวาง แล้วร้องเรียก “ถังจง!” 


 


 


ถังจงกำลังจะไปหยิบยาให้ถังเจิ้นหวาที่ห้องทำงาน รีบกลับออกมาเอ่ยว่า “ครับ นายท่าน” 


 


 


ถังเจิ้นหวาชี้ที่โซฟาถัดจากท่าน “นั่งลง ดูข่าวกับฉัน” ท่านกล่าว 


 


 


ถังจงกะพริบตาปริบๆ กลับไปหยิบยา แล้วขอให้แม่บ้านนำน้ำอุ่นมาให้ถังเจิ้นหวาทานยา ก่อนจะไปนั่งลงบนโซฟาหนังสีดำข้างถังเจิ้นหวา และดูโทรทัศน์กับท่าน 


 


 


ขณะนั่งอยู่ที่โซฟาถังเจิ้นหวามองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่น ถอนหายใจแล้วพึมพำขึ้น “ฉันน่าจะสร้างบ้านหลังเล็กๆ ตอนนี้บ้านดูโล่งเหลือเกิน” 


 


 


จมูกถังจงฟุดฟิดขึ้นมาอีกครั้ง เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว บ้านหลังนี้เก่าแก่มาก นายท่านสร้างขึ้นเมื่อท่านแต่งงานกับภรรยา เฉพาะตัวบ้านอย่างเดียวมีขนาดใหญ่กว่าหนึ่งพันตารางเมตร ในขณะที่ห้องนั่งเล่นมีพื้นที่มากกว่าสามร้อยตารางเมตร นายท่านบอกว่าเมื่อลูกๆ ท่านโตขึ้น ท่านจะได้มีพื้นที่สำหรับจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความบันเทิงต่างๆ ในห้องนั่งเล่นนี้… แต่แล้ว… 


 


 


ถังจงหันหน้าหนีเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาตรงหางตา “นายท่าน” ถังจงเริ่มขึ้นเบาๆ “นายท่านครับ ถังเฟิงบอกผมว่า เขาเจอคุณเฉียวเหลียงแถวทะเลแปซิฟิก ดูเหมือนว่าคุณเฉียวเหลียงจะได้ยินข่าวเรื่องคุณหนู จึงไปตามหาเธอ และ…” 


 


 


“เขาหาเธอไม่พบ ใช่ไหม” ถังเจิ้นหวาขัดจังหวะก่อนที่ถังจงจะพูดจบ “ถ้าเขาพบ” ท่านกล่าวต่อไป “เด็กหนุ่มคนนั้นจะรีบมาที่เมืองหลวง และหักคอทุกคนที่ฆ่าซีซี” 


 


 


“นายท่าน…” ถังจงมองเจ้านายด้วยท่าทางประหลาดใจ 


 


 


ถังเจิ้นหวาโบกมือไปมา “เด็กคนนั้นเป็นคนดี น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ถูกกำหนดให้ได้ร่วมชีวิตกับซีซีของฉัน เธอก็เห็น ทุกคนรู้ว่าเด็กคนนั้นทำอะไรมากมายเพื่อซีซีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ซีซีไม่เคยทำอะไรให้เขาเลย หลานสาวฉันไม่เคยได้รู้เลยแม้กระทั่งตอนเสียชีวิต ว่าผู้ชายที่เธอรัก ก็รักเธอเหมือนกัน เธอไม่เคยรู้เลย” 


 


 


“นั่นเป็นเพราะฉิน…” 


 


 


ถังเจิ้นหวาถอนหายใจ “ถ้าหากพวกเขาถูกกำหนดให้ร่วมชีวิตกัน ไม่ว่าจะมีใครสักกี่คนพยายามทำลายความรักของพวกเขา ทั้งสองก็จะไว้วางใจ เชื่อใจซึ่งกันและกัน และพยายามฝ่าฟันเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน โดยไม่คำนึงถึงอุปสรรคใดๆ”  

 

 


ตอนที่ 184 ความฝัน

 

ถังเจิ้นหวาชอบชายหนุ่มคนนั้น แม้ภูมิหลังของเขาจะไม่ยิ่งใหญ่พอ แต่ท่านชื่นชมความสามารถของเขาอย่างแท้จริง ท่านจึงไม่ต่อต้านเมื่อซีซีคบเขา ชายหนุ่มผู้โดดเด่นอย่างเฉียวเหลียงคู่ควรกับหลานสาวผู้เลอเลิศของท่าน ทั้งคู่คบกันอยู่หลายปี ท่านเองยังวางแผนที่จะไปพบพ่อแม่เฉียวเหลียง และจัดเตรียมพิธีหมั้นที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กทั้งคู่ อย่างไรก็ตามจู่ๆ ท่านก็ได้ทราบว่าทั้งสองเลิกคบกัน 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเรื่องน่าโมโหที่เฉียวเหลียงเป็นฝ่ายขอเลิกหลานสาวท่าน! เขากล้าดียังไงถึงได้ทิ้งหลานสาวผู้เพียบพร้อมของท่าน! ท่านต้องทำให้ชายหนุ่มคนนี้รู้ถึงผลที่จะตามมา จากการที่เขาทำให้ท่านโกรธ! อย่างไรก็ตามเมื่อท่านได้ทราบถึงเหตุผลที่แท้จริง เบื้องหลังของการที่เฉียวเหลียงขอเลิกกับหลานสาวท่าน ท่านก็รู้สึกประทับใจมาก ชายหนุ่มรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง และยิ่งไปกว่านั้น มีเรื่องร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวเขา ซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาขอเลิกกับซีซี เพื่อไม่ให้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดนั้นเชื่อมโยงมาถึงเธอ 


 


 


ชายหนุ่มที่ดีเช่นนี้หายากมากในสังคมทุกปัจจุบัน ท่านจึงไม่ใจแคบพอที่จะลงโทษชายหนุ่มคนนั้น 


 


 


นี่ก็ผ่านมาหลายปีมากแล้ว และทั้งสอง… 


 


 


ทันใดนั้นถังเจิ้นหวาก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา และเอ่ยเสียงแหบพร่า “ในความเป็นจริง ฉันเองเป็นคนฆ่าซีซี ถ้าฉันไม่รับคนตระกูลถังเข้ามาทำงานในเอ็มไพร์กรุป… ถ้าฉันบอกซีซีว่าเฉียวเหลียงรักเธออย่างแท้จริง เธอก็จะไม่ออกเดินทางท่องเที่ยวทุกๆ ปีเพื่อให้คลายความเจ็บปวด คนพวกนั้นก็จะไม่มีโอกาสฆ่าเธอ” 


 


 


“นายท่าน โทษตัวเองอย่างนั้นได้อย่างไรครับ” ถังจงมองหน้าถังเจิ้นหวา “เท่าที่ผมรู้จักคุณหนูมา ถึงแม้ท่านจะบอกเธอในเวลานั้น คนรักศักดิ์ศรีอย่างคุณหนูก็จะไม่ยอมให้อภัยคุณเฉียวเหลียงอยู่ดี” 


 


 


ถังเจิ้นหวาถอนหายใจ หันไปดูข่าวโทรทัศน์และไม่พูดอะไรอีก ถังจงดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วก้มลงตรวจอุณหภูมิน้ำในแก้วที่สาวใช้ยกมา หลังจากนั้นประมาณสิบนาทีถังจงก็หยิบยาออกมาส่งให้ถังเจิ้นหวา พร้อมกับกล่าวว่า “นายท่านครับ ได้เวลาทานยาแล้วครับ” 


 


 


ถังเจิ้นหวามองถังจง เม้มริมฝีปากแล้วถามว่า “ฉันไม่ทานยานี้ได้ไหม” 


 


 


ถังจงไม่ยอมสบสายตาและตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นายท่าน สุขภาพของท่านเป็นสิ่งสำคัญนะครับ” 


 


 


ถังเจิ้นหวารู้สึกโกรธ “ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากนี้แล้วใช่ไหม!” 


 


 


… 


 


 


ในตอนเย็นถังซีขอให้หยางจิ้งเสียนกลับไปหลังทานอาหารเย็น เพราะมารดาอยู่ก็ช่วยเหลือเธอได้เพียงเล็กน้อย เธอต้องการใครสักคนที่จะอุ้มเธอไปห้องน้ำ แต่หยางจิ้งเสียนไม่สามารถทำได้ เธอจึงขอให้มารดากลับบ้าน 


 


 


หยางจิ้งเสียนเป็นห่วงเธอ บอกให้เธอโทรเรียกพี่ๆ มาอยู่เฝ้าเธอที่นี่ แต่ถังซีปฏิเสธ จากที่เธอรู้จักเฉียวเหลียง เธอรู้ว่าเขาจะมาดูแลเธอในตอนค่ำ ถ้าเขามาถึงและเจอเซียวส่ากับเซียวจิ่งที่นี่ พี่ๆ ที่น่าสงสารของเธออาจถูกเขาแกล้งอีก หยางจิ้งเสียนเป็นห่วงเธอมากจนยืนกรานว่าจะอยู่ ถังซีต้องพยายามโน้มน้าวอย่างหนักที่สุดที่จะให้มารดากลับไป 


 


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากหยางจิ้งเสียนกลับไปแล้ว ถังซีรออยู่พักใหญ่เฉียวเหลียงก็ยังไม่มาสักที จนกระทั่งเธอเผลอหลับไปโดยไม่ได้ตั้งใจ 


 


 


ในความฝัน เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เธอเห็นทุ่งหญ้าซึ่งมีคนสามคนนั่งสนทนากันอยู่บนผืนหญ้า และดูมีความสุขมาก ทั้งสามยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว เธอเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยความอยากรู้ ทันใดนั้นทั้งสามก็หันมามองและเรียกชื่อเธอ เธอเห็นชัดว่าทั้งสามคนเป็นใคร ถังซีตกตะลึงตัวแข็งทื่อ พวกเขาคือหลินหรูกับคุณพ่อคุณแม่ของเธอใช่ไหม ทำไมพวกเขาถึงมานั่งอยู่ที่นี่ 


 


 


ทั้งสามมองมาที่เธอ และโบกมือให้พร้อมกับพูดว่า “ซีซี มานี่สิ มานี่เร็ว” 


 


 


ถังซีก้าวไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นชายชราผมขาวยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาเขาเต็มไปด้วยน้ำตา เขาดูโศกเศร้าและสิ้นหวัง ถังซีจำได้ทันทีว่าชายชราผู้นี้คือคุณปู่ของเธอ เธอหยุดนิ่ง น้ำตาไหลพราก เธอเช็ดน้ำตาก่อนจะวิ่งไปกอดถังเจิ้นหวา พร้อมกับร้องไห้ออกมาดังๆ “คุณปู่!” 


 


 


เมื่อเห็นว่าเป็นเธอ ถังเจิ้นหวาก็ยิ้ม “ซีซี หนูออกมาเล่นนอกบ้านนานแล้วนะ ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ปู่คิดถึงหนูจริงๆ” 


 


 


ถังซีพยักหน้าอย่างหนักแน่น กล่าวกับถังเจิ้นหวาว่า “คุณปู่ดูสิคะ นั่นคุณพ่อ…” เธอชี้ไปที่คนสามคนนั้น แต่ทว่าในวินาทีต่อมาเธอก็ต้องตกตะลึง คนสามคนที่นั่งอยู่บนทุ่งหญ้าหายไปแล้ว 


 


 


เมื่อเธอหันกลับมา ถังเจิ้นหวาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอก็หายไปเช่นกัน ถังซีวิ่งเร็วสุดฝีเท้าบนทุ่งหญ้า และร้องเรียกพวกเขา เธอร้องเรียกคุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ แต่ไม่มีใครตอบเธอเลย เธอร้องไห้อย่างหนักที่สุดในชีวิต แต่ไม่มีใครปรากฏตัวอีกเลย ไม่มีใครมาปลอบเธอ… 


 


 


เมื่อเฉียวเหลียงเดินเข้ามาในห้องพักคนไข้ เขาเห็นถังซีซึ่งหลับอยู่กำลังร้องไห้ และร้องเรียก ‘คุณปู่’ ‘คุณพ่อ’ ‘คุณแม่’ เธอส่ายศีรษะพร้อมกับร้องออกมาว่า ‘อย่าทิ้งหนูไป’ เธอดูโดดเดี่ยว และสิ้นหวัง… 


 


 


เฉียวเหลียงเดินเข้าไปนอนลงข้างๆ เธอ เช็ดน้ำตาให้เธอ โอบกอดเธออย่างอ่อนโยน และปลอบเธอเบาๆ “อย่าร้องไห้เลยนะ ที่รักของผม ผมอยู่กับคุณตรงนี้แล้ว อย่าร้องไห้ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ ได้โปรดอย่าร้องไห้ ไม่อย่างนั้นผมจะเศร้า…” 


 


 


เขาปลอบเธอเสียงนุ่มอย่างอ่อนโยน จนกระทั่งถังซีลืมตามองเขา เขาตบไหล่เธอเบาๆ ก้มลงมองถังซีที่เพิ่งตื่นขึ้นมา น้ำตายังเปียกชุ่มขนตา เธอดูบอบบางและน่าสงสาร เขาก้มศีรษะลงจูบเธอที่หน้าผากและกระซิบ “คุณฝันถึงคุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่หรือ” 


 


 


ถังซีอยากเข้าไปซุกอกเฉียวเหลียง แต่แล้วก็พบว่าเธอขยับเอวไม่ได้จึงเลิกพยายาม เธอเงยหน้าขึ้นมองเฉียวเหลียงและพยักหน้า “ฉันไม่เคยฝันถึงพวกท่านมาก่อนเลย แต่คืนนี้ฉันฝันว่าคุณพ่อคุณแม่นั่งอยู่ด้วยกันกับแม่ของเซียวโหรว พูดคุยกันอย่างมีความสุข แล้วฉันก็เห็นคุณปู่ ท่านเศร้ามาก ท่านบอกว่าฉันออกมาเล่นข้างนอกนานแล้ว ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับบ้านแล้ว ท่านคิดถึงฉันจริงๆ …” 


 


 


เฉียวเหลียงมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง โน้มลงจูบถังซีบนหน้าผาก “คุณจะได้กลับไป” เขาพึมพำ 


 


 


ถังซียิ้มอย่างขมขื่น “น่าเสียดาย ถึงฉันจะสามารถกลับไปเมืองหลวง เข้าไปในเอ็มไพร์กรุป ได้พบคุณปู่ แต่ฉันไม่ได้เป็นหลานสาวของท่านอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่ได้เป็นถังซีอีกต่อไป ฉันไม่สามารถกลับไปเป็นถังซีได้อีกแล้ว ฉันไม่สามารถเยียวยารักษาคุณปู่” 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงโทรศัพท์ที่เขาได้รับที่ประตูโรงพยาบาล แล้วก้มลงมองถังซี 


 


 


“ซีซี คุณปู่ของคุณดูเหมือนจะรู้เรื่องการเสียชีวิตของคุณแล้วนะ แต่ท่านแกล้งทำเหมือนว่าท่านไม่รู้ บางทีท่านอาจจะ…”  

 

 


ตอนที่ 185 คุยกับคุณปู่ทางโทรศัพท์

 

ทันใดนั้นสมองถังซีก็อื้ออึงและเธอไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไป คุณปู่รู้แล้วหรือว่าเธอประสบอุบัติเหตุ ท่านยอมรับได้ไหม ท่านสุขภาพไม่ดีมานานหลายปี จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอาการท่านทรุดลงกะทันหัน 


 


 


ถังซีพรวดพราดจะลุกขึ้น เธออยากกลับบ้านไปหาคุณปู่! โชคดีที่เฉียวเหลียงคอยสังเกตปฏิกิริยาเธออยู่ เขารั้งเธอให้นอนลงห้ามไม่ให้เคลื่อนไหว เมื่อเห็นว่าถังซีไม่สนใจสุขภาพตัวเองเลย เฉียวเหลียงก็ขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “คุณจะทำอะไร คุณจะล้มลงแล้วบาดเจ็บอีกถ้าลุกออกจากเตียง แค่จะเดินไปให้ถึงประตูห้องคุณยังทำไม่ได้เลย คุณจะไปหาคุณปู่ได้ยังไง” 


 


 


ดวงตาถังซีเริ่มแดง เธอมองหน้าเฉียวเหลียงและกล่าวด้วยเสียงแหบห้าว “คุณปู่มีแต่ฉันแค่คนเดียว ท่านมีแค่ฉันกับรูปถ่ายคุณย่าและคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นที่เป็นเพื่อน ในอนาคตท่านก็จะได้แต่ดูรูปฉันด้วยใช่ไหม” 


 


 


หัวใจเฉียวเหลียงเจ็บแปลบเมื่อได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของเธอ เขาโน้มตัวลงไปหาถังซี จูบหน้าผากและแก้มเธอซ้ำไปซ้ำมา “ไม่ ผมจะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้น ผมจะช่วยให้คุณได้กลับไปอยู่กับคุณปู่ คุณจะได้กลับไปหาท่าน” 


 


 


“แต่ฉันไม่รู้จะกลับไปได้ยังไง” ถังซีกล่าว หันไปหาเฉียวเหลียงแล้วเอนศีรษะซบคอเขา น้ำตาเธอเปียกโชกปกเสื้อเขา “ฉันเติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูจากคุณปู่ ฉันยอมทุกอย่าง แต่จะไม่ยอมเห็นคุณปู่เศร้า” 


 


 


“ผมจะโทรหาคุณปู่ของคุณดีไหม” เฉียวเหลียงมองหน้าถังซีและกระซิบเบาๆ “ถึงคุณจะไม่สามารถไปหาคุณปู่ได้ แต่ผมไปหาท่าน ไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแทนคุณได้ คุณไม่สามารถไปดูแลท่าน เพราะฉะนั้นผมจะไปทำหน้าที่หลานชาย ดูแลท่านแทนคุณ ดีไหม” 


 


 


คำพูดของเขาสร้างความซาบซึ้งแก่ส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดในหัวใจถังซี เธอหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำตาที่ไหลรินตรงหางตา แล้วกล่าวกับเฉียวเหลียง “คุณปู่เกลียดคุณ ท่านเกลียดคุณมาก หลังจากท่านรู้ว่าคุณขอเลิกกับฉัน คุณไม่รู้หรือ” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้วมองถังซีด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปาก เขาหยิบโทรศัพท์แล้วสั่นไปมา “ลองดูนะ ตกลงไหม” เขาเสนอ 


 


 


ถังซีเองก็อยากได้ยินเสียงคุณปู่ เธอจึงเม้มริมฝีปากและพยักหน้า ท่ามกลางความประหลาดใจของเธอ เฉียวเหลียงบันทึกหมายเลขโทรศัพท์คุณปู่เธอไว้ด้วย เฉียวเหลียงมองหน้าเธอ ก้มศีรษะลงจูบเธอที่หน้าผาก จากนั้นก็โทรหาถังเจิ้นหวา ไม่นานก็มีคนรับสาย ถังซีบอกได้ว่านั่นเป็นเสียงถังจง น้ำเสียงถังจงฟังดูสุภาพมาก “คุณเฉียวเหลียง ขอโทษนะครับ ผมต้องถามว่าทำไมคุณถึงโทรหานายท่านดึกขนาดนี้” 


 


 


เฉียวเหลียงก้มมองถังซีและตอบว่า “ผมมีเรื่องจะเรียนคุณปู่ถัง” 


 


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงถังจงตอบกลับมา “ขอโทษนะครับ ตอนนี้คุณท่านเข้านอนแล้ว ดังนั้น…” 


 


 


ก่อนที่ถังจงจะพูดจบ เฉียวเหลียงก็กล่าวต่อไปก่อน “ผมรู้ว่าท่านไม่อยากเห็นหน้าผมในเวลานี้ ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมเองก็ไม่ต้องการยอมรับความจริงที่ว่าซีซีตายไปแล้ว แต่ผมมี…” เฉียวเหลียงรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขณะพูดเช่นนั้น เขามองหน้าถังซี แล้วความเจ็บปวดในใจก็คลายลงเล็กน้อย เขากล่าวเสียงต่ำว่า “ผมไปพักอยู่กลางทะเลแปซิฟิกเดือนหนึ่ง แต่พบเพียงนิ้วมือของเธอ…” 


 


 


ทางด้านถังเจิ้นหัว ท่านนั่งอยู่กับถังจง กดปุ่มเปิดเสียง และฟังการสนทนาอย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินอย่างนั้นท่านก็คว้าโทรศัพท์มาทันทีและถามอย่างจริงจัง “เธอบอกว่าเธอพบอะไรนะ” 


 


 


เมื่อถังซีได้ยินเสียงคุณปู่ เธอรีบยกมือขึ้นปิดปากไว้แน่น ไม่ให้ตัวเองส่งเสียงดัง เฉียวเหลียงลุกขึ้นยืนจับมือถังซีไว้ “สวัสดีครับ คุณปู่ถัง ผมเฉียวเหลียงครับ” เฉียวเหลียงกล่าวด้วยความเคารพ 


 


 


ถังเจิ้นหวาตอบอย่างกระวนกระวาย “ฉันรู้แล้วว่าเธอคือเฉียวเหลียง ฉันถามว่าเธอพบอะไร” 


 


 


เฉียวเหลียงเม้มริมฝีปาก “นิ้วมือครับ ผมใช้เวลาหนึ่งเดือนอยู่กลางทะเลแปซิฟิก แต่พบเพียงนิ้วมือของเธอ และผมนำกลับมาด้วย” 


 


 


มือถังเจิ้นหวาสั่นระริก โทรศัพท์เกือบหลุดจากมือ ถังจงก้าวเข้ามาถือโทรศัพท์ให้ แต่ถังเจิ้นหวาไม่ยอมให้เขาถือ และถามเสียงเยือกเย็น “ซีซีของฉันจะไม่กลับมาแล้ว ใช่ไหม” 


 


 


เฉียวเหลียงเงียบลง หากท่านยอมรับได้ว่า วิญญาณหลานสาวท่านมาเกิดใหม่ในร่างของใครอีกคนหนึ่ง หลานสาวท่านอาจกลับมา แต่… เฉียวเหลียงรู้ว่าชายชราจะยอมรับไม่ได้ 


 


 


หากไม่ได้มีสถานการณ์ที่สอดคล้องกันหลายอย่าง ความคล้ายคลึงกันระหว่างถังซีกับเซียวโหรว และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาที่ลองบีช เขาจะไม่เชื่อเลยว่าถังซียังคงมีชีวิตอยู่ในร่างของผู้หญิงอีกคน ดังนั้นเขาจึงยังไม่บอกถังเจิ้นหวาว่าถังซียังมีชีวิตอยู่และจะกลับมา 


 


 


เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเฉียวเหลียง หลังจากเงียบไปนาน ถังเจิ้นหวาก็กล่าวขึ้น “เธอช่วยพาซีซีกลับบ้านได้ไหม ซีซีต้องคิดถึงบ้านแน่ๆ” 


 


 


เสียงท่านอ่อนระโหยและแผ่วเบา เวลานี้ท่านดูไม่เหมือนท่านประธานเอ็มไพร์กรุปเลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนคุณปู่ที่น่าสงสาร ปรารถนาเพียงให้หลานสาวกลับบ้าน 


 


 


เฉียวเหลียงมองถังซีที่อยู่ข้างๆ ถังซีมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน กระซิบว่า “ตอนนี้คุณมีฉันอยู่ด้วย แต่คุณปู่มีได้เพียงนิ้วมือนั้นเท่านั้น” 


 


 


“ตกลงครับ พรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยมคุณปู่ที่อุทยานเอ็มไพร์ พร้อมกับนิ้วมือนั้น คุณปู่รอผมที่นั่นนะครับ” เฉียวเหลียงหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อไป “ส่วนถังเฟิง ที่คุณปู่ส่งไปทำงานที่ทะเลแปซิฟิก ผมคิดว่าคุณปู่ให้เขากลับมาได้แล้วล่ะครับ เขาอยู่ที่นั่นมานานกว่าเดือนหนึ่งแล้ว ถึงเวลาที่เขาควรจะกลับมาแล้วครับ คนพวกนั้นจะได้ไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาสร้างปัญหาอะไรได้อีก โปรดเชื่อผมเถอะนะครับ คุณปู่ถัง” 


 


 


ทางปลายสายอีกด้านหนึ่งเงียบไปนานอีกครั้ง แล้วตามมาด้วยเสียงชายชรา “เฉียวเหลียง ฉันจะรอเธออยู่ที่อุทยานเอ็มไพร์พรุ่งนี้ โปรดช่วยพาหลานสาวฉันกลับบ้านด้วย” 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว ตอบอย่างหนักแน่น “ตกลงครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงวางสายโทรศัพท์ มองหน้าถังซี แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ผมจะไปพบคุณปู่ที่บ้านคุณพรุ่งนี้ ผมจะขอให้หมอมาตรวจร่างกายท่าน ก่อนที่ผมจะกลับมา ดีไหม” 


 


 


“ขอบคุณนะ อาเหลียง” ถังซีกล่าวด้วยความขอบคุณ โอบแขนไปรอบกายเฉียวเหลียง “ขอบคุณที่จำฉันได้ตั้งแต่แรกเห็น ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำเพื่อฉัน ขอบคุณที่ฟังและปลอบโยนฉัน ขอบคุณที่ช่วยฉันดูแลคุณปู่ และขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” 


 


 


เฉียวเหลียงมองหน้าเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง จากนั้นก็ก้มลงจูบหน้าผากถังซี “ผมขอโทษ คุณขอบคุณผมมากมาย แต่ผมยังไม่สามารถทำให้คุณกลับไปหาคุณปู่ของคุณ และได้เรียกท่านว่าคุณปู่ ให้อภัยผมด้วยที่ไร้ความสามารถ” 


 


 


ถังซีเงยหน้าขึ้น จูบริมฝีปากเฉียวเหลียง “คนโง่ คุณมีความสามารถมากพอแล้ว ฉันรู้ว่าคุณทำอะไรให้ฉันมามากมาย ขอบคุณนะคะ” 


 


 


เฉียวเหลียงเอื้อมมือไปลูบศีรษะเธอ นอนตะแคงลงข้างๆ แล้วจูบหน้าผากเธอ “นอน” เขาบอก 


 


 


ถังซีกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “แต่… ฉันอยากไปห้องน้ำ”  

 

 


ตอนที่ 186 ทำราวกับเขาเป็นดารา

 

เมื่อถังซีตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้นเฉียวเหลียงยังอยู่ที่โรงพยาบาล เธอหาวอย่างงัวเงีย ยิ้มให้เขา แล้วขยี้ตาถามว่า “คุณยังอยู่ที่นี่เหรอ” 


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงจากลำคอเบาๆ และจูบทักทายตอนเช้าแก่เธอเป็นคำตอบ ก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำยกอ่างน้ำมาให้เธอล้างหน้า เขากล่าวว่า “ผมจะไปเมืองหลวงวันนี้ หลังจากนั้นจะไปยุโรปเหนือ อาจต้องใช้เวลาหลายวัน คุณอยู่ในโรงพยาบาลและอย่าทำให้ตัวเองบาดเจ็บอีก เข้าใจไหม” เขาจู้จี้ราวกับเป็นพ่อถังซี 


 


 


ถังซีพยักหน้าแล้วมองเขา “คุณไปยุโรปเหนือทำไมคะ ไปสำรวจตลาดหรือ ฉันจำได้ว่าเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปไม่มีธุรกิจที่ยุโรปเหนือนี่นา” เมื่อครั้งที่คุณปู่ขอให้เธอเข้ามาจัดการบริษัท เธอได้ใช้อำนาจในตำแหน่งของเธอตรวจสอบภูมิภาคที่เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปมีธุรกิจอยู่ ถ้าเฉียวเหลียงไปปรากฏตัวในภูมิภาคใด เธอจะไม่ไปที่นั่น 


 


 


เอ็มไพร์กรุปมีสาขาในยุโรปเหนือ แต่เธอจำได้ว่าเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปไม่มี 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อถังซีถามคำถามนี้ จากนั้นเขาก็ตอบเสียงต่ำว่า “เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผมจะเล่าให้ฟังหลังจากกลับมา ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักกับเพื่อนผมสองคน” 


 


 


ถังซีเลิกคิ้ว เพื่อนเฉียวเหลียงหรือ เขามีเพื่อนเป็นคนอื่นนอกเหนือจากเด็กคาบช้อนเงินช้อนทองในเมือง A ที่เติบโตขึ้นมากับเขาด้วยหรือ 


 


 


“เพื่อนอะไร” ถังซีอยากรู้อยากเห็นอย่างมากขึ้นมาทันที เพื่อนเฉียวเหลียงอย่างนั้นหรือ เขาหมายถึงเพื่อนประเภทเพื่อนกินหรือเปล่า 


 


 


เฉียวเหลียงบิดผ้าเช็ดตัว เช็ดหน้าให้ถังซี และตอบว่า “เพื่อนตาย ผมถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุห้าขวบ จะกลับบ้านเฉพาะตอนปิดภาคเรียนประมาณสิบวัน ในฤดูร้อนและฤดูหนาวของทุกปี ผมกลับมาเรียนมัธยมที่เมืองจีนตอนอายุสิบห้าหรือสิบห้ากว่าๆ นี่แหละ” เมื่อจบคำพูดเฉียวเหลียงก็มองตาถังซีอย่างลึกซึ้ง กล่าวติดตลกว่า “เพราะฉะนั้นคุณควรขอบคุณพระเจ้าที่ผมได้ลับมา ไม่อย่างนั้นคุณจะได้พบคนที่เอาอกเอาใจคุณทุกอย่างอย่างผมได้ยังไง” 


 


 


“โอเค โอเค” ถังซีตอบเฉียวเหลียงด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ไปเยี่ยมคุณปู่ให้ฉันก็แล้วกัน แล้วตอนไปเยี่ยมท่าน ช่วยหาทางตรวจร่างกายให้ท่านอย่างละเอียดด้วยได้ไหมคะ ฉันเป็นห่วงท่าน” 


 


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้เฉียวเหลียงก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นทันที “คุณก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ผมไม่อยากได้ยินว่าคุณเจ็บป่วยอีกแล้ว ตกลงไหม” 


 


 


ถังซีพยักหน้า เฉียวเหลียงจัดห้องพักคนไข้ของเธอให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะโทรหาอาห้า และออกจากห้องไป 


 


 


… 


 


 


ทางด้านฉินซินหยิ่ง เธอกำลังหลับอยู่เมื่อถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ เธอลุกขึ้นนั่งทันที อาจเป็นเพราะฝันร้ายหรือสภาพอากาศที่ร้อนเกินไป หน้าผากเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอลูบหน้าอก พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ขณะเดินไปดื่มน้ำในห้องครัว 


 


 


“หาเจอหรือยัง” ฉินซินหยิ่งหนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างบ่ากับแก้ม พร้อมกับรินน้ำให้ตัวเอง ทางปลายสายอีกด้านหนึ่งพูดอะไรมาบางอย่าง เธอหยิบโทรศัพท์มาถือไว้ในมือข้างหนึ่ง และดื่มน้ำด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ใบหน้าเธอสลดลง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็คำรามและเย้ยหยัน “เอาเถอะ ช่างมัน ฉันไม่อยากเสียเวลากับพวกเศษเดนที่ออกมาจากคุก หล่อนทำอะไรไม่เป็นหรอก!” 


 


 


เธอวางสายโทรศัพท์ดูท่าทางจะโกรธ เธอไม่คาดคิดว่าเซียวโหรวจะมีพิษสงมากเหลือเกินอย่างนี้ ถึงขนาดดึงเฉียวเหลียงออกจากจุดยืนของเขาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และทำให้นักแสดงสาวตัวเล็กๆ เข้าไปอยู่ในคุกได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าเธอจะต้องระมัดระวังในการรับมือกับเซียวโหรวคนนี้ให้ดีต่อไปในอนาคต 


 


 


ขณะคิด ประกายความชั่วร้ายก็วาววับในดวงตาฉินซินหยิ่ง เซียวโหรว… ฉันต้องทำให้แกรู้ให้ได้ว่าแกต้องเจอกับความทุกข์ทรมานขนาดไหน หากพยายามแย่งเฉียวเหลียงไปจากฉัน ฉันจะทำให้แกจดจำบทเรียนนี้ไปตลอดชีวิต!  


 


 


… 


 


 


ถังซีซึ่งยังคงนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล จามและขยี้จมูกไปมา แล้วบ่นกับหยางจิ้งเสียนที่กำลังปอกแอปเปิลให้เธอ “คุณแม่คะ ต้องมีใครบางคนพูดอะไรไม่ดีถึงหนูลับหลังแน่ๆ เลยค่ะ!” 


 


 


หยางจิ้งเสียนเงยหน้ามองถังซีซึ่งทำหน้ามุ่ยแล้วยิ้ม ส่งแอปเปิลให้เธอ “ใครจะมาพูดไม่ดีถึงลูกล่ะจ๊ะ ลูกต้องเป็นหวัด เพราะเตะผ้าห่มออกจากตัวแน่ๆ เมื่อคืนนี้” 


 


 


ถังซีเม้มริมฝีปากและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วคุณแม่โทรหาคุณครูเหอหรือยังคะ เขาว่ายังไงบ้าง” 


 


 


ท่าทีของหยางจิ้งเสียนเปลี่ยนไป เธอถอนหายใจบอกว่า “คุณครูเหอกับครูประจำชั้นของลูกจะมาเยี่ยมลูกบ่ายวันนี้ เตรียมตัวให้พร้อมนะจ๊ะ” 


 


 


ถังซีอึ้ง “…” ทำไมเธอถึงต้องเผชิญหน้ากับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไม่หยุดหย่อน หลังจากกลายมาเป็นเซียวโหรว ทำไมคุณครูหัวหน้าระดับชั้นและครูประจำชั้นต้องมาเยี่ยมเธอ พระเจ้า เธอเกลียดการรับมือกับเรื่องพวกพวกนี้… 


 


 


… 


 


 


เฉียวเหลียงมาถึงสนามบินนานาชาติของเมืองหลวงพร้อมกับอาห้า ซึ่งที่นี่มีกลุ่มคนมารอรับพวกเขาอยู่ข้างนอกแล้ว เนื่องจากเฉียวเหลียงเป็นคนที่แต่งตัวดี ดูหล่อมาก มีเสน่ห์น่าหลงใหลมากกว่าดาราหนุ่มที่โด่งดังที่สุดในปัจจุบันเสียอีก การปรากฏตัวของเขาจึงก่อให้เกิดความวุ่นวายภายในสนามบิน แฟนคลับของคนดังบางคน ที่กำลังรอถ่ายรูปคนที่พวกเขาชื่นชอบอยู่ในสนามบิน เริ่มถ่ายภาพเฉียวเหลียงด้วยโทรศัพท์มือถือ 


 


 


เฉียวเหลียงหน้าบึ้งและส่งสายตาเย็นเยือกไปที่แฟนคลับเหล่านั้น ก่อนจะหันไปมองอาห้า ซึ่งแกล้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น “นายน้อยครับ” เขาเริ่ม “เราไม่สามารถจองเส้นทางการบิน เนื่องจากการควบคุมการจราจรทางอากาศ เที่ยวนี้เราจึงต้องขึ้นเครื่องบินโดยสารครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา และอาห้ายกแขนขึ้นยอมแพ้ในทันที “ผมผิดครับ ผมผิด ผมจะบอกให้พวกเขาลบภาพออกเดี๋ยวนี้ครับ” 


 


 


ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาห้อมล้อมเฉียวเหลียงไว้ตรงกลาง แล้วพาเขาออกจากสนามบิน ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งตามอาห้าไปกันแฟนคลับไว้ และขอให้พวกเขาลบรูป 


 


 


เมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ บรรดาแฟนคลับก็หวาดกลัวเล็กน้อย แต่ยังไงก็ไม่ยอมลบรูปถ่าย “เราถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือของเราเอง ทำไมเราต้องลบด้วย” 


 


 


“ใช่ เขาอาจจะหล่อ แล้วไงล่ะ เขาคิดว่าเขาเป็นดาราใหญ่จริงๆ เหรอ!” แฟนคลับคนหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้ แล้วจ้องมองอาห้าอย่างท้าทาย “ฉันไม่อยากลบ คุณจะทำร้ายฉันเหรอ” 


 


 


อาห้ารู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก จากการกระทำของแฟนคลับที่ไร้เหตุผลเหล่านี้ เขาขมวดคิ้วและตอบว่า “ไม่มีปัญหาอะไรที่คุณจะรอไอดอลของคุณที่นี่แล้วถ่ายรูปเขา แต่คุณไม่สามารถถ่ายรูปผู้ชายคนนั้นได้ ลบเดี๋ยวนี้!” 


 


 


“ทำไมฉันต้องลบ ผิดกฎหมายด้วยหรือที่ฉันจะถ่ายรูปเขา” แฟนคลับคนหนึ่งเอ่ยขึ้น และแฟนคลับคนอื่นๆ ก็บอกว่า “ใช่ ใช่ พวกเราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย!” 


 


 


“พวกคุณทำผิดกฎหมาย!” อาห้าหรี่ตามองดูนาฬิกาข้อมือ และขมวดคิ้วอีก ถ้าเขาไม่แก้ปัญหานี้ให้ได้ภายในห้านาที นายน้อยจะต้องโกรธ! 


 


 


แม้ว่ารูปถ่ายของนายน้อยจะปรากฏในสื่อทางการเงินต่างๆ ในช่วงสองปีแรก แต่ข้อมูลเกี่ยวกับเขาในสื่อเหล่านี้ก็ถูกเขาลบออกหมดแล้ว ตอนนี้แม้แต่หนังสือพิมพ์ชั้นนำก็ไม่สามารถหารูปภาพเขาได้! คนพวกนี้กล้าถ่ายรูปเขาอย่างโจ่งแจ้งได้อย่างไร!  

 

 


ตอนที่ 187 คุณเฉียว คุณกำลังจะทำอะไร

 

“ไม่ เราจะไม่ลบรูปภาพของเขา!” แฟนๆ ต่างคิดว่าทำไมพวกเขาจึงต้องลบรูปถ่ายในโทรศัพท์ด้วย โทรศัพท์ไม่ได้เป็นของคนกลุ่มนี้ แต่เป็นของพวกเขา! 


 


 


เมื่อคำนวณเวลาดูแล้วอาห้าก็คำราม และถามออกมาทันที “พวกคุณแน่ใจหรือ” เขาหล่อและดูดีมาก แฟนคลับจึงไม่กลัวเขาเลย แต่เมื่อจู่ๆ เขาทำหน้าบึ้งขึ้นมา เขาก็ดูค่อนข้างน่ากลัว 


 


 


“คุณต้องการอะไร” แฟนๆ ถอยหลังหนึ่งก้าว 


 


 


อาห้าหรี่ดวงตาลง มองดูที่สัญลักษณ์ในมือพวกเขาและขมวดคิ้ว “ลู่ถงหรือ เขาเป็นไอดอลของพวกคุณใช่ไหม” 


 


 


ประกายวาววับส่องไปทั่วดวงตาบรรดาแฟนคลับ ทันใดนั้นอาห้าก็ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “ถ้าพวกคุณชอบรูปถ่ายนายน้อยของเรามาก ก็ให้เขาเป็นไอดอลของพวกคุณต่อจากนี้ไป และเราจะแบนลู่ถง ไม่ให้มีใครกล้าจ้างเขา เขาจะไม่มีโอกาสปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องไหนเลย ไม่มีละครทีวี ไม่มีผลงานแสดง หรืองานโฆษณา พวกคุณเชื่อไหมล่ะ” 


 


 


“คุณคิดว่าคุณทำได้หรือ” เมื่อแฟนๆ ได้ยินว่าอาห้ากล้าโจมตีไอดอลของพวกเขา ทุกคนก็โกรธขึ้นมาทันที และกรูกันเข้ามาล้อมเขาไว้ราวกับเม่น 


 


 


อาห้ายกมือขึ้น แฟนคลับคิดว่าอาห้าจะตีพวกเขา ทุกคนจึงถอยกลับไปหนึ่งก้าว และจ้องมองเขาอย่างระมัดระวัง อาห้าพอใจกับปฏิกิริยาของพวกเขา เขาก้มดูนาฬิกาข้อมือ และกล่าวขึ้นอย่างโหดเ**้ยม “ผมจะให้เวลาพวกคุณสิบวินาที เลือกเอา” 


 


 


ในบรรดาแฟนคลับเหล่านี้มีเด็กสาวจากครอบครัวร่ำรวยด้วย พวกเธอมองออกอย่างรวดเร็วว่าอาห้า สวมนาฬิกาวาเชอรอง คอนสแตนตินรุ่นผลิตจำกัด เด็กสาวคนหนึ่งใช้ศอกสะกิดแฟนคลับคนอื่นๆ และเอ่ยขึ้นเบาๆ “ก็แค่ลบรูปภาพพวกนั้น เรามีลู่ถงก็พอแล้ว แค่รูปถ่ายของคนที่เดินผ่านมา ไม่มีประโยชน์อะไรกับเราหรอก และเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร อย่าไปยุ่งกับผู้ชายคนนี้เลย” 


 


 


เด็กสาวที่อยู่ข้างหน้าเธอหันกลับไปมองแล้วถามว่า “ทำไมล่ะ” 


 


 


“เขาเป็นแค่ผู้ติดตาม แต่ใส่นาฬิการาคามากกว่าสิบล้านหยวน เธอก็ลองจินตนาการดูสิว่า ผู้ชายคนนั้นจะยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากแค่ไหน!” 


 


 


อาห้าเก่งกาจด้านศิลปะการต่อสู้ เขาจึงมีหูที่ว่องไว เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเธอ เขาก็พอใจมาก 


 


 


ทุกครั้งที่นึกถึงนาฬิกาของเขาเรือนนี้ เขารู้สึกเสียใจกับกระเป๋าเงินของตัวเองเหลือเกิน เขาอุตส่าห์ใช้เงินเดือนสองเดือน เพื่อรักษาหน้านายน้อย แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธไม่ยอมใช้เงินคืนให้เขา! ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน! 


 


 


“เวลาที่คนแต่งตัวแบบนี้เข้าสนามบินในเวลาปกติ เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธจะปรากฏตัวทันที แต่นี่ตั้งนานแล้ว คนพวกนี้ก็ยังคงล้อมพวกเราอยู่ตรงนี้ ตำรวจสนามบินก็ยังไม่เห็นมา แสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลมาก เราอย่าทำให้ลู่ถงมีปัญหาเลยดีกว่า” 


 


 


อาห้าเลิกคิ้ว เด็กสาวคนนี้มีเหตุผล ดีมากที่เธอสังเกตเห็น 


 


 


ทันทีนั้นอาห้าก็มองไปยังกลุ่มชายร่างใหญ่ข้างหลังเขา พวกเขาทุกคนก้าวไปข้างหน้า จ้องมองบรรดาแฟนคลับและขมวดคิ้ว “กรุณาลบรูปภาพเดี๋ยวนี้ครับ!” 


 


 


แฟนๆ ลบรูปภาพในโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว อาห้าบอกให้พวกเขาตรวจสอบโทรศัพท์และกล้องของแฟนคลับทีละคน เพื่อดูว่ามีการยกเลิกการลบภาพไหนหรือไม่ หลังจากนั้นเขาก็มองดูนาฬิกาข้อมือแล้วยิ้มออกมา ใช้เวลาเพียงสี่นาทีในการแก้ไขปัญหานี้… สุดยอด! 


 


 


เขาออกเดินไปไม่กี่ก้าว จากนั้นก็เริ่มวิ่ง 


 


 


เฉียวเหลียงกำลังรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย ขณะกำลังจะบอกให้คนขับออกรถ อาห้าก็กระโดดเข้ามาในรถและบอกว่า “นายน้อยครับ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงจ้องหน้าเขาเขม็ง “ฉันไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก” 


 


 


อาห้ารู้สึกผิดอย่างมาก เขามองตอบเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “ผมไม่ทราบว่าวันนี้จะมีแฟนคลับดารามากมายมารออยู่ข้างนอก…” 


 


 


เฉียวเหลียงมองเขาด้วยสายตาดุดัน อาห้าหันกลับมาทันทีแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณเจ็ดกำลังรอเจ้านายอยู่ที่สวีเดนแล้วครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงไม่ได้มองเขา “เตรียมสิ่งที่ฉันบอกไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม” 


 


 


“ทีมแพทย์กำลังรออยู่ที่ประตูอุทยานเอ็มไพร์ครับ สมาชิกทุกคนในทีมเป็นผู้เชี่ยวชาญ ฮ่าๆ … นายน้อยรู้จักดีครับว่าพวกเขาเป็นใคร ทุกคนจะตรวจสุขภาพคุณปู่ถังอย่างละเอียดครับ” เมื่อจบคำพูดเขาหันก็กลับไปมองเฉียวเหลียงราวกับอยากได้คำชม แล้วกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้ ผมยังจัดเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ทุกอย่าง ให้ส่งไปที่อุทยานเอ็มไพร์ เพื่อให้ทีมแพทย์มีอุปกรณ์ครบครันในการตรวจร่างกายคุณปู่ถังครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงเลิกคิ้วมองดูเขา อาห้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและลดสายตาลง “ผมก็แค่อยากได้คำชมน่ะครับ นายน้อย” 


 


 


เฉียวเหลียงดูนาฬิกาบนข้อมือ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “ฉันจะบินไปสวีเดนสองทุ่มครึ่ง อย่าให้ฉันต้องเจอกับเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อีก” 


 


 


อาห้ากล่าวขึ้นทันที “ครับนายน้อย เที่ยวบินจากเมืองหลวงไปยังสวีเดนพร้อมแล้ว เป็นเครื่องบินส่วนตัวสุดหรูของนายน้อยเอง ไม่ต้องห่วงครับ” 


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงคำรามเบาๆ แล้วหลับตาลงพักสายตา 


 


 


เมื่ออาห้ามองจากกระจกมองหลังเห็นเฉียวเหลียงหลับตาลง เขาก็เม้มริมฝีปากและบ่นอยู่ในใจ ไม่ต้องเก๊กขนาดนี้ก็ได้ครับ ลืมไปแล้วหรือว่านายน้อยเศร้าและสิ้นหวังขนาดไหนในช่วงเวลาก่อนหน้านี้!  


 


 


ตอนนี้เริ่มบ่นแม้แต่เรื่องเที่ยวบินอย่างนั้นหรือครับ ถึงจะต้องนั่งเครื่องบินโดยสารจากเมือง A มาเมืองหลวง แต่ผมก็สามารถซื้อตั๋วชั้นหนึ่งให้นายน้อยได้ นายน้อยจะต้องจู้จี้จุกจิกขนาดนี้ด้วยหรือ 


 


 


เฉียวเหลียงลืมตาขึ้นมองอาห้าด้วยสายตาเยือกเย็น แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “มีอะไรจะพูดก็พูดออกมา ไม่อย่างนั้นนายจะต้องเสียใจ” 


 


 


อาห้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ และร้องขอความเมตตาทันที “ผมผิดไปแล้วครับ นายน้อย ยกโทษให้ผมด้วย!” 


 


 


ในไม่ช้ารถก็เข้าไปจอดที่ด้านหน้าอุทยานเอ็มไพร์ มีรถยนต์หลายคันจอดอยู่แล้วที่หน้าประตูทางเข้า เฉียวเหลียงลงจากรถ และหันไปมองอาห้า ซึ่งรีบหยิบกล่องทำความเย็นขนาดเล็กที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยแก้วเจียระไนใสแจ๋วลงจากรถด้วย กล่องนั้นมีขนาดเล็กมากเท่าฝ่ามือ เฉียวเหลียงสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนิ้วมือนิ้วนั้น ซึ่งมีชื่ออันสวยงามว่า นิ้วแก้วเจียระไน เป็นกล่องแก้วเจียระไนที่มีเพียงนิ้วนี้นิ้วเดียวเท่านั้นที่สามารถเป็นเจ้าของได้ 


 


 


เฉียวเหลียงขมวดคิ้วขณะมองผ่านแก้วเจียรนัยใสแจ๋วไปที่นิ้วนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ห่อไว้ด้วยผ้าสีดำ เขาหันไปมองทีมแพทย์ที่ยืนเรียงกันเป็นสองแถวอย่างเรียบร้อยแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่เก็บอะไรไว้เป็นความลับจากผม หลังจากตรวจร่างกายของคุณปู่แล้ว เข้าใจใช่ไหมครับ” 


 


 


บุคคลเหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงที่หลงเซี่ยวรวบรวมมาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนอยู่ภายใต้คำสั่งของเฉียวเหลียงกับชายหนุ่มอีกสองคน และเข้าใจในสิ่งที่เฉียวเหลียงต้อการ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนก็ตอบรับทันที “ครับ เจ้านาย!” 


 


 


เฉียวเหลียงส่งเสียงตอบรับจากลำคอ แล้วบอกให้อาห้ากดกริ่ง แต่ก่อนที่อาห้าจะไปถึงประตู ก็มีใครบางคนมาเปิดประตู เขาคือพ่อบ้านถังจง ซึ่งตกตะลึงเมื่อเห็นผู้คนมากมายอยู่ข้างนอก เขามีท่าทางงุนงง มองมาที่เฉียวเหลียงแล้วถามว่า “คุณเฉียว นี่คุณกำลังจะทำอะไร” 


 


 


เฉียวเหลียงถือกล่องแก้วเจียระไนที่คลุมด้วยผ้าสีดำไว้ ตอบอย่างเคร่งเครียดว่า “ผมไม่แน่ใจว่าคุณปู่ถังจะควบคุมตัวเองได้หรือเปล่า หลังจากเห็นของสิ่งนี้ ผมจึงต้องขอให้ทีมแพทย์ของผมตรวจร่างกายท่านก่อนล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะสามารถทนต่อความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นได้ ก่อนที่ผมจะมอบสิ่งนี้ให้ท่าน ถ้าท่านปฏิเสธ ผลจะไม่มอบให้ท่าน โปรดนำคำพูดของผมไปถ่ายทอดแก่คุณปู่ถังด้วยครับ พ่อบ้านถัง” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม