เล่ห์รักกลกาล 178-184

ตอนที่ 178 สามีจีบเจ้าเพียงคนเดียว

 

บ้าเอ๊ย


 


 


สีหน้าของเยี่ยเม่ยแดงก่ำขึ้นอีกครั้ง


 


 


ก่อนหน้านี้ทำไมนางไม่รู้เลยว่า บุรุษผู้นี้จีบสาวเก่งกาจนัก คำพูดเดียวก็ทำให้นางหน้าแดงใจสั่น ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ตรงไหนแล้ว


 


 


เมื่อถูกบังคับให้หันหน้ากลับมามองตรงๆ สายตาอยู่ที่หน้าอกของเขา


 


 


ได้แต่กลอกตาไปซ้ายขวา คิดด่าว่าคนอยู่ในใจ


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมเห็นแววตาหลบเลี่ยงและขัดเขินของนาง แววตาของเขาทอประกายสนุกสนาน คิดไม่ถึงว่าสตรีเย็นชาเข้มแข็งอย่างเยี่ยเม่ย ก็มีด้านที่หวาดกลัวเช่นกัน


 


 


นี่ทำให้ประกายขบขันในดวงตาของเขาทวีความเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะยามที่มองหน้าบึ้งของนาง


 


 


เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยคล้ายกับแมวที่ถูกเหยียบหาง


 


 


ถลึงตากว้าง จ้องใบหน้าหล่อร้ายเบื้องหน้า แก้ตัวเสียงเย็น “ข้าหน้าแดงแล้วหรือ ใช่หรือ ไม่มีสักหน่อย”


 


 


ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่เยี่ยเม่ยรู้สึกใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว คล้ายเป็นไข้สูงก็ไม่ปาน ความร้อนสูงจนไม่อาจดูแคลน ทำให้นางที่กำลังบ่ายเบี่ยง ร้อนรนเป็นพิเศษ


 


 


ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยหน้าแดงบ่ายเบี่ยง ขัดเขินจนไม่กล้ายอมรับ ท่าทางเช่นนี้ยิ่งชวนให้คนสงสารหลงรัก


 


 


เปลวเพลิงลุกโชนในดวงตาเขา สบตากับนาง คล้ายกับจะจุดไฟบนกายเยี่ยเม่ย มองเสียจนหญิงสาวทำตัวไม่ถูก ทั้งรับรู้ถึงความอันตรายจากเบื้องลึก


 


 


ในขณะที่แผ่นหลังเย็นวูบวาบ น้ำเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มมีเสน่ห์สุดจะอธิบายออกมาได้ กระซิบข้างหู “ฮูหยิน อยากทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรกับสามีสักหน่อยหรือไม่”


 


 


 “ไร้ยางอาย”


 


 


เยี่ยเม่ยฟาดมือใส่หัวเขา ปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเป็นอย่างมาก


 


 


ใบหน้าแดงก่ำ นับตั้งแต่เข้าประตูมาจนถึงตอนนี้ไม่ลดลงเลย


 


 


ในใจได้แต่ลอบคั่งแค้นที่ตัวเองหน้าบางเกินไป ไม่หน้าด้านไร้ยางอายในเรื่องประเภทนี้เลยสักน้อย ถึงชักนำให้ตกเป็นฝ่ายถูกกดดัน


 


 


ขายหน้านัก


 


 


ฝ่ามือตบบนหัวเขาแรงไม่เบา เขายังสงสัยว่าหัวตัวเองถูกตีจนปูดบวม เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพรูลมหายใจยาว คว้ามือเล็กๆ ที่เตรียมเคาะหัวเขาอีก น้ำเสียงน่าฟังเอ่ย “ฮูหยิน เกี้ยวพาราสีไม่ทำแบบเจ้านี่ ลงมือไม่ควรหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นจะหมดความสนุกแล้ว”


 


 


ยามเขาเอ่ยประโยคนี้ สีหน้าซุกซนเต็มไปด้วยความหยอกเย้าและขบขันอย่างเห็นได้ยากยิ่ง


 


 


เยี่ยเม่ยยามนี้ถลึงตากลมโต จ้องบุรุษหน้าเหม็น กัดฟันเอ่ย “ใครจะเกี้ยวพาราสีกับท่านกัน ข้าอยากตบท่านจริงๆ เท่านั้น”


 


 


 “ฮูหยิน อย่าปากไม่ตรงกับใจ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฝืนอธิบาย การตีของเยี่ยเม่ยเป็นการเกี้ยวพาราสี จากนั้นก้มหน้าลงจูบหญิงสาวหนักๆ โดยไม่พูดไม่จา


 


 


คล้ายกับพายุฝนโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน ฉกฉวยน้ำหวานล้ำในโพรงปากของเยี่ยเม่ยอีกครั้งหนึ่ง


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยถูกจูบจนมึน ปากแห้งไปหมด ร่างกายเริ่มรุ่มร้อน เสี้ยวเวลานี้จะเกี้ยวพาราสีหรือว่าตบเขาจริงๆล้วนลืมเลือนไปสิ้น


 


 


นางละเลยปัญหาข้อหนึ่งไปเสียสนิทใจ


 


 


วันนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเรียกขานนางคำเดียวอยู่ตลอด


 


 


 “ฮูหยิน”


 


 


คำเรียกนี้เพิ่งถูกใช้มาไม่นาน นางรู้สึกว่าออกจะหญิงสาวเกินไป จึงดึงดันจะปฏิเสธคำเรียกนี้ให้ได้ วันนี้เขาเรียก “ฮูหยิน” ครั้งแล้วครั้งเล่า นางกลับไม่รู้สึกน้ำเน่าหรือขนลุก แต่ฟังแล้วรู้สึกเป็นธรรมชาติมาก


 


 


เยี่ยเม่ยยามนี้คิดอยากด่าคนอีกครั้ง


 


 


นี่นางโดนของแล้วหรือเปล่า


 


 


ในห้วงความสงสัย น้ำเสียงแฝงความขบขันของเขาดังขึ้น “ฮูหยิน เจ้าเหม่อลอยอีกแล้ว”


 


 


เพียงแต่ยามมองเยี่ยเม่ยเหม่อลอย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับรู้สึกว่านางน่ารักมาก


 


 


เยี่ยเม่ยได้สติกลับมา มองเขาอย่างป้องกัน เสียงเย็นชาเอ่ยปาก “เจ้ายังคิดเกาะอยู่บนตัวข้าไปอีกนานเท่าไหร่ เจ้าจะออกไปเมื่อไหร่”


 


 


เยี่ยเม่ยค้นพบแล้ว ความผิดปกติทั้งหลายของนาง ไม่แน่เกิดจากที่ทั้งสองใกล้ชิดกันเกินไป ทำให้นางสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์


 


 


หากเขาลุกขึ้น บางทีนางอาจจะไม่อ่อนแอขนาดนี้


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ กลับไม่รู้ตัวว่าสะกิดถูกเส้นสมองส่วนไหนของเขาก็ไม่ทราบ เขาพลันก้มหน้าลงมา ขบปลายจมูกนางเบาๆ หยอกเย้า ทำเอาเยี่ยเม่ยชาวูบไปทั้งกาย


 


 


ส่วนน้ำเสียงของบุรุษหน้าไม่อายผู้นี้ดังขึ้นข้างหูนางอย่างรวดเร็ว “ยากนักที่ฮูหยินจะขวยเขิน สามีก็ต้องตักตวงหลายคำหน่อย”


 


 


 “ปึ้ง”


 


 


เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าสมองของนางในยามนี้คล้ายมีอะไรระเบิดออกมาแล้ว


 


 


นางรู้สึกว่าตัวเองคล้ายอยู่ในการ์ตูน ทั้งรู้สึกว่าใบหน้านางแดงก่ำคล้ายควันจะพวยพุ่งออกมา นางหน้าแดงมองบุรุษเบื้องหน้า มุมปากกระตุก เอ่ยด้วยเสียงเย็น “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เจ้าจีบสตรีอยู่เรื่อยใช่หรือไม่”


 


 


ไฉนถึงมีประสบการณ์ขนาดนี้


 


 


ครั้นนางเอ่ยออกมา เขาขบจมูกนางเบาๆ อีกครั้ง เอ่ยเนิบช้า “ข้าจีบเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งเคยจีบแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น”


 


 


ทั้งสองประโยคมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ทว่าความหมายไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง


 


 


หลังจากเขาเอ่ยประโยคนี้ เยี่ยเม่ยไม่รู้เป็นอะไร หัวใจสั่นไหว ยามนี้เกิดความหวานล้ำยากอธิบายได้


 


 


รอจนนางได้สติกลับมา ลำคอรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ทำให้นางรู้ว่าที่คอของตนถูกบุรุษผู้นี้ฝังรอยเอาไว้แล้ว


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยหมดปัญญา “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ข้ายังต้องออกไปข้างนอกนะ ท่านทำเช่นนี้แล้วข้าจะเปิดคอออกไปข้างนอกได้อย่างไร”


 


 


ครั้งก่อนตอนเขาทำ นางยังรู้สึกประหม่า


 


 


ยังดีที่ครั้งก่อนรอยไม่ชัด นางกลับไปทายา เช้าวันที่สองจางไปมาก ทว่าเขาฝังรอยเข้มขนาดนี้ คงไม่เลือนได้ง่ายๆ


 


 


 “ก็อยากให้เป็นเช่นนี้ คนทั้งหมดจะได้รู้ว่าฮูหยินเป็นดอกไม้ที่มีเจ้าของแล้ว” ดวงตาคู่ร้ายมองนาง เผยแววขบขันลึกๆ แสดงความเย็นเยียบชั่วร้ายออกมา


 


 


เยี่ยเม่ยพลันเข้าใจ ยื่นมือชี้บุรุษเจ้าเล่ห์ตรงหน้า “ท่านจงใจนี่”


 


 


นางชี้นิ้วใส่เขา นิ้วมือถูกเขากัดไว้ทันที ทั้งยังใช้ลิ้นเลียเบาๆ อีกด้วย


 


 


เยี่ยเม่ยอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง รีบชักนิ้วมือกลับมา นางเข้าใจแล้ว ในยามนี้ทำอะไร ก็ไม่ดีต่อตัวเองทั้งนั้น เป็นไปได้ว่าจะยิ่งถูกจีบหนักไปมากกว่านี้


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยามนี้ กลับไม่ตอบข้อสงสัยของเยี่ยเม่ย น้ำเสียงอ่อนโยนเผยอารมณ์ขบขัน ดังขึ้น “ฮูหยินฉลาดจริงๆ จนทำให้สามีแปลกใจนัก สามีหวังว่าฮูหยินจะออกไปด้วยคอแบบนี้ เป่ยเฉินอี้จะได้เข้าใจว่า เจ้าเป็นสตรีของข้า ภายหน้าไม่ว่าจะดีต่อเจ้าอย่างไร หรือว่าลงมือกับเจ้าจะได้ใคร่ครวญเอาไว้บ้าง”


 


 


เยี่ยเม่ยหน้าแดง ฝืนเชิดหน้า “ข้าไม่กลัวว่าเขาจะลงมือกับข้า ไม่ต้องให้ท่านทิ้งรอยเช่นนี้เพื่อขมขู่เขา”


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ใส่ใจ เอ่ยช้าๆ “แต่ว่าสามีกลัวเหลือเกิน อีกอย่างสามีถือสาเรื่องที่เขาดีกับเจ้ามาก อย่างนั้นหัวใจอันอ่อนแออ่อนไหวของสามีจะเสียใจมาก กลัวว่าเมื่อถึงยามนั้นจะพลอยทำให้พวกเราเสียใจไปด้วยกัน เพราะคนที่จะลงจากเตียงไม่ได้หลายวันคือฮูหยินแล้ว”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


เจ้าคนนี้มียางอายบ้างหรือไม่


 


 


นี่ยังมีกฎระเบียบอะไรบ้างหรือเปล่า 

 

 


ตอนที่ 179 ฮูหยิน พวกเราค่อยต่อกันคืนนี้

 

ช่างเถอะ ในสายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตัวเขาก็คือกฎหมาย 


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยกลัดกลุ้ม เขาก็ขบลงที่เรียวคอนางอีกหลายครั้ง 


 


 


เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองเพดานอย่างหมดปัญญา ไม่ต้องคิดแล้ว คอของนางคงเต็มไปด้วยรอยจูบที่เกิดจากความจงใจของเขา อีกอย่างหากว่าวันนี้ไม่ปล่อยให้เขาทำรอยจูบจนพอใจ เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่ปล่อยนางไปแน่ 


 


 


ดังนั้นนางถึงเลิกขัดขืนแล้วปล่อยเขาทำตามใจ 


 


 


ในเวลานี้เอง 


 


 


ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้า เสียงฝีเท้านี้คุ้นหูมาก คือเซียวเยว่ชิง ยามนี้เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าตัวช่วยของตนมาแล้ว แม่เจ้าเถอะ นี่มันผู้ช่วยคนจากภัยพิบัติแท้ๆ 


 


 


ครั้นเห็นสายตาร้อนรนของนางมองคนด้านนอกที่เข้ามาขัดจังหวะอย่างเร่งด่วน 


 


 


สายตาของเขาฉายแววโทสะขึ้นมาเนืองๆ เอ่ยว่า “ฮูหยิน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า แค่คำพูดเดียวของสามี คนด้านนอกไม่กล้าก้าวเข้ามาสักก้าวเดียว” 


 


 


อ้อ 


 


 


 “เขาต้องมีเรื่องสำคัญมาหาข้าแน่” เยี่ยเม่ยตีหน้านิ่งมองเขา ฝืนตนเองให้สงบจิตใจ จากนั้นเคลื่อนมือไปลูบคอตัวเอง 


 


 


นางรู้สึกว่าชาไปหมดทั้งลำคอแล้ว คาดว่าคงถูกเขาจูบจนกลายเป็นรอยหมด จึงเอ่ยต่อไปว่า “อีกอย่าง ที่คอก็มีแต่รอยที่ท่านฝากไว้ ท่านสมควรพอใจได้แล้วกระมัง” 


 


 


ที่สำคัญก็คือ นางรู้สึกว่าหากคนสองคนยังนอนอยู่บนเตียงไม่ลุกขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายของเขา ทั้งยังมีแผงอกกำยำกึ่งเปลือยกึ่งปิดมีความงดงามมหาศาลปรากฏเบื้องหน้านางในระยะใกล้เช่นนี้ต่อไป นางไม่รับประกันว่า ตัวเองจะกลายร่างเป็นหมาป่าสาว ย้อนกลับไปจู่โจมเขาหรือเปล่า 


 


 


 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมคิดไม่ถึงว่า สตรีตัวน้อยที่ขวยเขินจนแทบไม่ไหวแล้ว ภายในกลับมีความคิดกลับตาลปัตรเช่นนี้ เขายื่นมือออกไปลูบคอนางเบาๆ มองรอยประทับเต็มไปหมดของตนอย่างพึงพอใจ 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่สร้างความลำบากใจให้นางอีก เขาลุกขึ้น 


 


 


เยี่ยเม่ยรีบลุกตามทันที จัดสาบเสื้อของตน ทำให้กลับไปดูเป็นเยี่ยเม่ยที่เย็นชา โอหังและจริงจังผู้นั้น 


 


 


หลังจากจัดการตนเองเสร็จเรียบร้อย กลับเห็นบุรุษเบื้องหน้าตนที่เกรงคนทั่วหล้าไม่รู้ ว่าเมื่อครู่พวกเขาทำอะไรอยู่ในห้อง สาบเสื้อหลุดลุ่ยที่บริเวณอกไม่จัดสักน้อย เผยแผงอกอวดโฉมเตะตาคน 


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยพุ่งเข้าไปช่วยเขาจัดแจงด้วยความลนลาน ปิดสาบเสื้อมิดชิด นางไม่อยากเป็นหัวข้อให้คนนินทาจริงๆ 


 


 


ในขณะที่ช่วยเขาอยู่ เซียวเยว่ชิงก็เริ่มเคาะประตู “แม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


เยี่ยเม่ยช่วยเขาจัดสาบเสื้อเข้าที่ จากนั้นเอ่ยว่า “เข้ามา” 


 


 


ในระหว่างพูด ก็ช่วยเขาจัดอาภรณ์เรียบร้อย เตรียมรั้งมือกลับ 


 


 


ใครจะรู้ว่าตอนที่นางกำลังดึงมือกลับ เขาพลันยื่นมืออกมา จับมือเล็กๆ ของหญิงสาวไว้ ดึงไปวางไว้บนหน้าอกเขาอีกครั้ง เวลานี้เยี่ยเม่ยหน้าเขียวคล้ำ รีบร้อนดึงมือตนกลับมา 


 


 


 “แอ๊ด” เสียงประตูเปิดออก 


 


 


ระหว่างที่สองคนฉุดรั้งกันไปมา จากมุมมองของเซียวเยว่ชิง คล้ายกับว่าเยี่ยเม่ยกำลังบังคับถอดเสื้อองค์ชายสี่ของพวกเขา 


 


 


เซียวเยว่ชิงเวลานี้ยืนแข็งอยู่หน้าประตูแล้ว 


 


 


ทั้งยังมีสีหน้าปวดร้าวเป็นอย่างมาก 


 


 


ใบหน้าเขาเหมือนเขียนคำถามเอาไว้ประโยคหนึ่ง ‘แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านกับองค์ชายสี่ทำเรื่องเช่นนี้กัน แล้วยังให้ข้าเข้ามาทำไมอีกเล่า’ 


 


 


ข้าน้อยเข้ามาก็กระอักกระอ่วนมากเกินไปแล้ว 


 


 


ขณะที่เซียวเยว่ชิงกำลังจินตนาการอยู่ในสมอง เยี่ยเม่ยมองสีหน้าพิกลของเซียวเยว่ชิง ยามนี้ก็เข้าใจแล้วว่าในสมองของอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่   


 


 


เสี้ยวขณะนี้ต่อให้กระโดดแม่น้ำหวงก็ยากจะชำระล้างได้หมดจด มีความคิดอยากจะต่อยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนซักยกหนึ่ง 


 


 


ส่วนน้ำเสียงไพเราะน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแฝงไปด้วยความหยอกเย้า เอ่ยช้าๆ “ฮูหยิน พวกเราค่อยต่อกันคืนนี้”  


 


 


 “ตู้ม ” 


 


 


เยี่ยเม่ยเหมือนเกิดระเบิดในสมอง คราวนี้โมโหขึ้นมาจริงๆ  


 


 


ค่อยต่อคืนนี้ ต่อกับหัวเขาน่ะสิ 


 


 


เยี่ยเม่ยกัดฟันกรอด เตือนเสียงเย็นว่า “ปล่อยมือ” 


 


 


ยามนี้เขากลับเชื่อฟังมากนัก รีบปล่อยมือลง มองสายตานาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้ว่าหากเขายังไม่ปล่อยมืออีก เพลิงโทสะของนางเกรงว่าจะจะแตะจุดสูงสุดแล้ว หากยั่วโมโหสตรีนางนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีที่สมควรรอคอย 


 


 


จะทำให้พวกศัตรูหัวใจแทรกแซงช่องว่างเข้ามาอย่างง่ายดาย 


 


 


เห็นเขาปล่อยมืออย่างว่าง่าย โทสะของเยี่ยเม่ยลดลงไปบ้าง นางเพียงรู้สึกว่าวันนี้ บุรุษผู้นี้ทำเกินเลยไปมาก ไม่มีคุณสมบัติยี่สิบสี่ข้อของสามีที่ดีพึงแสดงออกมาเลย 


 


 


           เซียวเยว่ชิงเห็นว่าในที่สุดพวกเขาก็หยุดฉุดรั้งกันเสียที กระแอมไอ เอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย มีคนมาจากเมืองหลวง บอกว่าจะมาหาท่านโดยเฉพาะ นำพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮามา” 


 


 


เยี่ยเม่ยหันกลับไปด้วยความแปลกใจ มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง 


 


 


ถามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียงเย็นชา “ฮองเฮา คือเสด็จแม่ของท่านหรือ” 


 


 


           ก่อนหน้านี้ยามได้ยินเขาเอ่ยถึง ‘เสด็จแม่’ ก็คาดการณ์ได้แล้วว่าเขาหาใช่องค์ชายที่เกิดจากนางสนม อย่างนั้นฮองเฮาก็ควรเป็นแม่แท้ๆ ของเขาสินะ  


 


 


ฮองเฮาหานางเรื่องอะไรกัน 


 


 


 


 


 


เยี่ยเม่ยกระตุกมุมปาก หากว่าเรื่องของนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถ่ายทอดไปถึงเมืองหลวงจนฮองเฮารับรู้ ฮองเฮาย่อมไม่อาจยอมรับสตรีที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนแบบนางเป็นพระชายาองค์ชาย ดังนั้นจึงมีราชเสาวนีย์ให้นางไสหัวไปหรือเปล่า 


 


 


ในนิยายน้ำเน่านั้นล้วนมีเรื่องราวเช่นนี้ทั้งนั้น 


 


 


ในขณะที่เยี่ยเม่ยใช้ความคิด 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองหญิงสาว น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ อธิบาย “ไม่ผิด คือเสด็จแม่ของเยี่ยนเอง ออกไปดูว่านางมีเรื่องอะไรกันแน่ หวังว่าจะไม่ส่งมาหาที่ตาย”  


 


 


เยี่ยเม่ย “…” 


 


 


มีใครพูดถึงแม่ตัวเองแบบนี้กันบ้าง 


 


 


ก่อนหน้านี้นางคาดเดาได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาแม่ลูกไม่น่าจะดีนัก แต่คิดไม่ถึงว่าจะแย่ถึงขั้นนี้ 


 


 


ในขณะที่นางกลัดกลุ้ม 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับมือเยี่ยเม่ย คนทั้งสองเดินออกนอกห้องพร้อมกัน 


 


 


เซียวเยว่ชิงติดตามอยู่ด้านหลัง เขาติดตามอย่างสงบเสงี่ยม ความแตกตื่นในใจกักเก็บไว้แทบไม่ไหวแล้ว วิณญาณหลุดออกมาจากร่างตั้งแต่แรก เตรียมป่าวประกาศภาพเหตุการณ์น่าตื่นเต้นที่แม่นางเยี่ยเม่ยอดทนไม่ไหว ถอดเสื้อองค์ชายสี่  


 


 


ทั้งยังยอมให้เขาเข้าไปในห้องอย่างเปิดเผย เรียกเขาไปชมนางล่วงเกินองค์ชายสี่  


 


 


หากเยี่ยเม่ยรู้ว่าเซียวเยว่ชิงคิดอะไรมากมายขนาดนี้อยู่ในสมอง ซ้ำยังคิดป่าวประกาศออกไป นางต้องไม่สนใจภาพลักษณ์สูงส่งของตน ตวาดร้องเสียงดัง กระโดดไปทุบสมองหมูของเขาแน่ 


 


 


อวี้เหว่ยนั่งยองๆ รออยู่หน้าประตูเรือน 


 


 


นับตั้งแต่เตี้ยนเซี่ยกดจูบแม่นางเยี่ยเม่ยที่กำแพง เขาก็ปิดตาของบุรุษพรมจรรย์ของตนเอง หนีออกไปไกลแล้ว ไม่กล้าแอบชำเลืองดูเลยสักนิด กลัวแม่นางเยี่ยเม่ยที่อารมณ์ไม่ดีเป็นนิตย์จะจัดการตนเอา 


 


 


เวลานี้เห็นทั้งสองเสื้อผ้าเรียบร้อยเดินออกมา เขาก็รีบวิ่งเข้าไป แสดงความเห็นของตน “เตี้ยนเซี่ย พระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน” 


 


 


ครั้นเขาเอ่ยออกมาเยี่ยเม่ยรีบหันไปมองอวี้เหว่ยทันที 


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระชับมือเยี่ยเม่ยแน่น สุ้มเสียงน่าฟังเบาสบายนั้นเอ่ยอย่างเชื่องช้า “วางใจเถอะ ไม่ต้องกลัว เจ้าควรเข้าใจไว้ สามีในอนาคตของเจ้าไม่ใช่คนที่ใครๆ กล้าหาเรื่องง่ายๆ ไม่ว่านางจะว่าอย่างไร เชื่อฟังพวกเราก็ดี แต่หากไม่เชื่อฟังพวกเรา นางก็ต้องลงนรกไปเสีย”  

 

 


ตอนที่ 180 สำนึกบุญคุณ จนแทบจะให้ร่างกายตอบแทน

 

เห็นท่าทางราวอันธพาลไร้เหตุผลของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน รวมถึงการไม่ใส่ใจในคำพูดที่น่าจะเป็นของฮองเฮา    


 


 


เยี่ยเม่ยค่อยวางใจ ติดตามเขาไปดูว่า ฮองเฮาคิดทำอะไรกันแน่ 


 


 


   …… 


 


 


หุบเขาร้างนอกอาณาเขตต้ามั่ว 


 


 


บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคมคายสองคนเดินออกมาจากเขาร้าง หนึ่งในนั้นคือโอวหยางเทา ในความหล่อเหลาของเขามีความสง่างามแฝงอยู่หลายส่วน เป็นหนุ่มรูปงามโดยสมบูรณ์แบบ 


 


 


เขากำลังพยุงบุรุษอีกคนหนึ่ง บุรุษผู้นั้นมีความองอาจ แฝงไปด้วยไอคุณธรรมอย่างไม่อาจปกปิดได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชายชาตรีเข้มแข็งผู้หนึ่ง 


 


 


โอวหยางเทาเล่นหูเล่นตาเอ่ยปาก “เซียวเซ่อหยาง เจ้าเห็นแล้วหรือยัง ทั่วทั้งใต้หล้านี้มีข้าคนเดียวที่จริงใจต่อเจ้า เจ้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ก็มีแต่สหายของเจ้า นั่นก็คือข้าที่มีความสามารถฝ่าภูเขาลุยน้ำมาตามหาเจ้า” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา เซียวเซ่อหยางพยักหน้าทันที สีหน้าสำนึกบุญคุณ “ถูกแล้ว” 


 


 


 “เจ้าดีใจหรือเปล่า ซาบซึ้งหรือไม่” โอวหยางเทาปรายตามองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่ได้ช่วยคนพ้นจากภัยพิบัติอันตราย 


 


 


เซียวเซ่อหยางตอบเสียงเข้มต่อว่า “สำนึก จนแทบจะใช้ร่างกายตอบแทน” 


 


 


 “แค่ก…” โอวหยางเทาสำลัก ไอแห้งอยู่สองสามที ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ “ไม่มีใครคิดเบียดเบียนสหายแบบเจ้าหรอก ข้าเป็นบุรุษปกตินะ” 


 


 


เซียวเซ่อหยางส่งสายตามองเขา ทำเป็นจริงจังว่า “แต่บุญคุณยิ่งใหญ่ของเจ้า ข้าไม่มีอะไรตอบแทนได้จริงๆ หากไม่ใช่ร่างกายตอบแทนแล้ว ข้าจะไม่ผิดต่อเจ้าหรือไร” 


 


 


“ไม่จำเป็นแล้ว” โอวหยางเทาส่ายหน้าเป็นพัลวันคล้ายกับกลองป๋องแป๋ง “นี่ เจ้าจะเกรงใจอะไรเล่า ช่วยเหลือเจ้า ดูแลเจ้า เป็นเรื่องที่สหายสมควรทำ ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอก” 


 


 


แม่เจ้า 


 


 


โอวหยางเทายามนี้ลนลานอยู่บ้าง เซียวเซ่อหยางคงไม่ได้พูดจริงหรอกกระมัง 


 


 


โอวหยางเทาตอบกลับมาเช่นนี้ สีหน้าเซียวเซ่อหยางยิ่งจริงจังขึ้นมาทันที “รู้อยู่แล้วว่าสหายอย่างเจ้าสมควรทำก็ดี อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดพร่ำมากความ นับตั้งแต่วันที่เจ้าตามหาข้าพบ คำพูดทวงบุญคุณเช่นนี้เจ้าพูดมายี่สิบกว่าเที่ยวแล้ว ข้าฟังจนหูชาไปหมด นอกจากใช้ร่างกายตอบแทนเจ้า ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบแทนเจ้าอย่างไรดี” 


 


 


โอวหยางเทา “….อ้อ ที่แท้เจ้าพูดข่มขู่ข้านี่เอง เพราะเจ้ารำคาญสหายผู้แสนดีอย่างข้า ข้าล่ะเสียใจจริงๆ ”  


 


 


น้ำเสียงของเขาต่ำเป็นพิเศษ คล้ายได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก 


 


 


น้ำเสียงของเซียวเซ่อหยางที่เอ่ยกับเขา ไม่ได้ใส่ใจเลยสักน้อย อีกฝ่ายกลอกตามองเขา “หากเจ้าไม่อยากสร้างความรำคาญมากขึ้น ก็พูดให้น้อยลงเถอะ” 


 


 


 “สหายเอ๋ย วันนี้เจ้าทำร้ายจิตใจข้าจริงๆ” โอวเหยางเทาพยุงเซียวเซ่อหยางด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกุมทรวงอกตัวเองด้วยความปวดใจ สีหน้าสลด คล้ายกับว่านาทีถัดมาเขาจะเจ็บปวดใจเจียนตาย 


 


 


หลังจากคำพูดปวดร้าวของโอวหยางเทาเอ่ยจบ 


 


 


ฝีเท้าของเซียวเซ่อหยางก็ชะงักไปแล้ว ใบหน้าองอาจเหยียดยิ้มแต่เปลือก จ้องโอวหยางเทา “เจ้าปวดใจมากนักหรือ ให้ข้าช่วยนวดปลอบใจสักหน่อยดีไหม” 


 


 


โอวหยางเทาตื่นตระหนกสุดขีด มือข้างที่กุมอกก็ปล่อยลง 


 


 


คิดไม่ออกเลยว่า อีกประเดี๋ยวหากเซียวเซ่อหยางจับหน้าอกเขาขึ้นมาจริงๆ ตัวเองจะไม่ขนลุกตายหรือ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏความบึ้งตึง ปรายตามองเซียวเซ่อหยางทีหนึ่ง กลืนน้ำลายกล่าวว่า “ไม่ต้องแล้ว ข้าหายแล้ว” 


 


 


เซียวเซ่อหยางแค่นเสียงเบาๆ หน้าตาเย็นชา 


 


 


โอวหยางเทาเห็นอีกฝ่ายไร้น้ำใจปานนี้ ทั้งยังให้คำพูดทำร้ายตนไม่หยุด เอ่ยปากคล้ายกับภรรยาที่ถูกให้ร้ายว่า “สหาย ข้ารอนแรมพันลี้ตามหาเจ้าหลายปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะพบ ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ข้าก็ลงแรงเพื่อเจ้าไปมาก ข้าก็แค่ชมตัวเองไม่กี่คำ เจ้าต้องทำกับข้าเช่นนี้เชียวหรือ” 


 


 


เซียวเซ่อหยางปรายตามองสหาย ถามเสียงเย็นออกมา “โอวหยางเทา สิบปีก่อนเจ้าฝึกยุทธ์ถูกธาตุไฟเข้าแทรก ใครกันที่ยื้อแย่งชีวิตเจ้ามาจากหน้าเทพมรณะ ฝืนใช้กำลังภายช่วยเจ้าสะกดเอาไว้ จนเกือบธาตุไฟเข้าแทรกตามเจ้าไปด้วย” 


 


 


โอวหยางเทาหน้าแข็งทื่อ ยิ้มเก้อออกมา “คือเจ้า” 


 


 


เซียวเซ่อหยางถามต่อว่า “แปดปีก่อนเจ้าถูกพิษ นอนอยู่ริมทาง ใครกันที่แบกเจ้าสิบลี้ คอยดูแลไม่ห่างเป็นเวลาเจ็ดวัน เจ้าถึงหาย” 


 


 


 “คือเจ้า” โอวหยางเทายิ่งเอ่ยเสียงก็ยิ่งเบาลง สายตาเริ่มกวาดซ้ายแลขวา 


 


 


เซียวเซ่อหยางยังถามต่อว่า “เจ็ดปีก่อนเจ้าถูกวางยากำหนัด…” 


 


 


โอวหยางเทายื่นมือมาปิดปากสหายไว้ ใช้สายตาตื่นตระหนกมองซ้ายมองขวา เห็นว่าที่แห่งนี้คือภูเขารกร้าง ไม่มีใครผ่านมา เขาค่อยวางใจ คลายมือที่ปิดปากอีกฝ่ายออก 


 


 


เอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “เรื่องขายหน้าเช่นนี้ เจ้าอย่าได้เอ่ยออกมาแล้ว” 


 


 


โอวหยางเทาตบบ่าเซียวเซ่อหยาง น้ำตาคลอกล่าว “พอแล้วสหาย ข้ารู้ว่าเจ้ามีคุณธรรมมีน้ำใจกับข้า แต่คนเรามีนิสัยแตกต่างกัน เจ้าทำดีไม่ชอบเอ่ยออกมา ข้าทำดีแล้วกลับอดไม่ได้ที่จะชื่นชมตัวเอง ข้าสาบานได้ว่า ข้าจะไม่โอ้อวดเรื่องช่วยเหลือเจ้าอีกแล้ว” 


 


 


ไฉนจู่ๆ เรื่องชวนขายหน้าก็เกือบแตกออกมาแล้วเล่า 


 


 


สองสหายต่อปากต่อคำกันอยู่นาน คนที่ไม่เข้าใจคงคิดว่าพวกเขาทะเลาะกัน ส่วนคนรู้จักกลับรู้ว่า นี่คือวิธีคบหาพิเศษระหว่างสหายอย่างพวกเขา 


 


 


ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ โอวหยางเทาก็เปลี่ยนหัวข้อ กล่าวอย่างว่องไว “ไอหยา จริงสิ ครั้งนี้ข้ามาตามหาเจ้า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับแม่นางที่เรียกว่าเยี่ยเม่ยมีความชอบไม่น้อย พวกเขาเอาชนะหวันเหยียนหง ในสนามรบหวันเหยียนหงใช้กระบวนท่าหมื่นดาบหนึ่งสะบั้นของเจ้า แล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับได้ พวกเราถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าถูกหวันเหยียนหงลอบทำร้าย”  


 


 


 “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน?” สีหน้าของเซียวเซ่อหยางไม่สู้ดีนัก หันกลับมามองสหาย 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือคนของเป่ยเฉิน เขาไม่ชอบ 


 


 


โอวหยางเทาย่อมรู้ว่าสหายเป็นคนเถรตรง แต่ไรมาก็ไม่เคยปกปิดอารมณ์รักชอบเกลียดเคือง ดังนั้นรีบเอ่ยว่า “แต่ว่าก็ถือเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง พวกเราไม่ได้ติดค้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ติดค้างแม่นางเยี่ยเม่ย นางบอกเรื่องนี้กับซือหม่าหรุ่ย พวกเราถึงรู้ทิศทาง” 


 


 


พูดถึงซือหม่าหรุ่ย เซียวเซ่อหยางก็ถอนใจยาว “น้องบุญธรรมเป็นแม่นางที่มีคุณธรรมน้ำใจนัก ข้ารู้ว่าการที่ข้าหายตัวไป นางไม่มีทางทอดทิ้งไม่สนใจข้าแน่” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ โอวหยางเทาพลันไม่พอใจแล้ว “นี่ๆๆ นางก็แค่หาเจ้าผิวเผิน เจ้าซาบซึ้งขนาดนี้ ข้าดูแลเจ้าตั้งหลายวัน เจ้ากลับยอกย้อนข้าตั้งนาน เจ้าช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย”  


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้ เซียวเซ่อหยางพลันมองเขาตาขวาง 


 


 


โอวหยางเทา “เหอะ ไม่พูดก็ไม่พูด” 


 


 


ในขณะเอ่ยนั้น นกพิราบสื่อสารตัวหนึ่งก็บินมาทางพวกเขา โอวหยางเทาสายตาวาวโรจน์ “นกของซือหม่าหรุ่ย ดูสิ มีสัญลักษณ์สีแดง นางมีเรื่องด่วนจะบอกพวกเราแล้วหรือ”  

 

 


ตอนที่ 181 จิ่วหุนเกิดเรื่องแล้ว

 

  


 


 


สายตาเซียวเซ่อหยาง เวลานี้ชะงักงัน 


 


 


ในสถานการณ์ปกติ การส่งข่าวระหว่างพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้สัญลักษณ์สีแดง ดูท่าเรื่องนี้คงสำคัญกว่าเรื่องทั่วไปจริงๆ 


 


 


โอวหยางเทายื่นมือออก นกส่งสารร่อนลงที่มือเขา 


 


 


โอวหยางเทารีบดึงจดหมายออกมาทันที ทั้งหมดมีสามฉบับ เมื่อเปิดฉบับแรกออกดู เรียวคิ้วของเขาก็ขมวดแน่นอย่างแปลกใจ “นี่มันอะไรกัน ล้วนเป็นชื่อสมุนไพรหมดเลย” 


 


 


เซียวเซ่อหยางเองก็ก้มหน้าอ่าน 


 


 


กระดาษแผ่นแรกทั้งหมดล้วนเป็นชื่อยา 


 


 


โอวหยางเทาไม่ลังเลอีกต่อไป รีบเปิดกระดาษแผ่นที่สองออกทันที ด้านในคือลายมือของซือหม่าหรุ่ย “พี่บุญธรรม เทพกระบี่  ข้ามีเรื่องสำคัญสองประการที่เกี่ยวข้องกับแม่นางเยี่ยเม่ย จำเป็นต้องบอกพวกท่าน หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องด่วนในเวลานี้ แม่นางเยี่ยเม่ยมีบุญคุณกับพวกเรา บุรุษหนุ่มข้างกายนางผู้หนึ่งถูกพิษประหลาด ต้องใช้สมุนไพรหายากในการถอนพิษ ขอรบกวนให้ท่านพี่ทั้งสองช่วยข้าตามหา” 


 


 


เมื่ออ่านถึงตรงนี้ โอวหยางเทากับเซียวเซ่อหยางมองหน้ากัน 


 


 


สีหน้าแปลกพิกล 


 


 


ว่ากันตามเหตุผล หากตามหาสมุนไพรหายาก สมควรเป็นซือหม่าหรุ่ยไปหาเอง ทำไมถึงต้องใช้พวกเขาด้วยเล่า 


 


 


ไม่ช้า ประโยคถัดมาซือหม่าหรุ่ยก็คลายความแคลงใจของพวกเขาจนหมด 


 


 


 “ยามนี้ข้าจำเป็นต้องอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือเยี่ยเม่ย โดยเฉพาะพิษในกายของบุรุษหนุ่มผู้นั้น หากไม่ได้ยาถอนพิษภายในครึ่งปีก็จะตาย นอกจากนี้ข้ายังไม่รู้ว่าพิษชนิดนี้จะกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ จำเป็นต้องให้ข้าช่วยสะกดมันไว้ตอนไหน ดังนั้นข้าได้แต่รั้งอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยชั่วคราว” 


 


 


เซียวเซ่อหยางขมวดคิ้วแน่น ถามด้วยความแปลกใจ “ข้าไม่เคยเห็นอาหรุ่ยใส่ใจคนหรือเรื่องอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆ” 


 


 


ตามหลักแล้ว เยี่ยเม่ยช่วยเหลือพวกเขา ตามนิสัยของซือหม่าหรุ่ยสมควรรับปากช่วยชีวิตเยี่ยเม่ยครั้งหนึ่ง ไฉนคนข้างกายเยี่ยเม่ยก็ยังจะช่วยชีวิตไปด้วยเล่า 


 


 


โอวหยางเทารีบเปิดกระดาษแผ่นที่สาม 


 


 


“เชื่อว่าท่านพี่ทั้งสองในเวลานี้คงแปลกใจ ไฉนข้าถึงใส่ใจแม่นางเยี่ยเม่ยขนาดนี้ สำหรับเรื่องนี้ ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญประการที่สองที่ข้าจะบอกกับพวกท่าน นางกับอาซีหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน อายุก็ใกล้เคียง ทว่านางจำเรื่องของอาซีไม่ได้เลยสักน้อย ข้าไม่รู้ว่าเพราะนางความจำเสื่อม หรือแกล้งทำ หรือว่าพวกนางสองคนบังเอิญหน้าตาเหมือนกันเท่านั้น แต่ข้าจะพยายามหาหลักฐานให้ได้ ก่อนจะได้ผลลัพธ์ข้าจะไม่จากนางไปแน่ เรื่องตามหายาสมุนไพรก็ต้องพึ่งพวกท่านแล้ว”  


 


 


คราวนี้เซียวเซ่อหยางกับโอวหยางเทาล้วนสูดหายใจลึก 


 


 


โอวหยางเทามีสีหน้าคล้ายเห็นผีมองเซียวเซ่อหยาง “ข้าก็ว่า ทำไมวันนั้นซือหม่าหรุ่ยถึงถามคำถามแปลกๆ พวกนั้นกับข้า ข้าแปลกใจอยู่หลายวัน ที่แท้ก็เพราะอย่างนี้” 


 


 


 “นางถามเจ้าว่อาะไร” เซียวเซ่อหยางถามเขาทันที  


 


 


โอวหยางเทาไม่กล้าชักช้า เล่าคำพูดของซือหม่าหรุ่ยในวันนั้นให้เซียวเซ่อหยางฟังทั้งหมด 


 


 


หลังจากเล่าจนจบ 


 


 


เซียวเซ่อหยางมีแววตาสุขุมลง “อาหรุ่ยกับองค์หญิงซีเป็นสหายสนิท นางจำไม่ผิดแน่ ดูท่าเยี่ยเม่ยผู้นี้ต้องมีหน้าตาเหมือนกับองค์หญิงซีมาก ไม่ว่าอย่างไร พวกเราต้องไปหายาสมุนไพรก่อน ให้อาหรุ่ยใช้เวลาช่วงนี้พิสูจน์ฐานะของเยี่ยเม่ยไปด้วย” 


 


 


           หากเยี่ยเม่ยคือจงเจิ้งซีจริง พวกเขาค่อยวางแผนกันใหม่ หากไม่ใช่ ช่วยนางรักษาเด็กหนุ่มนั่น ก็ถือว่าตอบแทนน้ำใจนางก็แล้วกัน ” 


 


 


 “ดี ” โอวหยางเทาพยักหน้าเห็นด้วยทันที 


 


 


พูดถึงตอนนี้ สายตาทั้งสองมองกลับไปที่จดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง 


 


 


ลายมือในช่วงสุดท้ายแตกต่างกับลายมือของซือหม่าหรุ่ยที่เป็นอักษรข่าย เป็นอักษรสิงที่ดูไหลลื่นคล้ายสายน้ำ เขียนไว้ประโยคหนึ่งว่า 


 


 


 “เซียวเซ่อหยาง ข้าคือซินเยว่เยี่ยน  หลังจากท่านทำธุระเสร็จแล้วรีบกลับมาที่ชายแดน ข้ามีคำพูดจะบอกกับท่าน” 


 


 


ทันทีที่เห็นอักษรประโยคนี้ โอวหยางเทารีบส่งสายตาหยอกล้อ เซียวเซ่อหยาง “นี่ๆ เห็นแล้วหรือยัง นี่คือความห่วงใยที่คู่หมั้นมีให้เจ้าเชียวนะ ข้าลืมบอกเจ้าไปเลย ความจริงซินเยว่เยี่ยนคู่ของหมั้นเจ้า ก็ออกตามหาเจ้าเช่นกัน นางดูร้อนรนมากอีกด้วย หลายวันก่อนพวกเราบีบให้โย่วอี้อ๋องคายที่อยู่ของเจ้าออกมา อืม จริงสิ จงรั่วปิงก็ไปด้วย ” 


 


 


เซียวเซ่อหยางฟังเสียงหยอกล้อของสหายออก หันกลับมองเขาทีหนึ่ง “ทำไม เจ้าอิจฉาหรือว่าหึงกันแน่” 


 


 


โอวหยางเทารีบโบกมือเป็นพัลวัน “หยุด ข้าไม่ได้หึง” 


 


 


สีหน้าของเซียวเซ่อหยางกลับสงบลงมาก อ่านประโยคสุดท้ายในจดหมาย เอ่ยปากว่า “แม่นางซินมีน้ำใจกับข้ามาก แต่ข้ากลัวว่าสุดท้ายแล้วจะผิดต่อนาง” 


 


 


 “เอ๋” โอวหยางเทาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ “ทำไมเจ้าต้องผิดต่อนางด้วยเล่า ซินเยว่เยี่ยนเป็นโฉมงามอันดับต้นๆ วรยุทธ์ก็เป็นจอมยุทธ์หญิงแถวหน้า นิสัยก็ดี ใส่ใจเจ้ามาก เจ้าผิดต่อนางยังไง หรือว่า…” 


 


 


โอวหยางเทารีบกระชับสาบเสื้อของตนอย่างลนลาน 


 


 


มองเซียวเซ่อหยางราวกับป้องกันสุนัขจิ้งจอก “หรือว่าเจ้าชอบข้าจริงๆ คิดมอบร่างกายตอบแทนข้า” 


 


 


ครั้นเขาเอ่ยออกมา เซียวเซ่อหยางสบตากับเขา 


 


 


สองคนมองกันไปมาครู่หนึ่ง ในช่วงเวลาที่โอวหยางเทาตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว กลัวว่าเซียวเซ่อหยางเอ่ยประโยคนั้นออกมา อีกฝ่ายคิดให้ร่างกายเพื่อตอบแทนจริงๆ 


 


 


เซียวเซ่อหยางพ่นคำพูดออกมาสามคำ “ฝันไปเถอะ” 


 


 


โอวหยางเทา “…” 


 


 


ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน แต่ไฉนฟังเจ้านี่พูดคำว่าฝันไปเถอะสามคำนี้แล้ว รู้สึกคันไม้คันมือคิดต่อยตีคนเหลือเกิน  


 


 


เซียวเซ่อหยางตีหน้าจริงจัง เอ่ยว่า “ฐานะของเจ้าและข้า พวกเราต่างก็รู้ดี หากการคาดการณ์ของอาหรุ่ยไม่ผิด เยี่ยเม่ยผู้นั้นคือองค์หญิงซี ภายหน้าพวกเราต้องแบกรับภาระฟื้นฟูบ้านเมืองไว้ เจ้าก็รู้การกอบกู้แผ่นดินตายเก้าส่วนรอดหนึ่งส่วน หากพ่ายแพ้ จะพลอยทำให้แม่นางซินเดือดร้อนไปด้วย ด้วยเหตุนี้ก่อนถึงวันนั้นข้าจะต้องยกเลิกการหมั้นหมายกับแม่นางซินให้ได้ 


 


 


เมื่อเขาอธิบายออกมา โอวหยางเทาสีหน้าเปลี่ยนไปจริงจัง พยักหน้ารับคำพูดของเซียวเซ่อหยางมีเหตุผล เพียงแต่การหมั้นหมายตั้งหลายปีนี้ ต้องยกเลิกไปก็น่าเสียดายอยู่บ้าง 


 


 


เขามองเซียวเซ่อหยาง “เจ้าคิดจะบอกกับแม่นางซินอย่างไร” 


 


 


เซียวเซ่อหยางถอนใจ “บอกว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะสร้างบุญกุศล ร่อนเร่ไปทั่วหล้า ไม่คิดแต่งงาน นางกับข้าเคยพบกันแค่ครั้งเดียว ไม่มีความรู้สึกรักใคร่ คาดว่าคงจะไม่ทำร้ายจิตใจนางมาก” 


 


 


โอวหยางเทาพยักหน้า “อย่างนั้นก็ทำเช่นนี้ไปก่อนแล้วกัน พวกเราไปหาสมุนไพรกันก่อน” 


 


 


 “ได้” 


 


 


   …… 


 


 


 “ฮัดชิ้ว” เมื่อถูกเข้าใจผิดว่ามีน้ำใจต่อเขา ซินเยว่เยี่ยนที่คิดถอนหมั้นมาตลอดพลันจามออกมาอย่างแรง 


 


 


ไม่รู้ใครกำลังนินทานางอยู่กัน หวังว่าเซียวเซ่อหยางได้อ่านคำพูดของนางแล้ว เตรียมกลับมาคุยเรื่องหมั้นหมายกับนางโดยไว 


 


 


ในขณะที่คิดอยู่ ซินเยว่เยี่ยนหันมองหน้าซือหม่าหรุ่ย “อาหรุ่ย เจ้าว่าพวกเซียวเซ่อหยางจะช่วยหายารักษาเสี่ยวจิ่วหรือเปล่า” 


 


 


 “ช่วยแน่” ซือหม่าหรุ่ยกลับมั่นใจมาก สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก “เช้าตรู่วันนี้ ข้าบังเอิญพบเสี่ยวจิ่ว เห็นปากเขาเป็นสีม่วงคล้ำ ไม่รู้ว่าพิษกำเริบหรือไม่ หวังว่าข้าจะคิดมากไปเอง” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ซือหม่าหรุ่ยรู้สึกไม่วางใจ รีบกล่าว “ข้าจะไปดูเสียหน่อย กันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน”   

 

 


ตอนที่ 182 เสด็จแม่ตาถั่วไปแล้วหรือยังไง

 

“ฮองเฮามีพระราชเสาวนีย์ องค์ชายสี่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เยี่ยเม่ยรับพระราชเสาวนีย์” 


 


 


หลังจากเสียงสูงของขันที เยี่ยเม่ยก็เลิกคิ้วขึ้น ฮองเฮาผู้นี้ข่าวสารแม่นยำเสียจริง ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงตอนนี้ นางบอกชื่อกับ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนั้นมีบ่าวอยู่แค่ไม่กี่คน คิดไม่ถึงเลยว่าข่าวนี้ถ่ายทอดไปถึงพระกรรณฮองเฮาได้เร็วนัก 


 


 


หลังจากประโยคนั้นของขันทีจบลง เขาก็มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างระวัง หัวเราะด้วยความประหม่า “องค์ชายสี่ ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว” 


 


 


เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเอ่ยคำขอโทษ ก็เพราะตามธรรมเนียมการประกาศพระราชเสาวนีย์จำเป็นต้องเรียกชื่อของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ออกมาตามตรง 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้วเรียว สายตาแฝงไปด้วยความสนใจ ถามเนิบๆ ว่า “ในพระราชเสาวนีย์นี้ยังมีเรื่องของเยี่ยนด้วยหรือ” 


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะเตี้ยนเซี่ย” ขันทีรีบตอบรับทันที 


 


 


ยามนี้อวี้เหว่ยเลิกคิ้วสูงอย่างทนไม่ไหว พระราชเสาวนีย์ฉบับเดียวมีทั้งเรื่องของเตี้ยนเซี่ยและแม่นางเยี่ยเม่ย หรือว่าฮองเฮาจะพระราชทานสมรสให้องค์ชายสี่กับแม่นางเยี่ยเม่ย  


 


 


แต่ฮองเฮามีเมตตาเพียงนี้เชียวหรือ 


 


 


อวี้เหว่ยแปลกใจ 


 


 


ในขณะที่สงสัยนั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองขันทีที่นำพระราชเสาวนีย์มาคำรบหนึ่ง น้ำเสียงเบาสบายค่อยๆ กล่าวว่า “อ่านเถอะ รีบฉวยโอกาสตอนที่เยี่ยนยังมีอารมณ์ฟังอยู่” 


 


 


เยี่ยเม่ยเบือนหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เห็นเขามีท่าทีคล้ายไม่ใส่ใจ ไม่มีแววจะทำการคารวะเลยสักน้อย นางค่อยวางใจ ก็ดีเหมือนกัน นางก็ไม่คิดจะทำการคารวะ 


 


 


ยามนี้ขันทีน้อยยังมีเวลาใส่ใจว่าคนทั้งสองแสดงความเคารพหรือไม่ที่ไหนกัน ทั้งไม่สนใจว่าพวกเขาทำได้ถูกต้องตามระเบียบหรือเปล่า ยามนี้เขาคิดเพียงอ่านพระราชเสาวนีย์ในมือให้จบโดยไว 


 


 


จากนั้นมีชีวิตรอดกลับไป  


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงกางพระราชเสาวนีย์ในมือออก เริ่มอ่านว่า “ฮองเฮามีรับสั่ง…” 


 


 


เยี่ยเม่ยหาวหวอด ฟังขันทีน้อยเอ่ยถึงชื่อตัวนางอย่างรวดเร็ว บอกว่านางมีสติปัญญา มากด้วยคุณธรรม ทั้งยังชื่นชมนางอีกมากมายก่ายกอง นางเพียงรู้สึกว่าพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้ รวมถึงฮองเฮาผู้นี้อธิบายตัวนางเอาไว้ได้ไม่เลว 


 


 


จากนั้นประโยคสุดท้ายกลับบอกว่า “พระราชทานสมรสให้เป็นพระชายารององค์ชายใหญ่” 


 


 


 “ซี๊ด..” 


 


 


เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้ล้วนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ อย่าว่าแต่ความสัมพันธ์ที่แสดงออกอย่างชัดเจนของแม่นางเยี่ยเม่ยกับองค์ชายสี่เลย ต่อให้เป็นนิสัยของแม่นางเยี่ยเม่ย ที่หลายวันนี้พวกเขาได้ตระหนักชัด รู้ได้เลยว่านางไม่มีทางเป็นพระชายารองแน่  


 


 


แต่ว่า 


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยมีฐานะที่มาไม่ชัดเจน องค์ชายใหญ่คือคนที่มีโอกาสนั่งบัลลังก์มังกร อาศัยที่มาไม่ชัดเจนของนาง คิดเป็นฮองเฮามารดาของแผ่นดินนั้นเป็นไปไม่ได้ 


 


 


ทุกคนในที่นี้ต่างมีอาการ “ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจแต่ขันทีรีบ” ต่างพากันช่วยเยี่ยเม่ยวิเคราะห์… 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเผยความดุร้ายออกมา เขาค่อยๆ ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงพื้น เพียงแค่การกระทำเบาๆ นั้น ก็ทำให้แสงสีแดงแผดส่องไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง 


 


 


ผู้ติดตามสองคนที่อยู่ด้านหลังขันทีผู้นั้น เวลานี้ถูกกระแสปราณนั้นจู่โจม ร่างกายแตกออกกลายเป็นผงธุลีกลางอากาศ เลือดสดกระเซ็นลงพื้น 


 


 


บุรุษจำนวนไม่น้อยเห็นฉากนี้ แทบสำรอกแห้งๆ ออกมา ทว่าเยี่ยเม่ยเป็นหญิงสาวที่นิยมการสังหารโหด มองฉากนี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เพียงมีความพอใจอยู่ที่หว่างคิ้ว นั่นคือความไม่พอใจที่ฮองเฮาพระราชทานสมรสให้นางกับเป่ยเฉินเสียง ซ้ำยังเป็นพระชายารองอีก 


 


 


ขันทีผู้นั้นตกใจจนหน้าซีดเซียว 


 


 


เขาตัวสั่นงกหันกลับไปมองด้านหลังตน ผู้ติดตามสองคนที่ไม่เหลือแม้แต่ศพ น้ำคลอเต็มหน่วยตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “องค์ชายสี่ เตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ย บ่าว บ่าว….” 


 


 


เขารู้อยู่แก่ใจดีว่านี่คือการแสดงออกอย่างไม่พอใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทั้งเขาใจว่าเป็นการข่มขู่เขา แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังฮองเฮานิ พระราชเสาวนีย์ยังเหลืออีกครึ่งฉบับ เขาสมควรอ่านต่อไปดีหรือไม่ 


 


 


เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าคนที่ไม่เหลือแม้แต่ศพรายต่อไปจะเป็นตนเอง 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง กลับพูดแทนขันทีผู้น่าสงสารผู้นั้นประโยคหนึ่ง “ไม่ต้องฆ่าคนหรอก เขาก็แค่มาถ่ายทอดรับสั่งเท่านั้น” 


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยจะเอ่ยออกมา แต่คนทั้งหลายในที่นี้ต่างคิดว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่หยุดสังหารคนแน่ อย่างไรเสียยามที่องค์ชายสี่เกิดโทสะ แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องหนีเอาตัวรอด ขันทีน้อยผู้มาถ่ายทอดพระราชเสาวนีย์กังวลว่า เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยคำพูดนี้จบ จะยั่วโมโหจนองค์ชายสี่ลงมือสังหารคนหรือไม่ 


 


 


จากนั้นเรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงจนอ้าปากกว้างก็เกิดขึ้นโดยฉับพลัน 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลอกตามองเยี่ยเม่ย ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายยังมีความเดือดดาล ทว่าเอ่ยอย่างร่วมมือ “เยี่ยนรู้แล้ว น้อมรับคำสั่งฮูหยิน” 


 


 


 “เอ๋” ขันที่น้อยผู้ส่งสารสงสัยว่าตนฟังผิดไปหรือเปล่า 


 


 


เหล่าหทารทั้งหลายพากันกระตุกมุมปาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นภาพหลังจากองค์ชายสี่โมโหแล้ว ยังมีคนควบคุมความโกรธของเขาไว้ได้ด้วย 


 


 


คิดไม่ถึงว่าคำพูดประโยคเดียวของแม่นางเยี่ยเม่ย ความอำมหิตจากร่างขององค์ชายสี่หายไปแล้ว 


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองขันทีน้อย ถามเสียงเย็นชาว่า “ฮองเฮายังมีรับสั่งอะไรอีก เจ้าพูดมาเถอะ” 


 


 


เวลานี้เยี่ยเม่ยรู้สึกว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรังเกียจฮองเฮา ไม่ใช่เพราะไม่มีเหตุผล ในเวลานี้คนทั้งชายแดนต่างล่วงรู้ความสัมพันธ์ของนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ฮองเฮากลับส่งพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้มา หรือว่าพระองค์กินอิ่มนอนหลับ อยากหาเรื่องกันแน่ 


 


 


ขันทีน้อยได้สติทันใด ไม่กล้ายืดเยื้ออีก รีบอ่านต่อไป “ซือถูเฉียงมีชาติกำเนิดสูงส่ง นิสัยดี…” 


 


 


จากนั้นก็เป็นคำสรรเสริญเยินยอซือถูเฉียงยกใหญ่ 


 


 


เยี่ยเม่ยตัดบทขันทีน้อย “เอ่ยแต่ประเด็นสำคัญ” 


 


 


 “เอ๋ ใจความสำคัญหรือ” ขันทีน้อยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบสนองได้ทันที รีบข้ามประโยคชื่นชมซือถูเฉียงไป อ่านประโยคสุดท้ายทันที “อ้อ นั่นคือพระราชทานสมรสให้ท่านหญิงซือถูเฉียงแต่งเป็นพระชายาองค์ชายสี่”  


 


 


คราวนี้ 


 


 


ความสงบเกิดขึ้นจนน่าหวาดกลัว 


 


 


แม้กระทั่งเหล่าทหารทั้งหลายที่รู้สึกไม่ดีต่อองค์ชายสี่ในใจยังคิดว่า ฮองเฮาลำเอียงเหลือเกิน  


 


 


แม่นางเยี่ยเม่ยแต่งให้กับองค์ชายใหญ่ เรียกว่าเกาะเบื้องสูงหรือว่าลดตัวพวกเขาไม่กล้าวิจารณ์ 


 


 


แต่ว่าก็เป็นคู่เหมาะสม ให้ท่านหญิงซือถูเฉียงแต่งงานเป็นพระชายาองค์ชายสี่ ถึงท่านหญิงจะฐานะสูงส่ง แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าท่านหญิงขาขาดแล้ว ซ้ำองค์ชายสี่ยังเป็นคนทำด้วย คนขาขาดเป็นพระชายาองค์ชายสี่ ฮองเฮาวิกลจริตไปแล้วหรือเปล่า 


 


 


พวกเขายังสงสัยด้วยซ้ำว่า องค์ชายสี่ไม่ใช่บุตรของฮองเฮาใช่หรือไม่ มีใครทำร้ายลูกชายแท้ๆ ของตัวเองแบบนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ภายใต้ความโมโหกลับหัวเราะออกมา 


 


 


ก็ได้ 


 


 


พระราชเสาวนีย์ฉบับนี้เป็นงานสมรสสองคู่ ตัวนางต้องเป็นชายารองเป่ยเฉินเสียง ส่วนซือถูเฉียงเป็นพระชายาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังไม่ต้องสนใจว่าใครเป็นคนพระราชทานสมรส เอาแค่เรื่องฐานะพระชายากับพระชายารอง ตามความหมายของฮองเฮาก็คือ นางไม่อาจสู้ซือถูเฉียงได้ หมายความเช่นนี้อย่างนั้นหรือ 


 


 


นางที่เห็นตัวเองสูงส่งมาตลอด เวลานี้ไม่อาจสะกดกลั้นเพลิงโทสะได้อีก หันขวับมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามเสียงเย็นชาว่า “เสด็จแม่ของท่านตาถั่วหรือไง”   

 

 


ตอนที่ 183 ข้าจะให้นางเป็นพระชายาอี้อ๋อง

 

“แค่ก…”


 


 


คนทั้งหมดฟังแล้ว ก็สะกดกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว ต่างมีความคิดอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า ถั่ว…มีถั่วไปงอกอยู่ที่ตาได้อย่างไร ดูท่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะโมโหจริงๆ แล้ว


 


 


ขันทีน้อยสะอึกไปชั่วครู่


 


 


คิดไม่ถึงเลย โลกนี้มีองค์ชายสี่ที่ไม่มีกฎระเบียบคนหนึ่งยังไม่พอ ถึงกับมีแม่นางเยี่ยเม่ยที่ไม่เห็นฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่ในสายตาอีก


 


 


การแต่งเป็นพระชายารององค์ชายใหญ่ สำหรับนางที่มีที่มาไม่ชัดเจน ก็เท่ากับเป็นเรื่องอาจเอื้อมแล้ว


 


 


จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์ของนางกับองค์ชายสี่ไม่ธรรมดา


 


 


เดิมไม่ว่าอย่างไร ฮองเฮาก็เป็นเสด็จแม่ขององค์ชายสี่ เป็นมารดาแท้ๆ ของเขา เขาจะต้องมีความเคารพอยู่บ้าง ไม่แน่อาจจะตำหนิแม่นางเยี่ยเม่ยที่เอ่ยคำพูดเช่นนี้


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่องค์ชายสี่ฟังแล้ว กลับตั้งใจใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หว่างคิ้วแฝงความโกรธอย่างเห็นได้ชัด เอ่ย “บางทีอาจไม่ใช่มีถั่วงอกออกมาง่ายๆ แบบนั้น”


 


 


คนทั้งหมดจนคำพูด พวกเขาในยามนี้อยากไอออกมาเหลือเกิน


 


 


อย่างไรก็ตามฮองเฮาก็เป็นมารดาของแผ่นดิน หากฮองเฮาอยู่ที่นี่ฟังคำพูดของสองคนนี้ คาดว่าถ้าไม่โมโหจนคลุ้มคลั่งก็โมโหจนเป็นลมไปแน่ 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันมองเยี่ยเม่ย นางไม่พอใจฮองเฮาอย่างรุนแรง ทั้งไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็เป็นมารดาของเขา


 


 


เพื่อไม่ให้เยี่ยเม่ยโมโหฮองเฮาจนพานมาถึงตน เขารีบเอ่ยแสดงจุดยืนทันที “แม่นางเยี่ยเม่ย หากเจ้าไม่อยากให้เสด็จแม่มีชีวิตอยู่ อย่างนั้นเยี่ยนก็รับรองได้ว่าเสด็จแม่จะตายในเร็ววันนี้ หากนางไม่อาจตายในเร็ววัน เยี่ยนก็สามารถส่งนางไปได้ด้วยตัวเอง เจ้าวางใจเถอะ ไม่ว่านางจะตายเร็วหรือไม่ คำสั่งของนางพวกเราไม่ต้องเชื่อฟัง”


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


ปัญหาระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ปัญหาการเลือกฝั่งนี้ องค์ชายสี่ช่างเด็ดขาดเสียจริง เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของ “ลูกอกตัญญู” ร่วมกับ “สามีแสนดี” เลยก็ว่าได้


 


 


เมื่อเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงจุดยืน เยี่ยเม่ยก็ไม่โมโหแบบเมื่อครู่อีกแล้ว


 


 


นางสูดลมหายใจลึก หันกลับไป สาวเท้าก้าวใหญ่เดินจากไป “พระราชเสาวนีย์นี้ข้าไม่รับ ท่านจัดการก็แล้วกัน”


 


 


เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยเดินจากไป ขันทีน้อยส่งสารหน้าซีดเผือดลงทันที คำพูดเมื่อครู่ของแม่นางผู้นั้น องค์ชายสี่ถึงหยุดการเข่นฆ่า เขาถึงเก็บชีวิตเอาไว้ได้


 


 


นางจากไปเช่นนี้ จู่ๆ องค์ชายสี่คงไม่ฆ่าเขาหรอกนะ


 


 


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเม่ยจากไปแล้ว


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมรู้ว่านางโมโห


 


 


ดวงตาของเขากลอกมองขันทีผู้นั้น ไอสังหารรุนแรง คราวนี้อวี้เหว่ยเอ่ยขึ้นว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านจำเป็นต้องมีคนกลับไปส่งข่าวผู้หนึ่ง”


 


 


อย่าวู่วามเชียว อย่าเพิ่งฆ่าคน


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นคำรบหนึ่ง มองขันทีน้อยสั่งว่า “เจ้ากลับไปถ่ายทอดคำสั่งข้า บอกเสด็จแม่ว่า หากนางไม่อยากให้เป่ยเฉินเสียงตายไว ก็ถอนรับสั่งของตนกลับไปซะ ส่งพระราชเสาวนีย์ที่เยี่ยนพอใจมาใหม่”


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยพยักหน้า ตัวสั่นเทิ้มราวกับใบไม้ปลิดปลิวกลางพายุ หวังแต่ว่าองค์ชายสี่จะเอ่ยจบไวๆ เขาจะได้รีบกลับไปรายงานอย่างรวดเร็ว


 


 


น้ำเสียงไพเราะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง “บอกเสด็จพ่อให้ดูแลสตรีของตนให้ดี หากเขายังคิดนั่งอยู่บนบัลลังก์”


 


 


คราวนี้


 


 


เหล่าทหารจำนวนไม่น้อยในที่นี้ ตกใจเสียจนเก็บเสียงเงียบ คิดแต่จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดใดๆ ทั้งนั้น


 


 


ข่มขู่ฝ่าบาทเช่นนี้ ทั่วทั้งหล้าเกรงว่าจะมีองค์ชายสี่เพียงผู้เดียว นี่มันอกตัญญูเหลือเกิน


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยพยักหน้ารัวๆ คล้ายมีดกำลังสับต้นหอม กลัวว่าหากเขาช้าสักนิดจะพานถูกโมโหไปด้วย


 


 


จากนั้น ขันทีน้อยก็คล้ายได้ยินเสียงสวรรค์ “ไสหัวไปได้แล้ว”


 


 


น้ำเสียงขององค์ชายสี่โดยพื้นเพก็น่าฟังอยู่แล้ว ยามเปล่งคำพูดออกมานั้น ขันทีน้อยรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่ซาบซึ้งใจที่สุดในชีวิตของตนเอง


 


 


 “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะกลิ้ง[1]ไปเดี๋ยวนี้”


 


 


พูดจบ ขันทีน้อยกอดพระราชเสาวนีย์ ทำตัวคล้ายเป็นก้อนกลมกลิ้งออกไป


 


 


คนทั้งหมด “…”


 


 


พวกเขารู้สึกว่านี่เป็นวิธีไสหัวออกไปแบบใหม่


 


 


ในใจยังชื่นชมขันทีน้อยมาก มิน่าถึงเป็นขันทีถ่ายทอดรับสั่งของฮองเฮาได้ ช่างยืดได้หดได้ ไหวพริบดีนัก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็รีบหมุนตัว ติดตามเยี่ยเม่ยไป


 


 


อวี้เหว่ยเองก็ตามไปติดๆ


 


 


……


 


 


เวลานี้ ในห้องรับรองใหม่ของเป่ยเฉินอี้


 


 


เซียวชินกำลังจับชีพจรให้อี้อ๋อง เขามีสีหน้าขรึมลง จ้องเป่ยเฉินอี้เอ่ยว่า “อี้อ๋อง ท่านเองก็น่าจะรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี ใช้กำลังภายใน เป็นความคิดที่ขาดสตินัก”


 


 


 “ข้าเข้าใจดี ทำให้หมอปีศาจลำบากแล้ว” คำพูดของเป่ยเฉินอี้ เกรงอกเกรงใจมาก


 


 


เซียวชินรั้งมือที่จับชีพจรกลับมา เขียนเทียบยาส่งให้ชิงเกอ “ไปต้มยามา”


 


 


ชิงเกอรีบเดินออกไปสั่งการคนด้านนอก


 


 


ถัดมา เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้ ถามว่า “ยากนักที่ข้าจะแปลกใจ ไฉนอี้อ๋องต้องยั่วโมโหเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วย ท่านหาใช่คนชอบหาเรื่องยุ่งยาก”


 


 


เป่ยเฉินอี้คิดทำอะไร เขาคาดเดาได้ชัดเจน แต่ในเส้นทางสายนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่อุปสรรคขัดขวางของเป่ยเฉินอี้ แม้กระทั่งนิสัยที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยเป่ยเฉินอี้ในอนาคตได้อีกด้วย


 


 


เชื่อว่าปัญหาที่เขามองออก เป่ยเฉินอี้ก็ต้องเข้าใจแน่


 


 


แต่เพราะอะไรกัน…


 


 


วันที่สองของการมาถึงชายแดน คนทั้งสองก็ลงไม้ลงมือ ทั้งทำลายห้องหับ เจ้าเมืองหลินรีบร้อนเตรียมห้องรับรองใหม่ให้อี้อ๋อง


 


 


เขาออกไปข้างนอกก็แค่ครึ่งชั่วยาม กลับมาเห็นซากปรักหักพัง เขายังหลงคิดว่าตัวเองจากไปกี่ปีกันแน่ เมืองชายแดนถึงได้ประสบชะตากรรมผันแปรเช่นนี้


 


 


ในระหว่างที่เขาไม่พูดจา


 


 


เป่ยเฉินอี้มองเซียวชินทีหนึ่ง ถามเสียงเข้มว่า “เจ้าเคยพบเยี่ยเม่ยไหม”


 


 


 “เคยพบ” เซียวชินไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงถามเช่นนี้ เมื่อก่อนตอนเขาเป็นจั่วอี้อ๋องของต้ามั่ว เคยทำศึกกับเยี่ยเม่ยจะไม่เคยพบได้อย่างไร


 


 


แววตาของเป่ยเฉินอี้เย็นเยือก สายตายากหยั่งจ้องเซียวชิน “อย่างนั้นเจ้าว่านางมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”


 


 


 “อะไรผิดปกติหรือ” เซียวชินอึ้งไปแล้ว


 


 


เป่ยเฉินอี้เห็นสีหน้าที่ดูไม่คล้ายเสแสร้งแกล้งทำของเซียวชิน ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมา “ปีนั้นเจ้าเคยพบจงเจิ้งซีไหม”


 


 


 “ข้าได้รับข่าวจากอาหรุ่ย ตอนที่ไปช่วยเหลือที่เมืองหลวงของราชสำนักจงเจิ้ง องค์หญิงผู้นั้นก็ตกน้ำสิ้นชีพไปแล้ว อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ข้าไปเมืองหลวง ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยพบนาง” เซียวชินก็จนปัญญาเช่นกัน ทั่วทั้งหล้าต่างมีข่าวว่าเขากับจงเจิ้งซีมีความสัมพันธ์มาก่อน ส่วนเขาแม้แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยังไม่เคยเห็น


 


 


เป่ยเฉินอี้กลับยิ้มออก สายตาที่มองเซียวชินก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย กล่าวเสียงนิ่งว่า “เรื่องนี้ช่างน่าสนใจนัก”


 


 


 “อี้อ๋องถามไปทำไม” เซียวชินมองเป่ยเฉินอี้ด้วยความแปลกใจ


 


 


เป่ยเฉินอี้เงียบไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยเสียงขรึมว่า “ระหว่างข้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกรงว่าจะเกิดข้อพิพาทยากคลี่คลายแล้ว”


 


 


 “เพราะอะไร” เซียวชินย่อมไม่โง่ ฟังออกมาว่าภายในเรื่องนี้มีเงื่อนงำซ่อนอยู่


 


 


สายตาล้ำลึกยากหยั่งของเป่ยเฉินอี้ ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำเสียงจริงจังกล่าวว่า “ข้าจะให้นางเป็นพระชายาอี้อ๋อง”


 


 


 


 


 


 


[1] กุ่น (滚) ที่แปลว่าไสหัวไป สามารถแปลว่ากลิ้งได้ด้วย 

 

 


ตอนที่ 184 วิธีเอาชนะเยี่ยเม่ย

 

อะไรนะ


 


 


เซียวชินสงสัยว่าตนฟังผิดไปแล้ว มองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่อยากเชื่อสักพักหนึ่ง


 


 


เป่ยเฉินอี้ยึดติดกับจงเจิ้งซีถึงขั้นที่คนทั่วหล้าต่างรู้กันหมด เขาจะแต่งงานกับเยี่ยเม่ยหรือ


 


 


 “คำพูดของอี้อ๋องเป็นจริงอย่างนั้นหรือ”


 


 


เซียวชินคิดว่าเขาสมควรออกไปด้านนอก มองฟ้าดูว่ากลางวันของวันนี้เป็นพระอาทิตย์หรือพระจันทร์กันแน่ที่ลอยอยู่


 


 


เขาเข้าใจว่าต่อให้โลกถล่ม กลางวันกลางคืนกลับตาลปัตร ความเป็นไปได้ที่เป่ยเฉินอี้จะทอดทิ้งจงเจิ้งซีไปชอบผู้อื่นคือศูนย์


 


 


ยามเมื่อเรื่องนี้ปรากฏอยู่ต่อหน้า อีกทั้งเป่ยเฉินอี้ก็เอ่ยเช่นนี้จริงๆ


 


 


สายตาล้ำลึกสุดหยั่งได้ของเป่ยเฉินอี้กวาดมองเซียวชิน “หมอปีศาจคิดว่า ท่าทางของข้าคล้ายล้อเล่นอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “ข้าขอทราบเหตุผลได้หรือเปล่า” เซียวชินคาดไม่ถึง


 


 


ยอดหญิงในใต้หล้านี้ก็มีไม่น้อย ถึงเยี่ยเม่ยเรียกได้ว่าเป็นสตรีแถวหน้าของยอดหญิงเหล่านั้น เซียวชินก็ยากจินตนาการได้ว่าเรื่องนี้จะชักนำให้เป่ยเฉินอี้เปลี่ยนใจได้ในระยะเวลาอันสั้น


 


 


เป่ยเฉินอี้มองอีกฝ่าย เสียงขรึมลงกล่าวว่า “นางมีใบหน้าที่เหมือนกับจงเจิ้งซีทุกประการ”


 


 


เซียวชินพลันเบิกตากว้างมองเป่ยเฉินอี้อย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็สงบลง เข้าใจได้ในทันที ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยว่า “มิน่า มิน่าอาหรุ่ยถึงยินยอมติดตามอยู่ข้างกายนาง”


 


 


เขาหันหน้ามองเป่ยเฉินอี้ “หรือว่านางคือจงเจิ้งซี”


 


 


 “จากที่ดูตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่…หากใช่ล่ะ” ร่างกายของเป่ยเฉินอี้พลันแผ่ความอำมหิตออกมา “ดังนั้น ข้าไม่อาจปล่อยให้นางแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน”


 


 


ยามนี้เซียวชินเข้าใจความคิดของเป่ยเฉินอี้แล้ว เขามองอีกฝ่ายทีหนึ่ง “หวังว่าอี้อ๋องจะไม่หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว”


 


 


จากคำพูดยินดีในความทุกข์ของผู้อื่นนั้น เป่ยเฉินอี้เห็นความต้องการชมเรื่องสนุกในสายตานั้น


 


 


เดิมทีเขากับเซียวชินก็หาใช่มิตรหรือศัตรู ดังนั้นเขาไม่ใส่ใจ


 


 


ทว่ากวาดตามองเซียวชินด้วยความสนใจ นัยน์ตาเรียวยาวนั้นยิ่งทวีความยินดีที่ผู้อื่นอยู่ในความทุกข์ เอ่ยปากเสียงเข้มว่า “แทนที่จะเป็นห่วงข้า ไม่สู้หมอปีศาจเป็นห่วงตัวเองเสียหน่อย เรื่องของเจ้ากับซือหม่าหรุ่ยจะจัดการอย่างไร”


 


 


เซียวชินฟังแล้ว สีหน้าขรึมลงทันที


 


 


……


 


 


ต้ามั่ว


 


 


บรรยากาศภายในกระโจมอึมครึมเย็นเยียบ


 


 


สีหน้าของราชาต้ามั่วยังเจ็บปวดมากกว่าตอนที่เขาท้องเสียเสียอีก คล้ายถึงช่วงเวลาสำคัญในสุขาแล้วพลันถูกคนลากออกมาด้านนอกก็ไม่ปาน


 


 


แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้น เอ่ยด้วยเสียงไม่พอใจ “แม่ทัพจิวมั่วให้สัญญาเป็นมั่นเหมาะ บอกว่าจะเอาชนะราชสำนักเป่ยเฉินได้ วันนี้ศึกแรกก็พ่ายแพ้แล้ว ไม่ทราบว่าแม่ทัพจิวมั่วเตรียมตัวจะสำเร็จโทษตัวเองแล้วหรือยัง”


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้จิวมั่วเหอกวาดตามองแม่ทัพผู้นั้นทีหนึ่ง ถามเสียงเย็นชา “แม่ทัพเฮ่อเหลียน ท่านพ่อของข้าเอ่ยว่าจะเอาชนะได้ภายในศึกเดียวอย่างนั้นหรือ”


 


 


แม่ทัพผู้นั้นพลันชะงักไป


 


 


ก็จริง วันนั้นที่จิวมั่วเหยียเอ่ยเพียงทำสัญญาทางทหารว่า หากไม่อาจนำหัวของเยี่ยเม่ยกลับมา ตีเมืองชายแดนเป่ยเฉินไม่แตก ถึงยอมตัดหัว เขาไม่ได้กำหนดเวลา


 


 


ทั้งไม่ได้บอกว่าหลังจากผ่านไปแล้วกี่ศึก


 


 


ราชาต้ามั่วโบกมือ เอ่ยปากเสียงดังว่า “พอแล้ว พอแล้ว เลิกเถียงกันเสียที เวลานี้หาใช่เวลาที่จะทะเลาะกันเอง”


 


 


เขาเจ็บปวดหัวใจ ความพ่ายแพ้อีกครั้ง ทำให้เหล่าทหารสูญเสียขวัญกำลังใจไปจนสิ้น


 


 


แม่ทัพเฮ่อเหลียนผู้นั้นนั่งลงอย่างไม่พอใจ


 


 


สีหน้าของจิวมั่วเหอเองก็ย่ำแย่มาก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายต่างเห็นอีกฝ่ายขัดตา ถึงขั้นผูกความแค้นต่อกัน


 


 


ราชาต้ามั่วมองคนทั้งหมด เอ่ยถามว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพจิวมั่วนำทัพด้วยตัวเองแล้วพ่ายแพ้กลับมา ทุกคนมีความเห็นอย่างไร พวกเราจะถอยทัพ หรือว่า…”


 


 


ครั้นราชาต้ามั่วเอ่ยคำนี้ออกมา แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นทันที ทัดทานว่า “ท่านข่าน พวกเราไม่อาจถอยทัพเช่นนี้ ถึงแม่ทัพจิวมั่วจะพ่ายแพ้ แต่นั่นก็เพราะชาวภาคกลางเจ้าเล่ห์เพทุบาย เตรียมเชือกหนามเช่นนั้นไว้ เชือกเส้นเดียวจัดการกับพวกเราได้ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่อาจเล่นงานพวกเราได้อีกเป็นครั้งที่สอง”


 


 


 “ท่านข่าน ข้าคิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผล” แม่ทัพผู้หนึ่งลุกขึ้นมาสนับสนุน กล่าวเสริมต่อว่า “อีกอย่างศัตรูใช้แผนการเช่นนี้ แต่แม่ทัพจิวมั่วก็ตัดสินใจได้ทันการณ์ ตีฝ่าวงล้อมออกมา ทำให้พวกเราสูญเสียไม่มาก ข้ายังมั่นใจว่าแม่ทัพจิวมั่วมีความสามารถที่จะคว้าชัยได้”


 


 


แม่ทัพเฮ่อเหลียนผู้นั้นฟังมาถึงตอนนี้ก็นั่งไม่ติดอีก เขาลุกขึ้นอีกครั้ง แผดเสียงดัง “สูญเสียทหารสองหมื่นนาย ยังบอกว่าเสียหายไม่มากอีกหรือ ชีวิตบุรุษหนุ่มของต้ามั่วเรา ในสายตาเจ้าไม่มีค่าถึงเพียงนั้นเชียวหรือไง”


 


 


 “เมื่อเกิดเป็นบุรุษต้ามั่ว การตายในสนามรบคือเกียรติยศของพวกเขา แม่ทัพเฮ่อเหลียนเป็นหัวหน้าทหาร ไม่รับรู้บ้างหรืออย่างไร” คนที่ย้อนถามกลับไปก็คือจิวมั่วเหยีย


 


 


แม่ทัพเฮ่อเหลียนแค่นเสียงเย็นชา ตอบกลับไปเสียงดังว่า “นั่นก็ต้องดูว่าตายอย่างไร ทิ้งชีวิตออกไปโดยเสียเปล่า ข้าเห็นว่าไม่คุ้มค่าเลยสักน้อย”


 


 


ยามนี้จิวมั่วเหอมองแม่ทัพเฮ่อเหลียนคำรบหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ดังนั้นคำพูดนี้ก็หมายความว่า แม่ทัพเฮ่อเหลียนใจเสาะ คิดเก็บหางหนีกลับต้ามั่วแล้วใช่ไหม”


 


 


 “ข้า…” สีหน้าแม่ทัพเฮ่อเหลียนพลันเขียวคล้ำขึ้นมาแล้ว


 


 


เขาไม่ทุ่มเถียงกับจิวมั่วเหอให้มากความอีก หันหน้ากลับไปประสานมือคารวะราชาต้ามั่ว “ท่านข่าน เยี่ยเม่ยผู้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้แต่แม่ทัพจิวมั่วเหอผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบใต้เงื้อมือนาง กอปรกับเป่ยเฉินอี้เดินทางมาถึงชายแดนแล้ว ข้าคิดว่าหากยามนี้พวกเรายังทำศึกต่อไป เป็นความคิดที่โง่เขลา ข้าน้อยขอให้ท่านข่านถอยทัพ”


 


 


เมื่อแม่ทัพเฮ่อเหลียนเอ่ยคำพูดนี้ออกมา นั่นคือคำพูดในใจของราชาต้ามั่ว ความจริงตัวเขาคิดถอยทัพแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครเห็นด้วย


 


 


ราชาต้ามั่วคิดโอนอ่อนผ่อนตาม


 


 


จิวมั่วเหอกลับลุกขึ้น ประสานมือคารวะ “ท่านข่าน ข้าได้ยินว่าก่อนนำทัพออกศึก ท่านเคยประกาศต่อหน้าชาวต้ามั่วไว้ หากตีชายแดนเป่ยเฉินไม่แตก จะไม่กลับเด็ดขาด หากเวลานี้กลับไป ท่านข่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”


 


 


 “ข้า…” ราชาต้ามั่วมองหน้าจิวมั่วเหอชะงักไปพูดไม่ออก ในฐานะราชา เขาย่อมต้องรักษาหน้าไว้ การตบหน้าตัวเองแค่คิดก็ปวดใจแล้ว


 


 


ไม่ช้า


 


 


จิวมั่วเหอก็เอ่ยต่ออีกว่า “ครั้งนี้แพ้ศึก ข้ายินยอมรับการลงโทษจากท่านข่าน และขอให้ท่านข่านให้โอกาสข้าอีกครั้ง”


 


 


ยามเขาเอ่ยขอออกมา แววตาของราชาต้ามั่วสุขุมลงไปหลายส่วน


 


 


เขาเชื่อมั่นในความสามารถของจิวมั่วเหอ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของต้ามั่ว อีกทั้งความจริงราชาต้ามั่วก็ไม่ยินยอมแพ้เช่นนี้ หากครั้งนี้จิวมั่วเหอออกโรงยังไม่อาจยึดภาคกลางได้ อย่างนั้นชั่วชีวิตเขาก็แทบไม่มีโอกาสยึดครองภาคกลางได้แล้ว


 


 


ดังนั้นเขายังคิดเสี่ยงดูสักครั้ง


 


 


หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ ราชาต้ามั่วถามว่า “จิวมั่วเหอ เจ้ามั่นใจจริงๆ หรือว่าจะเอาชนะเยี่ยเม่ยได้”


 


 


“ท่านข่าน นี่คือวังวนกับดัก หากพวกเราไม่รีบถอยออกมาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็มีแต่ยิ่งตกหลุมพรางลึกลงไปเท่านั้น” แม่ทัพเฮ่อเหลียนรีบเอ่ยประโยคนี้ออกมา ในใจคาดหวังเหลือเกินว่า ราชาต้ามั่วจะได้สติเสียที


 


 


สิ้นเสียงเขา


 


 


ด้านนอกมีนายทหารวิ่งเข้ามา ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้แม่ทัพเฮ่อเหลียน


 


 


แม่ทัพเฮ่อเหลียนเปิดอ่านรอบหนึ่ง สีหน้าปรากฏความยินดี “ท่านข่าน มีโอกาสเอาชนะเยี่ยเม่ยแล้ว”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม