ลำนำสตรียอดเซียน 180-188.1
ตอนที่ 180 พละกำลังสะท้อนกลับเข้าสู่ร...
ทัศนคติของเริ่นอวี่เฟิงเปลี่ยนไปในทันทีหลังจากที่เขารู้ว่าโม่เทียนเกอเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเสวียนอิน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ปฏิบัติกับนางอย่างไร้ค่าอย่างที่ทำกับเจียงซั่งหังและสหายศิษย์คนอื่น เขาเพียงแค่ทำตัวสุภาพอย่างผิวเผินก่อนหน้านี้ กระนั้นก็ตามในตอนนี้สายตาเขานั้นเต็มไปด้วยความเคารพ
ศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ลงนามก็ยังคงมีเกียรติมากกว่าศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังมากนัก อีกอย่างจากที่เริ่นอวี่เฟิงคาดการณ์ นางก็ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ทางการแล้ว ไม่ได้ผ่านมานานนักที่ประมุขเต๋าเสวียนอินก่อจิตวิญญาณใหม่ ดังนั้นศิษย์ส่วนมากของเขาจึงอยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากระดับการฝึกตนและวิธีการจัดการต่างๆ ของนาง โม่เทียนเกอนั้นดีพอที่จะเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง
ถึงแม้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะปรับทัศนคติของเขา แต่เขายังคงเต็มไปด้วยความอิจฉาภายในจิตใจ ทำไมคนอื่นถึงได้มีความโชคดีเช่นนี้ คนเช่นนางเคารพผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นดั่งอาจารย์และมันก็เกิดขึ้น อาจารย์ของนางก่อจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างไม่คาดคิด ในขณะที่เขาต้องผ่านปัญหาต่างๆ มาด้วยตัวของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะอิจฉามากแค่ไหน เขาก็ยังคงต้องแสดงให้เห็นถึงความนอบน้อมในตอนนี้ โชคดีที่โม่เทียนเกอไม่ได้เป็นคนหยิ่งยโส ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปนักที่จะทำ
ในขณะที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ อาการบาดเจ็บของลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางก็ได้รับการรักษาแล้ว
“ศิษย์พี่เริ่น” นั่นคือผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นชื่อถังฟัง เขาดูเหมือนจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดจากทั้งเก้าคนของสำนักเจิ้งฝ่า เขาแอบชำเลืองมองโม่เทียนเกออย่างเขินอายหลังจากนั้นจึงพูดกับเริ่นอวี่เฟิง “ศิษย์พี่ลู่และศิษย์พี่เซี่ยงดูเหมือนจะดีขึ้นมากแล้ว พวกเราจะดำเนินการต่อเลยหรือไม่ขอรับ”
“โอ้” เริ่นอวี่เฟิงมองไปรอบๆ แน่นอนว่าลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางฟื้นตัวแล้ว ถึงแม้ว่าหน้าตาของพวกเขาจะยังคงซีดเผือด แต่พวกเขาก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม ซากปีศาจปลาไนน้ำระดับห้าก็ได้ถูกจัดการไปแล้ว “งั้นพวกเราไปต่อกัน”
เริ่นอวี่เฟิงหันไปทางโม่เทียนเกอพร้อมพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคงไม่ถือสาถ้าเราจะแบ่งซากสัตว์ปีศาจหลังจากที่พวกเราออกไปจากแดนแห่งมังกรซ่อนลายใช่หรือไม่”
“ข้าไม่ถือสา”
กลุ่มคนทั้งสิบรวมตัวกันอีกครั้งและไปต่อโดยมีเหริงอวี้เฟิงเป็นผู้นำ
โม่เทียนเกอเดินทางไปกับกลุ่มอย่างเงียบๆ แต่นางมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอยู่ภายในใจ
อาการบาดเจ็บของลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางดูค่อนข้างรุนแรง ถึงแม้ว่าการบาดเจ็บของพวกเขาจะได้รับการรักษา แต่พวกเขาก็แทบจะไม่มีแรง เริ่นอวี่เฟิงนั้นหยิ่งยโสเกินไป ถังฟังและอวิ๋เซี่ยวหรานแทบจะไม่มีประสบการณ์และผู้ฝึกตนหญิงสองคนคือไอ้เสียนและซย่าโหวย่วนก็ดูเฉื่อยมาก ยังมีผู้ฝึกตนชายอีกคนชื่อซิวจือหมิงผู้ซึ่งโม่เทียนเกอยังไม่มีความคิดเห็นในตอนนี้ สำหรับเจียงซั่งหัง นางรู้จักเขาดี ทั้งวิธีการจัดการและสติปัญญาของเขานั้นสูง ดังนั้นเขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่นางจะเป็นพันธมิตรด้วย
โอกาสของกลุ่มนี้ไม่ได้ดีมากนัก ขณะที่พวกเขาต่างเข้าสู่สถานที่ที่ถูกปกป้องไว้ด้วยสัตว์ปีศาจระดับห้า
นางไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงพูดเกี่ยวกับว่าสถานที่นี้มีเพียงแค่สัตว์ปีศาจระดับห้าเฝ้าอยู่ตรงประตูทางเข้าเพียงแค่ตัวเดียว สถานที่ที่ครอบครอง “ลมปราณของเทพมังกร” จะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร
ขณะที่พวกเขายังคงเดินอย่างเงียบงัน เริ่นอวี่เฟิงทำให้ทุกคนหยุดในทันที เขาหันกลับมาพร้อมพูด “ศิษย์น้องชาย ศิษย์น้องหญิง พวกเรามาถึงอนุสาวรีย์เทพมังกรกันแล้ว เตรียมตัวยกกำแพงอาคมให้พร้อม!”
มาถึงแล้วเช่นนั้นหรือ โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความกังขา อนุสาวรีย์เทพมังกรไม่ได้ครอบครองลมปราณของเทพมังกรอย่างนั้นหรือ ทำไมนางถึงสัมผัสมันไม่ได้เลย นางเหลือบมองขึ้นไปโดยรอบ ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าของนางไม่ได้มีความแตกต่างจากทิวทัศน์ที่อื่นแม้แต่น้อย ยังคงเป็นน้ำทะเลสีฟ้าเข้มและมีปะการังอยู่เต็มไปหมด
“ศิษย์น้องเยี่ย” เริ่นอวี่เฟิงเรียก “มีกำแพงอาคมอยู่รอบอนุสาวรีย์เทพมังกร ดังนั้นพวกเราจะต้องเอามันออกไปก่อนที่จะเข้าไปได้ ศิษย์น้องเซี่ยงและศิษย์น้องลู่บาดเจ็บ ส่วนคนอื่นมีระดับการฝึกตนที่ต่ำ เจ้าจะต้องช่วยข้าสำหรับเรื่องนี้”
โม่เทียนเกอบ่นรำพึงรำพันอยู่ครู่หนึ่งแต่ท้ายที่สุดนางก็พยักหน้า “…ตกลง” นอกเหนือจากนางไม่มีผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานเลย
เมื่อได้รับการยินยอมจากนาง เริ่นอวี่เฟิงก็ชี้ไปที่จุดหนึ่งข้างเขาพร้อมพูดว่า “กำแพงอาคมนี้ได้ถูกวางไว้โดยผู้อาวุโสจิตวิญญาณใหม่จากสำนักของพวกข้า ข้ามีวิธีที่จะยกกำแพงอาคมนี้ชั่วคราว แต่จะต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องวางม่านรวมพลังวิญญาณเป็นอันดับแรก อย่างไรก็ตาม การที่จะใช้ม่านรวมพลังวิญญาณชั่วคราวไม่สามารถรองรับได้หลายคน ตอนนี้ศิษย์น้องเยี่ยมีระดับการฝึกตนสูงสุดนอกเหนือไปจากข้า ดังนั้นข้าคงต้องขอให้ศิษย์น้องเยี่ยยืนอยู่ภายในม่านรวมพลังวิญญาณกับข้า หลังจากนั้นศิษย์น้องเยี่ยเพียงแค่ต้องถ่ายทอดพลังวิญญาณให้กับข้า”
หลังจากที่โม่เทียนเกอยืนอยู่ตรงจุดที่ได้ถูกกำหนดไว้ เริ่นอวี่เฟิงก็รีบวางม่านรวมพลังวิญญาณอย่างง่ายๆ รอบตัวพวกเขาทั้งสองคน
โม่เทียนเกอมองไปที่ม่านพลัง ม่านรวมพลังวิญญาณนี้ไม่ธรรมดา มันดูเหมือนว่าจะเป็นรูปแบบของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เริ่นอวี่เฟิงคนนี้ดูเหมือนจะมีสมบัติครอบครองอยู่ค่อนข้างมากดังนั้นเขาจะไม่มีวิธีในการจัดการกับปีศาจปลาไนน้ำก่อนหน้านี้ได้อย่างไร
นางไม่ได้มีเวลาในการครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ม่านรวมพลังวิญญาณได้ถูกวางและเริ่นอวี่เฟิงเริ่มใช้ศาสตร์นั้น เขาหยิบหยกบันทึกออกมาหลังจากนั้นจึงทำท่ากรีดลงบนนิ้วของเขา เค้นหยดเลือดของตัวเองออกมาพร้อมหยดลงไปบนแผ่นหยกบันทึก เส้นใยแสงสว่างพุ่งขึ้นออกมาจากหยกบันทึกและในวินาทีถัดมา ม่านรวมพลังวิญญาณปล่อยแสงสว่างจ้าแสบตา ก่อให้เกิดการรวมกันของพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งภายในม่านพลัง
“ศิษย์น้องเยี่ย ช่วยข้าที!” เริ่นอวี่เฟิงตะโกน
โม่เทียนเกอประกบมือเข้าหากันโดยไม่เอ่ยคำเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณ ครั้นแล้วก็วางมือของนางไปบนหลังของเริ่นอวี่เฟิง ส่งพลังวิญญาณไปสู่เส้นลมปราณของเขา
แสงจากหยกบันทึกสว่างเพิ่มมากขึ้นและในท้ายที่สุดก็ค่อยๆ กลายเป็นลำแสงแห่งจิตวิญญาณ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเพียงเสี้ยววินาที พลังวิญญาณภายในร่างกายของนางทั้งหมดพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเริ่นอวี่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง หากจะพูดให้ถูก นางไม่ได้ส่งพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างกายของเริ่นอวี่เฟิงแต่เริ่นอวี่เฟิงดูดพลังวิญญาณของนางออกไปมากกว่า!
หยกบันทึกดูดซับพลังวิญญาณของเริ่นอวี่เฟิงและของนาง แต่มันยังคงซึมซับพลังวิญญาณจากม่านรวมพลังวิญญาณไปอย่างโลภมากอีกด้วย โม่เทียนเกอไม่สามารถทำอะไรได้ นางควานหายาครอบจักรวาลและใส่เข้าปาก อย่างไรก็ตาม พลังวิญญาณที่นางได้รับเพิ่มเติมเข้ามาเพียงน้อยนิดนั้นหมดไปอย่างรวดเร็วจากการที่ถูกหยกบันทึกดูดซับเข้าไป
ท่าทางของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป สุดท้ายแล้วนี่เป็นกำแพงอาคมประเภทไหนกัน พวกเขามีสิ่งที่จะใช้เปิดมันแต่มันก็ยังคงต้องการพลังวิญญาณจำนวนมหาศาล นี่มันเกินกว่าจะทนได้!
โชคดี ก่อนที่พลังวิญญาณของนางจะหมดลงจากการถูกดูดซับออกไป หยกบันทึกก็หยุดดูดซับพลังวิญญาณ เริ่นอวี่เฟิงตะโกนออมาในทันใด และหยกบันทึกระเบิดลำแสงสว่างออกอีกครั้งซึ่งลากพวกเขาทั้งหมดเข้าไปด้านใน…
โม่เทียนเกอรู้สึกถึงบางอย่างเริ่มต้นขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน พลังที่น่ากลัวไหลเข้าสู่ร่างกายของนาง ทันใดนั้นก็ระเบิดออกในเส้นลมปราณของนางอย่างรุนแรง
“อา–” คลื่นแห่งความเจ็บปวดโหมกระหน่ำมาหานาง จากเส้นลมปราณสู่อวัยวะภายใน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้รับผลกระทบจากพลังนั้น ส่งผลให้นางเกือบหมดสติ
“ศิษย์น้องเยี่ย! ศิษย์น้องเยี่ย!”
ในสภาวะสติเลือนราง นางได้ยินใครบางคนกำลังเรียกนาง นี่คือ… เสียงของเจียงซั่งหัง!
เจียงซั่งหังพูดอย่างค่อนข้างโกรธเคืองต่อเริ่นอวี่เฟิง “ศิษย์พี่เริ่น นี่ท่านพยายามที่จะฆ่าศิษย์น้องเยี่ยอย่างนั้นหรือ! กำแพงอาคมนี้สะท้อนกลับ แต่ท่านก็ยังปล่อยให้ศิษย์น้องเยี่ยต้องเผชิญกับพละกำลังนี้ด้วยตัวของนางเอง!”
หลังจากนั้นระยะหนึ่ง เสียงของเริ่นอวี่เฟิงที่ฟังดูรำคาญก็ตอบกลับมา “ข้าไม่ได้คาดคิดว่าการฝึกตนของศิษย์น้องเยี่ยนั้นจะล้ำลึกมากเสียจนพลังวิญญาณที่นางส่งผ่านมาให้ข้านั้นจะโดดเด่นกว่าพลังของข้าเอง พลังนั้นพุ่งเข้าไปหานางในทันที ข้าไม่ทันได้มีเวลาที่จะ…”
หลังจากนั้นเสียงที่หยิ่งทะนงของไอ้เสียนก็แทรกเข้ามา “ศิษย์น้องเจียง เจ้าหมายความว่าอย่างไร ศิษย์พี่เริ่นจะเจตนาปล่อยให้ศิษย์น้องเยี่ยบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ เมื่อนางพูดไปถึงช่วงหลัง น้ำเสียงของนางนั้นช่างเหยียดหยาม ความหมายของนางนั้นส่ออย่างชัดเจน
เจียงซั่งหังโมโห “ศิษย์พี่ไอ! ข้าเป็นคนชวนศิษย์น้องเยี่ยมา ดังนั้นข้าก็ต้องรับรองความปลอดภัยของนางสิ!”
“แล้วเจ้าจะตะคอกศิษย์พี่เริ่นเพื่ออะไร” ไอ้เสียนไม่ได้เต็มใจที่จะยินยอมแม้แต่น้อย “เจ้าอย่าลืมตำแหน่งของตัวเอง! เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ทั่วไปในขณะที่ศิษย์พี่เริ่นเป็นถึงศิษย์หัวกะทิ! เจ้ามีความกล้าถึงขนาดที่จะพูดจากับศิษย์พี่เริ่นขนาดนั้นเชียวหรือ”
เจียงซั่งหังหยุดปฏิเสธ แต่โม่เทียนเกอสามารถรับรู้ได้ถึงมือที่จับนางไว้อยู่นั้นสั่นเทา
ในขณะนั้น ไม่ว่าความไม่พอใจอะไรก็แล้วแต่ที่โม่เทียนเกอมีต่อเจียงซั่งหังได้มลายหายไป ด้วยสถานะของเจียงซั่งหังในสำนักเจิ้งฝ่า เขาไม่กล้าที่จะทำให้เริ่นอวี่เฟิงไม่พอใจก่อนหน้านี้ ดังนั้นความจริงที่ว่าเขาเต็มใจที่จะปกป้องนางตอนนี้นั้นนับว่าเป็นความดีความชอบอย่างที่สุด
เริ่นอวี่เฟิงไม่รู้หรือ โม่เทียนเกอนึกเยาะเย้ยอยู่ในใจ นางคอยระวังตัวจากเขาอยู่แล้วแต่นางไม่คาดคิดว่าเขาจะวางแผนต่อต้านนางจริงๆ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปสู่ตำหนักใต้บาดาล! เห็นได้อย่างชัดเจนว่านางยังไม่ได้ระวังตัวมากพอ! มันไม่เคยผ่านเข้ามาในความคิดมาก่อนว่าเริ่นอวี่เฟิงจะกล้าวางแผนต่อต้านนางเช่นนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่านางเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเสวียนอิน!
อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงคงไม่รู้ว่าเส้นลมปราณของนางนั้นแตกต่างจากคนอื่นทั่วไป ใช่ไหม สำหรับนาง พลังสะท้อนกลับเช่นนี้ซึ่งน่าจะทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปบาดเจ็บรุนแรงนั้นไม่ได้ทรงพลังมากนักต่อนาง ตราบใดที่นางใช้เวลาครู่หนึ่งในการฟักฟื้น นางก็จะสามารถฟื้นฟูสภาพก่อนหน้านั้นกลับมาได้ถึงแปดส่วน ชั่วเวลาขณะนั้น นางเพียงแค่ต้องทานยาเขียวขยายกำลังและควบคุมการหายใจของนางและนางก็จะไม่เป็นอะไร
บางคนเปิดปากของโม่เทียนเกอหลังจากนั้นก็ป้อนยาเข้าไป หลังจากนั้นเจียงซั่งหังก็ส่งเสียงผ่านกระแสจิตให้นาง “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าปกป้องเจ้าได้ไม่ดี หากเจ้ายังคงมีสติ ก็ควรรีบฟื้นกลับมา ข้าจะช่วยเจ้าออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย”
ขณะที่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอกลืนยาเข้าไปหลังจากนั้นจึงเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกายของนางอย่างเงียบๆ
นางไม่รู้ว่ายาวิเศษอะไรที่เจียงซั่งหังป้อนให้กับนาง แต่เมื่อมันเข้าไปในท้องของนาง เส้นใยพลังวิญญาณเยือกแข็งระเบิดออกและแผ่กระจายไปทั่วร่างของนางอย่างอิสระ ทำให้ความเจ็บปวดของนางทุเลาลงในทันที
“ศิษย์น้องเจียง” ความรำคาญในเสียงของเริ่นอวี่เฟิงหายไป “ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับศิษย์น้องเยี่ยนั้นจะไม่ธรรมดานะ!”
เจียงซั่งหังพูดอย่างเย็นชา “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับศิษย์น้องเยี่ยนั้นได้ผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายและความยากลำบากมา ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความสัมพันธ์เยี่ยงสหายทั่วไป”
“หรือจะให้พูดอีกอย่าง เจ้าไม่พอใจข้าอยู่ในตอนนี้”
“ข้าจะกล้าได้อย่างไร” ถึงแม้ว่าเข้าจะพูดเช่นนั้น น้ำเสียงของเจียงซั่งหังไม่ได้นุ่มนวลเหมือนก่อน “ศิษย์พี่เริ่นไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายว่ากำลังทำอะไรให้กับศิษย์ธรรมดาอย่างข้าฟังหรอก”
“ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจเช่นนั้น!” ไอ้เสียนพูดแทรกออกมา “ถ้าไม่มีศิษย์พี่เริ่น พวกเราก็คงจะยังไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมบัติเลย! เจ้าคงจะไม่โง่ถึงขนาดต่อสู้กับพวกเราเพื่อศิษย์น้องเยี่ย ใช่หรือไม่”
“แน่นอน” เจียงซั่งหังสูดหายใจลึกอย่างช้าๆ “สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักเจิ้งฝ่า และศิษย์พี่ทั้งชายหญิงต่างก็มีสถานะที่สูงกว่าข้า…”
“ศิษย์น้องเจียง เจ้าช่างมีไหวพริบนัก เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเลย” เริ่นอวี่เฟิงพูดอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึง “พวกเราเป็นศิษย์จากสำนักเดียวกัน ทำไมพวกเราจะต้องมาเสียความสัมพันธ์ของพวกเราไปเพราะคนนอกด้วย ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยโชคไม่ดีและได้รับบาดเจ็บสาหัส มันก็เป็นเรื่องที่พวกเราไม่อาจทำอะไรได้ การตามหาสมบัติของพวกเรานั้นสำคัญมากกว่า พวกเราควรจะเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลก่อนและค่อยพาศิษย์น้องเยี่ยไปด้วยตอนที่พวกเราจะออกไป…”
“ศิษย์พี่เริ่น!” เจียงซั่งหังพูด “สถานที่นี้ไม่ได้ปลอดภัยนัก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราทิ้งศิษย์น้องเยี่ยไว้คนเดียวและนางต้องเผชิญกับอันตรายเล่า”
“พวกเราก็ต้องเผชิญกับอันตรายเหมือนกันเมื่อพวกเราตามหาสมบัติ!” ครั้งนี้ ถึงแม้เสียงของเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ได้ฟังดูหยิ่งยโส แต่น้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความจริงใจของเขานั้นไม่น่าฟังยิ่งกว่า “ถ้าศิษย์น้องเยี่ยจะโชคไม่ดีขนาดนั้น นางก็ทำได้แค่โทษดวงของนางเองเท่านั้น”
“…” เจียงซั่งหังนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
เริ่นอวี่เฟิงพูดต่ออย่างสงบ “แน่นอน ข้าเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าศิษย์น้องเจียงอยากจะอยู่เป็นเพื่อนศิษย์น้องเยี่ย เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะ พวกเราจะไม่ปิดทางเข้าตำหนักใต้บาดาล ดังนั้นเจ้าทั้งสองคนสามารถเข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ตอนที่ศิษย์น้องเยี่ยตื่นขึ้น เจ้าคิดว่าอย่างไร”
สิ่งที่เขาพูดฟังดูสมเหตุสมผล แต่เขาเป็นเพียงแค่คนเดียวที่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในตำหนักใต้บาดาลนั้นเป็นอย่างไร เขารวบรวมคนหลายคนมาเพื่อมองหาสมบัติ แต่เขาเต็มใจที่จะทิ้งพวกเขาสองคนไว้อย่างโดดเดี่ยว เมื่อถึงเวลาที่ทั้งสองคนจะต้องเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล โอกาสในการที่จะมีชีวิตรอดของพวกเขาจะมีมากแค่ไหนกัน โม่เทียนเกอยิ้มเยาะอยู่ในใจ เริ่นอวี่เฟิงผู้นี้ช่างน่าละอายยิ่งนัก เขายังคงวางอุบายในการต่อต้านนางแม้กระทั่งในตอนนี้ เมื่ออาการบาดเจ็บของนางดีขึ้น นางจะต้องเล่นงานเขากลับอย่างแน่นอน! ”
เจียงซั่งหังยังคงนิ่งเงียบ แต่โม่เทียนเกอสามารถนึกภาพความลำบากใจภายในของเขาออก เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไป ดังนั้นสำหรับเขาแล้วการล่าสมบัตินี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเขาต้องยอมแพ้ตอนนี้ เขาจะต้องไม่เต็มใจอย่างแน่นอน
ความจริงแล้วถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะไม่ได้ถูกทิ้งไว้ด้วย โม่เทียนเกอก็ไม่ได้เกรงกลัว อาการบาดเจ็บของนางไม่ได้หนักหนานัก และนางก็สามารถตื่นขึ้นได้ในทุกเวลา แม้กระนั้นนางก็ยังหวังว่าเจียงซั่งหังจะยอมถูกทิ้งอยู่กับนาง
ตอนที่ 181 อนุสาวรีย์เทพมังกร
โลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน โม่เทียนเกอไม่เคยเป็นคนไร้เดียงสาจนถึงขนาดหวังว่าคนอื่นจะมีเมตตามากพอช่วยเหลือนางไปทุกที่ เจียงซั่งหังก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน แต่สิบเจ็ดปีก่อน เขาเคยช่วยนาง ช่วยชีวิตนางจากโชคชะตาอันแสนเศร้า เหมือนอย่างที่ตัวเจียงซั่งหังเองพูดไว้ มิตรภาพของพวกเขาผ่านความยากลำบากถึงเป็นถึงตายกันมาแล้ว คนเช่นนั้น… นางหวังอย่างยิ่งว่าเขายังคงเป็นเจียงซั่งหังจากตอนนั้นและไม่ใช่ใครบางคนที่เห็นผลประโยชน์ส่วนตนเหนือสิ่งอื่นใด
ทั่วบริเวณจมลงสู่ความเงียบงัน เจียงซั่งหังไม่พูดและไม่มีใครพูด สถานการณ์ปัจจุบันเห็นได้ชัดเจนแล้ว เจียงซั่งหังถูกบีบบังคับให้เลือก เขาต้องปล่อยโม่เทียนเกอไปหรือไม่ก็ช่วยนางไว้
เป็นเวลานานที่ไม่มีใครพูด อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปนานเหมือนชั่วนิรันดร์ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ได้ยินใครบางคนพูดขึ้นอย่างอายๆ “ศิษย์พี่เริ่น วิธีแก้ปัญหานี้… ไม่ดีใช่ไหม”
ฟังจากเสียง นั่นคือถังฟัง
เด็กหนุ่มที่ยังอ่อนโยนและไร้ประสบการณ์รวบรวมความกล้าแล้วจึงพูดว่า “ท้ายที่สุดแล้วศิษย์น้องเยี่ยเป็นศิษย์ของกลุ่มพันธมิตร เรา…”
“ศิษย์น้องถัง” เริ่นอวี่เฟิงพูดกับถังฟัง ครั้งนี้เริ่นอวี่เฟิงพูดโดยใช้น้ำเสียงอีกแบบหนึ่งซึ่งทำให้โม่เทียนเกอสงสัยว่าถังฟังมีตัวตนเช่นไรเขาถึงทำให้คนอวดดีอย่างเริ่นอวี่เฟิงสุภาพได้ขนาดนี้และถึงขนาดสอพลอเขาด้วยซ้ำ “เจ้ายังไร้เดียงสา เจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไร สำนักของเราและโรงเรียนเสวียนชิงเป็นสหายกันก็จริง แต่เมื่อเป็นเรื่องสำคัญ มิตรภาพนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความเท่าเทียม ในระหว่างการจลาจลสัตว์ปีศาจมากกว่าสิบปีมาแล้ว ถึงแม้กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่ความขัดแย้งและแม้แต่การสังหารและปล้นกันเองก็เกิดขึ้นระหว่างพวกเราอย่างลับๆ เช่นกัน ทำไมเรื่องเหล่านั้นจึงเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ส่วนตนอย่างไรล่ะ! ประโยชน์ส่วนตนนั้นสำคัญที่สุด อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรกับศิษย์น้องเยี่ย มันแค่ลำบากสำหรับเราที่จะพานางไปด้วยก็เท่านั้น ศิษย์น้องถังลองคิดดูสิ ตอนนี้ศิษย์น้องเยี่ยเหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะงั้นเราจะตามหาสมบัติได้อย่างไรถ้าเราพานางไปด้วย”
“นี่…” ถังฟังไม่สามารถปฏิเสธได้อีก
“ศิษย์น้องเจียง” เริ่นอวี่เฟิงพูดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คำพูดของเขาเผยให้เห็นเจตนาข่มขู่ “เจ้าต้องตัดสินใจให้ไว ถ้าเจ้าใช้เวลานานเกินไป เราไม่สามารถคอยเจ้าได้!”
ในไม่ช้า โม่เทียนเกอรู้สึกว่ามือของเจียงซั่งหังนิ่ง จากนั้นเขาพูดอย่างแผ่วเบา “ข้าควรจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลศิษย์น้องเยี่ย ข้าเป็นคนที่พานางมาที่นี่ ดังนั้นข้าต้องพานางกลับไปอย่างปลอดภัย”
…
“ฮึ่ม!” เริ่นอวี่เฟิงส่งเสียงฮึ่มอย่างเย็นชา “ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ต้องสาธยายอะไรกันอีกต่อไป ศิษย์น้องชายและหญิง ไปกันเถอะ!”
จากนั้นโม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังวิญญาณ คาดว่าพวกเขาคงเปิดทางเข้าไปสู่ตำหนักใต้บาดาล ไม่นานหลังจากนั้นนางได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ จางไปในระยะไกล ขณะนั้นนอกเหนือจากตัวนางและเจียงซั่งหัง ตรงนั้นไม่มีใครอีก
ทันใดนั้น เจียงซั่งหังนั่งลงอย่างหดหู่ กุมหัวตัวเองเอาไว้
โม่เทียนเกอลืมตาและลุกนั่งช้าๆ “ศิษย์พี่เจียง…”
เจียงซั่งหังเงยหน้าขึ้นทันที เขาจ้องนางด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้า…”
“อาการบาดเจ็บของข้าไม่หนักหนา” นางยิ้มให้เขาแต่ไม่ช้านางก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ครั้งนี้… ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่เจียง”
เจียงซั่งหังเข้าใจได้โดยปริยายว่านางขอบคุณเขาเรื่องอะไร ตอนนี้เขาทั้งตกใจและสุขใจแต่เขาก็รู้สึกผิดหวังและเสียใจเช่นกัน หัวใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายผสมกันไปหมด สุดท้ายเขาแค่ฝืนยิ้มออกมา “ศิษย์น้องเยี่ย ยกโทษให้ข้าด้วย ข้าสัญญากับเจ้าไว้หลายอย่าง แต่ผลกลับกลายเป็น…”
“ศิษย์พี่เจียงไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าซาบซึ้งใจมากที่ศิษย์พี่เจียงยอมสละโอกาสในการเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลเพื่อข้า อย่างไรก็ตาม ท่านไม่เสียดายกับการตัดสินใจของท่านหรอกหรือ”
เจียงซั่งหังยิ้มเยาะตัวเอง “เสียดาย ก็นิดหน่อย… แต่ระหว่างศิษย์น้องเยี่ยและศิษย์พี่เริ่น ข้ายังเชื่อมั่นในศิษย์น้องเยี่ยมากกว่า โดยปกติแล้วศิษย์พี่เริ่นจะปฏิบัติกับสหายศิษย์อย่างหยาบคาย และตอนนี้เขาก็ยังวางแผนโจมตีศิษย์น้องเยี่ยอีก… ข้าคิดว่าด้วยนิสัยของเขา ในภายหลังเขาต้องไม่ให้ของหลายอย่างกับข้าแน่นอน ดังนั้นข้าก็น่าจะไม่เข้าไปดีกว่า บางทีศิษย์น้องเยี่ยอาจจะให้สมบัติบางอย่างเพื่อขอบคุณข้า!”
สิ่งที่เขาพูดเป็นทั้งความจริงและการปลอบใจตัวเอง โม่เทียนเกอไม่เหลือความไม่พอใจต่อเจียงซั่งหังอีก ดังนั้นเมื่อนางได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางจึงหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
เจียงซั่งหังหันไปหานาง “อือ ศิษย์น้องเยี่ยอยากมอบสมบัติให้ข้าจริงๆ หรือ”
รอยยิ้มลึกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ “เริ่นอวี่เฟิงวางแผนต่อต้านข้า ดังนั้นข้าเดาว่ามันต้องมีของดีบางอย่างอยู่ข้างในแน่ ในเมื่อเขาใจอำมหิต ข้าก็ไม่จำเป็นต้องยอมทนกับรูปแบบเดิมๆ ไปปล้นเขากันเถอะ!”
นางพูดเหมือนกับว่ามันง่ายมาก แต่เจียงซั่งหังดูสองจิตสองใจ “นี่… ศิษย์น้องเยี่ย ข้ารู้ว่าตัวเจ้าในปัจจุบันไม่เหมือนกับเจ้าคนเก่า แต่ศิษย์พี่เริ่นและคนอื่นๆ ไม่ได้อ่อนแอและพวกเขาก็มีคนมากกว่าเรา เราไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้หรอกถ้าเราลงเอยด้วยการสู้กันขึ้นมาจริงๆ อีกอย่าง ท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า การที่ข้าต้องสู้กับพวกเขามันค่อนข้างจะ…”
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “ท่านกลัวอะไร ถ้าเราไม่สามารถสู้กับพวกเขาซึ่งๆ หน้าได้ เราก็ยังสามารถโจมตีพวกเขาแบบลับๆ ได้ ศิษย์พี่ลู่และเซียงบาดเจ็บจึงไม่ควรค่าให้ต้องกังวล นอกเหนือจากเริ่นอวี่เฟิงที่อาจจะมีกลอุบายอะไรที่เราไม่รู้ซ่อนไว้อีก ข้าไม่คิดว่าคนอื่นๆ จะจัดการได้ยากนัก ศิษย์พี่เจียง ถ้าท่านกลัวว่าท่านจะถูกสำนักต่อว่าเมื่อกลับไป เราก็แค่ต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมด เมื่อถึงตอนนั้นใครจะสงสัยเรื่องของท่านกัน”
เจียงซั่งหังตกใจ “ศิษย์น้องเยี่ย นี่มัน…”
“ถ้าคนไม่มายุ่งกับข้า ข้าก็จะไม่ยุ่งกับพวกเขาเช่นกัน เราตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับคนอื่นได้ทีหลัง แต่เริ่นอวี่เฟิงต้องตายในกำมือข้า ถ้าข้าไม่ระวังตัวและไม่ได้บาดเจ็บสาหัสจริง ข้าก็คงปางตายเพราะเป็นผลจากการถูกเขาวางแผนลวง! เขาถึงขนาดอยากทิ้งข้าไว้ที่นี่ให้สู้ด้วยตัวเอง ฮึ่ม!” หลังจากนางพูดเช่นนั้น นางมองเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ท่านเคยเป็นคนเด็ดเดี่ยวมากเวลาที่ท่านต้องฆ่า ทำไมตอนนี้ท่านถึงได้ลังเลนัก”
เจียงซั่งหังอึ้งไปและจมสู่ความเงียบทันที นางพูดถูก เมื่อเขายังอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้และต้องทนกับการเอารัดเอาเปรียบแทบทุกชนิด นิสัยของเขาหาได้เป็นเช่นนี้ เขาอดทนกับการถูกเจียงเฉิงเสียนรังแก แต่ชั่วขณะที่เขาได้โอกาส เขาก็ฆ่าเจียงเฉิงเสียนโดยไม่ลังเลเลยสักนิด ก่อนจะหนีจากเขาอวิ๋นอู้ เมื่อเขามาถึงที่เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด อย่างไรก็ตาม เขากลายเป็นท่านเทพเซียนของเผ่าโดยมีชาวเผ่าเคารพบูชาและเขายังกลายเป็นศิษย์ทางการของหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ด เขาไม่ได้ถูกรังแกและทำให้อับอายเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มจะปกป้องทุกสิ่งที่เขามีอย่างระมัดระวัง เมื่อเผชิญกับความทะนงตนของเริ่นอวี่เฟิง เขาก็แค่ยอมรับมัน และแม้แต่เมื่อเริ่นอวี่เฟิงทำตัวก้าวร้าว เขาก็แค่ยั้งตัวเองเอาไว้ ไม่เหมือนกับเมื่อตอนที่เขาอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้ที่เขาแทบไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ เขาไม่มีหัวใจเด็ดเดี่ยวเหมือนอย่างที่เคยมีอีกแล้ว ตอนนี้เขาใจกว้างและเปิดเผยมากขึ้น แต่เขาก็เสียความสามารถที่เคยมีไปเช่นกัน
ตอนนี้เมื่อเขาได้ลองคิดเรื่องนี้ เจียงซั่งหังสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูดอย่างจริงจัง “ขอบคุณสำหรับการเตือนสติ ศิษย์น้องเยี่ย” ไม่สายเกินไปที่เขาจะรู้ตัวในตอนนี้เพราะหนทางข้างหน้ายังต้องถูกปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เขาคนเก่าติดอยู่กับความเกลียดชัง แต่บัดนี้เขาเป็นอิสระจากมันแล้ว เขาคนปัจจุบันไม่แน่วแน่มากพอ ดังนั้นเขาจึงต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอในอนาคต
“เอาละ ศิษย์น้องเยี่ย ถ้าเจ้าอยากฆ่าศิษย์พี่เริ่น ข้าจะไม่ขวางทาง อย่างไรก็ตาม ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยศิษย์น้องถังไป มิตรภาพของข้ากับเขาค่อนข้างดีและนิสัยของเขาก็เรียบง่าย เขาไม่ใช่คนเลวร้าย”
โม่เทียนเกอสังเกตเห็นความมีเมตตาที่ถังฟังแสดงต่อนางโดยการออกรับแทนนาง ดังนั้นนางจึงพยักหน้าทันทีและพูดว่า “คนเดียวที่ข้าอยากฆ่าคือเริ่นอวี่เฟิง ส่วนคนอื่นๆ พวกเขาจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่พวกเขาไม่ยั่วโมโหข้า”
เจียงซั่งหังรู้สึกโล่งใจ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ศิษย์น้องเยี่ย เราลงเรือลำเดียวกันแล้วตอนนี้ ข้ายังอยากจะอยู่ในสำนักเจิ้งฝ่าและถ้าเจ้าฆ่าแค่ศิษย์พี่เริ่น ข้าก็จะมีวิธีเอาตัวรอดจากการถูกกล่าวโทษ แต่ท้ายที่สุดแล้วคนอื่นๆ ก็เป็นสหายศิษย์ของข้า…”
“ข้าเข้าใจ ศิษย์พี่เจียงยินดีอยู่กับข้าและข้าก็ได้จดจำความกรุณานี้ไว้แล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ปล่อยให้ศิษย์พี่เจียงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างแน่นอน” เมื่อนางพูดจบ โม่เทียนเกอยืนขึ้นและเริ่มสำรวจดูสภาพ รอบๆ ตรงจุดที่พวกเขาเปิดกำแพงอาคมก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีม่านพลังเคลื่อนย้ายเพิ่มมา
โม่เทียนเกอพึมพำใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “ศิษย์พี่เจียง ในเมื่อเราต้องเปิดกำแพงอาคมเพื่อเข้าไปที่อนุสาวรีย์เทพมังกร แล้วพวกเขาล่อปีศาจปลาไนน้ำออกไปตอนนั้นได้อย่างไร”
เจียงซั่งหังพูด “นั่นคือความสามารถพิเศษของปีศาจปลาไนน้ำ เราไม่รู้ว่ามันกลายพันธุ์หรือได้รับชะตาลิขิตอะไรมา แต่มันสามารถมองข้ามกำแพงอาคมที่วางโดยศิษย์พี่ระดับจิตวิญญาณใหม่ของเราได้ โชคดีที่มันไม่สามารถผ่านสภาพภูมิประเทศแปลกประหลาดของแดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ไปได้ ดังนั้นเราจึงสามารถหนีจากมันมาได้ เมื่อเราออกไปครั้งก่อน ศิษย์พี่เริ่นดึงเกล็ดของมันบางส่วนออก เขาน่าจะใช้เกล็ดพวกนั้นเพื่อล่อมันออกมา”
“โอ้” พอได้ยินเช่นนี้ ความคิดแวบเข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอ สัตว์ปีศาจไม่มีอาวุธเวท ดังนั้นความสามารถพิเศษของมันก็น่าจะติดอยู่ที่ตัว ถ้าเป็นเช่นนั้น ซากของปีศาจปลาไนน้ำตัวนั้นสามารถใช้สร้างอาวุธเวทที่ผ่านกำแพงอาคมไปได้หรือไม่
“ศิษย์น้องเยี่ย…” เจียงซั่งหังพูดอย่างค่อนข้างลังเลขณะที่เขามองไปที่กำแพงอาคม “ข้าคิดว่า… ไม่ว่าอะไรที่อยู่ข้างในจะต้องค่อนข้างอันตรายแน่ เราจะเข้าไปกันจริงๆ หรือ”
“เข้าสิ! ทำไมจะไม่เข้าล่ะ” โม่เทียนเกอผู้ที่ตอนแรกไม่ได้มีความสนใจแม้แต่นิดเดียวกับตำหนักใต้บาดาลในแดนแห่งมังกรซ่อนลายกลับมุ่งมั่นมากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดนอกไปจากมุ่งมั่นจะแก้แค้นเริ่นอวี่เฟิงที่วางแผนร้ายต่อนาง!
“ตกลง” เจียงซั่งหังพยักหน้ายืนยันการตัดสินใจของเขา “ถ้าไม่ยอมเสี่ยงก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร เพื่อให้ได้รับชะตาลิขิต เราต้องกล้าเผชิญอันตราย” เมื่อเขายังอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้หลายปีก่อน เขาคงไม่สนใจกับสิ่งนี้แน่ ชีวิตสุขสบายที่เขามีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ฉุดรั้งความเด็ดเดี่ยวของเขาเอาไว้
“ศิษย์น้องเยี่ย” ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในม่านพลังเคลื่อนย้าย เจียงซั่งหังต้องการยืนยันอะไรบางอย่างให้แน่ใจ “ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วจริงๆ หรือ”
“แน่นอน! แต่ก็ต้องขอบคุณยาวิเศษที่ศิษย์พี่เจียงให้ข้าด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะยานั้น ข้าคงไม่ได้ฟื้นตัวเร็วเช่นนี้” ฤทธิ์ของยาวิเศษที่เขาให้นางดีกว่ายาเขียวขยายกำลังเสียอีก
ยาเขียวขยายกำลังเป็นมรดกของตระกูลอวี๋จากโรงเรียนตานติ่ง เมื่อนางยังอยู่ในตระกูลอวี๋ หัวหน้าตระกูลอวี๋ให้ยานางมาขวดหนึ่งเต็มๆ เพื่อเป็นการขอบคุณ จากมุมมองของโม่เทียนเกอ ยาเขียวขยายกำลังเป็นยาวิเศษสำหรับการรักษาที่ดีเยี่ยมมากแล้วสำหรับผู้ฝึกตนที่ดินแดนต่ำกว่าระดับจิตวิญญาณใหม่ แต่กระนั้น ผลของยาวิเศษที่เจียงซั่งหังให้นางกลับยิ่งดีกว่ายาเขียวขยายกำลังอย่างไม่น่าเชื่อ นางสงสัยว่าเป็นยาแบบใดกัน…
เจียงซั่งหังหยุดพูดและโม่เทียนเกอไม่ได้ถามต่อ ทั้งสองคนเข้าสู่ม่านพลังเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นด้วยแสงสว่างจ้าที่ระเบิดออก ทั้งสองคนก็ไปอยู่ในอีกที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว
วินาทีที่พวกเขาเข้ามาในสถานที่นั้น โม่เทียนเกอสะดุ้งทันที ลมปราณนี้…
พวกเขาถูกรายล้อมไปด้วยน้ำทะเลขุ่นมัว แตกต่างจากสีฟ้าเข้มข้างนอกโดยสิ้นเชิง สถานที่แห่งนี้มืดมิด อึดอัด และโดดเดี่ยว มีลมปราณบางอย่างหมุนวนอยู่รอบๆ ทั้งน่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังใหญ่และเงียบอีกด้วย รู้สึกราวกับว่ามันมีต้นกำเนิดมาจากสมัยโบราณ นำพาความโดดเดี่ยวและหมองมัวไม่มีที่สิ้นสุดมาให้
ขณะที่นางถูกลมปราณโอบล้อม โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนกับว่านางกลับไปสู่ยุคโบราณ เสมือนหนึ่งว่าพายุกำลังก่อตัว สัตว์วิเศษกำลังรวมตัว และผู้ฝึกตนกำลังเคลื่อนไปรอบๆ โดยไม่หยุดยั้ง ยุคอดีตกาลนั้น ลมปราณโบราณนั้น และแรงกดดันพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้น!
ลมปราณเทพมังกร… ไม่น่าแปลกใจที่มันเรียกว่าลมปราณเทพมังกร!
โม่เทียนเกอไม่สามารถคิดชื่อที่ดีกว่านี้เรียกมันได้เลยนอกจากลมปราณเทพมังกร
นางเงยหน้ามอง ตรงกึ่งกลางของพื้นที่ว่างมีแผ่นจารึกหินสูงมากแผ่นหนึ่งตั้งอยู่ ภาพที่ชัดเจนของเทพมังกรถูกวาดอยู่ตรงกลางแผ่นจารึกหินและคำหลายคำถูกจารึกไว้อย่างใกล้ชิดรอบๆ ภาพนั้น รอยจารึกนั้นยังคงเห็นได้อย่างชัดเจนแต่สีทึมๆ บนพื้นผิวที่มีรูปนั้นผ่านวันเวลามาแล้วชั่วนิรันดร์
นี่เป็นมรดกของสำนักเจิ้งฝ่ามาหลายพันปี อนุสาวรีย์เทพมังกร
โม่เทียนเกอก้าวไปข้างหน้า นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากสัมผัสมัน
“ศิษย์น้องเยี่ย อย่า!”
ในเสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือของนางสัมผัสกับอนุสาวรีย์ ลมปราณเทพมังกรกระเพื่อมขึ้นลงและรวมเข้าด้วยกัน ทันใดนั้นมันก็สะท้อนออกจากอนุสาวรีย์เข้ามาหานาง
“อ้า!” โม่เทียนเกอรู้สึกถึงความเจ็บปวดทิ่มแทงฝ่ามือนาง และในชั่วพริบตา ทั่วทั้งร่างนางก็ถูกเหวี่ยงออกไป นางไม่มีแม้แต่ความสามารถจะต้านทานได้เลยสักนิด!
“ศิษย์น้องเยี่ย!” เจียงซั่งหังรีบวิ่งเข้ามาหาและช่วยนางลุกขึ้นทันที “ห้ามแตะอนุสาวรีย์เทพมังกร มันจะไม่ทำร้ายใครตราบใดที่มันไม่ถูกสัมผัส”
หลังจากโม่เทียนเกอฟื้นตัว นางก็มองที่ฝ่ามือตัวเอง ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บหรืออะไรก็ตามที่มองเห็นได้ แต่ความปวดแสบปวดร้อนที่นางรู้สึกเมื่อครู่นี้ยังคงหลงเหลืออยู่ โม่เทียนเกอแอบรู้สึกกลัว พลังของลมปราณเทพมังกรนั้นน่าเกรงกลัวอย่างแท้จริง มันทำให้นางสูญเสียความสามารถในการต้านทาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 182 วิหารบูชายัญโบราณ
ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานถือได้ว่าเป็นระดับการฝึกตนที่ดีพอแล้วในโลกแห่งการฝึกตนปัจจุบัน แต่ในสมัยโบราณ ยุคซึ่งมีผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่อยู่ทั่วไป ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานก็เปรียบได้กับมดเท่านั้น
โม่เทียนเกอเพ่งมองอนุสาวรีย์เทพมังกรที่อยู่ต่อหน้านาง เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกด้อยค่ามากจนเหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ประหนึ่งว่านางจะสลายหายไปในน้ำตราบใดที่มีคลื่นซัดมา
นี่คือแรงกดดันอันทรงพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากยุคกลาง ถึงแม้สิ่งเดียวที่ยังคงเหลือจะเป็นลมปราณของพวกมันเท่านั้น
แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็คงไม่มีความสามารถต้านทานได้เช่นกันภายใต้แรงกดดันนี้ นับประสาอะไรผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน
“ศิษย์น้องเยี่ย!”
เสียงเจียงซั่งหังปลุกโม่เทียนเกอให้ตื่นจากภวังค์ จากนั้นนางพูดพร้อมกับถอนใจ “ไม่น่าแปลกใจที่มันถูกเรียกว่าลมปราณเทพมังกร ช่างเป็นพลังที่น่าเกรงขามยิ่งนัก…”
เจียงซั่งหังพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ถ้าเจ้าเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล เจ้าจะพบว่าลมปราณเทพมังกรที่นั่นยิ่งรุนแรงกว่านี้”
“ลมปราณเทพมังกรที่รุนแรงยิ่งกว่า…” โม่เทียนเกอพึมพำ การมีอยู่ของลมปราณเทพมังกรที่รุนแรงยิ่งกว่าแสดงให้เห็นว่าตำหนักใต้บาดาลนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาและภัยอันตรายก็อาจจะร้ายแรงมาก ท้ายที่สุดแล้วที่นั่นมีสมบัติแบบไหนกันเริ่นอวี่เฟิงถึงเลือกที่จะวางแผนทำร้ายนางก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปเสียอีก
“ช่างมันเถอะ ไม่จำเป็นต้องกังวลไป เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราเข้าไปได้” โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ แล้วจึงถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ทางเข้าตำหนักใต้บาดาลอยู่ที่ไหนหรือ”
เจียงซั่งหังเดินอ้อมอนุสาวรีย์เทพมังกรไปกับนาง หลังจากนั้นโม่เทียนเกอเห็นว่าบนพื้นเรียบมีปากถ้ำดำมืดอยู่ ถ้านางไม่ได้สนใจนางก็อาจจะคิดว่ามันเป็นหลุมที่ปลาหรือกุ้งขุดเอาไว้ในพื้นใต้ทะเล
“ตรงนี้รึ”
“อื้อ” เจียงซั่งหังพูด “ปากถ้ำนี้ไม่ได้เปิดด้วยวิธีปกติที่จำเป็นอย่างแน่นอน มันอาจจะเปิดเองเพราะถูกลมปราณเทพมังกรดึงดูดมาที่นี่”
สถานที่ลับหลายแห่งถูกซ่อนไว้และไม่เป็นที่รู้จักในตอนแรก แต่ไม่มีอะไรสามารถเอาชนะกาลเวลาได้ ดังนั้นพลังที่มันเคยมีแต่เดิมจึงค่อยๆ ลดลงทีละน้อย ซึ่งน่าจะเป็นกรณีของตำหนักใต้บาดาลนี้ด้วย
ทั้งสองคนใช้เวลาสั้นๆ ตรวจดูข้าวของของตัวเอง เมื่อพวกเขาพร้อมแล้ว เจียงซั่งหังก็เป็นฝ่ายนำอีกครั้ง ค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในถ้ำช้าๆ
ทางเดินหินแคบและมืด… เหมือนกับตำหนักใต้บาดาลบนพื้นดิน
ทันทีหลังจากที่นางเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล คลื่นของความพร่ามัวชั่วขณะถาโถมเข้าใส่นางเพราะลมปราณเทพมังกรที่นี่ยิ่งหนากว่าเดิม พลานุภาพศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้นำพามาซึ่งร่องรอยของพลังโบราณ และการอยู่ภายใต้แรงกดดันของพลังเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ อย่างพวกเขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
หลังจากใช้เวลาสักพักเพื่อควบคุมลมปราณเงียบๆ จิตใจโม่เทียนเกอจึงสงบลงในที่สุด ภายใต้ผลของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ ไม่น่าเชื่อว่านางยังคงรู้สึกกลัวอย่างสุดซึ้งได้
เจียงซั่งหังที่ยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิมพูดเบาๆ “ศิษย์น้องเยี่ย ระวังด้วย เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางเข้าที่แท้จริง อาจจะมีกับดักที่นี่”
โม่เทียนเกอถาม “คราวก่อนพวกท่านเดินไปถึงที่ไหน”
“คราวก่อน นอกเหนือจากศิษย์พี่เริ่น พวกเราทุกคนแค่เดินมาถึงบริเวณนี้” ยามที่เขาพูดเช่นนั้น พวกเขาก็ได้เดินผ่านทางเดินหินเป็นทางยาว เข้าไปในห้องหิน
ห้องหินนี้มีเพดานสูงและขนาดใหญ่โตมาก แสงจากทางเข้าไม่สามารถส่องเข้ามาถึงที่นี่ได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงต้องพึ่งแสงเพียงน้อยนิดจากหินจันทราที่พวกเขาพกมาเพื่อให้แสงสว่าง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นท้ายห้องได้ ที่ห้องหินนี้ไม่มีอะไรเลย มันไม่เหมือนห้องนั่งเล่นแต่ก็ไม่เหมือนห้องโถง มันดูเหมือนจะเป็นเพียงทางเดินหินที่มีพื้นที่กว้างขึ้นหน่อยเท่านั้น
“แต่เดิมปีศาจปลาไนน้ำอาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วก็ไม่รู้” เจียงซั่งหังพูดขณะเดินอยู่ข้างกำแพงเพื่อสำรวจดู
โม่เทียนเกอพูด “จากสภาพที่ดู ห้องหินนี้ต้องมีอายุอย่างน้อยมากกว่าหมื่นปีแน่ ปีศาจปลาไนน้ำเป็นเพียงสัตว์ปีศาจระดับห้า ไม่ว่ามันจะมีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่ มันก็คงไม่ได้อยู่มามากกว่าหมื่นปีหรอกจริงไหม”
เจียงซั่งหังตกใจแต่ไม่นานนักก็ผงกหัว “เจ้าพูดถูก… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเดิมทีปีศาจปลาไนน้ำไม่ได้มาจากตำหนักใต้บาดาล”
“อาจจะ ท่านพูดไม่ใช่หรือว่ากำแพงอาคมรอบอนุสาวรีย์เทพมังกรไม่มีผลอะไรต่อตัวมัน
ทั้งสองคนมองกันและต่างนิ่งเงียบทั้งคู่ ถ้าปีศาจปลาไนน้ำไม่ใช่สัตว์วิเศษที่คอยเฝ้าตำหนักใต้บาดาลนี้ ถ้าเช่นนั้นตำหนักใต้บาดาลอาจจะไม่มีสัตว์วิเศษใดคอยคุ้มครองอยู่ หรือไม่ตำหนักใต้บาดาลเองก็อาจจะยิ่งอันตรายมากกว่าปีศาจปลาไนน้ำเสียอีก
หากเป็นแบบแรกคงจัดการได้ง่ายเพราะพวกเขาก็แค่จำเป็นต้องรุกหน้าต่อและฆ่าเริ่นอวี่เฟิง แต่หากเป็นแบบหลัง… นั่นหมายความว่าตำหนักใต้บาดาลแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาจะสามารถพุ่งเข้าใส่ได้ พวกเขาอาจจะเสียชีวิตไปโดยไม่ได้อะไรเลย
เป็นเวลาสักพักที่ทั้งสองคนต่างหลงอยู่ในความคิดของตัวเอง ท้ายที่สุดเจียงซั่งหังอดไม่ได้ที่ต้องถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
โม่เทียนเกอครุ่นคิดในความเงียบก่อนจะตอบช้าๆ “ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว พวกเขาทั้งแปดคนเดินนำหน้าเรา ดังนั้นหากมีอะไรอันตราย เราก็แค่ต้องถอยกลับให้เร็วที่สุดไม่ใช่หรือ”
ที่จริงแล้วสิ่งที่นางคิดจริงๆ ก็คือมันคงไม่ได้เลวร้ายมากจนนางไม่มีแม้แต่เวลาจะเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง ใช่ไหม ระดับการฝึกตนของเจียงซั่งหังต่ำกว่านาง นางมีหลายวิธีที่ทำให้เขาสลบไปทันทีและดึงเขาเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนด้วยกัน
เจียงซั่งหังลังเลครู่หนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า “เจ้าพูดถูก ข้าว่าเราก็แค่ตามหลังพวกเขาไปตอนนี้”
“อืม เราจะเดินต่อไปสักระยะหนึ่ง หากเรายืนยันได้แล้วว่าไม่มีอันตราย เราก็ลองไปสถานที่อื่นๆ ได้”
เจียงซั่งหังพยักหน้าตกลงและทั้งสองคนจึงออกเดินต่ออีกครั้ง
ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ห้องหิน มันคือทางเดินหินกว้างที่ยาวมาก พวกเขาเดินอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่ถึงปลายทาง โชคดีที่มีร่องรอยที่แปดคนข้างหน้าพวกเขาทิ้งเอาไว้ตลอดทาง พวกเขาไม่กล้าใช้วิชาหลบหนีเช่นกันเพราะเกรงว่าพวกเขาจะถูกคนอื่นเจอตัวและพวกเขาก็กลัวว่าที่นี่จะมีอันตรายอยู่ด้วย
สืบเนื่องจากร่องรอยที่พวกเขาพบตลอดทาง แปดคนข้างหน้าพวกเขาผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ถึงแม้คู่ต่อสู้ของพวกเขาจะไม่ใช่สัตว์ปีศาจ แต่ที่จริงแล้วดูเหมือนว่าพวกเขาจะบังเอิญเจอกับดักบางอย่างเข้าและก็มีปัญหากับทางเดินที่พังทลายลงมาเช่นกัน
โชคดีที่แปดคนข้างหน้าเปิดเส้นทางให้แล้ว ดังนั้นโม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังจึงไม่เจออันตรายใดๆ ตามทาง
พวกเขายังคงเดินในความเงียบต่อไป และท้ายที่สุดเส้นทางก็นำพาพวกเขาเข้าไปในห้องโถงหลัก ประตูหินสูงและหนาซึ่งมีรูปสลักมังกรเหมือนกับที่อนุสาวรีย์เทพมังกรถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เมื่อผ่านประตูห้องโถงเข้าไป ก็พบว่าห้องโถงหลักถูกค้ำไว้ด้วยเสาหินสูงตระหง่านและพื้นถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นหินเป็นระเบียบ ทว่าทุกอย่างมีรูปวาดมังกรแบบเดียวกันอยู่บนพื้นผิว
พวกเขาเดินต่อไปข้างหน้าช้าๆ ในความมืด รูปปั้นหินสูงตระหง่านค่อยๆ ปรากฏขึ้นในระยะการมองเห็นของพวกเขา มันมีทั้งเขากวางและเขาวัวตัวผู้ หัวอูฐ ตากระต่าย ลำคองูใหญ่ ท้องสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล เกล็ดปลา และกรงเล็บนกอินทรี แรงเคลื่อนไหวของมันรุนแรงและลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า
รูปปั้นของเทพมังกร ภายในห้องโถงนี้มีรูปปั้นเทพมังกรตั้งไว้บูชาอย่างไม่น่าเชื่อ!
โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างพูดไม่ออก แรงเคลื่อนไหวของรูปปั้นเทพมังกรนี้ยิ่งน่าเกรงขามกว่าที่อนุสาวรีย์เทพมังกรเสียอีก แรงกดดันแบบนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้
โม่เทียนเกอถอยไปหลายก้าว รักษาระยะห่างระหว่างตัวนางกับรูปปั้นพร้อมกับหายใจหอบ “นี่ไม่ใช่รูปปั้นธรรมดา”
เจียงซั่งหังที่ใบหน้าซีดเผือดพยักหน้า ทั้งสองคนถอยออกมาจนกระทั่งพวกเขามาถึงทางเข้าประตูก่อนที่จะรู้สึกว่าแรงกดดันคลายลง
ไม่มีใครพูด หลังจากผ่านไปสักพัก จู่ๆ โม่เทียนเกอก็พูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่เจียง ท่านคิดว่านี่เป็นสถานที่แบบไหนกัน”
เจียงซั่งหังหันมามองนางแล้วจึงถามด้วยความสับสน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ศิษย์น้องเยี่ย”
โม่เทียนเกอหันตัวไปด้านข้างและชี้ไปที่รอยจารึกตื้นๆ บนหลังประตูหิน “ดูสิ พวกนั้นคือรูปสลักอะไร”
เจียงซั่งหังเข้าไปสำรวจดูพร้อมความสงสัย “ก็แค่รูปธรรมดา… หากสถานที่นี้เก่าแก่มากกว่าหมื่นปี รูปสลักพวกนี้ไม่ได้แปลกไปกว่าปกติเลย”
“ท่านพูดถูก แต่ลองดูใกล้ๆ สิ รูปสลักนั้นวาดถึงอะไร”
เจียงซั่งหังหันไปดูรูปสลักอีกครั้ง ครู่ต่อมา เขาก็หวาดกลัวถึงที่สุด “นี่มัน…”
“มันคือฉากการบูชายัญจากหลายล้านปีก่อน” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ที่นี่อาจจะเป็นวิหารบูชายัญจากยุคโบราณ”
ตามตำนาน วิหารบูชายัญในยุคโบราณถูกสร้างขึ้นเหมือนกับตำหนัก ถึงแม้ตำหนักใต้บาดาลนี้จะดูไม่ประณีต แต่เมื่อได้สำรวจดูให้ถ้วนทั่ว ที่จริงแล้วมันก็เป็นตำหนักที่งดงาม ทางเดินหินกว้างอาจจะเป็นทางเดินหลักที่แท้จริงซึ่งนำไปสู่โถงของวิหาร บนจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ไม่ได้มีคำหลายคำนักเพราะในยุคนั้นเพิ่งมีการเริ่มใช้คำ ดังนั้นคนจึงชินกับการวาดจิตรกรรมฝาผนังเพื่อบันทึกเหตุการณ์มากกว่า
ภาพจิตรกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแท่นบูชายัญสูง พระหลายองค์ซึ่งล้วนใส่ชุดขาวยืนอยู่บนแท่น ขณะที่ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่นั่งคุกเข่าใส่เพียงหนังสัตว์เพื่อปกปิดร่างกาย มีแค่คนจากยุคโบราณเท่านั้นที่ใส่เสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์
“หลายล้านปี…” ใบหน้าเจียงซั่งหังซีดลงอีกครั้งขณะที่ตัวเขาเต็มไปด้วยความกังขา สุดท้ายเขาจึงถามว่า “เป็นไปได้หรือที่เศษซากจากหลายล้านปีก่อนจะยังคงอยู่จนถึงตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น มันอยู่ในมหาสมุทรได้อย่างไรกัน”
โม่เทียนเกอหัวเราะ “ศิษย์พี่เจียง มีสุภาษิตโบราณว่าไว้ ‘เมฆขาวเปลี่ยนเป็นหมาสีเทา ทะเลเปลี่ยนเป็นสวนหม่อน’ ความเปลี่ยนแปลงในกิจของมนุษย์มักจะเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และโลกก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ภายในเวลาหลายล้านปี สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาสมุทรสีฟ้าครามอาจจะกลายเป็นสวนหม่อนไปแล้วในตอนนี้ และสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวิหารบูชายัญก็อาจจะถูกฝังอยู่ใต้มหาสมุทรได้เช่นกัน บางทีอาจจะเพราะมันจมอยู่ใต้มหาสมุทรมันถึงไม่ถูกมนุษย์แตะต้องมาเป็นเวลาหลายล้านปีและสามารถคงสภาพอยู่ได้มาจนถึงบัดนี้”
โม่เทียนเกอลูบพื้นผิวหยาบกร้านของกำแพง สัมผัสถึงยุคอดีตกาลเงียบๆ ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
“หลายล้านปี… เช่นนั้นก็ไม่มีสมบัติอะไรเลยในตำหนักใต้บาดาลนี้…” เจียงซั่งหังบ่นพึมพำ ความผิดหวังวาบขึ้นบนใบหน้าเขา หลังจากหลายล้านปี ไม่ว่าอาวุธเวทอะไรที่เดิมเคยอยู่ที่นี่ก็คงจะไม่มีประโยชน์แล้ว คนเราไม่ควรคิดว่าอาวุธเวทและยาวิเศษจะสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป มันเป็นไปไม่ได้
“ถูกต้อง” โม่เทียนเกอไม่ได้ผิดหวังเลยสักนิด ท้ายที่สุดแล้วเหตุผลแรกเริ่มของนางในการร่วมการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพื่อให้ได้ครอบครองสมบัติ แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ นางก็นิ่วหน้าทันที “ผิดแล้ว… มีสมบัติอยู่ที่นี่”
เจียงซั่งหังเงยหน้ามองด้วยความสับสน “อะไรนะ”
โม่เทียนเกอยิ้มและจ้องมองเขา “เริ่นอวี่เฟิงยอมผ่านความลำบากแทบทุกอย่างแค่เพื่อมาที่สถานที่แห่งนี้และถึงขนาดวางแผนแทงข้างหลังข้าด้วย ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือที่จะไม่มีสมบัติอะไรเลยที่นี่ ถ้านี่เป็นวิหารบูชายัญจากหลายล้านปีก่อนจริง มันคงไม่มีอาวุธเวท ยาวิเศษ หรือของแบบเดียวกันหรอก อย่างไรก็ตาม สถานที่นี้มีลมปราณเทพมังกรที่หนาแน่นยิ่งกว่าที่อนุสาวรีย์เทพมังกร!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เจียงซั่งหังตัวซีดลงอีกครั้ง “ลมปราณเทพมังกร นี่เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง!”
ช่างเป็นพลังที่น่าเกรงขาม… ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่ไม่สำคัญอย่างพวกเขาจะปรารถนาของแบบนั้นได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงพวกเขา แต่แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็ยังไม่กล้าคิดว่าพวกเขาจะสามารถซึมซับพลังลึกลับของยุคโบราณเช่นนี้ไปได้! การซึมซับพลังที่คนนั้นไม่สามารถควบคุมได้จะทำให้ร่างกายระเบิดออกและฆ่าพวกเขาให้ตาย!
“บางทีเขาอาจจะมีวิชาลับอะไรสักอย่าง” โม่เทียนเกอครุ่นคิดพร้อมขมวดคิ้วไปด้วย “อะไรก็ตามที่เรารู้ เริ่นอวี่เฟิงก็ต้องรู้ด้วยแน่นอน ความจริงที่เขาวางแผนเรื่องพวกนี้และเลือกใช้วิธีนี้แสดงให้เห็นว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาไม่ธรรมดา นอกเหนือจากลมปราณเทพมังกร มีอะไรอื่นอีกหรือไม่ที่สามารถตอบสนองความปรารถนาของเขาได้”
เจียงซั่งหังไม่ได้พูดอะไร เรื่องนี้ไปไกลเกินกว่าขอบเขตจินตนาการของเขาจะนึกถึงได้ เขาไม่เคยคิดว่าเริ่นอวี่เฟิงจะมีความคิดเช่นนี้และตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเหมือนกัน เขามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้ก็เพราะเขาต้องการตามหาสมบัติ แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่มันจะไม่มีสมบัติ แต่ยังอาจมีหายนะรอคอยพวกเขาอยู่ด้วยก็ได้
“ศิษย์น้องเยี่ย” หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน เจียงซั่งหังพูดว่า “ในเมื่อไม่มีสมบัติ เราไม่ควรกลับกันหรอกหรือ”
โม่เทียนเกอเองก็สองจิตสองใจกับเรื่องนี้เช่นกัน นางต้องการฆ่าเริ่นอวี่เฟิง แต่นางก็ไม่อยากสูญเสียชีวิตของตัวเองไปในระหว่างนั้นด้วย ใครจะไปรู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะใช้วิชาแบบไหน ถ้าเขาทำสำเร็จและถือครองลมปราณเทพมังกรนั้น ระดับการฝึกตนของเขาจะสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่านางจะเอาชนะเขาได้หรือไม่ก็ต้องเป็นปัญหาแน่ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จและตายเพราะร่างกายของเขาระเบิด แล้ววิชาของเขาจะมีผลอย่างอื่นอีกไหม ถ้ามันทำร้ายนางด้วยเล่า
ทั้งสองคนใคร่ครวญเรื่องนั้นอยู่เป็นเวลานาน ทว่าไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้เลย
ตอนที่ 183 แผนการที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน...
เมื่อทั้งสองคนต่างครุ่นคิดถึงทางเลือกอื่น ก็พลันได้ยินเสียงครืนดังมาจากด้านใน! หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงการผันผวนรุนแรงของพลังวิญญาณ
โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังหันมองหน้ากัน ช่างเป็นการผันผวนของพลังวิญญาณที่รุนแรงนัก… เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
เสี้ยววินาทีต่อมา ลมปราณที่อัดแน่นอยู่เต็มโถงเทพมังกรเกิดการผันแปรอย่างรุนแรงในทันทีและพุ่งสู่ทางด้านหลังเหมือนมีสติเป็นของตัวเอง ปรากฏการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆ ในตอนแรก พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าลมปราณเทพมังกรไหลอย่างช้าๆ ไปทางรูปปั้นเทพมังกรแต่ในตอนหลังมันไหลเร็วขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งว่ามีบางสิ่งบางอย่างดูดซับมันเข้าไปก็ไม่ปาน!
ความประหลาดใจของพวกเขามีมากยิ่งขึ้น พวกเขามั่นใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน แต่พวกเขาก็ต่างไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร
จุดสิ้นสุดของทางเดินหินที่แสนยาวเป็นวิหารหลักซึ่งมีรูปปั้นเทพมังกรตั้งบูชาอยู่ และก็ไม่มีทางเดินอื่นอีก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะต้องเกิดอยู่ทางด้านหลังของโถงเทพมังกรอย่างแน่นอน แต่แรงกดดันของลมปราณเทพมังกรนั้นรุนแรงเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแผ่จิตสัมผัสลึกเข้าไปในวิหารเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาอาจต้องเผชิญกับอันตรายได้หากเข้าไป
พวกเขายังไม่ทันได้คิดไปมากกว่านี้ ก็ได้ยินเสียงครืนดังสนั่นซึ่งฟังเสมือนเป็นเสียงประตูหินเปิดออกซึ่งมาจากส่วนลึกของวิหาร หลังจากนั้นไม่นาน เสียงที่วุ่นวายของฝีเท้าจำนวนมากปนกับเสียงตะโกนที่ดังออกมา “เร็ว! รีบไปเร็ว!”
เสียงนี้…
ทั้งสองคนมองไปยังที่มาของเสียงในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เห็นผู้คนกำลังวิ่งออกมาจากห้องโถงอย่างร้อนรน
“ศิษย์น้องถัง!”
“ศิษย์พี่เจียง!”
สายตาเจียงซั่งหังและถังฟังสบกันพอดี ทั้งสองคนต่างตะลึงงัน เสี้ยววินาทีต่อมา ถังฟังวิ่งไปด้านหน้า ดึงมือของเจียงซั่งหังและวิ่งต่อไปยังทางออก “ศิษย์พี่เจียง วิ่งเร็ว!”
โม่เทียนเกอเบนสายตาไปยังผู้คนด้านหน้านาง ผู้ฝึกตนของสำนักเจิ้งฝ่าต่างวิ่งออกมาจากจุดลึกสุดของโถงเทพมังกร แต่มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้นคือ ถังฟัง อวิ๋เซี่ยวหราน ชิวจื้อหมิง และซย่าโหวย่วน
ทั้งสี่คนดูซีดเซียวและสับสนอย่างมาก และอวิ๋เซี่ยวหรานก็บาดเจ็บ! สำหรับคนอื่นนอกเหนือไปจากสี่คนนี้นั้นไม่มีใครอีกแล้ว
ทันทีหลังจากที่ทั้งสี่คนออกมา ถังฟังรีบดึงเจียงซั่งหังและวิ่งไปยังทางออกด้วยแรงของเขาทั้งหมด ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงต้องวิ่งตามพวกเขาไปด้วย ผู้ฝึกตนแห่งสำนักเจิ้งฝ่าเหล่านี้คล่องแคล่วรวดเร็วยิ่งนักเมื่อพวกเขาใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำ แม้กระทั่งโม่เทียนเกอที่ใส่รองเท้าย่ำเมฆาอยู่ก็ยังยากที่จะตามพวกเขาให้ทัน
“ศิษย์น้องถัง เกิดอะไรขึ้น แล้วศิษย์พี่เริ่นกับคนอื่นๆ เล่า พวกเราวิ่งหนีกันทำไม มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ” เจียงซั่งหังถามพวกเขาขณะที่วิ่งหนีไปด้วย
ถังฟังพูดขณะที่หายใจหอบ “ศิษย์พี่เริ่น… ศิษย์พี่เริ่น…”
ก่อนที่ถังฟังจะพูดอะไรได้อีก ชิวจื้อหมิงตะโกนออกมาด้วยความโมโห “เจ้ายังจะเรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่เริ่น’ เพื่ออะไร! เขาวางแผนหักหลังพวกเราตั้งแต่แรกแล้ว!”
เจียงซั่งหังตกใจ “เกิดอะไรขึ้น นี่ศิษย์พี่เริ่นก็… กับเจ้า…”
ชิวจื้อหมิงผู้ซึ่งประคองอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บอยู่ชี้ไปยังบาดแผลบนหน้าอกของอวิ๋เซี่ยวหราน “นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่เริ่นทำ มันไม่มีสมบัติหรืออะไรก็ตามที่นี่ เขาหลอกใช้พวกเราให้เข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้เพื่อที่เขาจะสืบทอดลมปราณเทพมังกรหลังจากนั้นก็วางแผนที่จะกำจัดพวกเราเพื่อเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ!”
“อะไรนะ” เจียงซั่งหังตะลึงงัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดาถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้จริง! เขาไม่เคยคาดคิดว่าศิษย์พี่เริ่นจะมีเจตนาเช่นนี้! “เขาอยากจะตายอย่างนั้นหรือ แม้กระทั่งปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของพวกเรายังไม่กล้าที่จะยุ่งกับลมปราณเทพมังกรแม้แต่น้อย แล้วนี่เขายังจะ…”
คนที่พูดแทรกเขาคือซย่าโหวย่วน นางพูดออกมาด้วยความโกรธเคือง “ความจริงแล้ว เขาได้รับวิชาลับจากที่นี่เมื่อครั้งที่แล้ว วิชานั้นทำให้เขาสามารถใช้ลมปราณของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากยุคโบราณเพื่อเปลี่ยนร่างกายของเขาให้เป็นร่างที่สามารถครอบครองมรดกสืบทอดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้ หลังจากที่ได้รับวิชาลับนั้นมา เขาก็ได้วางแผนเตรียมการอย่างดีแล้วใช้พวกเราเพื่อเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้พร้อมเจตนาที่จะฆ่าปิดปากพวกเราเมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ!”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินสิ่งนั้น นางและเจียงซั่งหังได้พูดคุยถึงเรื่องนี้มากันก่อนแล้ว เริ่นอวี่เฟิงคงจะได้รับวิชาลับบางอย่างมาดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะอยากได้ลมปราณเทพมังกร สิ่งที่ซย่าโหวย่วนพูดนั้นจึงเป็นเพียงแค่การยืนยันการคาดเดาของพวกเขาเท่านั้น
“และศิษย์พี่ลู่กับคนอื่นๆ ล่ะ”
สีหน้าของถังฟังหดหู่ในทันที “พลังวิญญาณของศิษย์พี่ลู่และศิษย์พี่เซี่ยงนั้นถูกใช้ไปจนหมด และพวกเขาต่างก็ยังบาดเจ็บจากปีศาจปลาไนน้ำตอนที่พวกเขาควบคุมม่านพลังอีก พวกเขาไม่สามารถหนีได้พ้น ดังนั้นจึงถูกศิษย์พี่เริ่นฆ่าเป็นกลุ่มแรก ศิษย์พี่ไอเช่นกัน… ศิษย์พี่ไอนั้นมักจะใกล้ชิดกับศิษย์พี่เริ่นเสมอ แต่เขาก็ฆ่านางไปด้วย…”
“ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร” เมื่อเจียงซั่งหังได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เขาหันหลังกลับไปมองว่าเริ่นอวี่เฟิงไล่ตามพวกเขามาหรือไม่ “ศิษย์พี่เริ่นอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว และเขายังมีอายุขัยอีกกว่าร้อยปีเหลืออยู่ เขาจะต้องมุ่งหวังที่จะก่อแก่นขุมพลังเป็นแน่ ทำไมเขาถึงอยากจะทำเรื่องเหล่านี้กัน!”
“ใครจะรู้” ชิวจื้อหมิงพูดอย่างเย็นชา “ข้าถูกทำให้สับสนตั้งแต่แรกว่าทำไมเขาจึงไม่ขอให้ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่เขาสนิทด้วยให้มาช่วยเขา ทำไมเขาถึงมาขอให้พวกเรามาแทน ในตอนแรกข้าก็คิดแค่ว่าเขาคงต้องการเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่ม ดังนั้นข้าจึงไม่รู้เลยว่าความจริงแล้วเขามีแผนการเช่นนี้!”
ความแตกต่างระหว่างขั้นสุดท้ายกับขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นค่อนข้างมาก ย้อนกลับไปในช่วงการจลาจลของสัตว์ปีศาจ ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงและศิษย์สำนักกู่เจี้ยนบนสันเขาเฉียนเหมินแห่งภูเขาเทียนหั่ว มันเป็นเพราะค่วงจู๋ ผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานอยู่ที่นั่น ศิษย์สำนักกู่เจี้ยนจึงไม่กล้าที่จะทำตัวบุ่มบ่าม ในภายหลังวั่นหงอันซึ่งมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงและกระตุ้นคนอื่นให้เตรียมใช้ม่านพลังกระบี่ ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายต่างปะทะกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อค่วงจู๋เข้ามาแทรกแซง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี และพวกเขาก็ได้รับชัยชนะมาอยู่ในกำมือ
เริ่นอวี่เฟิงอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นอกเหนือไปจากเขา ลู่ เซี่ยง และโม่เทียนเกอนั้นอยู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ขณะที่หกคนที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานสามคนสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ถ้าร่วมมือกัน แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นหกคน ในทางกลับกันนั้นไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเอาชนะผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ของพวกเขาในปัจจุบัน เริ่นอวี่เฟิงนั้นได้วางแผนทั้งหมดมาเป็นอย่างดี สำหรับผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานสามคน ในตอนแรกเขาใช้ให้ลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางเป็นคนคอยดูแลม่านพลัง ทั้งสองคนก็หมดอำนาจไป เมื่อพวกเขาจำเป็นที่จะต้องเปิดกำแพงอาคมรอบๆ อนุสาวรีย์เทพมังกร เขาก็วางแผนต่อต้านโม่เทียนเกอ ดังนั้นผู้ฝึกตนขั้นกลางของการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งสามคนจึงไม่มีกำลังที่จะไปต่อต้านเขา ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นหกคนที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปสู่อนุสาวรีย์เทพมังกรในตำหนักใต้บาดาล เขาจึงลงมือ!
โม่เทียนเกอเยาะเย้ยอยู่ลึกภายในใจ นางไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อยให้กับผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่ากลุ่มนี้ เพราะย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เริ่นอวี่เฟิงหักหลังนาง พวกเขาทุกคนก็เพียงแค่กอดอกยืนดู อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างก็ตกเป็นเหยื่อของเริ่นอวี่เฟิงตอนนี้ ดังนั้นนางจึงสามารถร่วมมือกับพวกเขาได้
“ศิษย์พี่เจียง” โม่เทียนเกอส่งกระแสจิตของนางให้เจียงซั่งหัง “ลองถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เริ่นอวี่เฟิงเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้”
เจียงซั่งหังพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบรับและทำการถามคนอื่น “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ศิษย์พี่เริ่นเป็นอย่างไร เขาครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้วหรือยัง พวกเราจะสามารถหนีได้ไหม”
“พวกเราก็ไม่รู้” คนที่ตอบในครั้งนี้คือชิวจื้อหมิงอีกครั้ง “พวกเราตามเขาเข้าไปที่ตำหนักใต้บาดาล หลังจากนั้นก็เข้าไปที่ห้องโถงเทพมังกรมาตลอดทาง จนสุดท้ายพวกเราก็เข้าไปจนถึงแท่นบูชากระดูกมังกรซึ่งเป็นที่ที่พวกเราเห็นโครงกระดูกมังกรที่นั่น ตอนนั้นเริ่นอวี่เฟิงก็เริ่มหัวเราะเหมือนคนบ้า เขาพูดว่าในที่สุดเขาก็ได้เห็นกระดูกมังกร เขาต้องการที่จะครอบครองลมปราณเทพมังกรและเปลี่ยนเป็นลูกของเทพมังกร หลังจากนั้น ข้าไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาลับอะไร ลมปราณเทพมังกรที่กระดูกมังกรก็วิ่งเข้าหาเขา ศิษย์พี่ลู่ตกใจมากดังนั้นจึงถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เริ่นอวี่เฟิงพูดอย่างภูมิใจว่าตอนที่เขาเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลนี้ด้วยตัวเองครั้งก่อน เขาได้ครอบครองแผ่นบันทึกหินด้านนอกโถงเทพมังกร และในแผ่นบันทึกนั้น เขาก็ได้เห็นภาพวาดเกี่ยวกับการสืบทอดลมปราณเทพมังกร เขารู้สึกต้องการมัน เวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจภาพวาดนั้น ดังนั้นเขาจึงชวนพวกเรามาเพื่อช่วยให้เขาเข้ามาถึงที่โถงเทพมังกรอีกครั้ง เพื่อที่เขาจะนำวิชาลับของเทพมังกรออกไป!”
โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังหันมองหน้ากัน ความจริงแล้ว พวกเขาได้คาดเดาคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ แต่พวกเขาไม่คิดว่าการกระทำของเริ่นอวี่เฟิงจะเป็นขนาดนี้ เขาพาพวกเขาเข้ามาข้างในเพียงเพื่อที่จะปิดปากพวกเขาทุกคน!
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่าลมปราณเทพมังกรคือลมปราณเทพมังกรจริงๆ อย่างนั้นหรือ มันมีแม้กระทั่งโครงกระดูกมังกรอยู่ด้านใน นั่นหมายความว่ามังกรมีอยู่จริง เจ้าแห่งสัตว์วิเศษในตำนาน… ผู้ซึ่งมีชาติพันธุ์ใกล้เคียงกับพระเจ้า… ลมปราณที่ทิ้งไว้เบื้องหลังนั้นก็ทรงพลังมากแล้ว ถ้าเช่นนั้นมังกรที่แท้จริงจะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น แล้ววิหารบูชายัญเกี่ยวข้องกับอะไร หรือว่านี่อาจเป็นสถานที่ฝังศพของมังกรโบราณ
ชิวจื้อหมิงพูดต่อไป “ศิษย์พี่ลู่ถามอย่างตำหนิว่าเขาหลอกใช้พวกเราหรือไม่ แต่เริ่นอวี่เฟิงก็โกรธจนไร้ซึ่งสติและบอกว่าเขาจะสืบทอดลมปราณเทพมังกร เขาบอกว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว และเขากำลังจะกลายเป็นทายาทสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงโกรธที่ศิษย์พี่ลู่กล้าพูดเช่นนั้นกับเขา หลังจากนั้น… หลังจากนั้นเขาก็ฆ่าศิษย์พี่ลู่…” เมื่อถึงจุดนี้สายตาของชิวจื้อหมิงโกรธจัด “พวกเราตกใจกันเป็นอย่างมากเมื่อเขาฆ่าศิษย์พี่ลู่ ศิษย์น้องไอและศิษย์พี่เซี่ยงถามเขาว่าทำไมเขาถึงอยากจะทำร้ายสหายศิษย์ของเขาด้วย เขา… เขาจึงฆ่าทั้งศิษย์น้องไอและศิษย์พี่เซี่ยงทันที!”
หลังจากที่ฟังมาถึงจุดนี้ ทั้งโม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังมองกันอย่างมีนัยยะ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเริ่นอวี่เฟิงผู้นี้ได้เสียสติไปเสียแล้ว เขาแสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความปรานีแม้กระทั่งต่อสหายศิษย์ของเขาเอง!
ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนมักจะสนใจแต่ตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาคือผู้ที่อยู่บนเส้นทางของฝ่ายธรรมะ ศิษย์จากโรงเรียนแห่งเต๋า ในโรงเรียนของพวกเขามีกฎที่ควบคุมพวกเขาอยู่ พวกเขาจะต้องไม่ทำร้ายสหายศิษย์ด้วยกันเอง อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงนั้นละทิ้งซึ่งกฎของโรงเรียน! นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เขาครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้ว เขาไม่ได้วางแผนที่จะอยู่ที่สำนักเจิ้งฝ่าต่อไปแล้วใช่หรือไม่ หรือเขาอาจจะแค่มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่มีทางหนีจากเขาพ้น
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นั้นทำให้สันหลังของโม่เทียนเกอเย็นวาบ
ถ้าเป็นเริ่นอวี่เฟิงก่อนหน้านี้ นางก็ยังคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในการเอาชนะเขาซึ่งเป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อต่อสู้ด้วยสมบัติที่นางมีอยู่ อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงผู้ซึ่งกล่าวกันว่าได้ครอบครองลมปราณเทพมังกรจะแข็งแกร่งขนาดไหนในตอนนี้ นางไม่มีคำตอบแม้แต่น้อย
คำถามต่อไปที่เจียงซั่งหังถามนั้นตรงกับสิ่งที่โม่เทียนเกอต้องการจะรู้พอดี “ศิษย์พี่เริ่นแข็งแกร่งขึ้นมากเลยหรือในตอนนี้”
ชิวจื้อหมิงนิ่งเงียบ ครั้งนี้ถังฟังเป็นคนตอบ “ศิษย์พี่เริ่นน่ากลัวมากในตอนนี้ หลังจากที่ฆ่าศิษย์พี่ลู่ ศิษย์พี่เซี่ยง และศิษย์พี่ไอ พวกเราก็รู้ตัวว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้วเพราะเขาแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเคย ดังนั้นพวกเราจึงรีบหนีในทันที ดูเหมือนกับว่าศิษย์พี่เริ่นอยากจะไล่ตามพวกเรามา แต่เขายังทำการกลืนกินลมปราณเทพมังกรไม่สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงหยุดไล่ตาม พวกเราไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน แต่เมื่อนึกถึงความน่าเกรงขามของลมปราณเทพมังกรแล้ว เขาไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน!”
สิ่งที่ถังฟังพูดทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกได้ในทันทีว่าสถานการณ์ของพวกนางนั้นเลวร้ายสุดๆ เริ่นอวี่เฟิงมีวิธีในการดูดกลืนลมปราณเทพมังกรจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าลมปราณเทพมังกรนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้าเริ่นอวี่เฟิงรอดชีวิตจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในการครอบครองพลังน่าเกรงขามนั้น เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน ถึงแม้ว่าการที่จะก้าวสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่โดยตรงนั้นจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปได้สำหรับเริ่นอวี่เฟิงในการที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ในทันทีหลังจากที่ครอบครองลมปราณเทพมังกร! ”
โม่เทียนเกอเชื่อว่านางสามารถต่อกรกับสัตว์ปีศาจระดับห้าได้ และหากจะแย่ไปกว่านั้น นางก็สามารถหนีเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ กระนั้นก็ตาม นางไม่มีทางต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแน่นอน! มนุษย์ครอบครองความฉลาดในขณะที่สัตว์ปีศาจนั้นไม่มี ในการต่อสู้ที่ทั้งสองฝ่ายต่างเฉลียวฉลาดพอๆ กัน ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสินถึงผลลัพธ์ ไม่ว่านางจะมีสมบัติติดตัวมากแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์ และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะด้วยกลยุทธ์ใดก็ไร้ประโยชน์
กลไกการในสมองของนางทำงานอย่างเต็มกำลัง นางวางแผนในการที่จะหลบหนีจากเรื่องนี้แล้ว ทางที่ง่ายที่สุดคือการเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่นางจะทำอย่างไรไม่ให้คนเหล่านี้จับได้ อีกอย่าง ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ห่วงคนอื่นๆ แต่อย่างน้อยนางก็อยากจะช่วยเจียงซั่งหัง
ตอนที่ 184 แยกกันเพื่อหนี
ทั้งหกคนยังคงวิ่งหนีอย่างลนลาน ทว่าตำหนักใต้บาดาลนี้กว้างขวางเกินไป ในเมื่อพวกเขาใช้เวลาประมาณครึ่งวันในการเข้ามา แล้วจะออกไปได้ทันทีได้อย่างไรกัน
ขณะที่พวกเขาวิ่ง ลมปราณเทพมังกรทั้งหมดในตำหนักใต้บาดาลพุ่งอย่างบ้าคลั่งไปในทางของโถงเทพมังกร
โม่เทียนเกอรีบมองกลับไปโดยเร็ว ทางเดินมืดเงียบสงัดและแหล่งเดียวของแสงริบหรี่มาจากแสงอ่อนๆ ของหินจันทราที่พวกเขาถืออยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ในความเงียบสงัดนี้มีแรงกดดันบางอย่างที่ทำให้นางตัวสั่นไปด้วยความกลัว
ขณะที่ลมปราณเทพมังกรค่อยๆ จางไป แรงกดดันที่มันส่งมาก็เบาบางลงด้วย ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นแต่พวกเขาทั้งหกคนยิ่งรู้สึกกลัวเพราะลมปราณเทพมังกรที่จางหายไปที่จริงแล้วกำลังสะสมเพิ่มขึ้นในร่างของคนคนหนึ่ง และพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นจะลงเอยอย่างไรหลังจากเขาซึมซับลมปราณเทพมังกรทั้งหมดเข้าไป
ระหว่างการหนี จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามดังกึกก้องซึ่งส่งเป็นคลื่นผ่านน้ำและสั่นสะเทือนไปทั้งตำหนักใต้บาดาล
ทั้งหกคนล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป เสียงคำรามนั้นทุ้มต่ำและพวกเขาได้ยินไม่ชัดเจน แต่รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ที่มันนำพามา อานุภาพของเทพมังกร… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเริ่นอวี่เฟิงทำสำเร็จเข้าจริงๆ !
“ศิษย์พี่…” ถังฟังร้องเรียก สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นบูดเบี้ยวน่าเกลียด “เราควรทำอย่างไรกันดี”
สีหน้าขมขื่นปรากฏบนใบหน้าชิวจื้อหมิง “วิ่งหนี! เราทำได้แค่วิ่งหนีไม่คิดชีวิตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และหวังว่าเริ่นอวี่เฟิงจะยังทำอะไรก็ตามที่เขาทำอยู่ไม่เสร็จตอนนี้ เราต้องรีบวิ่งกลับไปที่สำนักและรายงานเรื่องนี้…” จากนั้นเขามองอวิ๋เซี่ยวหรานคนที่เขาลากและดึงมาด้วยพร้อมกับดูทุกข์ใจอย่างสุดซึ้ง “อาการบาดเจ็บของศิษย์น้องอวี๋หนักหนาเกินไป ข้า… ข้าจะพาเขาไปกับข้า พวกเจ้าควรต่างคนต่างทำอะไรที่ทำได้ วิ่งหนีเอาชีวิตรอดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
“ศิษย์พี่ซิว!” ถังฟังหน้าซีดเผือด “ท่านหมายความว่า…”
“พวกเราบางคนต้องหนีให้สำเร็จและรายงานกลับไปที่สำนัก หรือไม่เราทั้งหมดก็จะต้องถูกฝังอยู่ด้วยกันที่นี่!”
“ศิษย์พี่ซิวพูดถูก” ซย่าโหวย่วนพูดพร้อมกับสายตาขึงขัง “ศิษย์น้องถัง! เลิกงอแงได้แล้ว! สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องปกป้องตัวเองในตอนนี้!”
สายตาถังฟังหรี่ลงแต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันและพยักหน้า “ก็ได้ งั้นวิ่งไปคนละทางเถอะ ใครก็ตามที่สามารถหนีได้ต้องกลับไปที่สำนักและแจ้งเรื่องนี้ ถ้าเราหนีไม่ได้ งั้นก็…”
“ก็หมายความว่าเราดวงซวย” เจียงซั่งหังกล่าว สีหน้าเขาแสดงให้เห็นความมุ่งมั่น “เมื่อเราออกจากตำหนักใต้บาดาลนี้ไปได้ เราจะแยกกันและวิ่งหนี โอกาสทำสำเร็จของเราจะสูงกว่าการที่เราหนีออกไปด้วยกัน”
นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
โม่เทียนเกอกำลังฟังบทสนทนาของพวกเขาเงียบๆ พวกเขาทุกคนเป็นศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า จึงยังมีความรักใคร่ต่อกันอยู่บ้าง เช่นชิวจื้อหมิงที่ยินดีจะพาอวิ๋เซี่ยวหรานหนีไปพร้อมกับเขาด้วย ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะถ่วงให้เขาช้าลงมาก แต่นางไม่ใช่ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า สำหรับนางแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่โชคชะตานำพาให้มาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นนางจึงต้องดูแลตัวเอง
“ศิษย์น้องเยี่ย…” เจียงซั่งหังมองนางด้วยความลังเล “เจ้า…”
โม่เทียนเกอรู้ว่านางคงไม่สามารถตามวิชาหลบลี้หนีน้ำของผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทันเมื่ออยู่ใต้น้ำ นางแค่สามารถตามพวกเขามาได้ตอนนี้เพราะพลังแสนพิเศษของรองเท้าย่ำเมฆาและเพราะอวิ๋เซี่ยวหรานบาดเจ็บจึงทำให้ความเร็วของพวกเขาช้าลง
“วางใจเถอะศิษย์พี่เจียง” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ถึงแม้วิชาหลบหนีของข้าจะไม่ดีนัก แต่ข้าก็ยังพอมีวิธีในการปกป้องชีวิตของข้า”
ตอนแรกนางวางแผนหาโอกาสทำให้เจียงซั่งหังสลบและพาเขาเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนกับนาง นั่นอาจถือได้ว่าเป็นการตอบแทนสำหรับมิตรภาพที่เขามีต่อนางด้วยการยอมถูกทิ้งอยู่ข้างหลังเพื่อปกป้องนางตอนก่อนหน้านี้ ทว่าในเมื่อพวกเขามีแผนสำรองแล้วในตอนนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องใช้แผนของนางต่อ ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้นางจะไว้ใจเจียงซั่งหัง แต่ความไว้ใจของนางยังไม่ถึงขั้นที่นางจะทำทุกอย่างที่ทำได้อย่างสุดชีวิตเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะอยู่รอด
สายตาเจียงซั่งหังเหลือบไปมาอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟัน “ถ้าเช่นนั้นก็… ตัวใครตัวมัน ถ้าโชคชะตากำหนด เราจะได้เจอกันอีกในสักวันหนึ่ง”
โม่เทียนเกอพยักหน้า นางอดไม่ได้ที่จะถอนใจอยู่ภายในใจ หลังจากหลายต่อหลายปี ไม่มีคนมากมายนักที่นางสามารถไว้ใจได้ ก่อนนางจะอายุยี่สิบปี นางมีเพียงแค่ท่านอาที่สอง และหลังจากนางอายุยี่สิบปี นางสามารถพึ่งพาคนไม่กี่คนจากโรงเรียนเสวียนชิง ส่วนคนอื่นๆ ที่นางเจอโดยบังเอิญ นางอาจจะสามารถร่วมมือกับพวกเขาได้ระยะหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่สามารถไว้ใจพวกเขาได้อย่างจริงใจ
ตอนแรกนางก็รู้สึกเช่นนั้นกับเจียงซั่งหัง ถึงขนาดรู้สึกโกรธด้วยซ้ำเพราะเขาปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงของการไปที่นั่น แต่ถึงกระนั้น เมื่อเขาเต็มใจยอมละทิ้งโอกาสตามหาสมบัติและอยู่ดูแลนาง นางก็รู้สึกว่าบางทีนางอาจจะไว้ใจเขาได้มากขึ้นอีกนิด แต่ตอนนี้นางไม่มีเวลาจะมาพิสูจน์ความคิดของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
เอาเถิด พวกเขาเป็นแค่คนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ ตัวใครตัวมัน ภายใต้โชคชะตาทุกคนก็เป็นแค่แหนที่ลอยอยู่ พวกเขาเจอกันโดยบังเอิญและแยกจากกันโดยโชคชะตา ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็อาจจะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง ย้อนไปตอนที่พวกเขาหนีจากเขาอวิ๋นอู้ พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกเหมือนกัน
“เช่นนั้นก็เท่านี้ เลิกพูดเยิ่นเย้อกันเสียที แยกย้ายได้!” ชิวจื้อหมิงตะโกนจากนั้นจึงเป็นคนนำในการรีบหนีออกจากตำหนักใต้บาดาล
ไม่มีใครลังเล พวกเขาหนีตามกระแสน้ำออกไปทีละคน ทีละคน
เมื่อออกจากตำหนักใต้บาดาล พวกเขาออกมาผ่านทางม่านพลังเคลื่อนย้ายบนอนุสาวรีย์เทพมังกร แล้วจากนั้นจึงเริ่มใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำ แต่ละคนเหาะหนีไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดของตัวเอง
โม่เทียนเกอเห็นแสงเหินสี่แสงวาบผ่านไปในสี่ทิศทางที่ต่างกันและหายไปในระยะไกล
โม่เทียนเกอไม่ได้หนีไปกับพวกเขา นางหันกลับพร้อมกับถอนหายใจแทน จากนั้นจึงผ่านม่านพลังเคลื่อนย้ายอีกครั้งเพื่อเข้าไปในกำแพงอาคมบนอนุสาวรีย์เทพมังกร
สี่คนนั้นมีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติเมื่ออยู่ใต้น้ำ เพราะฉะนั้นนางต้องแย่แน่ที่ถูกพวกเขาทิ้งไว้ ถ้าเริ่นอวี่เฟิงจำเป็นต้องใช้เวลานาน ทุกคนอาจจะหนีได้ แต่ถ้าในที่สุดเขาเริ่มไล่ตามพวกนาง คนแรกที่เขาจะตามทันก็คงจะเป็นนางเอง
ขณะที่กดตรงหว่างคิ้วของนาง โม่เทียนเกอพึมพำร่ายคาถา แสงสว่างปรากฏขึ้นตรงจุดที่นางกดไว้และยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ หลายวินาทีต่อมา ร่างของนางหายไปจากสายตา หายไปจากแดนแห่งมังกรซ่อนลาย
นางชี้ไปที่ช่องว่างที่หว่างคิ้วอีกครั้งทำให้ไข่มุกปรากฏออกมา จากนั้นนางทำท่าฟันด้วยนิ้วมือ โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแยกเปิดออกก่อให้เกิดรอยแยกซึ่งนางสามารถมองสถานการณ์ด้านนอกได้จากตรงนั้น
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ความกลัวก่อนหน้านี้ของนางจะไม่มีทางกลายเป็นจริงขึ้นมา นางสามารถซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสบายๆ และไม่ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีทางหานางพบ
ยิ่งไปกว่านั้น นางอยากจะเห็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จากยุคอดีตอันไกลโพ้นที่ว่านั้นด้วยเช่นกัน นางต้องการเห็นว่าเริ่นอวี่เฟิงแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนหลังจากเขาซึมซับลมปราณเทพมังกรไป
ทางเข้าของตำหนักใต้บาดาลยังคงเปิดอยู่ดังเช่นก่อนหน้านี้ แต่ลมปราณเทพมังกรข้างในนั้นค่อยๆ อ่อนกำลังลง สุดท้ายแล้วลมปราณที่ยังหลงเหลืออยู่บนอนุสาวรีย์เทพมังกรก็เริ่มจะพุ่งเข้าไปทางตำหนักใต้บาดาลเช่นกัน ในไม่ช้า ลมปราณเทพมังกรในบริเวณใกล้เคียงอนุสาวรีย์เทพมังกรก็หายไปจนหมดสิ้น
โม่เทียนเกอจับจ้องอยู่ที่ทางเข้าตำหนักใต้บาดาล ร่างกายของนางตอนนี้อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ถึงแม้นางจะสามารถมองเห็นสถานการณ์ข้างนอกแต่นางไม่สามารถใช้จิตสัมผัสของตัวเองได้ นางจึงไม่รู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงเริ่มไล่ล่าพวกเขาแล้วหรือยัง อย่างไรก็ตาม ในเมื่อการซึมซับลมปราณเทพมังกรได้หยุดลงแล้ว มีแนวโน้มว่าเขาน่าจะออกมาเร็วๆ นี้
แน่นอนว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างของเริ่นอวี่เฟิงก็รีบเร่งออกมาจากทางเข้า
หลังจากมองเห็นเขาแวบหนึ่ง โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ตัวนางไม่ได้อยู่ข้างนอก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถสัมผัสถึงแรงเคลื่อนไหวปัจจุบันของเริ่นอวี่เฟิงได้ แต่อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอกของเริ่นอวี่เฟิงนั้นต่างจากก่อนหน้านี้ไปหลายขุม!
เดิมทีเริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนชายหนุ่มในช่วงอายุยี่สิบ เขามีกิริยาท่าทางที่ไม่น่าพึงพอใจและมีใบหน้าซีดขาว อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงคนปัจจุบันมีใบหน้าสีดำสนิทและท่าทางชั่วร้าย ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งร่างของเขาแผ่พลังดำมืดราวกับว่าเขาถูกมารเข้าครอบงำ
การได้เห็นรูปลักษณ์ของเขาทำให้หัวใจของโม่เทียนเกอกระตุก มังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคอดีตอันไกลโพ้นซึ่งลือกันว่าน่ายำเกรงและมีแรงเคลื่อนไหวท่วมท้น พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าที่สุดโดยกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นลมปราณเทพมังกรบนอนุสาวรีย์เทพมังกรนี้ หรือลมปราณเทพมังกรบนรูปปั้นเทพมังกรข้างในตำหนักใต้บาดาล ทั้งคู่ล้วนให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์
แต่รูปลักษณ์ปัจจุบันของเริ่นอวี่เฟิงดูราวกับว่าเขาถูกมารเข้าครอบงำ นางไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ของลมปราณเทพมังกรในตัวเขาได้แม้แต่นิดเดียว!
โม่เทียนเกอแน่ใจว่าเขาไม่ได้ซึมซับลมปราณเทพมังกรและกลายเป็นลูกของเทพมังกรที่ว่าแน่ๆ แต่ถ้าอย่างนั้นทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับอะไรกัน
เริ่นอวี่เฟิงก้าวขึ้นบนม่านพลังเคลื่อนย้าย หลังจากนั้นเขาถูกส่งออกไปยังบริเวณนอกเขตกำแพงอาคมบนอนุสาวรีย์เทพมังกร
โม่เทียนเกอครุ่นคิดว่านางจะทำอะไรต่อไปอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางจึงกดที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วเพื่อออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน จากนั้นจึงเดินเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลอีกครั้ง
โลกนี้คงอยู่มาหลายล้านปีตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ในเวลาหลายล้านปีนั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายช่วงเวลาคือ ยุคอดีตอันไกลโพ้น ยุคสูญสิ้นเทพเจ้า ยุคกลาง และยุคปัจจุบัน
เมื่อแรกเริ่มของการสร้างโลก โลกเกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาและทั้งเทพเจ้าและวิญญาณก็ปรากฏกายขึ้น นี่คือยุคอดีตอันไกลโพ้น ยุคอดีตอันไกลโพ้นอยู่มาไม่น้อยกว่าหลายล้านปี ในตอนแรกมันเป็นโลกแห่งเทพเจ้า ปีศาจ และวิญญาณ เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ปรากฏขึ้นในภายหลัง เหล่าเทพเจ้าจึงลาจากโลกมนุษย์ไปแต่วิญญาณยังคงอยู่ดังเดิม
ยุคที่ปีศาจ วิญญาณ และมนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกันเรียกว่ายุคโบราณ
ในระหว่างยุคอดีตอันไกลโพ้นที่ยาวนาน ยุคโบราณเป็นเวลาหลายแสนปีที่พิเศษพอกัน มนุษย์ที่เกิดค่อยๆ กลายเป็นมันสมองของโลกนี้ และในเวลาต่อมาผู้ฝึกตนก็ปรากฏกายขึ้นในหมู่มวลมนุษย์เหล่านั้น หลายแสนปีให้หลัง สติปัญญาของพวกเขาสูงขึ้น พวกเขาเรียนรู้วิธีฝึกตนจากปีศาจและวิญญาณ คนที่โน้มเอียงไปทางวิญญาณกลายเป็นเซียน และคนที่โน้มเอียงไปทางปีศาจกลายเป็นมาร
พลังของเซียนและมารค่อยๆ แกร่งกล้ายิ่งขึ้นทีละน้อยจนสุดท้ายก็เกิดสงครามขึ้นระหว่างพวกเขา เทพเจ้าที่เป็นผู้สร้างกฎแห่งโลกใบนี้ได้เข้ามาก้าวก่าย สั่งให้เซียนและมารที่แกร่งมากพอเปลี่ยนลักษณะและบินขึ้นไปยังสวรรค์ สั่งให้ปีศาจและวิญญาณย้ายไปในอีกโลกหนึ่ง เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมที่อ่อนแอกว่าอยู่ในโลกมนุษย์ ด้วยเหตุนั้นยุคโบราณจึงสิ้นสุดลง
ในระหว่างยุคโบราณเป็นยุคที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นผู้ปกครองโลก สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะหรืออธรรมที่ฝึกฝนเพื่อให้ได้รับพลังเวท พวกมันเกิดมาพร้อมกับพลังจิตแต่กำเนิด ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมันเกือบจะเหมือนดั่งเทพเจ้า พวกมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าทั้งเซียนและมารมากนัก พวกมันยังเป็นแหล่งที่มนุษย์ผู้ฝึกตนเรียนรู้ในการฝึกฝนศาสตร์ต่างๆ อีกด้วย
ตัดสินดูจากรูปวาดฉากการบูชายัญของมัน วิหารบูชายัญเทพมังกรนี้อาจจะมีมาตั้งแต่ช่วงเวลาไม่นานหลังจากมนุษย์ปรากฏขึ้น ช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่ได้ฝึกตนเป็นเซียนหรือมาร ยุคอดีตอันไกลโพ้นมีอยู่มานานหลายล้านปี และยุคโบราณก็กินเวลาไปประมาณหลายร้อยปีในยุคนั้น ยุคโบราณยังเป็นช่วงที่มนุษย์เกิดขึ้นเช่นกัน ในระหว่างช่วงเวลานั้น เทพเจ้าลาจากโลกมนุษย์ไปทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นอำนาจที่น่าเกรงขามที่สุดที่มนุษย์ได้ติดต่อด้วย พวกมันมีสายเลือดเทพเจ้า จึงเป็นที่เคารพบูชาอย่างมาก เป็นอำนาจชนิดที่แกร่งที่สุดท่ามกลางพวกวิญญาณ
ในระหว่างยุคโบราณ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คือเทพเจ้าในใจของพวกมนุษย์
ลมปราณเทพมังกรบนอนุสาวรีย์เทพมังกรและในตำหนักใต้บาดาลมีความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ เท่าที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ควรมีโดยแท้
ถ้าคนคนหนึ่งซึมซับลมปราณเทพมังกรเช่นนั้นไปจริงๆ พลังวิญญาณในร่างกายพวกเขาก็จะต้องบริสุทธิ์แน่นอน มันจะไม่ดำมืดอย่างคนพวกที่ถูกมารเข้าครอบงำแน่ๆ
เซียนกำเนิดมาจากวิญญาณขณะที่มารกำเนิดมาจากปีศาจ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยสำหรับคนที่ซึมซับลมปราณจิตวิญญาณที่จะกลายเป็นมารไปได้!
โม่เทียนเกอมั่นใจว่าวิธีการซึมซับลมปราณเทพมังกรที่ว่านั้นของเริ่นอวี่เฟิงจะต้องผิดแน่นอน แต่มันจะผิดไปได้อย่างไร
ไม่มีเหตุผลเลยที่วิชาลับจากวิหารบูชายัญเทพมังกรแห่งนี้จะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นมารผู้ฝึกตน มิเช่นนั้นแล้วจะอธิบายลมปราณเทพมังกรที่หนาแน่นนี้ได้ว่าอย่างไร
วิญญาณหยุดยั้งปีศาจ สิ่งที่เป็นจิตวิญญาณต่างๆ ก็มีพลังโดยกำเนิดที่คอยยับยั้งพวกมาร ตามหลักเหตุผลแล้ว พลังของมารไม่ควรจะปรากฏขึ้นในที่ที่มีลมปราณเทพมังกรอยู่
นอกเสียจากว่า… พลังบนร่างของเริ่นอวี่เฟิงไม่ใช่พลังของมารจริงๆ หรือว่า… นี่มันไม่ใช่ลมปราณเทพมังกรเลยสักนิด!
โม่เทียนเกอเข้าไปในโถงเทพมังกรอีกครั้ง
เมื่อไม่มีลมปราณเทพมังกร รูปปั้นเทพมังกรนี้จึงไม่มีแรงกดดันที่มันปล่อยออกมาตอนก่อนหน้านี้
นางเดินอ้อมรูปปั้นเทพมังกรแล้วจากนั้นจึงก้าวเข้าไปในประตูหินซึ่งถังฟังและคนอื่นๆ วิ่งหนีออกมาตอนก่อนหน้านี้
ถึงแม้ว่านางจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่โม่เทียนเกอก็ยังตกใจ
นี่คือโครงกระดูกขนาดใหญ่ ถึงแม้มันจะเสียชีวิตไปเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว แต่แรงกดดันที่มันทิ้งไว้นั้นช่างน่าหวาดกลัว
นี่คือโครงกระดูกเทพมังกร
ตอนที่ 185 ทรมาน
โครงกระดูกขนาดมหึมานอนนิ่งพาดผ่านลานจัตุรัสกว้างที่ยกสูงขึ้น แต่ละส่วนถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูประดุจมังกรตัวจริงกำลังมองพวกมนุษย์เบื้องล่าง ท่าทางของมันเป็นธรรมชาติ สง่างามและศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งว่ายังมีชีวิตอยู่ บนโครงกระดูกสีขาวบริสุทธิ์ไม่มีรอยด่างอย่างที่ควรจะเป็นเนื่องจากเวลาหลายล้านปีที่ผ่านไปเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับดูค่อนข้างเงางามด้วยซ้ำ
โม่เทียนเกอรู้สึกเหมือนนางกำลังมองภาพทิวทัศน์จากหลายล้านปีก่อน สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงนอนอยู่บนจัตุรัสนั้น กำลังมองมนุษย์เบื้องล่างอย่างเงียบๆ มันดูขี้เกียจและผ่อนคลายราวกับว่ามันยอมรับการบูชาจากมนุษย์ แต่ละท่วงท่าของมันคงจะมีความศักดิ์สิทธิ์และสง่าผ่าเผยของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ตอนนี้แรงเคลื่อนไหวของมันก็ยังคงน่าประหลาดใจ
ขณะที่โม่เทียนเกอเดินไปข้างหน้าช้าๆ นางมองขึ้นไปยังโครงกระดูกของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณตัวนี้
ทั้งแรงเคลื่อนไหวและพลังวิญญาณของมันยังคงหลงเหลืออยู่ที่นั่น รู้สึกศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ เหมือนกับลมปราณเทพมังกรด้านนอกแต่รุนแรงยิ่งกว่า ทำให้โม่เทียนเกอแทบหายใจไม่ออก
แต่ทำไมกัน ทำไมเริ่นอวี่เฟิงถึงกลายเป็นเช่นนั้น ตามหลักเหตุผลแล้วลมปราณเทพมังกรไม่ควรทำให้คนถูกมารเข้าครอบงำ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการถูกมารเข้าครอบงำแล้วจะอธิบายรูปลักษณ์ของเริ่นอวี่เฟิงได้ว่าอย่างไรอีกเล่า หรือว่า… บางทีเขาอาจจะใช้วิธีที่ผิด
ก่อนนางจะคิดหาเหตุผลได้ โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงเส้นใยของ… จิตสังหารกำลังใกล้เข้ามา ภายใต้แรงกดดันของลมปราณเทพมังกร นางไม่สามารถขยายจิตสัมผัสของนางออกไปได้ แต่จิตสังหารนั้นไม่จำเป็นต้องใช้จิตสัมผัสของนางไปสัมผัส เพราะมันแผ่มาถึงนางอย่างเปิดเผย
ชั่วขณะที่นางสัมผัสมันได้ โม่เทียนเกอกดพื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วของนางทันทีเพื่อเปิดโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วจึงซ่อนอยู่ในนั้น
จิตสังหารนี้ไม่ได้มาจากใครอื่น ต้องมาจากเริ่นอวี่เฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ใครบางคนรีบวิ่งมาจากทางเข้า คนนั้นคือเริ่นอวี่เฟิง เขากำลังจับตัวคนสองคนที่เขาจับได้ คนหนึ่งคือชิวจื้อหมิงและอีกคนคือซย่าโหวย่วน
ครั้นเห็นฉากตรงหน้านี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกตัวนางผ่อนคลายลง นั่นไม่ใช่เจียงซั่งหัง บางทีเขาอาจจะหนีไปได้แล้วจริงๆ
ภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เริ่นอวี่เฟิงโยนผู้ถูกจับสองคนลงที่พื้น เขาพูดอย่างเย็นชา “เจ้าอยากจะหนีงั้นรึ ฮึ่ม!”
เริ่นอวี่เฟิงไม่แสดงความปรานีใดๆ ทำให้ชิวจื้อหมิงและซย่าโหวย่วนที่จู่ๆ ก็ถูกจับโยนลงพื้นส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่าสะพรึง จากแรงเคลื่อนไหวของเขา โม่เทียนเกอคาดว่าระดับการฝึกตนของเริ่นอวี่เฟิงจะต้องอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเป็นอย่างต่ำ
รอยย่นปรากฏขึ้นที่คิ้วของโม่เทียนเกอขณะที่นางมองภาพด้านนอก
“ศิษย์พี่!” ซย่าโหวย่วนตะเกียกตะกาย เมื่อนางเห็นจิตสังหารที่ชัดเจนบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิง นางอ้อนวอน “ศิษย์พี่เริ่น ไม่ว่าอย่างไรเราก็มาจากสำนักเดียวกัน ท่านอาจารย์ของข้าและอาจารย์ลุงปู้ฉีก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ได้โปรดนึกถึงมิตรภาพเก่าแก่ของเราและปล่อยข้าไปเถิด!”
ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยพลังดำมืด เริ่นอวี่เฟิงมองนางแล้วจึงเผยรอยยิ้มเยาะอย่างดูถูก “ปล่อยเจ้าไปงั้นรึ ซย่าโหวย่วน เจ้าลืมไปแล้วรึว่าเจ้าเยาะเย้ยข้าอย่างไรก่อนหน้านี้ จากความจริงที่ว่าตระกูลซย่าโหวมีสถานะอยู่บ้างในสำนักเจิ้งฝ่า เจ้าจึงแอบเยาะเย้ยข้าต่อหน้าไอ้เสียน พูดว่าข้าไม่มีทีท่าว่าจะทำการบรรลุผ่านดินแดนได้เพราะอายุของข้า เจ้าจำไม่ได้หรือ เจ้ารู้ไหม… ว่าข้าจำได้ชัดเจนเลยล่ะ!”
“ข้า…” ซย่าโหวย่วนตกตะลึงแต่ไม่นานนักก็เข้าสู่สภาวะตื่นตกใจ “ท ท่าน… ได้ยิน…”
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เริ่นอวี่เฟิงก็เป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้าย และเมื่อดูเผินๆ สถานะของเขาก็สูงกว่านางเช่นกัน ดังนั้นซย่าโหวย่วนจึงไม่น่าจะพูดเช่นนั้นต่อหน้าเขาแน่ ขณะนี้นางดูประหลาดใจอย่างที่สุด นางไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องซุบซิบที่นางพูดกับสหายศิษย์ผู้หญิงของนางลับๆ จะถูกได้ยินโดยบังเอิญจากคนที่โดนนินทาเสียเอง และเขายังถึงขนาดต้องการจะแก้แค้นด้วย
รอยยิ้มดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิง ใบหน้าที่เคยขาวผ่องของเขาถูกปกคลุมไปด้วยพลังดำมืด ทำให้รอยยิ้มของเขายิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก “ในเมื่อเจ้าเป็นสมาชิกตระกูลซย่าโหว ข้าจึงไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ตอนก่อนหน้านี้และทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธไว้เท่านั้น แต่บัดนี้…!” เขาผายมือออกและก้อนพลังดำมืดปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือเขา ภายใต้สายตาหวาดกลัวของซย่าโหวย่วน ก้อนดำนั้นถูกโยนเข้าใส่นางเบาๆ
พลังดำมืดดูเหมือนจะถูกโยนอย่างเบาๆ แทบจะไม่ได้ใช้แรงเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมันสัมผัสเข้ากับซย่าโหวย่วน นางส่งเสียงกรีดร้องสยดสยอง “อ๊าาา” ทันที เสียงกรีดร้องของนางฟังดูน่าอนาถและถึงขนาดทำให้โม่เทียนเกอตัวสั่นได้
ซย่าโหวย่วนถูกพลังดำมืดห่อหุ้มตัวไว้ทั้งหมด เสียงร้องของนางดังเล็ดลอดออกมาไม่หยุด ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เสียงกรีดร้องของนางถ่ายทอดออกมานั้นสุดจะทนฟังได้ หลังจากนั้นทันใด ความเจ็บปวดดูเหมือนจะไม่สามารถทนต่อไปได้อีกสำหรับซย่าโหวย่วนขณะที่นางเริ่มกลิ้งไปบนพื้น
พวกเขาอยู่ลึกลงไปใต้มหาสมุทร แต่เพราะนางกินผลฟองอากาศเข้าไป นางจึงมีชั้นของมนตร์กันน้ำอยู่บนร่างกาย ตอนนี้ที่นางถูกพลังดำมืดห่อหุ้มร่างไว้ มนตร์นั้นจึงค่อยๆ สลายไปทีละนิด โม่เทียนเกอเห็นว่าเมื่อซย่าโหวย่วนเสียมนตร์นั้นไป ทั้งร่างของนางจมดิ่งลง น้ำเข้าตา หู จมูก ปากของนาง และส่วนของผิวเพียงเล็กน้อยที่เปิดเผยออกมาก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังดำมืด ใบหน้านางแสดงให้เห็นความทุกข์ทรมานสุดทนที่นางกำลังเผชิญอยู่
โม่เทียนเกอย่นคิ้ว เปรียบเทียบกับมนุษย์ธรรมดา ผู้ฝึกตนจะมีความอดทนกับความเจ็บปวดได้มากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ควรจะดูน่าสังเวชเพียงนี้ การทรมานที่นางกำลังเจออยู่ตอนนี้ต้องโหดร้ายขนาดไหน และพลังดำมืดนี้คืออะไร มันทำให้ผู้ฝึกตนทุกข์ทรมานถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
ชิวจื้อหมิงกลัวจนตัวแข็งทื่อจากการมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของซย่าโหวย่วน ในทางกลับกัน เริ่นอวี่เฟิงดูพึงพอใจ เขาดูเหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับการที่นางต้องทุกข์ทนทรมาน
ซย่าโหวย่วนกัดฟันขณะที่อดทนกับความเจ็บปวด นางเปลี่ยนจากส่งเสียงฟ่อไปเป็นเสียงกรีดร้อง และเมื่อมนตร์กันน้ำของนางหายไป เสียงกรีดร้องของนางไม่มีเสียงอีกต่อไป หูและจมูกของนางถูกน้ำทะเลไหลบ่าเข้าไปทำให้ใบหน้านางบวมขึ้นและกลายเป็นสีม่วงทันที นางคว้าคอตัวเองโดยอัตโนมัติและดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด
หลังจากเวลาผ่านไปนาน อาจจะเพราะเขารู้สึกว่าเขาสนุกมาพอแล้ว เริ่นอวี่เฟิงถอนพลังดำมืดออกเบาๆ จากนั้นเขายิ้มและมองนางอย่างเห็นใจ “พูดสิ เจ้าทำไปทำไม ถ้าตอนนั้นเจ้าพูดน้อยกว่านี้ บางทีเจ้าอาจจะไม่ต้องลงเอยอย่างวันนี้ก็ได้…”
เพราะนางไม่ถูกพลังดำมืดปกคลุมอยู่อีกต่อไป ร่างของซย่าโหวย่วนจึงเผยออกมาให้พวกเขาเห็นอีกครั้ง นางยังคงไม่มีมนตร์กันน้ำ ดังนั้นนางจึงตัวชุ่มโชกไปด้วยน้ำ ถึงแม้นางจะไม่ได้จมน้ำจนตาย แต่ไม่ว่าอาการบาดเจ็บใดที่นางมีก็จะต้องแย่ลงมากแน่นอน ซย่าโหวย่วนน่าจะเป็นหญิงสาวจากตระกูลผู้ฝึกตนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทุกข์ทรมานอะไรมาก่อน ตอนนี้ที่นางผ่านการทรมานเช่นนั้นมา นางก็เกือบจะตายแล้ว
โม่เทียนเกอยังคงดูต่อไปพร้อมกับนิ่วหน้า เริ่นอวี่เฟิงผู้นี้ช่างโหดร้ายเหลือเชื่อ เขามีความสุขจากการทรมานผู้อื่น! นางเกือบจะมั่นใจว่าทั้งสองคนนี้คงไม่ได้มีชีวิตออกจากที่นี่แน่ ถึงแม้โม่เทียนเกอจะซ่อนตัวอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางและเริ่นอวี่เฟิงไม่มีทางรู้ว่านางอยู่ที่ไหนอย่างแน่นอน แต่ถ้าเกิดเขาซึมซับลมปราณเทพมังกรที่ว่านั้นเข้าไปจริงๆ และได้ครอบครองความสามารถที่นางไม่เข้าใจขึ้นมาล่ะ พิจารณาดูจากพฤติกรรมปัจจุบันของเริ่นอวี่เฟิง เขาต้องไม่ปล่อยนางไปอย่างสบายๆ แน่นอน
แต่เกิดอะไรขึ้นกับเริ่นอวี่เฟิง ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานและเขาก็เป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ทำไมเขาถึงมีความไม่พอใจเช่นนั้นในเมื่อแม้แต่เจียงซั่งหังยังพอใจกับวิธีที่สำนักเจิ้งฝ่าปฏิบัติต่อเขา
เมื่อเริ่นอวี่เฟิงทรมานซย่าโหวย่วนจนหนำใจแล้ว เขาหันมาทางชิวจื้อหมิง เขาจ้องชิวจื้อหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่แสดงสีหน้า ในทางกลับกัน ชิวจื้อหมิงหน้าขาวซีด จากนั้นเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ และเปลี่ยนเป็นขาวซีดอีกครั้ง
จากที่นางเห็นมาจนถึงตอนนี้ ชิวจื้อหมิงมีนิสัยค่อนข้างดุดันแต่เขาก็มีศีลธรรมเช่นกัน เขายอมพาอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บไปกับเขาด้วยตอนที่พวกเขาต้องการหนี ถึงแม้ว่าทำเช่นนั้นจะทำให้เขาช้าลงก็ตาม และเขาก็ยังแสดงความเกลียดชังอย่างมากต่อการกระทำของเริ่นอวี่เฟิง แต่ถึงอย่างนั้นโม่เทียนเกอก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาจะทำอย่างไรในตอนนี้
ทันใดนั้นเริ่นอวี่เฟิงเดินไปข้างหน้าและเข้าใกล้ชิวจื้อหมิงทีละก้าว จังหวะก้าวของเขาช้ามากแต่มันช่างน่าหวาดกลัว ที่จริงแล้วความช้าของเขายิ่งทำให้เขาน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ดูเหมือนเขาจะคิดว่าคนที่กำลังหวาดกลัวนั้นน่าสนุกมาก ดังนั้นเขาจึงจงใจก้าวแต่ละก้าวอย่างมั่นคง
ขณะที่ความกลัวของชิวจื้อหมิงเพิ่มมากขึ้น ใบหน้าเขาก็ยิ่งซีดลง ริมฝีปากของเขาสั่นระริก และเหงื่อเม็ดเป้งไหลลงจากหน้าผากของเขา โม่เทียนเกอสังเกตเห็นด้วยว่าเขาหายใจติดขัด รูจมูกของเขาหุบและขยายอย่างเร็วโดยไม่มีแรงมากนัก
ทันทีที่เริ่นอวี่เฟิงกำลังจะเข้าถึงตัวเขา จู่ๆ เขาก็งอตัวและคุกเข่าลงที่พื้น ใบหน้าเขาย่นยู่เผยให้เห็นสีหน้าน่าเวทนาและทุกข์ทน ทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหลเปื้อนหน้า เขาพูดขณะที่ตัวสั่นเทา “ศิษย์พี่เริ่น ศิษย์พี่เริ่น ข้าไม่เคยทำอะไรไม่ดีต่อท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย…”
เริ่นอวี่เฟิงยืนนิ่ง มองเขาอย่างเหยียดหยาม
เขาไม่ได้พูดอะไร เขาแค่มองอย่างเย็นชา มองชิวจื้อหมิงคนหยิ่งยโสและดุดันที่ร้องไห้จนหน้าย่น จนหายใจยังลำบาก
การต้องการจะเป็นคนหยิ่งยโสนั้นง่ายมาก ตราบใดที่ชีวิตไม่ถูกข่มขู่ด้วยสิ่งใด เจ้าก็จะสามารถแสดงตัวว่าเป็นคนหยิ่งยโสและเอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่บริสุทธิ์และผุดผ่อง อย่างไรก็ตาม การปลดปล่อยความหยิ่งยโสก็ง่ายมากเช่นกัน โดยแทบจะไม่ต้องคิดเลย คนจะยอมก้มหัวที่แสนหยิ่งยโสของพวกเขาและยอมคุกเข่าในทันทีเมื่อต้องเผชิญกับความตาย
โม่เทียนเกอถอนหายใจแผ่วเบา นางรู้ว่าชิวจื้อหมิงไม่ควรถูกว่าที่ทำตัวเช่นนี้ การที่เขายินดีพาอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บไปกับเขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านิสัยของเขาไม่แย่ แต่เมื่อเผชิญกับความตายที่ใกล้เข้ามา ใครจะสามารถแข็งข้ออยู่โดยไม่ลังเลได้ โม่เทียนเกอเชื่อว่านางก็ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ก่อนที่นางจะตัดสินใจเช่นกัน
สำหรับผู้ฝึกตน ชีวิตสำคัญอย่างยิ่ง จุดประสงค์ของการฝึกตนคืออะไร แน่นอนว่าเพื่อให้มีชีวิตยืนยาว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกตน ความรัก ผลประโยชน์ และแม้แต่ศักดิ์ศรียังไม่สามารถเอาชนะสิ่ง “สำคัญที่สุด” นี้ได้เลย
เริ่นอวี่เฟิงดูพอใจมาก มุมปากของเขาเผยอขึ้นช้าๆ เกิดเป็นรอยยิ้มกึ่งเยาะเย้ยกึ่งพอใจ แต่ไม่นานหลังจากนั้น สายตาเขากลับกลายเป็นเย็นชา
“ชิวจื้อหมิง เจ้าดีทุกอย่าง แม้ว่าเจ้าจะยกยอตัวเองมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ได้ทำอะไรไม่ดีต่อข้า ดังนั้นข้าจะไม่ทรมานเจ้า”
พอได้ยินเช่นนี้ ชิวจื้อหมิงรู้สึกความตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลงทันที เขาพูดซ้ำๆ “ขอบคุณศิษย์พี่เริ่น! ขอบคุณศิษย์พี่เริ่น!”
“อย่าดีใจเร็วเกินไป” สายตาเย็นชาและมืดมนของเริ่นอวี่เฟิงมาจับจ้องอยู่ที่เขาอีกครั้ง “ที่ข้าอยากจะพูดก็คือ ข้ายอมให้เจ้าตายแบบเจ็บปวดน้อยลง!”
สีหน้าของชิวจื้อหมิงแข็งทื่อ
สีหน้าของชิวจื้อหมิงทำให้เริ่นอวี่เฟิงระเบิดหัวเราะออกมา เขาพูดว่า “วางใจเถอะ เราทั้งคู่ต่างเคยเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพื้นเพ ข้าจะไม่ทรมานเจ้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายอย่างไม่เจ็บปวด”
สายตาชิวจื้อหมิงเปลี่ยนไปในที่สุด ตาเขายิ่งโตขึ้นขณะที่จ้องเขม็ง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น และคิ้วของเขาขมวดด้วยความโกรธ เมื่อรู้แล้วว่าสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถหนีได้ ความโกรธของเขาจึงพลุ่งพล่านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้น เขายืนขึ้นและชี้ไปที่เริ่นอวี่เฟิง “เริ่นอวี่เฟิง ท่าน–”
“ข้าทำไมรึ” เริ่นอวี่เฟิงหยุดหัวเราะและจ้องชิวจื้อหมิงอย่างรังเกียจ “เจ้าถึงขนาดคุกเข่าต่อหน้าข้า แต่ตอนนี้เจ้ายังอยากจะสั่งสอนข้าอีกรึ”
ชิวจื้อหมิงหน้าแดงก่ำและหยุดแค่เสี้ยววินาที จากนั้นเขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ศิษย์พี่เริ่น เห็นได้ชัดว่าท่านอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว อนาคตในการเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของท่านก็สดใส ทำไมท่านถึงต้องทำอะไรเยี่ยงนี้ด้วย ในหมู่พวกเรา คนเดียวที่มีสถานะสูงที่สุดก็คือท่าน ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะคำนินทาของศิษย์น้องซย่าโหวจริงๆ หรือ”
“คำนินทา” สีหน้าล้อเลียนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิงแต่ก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายอย่างรวดเร็ว “ข้าเหลือทนกับคำนินทาแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าทำอะไร และเจ้าคิดว่าข้าได้อะไรตอบแทนกลับมา ตั้งแต่ข้าเข้ามาในสำนักเจิ้งฝ่า ข้ามักจะฝึกตนอย่างหนักและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นเสมอ ต้นทุนของข้าไม่ดีแต่ข้าก็กล้าพูดว่าไม่มีศิษย์คนไหนที่ขยันมากไปกว่าข้า!”
ขณะที่เขาหายใจรัวขึ้น เขาเริ่มเดินกลับไปกลับมาต่อหน้าชิวจื้อหมิง “ข้าเข้าสำนักเจิ้งฝ่าเมื่อข้าอายุสิบปี ข้าฝึกตนอย่างเต็มที่ทุกวัน ทุกคืน กระทั่งในที่สุดข้าก็สร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จตอนข้าอายุสี่สิบปี เดิมทีข้าคิดว่าในเมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้แล้วและศิษย์พี่ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ยินดีรับข้าเข้าเป็นศิษย์ อนาคตของข้าจะต้องสดใสและไม่มีใครกล้าดูถูกข้าอีกต่อไปแน่ แต่ผลคืออะไรน่ะรึ ผลคืออะไร” เสียงของเขาดังขึ้นอีก “ไม่มีใครพูดอะไรอย่างเปิดเผย แต่ขณะที่ข้าแก่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็หยุดเคารพข้า! พวกเขาบอกว่าต้นทุนของข้าปานกลาง ดังนั้นข้าคงไม่สามารถก้าวไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แน่นอน! ถึงแม้ข้าจะเข้าถึงขั้นกลางและแม้แต่ขั้นสุดท้าย พวกเขาก็ยังคงยึดถือความเชื่อเช่นนั้น! สุดท้ายระดับการฝึกตนของข้าก็ติดขัด เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงรู้สึกภูมิใจ พวกเขารู้สึกพอใจ! พวกเขาภูมิใจเหลือเกินที่เห็นข้าฝึกตนทุกวันทุกคืนโดยไม่ได้ผลอะไรเลย! ท้ายที่สุดแล้วแม้แต่ท่านอาจารย์ที่ข้าเคารพนับถือที่สุดก็ยังเลิกหวังกับข้า!”
หลังจากเขาพูดทั้งหมดนั้น เสียงของเริ่นอวี่เฟิงค่อยๆ เบาลงแต่ดูเหมือนมันจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้าสิ้นหวัง “ข้าไม่ใช่เด็ก ข้าอายุสามร้อยปีเข้าไปแล้ว หากข้าไม่ก่อขุมพลังตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสอีกเลย!”
ตอนที่ 186-1 ใครคือคนที่น่าสงสารกันแน่
สามร้อยปี…
ถึงแม้นางจะเดาไว้นานแล้วว่าเริ่นอวี่เฟิงต้องใช้ยาคงรูปหรือไม่ก็ใช้วิชาการฝึกตนที่มีผลของการคงรูป แต่ความจริงที่ว่าเขาอายุถึงสามร้อยปีแล้วก็ยังทำให้นางประหลาดใจ
สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน อายุสามร้อยปีจะแก่เพียงไรกัน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นต้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนกระทั่งพวกเขาอายุสามร้อยปี ขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นกลางและขั้นสุดท้ายสามารถอยู่ได้ถึงสี่ร้อยปีถ้าพวกเขาดูแลตัวเองอย่างดี อย่างไรก็ตาม สี่ร้อยปีคือขีดจำกัดที่สูงสุด โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะตายไปก่อนพวกเขาอายุเท่านั้น
หากสิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงพูดเป็นความจริง เขาก็ไม่เด็กแล้วจริงด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาก้าวขาลงหลุมไปแล้วข้างหนึ่ง
ในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดน “ยิ่งเด็กก็ยิ่งดี” เสมอ ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการสร้างฐานแห่งพลังงาน โดยทั่วไปศิษย์หัวกะทิของกลุ่มการฝึกตนจะสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อพวกเขาอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปีเป็นอย่างมาก แต่หากเลยอายุห้าสิบปีไปแล้วยังไม่สามารถพัฒนาได้ ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนกับศิษย์ธรรมดา สำหรับศิษย์ธรรมดา โดยทั่วไปพวกเขาจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้ก่อนอายุร้อยปี ถ้าผ่านอายุร้อยปีไปแล้ว โอกาสในการที่จะทำให้สำเร็จจะลดลงอย่างมาก
ในการก่อขุมพลังของคนผู้หนึ่งก็เช่นกัน ก่อนอายุสองร้อยปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการก่อขุมพลัง หลังจากสองร้อยปีไปแล้ว ความยากลำบากที่คนหนึ่งจะต้องเจอในระหว่างการก่อขุมพลังจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ถ้าเริ่นอวี่เฟิงอายุสามร้อยปีแล้วและต้นทุนของเขาอยู่ระดับปานกลางจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่คนอื่นๆ คิดว่าเขาไม่สามารถก้าวหน้าไปถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ ผู้ฝึกตนที่ก่อขุมพลังเมื่อพวกเขาอายุประมาณสามร้อยปีก็มีอยู่ แต่โอกาสทำสำเร็จของพวกเขาจะต่ำกว่าผู้ฝึกตนวัยหนุ่มสาวที่อายุน้อยกว่าสองร้อยปีมาก นอกเสียจากว่าพวกเขาได้พบกับชะตาลิขิต โดยปกติแล้วก็ยากที่พวกเขาจะบรรลุผ่านดินแดนได้
เมื่อผ่านจุดนี้ไปแล้ว พวกเขาจะถูกจัดว่าแก่ การเป็นคนแก่… คือความทุกข์ของผู้ฝึกตน
เริ่นอวี่เฟิงทอดสายตามองความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขาและพูดช้าๆ ว่า “พวกเจ้าคิดว่าที่ข้าก้าวร้าวมากเป็นเพราะความหยิ่งยโสของข้าจริงๆ หรือ ถ้าข้าไม่ก้าวร้าว ไม่หยิ่งยโส ใครจะเคารพข้า แม้แต่ผู้หญิงคนนี้ที่ระดับการฝึกตนต่ำกว่าข้าตั้งมากมายยังดูถูกข้าเลย!”
ใบหน้าเขาแสดงให้เห็นสีหน้าดุร้ายและเขาถลึงตามองซย่าโหวย่วนที่กำลังใกล้ตาย
ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครพูดอะไร
ซย่าโหวย่วนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว ชิวจื้อหมิงก็ยังคงตะลึงงัน เริ่นอวี่เฟิง… มีสีหน้าแสนชั่วร้าย ทว่าเขาก็ทำเพียงแค่จ้องมองไปในความว่างเปล่าอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเฝ้ามองพวกเขาเงียบๆ
นี่คือความโหดร้ายของเส้นทางการฝึกตน ไม่ว่าในตอนเริ่มแรกคนนั้นจะฉลาดหลักแหลมแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังคงถูกคนอื่นเยาะเย้ยอยู่ดีถ้าพวกเขาไม่สามารถข้ามผ่านดินแดนได้
อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่รู้สึกเห็นใจเริ่นอวี่เฟิงแม้แต่นิดเดียว เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนคนเดียวที่แก่ขึ้น พวกผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณที่ยังติดอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณมาตลอดชีวิตโดยไม่มีการพัฒนาขึ้นเลยสักนิดและสุดท้ายก็หมดอายุขัยลงเมื่อพวกเขาอายุแค่ร้อยกว่าปียังน่าสงสารมากกว่าเขามากนัก แต่แล้วทำไมเล่า มีคนตั้งมากมายในโลกแห่งการฝึกตนและทุกคนก็ต้องผ่านอุปสรรคนี้ทั้งนั้น
ที่จริงแล้วระดับการฝึกตนของเริ่นอวี่เฟิงก็อยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วและเขาก็ยังได้รับเข้าเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ลืมเรื่องศิษย์หัวกะทิที่มีคนคอยหนุนหลังไปก่อน ศิษย์ธรรมดาคนไหนจะกล้าดูถูกเขา อย่างเช่นเจียงซั่งหังที่ไม่กล้าแสดงความไม่เคารพต่อ “ศิษย์พี่เริ่น” คนนี้แม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ มีคนอีกมากมายในการเดินทางนี้ ดังนั้นซย่าโหวย่วนจึงไม่ใช่ศิษย์หัวกะทิเพียงคนเดียวที่นั่นแน่ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาทุกคนก็ถือว่าเขาเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ ดังนั้นถ้าพวกเขาซุบซิบกันลับๆ ส่วนตัวแล้วจะทำไม ถ้าใจของผู้ฝึกตนไม่กว้างพอจะยอมรับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ แล้วพวกเขาจะก่อขุมพลังได้อย่างไร บางทีที่เริ่นอวี่เฟิงไม่ก้าวหน้ามาหลายต่อหลายปีก็เพราะสภาวะจิตของเขาเข้าเขตมารไปนานแล้วก็เป็นได้ ต่อให้เขาเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ แต่เขาก็คงจะก่อขุมพลังไม่สำเร็จแน่
“ศิษย์พี่เริ่น…” ชิวจื้อหมิงสะกดกลั้นความโกรธได้ในที่สุดและพูดว่า “ท่านจะไม่ปล่อยข้าไปจริงหรือ”
เริ่นอวี่เฟิงมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้ามีอะไรจะพูดอีกไหม”
หลังจากหมดความหวังทั้งหมดไป หัวใจของชิวจื้อหมิงหล่นวูบและเขาหมดกำลังใจโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ชั่วขณะต่อมา เขาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความหวังเล็กน้อย เขายืดหลังแล้วจึงพูดอย่างเร็ว “ศิษย์น้องถังและศิษย์น้องเจียงหนีไปแล้ว พวกเขาจะต้องรายงานเรื่องนี้กลับไปที่สำนัก ท่านปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของเราจะออกมาเพื่อจัดการแน่ ศิษย์พี่เริ่น ต่อให้ท่านฆ่าข้า ท่านก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อปิดเรื่องนี้เป็นความลับได้หรอก!”
พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอที่อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย อย่างน้อยเจียงซั่งหังและถังฟังก็สามารถหนีไปได้
“ใครบอกว่าข้าต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” เริ่นอวี่เฟิงชำเลืองมองเขาด้วยสายตาดูถูก “ข้าจะปิดทางเข้าตำหนักใต้บาดาลในอีกครู่เดียว เมื่อข้าซึมซับลมปราณเทพมังกรทั้งหมดเสร็จแล้ว พวกปรมาจารย์จิตวิญญาณใหม่พวกนั้นจะทำอะไรกับข้าได้”
“…” ชิวจื้อหมิงถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่เคยคาดคิดว่าเริ่นอวี่เฟิงจะมีความมั่นใจถึงเพียงนั้นในพละกำลังของตัวเอง
เริ่นอวี่เฟิงยื่นมือออกไปซึ่งทำให้กลุ่มก้อนของพลังดำมืดปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เขาเล่นกับพลังดำมืดนั้น เขามองชิวจื้อหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับว่าเขากำลังคิดว่าเขาจะโจมตีจากตรงไหนดี
การกระทำตอนนี้ของเขาทำให้ชิวจื้อหมิงตัวซีดเผือดขึ้นอย่างมาก ตัวของเขาเริ่มสั่นอย่างรุนแรง
แต่เริ่นอวี่เฟิงไม่ได้โยนพลังดำมืดนั้นใส่เขา หลังจากอยู่นิ่งมาเป็นเวลานาน สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา “ศิษย์น้องซิว ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้าเร็วเกินไปนัก ข้าคงไม่เหลือใครให้คุยด้วยถ้าข้าฆ่าเจ้า”
ใบหน้าชิวจื้อหมิงสดใสขึ้นทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงพูด “ศิษย์พี่เริ่น ไว้ชีวิตข้าเถอะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้า! ข้าสัญญาว่าข้าจะฟังท่าน อย่างน้อยข้าก็อยู่เป็นเพื่อนท่านได้”
สีหน้าเริ่นอวี่เฟิงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะปล่อยชิวจื้อหมิงไป แต่ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาจะฆ่าชิวจื้อหมิงโดยทันที ในท้ายที่สุดเขาเก็บพลังดำมืดในมือเขากลับและพูดว่า “ช่างมัน ตอนนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าไปก่อน แต่อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนักล่ะ ข้าแค่ไว้ชีวิตเจ้าในตอนนี้ เมื่อข้าอยากจะฆ่าเจ้า เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี!”
ถึงแม้จะแค่ชั่วคราว แต่ชิวจื้อหมิงก็ยังรู้สึกโล่งอกและรู้สึกขอบคุณอย่างมาก เขาพูด “ขอบคุณที่ไม่ฆ่าข้า ศิษย์พี่เริ่น! ขอบคุณศิษย์พี่เริ่น…”
เริ่นอวี่เฟิงโบกมือแล้วจึงพูดอย่างเย็นชา “ข้าจะปิดทางเข้าตำหนักใต้บาดาล จัดการกับศพหญิงคนนั้นซะ!” ในที่สุดเขาก็พูดเตือนเพิ่ม “ถ้าเจ้าพยายามจะทำอะไรตุกติก ข้าจะปลิดชีวิตเจ้าทันที!”
ชิวจื้อหมิงสัญญากับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาจะไม่ทำอะไร ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงจึงหันกลับและเดินออกไป
เมื่อเริ่นอวี่เฟิงหายไปจากสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าชิวจื้อหมิงจางหายไป เขาล้มลงที่พื้น ดูไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ชั่วขณะหนึ่งเขาแค่นั่งอยู่แบบนั้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อราวกับเขายังไม่สามารถทำใจได้กับการเปลี่ยนสถานะของเขา เขายังคงคิดต่อไปจนกระทั่งจู่ๆ เขาโน้มตัวกอดขาตัวเองและร้องไห้โฮในทันที
ชายร่างสูงกำยำคนนี้ห่อตัวและร้องไห้โฮไม่หยุด… นางไม่รู้จริงๆ ว่าภาพนี้น่าขันหรือน่าสงสารมากกว่ากัน เห็นได้ชัดว่าชิวจื้อหมิงเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ทำอะไรผิด พูดได้ว่าเขาถูกเริ่นอวี่เฟิงจับก็เพราะเขาพาอวิ๋เซี่ยวหรานที่บาดเจ็บไปกับเขาด้วยตอนหนี ตอนนี้คนพวกเดียวที่สามารถหนีไปได้คือเจียงซั่งหังและถังฟังขณะที่ชิวจื้อหมิงและซย่าโหวย่วนถูกจับตัวได้ อวิ๋เซี่ยวหรานน่าจะตายไปแล้ว และตัวชิวจื้อหมิงเองก็คงไม่สามารถหนีจากหายนะนี้ไปได้
รอดชีวิตแค่ชั่วคราวเทียบกับตายทันที จะดีกว่ากันสักแค่ไหนเชียว สถานที่นี้เป็นตำหนักใต้บาดาลที่อยู่ใต้น้ำและภูมิทัศน์ของแดนแห่งมังกรซ่อนลายเปลี่ยนไปทุกปี ดังนั้นภูมิทัศน์จากปีก่อนจึงไม่คงอยู่ไปจนถึงปีหน้า ใครจะไปรู้ว่าปีหน้าพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วยซ้ำ แต่แม้กระทั่งตอนนี้ ใครจะไปรู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะอารมณ์เสียและต้องการฆ่าเขาขึ้นมาเมื่อใด ต่อให้เริ่นอวี่เฟิงไม่ฆ่าเขา แต่พวกเขาก็อยู่ใต้น้ำ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานยังไม่มีความสามารถในการสร้างมนตร์กันน้ำได้ด้วยตัวเอง ต่อให้เขาสามารถรอดชีวิตอยู่ใต้น้ำได้ มันก็คงจะเป็นระยะเวลาจำกัดเท่านั้น ฤทธิ์ของผลฟองอากาศสามารถคงอยู่ได้แค่หนึ่งวัน และเขาก็มีผลพวกนั้นแค่หลายสิบลูกเป็นอย่างมาก ในไม่ช้ามันจะต้องหมดและเมื่อถึงจุดนั้นเขาก็ต้องตายอยู่ดี…
ยิ่งชิวจื้อหมิงคิดถึงสถานการณ์ของเขามากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงแค่ร้องไห้ให้พอใจ
โม่เทียนเกอกำลังมองชายผู้ห่อเ**่ยวอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเขา
นางสามารถใช้จังหวะนี้ทำให้ชิวจื้อหมิงสลบไปและพาเขาเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่ถ้าชิวจื้อหมิงหายไปทั้งที่มีแค่ทางเดินเดียวในตำหนักใต้บาดาลแห่งนี้ นางจะทำอย่างไรเมื่อเริ่นอวี่เฟิงเกิดสงสัยขึ้นมา ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่รู้เลยว่าเริ่นอวี่เฟิงมีความสามารถแบบไหนในตอนนี้ที่เขาได้ครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้ว อีกอย่าง ชิวจื้อหมิงก็อ่อนแอมาก แม้ว่านางจะช่วยชีวิตเขา แต่อำนาจจิตของเขาก็แตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่น่าจะมีอนาคตอีกแน่นอน
ชิวจื้อหมิงไม่รู้แม้แต่นิดเดียวว่าในระหว่างช่วงเวลาสั้นๆ นี้ หนทางออกจากหายนะครั้งนี้เพิ่งเฉียดผ่านเขาไป หลังจากร้องไห้มาสักพัก เขาดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงรีบยืนขึ้นทันทีและเริ่มจัดการกับศพของซย่าโหวย่วน หลังจากถูกพลังดำมืดปกคลุมอยู่เป็นเวลานาน มนตร์กันน้ำบนร่างของซย่าโหวย่วนจึงถูกทำลายไปนานแล้ว และเป็นเช่นนั้นเอง ร่างนางจึงเต็มไปด้วยน้ำ ทำให้นางจมน้ำจนตาย
ขณะที่ชิวจื้อหมิงใช้ไฟตานเถียนของเขาเพื่อเผาศพซย่าโหวย่วน เริ่นอวี่เฟิงเดินเข้ามาในโถง เขาดูพึงพอใจมากที่ชิวจื้อหมิงกำลังทำตามที่เขาบอก ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปทางแท่นหินที่อยู่ข้างลานจัตุรัสทันทีและนั่งขัดสมาธิโดยไม่ได้พูดอะไร
แท่นหินนี้คือที่ที่เท้าของมังกรวางอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่นอวี่เฟิงนั่งลง เขาจึงนั่งบนกระดูกฝ่ามือมังกร
เขาดูเหมือนจะกำลังปรับลมปราณอยู่ โม่เทียนเกอเห็นพลังดำมืดบนตัวเขาโหมกระหน่ำ ลมปราณเทพมังกรที่หลงเหลืออยู่บนกระดูกมังกรค่อยๆ พุ่งเข้าหาเขาทีละนิด
ชิวจื้อหมิงมองภาพนี้ด้วยความประหลาดใจ เขากลัวกับวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของเริ่นอวี่เฟิงอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่กล้าทำอะไรอื่นอีก
แต่โม่เทียนเกอแตกต่างจากเขา นางพิจารณาทุกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบเมื่อเริ่นอวี่เฟิงกำลังฝึกตนอยู่ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ลมปราณเทพมังกรจะสามารถสร้างพลังมารขึ้นมาได้ บางทีนางอาจจะสามารถหาคำตอบให้กับปัญหานี้ได้จากเหตุการณ์ต่อเนื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่นอวี่เฟิงกำลังฝึกตนอยู่
หลังจากดูอยู่เป็นเวลานาน จู่ๆ สายตาโม่เทียนเกอก็สดใสขึ้นมากะทันหัน
นางค้นพบอะไรบางอย่าง เริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนจะกำลังซึมซับลมปราณเทพมังกร แต่ลมปราณเพียงแค่ไหลผ่านเขา ลมปราณเทพมังกรบนกระดูกมังกรไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย! นี่มันหมายความว่าอะไร มันหมายความว่าลมปราณบนร่างของเริ่นอวี่เฟิงไม่ใช่ลมปราณเทพมังกร!
แต่ถ้าไม่ใช่ลมปราณเทพมังกรแล้วมันคืออะไร โม่เทียนเกอไม่เข้าใจจริงๆ นางคิดอยู่เป็นเวลานาน แต่สิ่งเดียวที่นางมั่นใจก็คือวิชาลับของเทพมังกรนั้นที่เริ่นอวี่เฟิงมีอยู่ ซึ่งเขาคิดว่าสามารถเปลี่ยนไปให้เขากลายเป็นทายาทของเทพมังกร ถ้าไม่ใช่ของปลอมก็ต้องผิดโดยสิ้นเชิง!
ถ้าวิธีการที่เขาใช้ซึมซับลมปราณของเทพมังกรผิด งั้นเกิดอะไรขึ้นตอนนี้
ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงทำได้แค่ยอมล้มเลิกอย่างไม่เต็มใจไปก่อนแทนที่จะคิดเกี่ยวกับปัญหาพวกนั้น นางควรคิดว่านางจะทำอะไรต่อไปดีกว่า
ถึงแม้นางจะปลอดภัยอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนตามปกติ แต่ความปลอดภัยก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางมีอยู่ที่นี่ นางไม่สามารถอยู่ในนั้นไปตลอดชีวิตได้ แน่นอน ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนางสามารถใช้ยาครอบจักรวาลได้ทุกชนิดและฝึกตนอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าสภาวะจิตของนางไม่พัฒนาขึ้น อันตรายในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนก็จะมากเหลือคณา นางอาจจะต้องใช้เวลานานมากก่อนที่นางจะแข็งแกร่งพอสู้กับเริ่นอวี่เฟิง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดวิชาชั่วร้ายของเริ่นอวี่เฟิงทำให้เขาก้าวเข้าสู่ดินแดนถัดไปได้อย่างรวดเร็วจะเป็นอย่างไรเล่า
ตอนที่ 186-2 ใครคือคนที่น่าสงสารกันแน่
โม่เทียนเกอนั่งอยู่ภายในกระท่อมหลังเล็กในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและใช้สมองคิดอยู่เป็นเวลานานเมื่อจู่ๆ นางก็คิดออก จริงสิ! นางลืมมันไปได้อย่างไร เริ่นอวี่เฟิงสาบานคำสัตย์หัวใจมารต่อนาง สาบานว่าเขาจะปล่อยให้นางออกไปอย่างปลอดภัย!
แต่ถึงกระนั้น ความคิดนี้ก็เพียงแค่แว่บผ่านมาและโม่เทียนเกอรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนจากเส้นทางฝ่ายธรรมะ คำสัตย์หัวใจมารเป็นคำสัตย์ที่สำคัญเพราะมารภายในจิตใจคืออุปสรรคใหญ่ที่สุดที่พวกเขาอาจต้องเผชิญในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดน แต่ผู้ฝึกตนจากเส้นทางฝ่ายอธรรม ในทางตรงกันข้าม ไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยมารภายในจิตใจ หากเริ่นอวี่เฟิงกลายเป็นมารผู้ฝึกตนจริงๆ มารภายในจิตใจก็จะไม่มีบทบาทใดในสายตาเขาเพราะมารผู้ฝึกตนไม่ต้องเผชิญกับมารภายในจิตใจในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนของพวกเขา
ตอนนี้นางกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง นางจะออกไปได้อย่างไร
ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอก็ถอนหายใจและพูดสิ่งที่คิดออกมาดังๆ “ลืมมันซะ แค่คิดว่าเป็นการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิแล้วกัน บางทีก่อนที่หลายสิบปีจะผ่านไป เริ่นอวี่เฟิงอาจจะเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการฝึกตนของเขาก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น…”
ขณะที่นางกำหลังหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตัวเอง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก ไม่นานหลังจากนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัวของชิวจื้อหมิงดังขึ้น “ศิษย์พี่เริ่น ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”
โม่เทียนเกอเงยหน้ามองและเห็นว่าเริ่นอวี่เฟิงฝึกตนจบลงแล้ว ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนแท่นสูงดูหม่นหมองอย่างที่สุด ส่วนชิวจื้อหมิงนั้น เขานอนเหยียดอยู่บนพื้นไม่ไกลมากนักพร้อมมีร่องรอยของเลือดอยู่ที่มุมปากเขา ดูเหมือนว่า… เขาจะถูกเริ่นอวี่เฟิงเหวี่ยงออกไป
เริ่นอวี่เฟิงเหลือบมองเขาด้วยสายตาดูถูก “อะไร เจ้าหวังว่าจะเกิดความผิดพลาดขึ้นในระหว่างที่ข้าฝึกตนหรือ”
เมื่อจับได้ถึงจิตสังหารที่ซ่อนอยู่ในคำถามของเขา ชิวจื้อหมิงส่ายหน้าทันที “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่เป็นห่วง…”
“เป็นห่วงข้า” เริ่นอวี่เฟิงเยาะเย้ย “คงจะน่าแปลกใจมากถ้าเจ้าเป็นห่วงข้าจริง! เจ้าจะได้รอดชีวิตถ้าแค่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าใช่ไหม!”
ชิวจื้อหมิงไม่ได้ปฏิเสธเขา เขาแค่ก้มหัวอยู่เงียบๆ
เริ่นอวี่เฟิง “ฮึ่ม” ใส่แล้วพูดว่า “เลิกฝันกลางวันได้แล้ว! ข้าจะไม่ตายและอย่าหวังว่าไอ้ตาแก่พวกนั้นจะมาช่วยเจ้า ตำหนักใต้บาดาลแห่งนี้ไม่สามารถเปิดได้โดยไม่มีวิชาที่กำหนด เราเข้ามาในตำหนักใต้บาดาลนี้ได้ก็เพราะลมปราณเทพมังกรข้างในถูกอนุสาวรีย์เทพมังกรด้านนอกดึงดูดมาจึงทำให้เปิดทางเข้าสู่ตำหนักนี้ได้ ตอนนี้มีลมปราณเทพมังกรเหลืออยู่แค่บนกระดูกมังกรเหล่านี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นตาแก่พวกนั้นไม่สามารถเข้ามาได้แน่นอน!”
ว่าแล้วเริ่นอวี่เฟิงยืนขึ้นแล้วจึงเดินลงจากแท่น “ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่เยี่ยเสี่ยวเทียนจากโรงเรียนเสวียนชิงหนีไปได้! หญิงคนนั้นมีสมบัติมากมาย จะดีแค่ไหนถ้าข้าได้ชิงของพวกนั้นมา…”
ชิวจื้อหมิงเงยหน้าขึ้นแล้วจึงพูดอย่างค่อนข้างลังเล “ศิษย์น้องเยี่ยคนนั้น…” จู่ๆ เขาก็หยุดกลางคัน ดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ถูกว่าควรบอกเริ่นอวี่เฟิงหรือไม่
“อะไร” เริ่นอวี่เฟิงหันหน้าไปถลึงตาใส่เขา “แค่พูดมาถ้าเจ้ามีสิ่งใดจะพูด!”
ในเมื่อเริ่นอวี่เฟิงออกคำสั่ง ชิวจื้อหมิงจึงรีบพูดทันที “ข้าไม่เห็นศิษย์น้องเยี่ยออกไป พวกเราผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำอยู่ใต้น้ำ ดังนั้นความเร็วของเราจึงเร็วกว่านางมากเป็นธรรมดา แต่มันไม่มีเหตุผลเลยที่นางจะสามารถหนีได้เร็วกว่าข้า”
เริ่นอวี่เฟิงเม้มปาก “ซื่อบื้อ! เยี่ยเสี่ยวเทียนนั้นมีสมบัติมากมาย ใครจะไปรู้ว่านางมีอะไรที่ช่วยให้นางหนีได้หรือไม่” เขาหยุดเพื่อถอนใจก่อนจะพูดต่อ “ไม่เพียงแต่นางมีสมบัติมากมาย แต่ระดับการฝึกตนของนางก็ยังสูงอีกด้วย และอายุของนาง… ตามการคาดคะเนของข้า อายุของนางยังไม่เกินแปดสิบปี ข้าเกรงว่านางอาจจะเด็กกว่านั้นด้วยซ้ำ”
ชิวจื้อหมิงไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นเขาจึงแค่จ้องมองเริ่นอวี่เฟิงด้วยความงุนงง
คิ้วเริ่นอวี่เฟิงขมวดมุ่นจากความใจร้อนของเขา “เจ้านี่มันโง่เสียจริง! เจ้าจำได้ไหมว่าเจียงสุ่ยหันอายุเท่าไหร่ ข้าคิดว่าเขาน่าจะอายุประมาณห้าสิบปีไม่ใช่รึ เห็นได้ชัดว่าระดับการฝึกตนของเยี่ยเสี่ยวเทียนนั้นสูงกว่าเขาแล้วในตอนนี้ แต่เขายังคงเรียกนางว่า ‘ศิษย์น้องเยี่ย’ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนนั้นยังเด็กกว่าเขา!”
เจียงสุ่ยหันคือชื่อปัจจุบันของเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอคิดว่าแม้เขาจะมีอารมณ์พิลึกพิลั่นและนิสัยโหดเ**้ยม แต่ไม่น่าเชื่อว่าเริ่นอวี่เฟิงคนนี้ไม่ได้โง่ เขาอุตส่าห์คิดหาวิธีเดาอายุของนาง
คำอธิบายของเริ่นอวี่เฟิงทำให้ชิวจื้อหมิงอ้าปากค้าง เขาพูดว่า “น้อยกว่าห้าสิบปี นี่มัน… แต่ศิษย์น้องเยี่ยอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว! นางน่าจะออกมาภายนอกเพื่อหาประสบการณ์ภาคสนามเพื่อบรรลุผ่านไปยังขั้นสุดท้าย ถ้านางทำสำเร็จ นางจะไม่…”
การเข้าถึงขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานตอนอายุห้าสิบปีนั้นถือว่าค่อนข้างน่าทึ่ง เป็นความสำเร็จที่แม้แต่พวกคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะยังแทบจะทำไม่สำเร็จ
เริ่นอวี่เฟิง “ฮึ่ม” อีกครั้งจากนั้นจึงพูดว่า “ซื่อบื้อ! อย่าลืมสิว่านางมาจากโรงเรียนเสวียนชิง! ทุกวันนี้พละกำลังของโรงเรียนเสวียนชิงไม่แพ้สำนักเทียนเต้า ถ้าให้กำเนิดผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อีกหนึ่งหรือสองคนภายในร้อยปีข้างหน้า พวกเขาก็จะขึ้นนำเหนือกว่าสำนักเทียนเต้าและกลายเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขั้วท้องฟ้า! ไม่เหมือนกับสำนักเทียนเต้าซึ่งน่าจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายเพราะมีลูกศิษย์อยู่มาก แต่โรงเรียนเสวียนชิงนั้นมีชื่อเสียงจากการให้กำเนิดผู้ฝึกตนอัจฉริยะ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายคนปัจจุบัน ประมุขเต๋าเจิ้นหยาง และผู้ฝึกตนที่ทำการบรรลุผ่านดินแดนเมื่อสองร้อยปีก่อน ประมุขเต๋าเมี่ยวอี ทั้งคู่ประสบความสำเร็จในการสร้างจิตวิญญาณใหม่เมื่อพวกเขาอายุประมาณสองร้อยถึงสามร้อยปี ในหมู่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของพวกเขา มีผู้ฝึกตนอย่างอาจารย์เต๋าหลิงซีและอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งที่ก่อขุมพลังได้เมื่อพวกเขาอายุราวๆ หนึ่งร้อยปีและเป็นผู้ที่มีโอกาสสูงมากในการก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่เมื่อพวกเขาอายุประมาณสองร้อยปี เจ้ายังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกรึ”
“แต่…” ชิวจื้อหมิงยังคงสับสน “ศิษย์น้องเจียงบอกว่าตอนพวกเขารู้จักกัน ศิษย์น้องเยี่ยเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว คนอัจฉริยะเช่นนั้นมักจะถูกเลี้ยงดูมาจากกลุ่มการฝึกตนตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ใช่หรือ”
“เจ้าคิดว่ากลุ่มการฝึกตนพวกนั้นไม่เคยพลาดคนดีๆ ไปเพราะคิดผิดหรือ” สีหน้าเริ่นอวี่เฟิงเต็มไปด้วยการดูหมิ่น “วิชาที่ประเมินรากวิญญาณในหมู่ผู้ฝึกตนเดี่ยวไม่ใช่วิชาที่สมบูรณ์ บางทีต้นทุนที่แท้จริงของศิษย์น้องเยี่ยอาจจะไม่ได้ถูกประเมินอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ความจริงที่ว่านางสามารถเข้าโรงเรียนเสวียนชิงได้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าฝีมือนางไม่แย่ โรงเรียนเสวียนชิงไม่เหมือนสำนักเจิ้งฝ่าของเราซึ่งรับคนจากทิศเหนือสุดทุกคนที่มีรากวิญญาณ กลุ่มการฝึกตนใหญ่อย่างโรงเรียนเสวียนชิงช่างเลือกมากแม้แต่กับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสามธาตุ!”
ชิวจื้อหมิงไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้นิสัยของเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ดี แต่ชิวจื้อหมิงก็ยอมรับว่าไม่สามารถเทียบชั้นกับเขาได้ในแง่ของความฉลาด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเยี่ยเสี่ยวเทียนจะเป็นอัจฉริยะหรือไม่ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ใช่ว่านางจะมาช่วยเขาสักหน่อย
“เยี่ยเสี่ยวเทียนเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าเสวียนอิน ถึงแม้เขาจะยังไม่ได้สร้างจิตวิญญาณใหม่ตอนที่นางนับถือเขาเป็นอาจารย์ แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นสุดท้ายจะยอมรับศิษย์เข้ามาแบบสุ่มๆ งั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวนางเองก็พูดว่านางไม่ได้สร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อนางเข้าโรงเรียนเสวียนชิง นางก้าวจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานภายในเวลาสิบกว่าปี… ด้วยความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้ นางจะไม่เป็นอัจฉริยะได้อย่างไร”
หลังจากหยุดครู่หนึ่งสั้นๆ เริ่นอวี่เฟิงส่ายหน้าแล้วจึงพูดพร้อมถอนหายใจ “น่าเสียดาย… คงจะดีมากหากข้าได้หญิงผู้ฝึกตนขั้นกลางและอายุน้อยเช่นนั้นมาเป็นร่างเตาหลอมของข้า…” เห็นได้ชัดว่ากำลังจินตนาการอะไรสักอย่าง ความวิปริตปรากฏขึ้นในสายตาเขา
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอที่กำลังมองภาพตรงหน้านี้ตบโต๊ะอย่างแรงด้วยมือนาง
ตั้งแต่นางเข้าโรงเรียนเสวียนชิง ก็ไม่เคยเจอใครที่ต้องการให้นางเป็นร่างเตาหลอมของพวกเขา! ร่างเตาหลอมแต่เดิมคือวิธีปฏิบัตินอกรีต ขณะที่โรงเรียนเสวียนชิงเป็นโรงเรียนแห่งเต๋าขนานแท้ โรงเรียนแห่งเต๋ามักปลูกฝังให้ศิษย์ของพวกเขามีจิตใจบริสุทธิ์และมีความปรารถนาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นหลักปฏิบัติของการใช้ประโยชน์จากคนหนึ่งเพื่อเลี้ยงบำรุงอีกคนหนึ่งจึงไม่เหมาะกับพวกเขา อย่างมากพวกเขาก็จะอนุญาตให้ทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์เท่านั้น อีกอย่าง ทันทีหลังจากที่นางเข้าโรงเรียน นางก็กลายเป็นศิษย์ลงนามของประมุขเต๋าจิ้งเหอทันที ไม่มีใครกล้าใช้นางเป็นร่างเตาหลอมของพวกเขา ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ!
ข้างนอกนั้น ชิวจื้อหมิงไม่กล้าพูดอะไรและแค่จ้องเริ่นอวี่เฟิงอย่างหวาดๆ
หลังจากใช้เวลาอยู่ในจินตนาการเพ้อฝันของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงก็ได้สติกลับมา เขาส่ายหัวด้วยความเสียดายและพูดว่า “ข้าดันปล่อยให้นางหนีไปได้ ฮึ่ม! ข้าอยากจะลิ้มรสดูเหลือเกินว่ามันเป็นอย่างไรที่ได้ทำให้อภิสิทธิ์ชนเช่นนั้นต้องอับอายขายหน้า! แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสในอนาคต เมื่อใดที่ข้าฝึกวิชาลับเทพมังกรได้อย่างเหมาะสมและระดับการฝึกตนของข้าก้าวหน้าไปมาก เมื่อนั้นข้าจะไปที่คุนอู๋และทำให้ตัวข้าแข็งแกร่งขึ้น บางทีข้าอาจจะบังเอิญเจอนางในภายหลังก็ได้! ฮ่าๆๆๆ …”
หน้าตาโอหังของเริ่นอวี่เฟิงทำให้โม่เทียนเกอที่อยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนโกรธอย่างรุนแรง
สำนักเจิ้งฝ่าเป็นสำนักแห่งเต๋าเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้สนับสนุนหลักปฏิบัติของการใช้ประโยชน์จากคนหนึ่งเพื่อเลี้ยงบำรุงอีกคนหนึ่ง เริ่นอวี่เฟิงผู้นี้เพิ่งจะได้รับวิชาลับของเทพมังกรมาไม่นาน แต่กระนั้นเขากลับทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ทันที เขาน่าจะมีจิตใจโสมมมาตั้งแต่ในอดีตอยู่แล้ว!
เมื่อนางเห็นรอยยิ้มวิปริตของเริ่นอวี่เฟิงและคิดว่าเขาอาจจะมีความคิดเพ้อฝันเกี่ยวกับตัวนาง โม่เทียนเกอขนลุกซู่ทั่วทั้งร่าง นางอยากจะตบหน้าน่ารังเกียจของเขาจากนั้นก็หั่นเขาออกให้เป็นชิ้นๆ เสียจริง!
เพียงหลังจากหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้งแล้วเท่านั้นที่จิตใจของนางจึงค่อยๆ สงบลงและนางกลับไปนั่งที่
การคิดถึงเรื่องนี้ไม่มีประโยชน์ เพื่อจะฆ่าเริ่นอวี่เฟิง นางต้องวางแผนอย่างเหมาะสมไว้ล่วงหน้า แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ว่านางไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเหนือเริ่นอวี่เฟิง
อย่างแรก ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางมียาวิเศษให้ทานและพลังวิญญาณก็เต็มเปี่ยมมาก นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับให้นางฝึกตน นางรั้งการฝึกตนของนางให้ไม่ก้าวหน้ามาหลายปี ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาสำหรับนางในการพยายามพัฒนาไปสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานในตอนนี้ แค่มันจะอันตรายนิดหน่อยหากนางต้องการก่อขุมพลังในภายหลัง แต่ภยันตรายนั้นมีจำนวนเล็กน้อย มันไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีโอกาสทำสำเร็จเสียหน่อย
อย่างที่สอง ต้นตำรับวิชาการฝึกตนของเริ่นอวี่เฟิงยังน่าสงสัย ใครจะไปรู้ว่าผลที่ตามมาทีหลังจะเป็นเช่นไร วิชาการฝึกตนของฝ่ายอธรรมมีแนวโน้มจะทำให้เกิดการเบี่ยงเบนพลังวิญญาณมากกว่า และเริ่นอวี่เฟิงได้เข้าสู่เขตมารไปนานแล้ว บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อเขาฝึกและนางสามารถจบชีวิตเขาได้โดยตรง
อย่างสุดท้าย นางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน และเริ่นอวี่เฟิงไม่รับรู้ว่านางอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด นางสามารถหาโอกาสซุ่มโจมตีเขาได้เสมอ!
โม่เทียนเกอคิดพิจารณาหลายสิ่งอยู่ในหัว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจนกว่าจะมีทางแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ นางจะแค่อยู่ที่นั่นและฝึกตนอย่างเต็มที่ นางเชื่อว่าเมื่อเป็นเรื่องของการแข่งขันรอคอย เริ่นอวี่เฟิงไม่สามารถเอาชนะนางได้แน่ เพราะนางผู้เคยใช้ยาอายุวัฒนะมาก่อน ยังมีเวลาเหลืออย่างน้อยอีกแปดร้อยปีอยู่ในช่วงอายุขัยของนาง!
ตอนที่ 187-1 ระยะเวลาหนึ่งปี
หลังจากฝึกตนครบอีกหนึ่งรอบ โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น
นางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาแล้วหนึ่งเดือน แต่สถานการณ์ภายนอกก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เริ่นอวี่เฟิงยังคงฝึกวิชาลับเทพมังกร และชิวจื้อหมิงก็ยังคงมีชีวิตอยู่
เจียงซั่งหังและถังฟังคาดว่าจะหนีไปได้สำเร็จ แต่ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะเข้ามาในตำหนักใต้บาดาล บางทีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเปิดตำหนักใต้บาดาลได้หลังจากที่ทางเข้าได้ถูกปิดลง ดังนั้นเริ่นอวี่เฟิงจึงยังคงสามารถสงบนิ่งได้อยู่
บางทีเริ่นอวี่เฟิงน่าจะเบื่อเนื่องจากเขาขังตัวเองอยู่ในตำหนักใต้บาดาลคนเดียว ดังนั้นนอกจากเขายังไม่ฆ่าชิวจื้อหมิง แต่เขายังทำมนตร์กันน้ำให้เขาเป็นพิเศษอีกด้วยจึงทำให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ได้
ชิวจื้อหมิงผู้ซึ่งรับรู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงนั้นมีจิตสังหารที่ลดลง ทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้นและเขาก็เริ่มที่จะฝึกตนอย่างช้าๆ
จากมุมมองของโม่เทียนเกอที่คอยสังเกตการณ์อยู่ ชิวจื้อหมิงน่าจะยังไม่ตายในเร็วๆ นี้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะติดอยู่ในตำหนักใต้บาดาลนานแค่ไหน ตราบใดที่เริ่นอวี่เฟิงต้องการสหายอยู่ร่วมกับเขา ชิวจื้อหมิงก็จะยังคงมีชีวิตอยู่ บางทีเริ่นอวี่เฟิงอาจจะรู้สึกว่าเขาต้องการคนรับใช้และในขณะนั้นเขาอาจจะมอบผลประโยชน์บางอย่างให้กับชิวจื้อหมิงก็เป็นได้
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโม่เทียนเกอในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้คือการฝึกตนและพัฒนาให้ไวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อต่อกรกับเริ่นอวี่เฟิงและตัดสินว่าใครฝึกตนได้เร็วมากกว่ากัน
โม่เทียนเกอรู้ว่าสำหรับนาง การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิที่นี่ในตอนนี้จะส่งผลเสียกับนางมากกว่าผลดี ในช่วงระยะเวลาอันสั้นที่นางท่องอยู่ภายนอก ทั้งร่างกายและจิตใจของนางเติบโตขึ้น ดังนั้นนางจึงไม่มีปัญหามากนักในการที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ในทางกลับกัน การพัฒนาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นยังเร็วเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ หากนางบังคับตัวเองให้ผ่านเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการที่จะก้าวผ่านอุปสรรคของพลังมารภายในได้
ทว่านางไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเมื่อได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็เริ่มที่จะค้นหนังสือในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางจนกระจุยกระจายเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้
ในหนังสือเหล่านี้ นางพบยาวิเศษบางตัวที่สามารถช่วยในการก้าวผ่านดินแดนและในระหว่างยาเหล่านั้น มีบางตัวที่ส่งผลในการปกป้องหัวใจและเพิ่มสมาธิ วันถัดๆ มาถูกใช้ไปกับการฝึกตนและปรุงยาวิเศษเหล่านั้น การทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของนาง แต่อย่างไรก็ตาม การมีทางออกไว้บ้างนั้นยังดีกว่าที่จะไม่มีอะไรเลย
เพียงเช่นนั้น แปดเดือนผ่านไปเพียงพริบตา
โม่เทียเกอสำรวมอารมณ์ ควบคุมพลังวิญญาณให้สงบ และครองหัวใจนางให้ว่างเปล่า พลังวิญญาณหยินทั้งห้าธาตุในร่างกายนางมีมากมายมหาศาลและท่องอย่างรวดเร็วไปทั่วเส้นลมปราณของนาง
โม่เทียนเกอรู้ว่านางก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว
นางไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ในขณะที่นางกำลังควบคุมการหายใจ นางค่อยๆ ปล่อยพลังวิญญาณให้ไหลไปทั่วเส้นลมปราณของนาง
ในการพัฒนาเข้าสู่ดินแดนเล็กนี้ ความฉลาดในการเรียนรู้ของคนนั้นมีอิทธิพลอย่างมาก ถ้านางยังคงครอบครองรากวิญญาณทั้งห้าแบบเดิม นางจะต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะพัฒนาผ่านเข้าสู่แต่ละดินแดนเล็กหลังจากที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว อย่างไรก็ตาม นางเปลี่ยนวิชาการฝึกตนและฝึกศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดในตอนนี้ ดังนั้นนางจะไม่มีทางเผชิญปัญหาในการติดอยู่ที่คอขวดระหว่างการก้าวผ่านในดินแดนเล็กน้อยนั้น ตราบใดที่นางระมัดระวัง มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร
พลังวิญญาณสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในตานเถียนของนางขณะที่พลังวิญญาณรอบๆ ตัวนางพุ่งเข้าสู่นางอย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอซึมซับพลังวิญญาณอย่างสงบนิ่งหลังจากนั้นจึงเก็บมันไว้ที่ตานเถียนของนาง ปล่อยให้กระบวนการต่างๆ วนเวียนอยู่เช่นนั้น
ในที่สุดตานเถียนของนางก็ถูกเติมจนเต็มและไม่สามารถรองรับพลังวิญญาณได้อีก โม่เทียนเกอหยุดดูดซับพลังวิญญาณในทันทีและเคลื่อนไหวพลังวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในตานเถียนของนาง
ด้วยความระมัดระวังอย่างพิถีพิถันของนาง พลังวิญญาณเริ่มเคลื่อนไหว มันเคลื่อนจากตานเถียนผ่านเส้นลมปราณของนางหลังจากนั้นจึงกลับไปที่ตานเถียนอีกครั้ง ก่อให้เกิดเป็นรูปแบบวงโคจรซ้ำๆ
การเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณของนางเริ่มเร็วขึ้นและกลายเป็นกระแสน้ำวน มันเหมือนกับว่าร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นจักรวาลซึ่งมีดวงดาวนับไม่ถ้วนหมุนวนรอบๆ จุดกึ่งกลาง
ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของดวงดาวเหล่านั้นก็ถึงขีดสุดและหลังจากนั้น “ปัง!” พวกมันพุ่งเข้าหากันเพื่อมุ่งหวังจะเป็นที่หนึ่งในการแข่งขันบนโลกที่ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ดวงดาวต่างบีบเข้าหากันและพยายามที่จะแทรกเข้าไปด้านใน จักรวาลก็ได้ระเบิดออกกลายเป็นจักรวาลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยเสียงอันดัง
…
โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น ใบหน้านางชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางไม่สนใจที่จะเช็ดเหงื่อของตัวเอง เพราะสิ่งแรกที่นางทำคือสำรวจตัวเองด้วยความรู้สึกยินดี
ตามที่นางคาด นางก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว!
การพัฒนาภายในดินแดนเล็กนั้นไม่ได้ยากเท่าการก้าวผ่านเข้าในแต่ละดินแดนใหญ่ ความเข้มข้นของพลังวิญญาณภายในร่างกายของผู้นั้นจะไม่เปลี่ยนไป ตานเถียนของพวกเขานั้นแค่ขยายขึ้นเล็กน้อย
โม่เทียนเกอเคลื่อนพลังวิญญาณภายในร่างกายของนางอีกครั้ง เพียงหลังจากที่นางรู้สึกว่าร่างกายของนางผ่อนคลายและพบว่าไม่มีปัญหาตกค้างที่อาจเกิดจากการพัฒนาของนาง ในที่สุดนางจึงหยุด
นางเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แต่นางไม่ค่อยมีความสุขนัก ขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นไม่ค่อยมีค่าเท่าไร เริ่นอวี่เฟิงเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานมานานแล้ว และถ้าให้ตัดสินจากพฤติกรรมของเขา ความแข็งแกร่งของเขาก็น่าจะเข้าถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แล้วหลังจากที่เขาใช้สิ่งที่เรียกว่าวิชาลับเทพมังกร นางยังคงไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำอะไรเขาได้
ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอไม่คิดว่าเริ่นอวี่เฟิงจะกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นสูงได้เร็วนักขณะที่ได้ครอบครองวิชาลับเทพมังกร นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่าวิชาลับเทพมังกรที่ว่านั้นดูจะแปลกประหลาดมากแล้ว ร่างกายของเขานั้นยังไม่ได้ครอบครองลมปราณเทพมังกรเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขากลับเต็มไปด้วยพลังมารแทน สำหรับนาง ด้วยรากวิญญาณต้นกำเนิดและปราณหยินบริสุทธิ์ที่นางมีเป็นดั่งต้นทุนทางธรรมชาติและควบคู่ไปกับศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด นางไม่คิดว่านางจะพัฒนาไปได้ช้ากว่าเริ่นอวี่เฟิงมากนักถ้านางใช้ความพยายามทั้งหมดของนางไปในการฝึกตน
ดังนั้น นี่คือการแข่งขัน นางต้องการเห็นว่าเริ่นอวี่เฟิงผู้ซึ่งพึ่งพาวิชาลับเทพมังกรจะสามารถฝึกตนได้เร็วกว่า หรือนางจะพัฒนาได้เร็วกว่าด้วยศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด ตราบใดที่ความเร็วในการฝึกตนของนางเร็วกว่าเริ่นอวี่เฟิง มันจะต้องมีสักวันหนึ่งที่นางจะออกไปได้อย่างเปิดเผย คว่ำเขาให้หลุดออกจากแท่นหินและฆ่าเขา
ด้วยการถอนใจเบาๆ โม่เทียนเกอเปิดรอยแยกบนท้องฟ้าของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเพื่อสังเกตการณ์ถึงสถานการณ์ด้านนอก
เริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิงยังคงใช้เวลาของพวกเขาไปกับการฝึกตน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานางแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาเป็นครั้งคราว ชิวจื้อหมิงนั้นสามารถนับได้ว่าลดระดับตัวเองลงมาโดยสมบูรณ์ เพื่อที่จะมีชีวิตรอดภายใต้การกดขี่ของเริ่นอวี่เฟิง เขาได้กลายเป็นทาสผู้โชคร้ายที่เกาะติดอยู่กับเริ่นอวี่เฟิง
ประจวบเหมาะกับที่โม่เทียนเกอประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เริ่นอวี่เฟิงก็หยุดฝึกตนนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเช่นกัน
เมื่อเริ่นอวี่เฟิงฝึกตน โม่เทียนเกอคอยสังเกตการณ์เขาและพบว่าพลังสีดำบนร่างของเขานั้นได้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะท่วมเขาไปทั้งตัว อย่างไรก็ตามถ้าพลังสีดำนั้นคือพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอก็สันนิษฐานว่าเริ่นอวี่เฟิงนั้นยังคงติดอยู่ในดินแดนที่เทียบเท่ากับขั้นต้นของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เขายังไม่สามารถผ่านเข้าในดินแดนใหม่ได้
ขณะที่ค้นพบเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็ถอนใจอย่างโล่งอก นี่แสดงให้เห็นว่าแม้จะได้ครอบครองวิชาลับเทพมังกรแล้ว แต่เริ่นอวี่เฟิงก็ยังไม่สามารถเหนือกว่าระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ และเขาต้องฝึกตนอย่างช้าๆ ทีละขั้นตอนแทน หากเป็นเช่นนั้น โม่เทียนเกอก็ค่อนข้างมั่นใจว่าความเร็วในการฝึกตนของนางจะไม่มีทางช้าไปกว่าเริ่นอวี่เฟิง
เริ่นอวี่เฟิง ผู้ซึ่งเพิ่งหยุดฝึกตนดูสับสนวุ่นวายใจ บางทีเขาอาจได้เผชิญเข้ากับอุปสรรคในการฝึกตนของเขาเข้าแล้ว เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่นานเขาก็หยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพ
ดวงตาโม่เทียนเกอเบิกกว้างเมื่อเห็นท่าทางของเขา
สิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงหยิบออกมาไม่ใช่อะไรนอกเหนือไปจากแผ่นบันทึกหินหนาแผ่นหนึ่ง!
ชิวจื้อหมิงเคยพูดครั้งหนึ่งว่าตอนที่เริ่นอวี่เฟิงเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลในตอนแรก เขาได้รับแผ่นบันทึกหินที่อธิบายถึงวิชาลับเทพมังกรที่จำเป็นต้องใช้ในการครอบครองลมปราณเทพมังกร เพราะเหตุนั้น เริ่นอวี่เฟิงจึงสรรค์สร้างคำโกหกเพื่อทำให้พวกเขาเชื่อว่ามีสมบัติมากมายอยู่ในตำหนักใต้บาดาล และก็หลอกใช้พวกเขาในการเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลอีกครั้ง
หลังจากหยิบแผ่นบันทึกหินออกมา เริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนจะมีอารมณ์เล็กน้อย เขาถอนใจในขณะที่สัมผัสแผ่นบันทึกนั้น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็วางแผ่นบันทึกหินลงและมุ่งความสนใจไปที่มัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังศึกษามันอยู่
จากตำแหน่งของนาง โม่เทียนเกอไม่สามารถมองเห็นเนื้อหาในแผ่นบันทึกหินได้ชัดเจนนัก อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่อุปสรรคที่จะมาขัดขวางนางในการมองเนื้อหาได้อย่างคร่าวๆ
เหมือนอย่างที่ชิวจื้อหมิงพูด เส้นลายนับไม่ถ้วนคล้ายกับภาพวาดได้ถูกจารึกบนพื้นผิว เพราะตัวอักษรเพิ่งถูกสร้างขึ้น ในสมัยโบราณผู้คนจึงใช้ภาพวาดในการบันทึกสิ่งต่างๆ แผ่นบันทึกหินมาจากวิหารบูชายัญโบราณในตำหนักใต้บาดาลนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกที่มันได้ถูกบันทึกเป็นรูปภาพ
เนื้อหาของรูปวาดที่สลักบนพื้นผิวนั้นเรียบง่าย ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้ากระดูกมังกร ดูเหมือนกับกำลังใช้วิชาลับบางอย่าง ข้างๆ เขามีร่างของมนุษย์จำนวนมากในท่าทางที่แตกต่างกัน และร่างกายมนุษย์เหล่านั้นได้ใช้เส้นหลายประเภทในการวาด นี่ดูเหมือนกับเป็นวิถีในการใช้พลังวิญญาณ คาดว่านี่คงเป็นวิชาลับเทพมังกรที่ว่านั้นของเริ่นอวี่เฟิง เพิ่มเติมจากนั้น ท่าทางบางท่าดูเหมือนมีคำง่ายๆ สลักไว้อยู่ข้างๆ รูปมนุษย์เหล่านั้น แต่โม่เทียนเกอไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณเช่นนี้
ในยุคโบราณนั้นได้ถูกมองว่าเป็นยุคต้นกำเนิดของมนุษย์ จากมุมมองของผู้ฝึกตน ยุคโบราณนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายยุคสมัย ตั้งแต่ยุคอดีตอันไกลโพ้น ยุคสูญสิ้นพระเจ้า และยุคกลาง ยุคอดีตอันไกลโพ้นเริ่มตั้งแต่การสร้างโลกและคงอยู่นานหลายล้านปี แต่ผู้ฝึกตนผู้ที่เข้าใจยุคอดีตอันไกลโพ้นอย่างลึกซึ้งนั้นจะมุ่งเน้นไปที่หลายแสนปีหลังจากที่พระเจ้าสร้างกฎเกี่ยวกับการเข้าสู่สรวงสวรรค์
ภายในหลายแสนปีนั้น มีผู้คนหลายคนที่ครอบครองพลังวิเศษ ทุกคนต่างปรารถนาที่จะเข้าสู่สวรรค์ และมีหลายคนที่ประสบความสำเร็จในการนั้นและได้กลายเป็นเซียน ช่วงเวลานี้ได้ทิ้งไว้ซึ่งตำราและวิชาการฝึกตนมากมายซึ่งยังคงมีอยู่สำหรับบางคนที่โชคดีพอได้ครอบครองไว้ ตำราเช่นนั้นได้ถูกศึกษาจากผู้ฝึกตนหลายคน และพวกเขาทั้งหมดนั้นต่างเข้าใจถึงความหมาย
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แต่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของโม่เทียนเกอก็เป็นเศษส่วนเล็กๆ จากช่วงเวลานั้น และตำรากับงานเขียนภายในนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อนาง
อย่างไรก็ตาม ในทุกวันนี้ ไม่มีใครในโลกแห่งการฝึกตนที่รู้เกี่ยวกับอักษรโบราณจากหลายล้านปีก่อนเช่นนี้
คาดว่าเริ่นอวี่เฟิงก็คงไม่เข้าใจมันเช่นกัน เพราะในขณะนี้รอยย่นบนหน้าผากของเขาเผยออกมาอย่างชัดเจนในขณะที่กำลังมองดูรูปวาดและคำต่างๆ บนแผ่นบันทึกหิน วิเคราะห์มันทีละเล็ก ทีละน้อย เขาขยับตัวบ้างเพียงครั้งคราวเท่านั้น
ความคิดบางอย่างโผล่เข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอ ในเมื่อเริ่นอวี่เฟิงไม่เข้าใจเนื้อหา จะเป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เขาเรียกวิชาลับเทพมังกรอย่างที่เขาคิดว่าเข้าใจนั้นผิดไปหมด หรือบางทีมันอาจจะไม่ใช่วิชาลับเทพมังกรและเป็นเพียงแค่ศาสตร์นอกรีตบางอย่างเท่านั้น
ยิ่งนางคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น หากไม่อย่างนั้นถ้าเขาได้ซึมซับลมปราณเทพมังกรเข้าไปจริง ทำไมร่างกายของเขาทั้งหมดถึงได้ปกคลุมไปด้วยพลังมาร แต่เริ่นอวี่เฟิงจะจับไม่ได้เชียวหรือว่ามีบางสิ่งที่ผิดปกติไป
ภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทั่วทั้งใบหน้าเริ่นอวี่เฟิงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ว่าเขาจะคิดเช่นไร เขาก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ผิดพลาดไป
ตอนที่ 187-2 ระยะเวลาหนึ่งปี
ในขณะนั้น ชิวจื้อหมิงก็หยุดฝึกตนเช่นกัน เขามองไปที่เริ่นอวี่เฟิงอย่างครึ่งหวาดครึ่งสงสัย
เขาไม่กลัวเริ่นอวี่เฟิงจะฆ่าเขาอีกแล้ว แต่ในทางกลับกัน เขารู้สึกกลัวมากกว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเริ่นอวี่เฟิงในตอนนี้ หลังจากหนึ่งปีผ่านไป การกดขี่ของเริ่นอวี่เฟิงได้ฝังความกลัวเช่นนี้ลึกเข้าไปในจิตใจของชิวจื้อหมิง ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นเริ่นอวี่เฟิง เขาจะแสดงท่าทางออกมาทันที
ในตอนนี้ เริ่นอวี่เฟิงถอนใจและเหมือนพูดกับตัวเอง “ลมปราณเทพมังกร… ลมปราณเทพมังกร…”
ชิวจื้อหมิงลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ถามด้วยความระมัดระวัง “ศิษย์พี่เริ่น เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
เริ่นอวี่เฟิงหันมองเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาหยุดคิดและพูดอย่างแผ่วเบา “ไม่มีปัญหาอะไร ข้าเพียงแค่มีปัญหานิดหน่อยในการทำความเข้าใจวิชาการฝึกตนนี้”
“…โอ้” ชิวจื้อหมิงไม่กล้าถามเขาต่อและแค่นั่งเงียบๆ ด้านข้างเท่านั้น
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการใครสักคนในการพูดคุยด้วยหลังจากใช้เวลาไปมากกับการพยายามทำความเข้าใจข้อความนั้นเริ่นอวี่เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงพูด “ลมปราณเทพมังกร… เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้หลังจากที่ซึมซับมันเข้ามา…”
โม่เทียนเกอตกใจ แสดงว่าเริ่นอวี่เฟิงก็สับสนเหมือนกัน
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เริ่นอวี่เฟิงพูดต่อ “แผ่นบันทึกหินนี้บอกว่าระหว่างที่ซึมซับลมปราณเทพมังกร คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้สืบทอดของเทพมังกร และแรงผลักดันนั้นจะมากมายมหาศาลในขณะที่ลมปราณของพวกเขาจะบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ แต่…”
โม่เทียนเกอได้ยินเช่นนี้ ก็เกือบจะมั่นใจว่าเริ่นอวี่เฟิงนั้นฝึกวิชาผิด!
แต่ทว่าเริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนจะไม่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนั้น เขายังคงบ่นพึมพำด้วยความสงสัยอยู่กับตัวเอง “บางทีวิชาการฝึกตนนี้น่าจะเป็นเช่นนี้หรือ”
หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น ชิวจื้อหมิงพูดอย่างหวาดกลัว “ศิษย์พี่เริ่นจะเป็นไปได้ไหมว่า… ท่านเข้าใจวิชาผิดไป”
สิ่งที่ชิวจื้อหมิงพูดทำให้ท่าทางของเริ่นอวี่เฟิงเปลี่ยนไปในทันที เขาตะโกนอย่างดุดัน “ไม่มีทาง! ข้าครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้ว แล้วข้าจะเข้าใจมันผิดไปได้อย่างไร”
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ” ชิวจื้อหมิงไม่กล้าปฏิเสธเขา ดังนั้นเขาจึงพูดแค่คำว่าใช่ซ้ำไปมาเท่านั้น
“มันจะต้องเป็นเพราะข้ายังไม่ได้ฝึกมันจนสมบูรณ์ ถ้าข้าประสบความสำเร็จในการฝึกตน ข้าจะต้องสามารถเปลี่ยนร่างของข้าให้กลายเป็นร่างเทพมังกรได้แน่นอน!” เริ่นอวี่เฟิงพูดอย่างมั่นใจ หลังจากนั้นเขาจึงเก็บแผ่นบันทึกหินและนั่งลงเพื่อกลับไปฝึกตนอีกครั้ง
โม่เทียนเกอ ผู้ซึ่งอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนส่ายหัว เริ่นอวี่เฟิงนั้นได้ติดอยู่ในเขตของปีศาจแล้ว ถึงแม้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะสามารถสะสมพลังเพิ่ม แต่วิชาการฝึกตนนั้นผิดอย่างแน่นอน ลมปราณเทพมังกรที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์จะส่งผลให้เกิดเป็นพลังมารดำมืดได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่เริ่นอวี่เฟิงมีปัญหาในการฝึกตนของเขา ผู้ที่ฝึกศาสตร์มารมักจะมีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุในการฝึกตน ถ้าเขาประสบกับการเบี่ยงเบนของพลังในอนาคต มันจะง่ายกับนางมากในการที่จะฆ่าเขา
ทันทีที่โม่เทียนเกอหลับตาเพื่อที่จะกลับไปฝึกตนต่อ โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง นางจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทุกอย่างยังคงสงบสุข อย่างไรก็ตามโลกที่อยู่นอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนดูเหมือนจะกำลังสั่นไหว
เริ่นอวี่เฟิงหยุดฝึกตน ชิวจื้อหมิงลืมตาขึ้นเช่นกัน ทั้งสองคนมองไปรอบๆ ตัว ทั้งรู้สึกสับสนและประหลาดใจ
ชิวจื้อหมิงพูดออกมา “ศิษย์พี่เริ่น เกิด… เกิดอะไรขึ้น”
คิ้วของเริ่นอวี่เฟิงย่นเข้าหากัน เขาก็ดูสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
แท่นจัตุรัสยกสูงขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในห้องก็สั่นสะเทือนเช่นกัน แม้จะอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระดูกมังกรบนจัตุรัสเริ่มสั่นสะเทือน!
ท่าทางของเริ่นอวี่เฟิงเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง หลังจากนั้นเขาหลับตาและส่งจิตสัมผัสออกไป แต่ทันทีหลังจากนั้นสีหน้าเขาก็เริ่มซีดลง “วันที่สิบห้าของเดือนแปด! มันคือวันที่สิบห้าของเดือนที่แปด!”
โม่เทียนเกองุนงง เสี้ยววินาทีต่อมาท่าทางของนางก็เปลี่ยนไป
ในวันที่สิบห้าของเดือนแปด การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย ภูมิทัศน์ด้านในจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่แตกต่างจากปีก่อนหน้าทั้งหมด ศิษย์ที่ติดอยู่ภายในแดนแห่งมังกรซ่อนลายหลังจากผ่านวันที่สิบห้าของเดือนแปดไปจะไม่ปรากฏตัวออกมาอีก!
นี่เป็นสิ่งที่เจียงซั่งหังเน้นย้ำกับโม่เทียนเกอก่อนที่จะเข้ามาในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย
พวกเขาอยู่ภายในตำหนักใต้บาดาลนี้มากกว่าแปดเดือน ตอนที่พวกเขาเข้ามาครั้งแรก พวกเขาบอกนางว่าสามเดือนก่อนหน้านั้น หลังจากผ่านวันที่สิบห้าของเดือนแปด พวกเขาก็มาที่แดนแห่งมังกรซ่อนลายและพบกับตำหนักใต้บาดาล ตอนนี้หนึ่งปีได้ผ่านไปแล้ว ภูมิทัศน์ของแดนแห่งมังกรซ่อนลายกำลังจะเปลี่ยนไป!
โม่เทียนเกอกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อย แต่นางคิดเสมอว่าในเมื่อนางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน มันไม่น่าส่งผลกระทบอะไรกับนาง ในตอนนี้ มันดูเหมือนกับว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างด้านนอกล้วนสั่นสะเทือน แต่สภาพภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นยังคงเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ นางก็ยังคงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย ถ้าตำหนักใต้บาดาลนี้หายไป แล้วโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจะไปโผล่อยู่ที่ไหนในภายหลัง มันจะหายไปพร้อมกับตำหนักใต้บาดาลไหม หรือมันจะยังคงอยู่ในที่เดิม
ภายนอก เริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิงตื่นตระหนกอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว เขาก็ยังคงทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์เช่นนี้
“ศิษย์พี่เริ่น พวกเราควรทำอย่างไรดี พวกเราควรทำอย่างไรดี” เสียงของชิวจื้อหมิงดูเหมือนกับว่าเขากำลังจะร้องไห้ ตำหนักใต้บาดาลสั่นสะเทือนมากขึ้นอย่างรุนแรง และโครงกระดูกเทพมังกรก็ดูเหมือนกับจะพังทลายลงได้ทุกเวลา
เริ่นอวี่เฟิงอารมณ์เสียที่สุด ด้วยเสียงที่กระด้าง เขาพูดอย่างหงุดหงิดว่า “สงบสติ!”
ชิวจื้อหมิงไม่กล้าเถียงเขา ดังนั้นเขาจึงหยุดพูด อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาได้สูญเสียกำลังไปหมดแล้ว และเขาก็ทำได้เพียงแค่มองเริ่นอวี่เฟิงด้วยความงุนงง
เริ่นอวี่เฟิงใช้เวลาคิดครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่สามารถคิดแผนการอะไรออกมาได้ การได้รับความแข็งแกร่งของลมปราณเทพมังกรทำให้เขาลืมเกี่ยวกับความจริงที่ว่าแดนแห่งมังกรซ่อนลายนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปครั้งหนึ่งในทุกปี
เหตุใดภูมิทัศน์ภายในแดนแห่งมังกรซ่อนลายถึงเปลี่ยนครั้งหนึ่งในทุกปี หรือภูมิทัศน์ของปีก่อนหน้านั้นจะไปจบลงที่ตรงไหน ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้มาหลายพันปีแล้ว ชะตาของเหล่าศิษย์ผู้ซึ่งติดอยู่ในแดนแห่งมังกรซ่อนลายและไม่สามารถออกไปได้ยังคงเป็นปริศนาลึกลับ หลังจากที่พวกเขาหายไป พวกเขาก็ไม่เคยกลับออกมา
พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกเขาลอยอยู่ในน้ำแล้วเพราะไม่สามารถยืนได้อยู่บนพื้น
“จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ข้าจะอยู่เช่นนี้ไม่ได้” เริ่นอวี่เฟิงบ่นพึมพำกับตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็บังคับตัวเองให้กลับไปนั่งขัดสมาธิและใช้พลังวิญญาณ
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเขาพยายามจะทำอะไร แต่เขาดูเหมือนจะมีแผนการแล้ว
ขณะที่เริ่นอวี่เฟิงเคลื่อนพลังลมปราณและรวบรวมพลังวิญญาณ ลมปราณดำบนร่างกายของเขาเริ่มเข้มข้นขึ้น และลมปราณเทพมังกรบนกระดูกมังกรเริ่มที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้าหาเขา!
เขาพยายามที่จะฝืนดูดซับลมปราณเทพมังกรเพื่อเพิ่มระดับการฝึกตนของเขา!
สีหน้าโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป นางไม่รู้ว่าผลจากการกระทำของเริ่นอวี่เฟิงนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ว่าด้วยเหตุผลแล้ว ผู้ฝึกศาสตร์แห่งมารนั้นมักจะประสบเข้ากับอุบัติเหตุระหว่างฝึกตนทั้งสิ้น โดยเฉพาะถ้าพวกเขาพยายามที่จะเพิ่มระดับการฝึกตนโดยการบังคับ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรียกว่าวิชาลับเทพมังกรนั้นมีมาหลายล้านปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่ามันจะใช้กฎเดียวกันหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเริ่นอวี่เฟิงประสบความสำเร็จในการเพิ่มระดับการฝึกตน นางก็คงจะหนีได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าเขาเลย!
แน่นอน มันคงจะดีที่สุดถ้าเริ่นอวี่เฟิงล้มเหลว หรือไม่ก็อาจจะโดนแดนมังกรซ่อนลายพาไปยังจุดหมายที่ไม่มีใครรู้ ด้วยวิธีนั้นอย่างน้อยนางก็จะหนีไปได้ง่ายๆ
ลมปราณเทพมังกรวิ่งเข้าสู่เริ่นอวี่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง พลังดำมืดบนร่างกายของเขาเริ่มเพิ่มมากขึ้นและค่อยๆ ปกคลุมร่างกายของเขาทั้งหมด
ในขณะนั้น ตำหนักใต้บาดาลสั่นสะเทือนรุนแรงมากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากที่ไหน แต่เสียงดัง “แก๊ก” ดังออกมาและกระดูกมังกรซึ่งตั้งอยู่บนจัตุรัสมาหลายล้านปีก็พังทลายลงด้วยเสียงดังสนั่น
อันดับแรก หัวกะโหลกทลายลง หลังจากนั้นก็กระดูกสันหลังขนาดใหญ่ ทีละชิ้น ทีละชิ้น ซี่โครงถูกกระแสน้ำพัดไปแล้วในตอนนี้ และกระดูกหางก็ค่อยๆ แยกออกจากกันอย่างช้าๆ
โครงกระดูกเทพมังกรยักษ์กลายเป็นกองกระดูกสีขาวกระจัดกระจายยุ่งเหยิงไหลไปตามกระแสน้ำในทันที
หนึ่งในกระดูกมังกรกระแทกเข้าไปที่ชิวจื้อหมิงผู้ซึ่งลอยอยู่ในน้ำ สติของเขาพร่ามัวและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หมดสติลง
ในทางกลับกัน เริ่นอวี่เฟิงยังคงฝึกศาสตร์ของเขาอยู่ ในตอนนี้เขาถูกปกคลุมไปด้วยพลังดำมืด ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเห็นร่างกายของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
โม่เทียนเกอมองด้วยความประหม่า นางหวังว่าเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ประสบผลสำเร็จและนางหวังว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ด้านนอกในเมื่อนางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
หลังจากที่รู้สึกยาวนานเหมือนนิรันดร์ ตำหนักใต้บาดาลยังคงสั่นสะเทือนแต่เริ่นอวี่เฟิงลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับตะโกนด้วยเสียงอันดัง “อ่าาา…”
พลังดำมืดที่ปกคลุมร่างกายของเขาค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน
ใบหน้าขาวซีด ร่างกายที่เ**่ยวย่นและผอมแห้ง… เขาผอมจนหนังติดกระดูก เหมือนกับโครงกระดูกแต่มีดวงตาที่เป็นแสงสีดำสนิท
โม่เทียนเกอถึงกับผงะ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เริ่นอวี่เฟิงนั้นมักจะมีพลังดำมืดวนเวียนอยู่รอบๆ ดังนั้นนางจึงไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา นางไม่คาดคิดว่าใครคนหนึ่งผู้ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่น่าดูชมเมื่อหลายเดือนก่อนจะกลายเป็นเช่นนี้! ถึงแม้ว่านางจะพูดกับคนอื่นว่าเริ่นอวี่เฟิงเป็นเหมือนกับศพที่แห้งไปแล้ว บางคนอาจจะเชื่อในสิ่งนั้นก็เป็นได้
อีกครั้งที่เริ่นอวี่เฟิงประกบมือเข้าหากัน ทันทีหลังจากนั้น พลังสีดำก็ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือเขา วงแหวนพลังสีดำหนึ่งวงพุ่งออกมาตามด้วยอีกหนึ่งวงและขดเป็นวงอยู่รอบๆ ตัวเขาเหมือนกับเป็นหนอนไหมพ่นไหมออกมาเพื่อทำเป็นรังไหม จำนวนของเส้นวงแหวนสีดำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันเริ่มจากเท้าของเริ่นอวี่เฟิงและพันขึ้นมาที่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ ภายในตำหนักใต้บาดาลนั้นเละเทะไม่มีชิ้นดี
สายตาโม่เทียนยังคงจับจ้องอยู่ที่เริ่นอวี่เฟิง เส้นไหมสีดำพันรอบเอวและท้องของเขาหลังจากนั้นก็ไล่ขึ้นไปจนถึงหัวของเขา ในท้ายที่สุด พวกมันก็พันอย่างแน่นหนาไปจนถึงบนหัวของเขา พันรัดเขาอยู่ด้านในอย่างแน่นหนา
เสียงดังสนั่นมาจากทางด้านนอกของตำหนักใต้บาดาล จากด้านในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเห็นว่าตำหนักเริ่มที่จะถล่มลง
นี่เป็นการก่อสร้างจากยุคโบราณ ดังนั้นทุกชิ้นส่วนจึงถูกสร้างขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อยโดยใช้ก้อนหินขนาดใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่า แต่ละก้อนหนักหนึ่งพันจินเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ก้อนหินเหล่านั้นเริ่มที่จะถล่มลง กำแพงจากทุกด้าน เพดาน… ทีละช่วง ทีละช่วงถูกกระแสน้ำพัดไปและตกลงสู่ก้นบึ้งแห่งพื้นใต้ทะเล
กระแสน้ำเริ่มที่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น กระดูกมังกรลอยไปทั่ว และก้อนหินขนาดใหญ่กระเด็นไปทั่วทิศทาง
โม่เทียนเกอมองอย่างเสียดายในขณะที่ก้อนหินเหล่านั้นกระแทกเข้าไปที่เริ่นอวี่เฟิงแต่โดนขัดขวางด้วยรังไหมสีดำขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาอยู่ สำหรับชิวจื้อหมิงเขาได้ถูกฝังอยู่ใต้ก้อนหินที่ไหนสักที่ไปนานแล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มสงบลง กระแสน้ำไม่รุนแรงอีกต่อไป และการเคลื่อนที่ของก้อนหินก็ได้หยุดลง ความจริงแล้ว แม้กระทั่งน้ำก็เริ่มที่จะถอยหายไป
โม่เทียนเกอที่ปลอดภัยอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนทันใดนั้นก็เห็นลำแสงมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
ตอนที่ 188-1 ชายฝั่งทะเลตะวันออก
“พี่สาว พี่สาว ดูเร็ว!”
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของเด็ก
นางลืมตาขึ้นช้าๆ มองที่ภาพทิวทัศน์ด้านนอกจากในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
แสงอาทิตย์… แสงอาทิตย์!
ดวงตานางเบิกกว้างในทันที
แสงอาทิตย์… และไม่ใช่แค่แสงริบหรี่ที่ส่องผ่านน้ำ! มันคือแสงอาทิตย์โดยตรง!
เมื่อวานนี้ตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง นางยังคงอยู่อย่างปลอดภัยในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แต่หลังจากนั้นนางเห็นจุดของแสงส่องแทรกผ่านน้ำมา บ่งบอกว่านางน่าจะอยู่ไม่ไกลจากผิวน้ำ ในเมื่อนางไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหนและเห็นเริ่นอวี่เฟิงสามารถหนีจากหายนะนี้ไปได้และกลัวว่าพวกเขาจะยังอยู่ในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย นางจึงซ่อนตัวให้มิดชิดอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและไม่ได้ออกไป อย่างไรก็ตาม นางต้องประหลาดใจเมื่อนางลืมตาขึ้นในวันนี้ ภาพทิวทัศน์ด้านนอกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
ไม่มีน้ำและไม่มีกำแพงหินที่บดบังระยะสายตานาง มีเพียงแค่แสงอาทิตย์ที่สว่างโชติช่วงและไร้ขอบเขต
“เสี่ยวเป่า อย่าวิ่งไปทั่วสิ!”
ดูเหมือนจะมีเด็กสองคน เสียงอันแจ่มชัดไร้เดียงสาของพวกเขากระจายเข้ามาถึงที่ที่นางอยู่
“พี่สาว มีภูเขาสูงมากอยู่ตรงนี้!” เสียงของเด็กฟังดูใกล้หูของนาง โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ และพบว่า… นางดูเหมือนจะอยู่บนหินที่ใกล้กับชายทะเล เมื่อนางมองขึ้นไป สิ่งที่นางเห็นคือท้องฟ้าสีฟ้าครามและแสงอาทิตย์สดใส เมื่อนางก้มมอง สิ่งที่นางเห็นคือระลอกคลื่นนุ่มๆ บนผิวน้ำ แต่นางเห็นเศษหินและหินโสโครกข้างใต้ได้รางๆ
ความคิดเกิดขึ้นในจิตใจของโม่เทียนเกอ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่แดนแห่งมังกรซ่อนลาย นี่ไม่ใช่มหาสมุทรทางเหนือสุดด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เศษหินข้างใต้เป็นซากปรักหักพังของตำหนักใต้บาดาล หรือพูดอีกอย่างก็คือ นางถูกเคลื่อนไปพร้อมกับตำหนักใต้บาดาลไปยังสักที่หนึ่ง
เมื่อสรุปได้เช่นนี้ โม่เทียนเกอมองลงต่ำเพื่อมองหาเริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิง
พวกเขาไม่อยู่ที่นั่น นางไม่อาจหาร่องรอยของเริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิงท่ามกลางเศษซากพวกนั้นพบ ชิวจื้อหมิงไม่สำคัญเท่าไรนัก บางทีเขาอาจถูกฝังอยู่ภายใต้พวกหินก้อนใหญ่ๆ อย่างไรก็ตาม เริ่นอวี่เฟิงถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังดำมืดของเขาจนหมด ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาควรจะหาตัวเจอได้ง่าย แต่นางกลับไม่เห็นเขาที่ใดเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง เขาถูกกระแสน้ำทะเลพัดพาไปพร้อมกับรังไหมสีดำของเขา
ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง โลกภายนอกยังคงอยู่ใต้น้ำ บางที ณ จุดนั้น กระแสน้ำอาจจะรุนแรงมากและพัดพาเขาไปด้วย
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย หากนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อย่างน้อยตอนนี้นางก็สามารถหนีได้อย่างปลอดภัย
เด็กสองคนวิ่งมาทางที่นางยืนอยู่ คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยร่างล่อนจ้อนอายุประมาณสี่ถึงห้าขวบ ขณะที่อีกคนเป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณเจ็ดหรือแปดขวบ พวกเขาใส่เสื้อผ้าทอมือสีเทาลู่ลม ผิวของพวกเขาด้าน แก้มตอบและแห้งผาก ผมกระเซิง แต่ใบหน้าพวกเขายังคงมีความไร้เดียงสาและใจดีอย่างจริงใจแบบเด็กๆ
ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา ที่นี่น่าจะไม่ใช่มหาสมุทรทางเหนือสุดที่หนาวสุดขั้วอย่างแน่นอน ที่นี่คือทะเลที่อบอุ่นกว่า
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอขณะที่นางคิดทบทวน นางออกเดินทางจากคุนอู๋ตะวันตกสู่แคว้นเว่ยในดินแดนใจกลาง จากที่นั่น นางเข้าไปในถ้ำเซียนของจื่อเวยในแคว้นจิ้น และจากนั้นนางก็ถูกส่งไปที่เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดโดยม่านพลังเคลื่อนย้าย จากภาคเหนือสุด นางมาถึงสถานที่ใหม่อีกครั้งอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นเช่นนั้นเอง นางถูกโยกย้ายไปทั่วทุกที่
เด็กชายเงยหน้าเพื่อจ้องมองที่กองหินสูงบนชายฝั่ง จากนั้นเขาพูดกับพี่สาวของเขาว่า “พี่สาว ดูสิ! มันคือภูเขา!”
พี่สาวของเขาเอียงหัวขณะที่นางมองด้วยความสงสัย แต่ชั่วขณะต่อมานางก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ภูเขา”
“จะไม่ใช่ภูเขาได้อย่างไร” ดวงตาเด็กชายเบิกกว้าง “ท่านพ่อบอกว่าภูเขาคือหินหลายๆ ก้อน ที่นี่ก็มีหินหลายๆ ก้อน”
เด็กหญิงส่ายหน้าแล้วจึงพูดกับน้องชายของนาง “อันนี้ไม่ใช่ ข้าเคยเห็นภูเขามาก่อนกับท่านพ่อ ภูเขาสูงมากๆ และมีต้นไม้มากมายโตอยู่บนนั้น แล้วยังมีดอกไม้มากมายอีกด้วย”
ดวงตาเด็กชายกลมโตขึ้น เขาจ้องพี่สาวเขาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกนี้คืออะไร”
“พวกนี้… ก็แค่หินหลายก้อน” พี่สาวของเขากล่าว
“พี่สาว!” เด็กชายร้องเรียกหลังจากเขาเห็นบางสิ่งอยู่ท่ามกลางหินก้อนใหญ่ๆ จากนั้นเขาวิ่งไปตรงนั้น หยิบของที่มีสีขาวราวหิมะขึ้นมาและถือมันไว้เหนือหัวด้วยมือเล็กๆ ของเขา “ดูสิ นี่มันคืออะไร”
เด็กหญิงหยิบของที่อยู่ในมือน้องชายนางและตรวจสอบดูด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดนางก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ข้าก็ไม่รู้”
“เช่นนั้นเอากลับไปถามท่านพ่อกันเถอะ!”
“โอ๊ะ! มีอีกอันอยู่ตรงนี้!” เด็กหญิงหยิบของแข็งสีขาวชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากท่ามกลางก้อนหิน
จากการมองดู โม่เทียนเกอจำมันได้ว่าคือชิ้นส่วนเล็กๆ ของกระดูกนิ้วเท้ามังกร
พอเห็นเด็กทั้งสองคนด้านนอกกำลังค้นหากระดูกมังกร โม่เทียนเกอจึงลองคิดดู จากนั้นชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วของนางเพื่อออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
ลมทะเลรุนแรงพัดผ่านแขนของนาง มันทิ้งความชื้นไว้ไม่ใช่ความหนาวเย็น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ห่างไกลจากทางภาคเหนือสุด
“อ้า!” คนแรกที่เห็นนางคือเด็กหญิงตัวน้อย นางมึนงงสุดขีดที่เห็นใครบางคนจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดไม่รู้บนพวกหินก้อนใหญ่
เด็กชายก็เห็นนางเช่นกัน แต่ในทางตรงข้าม เขายิ้มทันทีจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างบนแก้มได้ชัดเจน เขาชี้ไปที่โม่เทียนเกอแล้วจึงปรบมือและพูดอย่างดีใจว่า “เทพธิดา! พี่สาว ดูสิ นั่นเทพธิดา!”
ความไร้เดียงสาและความน่าเอ็นดูของเขาทำให้โม่เทียนเกอไม่สามารถกลั้นยิ้มได้
เมื่อนางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางใช้จิตสัมผัสของนางเพื่อสำรวจดูสภาพรอบตัวทันที เพียงหลังจากที่นางยืนยันได้ว่าไม่มีร่องรอยของผู้ฝึกตนคนอื่นอยู่ที่นั่นเท่านั้นนางจึงรู้สึกสบายใจได้ในที่สุด
จากบนยอดของกองหินก้อนใหญ่ๆ นางลอยลงมาอย่างนุ่มนวล
การที่นางโฉบผ่านอากาศอย่างสบายๆ ทำให้เด็กหญิงกลัวเป็นที่สุด นางดึงน้องชายถอยกลับไปหลายก้าว “ท่าน… ท่านเป็นอะไร…”
โม่เทียนเกอหัวเราะแล้วจึงพูดอย่างอ่อนโยน “น้องสาว ไม่ต้องกลัวไป ข้าแค่ผ่านมา”
โดยไม่คาดคิด สิ่งที่นางพูดยิ่งทำให้เด็กหญิงกลัวมากกว่าเดิม เด็กหญิงกอดน้องชายของนางไว้แน่นและพูดว่า “อย่าพาน้องชายข้าไป! ข้า… ข้า…”
โม่เทียนเกองุนงง “น้องสาว ข้าดูเหมือนคนไม่ดีเช่นนั้นหรือ”
ก่อนที่เด็กหญิงจะทันตอบ เด็กชายตะโกนไปก่อนแล้ว “ไม่เหมือน! ท่านดูเหมือนเทพธิดา!”
โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ การถูกเรียกว่าเป็นเทพธิดาโดยเด็กที่ใสซื่อและน่ารักเช่นนั้นเป็นสิ่งที่น่าดีใจ อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของเด็กหญิงค่อนข้างแปลกประหลาด
หลังจากลองคิดไตร่ตรองดู นางจึงถามต่ออย่างเป็นมิตร “น้องสาว เจ้ากลัวอะไรหรือ ข้าไม่ได้จะทำร้ายเจ้า”
เด็กหญิงจ้องมองโม่เทียนเกออย่างระมัดระวังมาสักพักแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากเห็นว่าโม่เทียนเกอดูเหมือนจะเป็นคนดีจริง นางจึงค่อยๆ ลดความระวังตัวลง นางพูดอย่างลังเล “ท่าน… เป็นแค่คนผ่านมาจริงหรือ”
“อื้อ” โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วจึงถามอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าดูเหมือนคนไม่ดีเล่า”
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เด็กหญิงพูดอย่างเหนียมอาย “ท่านพ่อบอกว่าช่วงหลังมานี้มีคนไม่ดีมากมายมาที่หมู่บ้านของเรา พวกเขามักจะจับเด็กไปบ่อยๆ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างน้องชายของข้า…”
จับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ โม่เทียนเกอย่นคิ้ว พวกผู้ลักพาตัวหรือ ในหมู่บ้านตระกูลโม่ เมื่อตอนนางเป็นเด็ก นางก็เคยได้ยินว่ามีพวกผู้ลักพาตัวที่เชี่ยวชาญในการลักพาตัวเด็กๆ และปกติแล้วเด็กผู้ชายคือเป้าหมายของพวกเขา
“วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่ผู้ร้ายลักพาตัว” โม่เทียนเกอพูดพร้อมรอยยิ้มเพื่อปลอบใจเด็กหญิงที่ตื่นกลัว “ถ้าเจ้าไม่สบายใจ เจ้าพาข้าไปเจอท่านพ่อของเจ้าก็ได้ แบบนั้นดีไหมล่ะ”
เด็กหญิงสองจิตสองใจว่านางควรทำอย่างไรอยู่สักพัก แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้า “ตกลง หมู่บ้านของเราอยู่ตรงโน้นเอง เมื่อข้าตะโกน ก็จะมีคนมาหาข้าแน่นอน”
สายตาโม่เทียนเกอเคลื่อนตามทิศทางที่เด็กหญิงชี้ไป มีกระท่อมเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาอยู่จริงๆ แต่คนที่นั่นอาจจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนมาจากตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงคนนี้แค่พูดเช่นนั้นเพื่อเตือนนาง โม่เทียนเกอกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ เด็กหญิงยังเป็นแค่เด็กแต่นางก็ระมัดระวังตัวดีมาก นางเข้าใจว่านางต้องปกป้องตัวเองและน้องชายของนาง นางเป็นเด็กฉลาดเลยทีเดียว
เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้พยายามจะทำอะไรไม่ดีต่อพวกนาง ความกังวลของนางจึงลดลงเล็กน้อย นางคว้ามือน้องชายแล้วจึงนำทางโม่เทียนเกอเดินไปยังกระท่อมหลังเล็กๆ
เด็กชายดูเหมือนจะชอบโม่เทียนเกอมาก ขณะที่พวกเขาเดิน เขาเงยหน้าเพื่อมองนางและพูดว่า “พี่เทพธิดา ท่านมาจากที่ไหนหรือ ท่านมาจากทะเลหรือเปล่า ท่านพ่อข้าบอกว่ามีเทพธิดาอยู่ในทะเลและนางคอยอวยพรและคุ้มครองพวกเราให้ปลอดภัย”
“อืม จะว่าเช่นนั้นก็ได้” โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเป็นเทพธิดา”
“เพราะพี่เทพธิดาสวยมากเหมือนอย่างที่ท่านแม่ข้าเคยพูดไว้เลย!” เด็กชายยกมือขึ้นเห็นได้ชัดว่าต้องการจะดึงมือนาง
เมื่อเห็นท่าทางของเขา เด็กหญิงเหลือบมองเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะของโม่เทียนเกออย่างเหนียมอายแล้วจึงรีบปัดมือน้องชายนางออกไป “เสี่ยวเป่า มือเจ้าสกปรก”
เด็กชายที่ชื่อ “เสี่ยวเป่า” ดูผิดหวังและเขาส่งเสียง “โอ้” พร้อมกับลดมือลง
โม่เทียนเกอถอนใจอยู่ในใจ นางก้มตัวลงและจับมือเด็กชาย “ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก เสื้อผ้าข้าไม่เลอะ” นางกำลังใส่ชุดชาวลัทธิเต๋าของโรงเรียนเสวียนชิงอยู่ในตอนนี้ มันทำมาจากผ้าทอเมฆจากเขาไท่คัง ดังนั้นต่อให้น้ำหมึกหกใส่ นางก็แค่ต้องสะบัดนิดหน่อยและมันก็จะสะอาดเอี่ยมอีกครั้ง
รอยยิ้มเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าเสี่ยวเป่าทันที เขาร้องเสียงดัง “ท่านเป็นพี่เทพธิดาจริงด้วย! ท่านแม่บอกว่าพี่เทพธิดาจากทะเลนั้นมีเมตตากับพวกเรามาก นางเป็นท่านแม่ของทุกคน!”
“…” จิตใจโม่เทียนเกอว้าวุ่นเล็กน้อย ตอนแรกนางเป็นพี่เทพธิดา ตอนนี้นางกลายเป็นแม่ของทุกคนแล้วหรือ แต่อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจว่าเด็กชายหมายความว่าอะไร พี่เทพธิดาจากทะเลที่เขาพูดถึงน่าจะเป็นพระเจ้าที่ชาวประมงในบริเวณนี้เคารพบูชา
กระท่อมเล็กๆ อยู่ไม่ไกลมากนัก และเพราะนางเดินคุยกับเด็กชายตลอดเวลา พวกเขาจึงมาถึงก่อนจะรู้ตัวเสียอีก
โม่เทียนเกอมองกระท่อมอย่างเร็วๆ ทั้งหมดคือกระท่อมมุงจากที่ทำจากหลังคาฟางและกำแพงดินหรืออย่างดีที่สุดก็คือกำแพงหิน ผู้อยู่อาศัยมีผิวด้าน ใส่เสื้อผ้าปอนๆ ดูเฉื่อยชา เห็นได้ชัดว่าชีวิตของพวกเขาไม่ดีเลยสักนิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น