เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย 177-189

ตอนที่ 177

 

“ทำอะไรเหรอ?” เขาเอ่ยหน้าตาเฉย “กินทิ้งกินขว้างมันบาป เดี๋ยวผมช่วยคุณกินเอง หรือว่าคุณไม่พอใจ?” 


 


 


“คุณ… คุณนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ” เห็นเขาพูดเลื่อนเปื้อนแล้วเธอได้แต่ว่าเขาอย่างเหนื่อยหน่าย เอ่ยจบแล้วมิวายเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าในร้านอาหารยังคงไร้ผู้คนเหมือนเดิมจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง เธอทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนอกเขา “ถ้าเมื่อกี้มีคนมาเห็นเข้าล่ะก็ ดูซิคุณจะทำยังไง?” 


 


 


จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นข้างแล้วเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “จะให้ทำยังไง? ไม่ได้จับชู้ได้คาเตียงสักหน่อย อีกอย่าง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็จะแต่งงานกับคุณ” 


 


 


หัวใจเธอกระตุกวูบ อยู่กับเขามาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดจาแบบนี้ให้เธอได้ยิน เธอมองเขาด้วยความไม่แน่ใจ “คุณพูดจริงเหรอคะ?” 


 


 


เขาถอนหายใจแล้วลูบผมยาวสลวยของเธอเบาๆ “ยัยโง่ ผมจะยอมให้คุณอยู่กับผมอย่างนี้ไปตลอดได้ยังไงกัน?” เอ่ยพลางลูบหน้าท้องเธอพลาง “ผมยังอยากจะมีลูกกับคุณอย่างถูกต้องด้วยนะ” 


 


 


“จิ้นหยวน…” เธอควรจะดีใจที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น แต่เธอกลับรู้สึกเศร้าจนน้ำตาเอ่อคลอ “คุณอย่าหลอกฉันนะ…” 


 


 


“ผมจะหลอกคุณทำไมกัน?” เขาปลอบเสียงอ่อนโยนพลางเช็ดหยาดน้ำตาให้เธอ จากนั้นดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ในอก 


 


 


เธอซุกหน้ากับอกของเขา พลันน้ำตาไหลพรากอย่างห้ามอยู่ “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี คุณจะแต่งงานกับฉันจริงๆ เหรอคะ?” 


 


 


“คุณถามผมแบบนี้สามครั้งแล้วนะ” เขาเอ่ยอย่างจนปัญญา “คำพูดของผมเชื่อถือไม่ได้เลยเหรอ? หรือว่าคุณคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป? มา คุณลองกัดผมดูก็ได้” 


 


 


เธอหัวเราะทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยอย่างฉอเลาะ “ฉันไม่กัดหรอก หนังคุณหนาซะขนาดนั้น เดี๋ยวฟันของฉันก็หักกันพอดี” เธอพูดเรื่องจริง ผิวหนังของจิ้นหยวนหนาจนไม่อยากจะเชื่อ เธอเคยกัดเขาครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเธอกัดจนปวดฟันไปหมด ครั้งนั้นทำให้เธอเข้าใจร่างกายของเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้น 


 


 


จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ เขาฝังจุมพิตเบาๆ ลงกลางกระหม่อมของเธอแล้วเอ่ย “รู้สึกถึงอะไรไหม?”  


 


 


“อะไรคะ?” เธองงงวย 


 


 


จิ้นหยวนหน้าเปลี่ยนสีทันที “คุณอย่าขยับสิ ไม่อย่างนั้น ผมไม่รับประกันนะว่าจะทำอะไรอีก” 


 


 


“คุณ… คุณมันไอ้บ้ากาม” เธอด่าเขาเพราะเข้าใจความหมายของเขาดี 


 


 


ทันใดนั้น เธอสัมผัสได้ว่ามีของแข็งบางอย่างอยู่ตรงหน้าอกของเขา รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เธอจึงยื่นมือสัมผัสมันเบาๆ ด้วยความสงสัย “นี่มันอะไรกันคะ?” 


 


 


จิ้นหยวนยกยิ้มอบอุ่นตรงมุมปาก “หยิบออกมาดูก็รู้เอง” 


 


 


เธอตอบ “ออ” แล้วค่อยๆ นั่งตัวตรง เธอมองหน้าเขาแต่เขากลับไม่ยอมขยับเขยื้อน เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง “คุณหยิบเองสิ” 


 


 


“ฉันเหรอคะ?” เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะอุบไว้ทำไม? เธอสังเกตเห็นสีหน้าของเขาแล้วไม่เหมือนคนที่กำลังล้อเล่นจึงยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เธอควานหาอยู่ชั่วครู่ก็เจอกล่องกำมะหยี่ใบเล็กแล้วหยิบมันออกมา 


 


 


“นี่มัน…” เธอถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ เอาไว้ในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง อย่าบอกนะว่าเป็นอย่างที่เธอคิดน่ะ? 


 


 


แต่พอเชื่อมโยงกล่องใบเล็กนี้เข้ากับคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้แล้วเธอก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว เธอหันไปมองตาเขาแล้วหันกลับมามองกล่องในมือ ในใจเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ 


 


 


เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่เป็นของขวัญจากผม ลองเปิดดูสิ” 


 


 


หัวใจเธอเต้นโครมคราม เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วค่อยๆ เปิดกล่องกำมะหยี่ออกช้าๆ แววตาเธอเป็นประกายเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี 


 


 


สิ่งที่อยู่ในกล่องไม่ใช่สิ่งที่เธอคิด แต่เป็นสร้อยคอที่สวยประณีตมาก มันเป็นสร้อยทองคำขาวฝังเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ออกแบบได้อย่างเรียบหรู ตรงกลางประดับเพชรน้ำงามเอาไว้เม็ดหนึ่ง ดูแล้วไม่โดดเด่นมากแต่กลับสวยถูกใจเธอมาก 


 


 


“ชอบหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามหลังจากสังเกตสีหน้าของเธอ ตั้งแต่รู้ว่าเธอชอบเครื่องประดับแบบเรียบง่าย เขาก็พยายามเสาะหาผู้เชี่ยวชาญมาออกแบบสร้อยเส้นนี้เป็นการเฉพาะ อย่าเห็นแค่ว่ามันเรียบง่ายมาก แต่วัตถุดิบที่ใช้เป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่านั้นและถูกเจียระไนอย่างประณีตที่สุด ช่างออกแบบใช้เวลาสามเดือนในการออกแบบเครื่องประดับมากมายจนกว่าเขาจะถูกใจ และสุดท้ายช่างฝีมือต้องใช้เวลาในการเจียระไนสร้อยเส้นนี้อย่างประณีตที่สุด จนกระทั่งมันถูกส่งมาทางเครื่องบินเฉพาะกิจเพื่อส่งให้ถึงมือเขาเมื่อเช้านี้นี่เอง 


 


 


“ชอบคะ” เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ เธอยื่นสร้อยเส้นนั้นให้เขา “ช่วยสวมให้ฉันได้ไหมคะ?” 


 


 


วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะที่ทำให้เธอดูสวยอ่อนหวานมาก และสร้อยเส้นนี้ก็เข้ากับชุดที่เธอสวมอย่างพอเหมาะพอเจาะ 


 


 


จิ้นหยวนรับสร้อยมาแล้วเอ่ย “ได้สิ” 


 


 


เธอค่อยๆ หมุนตัวหันหลังให้เขาแล้วใช้มือรวบผมยาวสลวยทั้งหมดขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้สวมสร้อยให้เธอได้อย่างสะดวก 


 


 


รอจนกระทั่งเขาเอ่ยเสียงเบาข้างหูเธอว่า “เสร็จแล้ว” จึงหมุนตัวกลับมาแล้วมองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “สวยไหมคะ?” 


 


 


เขาลูบสร้อยบนคอเธอช้าๆ อย่างเบามือ “สวย สร้อยสวยแต่คุณสวยกว่า” เขารู้อยู่แล้วว่าเธอใส่สร้อยเส้นนี้แล้วจะต้องสวยมาก แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะดูโดดเด่นมากขนาดนี้ สร้อยเส้นนี้เผยให้เห็นคองามระหงของเธออย่างเต็มที่แต่ไม่บดบังรัศมีเปล่งประกายเฉพาะตัวของเธอ เมื่อรวมกันแล้วทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คือความสวยโดดเด่นสะกดสายตาที่ใครเห็นเป็นต้องยากจะลืมเลือน 


 


 


ทันใดนั้น เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ให้สร้อยเส้นนี้กับเธอ เพราะนั่นเท่ากับว่าจะต้องมีคนเห็นความสวยของเธอเพิ่มขึ้น เขามั่นใจได้เลยว่าต่อไปเขาจะต้องมีศัตรูหัวใจเพิ่มขึ้นอีกมากอย่างแน่นอน 


 


 


เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่ววินาทีเดียวในสมองของเขาจะคิดไปไกลมากขนาดนั้นแล้ว เธอยังคงเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “จริงเหรอคะ?” เธอเอ่ยอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดายจังที่ที่นี่ไม่มีกระจก” 


 


 


เขายิ้มพลางยื่นมือส่งให้เธอ “ง่ายนิดเดียว เราก็กลับไปส่องกระจกที่บ้านสิ” 


 


 


“จริงสิ” เธอลังเลชั่วครู่แล้วส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น เธอถอดสร้อยออกแล้วเอ่ยขึ้น “เอาไว้ดูคืนนี้ก็ได้ ช่วงบ่ายฉันยังต้องทำงานอีก” 


 


 


เธอเห็นสีหน้าจิ้นหยวนเข้มขึ้นจึงรีบเอ่ยอย่างออดอ้อนทันที “งานเป็นสิ่งเดียวที่ฉันรัก คุณจะใจแข็งไม่ยอมให้ฉันทำในสิ่งที่รักที่สุดเหรอคะ?” เธอรู้มานานแล้วว่าจิ้นหยวนเป็นคนไม่ชอบไม้แข็งแต่ชอบคนพูดจาอ่อนหวานไพเราะ เธอรู้ว่าถ้าเธอพูดอ้อนเขาส่วนใหญ่แล้วเขาจะยอมใจอ่อนให้กับคำขอของเธอ 


 


 


และเป็นไปตามที่เธอคาด เขาฟังคำพูดของเธอแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ “จิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์” เอ่ยจบแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย “คุณรีบหาคนมาให้ครบ ผมไม่อยากเห็นคุณต้องทำงานหนักแบบนี้อีก” 


 


 


“วางใจเถอะค่ะ ตอนนี้กำลังรับสมัครพนักงานใหม่อยู่ อย่างช้าที่สุดวันมะรืนนี้ก็มีคนใหม่มาทำงานแล้วค่ะ” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” 


 


 


จิ้นหยวนเป็นคนพูดจริงทำจริง เขาไปทำงานเป็นเพื่อนเธอจริงๆ ดังที่ลั่นวาจาเอาไว้ เขานั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตัวเองไปพร้อมๆ กับเธอ และสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมากคือ เขาไม่เพียงมีฝีไม้ลายมือเก่งฉกาจทางด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ฝีไม้ลายมือทางด้านอักษรก็ดีใช่ย่อยเหมือนกัน เขายังช่วยเธอแก้ต้นฉบับตั้งหลายบทความ ถ้าเธอไม่ได้เห็นเขาแก้เองกับตา เธอคงคิดว่าตัวเองเป็นคนเขียนเองกับมือเสียอีก 


 


 


“ยังมีอะไรที่คุณทำไม่เป็นอีกหรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

 


ตอนที่ 178

 

“ก็ต้องมีอยู่แล้ว” เขาเอ่ยตอบ 


 


 


“อะไรคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ อยากรู้เหลือเกินว่าคนที่เกือบจะทำเป็นทุกอย่างอย่างเขายังมีอะไรที่ทำไม่เป็นอีก หรือว่าจะทำอาหารไม่เป็น? 


 


 


ปรากฏว่าเขาวางมาดขรึมแล้วตอบเธอด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็คลอดลูกไม่เป็นไง” 


 


 


 “นี่คุณ!” เธอหลุดหัวเราะพรืด “คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ ด้วย” 


 


 


“ถ้าหน้าบางแล้วผมจะเจอคุณได้ยังไง?” เขาตอบจริงจังโดยที่ไม่โกรธเธอเลยสักนิด 


 


 


หัวใจเธอเต้นแรง เธอหันไปมองใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของเขาแล้วรู้สึกหวานละมุนในใจ เธอยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาฟอดหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว 


 


 


เธอเพิ่งผละจากใบหน้าของเขาก็เห็นประกายแปลกๆ แวบขึ้นในดวงตาของเขาทันที เธอกู่ร้องในใจว่าแย่แล้ว ความคิดที่จะวิ่งหนีกลับสู้ความเร็วของเขาไม่ได้สักนิด เขายื่นแขนคว้าตัวเธอหมับ ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งตัว จุมพิตเร่าร้อนก็ฝังลงบนกลีบปากของเธอเสียแล้ว 


 


 


มันกะทันหันเกินไปจนเธอต้องดิ้นหนี แต่สุดท้ายเธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับลมหายใจอุ่นร้อนของเขาจนร่างกายค่อยๆ อ่อนปวกเปียกไร้แรงต้านทานอีก เธอเริ่มจูบตอบเขาอย่างเร่าร้อนเช่นเดียวกัน 


 


 


อุณหภูมิในห้องทำงานค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น มือใหญ่ของเขาเริ่มลูบคลำสรีระของเธอระเรื่อยจนล้วงเข้าไปใต้เสื้อผ้าของเธอ ทุกอย่างกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงขลาดๆ เสียงหนึ่งดังลอยมาจากทางประตูห้อง “พี่มู่มู่… พี่…” 


 


 


แขกไม่ได้รับเชิญเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นภาพเร่าร้อนนั้นพอดี เสียงกรีดร้องเพราะความตกใจทำให้สองหนุ่มสาวตื่นจากภวังค์แห่งความลุ่มหลงแล้วหันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญคนนั้นพร้อมกัน 


 


 


หรงเซียวรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที เธอไม่ควรคิดว่าตัวเองสนิทกับพี่มู่มู่แล้วไม่ต้องเคาะประตูก่อนเข้าห้องแบบนี้ แล้วดูซิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าสายตาของคนเราสามารถฆ่าคนให้ตายได้ ป่านนี้เธอคงกลายเป็นศพไปแล้ว 


 


 


เธอยิ้มแหยๆ พลางก้าวเท้าถอยหลังพลาง พยายามขอโทษขอโพย “ขอ… ขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณจิ้น… ก็อยู่ที่นี่ด้วย…” เธอพยายามพูดให้จบประโยคอย่างตะกุกตะกักแล้วหมุนตัววิ่งหนีทันที 


 


 


เฉียวซือมู่หน้าแดงเป็นลูกตำลึง รู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้ล็อกประตูห้องจนถูกคนอื่นเห็นเข้า เธอก้มหน้าสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง แม้มันจะยับยู่ยี่แต่โชคยังดีที่ยังอยู่ครบทุกชิ้นในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย  


 


 


เธอจ้องเขาตาเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว” 


 


 


จิ้นหยวนจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อปกปิดร่องรอยบนหน้าอกของเขา นั่นเป็นผลงานจากเล็บมือของเฉียวซือมู่ที่เพิ่งจะสร้างรอยแดงยาวฝากเอาไว้เป็นอนุสรณ์ให้เขา เธอเห็นมันแล้วถึงกับหน้าแดงก่ำอีกคำรบ 


 


 


เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ทำไมต้องขายหน้าด้วย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนรักกันแสดงความรักต่อกันไม่ใช่หรือไง?” 


 


 


“แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าแสดงให้คนอื่นเห็นได้นี่” เธอจ้องเขาตาถลนแล้วลุกขึ้นเดินหนีเขาให้ไกลๆ “ฉันจะทำงานแล้ว ขืนยังเป็นอย่างนี้อีกฉันคงต้องทำโอทีแล้วล่ะ” 


 


 


เธอยังมีงานที่ยังคั่งค้างอยู่อีกเยอะมาก อีกทั้งช่วงเช้าเธอเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย ตอนนี้เธอไม่มีเวลาว่างแล้วจริงๆ 


 


 


จิ้นหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอกำลังร้อนใจดั่งไฟลนจึงไม่ล้อเธอเล่นอีก แต่กลับก้มหน้าก้มตาช่วยเธอทำงานแทน 


 


 


ในที่สุดทั้งสองก็ช่วยกันสะสางงานทั้งหมดจนเสร็จก่อนเวลาเลิกงาน เธอเหยียดมือจนสุดปลายแขนแล้วบิดขี้เกียจ “ใช้ได้ ดูเหมือนว่าเราสองคนร่วมมือกันแล้วได้ผลดีมาก ตอนนี้ก็เหลือแค่รวบรวมต้นฉบับทั้งหมดแล้วแจกจ่ายคืนก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย” 


 


 


เธอใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถจัดการเรื่องที่เหลือเสร็จเรียบร้อยทันเวลาเลิกงานพอดี เธอยิ้มกริ่มพลางลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือให้เขา “วันนี้ต้องขอบคุณท่านประธานจิ้นเป็นอย่างมากที่ยื่นมืออันมีค่าออกมาให้ความช่วยเหลือค่ะ” 


 


 


จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นข้าง “ไม่ต้องเกรงใจ อย่าลืมตอบแทนผมก็แล้วกัน” 


 


 


เธอกะพริบตาปริบๆ “ตอบแทน? ท่านประธานจิ้นอยากให้ฉันตอบแทนยังไงคะ?” 


 


 


“ตอบแทนด้วยร่างกายเป็นไง?” เขายิ้มร้ายแล้วดึงตัวเธอให้ล้มลงบนอกของเขา 


 


 


เธอยิ้มพราวเสน่ห์ ไม่เพียงไม่ต่อต้านหากแต่ใช้สองมือโอบรอบคอของเขาเอาไว้ ลมหายใจอุ่นร้อนของเธอลอยวนอยู่รอบๆ ใบหูของเขา เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “ได้สิคะ” 


 


 


จิตใจของเขาเคลิบเคลิ้มจนล่องลอยทันทีที่ได้ยินคำตอบของเธอ แต่เวลาและสถานที่กลับไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำเรื่องไม่งาม เขาจึงได้แต่ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเธอเบาๆ “ยัยตัวร้าย” 


 


 


เธอหัวเราะเบาๆ อย่างยั่วยวนจนทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมคราม เขาจูบมุมปากเธออย่างห้ามใจไม่อยู่ พยายามสะกดกลั้นความต้องการของตัวเองเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงแหบพร่า “ยัยปีศาจจอมยั่ว รอให้ถึงบ้านก่อนเถอะ” 


 


 


เธอชายตามองเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน 


 


 


จิ้นหยวนใช้ไม้นี้กับเธอไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว 


 


 


เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณจากใจจริง เธอจึงเชื้อเชิญให้เขาไปรับประทานอาหารค่ำด้วยกันที่ร้านอาหารสุดโปรดของเธอเพื่อทำให้เขาอิ่มหนำสำราญใจ 


 


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองก็ก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ในระยะมั่นคง แม้ชีวิตจะดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความรักความดูแลเอาใจใส่ของเขาที่มีต่อเธอ เธอรู้สึกพึงพอใจมาก อีกทั้งมีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานที่ออฟฟิศอีกหลายคนจนทำให้งานของเธอลดน้อยลง ในที่สุดเธอก็หายใจหายคอโล่งเสียที 


 


 


ตอนนี้เธอกำลังไปได้ดีทั้งทางด้านความรักและทางด้านการงาน สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนใบหน้าอิ่มเอิบเปล่งประกาย ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก 


 


 


เย็นนี้เธอเพิ่งกลับถึงบ้านก็เห็นเขากำลังนั่งมองเธออยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจพลางเดินเข้าไปหาเขา “ทำไมกลับบ้านเร็วจังคะ?” 


 


 


ปกติแล้วถ้างานเขาไม่ยุ่งเขาจะเป็นคนไปรับเธอที่ทำงานเอง แต่หากเขาไม่ว่างหรือต้องไปร่วมงานสังสรรค์เขาจะให้อาฮุยหรืออาอวี่เป็นคนไปรับเธอแทน วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน เธอทำใจเอาไว้แล้วว่ากลับถึงบ้านต้องไม่เจอเขาแน่ แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะกลับมารอเธอที่บ้านแล้ว 


 


 


จิ้นหยวนชายตามองเธอแวบหนึ่งแล้วโยนแท็บเล็ตในมือไปไว้ข้างๆ จากนั้นดึงตัวเธอให้นั่งลงบนตักของเขา เธอตัวเล็กมากจนเขาสามารถโอบกอดเธอเอาไว้ทั้งตัวได้พอดิบพอดี เขาเอ่ยขึ้น “สิ้นเดือนนี้คุณพอจะหาเวลาว่างได้หรือเปล่า?” 


 


 


“สิ้นเดือนเหรอคะ?” เธอมุ่นหัวคิ้วพลางครุ่นคิดเล็กน้อย “น่าจะไม่ได้นะคะ เราเพิ่งจะวางแผนจัดกิจกรรมใหม่สิ้นเดือนนี้พอดีเลยค่ะ” 


 


 


“ถ้างั้นก็เลื่อนไปจัดเดือนหน้าแทนสิ” เขาเสนอ 


 


 


“ทำไมล่ะคะ?” เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทีมงานของเธอเพิ่งจะกำหนดวันมาหยกๆ แต่มันก็ไม่ใช่วันที่แน่นอนหรอกนะ จะให้เลื่อนน่ะทำได้ แต่เหตุผลคืออะไรล่ะ? 


 


 


จิ้นหยวนมองเธอแวบหนึ่ง “สิ้นเดือนนี้ผมจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ” 


 


 


เธอชะงักนิ่งไปชั่วครู่ “คุณอยากให้ฉันไปด้วยอย่างนั้นเหรอคะ?” 


 


 


“คุณไม่เต็มใจเหรอ?” เขามองเธอนิ่ง 


 


 


เธอลังเลเล็กน้อย “ไม่ใช่ไม่เต็มใจ แต่ว่า…” 


 


 


“ผมรู้ว่างานในบริษัทคุณเข้าที่เข้าทางแล้ว คงไม่ยากถ้าจะหาเวลาว่างสักอาทิตย์” จิ้นหยวนเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่เธอจะพูดจบ 


 


 


“ไปไหนเหรอคะ?” 


 


 


“ฝรั่งเศสกับมิลาน” เขาเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ 


 


 


เธอได้ยินแล้วรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาทันที นั่นมันนครแห่งแฟชั่นที่ผู้หญิงแทบทุกคนใฝ่ฝันถึงเลยเชียวนะ เธอเองก็เหมือนกัน 

 

 

 


ตอนที่ 179

 

“แต่ว่า…” เธอยังคงเป็นห่วงงานที่เพิ่งจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง 


 


 


จิ้นหยวนชักจะหงุดหงิด “คุณไปคิดดูให้ดีๆ ถ้าคุณไม่ไปละก็…” 


 


 


น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดจนเธอสัมผัสได้จึงรีบเอ่ยถามพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง “ทำไมคะ ถ้าฉันไม่ไปแล้วคุณจะพาผู้หญิงคนอื่นไปแทนอย่างนั้นเหรอคะ?” 


 


 


 “ยัยจอมขี้หึง ผมพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” เขาหัวเราะขำขันแล้วตีก้นงอนงามของเธอเบาๆ “ผมแค่คิดว่าคุณอยู่กับผมนานขนาดนี้แล้วแต่ผมยังไม่เคยพาคุณไปเที่ยวที่ไหนเลย ก็เลยอยากจะพาคุณออกไปเที่ยวสักครั้ง แต่คุณกลับไม่ยอมรับน้ำใจผมเลย” 


 


 


“ก็ได้… เดี๋ยวฉันไปคุยกับพวกเขาก่อนก็แล้วกันค่ะ” ความจริงจังของเขาบวกกับความอยากของเธอ ทำให้เธอยอมตอบตกลง 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเธอปรึกษากับรอง บ.ก. คนใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงรีบโทรศัพท์หาจิ้นหยวนเพื่อบอกกับเขาว่าเธอตอบตกลงไปมิลานตามคำเชิญของเขา 


 


 


แต่บางครั้งอะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนยากจะคาดเดา ก่อนกำหนดออกเดินทางเพียงไม่นาน จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ 


 


 


วันนั้น เธอกำลังเก็บรายละเอียดงานขั้นตอนสุดท้ายอยู่ในห้องทำงานของตัวเองระหว่างรอลูกน้องที่ออกไปสัมภาษณ์ข่าวกลับมา เธอรอจัดการต้นฉบับข่าวนี้เป็นข่าวสุดท้าย เพื่อที่ตัวเองจะได้ออกไปท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ 


 


 


เธอนึกถึงเรื่องที่จิ้นหยวนพรรณนาถึงความสวยงามต่างๆ ของมิลาน รวมทั้งความรักความดูแลเอาใจใส่ที่เขามีให้เธอแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข 


 


 


เวลานั้นเอง เธอเห็นลูกน้องที่ออกไปทำข่าวข้างนอกแบกอุปกรณ์ทำข่าวกลับเข้ามาในออฟฟิศผ่านทางกระจกหน้าต่างพอดี เธอยิ้มน้อยๆ เพราะดูเหมือนว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่น สงสัยวันนี้คงได้เลิกงานเร็วแน่ๆ 


 


 


เธอนั่งรอให้ลูกน้องส่งข้อมูลเข้ามาให้เธอในห้องทำงาน แต่รอแล้วรอเล่ากลับไม่มีใครเข้ามาในห้องสักคน เธอจึงเดินออกไปนอกห้องด้วยความสงสัย พอเปิดประตูปุ๊บก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ปั๊บ ลูกน้องแต่ละคนหน้าตาหลุกหลิกและกำลังซุบซิบกันราวกับเจอเรื่องแปลกประหลาดเข้าให้ 


 


 


แต่เธอไม่เข้าใจ ปกติแล้วคนข่าวอย่างพวกเขาต้องชอบเรื่องแปลกประหลาดถึงจะถูกสิ ถ้ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นจริงพวกเขาก็ต้องดีใจเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ทำไมตอนนี้ท่าทางแต่ละคนถึงได้ดูระแวดระวังแบบนี้ล่ะ? 


 


 


เธอกระแอมเบาๆ ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร ลูกน้องที่เงยหน้าขึ้นเห็นเธอต่างพากันหน้าถอดสี จากนั้นรีบแยกย้ายกันกลับไปนั่งก้มหน้างุดที่โต๊ะทำงานของตัวเอง 


 


 


พวกเขาเปลี่ยนจากพวกซุบซิบนินทาเป็นหนุ่มสาวที่รักการทำงานภายในพริบตาจนทำให้เธออดขำไม่ได้ “พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?” 


 


 


เธอสังเกตเห็นว่าทุกคนแอบชำเลืองมองเธอเป็นระยะๆ แต่พอเห็นเธอกวาดสายตามองก็รีบหลบสายตากันเธอกันเป็นแถว 


 


 


เธอมุ่นหัวคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “พวกเธอเป็นใบ้กันไปแล้วหรือไง? ต้นฉบับที่เพิ่งไปทำข่าวมาอยู่ไหน?” 


 


 


ยังคงมีแต่ความเงียบเป็นเสียงตอบรับเหมือนเดิม เธอกวาดสายตามองพวกเขาด้วยความไม่เข้าใจ “นี่พวกเธอเป็นอะไรไป?” 


 


 


พวกเขาลอบชำเลืองมองหน้ากันด้วยสีหน้าลำบากใจ และในที่สุดหรงเซียวที่ถือว่าเป็นคนที่สนิทกับเธอที่สุดก็ทะลึ่งพรวดลุกจากเก้าอี้ “พี่มู่มู่ ฉันมีเรื่องจะบอกพี่ค่ะ ถ้าพี่รู้แล้วอย่าเสียใจไปนะคะ” 


 


 


เธอชักจะสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้ว แต่ยังคงมองหรงเซียวแล้วตอบนิ่งๆ “ได้ ไหนว่ามาซิ” 


 


 


หรงเซียวสีหน้าลำบากใจมาก เธอไม่อยากบอกข่าวนี้ให้เฉียวซือมู่รู้เลย แต่ไม่บอกก็ไม่ได้จึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดพูดออกไป “พี่รู้ใช่ไหมคะว่าเมื่อกี้พวกเราออกไปทำข่าวจิ้นซื่อกรุ๊ปเปิดตัวห้างใหม่ที่ตึกเหมยลี่” 


 


 


เฉียวซือมู่พยักหน้า “พี่รู้ ข่าวบอกว่าจะมีผู้บริหารระดับสูงมาร่วมงานเปิดงานด้วยนี่ ทำไมเหรอ หรือว่าจิ้นหยวนเป็นคนมาเอง?” 


 


 


เธอคิดๆ แล้วมีเพียงความเป็นไปได้เดียวคือจิ้นหยวนคงเกิดปัญหาอะไรขึ้นสักอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าหรงเซียวได้ยินคำตอบของเธอแล้วกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ “เปล่า ไม่ใช่หรอกค่ะ คือว่า…นายใหญ่จิ้นเฮ่า เขา… เขา…” 


 


 


เธออ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นานสองนานจนทำให้เฉียวซือมู่ชักจะเริ่มหงุดหงิด หรงเซียวหักใจพูดออกไปในที่สุด “เขาพาผู้หญิงที่ชื่อหร่วนเซียงเซียงไปด้วย เขาประกาศว่าเธอเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของเขา และเธอจะหมั้นกับจิ้นหยวนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้ค่ะ”  


 


 


เธอเอ่ยตะกุกตะกักจนจบประโยคแล้วเหลือบมองเฉียวซือมู่อย่างหวาดๆ “พี่มู่มู่ พวกเราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ยินข่าวแบบนี้ พวกเรากลัวว่าพี่จะเสียใจ ก็เลยคุยกันว่าควรจะบอกพี่ดีหรือเปล่า ไม่คิดว่าพี่จะเดินออกมาเองเสียก่อน” 


 


 


หัวใจของเฉียวซือมู่หนักอึ้ง เธอฝืนปั้นหน้ายิ้ม “พี่รู้แล้ว ขอบใจมากนะที่บอกให้รู้” เอ่ยจบแล้วสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามสะกดกลั้นความปั่นป่วนในใจเอาไว้ จากนั้นหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องทำงานของตัวเอง 


 


 


หรงเซียวมองตามเฉียวซือมู่ด้วยความเป็นห่วง แต่หรงเซียวต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเธอยังคงก้าวย่างอย่างสง่าผ่าเผยราวกับว่าข่าวที่เพิ่งได้รับรู้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเธอเลย จู่ๆ เฉียวซือมู่ก็ชะงักฝีเท้าแล้วเอ่ยขึ้น “รีบส่งต้นฉบับกับข้อมูลที่ได้มาให้พี่ด้วยล่ะ” 


 


 


หรงเซียวพยักหน้าเหลอหลา คิดไม่ถึงเลยว่าเฉียวซือมู่ได้ยินข่าวนี้แล้วยังสามารถทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อยู่อีก จึงได้แต่แอบเป็นห่วงอยู่เงียบๆ ในใจ 


 


 


เฉียวซือมู่รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีปิดประตูห้อง เสี้ยววินาทีที่ประตูปิดลง เธอหมดแรงจนแทบทรุดลงกับพื้น ราวกับว่าเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายที่ยังพอหลงเหลืออยู่ถูกดูดออกจากร่างกายจนหมด เธอตะเกียกตะกายพาร่างไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมหลังโต๊ะทำงานจนได้ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วโทรศัพท์หาจิ้นหยวน แต่เธอกลับตัดสินใจยกเลิกการโทรออกในวินาทีสุดท้าย 


 


 


โทรไปแล้วเธอควรจะถามอะไร? แล้วจะถามในฐานะอะไร? 


 


 


เธอหวนนึกถึงความรักหวานชื่นระหว่างเธอกับจิ้นหยวน แล้วนึกถึงข่าวที่เธอเพิ่งรับรู้เมื่อครู่ ความรู้สึกสับสนปนเปถาโถมเข้ามาในใจจนทำให้เธอรู้สึกทั้งเศร้าใจทั้งห่อเ**่ยวใจ 


 


 


เธอหมดอาลัยตายอยากจนไม่อยากจะทำงานแล้ว ได้แต่นั่งจ้องโทรศัพท์มือถืออยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปถามจิ้นหยวนจนได้   


 


 


จิ้นหยวนรับรู้ข่าวนี้ในระหว่างที่กำลังประชุมอยู่ มันทำให้เขารู้สึกหนักใจมาก เพราะเขารู้ตัวดีว่าการกระทำในระยะหลังของเขาทำให้จิ้นเฮ่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก 


 


 


เขาสะกดกลั้นความรู้สึกของตัวเองเอาไว้แล้วดำเนินการประชุมจนลุล่วงไปได้ด้วยดี หลังจากที่ทุกคนออกจากห้องประชุมจนหมดแล้วเฉียวซือมู่ก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี เธอเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “คุณรู้เรื่องนี้หรือเปล่าคะ?” 


 


 


เขาเข้าใจทันทีว่าเธอกำลังถามถึงเรื่องอะไรจึงเอ่ยตอบกลับไป “ผมไม่รู้เรื่องนี้ด้วย คุณพ่อเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ผมไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลย” เขารู้ว่าเธออยากได้ยินคำตอบแบบไหนจึงเอ่ยตอบกลับไปอย่างเรียบง่ายและซื่อตรงที่สุด 


 


 


เห็นได้ชัดว่าเฉียวซือมู่โล่งอกทันที “ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ฉันก็นึกว่าจู่ๆ ก็ถูกคุณทิ้งเสียแล้ว” 


 


 


เขาหัวเราะเบาๆ “ที่รักสบายใจได้ ต่อให้ผมละทิ้งโลกทั้งใบแต่ผมไม่มีวันละทิ้งคุณเด็ดขาด” 


 


 


เธอหน้าแดงซ่านพลางเอ่ยอย่างขัดเขิน “คุณนี่ปากหวานจริงๆ เลย” 


 


 


จิ้นหยวนรีบฉวยโอกาสปลอบใจเธอทันทีอีกเล็กน้อย หลังจากวางโทรศัพท์จากเธอแล้วสีหน้าของเขากลับมาเคร่งเครียดเหมือนเดิม จากนั้นเขาต่อสายถึงที่บ้านทันที  


 


 


เสียงของจิ้นเฮ่าดังลอดมาตามสาย “อาหยวน?” 


 


 


“ผมเองครับ” เขาสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น “คุณพ่อ คำพูดเมื่อบ่ายนี้ของคุณพ่อมันหมายความว่ายังไง? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาล่ะครับ?” 


 


 


“อ้อ เรื่องนั้นเองเหรอ ใช่ ฉันเป็นคนพูดเอง ก็ฉันอยากได้หนูเซียงเซียงมาเป็นลูกสะใภ้ แล้วแกก็อย่าหวังว่าจะพาผู้หญิงหน้าไหนเข้าบ้านด้วย” เขารู้ว่าลูกชายโทรหาเขาทำไม เขาจึงบอกความต้องการของตัวเองออกไปตรงๆ  

 

 

 


ตอนที่ 180

 

“คุณพ่อ! คุณพ่อจะทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ ผมไม่ได้รักเธอ คุณพ่อทำแบบนี้มันทำให้ผมลำบากใจมากนะครับ” จิ้นหยวนเอ่ยเสียงสูงด้วยความไม่พอใจ 


 


 


จิ้นเฮ่าไม่ยอมลดราวาศอกเช่นเดียวกัน “ไม่รักอะไรกัน คนหนุ่มสาวอย่างพวกแกนี่ปัญหาเยอะจริงๆ แต่งงานอยู่กินกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง ก่อนแต่งงานฉันกับแม่แกก็ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เรายังรักกันได้เลย พวกแกนี่มัน…” 


 


 


จิ้นหยวนฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดมาก “คุณพ่อ ตอนนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว คุณพ่อไม่เคยได้ยินคำว่าอิสระในการเลือกคู่ครองเหรอครับ? จู่ๆ คุณพ่อไปประกาศว่าเธอเป็นว่าที่ภรรยาของผมแบบนั้น คุณพ่อเคยคิดถึงความรู้สึกของผมบ้างไหม?” 


 


 


เขาโมโหมากจนไม่สนใจมารยาทในการพูดอีกแล้ว เขาแผดเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว “ผมรู้จักเธอมาตั้งนาน ไม่เห็นว่าเธอจะดีตรงไหน ผมไม่มีวันแต่งงานกับเธอเด็ดขาด!” 


 


 


จิ้นเฮ่าแผดเสียงดังลั่นไม่แพ้กัน “ฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แกอยากจะแต่งงานกับหญิงกำพร้าคนนั้นใช่ไหมล่ะ? ฉันขอบอกเอาไว้เลยนะ ตราบใดที่ฉันยังหายใจอยู่ แกต้องแต่งกับเซียงเซียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าคิดจะแต่งกับผู้หญิงคนอื่นก็ต้องรอให้ฉันตายก่อน!” 


 


 


จิ้นหยวนรู้สึกเหนื่อยหน่ายมาก “คุณพ่ออย่าหัวรั้นขนาดนี้ได้ไหมครับ?”  


 


 


“ฉันหัวรั้นอย่างนั้นเหรอ? ฉันว่าแกต่างหากที่หัวรั้น… แค่กๆ … ผู้หญิงแซ่เฉียวคนนั้นมีดีอะไร ผู้หญิงใฝ่ต่ำทำตัวเป็นดอกไม้ล่อแมลงแบบนั้น นี่แกหลงผู้หญิงคนนั้นจนขาดสติแล้วหรือไง? ฉันจะบ้าตาย…” เอ่ยจบพลันเสียงหายใจหอบดังขึ้นๆ จากนั้นเสียงชุลมุนวุ่นวายดังมาตามหลัง 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินเสียงขาดๆ หายๆ ของคุณแม่ดังเป็นห้วงๆ ลอดออกมาตามสาย เขารู้ว่าอาการของฉินเฮ่าคงกำเริบอีกแล้วจึงรู้สึกหดหู่มาก 


 


 


สุดท้าย เพื่อเห็นแก่สุขภาพของคุณพ่อเขาจึงไม่อยากทะเลาะกับท่านอีก เขาวางสายแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความหนักใจ 


 


 


เขาลุกจากเก้าอี้พลางครุ่นคิด รู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว ทำไมคุณพ่อต้องมาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ด้วย? 


 


 


หรือว่ามีใครไปพูดอะไรให้คุณพ่อฟัง? 


 


 


เขาเม้มริมฝีปากแน่น แสงไฟส่องให้เห็นกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่เครียดเกร็งของเขา เขาหยิบเสื้อสูทขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวกลับไปถามคุณแม่ที่บ้านให้รู้เรื่อง 


 


 


ทันใดนั้น หลินจื้อเฉิงวิ่งพุ่งเข้ามาในห้องด้วยความร้อนรน “พี่ใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!” 


 


 


เขาหรี่ตามองสีหน้าผิดปกติของหลินจื้อเฉิงแล้วเอ่ยถามเสียงเครียดขรึม “เกิดอะไรขึ้น?” 


 


 


หลินจื้อเฉิงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายแล้วจึงรู้สึกเครียดมากกว่าเดิม เขาเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พี่ดูเองเถอะครับ” 


 


 


จิ้นหยวนกวาดสายตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วชักหัวคิ้วชนกันแน่น หน้าเว็บไซต์ข่าวมีแต่ภาพของเขากับเฉียวซือมู่ที่ดูสะดุดตามาก ข้างรูปภาพมีกรอบข้อความบรรยายประกอบ “ประธานแห่งจิ้นซื่อกรุ๊ปเพิ่งประกาศข่าวงานหมั้นเมื่อตอนบ่าย แต่กลับปรากฏภาพหญิงสาวปริศนาข้างกายท่าทางสนิทสนมกันมาก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมียน้อยของท่านประธานจิ้น” 


 


 


ตอนนี้จิ้นหยวนหน้าดำคร่ำเครียดยิ่งกว่าก้อนเมฆทมึนเสียอีก เขาเห็นภาพข่าวแล้วจำได้ทันทีว่าเป็นภาพที่เขากับเฉียวซือมู่ไปรับประทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารฝรั่งเศสก่อนหน้านี้ ในภาพสองหนุ่มสาวกำลังมองตาแล้วยิ้มให้กันอย่างสนิทสนม เห็นแล้วให้ความรู้สึกทั้งหวานทั้งอบอุ่นเป็นพิเศษ หนุ่มหล่อสาวสวย ช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกิน 


 


 


หลินจื้อเฉิงเอ่ยถามเป็นชุด “นี่มันพี่สะใภ้นี่นา ทำไมพวกพี่ถึงถูกแอบถ่ายได้ล่ะ? แล้วเป็นรูปจริงหรือเปล่าครับ?” 


 


 


จิ้นหยวนหน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ยแทรกขึ้น “จริง ถูกแอบถ่ายตอนที่ฉันไปกินข้าวกับเธอ” 


 


 


เขารู้สึกว่าเรื่องครั้งนี้แปลกมาก รูปใบนี้ถูกถ่ายสักพักแล้ว แต่ทำไมถึงถูกปล่อยออกมาในเวลาที่คุณพ่อประกาศเรื่องงานหมั้นระหว่างเขากับหร่วนเซียงเซียงพอดิบพอดี และยังกลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ในอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก เรื่องนี้จะต้องมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน 


 


 


เขากวาดสายตาอ่านข่าวในอินเทอร์เน็ตแล้วเลื่อนลงไปอ่านความคิดเห็นใต้ข่าวอย่างรวดเร็ว ความคิดเห็นส่วนใหญ่ด่าทอเฉียวซือมู่ว่าหน้าด้านเป็นเมียน้อยของคนอื่น ยังมีความคิดเห็นที่รุนแรงมากถึงขั้นบอกให้เธอไปตายซะ แววตาของเขาลุ่มลึก ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเกิดเธอมาเห็นความคิดเห็นไม่หวังดีพวกนี้แล้วจะรู้สึกแย่มากขนาดไหน 


 


 


เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เรียกลูกน้องฝีมือดีมารวมตัวกันแล้วออกคำสั่งทีละอย่างอย่างรวดเร็ว กลุ่มแรกให้ไปยับยั้งข่าวตามเว็บไซต์ต่างๆ อย่างน้อยก็อย่าให้กลายเป็นข่าวประเด็นร้อน อีกกลุ่มให้ไปสืบที่มาของรูปถ่ายใบนั้น เป้าหมายแรกคือพนักงานในร้านอาหารฝรั่งเศสระดับมิชลินสตาร์ร้านนั้น แล้วให้ตรวจสอบออกมาว่าเว็บไซต์ใหญ่ๆ พวกนั้นอยู่ดีๆ รู้เรื่องรูปถ่ายนั้นได้อย่างไร 


 


 


เขาสูดหายใจลึกอีกครั้งหลังสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะโทรศัพท์เพื่อปลอบใจแฟนตัวเองกลับมีสายเรียกเข้าจากฉินเพ่ยหรงเสียก่อน “อาหยวนรีบกลับบ้านเร็ว คุณพ่อแย่แล้ว” 


 


 


“คุณพ่อเป็นอะไรไปครับ?” หัวใจของเขาเต้นแรง เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบลงชั้นล่างเพื่อกลับบ้านทันที 


 


 


เสียงของฉินเพ่ยหรงดังลอดมาตามสาย “เมื่อกี้พ่อเขาทะเลาะกับลูกแล้วกลายเป็นแบบนี้เลย แม่เรียกรถพยาบาลแล้ว แต่ตอนนี้รถยังมาไม่ถึงสักที ลูกรีบกลับมาเร็ว…” 


 


 


“ครับ ผมกำลังรีบไปครับ” เขาร้อนใจดั่งไฟลน รีบขับรถตะบึงตรงกลับบ้านอย่างเร่งด่วน 


 


 


เฉียวซือมู่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากคุยโทรศัพท์กับจิ้นหยวนแล้วเธอก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้งจนทำให้หรงเซียวที่เข้ามาส่งเอกสารให้เธอถึงกับตกอกตกใจยกใหญ่ “พี่มู่มู่ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” 


 


 


หรงเซียวคิดว่าเฉียวซือมู่คงจะสะเทือนใจมากจนเสียสติไปแล้ว เฉียวซือมู่มองหรงเซียวอย่างขำๆ “พี่ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นเธอเองก็หยุดพูดได้แล้ว” 


 


 


“จริงเหรอคะ?” เธอรีบปิดปากอย่างเก้อๆ แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ทำไม่พี่ดูไม่เสียใจเลยล่ะคะ?” 


 


 


เฉียวซือมู่ยิ้มให้หรงเซียว “เป็นความลับ บอกไม่ได้” 


 


 


“ก็ได้ค่ะ” หรงเซียวทำแก้มพองลมอย่างงอนๆ ในใจยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เธอดูท่าทางของเฉียวซือมู่แล้วเธอคงไม่ยอมพูดความจริงเป็นแน่ จึงวางเอกสารลงบนโต๊ะแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป 


 


 


เฉียวซือมู่เห็นท่าทางของหรงเซียวแล้วหัวเราะขำ เธอไม่อยากจะพูดเลยว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุผลมากแค่ไหน อย่างไรเสียจิ้นหยวนก็ให้สัญญากับเธอแล้ว แม้เขาจะไม่ได้บอกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรก็เถอะ 


 


 


คำพูดของจิ้นหยวนเหมือนยาวิเศษที่ทำให้จิตใจเธอสงบลง มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจมากจนมีกะจิตกะใจกลับมาทำงานเหมือนเดิม 


 


 


แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แล้วพรุ่งนี้พวกเธอยังสามารถออกเดินทางไปท่องเที่ยวที่มิลานได้ตามแผนเดิมหรือเปล่า? 


 


 


เธอคิดในใจเงียบๆ ว่ากลับถึงบ้านแล้วค่อยปรึกษาเขาอีกทีดีกว่า 


 


 


เธอใช้เวลาจัดการต้นฉบับอย่างรวดเร็วและเสร็จทันเวลาเลิกงานพอดี เธอคิดว่าวันนี้จิ้นหยวนคงไม่มีเวลามารับเธอ เธอจึงคิดจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง 


 


 


ปกติแล้วเธอมีนิสัยอ่านข่าวก่อนกลับบ้าน เพราะเธอทำงานเกี่ยวกับข่าวสารจึงให้ความสนใจเรื่องข่าวสารบ้านเมืองมากกว่าคนทั่วไปเป็นธรรมดา  


 


 


วันนี้ก็เหมือนเช่นเคย เธอยังคงเปิดหน้าเว็บไซต์ข่าวเพื่ออ่านข่าวก่อนปิดคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม แต่พอกวาดสายตาดูข่าวในนั้นแล้วเธอถึงกับตกตะลึงจนตาแทบถลน รูปของเธอกับจิ้นหยวนปรากฏตามหน้าเว็บไซต์ข่าวใหญ่ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนนี้เธอกลายเป็นคนดังไปแล้วหรือ? 


 


 


ตอนแรกเธอไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงแค่ว่าเธอถูกแอบถ่ายก็เท่านั้น แต่พอกวาดสายตาไล่อ่านไปจนถึงความคิดเห็นด้านล่าง สภาพจิตใจของเธอค่อยๆ ย่ำแย่ลง 

 

 

 


ตอนที่ 181

 

เธออ่านความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยคำพูดโหดร้ายพวกนั้นแล้วรู้สึกโมโหมาก คนพวกนั้นมีสิทธิ์อะไรมาด่าทอและสาปแช่งเธอแบบนี้? 


 


 


พวกเขาเห็นรูปถ่ายเพียงแค่ใบเดียวก็ตัดสินเธอและกล่าวหาว่าเธอเป็นเมียน้อยที่คิดจะทำลายการแต่งงานของจิ้นหยวนกับหร่วนเซียงเซียงอย่างนั้นเหรอ? จินตนาการของคนพวกนี้ทำไมถึงได้น่ากลัวมากขนาดนี้? 


 


 


เธอรู้สึกโมโหมาก เธอหายใจแรงจนอกกระเพื่อมขึ้นลง เธอกวาดสายตาอ่านข้อความ “เมียน้อยสมควรไปตายซะ” “คนที่คิดจะทำลายครอบครัวของคนอื่นสมควรถูกรถชนตาย” ที่โหดร้ายพวกนั้นแล้วรู้สึกอัดอั้นจนอกแทบระเบิด และรู้สึกทรมานมากจนแทบทนไม่ไหว 


 


 


ในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวจนต้องปิดคอมพิวเตอร์เสีย เพราะเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ความคิดเห็นพวกนั้นเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีคนเสนอให้เปิดโปงเธอ และยังเขียนว่า “เมียน้อยสมควรถูกฆ่าทิ้ง” ราวกับตัวเองเก่งกว่าผู้พิพากษาเสียอีก 


 


 


ขืนเธอยังอ่านความคิดเห็นเลวร้ายพวกนั้นต่อเธอคงต้องบ้าตายแน่ๆ เธอจึงตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์เสียเลย เพราะไหนๆ เธอก็ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว 


 


 


เธอคิดๆ แล้วโทรศัพท์หาจิ้นหยวนอีกครั้งแต่กลับไม่มีคนรับสาย 


 


 


เกิดอะไรขึ้น? เธอมุ่นหัวคิ้วสงสัยเล็กน้อยแล้วกดโทรออกอีกครั้ง แต่ยังคงไม่มีคนรับสายเหมือนเดิม 


 


 


สีหน้าของเธอเคร่งเครียดขึ้น เธอเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วนั่งแท็กซี่กลับบ้านทันที 


 


 


ปกติจิ้นหยวนเก็บโทรศัพท์ไว้กับตัวตลอด หากเขาไม่รับสายแปลว่าต้องเกิดปัญหาอะไรขึ้นอย่างแน่นอน 


 


 


เธอคิดในใจอยู่เงียบๆ 


 


 


จิ้นหยวนวิ่งพุ่งเข้าไปในบ้าน เขามองคนรับใช้ในบ้านที่ไม่มีท่าทีลนลานแวบหนึ่ง จากนั้นสาวเท้าวิ่งขึ้นบันไดเพื่อมุ่งไปยังห้องนอนของคุณพ่อคุณแม่ทันที 


 


 


ประตูห้องนอนปิดอยู่ แต่มีเสียงพูดคุยเบาๆ ดังเล็ดลอดออกมานอกห้องเป็นห้วงๆ เขาร้อนใจมากจึงเปิดประตูที่ไม่ได้ลงกลอนออก ภาพที่เขาเห็นคือคุณแม่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ในมือถือแก้วน้ำและขวดยาเอาไว้เพื่อป้อนคุณพ่อ ส่วนคุณพ่อกำลังนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียงนอน สีหน้าดูย่ำแย่มาก 


 


 


ทั้งสองได้ยินเสียงเปิดประตูจึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองพร้อมกัน ฉินเพ่ยหรงยิ้มโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก “อาหยวนกลับมาแล้วเหรอลูก” เอ่ยพลางลุกขึ้นยืน 


 


 


ฉินเฮ่าหน้าเข้ม เขาชำเลืองมองหน้าจิ้นหยวนแวบหนึ่งแล้วทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นเบือนหน้าไปอีกทางราวไม่อยากจะเห็นหน้าลูกชายคนเดียวของตัวเอง 


 


 


ฉินเพ่ยหรงเอ่ยขึ้นด้วยความเหนื่อยใจ “คุณคะ…” 


 


 


เมื่อเห็นว่าจิ้นเฮ่ายังคงนิ่งเงียบจึงได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความระอาใจ เธอหันไปเอ่ยกับจิ้นหยวนแทน “เดี๋ยวนี้พ่อของลูกยิ่งแก่ก็ยิ่งหัวรั้น เฮ้อ…” 


 


 


จิ้นหยวนสีหน้าเคร่งขรึม เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนแล้วสำรวจสีหน้าของจิ้นเฮ่าอย่างละเอียด จากนั้นเอ่ยถามฉินเพ่ยหรง “คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง? แล้วทำไมถึงไม่พาไปโรงพยาบาลล่ะครับ?” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงตอบหน้าเครียด “ให้ตายยังไงเขาก็ไม่ยอมไปนะสิ เอาแต่อาละวาดจนแม่จะเป็นบ้าอยู่แล้ว” 


 


 


จิ้นหยวนมองใบหน้าของฉินเพ่ยหรงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความเหนื่อยหน่าย เห็นได้ชัดว่าคุณพ่อคงทำให้คุณแม่โมโหไม่น้อย เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวผมทำเอง คุณแม่ไปพักผ่อนเถอะครับ” 


 


 


เธอลังเลเล็กน้อยแล้วมองหน้าลูกชาย “ถ้าแม่ออกไป ลูกกับพ่อต้องทะเลาะกันอีกแน่ๆ” 


 


 


เธอรู้นิสัยของชายสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งสองต่างเป็นคนหัวรั้น ยึดมั่นถือมั่นเหมือนกันไม่มีผิด ถ้าเป็นเวลาปกติยังพอว่า แต่พอมีเรื่องกันขึ้นมาทีไรเป็นต้องปวดเศียรเวียนเกล้าทุกที 


 


 


จิ้นหยวนส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วรับแก้วน้ำและขวดยามาจากเธอ “ไม่หรอกครับ ผมไม่ทะเลาะกับคุณพ่อหรอก สุขภาพคุณพ่อไม่ดี ผมรู้ว่าต้องทำตัวยังไง” 


 


 


“ก็ได้ ถ้างั้นยานี้กินสามเม็ด ส่วนยานี้กินสองเม็ด แล้วก็…” เธออธิบายว่ายาแต่ละตัวต้องกินอย่างไรจนจบ จิ้นหยวนมองขวดยาในมือแล้วความกรุ่นโกรธพลันมลายหายไปไม่น้อย เขามองฉินเพ่ยหรงแล้วเอ่ย “ครับ คุณแม่วางใจเถอะครับ” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงยอมออกจากห้อง จิ้นหยวนเห็นเธอปิดประตูแล้วจึงหันกลับไปมองจิ้นเฮ่า จิ้นเฮ่านอนหลับตา จิ้นหยวนเห็นท่าทางของจิ้นเฮ่าแล้วไม่แน่ใจว่าคุณพ่ออยากจะคุยกับตัวเองหรือเปล่า เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่ได้เร่งให้จิ้นเฮ่าทานยาทันที เขาวางขวดยาลงบนโต๊ะหัวเตียงแล้วย่อกายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอน 


 


 


หนังตาของจิ้นเฮ่ากระตุก เห็นได้ชัดว่าเขารู้ทุกการเคลื่อนไหวของจิ้นหยวน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร  


 


 


จิ้นหยวนมองจิ้นเฮ่าแวบหนึ่ง “คุณพ่อ ตื่นมากินยาได้แล้วครับ” 


 


 


จิ้นเฮ่าทำเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูก “แกทำฉันโมโหแทบตาย ยังจะกินยาไปทำไมอีก” 


 


 


จิ้นหยวนพอจะเดาคำตอบของจิ้นเฮ่าออก เขาจึงไม่แปลกใจสักนิดที่จิ้นเฮ่าพูดแบบนั้น “ทำยังไงคุณพ่อถึงจะยอมกินยาครับ?” 


 


 


จิ้นเฮ่าลืมตาทันที ชายชราอายุหกสิบแต่ดวงตายังคงใสกระจ่าง ทำให้รู้ว่าจิ้นเฮ่าในวัยหนุ่มนั้นสุขภาพแข็งแรงมากแค่ไหน “ง่ายมาก แกก็แค่ยอมรับเซียงเซียงเป็นเมีย แล้วโรคของฉันก็จะหายเอง” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” จิ้นหยวนปฏิเสธทันควันโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว 


 


 


จิ้นเฮ่าไม่คิดว่าท่าทีของจิ้นหยวนจะแข็งกร้าวมากขนาดนี้ เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ หายใจหอบกระชั้นถี่ “แกมันลูกอกตัญญู ฉันเลี้ยงแกมาจนโตป่านนี้ เรื่องแค่นี้แกก็ทำให้ไม่ได้ รู้อย่างนี้ฉัน… แค่กๆ …” อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านจนทำให้ไอค่อกแค่ก จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้วพลางยื่นมือตบหลังเขาเบาๆ 


 


 


เขาแค่อยากจะแสดงจุดยืนของตัวเองให้คุณพ่อรู้ก็เท่านั้น ไม่เคยคิดอยากจะทำให้คุณพ่อโมโหสักหน่อย 


 


 


จิ้นเฮ่าหยุดไอแล้ว เขาหอบหายใจถี่พลางมองดูจิ้นหยวน แม้ลูกชายจะเป็นห่วงสุขภาพของเขามาก แต่สีหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังสิ่งที่เขาพูด เขาคิดอะไรบางอย่างแล้วถอนหายใจหนักๆ จากนั้นเอ่ยเสียงอ่อนลง “อาหยวน ไหนบอกมาซิว่าเซียงเซียงไม่ดีตรงไหนแกถึงไม่พอใจมากขนาดนี้? เซียงเซียงทั้งสวยทั้งอ่อนโยนทั้งเอาใจเก่ง ชาติกำเนิดก็ดี ฐานะก็ไม่ลว เหมาะสมกับครอบครัวเรามาก คุณสมบัติดีมากขนาดนี้ยังจะไปหาที่ไหนได้อีก? ทำไมแกถึงไม่ชอบเขา?” 


 


 


จิ้นหยวนสีหน้าเรียบเฉย ไร้ปฏิกิริยาใดๆ ต่อคำพูดของจิ้นเฮ่า “คุณพ่อเห็นว่าเธอดี แต่ในสายตาของผมเธอไม่มีอะไรดีสักอย่าง” 


 


 


จิ้นหยวนเป็นห่วงสุขภาพของจิ้นเฮ่าจึงไม่กล้าพูดตรงเกินไป จิ้นเฮ่าได้ยินแล้วไอค่อกแค่กอีก เขาเอ่ยอย่างมีน้ำโห “เซียงเซียงดีกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นร้อยเท่า ทำไมแกถึงเห็นผู้หญิงตัวเปล่าคนนั้นดีกว่า? ทำไมแกถึงได้ตาต่ำแบบนี้?” 


 


 


แววตาของจิ้นหยวนไหววูบ “คุณพ่อรู้เรื่องเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” 


 


 


จิ้นเฮ่าชะงักเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแสดงพิรุธออกมาแวบหนึ่ง “ถ้าแกไม่อยากให้คนอื่นรู้ก็อย่าทำสิ แกคิดว่าจะปิดไม่ให้ฉันรู้เรื่องนี้ได้ตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ? ฉันขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะ นอกจากฉันจะตายไปซะก่อน ไม่อย่างนั้น ลูกสะใภ้ของฉันต้องเป็นเซียงเซียงคนเดียวเท่านั้น แกเองก็รีบไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปจากชีวิตได้แล้ว” 


 


 


จิ้นหยวนสีหน้าเย็นเยียบ เขาเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่มีทาง” 


 


 


“นี่แก!” จิ้นเฮ่าได้ยินคำปฏิเสธแข็งกร้าวของจิ้นหยวนแล้วโกรธจนหายใจแทบไม่ออก จิ้นหยวนเห็นท่าทางของจิ้นเฮ่าแล้วตกใจกลัวเล็กน้อยจนไม่กล้าขัดจิ้นเฮ่าอีก ได้แต่ปล่อยให้จิ้นเฮ่าพูดไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองได้แต่นิ่งเงียบ 


 


 


ตอนแรกจิ้นเฮ่าคิดว่าจิ้นหยวนคงยอมฟังเขาแล้ว แต่พอตัวเองพูดยืดยาวจนจบถึงสังเกตเห็นสีหน้าของจิ้นหยวน เขารู้ทันทีว่าจิ้นหยวนเพียงแค่นั่งฟังอย่างขอไปที เขาโมโหจนตบเตียง “นี่แกได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่า?” 

 

 

 


ตอนที่ 182

 

จิ้นหยวนเม้มริมฝีปากแน่นแล้วฝืนใจเอ่ยตอบ “ได้ยินแล้วครับ” 


 


 


จิ้นเฮ่ารู้สึกสบายใจขึ้น “ฉันเป็นพ่อแก ฉันไม่มีวันทำร้ายแกเด็ดขาด เด็กดี เซียงเซียงต้องเป็นเมียที่ดีและเป็นแม่ที่ดีด้วย” 


 


 


จิ้นหยวนได้ยินแล้วยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม เขาหยิบขวดยาขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงเบา “กินยาก่อนแล้วค่อยคุยนะครับ” 


 


 


จิ้นเฮ่าตวัดสายตามองเขาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขากำลังทำอย่างขอไปทีอีกแล้ว “ไม่เอา ถ้าแกไม่รับปากฉันก็จะไม่กินยา แล้วแกก็ไม่ต้องคิดจะส่งฉันไปโรงพยาบาลด้วย เพราะฉันจะไม่ไปเด็ดขาด” 


 


 


จิ้นหยวนรู้สึกเหนื่อยใจมาก “คุณพ่อใช้สุขภาพของตัวเองมาข่มขู่ผมแบบนี้มันคุ้มกันเหรอครับ?” 


 


 


เขาชักจะเริ่มสงสัยแล้วสิว่าหร่วนเซียงเซียงให้คุณพ่อของเขากินยาเสน่ห์หรือเปล่า คุณพ่อของเขาถึงได้ดึงดันมากขนาดนี้ ไม่ใช่สิ ถ้ามียาเสน่ห์จริง เธอคงให้เขากินไปนานแล้ว 


 


 


จิ้นเฮ่ากัดฟันกรอด “แกจะรับปากหรือไม่รับปาก” 


 


 


จิ้นหยวนมองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าคุณพ่อไม่กินยาแล้วเกิดตายขึ้นมาจริงๆ วันรุ่งขึ้นผมจะแต่งงานกับเฉียวซือมู่ทันที” 


 


 


“แก! ดี ดีมาก” จิ้นเฮ่าโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาจ้องจิ้นหยวนด้วยความผิดหวัง แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนพูดข่มขู่แบบนี้เอง เขาจึงต้องกลืนยาลงคอแต่โดยดี 


 


 


จิ้นหยวนจัดแจงให้เขาดื่มน้ำตามจนหมด จากนั้นถือแก้วน้ำเปล่าแล้วลุกขึ้นยืน “คุณพ่อพักผ่อนให้มากๆ นะครับ มีอะไรเรียกผมก็แล้วกัน” 


 


 


“เดี๋ยวก่อน” จิ้นเฮ่ายังคงไม่ละความพยายาม 


 


 


จิ้นหยวนที่กำลังก้าวเดินออกจากห้องชะงักฝีเท้าเล็กน้อยแล้วก้าวเดินต่อราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกของจิ้นเฮ่า เขาก้าวเท้าเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมแล้วเปิดประตูออกจากห้องไป 


 


 


เสี้ยววินาทีที่เขาปิดประตูลง ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินเสียงดังกังวานดังออกมาจากข้างในห้อง ราวกับอะไรบางอย่างตกแตกลงบนพื้น 


 


 


เขาเอ่ยสีหน้าเรียบเฉยกับคนรับใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง “แจกันที่อยู่ในห้องน่าจะตกแตก เข้าไปเก็บกวาดให้เรียบร้อยด้วย” 


 


 


คนรับใช้รีบรับคำแล้วเปิดประตูเข้าไปจัดการตามคำสั่งทันที 


 


 


เขายืนอยู่นอกห้องอย่างใจเย็น เมื่อเห็นว่าข้างในห้องน่าจะไม่มีเรื่องอะไรน่าเป็นห่วงแล้วจึงเดินลงบันไดไปที่ชั้นล่าง ที่ชั้นล่าง ฉินเพ่ยหรงกำลังคุยอยู่กับพ่อบ้านพอดี 


 


 


 เสียงฝีเท้าของเขาทำให้ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงนั้นพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าจิ้นหยวนเดินลงบันไดมาฉินเพ่ยหรงจึงส่งยิ้มอบอุ่นให้พลางกวักมือเรียกเขา “อาหยวน มานี่สิ” 


 


 


จิ้นหยวนเดินเข้าไปหาเธอ “คุณแม่” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงถอนหายใจ เธอตบมือเบาๆ ลงบนโซฟาข้างๆ แล้วเอ่ยกับพ่อบ้าน “ไปทำตามนั้นเถอะ” 


 


 


พ่อบ้านผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินออกไป 


 


 


จิ้นหยวนมองเธอ “เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อเหรอครับ?” 


 


 


หลังจากออกจากโรงพยาบาลรอบที่แล้วอาการของจิ้นเฮ่าดีขึ้นมาก คุณหมอบอกว่าตราบใดที่ไม่มีเรื่องอะไรมากระตุ้นอาการของเขา เขาก็จะไม่เป็นอะไร แต่นี่มันเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งเดือนเองนะ ทำไมอาการถึงกำเริบขึ้นมาอีก 


 


 


ฉินเพ่ยหรงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็เพราะเรื่องของลูกนั่นแหละ เฮ้อ” 


 


 


จิ้นหยวนชักหัวคิ้วชนกันแน่น “ผมโตขนาดนี้แล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ควรจะเชื่อการตัดสินใจของผมสิครับ” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงส่ายศีรษะน้อยๆ “แม่เชื่อลูก แต่ไม่รู้ว่าพ่อเขาเป็นอะไรไปถึงได้ชอบแต่หร่วนเซียงเซียงคนเดียว แม่พูดจนปากเปียกปากแฉะแล้วแต่พ่อเขาก็ไม่ฟังอะไรเลย จนแม่หมดหนทางแล้วนะ…” 


 


 


ทั้งหมดนี้เป็นความจริงจากใจเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจิ้นเฮ่าดีมากมาโดยตลอด แต่พอเกิดเรื่องหร่วนเซียงเซียงขึ้น จิ้นเฮ่าเองก็เริ่มไม่พอใจเธอ เมื่อวานยังหาเรื่องทะเลาะกับเธอยกใหญ่จนทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยถาม “เธอมาเยี่ยมคุณพ่อบ่อยๆ เหรอครับ?” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงพยักหน้า “สองสามวันมาที มาทีก็ยิ้มหน้าระรื่นหอบหิ้วของฝากมาด้วยเยอะแยะ แม่เองก็ไม่สะดวกออกปากไล่ เพราะเดี๋ยวจะเสียน้ำใจกันเปล่าๆ” 


 


 


จิ้นหยวนตัดสินใจทันทีว่าเขาจะต้องหาเวลาคุยกับหร่วนเซียงเซียงเสียแล้ว จากนั้นค่อยคิดหาวิธีพาเฉียวซือมู่มาพบคุณพ่อ เขาเชื่อว่าถ้าคุณพ่อมีเวลาทำความรู้จักกับเธอ คุณพ่อจะต้องยอมรับในตัวเธอแน่ เพราะสาวน้อยของเขาเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก 


 


 


แต่ฉินเพ่ยหรงกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เธอสังเกตสีหน้าของจิ้นหยวนอย่างระแวดระวังแล้วเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ “ลูกจะคบกับผู้หญิงคนนั้นให้ได้เลยใช่ไหม? นอกจากเธอแล้วลูกจะไม่มองคนอื่นอีกเลยเหรอ?” 


 


 


จิ้นหยวนมองเธอด้วยความไม่เข้าใจ “คุณแม่เคยเจอเธอแล้วไม่ใช่เหรอครับ? คุณแม่ยังพูดอยู่เลยว่าเธอดีใช้ได้เลย” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ เธอดีใช้ได้ แต่ตอนนี้สุขภาพของพ่อกำลังแย่ ท่าทางพ่อเขาคงไม่ยอมรามือง่ายๆ แน่ หรือว่าลูกจะอดทนไปก่อน? รอให้เกลี้ยกล่อมพ่อให้ได้ก่อนดีกว่าไหม?” 


 


 


จิ้นหยวนรีบส่ายศีรษะปฏิเสธทันที “ไม่ได้ครับ ผมจะเกลี้ยกล่อมคุณพ่อเอง” 


 


 


“แต่ว่า…” ฉินเพ่ยหรงนิ่วหน้า “ลูกคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมสำเร็จหรือเปล่า?” 


 


 


“ต้องมีวิธีสิครับ” จิ้นหยวนตอบอย่างมั่นใจ 


 


 


“หวังว่านะ” ฉินเพ่ยหรงกลับไม่เห็นความหวังสักเท่าไหร่ แต่เธอตามใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาตลอด ในเมื่อเขายืนกรานเช่นนี้ เธอเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก 


 


 


เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นใหม่ “คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว ลูกนอนที่นี่ดีกว่านะ” เธอดูอ่อนเพลียมาก ช่วงนี้ฉินเฮ่าทะเลาะกับจิ้นหยวนจนสุขภาพทรุดลงอีก เธอต้องคอยดูแลปรนนิบัติเขาจนร่างกายอ่อนล้าไปหมด 


 


 


จิ้นหยวนเห็นสภาพอิดโรยของเธอแล้วอยากจะปฏิเสธแต่ก็พูดไม่ออก เขาได้แต่ผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ครับ คืนนี้ผมจะนอนที่นี่” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงยิ้มดีใจ “เดี๋ยวแม่ให้คนไปเตรียมห้องให้ลูกนะ” 


 


 


จิ้นหยวนยิ้มพลางพยักหน้าเล็กน้อย ฉินเพ่ยหรงยิ้มแล้วเดินขึ้นบันไดไป 


 


 


จิ้นหยวนเห็นฉินเพ่ยหรงเดินขึ้นบันไดไปแล้วจึงรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ เขากะจะโทรศัพท์หาเฉียวซือมู่เสียหน่อย แต่เขากลับเจอแต่ความว่างเปล่า เขาชะงักเล็กน้อย เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเร่งร้อนออกจากออฟฟิศจนลืมโทรศัพท์มือถือทิ้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงาน 


 


 


เขาเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้ติดต่อเธอครึ่งวันแล้ว ไม่รู้ว่าเธอเห็นข่าวในอินเทอร์เน็ตหรือยัง ถ้าเห็นแล้วตอนนี้เธอคงกำลังทุกข์ใจอยู่เป็นแน่ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องการให้เขาอยู่ใกล้เธอและเป็นกำลังใจให้เธอมากที่สุด 


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองโทรศัพท์ในบ้าน ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปยกหูโทรศัพท์ ทันใดนั้นเสียงกริ่งประตูดังแทรกขึ้นพอดี พ่อบ้านไปเปิดประตูแล้วเชิญแขกผู้มาเยือนเข้ามาในบ้าน 


 


 


จิ้นหยวนมุ่นหัวคิ้วที่เห็นหร่วนเซียงเซียงเดินเข้ามาในบ้าน เขายังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา 


 


 


หร่วนเซียงเซียงตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขาอยู่บ้าน แต่เธอก็แอบดีใจมากเช่นกัน เธอเอ่ยเรียกเขา “พี่จิ้นหยวน…” จิ้นหยวนชายตามองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง 


 


 


เธอใจสั่นเล็กน้อย รีบกลืนคำพูดที่เหลือลงคอทันที 


 


 


เขาอยากจะไล่หร่วนเซียงเซียงที่โผล่มากะทันหันให้กลับไปซะ แต่พอมาคิดๆ ดูอีกที นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้คุยกับเธอให้รู้เรื่อง 


 


 


“ตามฉันมา ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย” เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำไปยังห้องหนังสือ 


 


 


เธอไม่เข้าใจนัก แต่ในใจรู้สึกลิงโลดเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเขาจะคุยอะไรกับตัวเองกันนะ? 


 


 


จิ้นหยวนมองดูท่าทางของเธอ รอจนเธอเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลง เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างแล้วเอ่ยถาม “เธอเป็นคนปล่อยข่าวในอินเทอร์เน็ตใช่ไหม?”  

 

 


ตอนที่ 183 ไม่เข้าใจ

 

หร่วนเซียงเซียงไม่คิดเลยว่าจิ้นหยวนจะถามเธอแบบนี้ เธอตกใจและส่ายศีรษะระรัว “ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้เป็นคนทำ พี่จิ้นหยวนอย่าใส่ร้ายฉันแบบนี้สิคะ…” 


 


 


จิ้นหยวนสังเกตสีหน้าของเธออย่างละเอียดราวกำลังจับผิดว่าเธอพูดจริงหรือไม่ หร่วนเซียงเซียงหัวใจเต้นโครมคราม พยายามทำตัวให้ผ่อนคลายมากที่สุด เธอแสร้งปั้นหน้าน่าสงสาร “พี่จิ้นหยวน ฉันไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยนะคะ ที่ผ่านมาฉันแค่มาอยู่เป็นเพื่อนคุณลุงเท่านั้น ได้พูดอะไรเลยจริงๆ นะคะ” 


 


 


จิ้นหยวนมองเธออย่างจับสังเกตแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ ฉันเชื่อเธอ” 


 


 


เธอยิ้มดีใจ แต่จิ้นหยวนไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดอีก เขาเอ่ยตัดความหวังเธอทันที “ต่อไปเธอไม่ต้องมาที่บ้านฉันอีก บ้านฉันไม่ต้อนรับเธอ” 


 


 


เธอหน้าถอดสีทันที ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะหักหน้าเธอดื้อๆ แบบนี้ ใบหน้าเธอแดงก่ำ เธอจ้องเขาแล้วเอ่ยถามเสียงสั่น “ทำไมคะ ทั้งๆ ที่คุณลุงชอบฉันมาก…” 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยตัดบทอย่างรำคาญใจ “แต่ฉันไม่ได้ชอบเธอ ตอนนี้มีโอกาสที่อาการของพ่อฉันจะกำเริบอีก ฉันจะกลับมาดูแลท่านเอง เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอไม่ต้องมาที่นี่อีก” 


 


 


เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าคำพูดทำร้ายจิตใจพวกนั้นไม่ได้ออกมาจากปากของเขาเอง    หร่วนเซียงเซียงน้ำตาคลอเบ้า ท่าทางน่าสงสาร เธอร้องออกมาเสียงดังว่า “พี่จิ้นหยวน” แล้วพูดไม่ออกอีก 


 


 


ใครมาเห็นสภาพเธอในตอนนี้ก็ต้องรู้สึกสงสารและเห็นใจเธอ แต่จิ้นหยวนกลับเฉยชามาก เขากวาดสายตามองเธออย่างเยียบเย็น “ถ้าร้องไห้จนพอใจแล้วก็กลับไปซะ!” 


 


 


เขาไม่ปิดบังความชิงชังที่มีต่อเธออีกต่อไป เขาไม่เคยเชื่อคำพูดของเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าแค่มาอยู่เป็นเพื่อนจิ้นเฮ่าเฉยๆ โดยที่ไม่เคยพูดอะไรเลย เขาไม่เชื่อหรอกว่าอยู่ดีๆ จิ้นเฮ่าจะไม่ชอบหน้าเฉียวซือมู่โดยไม่มีสาเหตุ หร่วนเซียงเซียงจะต้องพูดอะไรกับจิ้นเฮ่าแน่ๆ 


 


 


เขาถึงขั้นสงสัยว่าที่รูปถ่ายของเขากับเฉียวซือมู่กลายเป็นข่าวใหญ่ครึกโครมขนาดนั้น ตระกูลหร่วนจะต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยแน่ 


 


 


เพราะฉะนั้น เขาถึงได้เกลียดที่เห็นเธอเล่นละครตบตาไม่เลิก 


 


 


เขาเอ่ยจบแล้ว และเขาไม่อยากให้เธออยู่ที่นี่นานกว่านี้แม้แต่วินาทีเดียว เขาหมุนตัวเดินออกจากห้องแล้วสั่งกับพ่อบ้าน “เดี๋ยวออกไปส่งคุณหร่วนด้วย” 


 


 


พ่อบ้านตอบรับเสียงเบาด้วยสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


หร่วนเซียงเซียงยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวในห้องหนังสือ เธอรู้สึกอับอายขายหน้ามาก เธอไม่เคยถูกคนอื่นขับไล่ไสส่งแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทำกับเธอแบบนี้ และเธอจะจำมันไว้! 


 


 


สีหน้าของเธอดูโหดเ**้ยม เธอยิ้มเย็นแล้วพูดกับตัวเอง “จิ้นหยวน คิดว่าจะไล่ฉันได้เหรอ? ฝันไปเถอะ” 


 


 


เธอหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับความแค้น สักวันเธอจะต้องเอาคืนให้สาสม โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ชื่อเฉียวซือมู่คนนั้น 


 


 


เฉียวซือมู่กลับถึงบ้านแล้ว เธอถามพ่อบ้านเฉินแล้วได้คำตอบว่าเขายังไม่กลับบ้าน เธอโทรศัพท์หาเขาอีกครั้งแต่ยังคงไม่มีคนรับสายเหมือนเดิม เธอนิ่วหน้าด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่? ทำไมถึงติดต่อเขาไม่ได้สักที? 


 


 


เธอครุ่นคิดเล็กน้อย เพิ่งขึ้นขึ้นได้ว่าเธอควรจะโทรหาหลินจื้อเฉิงที่มักจะอยู่กับจิ้นหยวนบ่อยๆ แต่เธอต้องชะงักเล็กน้อยเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเขา 


 


 


ที่ผ่านมาเธอมีแต่จิ้นหยวนคนเดียว ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ติดต่อเขาไม่ได้แบบนี้ เธอจึงไม่เคยคิดที่จะติดต่อคนรอบข้างของเขาเลยสักครั้ง 


 


 


เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเสียใจที่ตัวเองชะล่าใจแบบนี้ เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหันไปถามพ่อบ้านเฉิน “คุณมีเบอร์โทรศัพท์ของคุณหลินหรือเปล่าคะ?” 


 


 


พ่อบ้านเฉินชะงักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ไม่มีครับ” 


 


 


เธอโยนโทรศัพท์มือถือไปอีกทางด้วยความผิดหวัง “ช่างมันเถอะ” 


 


 


ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงต้องเราเขาอย่างเดียว จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องกลับมา 


 


 


ถึงจะบอกกับตัวเองอย่างนั้นก็เถอะ แต่สภาพจิตใจของเธอก็ได้รับผลกระทบอยู่ดี ถึงแม้แม่ครัวจะเสิร์ฟอาหารเย็นแสนอร่อยเต็มโต๊ะ แต่เธอกลับไม่มีอารมณ์กินเลยสักนิด เธอกินข้าวแค่ครึ่งถ้วยและคีบผักกินไปอีกสองคำพอเป็นพิธีเท่านั้น 


 


 


พ่อบ้านเฉินพยายามพูดปลอบใจเธอ “คุณเฉียว คุณชายงานยุ่งมาก บางทีเขาอาจจะแค่ลืมโทรศัพท์มือถือ คุณอย่างเป็นกังวลไปเลยนะครับ” 


 


 


เขาคิดเพียงแค่ว่าเธอแค่เป็นห่วงจิ้นหยวนเฉยๆ เท่านั้น เพราะเขายังไม่รู้ว่าในโลกอินเทอร์เน็ตด่าว่าเธอเป็นผู้หญิงรักสบาย เป็นผู้หญิงไร้ศักดิ์ศรีที่ยอมพลีกายเพื่อเงินทอง  


 


 


เฉียวซือมู่ขยับปากอยากจะอธิบาย แต่ตอนนี้เธอหมดอารมณ์แล้วจึงได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ “ฉันกลับห้องก่อนนะคะ ถ้าเขากลับมาก็รบกวนมาบอกฉันด้วยนะคะ” 


 


 


“ได้ครับ” 


 


 


เธอลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นบันไดไป พอปิดประตูลงพลันรู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดเหือดหายไปหมดจนต้องนอนแผ่หราแน่นิ่งอยู่บนเตียงกว้าง 


 


 


วันนี้เธอเจอเรื่องหนักหนาสาหัสมาเยอะมากจนรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งกายใจ ตอนนี้เธอรู้เพียงแค่ว่าร่างกายเมื่อยล้าไปหมด เธอรู้ตัวดีว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเธอเครียดมากเกินไป 


 


 


เธอนอนแผ่หราอยู่บนเตียงสักพักกว่าจะลากสังขารตัวเองให้ลุกไปเข้าห้องน้ำได้ เธอรีบอาบน้ำอุ่นอย่างรวดเร็ว เธออาบน้ำเสร็จแล้วแต่จิ้นหยวนยังไม่กลับมาเสียที เธอใช้ความคิดชั่วครู่แล้วหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คออกมา พยายามจะติดต่อจิ้นหยวนผ่านอินเทอร์เน็ต 


 


 


ปรากฏว่าเธอส่งข้อความให้เขาแล้วแต่ไร้การตอบกลับใดๆ จากเขาเหมือนเดิม เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเปิดเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ข่าว เธอกวาดสายตาดูพาดหัวข่าวแล้วถึงกับชะงักนิ่งอึ้งไปทันที 


 


 


ข่าวของเธอกับจิ้นหยวนที่เคยเป็นประเด็นร้อนตามหน้าเว็บไซต์ข่าวชื่อดังอันตรธานหายไปในอากาศจนหมด ไม่เพียงแค่รูปถ่ายเท่านั้นที่หายไป แม้แต่ความคิดเห็นเลวร้ายพวกนั้นก็หายไปด้วย เธอดีใจมาก รู้ว่าต้องเป็นฝีมือของลูกน้องของจิ้นหยวนเป็นแน่ 


 


 


ปกติแล้วข่าวซุบซิบนินทาชาวบ้านเป็นข่าวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องอินเทอร์เน็ต อย่างข่าวภรรยาของดาราชื่อดังที่นอกใจจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลฟ้องหย่ากันก็เป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง และกลายเป็นเรื่องสนุกปากของทุกคนในโลกอินเทอร์เน็ต นี่เป็นสันดานของมนุษย์ เพราะฉะนั้น จู่ๆ ข่าวของเธอก็หายไปกลางอากาศแบบนี้ ให้ตายเธอก็ไม่เชื่อหรอกว่าไม่ใช่ฝีมือลูกน้องของจิ้นหยวน   


 


 


เธอยังสังเกตเห็นด้วยว่าข่าวที่จิ้นเฮ่าประกาศงานหมั้นกลางงานเปิดตัวห้างสรรพสินค้าก็หายไปด้วยเหมือนกัน ดูท่าทางแล้วจิ้นหยวนเองก็ไม่เห็นด้วยความสิ่งที่จิ้นเฮ่าทำ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วมุมปากของเธอก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว พลันรู้สึกอิ่มใจเป็นอย่างมาก 


 


 


ในเมื่อเขาลงมือแล้ว แล้วทำไมจนป่านนี้แล้วเขายังไม่กลับบ้านอีก? เธออยากจะแบ่งปันความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้กับเขามากเหลือเกิน 


 


 


เธอเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงใหญ่พักใหญ่ อุณหภูมิในห้องนอนค่อยๆ เย็นลง เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา นี่มันเลยเวลาที่เขาต้องกลับบ้านตั้งนานแล้วนะ 


 


 


เธอครุ่นคิดไปมา ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันนะที่สามารถยื้อตัวเขาเอาไว้ได้นานขนาดนี้ 


 


 


เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิดๆ หนังตาของเธอค่อยๆ หนักอึ้งจนแทบจะปิดแล้ว เธอพยายามฝืนไม่ให้หลับอยู่ตั้งหลายครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความง่วงที่โจมตีเธออย่างหนัก เธอกอดผ้าห่มไว้แน่นแล้วค่อยๆ จมดิ่งสู่ห้วงนิทรา 


 


 


เช้าวันรุ่งขึ้นเธอยื่นมือลูบคลำที่นอนข้างตัวด้วยความเคยชินทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา แต่กลับพบเพียงความเย็นอันว่างเปล่า เธอชะงักนิ่งอึ้ง พลันความหนาวเหน็บแผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจ เมื่อคืนเขาไม่ได้กลับบ้าน 


 


 


เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแต่กลับไม่มีเบอร์โทรที่ไม่ได้รับสาย เธอยันกายลุกขึ้นนั่ง อารมณ์เธอหดหู่เหมือนสภาพอากาศข้างนอกไม่มีผิด สภาพอากาศที่มืดครึ้มและอาจจะเกิดฟ้าแลบฟ้าผ่าได้ตลอดเวลา 


 


 


นับตั้งแต่วันที่เธอรู้จักเขาจนกระทั่งถึงตอนนี้ นอกจากช่วงเวลานั้นที่เธอทะเลาะกับเขาแล้ว เขาไม่เคยค้างคืนนอกบ้านเลย แต่เมื่อคืน…  

 

 


ตอนที่ 184 บีบบังคับ

 

หรือเขาจะติดธุระสำคัญ? เธอไม่อยากคิดกับจิ้นหยวนในทางร้ายจึงพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่ในใจเธอรู้ดีว่าการทำแบบนี้เป็นการหลอกตัวเองเท่านั้น 


 


 


ถ้าเขาติดธุระจริง อย่างน้อยเขาก็ต้องโทรศัพท์มาบอกเธอสักคำ ไม่ใช่หายตัวไปเฉยๆ แบบนี้ 


 


 


เธอกลัดกลุ้มอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ 


 


 


เธอค่อยๆ ลุกออกจากตียง ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ใช่หรือ? 


 


 


เธอเดินลงบันไดไปชั้นล่างแล้วเห็นพ่อบ้านเฉินกำลังสั่งงานสาวใช้อยู่ เขาประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นเธอเดินลงบันไดมา เขาจึงเดินเข้าไปทักทายเธอ “อรุณสวัสดิ์ครับคุณเฉียว” 


 


 


เธอยิ้มพลางส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่เช้าแล้วค่ะ นี่ก็เกือบจะไปทำงานสายแล้ว” 


 


 


พ่อบ้านเฉินเอ่ยขึ้นด้วยความลังเลเล็กน้อย “วันนี้เป็นวันหยุดไม่ใช่เหรอครับ?” 


 


 


เธอชะงักไปชั่วครู่ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และเป็นวันที่เธอกับจิ้นหยวนนัดกันว่าจะออกไปท่องเที่ยวด้วยกัน 


 


 


สีหน้าเธอสลดลงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก “จริงสินะ ฉันลืมไปได้ยังไงว่าวันนี้เป็นวันหยุด ความจำปลาทองจริงๆ เลย” 


 


 


พ่อบ้านเฉินรีบเอ่ย “ตื่นเช้าก็ดีเหมือนกันครับ แถวนี้มีที่ดีๆ เยอะแยะเลย ถ้าเบื่อๆ ลองออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ” 


 


 


เธอยิ้มพลางส่ายศีรษะน้อยๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลมาก แล้วจะไปมีกะจิตกะใจเดินเล่นที่ไหนกัน 


 


 


พ่อบ้านเฉินเห็นสีหน้าของเธอแล้วรู้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในใจ พยายามเอ่ยปลอบใจเธอ “คุณชายอาจจะกำลังยุ่งอยู่ คุณอย่างเป็นกังวลไปเลยนะครับ” 


 


 


เธอพยักหน้าเล็กน้อย ยังคงไม่มีกะจิตกะใจจะพูดกับเขาเหมือนเดิม เธอรู้ดีว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับจิ้นหยวนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาไม่ทำแบบนี้หรอก 


 


 


หรือว่าจะออกไปถามดู? 


 


 


แต่เธอไม่รู้สถานการณ์ในครอบครัวของเขาเลย แล้วเธอจะไปสอบถามอย่างไร? 


 


 


เธอมองแผ่นหลังของพ่อบ้านเฉินที่เพิ่งเดินจากไป ไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงรู้สึกว่าเขาจะต้องรู้เรื่องในครอบครัวของจิ้นหยวนแน่ๆ เพียงแต่เขามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้บอกเธอไม่ได้ 


 


 


มันก็จริง เธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของจิ้นหยวน แต่คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดเหมือนเธอก็ได้ บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าเธออยากจะเกาะจิ้นหยวนก็ได้ สักวันก็ต้องเลิกกันอยู่ดี 


 


 


แล้วตอนนี้เธอควรจะทำอย่างไรดี? 


 


 


ผ่านเวลาไปเพียงไม่นาน ยังไม่ทันที่เธอจะหาทางออกได้ก็ได้ยินเสียงสาวใช้วิ่งเข้ามาบอกกับเธอว่า “คุณเฉียวคะ มีแขกมาขอพบค่ะ” 


 


 


“พบฉัน? ใครเหรอ?” เธอวางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คในมือลง 


 


 


ใบหน้าของสาวใช้คนนี้เต็มไปด้วยกระเม็ดเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกร่าเริงสดใสไม่น้อย เธอได้ยินคำถามแล้วส่ายศีรษะน้อยๆ “ฉันไม่รู้จักค่ะ พ่อบ้านเฉินให้ฉันมารายงานคุณตามนั้นค่ะ” 


 


 


“เหรอ?” เธอรู้สึกแปลกใจมาก เพราะเธอมีเพื่อนน้อยมาก และเป็นไม่ได้ที่เพื่อนของเธอจะมาหาเธอที่นี่ แล้วคนที่มาเป็นใครกันแน่? 


 


 


ในขณะเดียวกัน จิ้นหยวนกำลังนั่งตัวตรงอยู่ตรงหน้าห้องผ่าตัดที่ขึ้นไฟสีแดง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมาก ฉินเพ่ยหรงกำลังซบหน้าร้องไห้อยู่กับบ่าของเขาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ 


 


 


“อาหยวน แม่ขอร้องล่ะ อย่าทำให้พ่อโมโหอีกเลยนะ สุขภาพของพ่อเขาแย่มาก…” ฉินเพ่ยหรงเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาพลาง 


 


 


จิ้นหยวนกำมือแน่นแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผมทราบแล้วครับ” เขาเอ่ยช้าๆ ราวตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ต่อไปผมจะไม่ทะเลาะกับพ่ออีก” 


 


 


“จริงเหรอ?” คำตอบจริงจังของเขาทำให้เธอต้องมองหน้าเขาด้วยความคลางแคลงใจ “ลูกตัดใจทิ้งผู้หญิงคนนั้นได้จริงๆ เหรอ?” 


 


 


จิ้นหยวนตอบอย่างไร้ความรู้สึก “ต้องมีวิธีสิครับ” เอ่ยจบแล้วชำเลืองมองใบหน้าเป็นกังวลของฉินเพ่ยหรงแวบหนึ่ง “วางใจเถอะครับ ผมจะเชื่อฟังคุณพ่อทุกอย่าง” 


 


 


“ดีแล้ว” เธอโล่งอกไปเปราะหนึ่ง จากนั้นเบนสายตามองไปยังประตูห้องผ่าตัดแทนแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบา “ไม่รู้ว่าคราวนี้ร่างกายของพ่อเขาจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าเกิด…” 


 


 


สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความตึงเครียด เธอพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ทนพูดไม่ไหวอีกต่อไป จิ้นหยวนมองฉินเพ่ยหรงแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ คราวนี้คุณหมอที่ผ่าตัดเป็นหมอมือหนึ่งชื่อดังระดับโลก คุณพ่อต้องปลอดภัยอยู่แล้วครับ” 


 


 


ฉินเพ่ยหรงรู้ว่าจิ้นหยวนพูดเพื่อปลอบใจเธอ แต่มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย สถานการณ์ในตอนนี้ นอกจากรอให้จิ้นเฮ่าออกจากห้องผ่าตัดแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก ทั้งสองจึงได้แต่นั่งรออย่างเงียบๆ  


 


 


ทันใดนั้น บรรยากาศระหว่างสองแม่ลูกราวถูกแช่แข็งในบัดดล 


 


 


จิ้นหยวนกำสองมือแน่นโดยที่ฉินเพ่ยหรงมองไม่เห็น เขาไม่คิดเลยว่าคุณพ่อจะใช้วิธีนี้บีบบังคับเขา 


 


 


ย้อนเวลากลับไปเช้ามืดวันนี้ เขาถือโทรศัพท์มือถือที่ลูกน้องเพิ่งส่งมาให้ ขณะที่เขากำลังจะโทรศัพท์หาเฉียวซือมู่นั้น พลันได้ยินเสียงร้อนรนดังมาจากนอกประตูห้อง “คุณชาย นายท่านแย่แล้วครับ!” 


 


 


เขารีบรุดไปดูที่ห้องของจิ้นเฮ่าทันที จิ้นเฮ่ากำลังทุรนทุรายเพราะอาการโรคหัวใจกำเริบ เขารีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที แต่ว่าจิ้นเฮ่ากลับยอมทนเจ็บจนเหงื่อแตกพลั่ก และตั้งใจปัดโทรศัพท์มือถือของเขาหล่นพื้นจนพังยับเยิน เขาชักหัวคิ้วชนกันแน่นแล้วมองจิ้นเฮ่าด้วยความไม่เข้าใจ “คุณพ่อทำแบบนี้หมายความว่ายังไงครับ?” 


 


 


จิ้นเฮ่าจ้องเขาตาเขม็ง พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้อย่างถึงที่สุด “แกจำที่ฉันพูด…ได้ไหม? ถ้าแกไม่รับปากฉัน ฉัน… ฉัน… จะไม่ไป… ไม่ไปโรงพยาบาล แก… แก…” 


 


 


จิ้นหยวนมองดูจิ้นเฮ่าที่กำลังทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวดแล้วรู้สึกเหนื่อยใจมาก ถ้าคนอื่นมาทำท่าจะเป็นจะตายต่อหน้าเขาแบบนี้เขาคงไม่แม้แต่จะชายตาแลแล้วหันหน้าเดินหนีไปตั้งนานแล้ว แต่คนตรงหน้ากลับเป็นคุณพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองเสียนี่ และดูท่าทางแล้วอาการกำลังแย่มากด้วย เขาจึงได้แต่สะกดกลั้นความเหนื่อยใจนั้นเอาไว้แล้วเอ่ย “จะให้ทำยังไงคุณพ่อถึงจะยอมไปโรงพยาบาลครับ?” 


 


 


เขาได้ยินเสียงชุลมุนวุ่นวายดังมาจากทางตรงประตู น่าจะเป็นเสียงของคุณแม่ที่รีบร้อนวิ่งมาที่ห้องเพราะรู้เรื่องของคุณพ่อแล้ว ส่วนคุณพ่อยังคงดึงดันเหมือนเดิม “ฉันขอแค่อย่างเดียว เซียงเซียง…” 


 


 


ดวงตาของจิ้นหยวนฉายชัดว่ากำลังหนักใจมาก “คุณพ่อ คุณพ่อมีเหตุผลหน่อยได้ไหมครับ? ผมเป็นคนแต่งนะครับไม่ใช่คุณพ่อ ถ้าคุณพ่อชอบเธอมากขนาดนั้น ทำไมคุณพ่อไม่…” เขาพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ทนพูดต่อไม่ไหวเพราะเขาได้ยินคุณแม่วิ่งอย่างเร่งร้อนเข้ามาในห้องพอดี 


 


 


เขาก้าวเท้าถอยหลังพลางมองดูฉินเพ่ยหรงที่โถมกายเข้าไปหาจิ้นเฮ่า เธอเห็นอาการทุรนทุรายของจิ้นเฮ่าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ “รถพยาบาลล่ะ? ทำไมยังไม่เรียกรถพยาบาลอีก? อาหยวน ทำไมลูกใจร้ายแบบนี้? พ่อเจ็บปวดมากขนาดนี้ลูกไม่คิดจะจะดูดำดูดีเลยเหรอ?” 


 


 


เขาปิดเปลือกตาลงด้วยความเจ็บปวดแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง “เรียกแล้วครับ อีกเดี๋ยวก็ถึง” 


 


 


จิ้นเฮ่าได้ยินแล้วยังคงดื้อดึงไม่เลิก “ฉันไม่ไป ไม่ไป นอกจากแกจะรับปากฉัน…” 


 


 


เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณพ่อจะหัวรั้นมากขนาดนั้นไปเพื่ออะไร เขามองความชุลมุนวุ่นวายตรงหน้า แล้วหันไปมองคุณแม่ที่กำลังร้องไห้เพราะความกังวล ใจเขาค่อยๆ อ่อนลง 


 


 


เขาก้าวเท้าถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ได้” เขาได้ยินเสียงสงบเยือกเย็นไร้ความรู้สึกใดๆ ของตัวเองอย่างชัดเจน “ผมรับปากว่าจะแต่งงานกับหร่วนเซียงเซียง ผมจะหมั้นกับเธอ” 


 


 


จิ้นเฮ่าและฉินเพ่ยหรงที่ได้ยินคำตอบของเขาถึงกับหันไปมองเขาพร้อมกัน 

 

 

 


ตอนที่ 185 เจรจาต่อรอง

 

 


 


 


แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือ ฉินเพ่ยหรงตื่นตะลึงเพราะรู้ว่าลูกชายรักเฉียวซือมู่มาก เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะยอมถอยเร็วขนาดนี้ ส่วนจิ้นเฮ่านั้นทั้งโล่งอกทั้งปลาบปลื้มใจ 


 


 


เขาก้าวเท้าถอยหลังไปอีกหลายก้าวอย่างเงียบๆ มองหน้าจิ้นเฮ่าด้วยความเฉยชา “ผมรับปากคุณพ่อ เพราะฉะนั้น คุณพ่อรักษาตัวให้หายได้ไหมครับ?” 


 


 


“ได้” ฉินเฮ่าที่แทบจะพูดไม่ไหวพยายามฝืนพูดออกมาอย่างสุดความสามารถ 


 


 


เสียงหวอของรถพยาบาลดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้ามืดมิดไร้เดือนไร้ดาราข้างนอก ท้องฟ้าในยามนี้ดำมืดเฉกเช่นน้ำหมึกไม่มีผิด 


 


 


ไม่แตกต่างจากสภาพจิตใจของเขาในยามนี้เลย 


 


 


เขายืนมองเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่วิ่งขึ้นมาอยู่เงียบๆ พวกเขายกตัวจิ้นเฮ่าขึ้นรถเข็นอย่างรวดเร็ว จากนั้นนำตัวไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดรออยู่ ฉินเพ่ยหรงที่ลนลานจนทำอะไรไม่ถูกเดินเข้าไปหาเขาช้าๆ จิ้นหยวนก้มหน้าลงมองฉินเพ่ยหรงที่สูงเพียงแค่ไหล่ของเขา ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตา จิตใจที่แข็งดั่งหินผาและเยือกเย็นราวน้ำแข็งของเขาอ่อนยวบลงทันที เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเช็ดคราบน้ำตาให้เธออย่างเบามือ “เราไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ” 


 


 


เธอปิดเปลือกตาลงแล้วพยักหน้าเบาๆ หยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาอีก 


 


 


จิ้นหยวนดึงตัวเองกลับออกมาจากความทรงจำ เขามองดูนาฬิการที่แขวนอยู่บนฝาผนังถึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากว่า อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่างแล้ว เขาถึงรู้ตัวว่าเวลาผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว 


 


 


ฉินเพ่ยหรงและจิ้นหยวนไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ทั้งสองต่างเพ่งมองไปยังห้องผ่าตัดเป็นตาเดียว แม้พวกเขาจะมีสิทธิพิเศษในโรงพยาบาลนี้และสามารถพักผ่อนในห้องที่สะดวกสบายเพื่อรอผลการผ่าตัดก็ตาม แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้แล้ว พวกเขายินดีที่จะรออยู่ใกล้ๆ จิ้นเฮ่าให้มากที่สุดมากกว่า 


 


 


เวลาเคลื่อนผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดไฟสีแดงหน้าห้องผ่าตัดก็ดับแสงลง ฉินเพ่ยหรงรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นพลางจ้องประตูห้องผ่าตัดที่ยังปิดสนิทตาไม่กะพริบ 


 


 


ประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออก ฉินเฮ่าถูกเข็นออกมานอกห้อง ตามด้วยทีมแพทย์และพยาบาลอีกกลุ่มใหญ่ แต่ละคนสีหน้าขาวซีด สภาพอิดโรยเพราะสูญเสียพลังงานกันไปไม่ใช่น้อย 


 


 


จิ้นหยวนรีบเดินเข้าไปหาคุณหมอโรคหัวใจเฉพาะทางที่เชิญมาเป็นพิเศษ คุณหมอดึงหน้ากากอนามัยลงแล้วผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อย “คุณจิ้น การผ่าตัดประสบความสำเร็จมากครับ” 


 


 


เขาเป็นนายแพทย์มากประสบการณ์ที่รู้ดีว่าญาติคนไข้อยากได้ยินอะไรมากที่สุดเป็นอันดับแรก และเขาเห็นความวิตกกังวลในแววตาของจิ้นหยวนมลายหายไปจริงๆ จิ้นหยวนผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อยเป็นการแสดงความขอบคุณ จากนั้น เขากำชับเพิ่มเติม “แต่ว่า ร่างกายของคนไข้อ่อนแอมาก ต้องให้กำลังใจเขามากๆ อย่าทำให้อารมณ์ของคนไข้ขึ้นลงมากเกินไป พยายามทำให้คนไข้สงบจิตสงบใจให้มากที่สุดนะครับ” 


 


 


 ฉินเพ่ยหรงพยักหน้าหงึกๆ “ได้ค่ะ ได้ พวกเราจะทำตามที่คุณหมอบอกทุกอย่างเลยค่ะ” 


 


 


จิ้นหยวนนิ่งเงียบอยู่สักครู่จึงเอ่ยขึ้น “ลำบากคุณหมอแล้ว ขอบคุณมาก” เขาเอ่ยจบแล้วส่งสายตาให้หลินจื้อเฉิงที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็มีคนรีบยื่นซองหนาๆ ซองหนึ่งให้คุณหมอ คุณหมอรับมันมาเงียบๆ ราวกับรับซองเอกสารธรรมดาแล้วเก็บเข้ากระเป๋าเสื้ออย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าไม่แสดงความดีใจใดๆ หากแต่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกครั้ง “ต่อไปก็ให้ปฏิบัติตามที่หมอสั่ง ให้คนไข้พักผ่อนเยอะๆ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก” 


 


 


นายแพทย์และพยาบาลคนอื่นๆ ไม่แสดงสีหน้าแปลกใจใดๆ ที่เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอคนนั้นกับจิ้นหยวน หากแต่เข็นจิ้นเฮ่าไปยังห้องไอซียูตามขั้นตอนปกติ 


 


 


แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ แต่เพื่อป้องกันการติดเชื้อจึงต้องเฝ้าติดตามอาการของจิ้นเฮ่าในห้องไอซียูอีกเป็นเวลาอย่างน้อยสามวันจึงจะสามารถย้ายไปยังห้องคนไข้ทั่วไปได้ 


 


 


จิ้นหยวนและฉินเพ่ยหรงเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว ตอนนี้จิตใจจึงสงบลงมาก ในเมื่อคุณหมอบอกแล้วว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ นั่นย่อมหมายความว่าจิ้นเฮ่าไม่มีอันตรายถึงชีวิตแล้ว 


 


 


ฉินเพ่ยหรงอายุมากแล้ว ร่างกายที่แบกรับความตึงเครียดมาตลอดทั้งคืนยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป จิ้นหยวนรีบพาเธอเข้าไปพักผ่อนที่ห้องรับรองพิเศษ เขาเฝ้าฉินเพ่ยหรงอยู่ข้างเตียงจนเธอหลับสนิทแล้วจึงเดินออกจากห้อง หลินจื้อเฉิงที่คอยอยู่เคียงข้างจิ้นหยวนตลอดเวลาเห็นว่าเขาเองก็ยังไม่ได้นอนทั้งคืนเหมือนกัน จึงเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง “พี่ใหญ่ก็ควรไปพักผ่อนเหมือนกันนะครับ มีพยาบาลพิเศษคอยดูแลคุณลุงอยู่ คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ” 


 


 


ถึงหลินจื้อเฉิงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าจิ้นหยวนคงไม่ฟังเขาหรอก และเป็นไปอย่างที่เขาคาด จิ้นหยวนได้ยินแล้วส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางเอ่ย “ฉันจะออกไปเดินเล่นซะหน่อย นายไม่ต้องตามมา” 


 


 


หลินจื้อเฉิงรู้ว่าเขาอยากจะทำอะไรจึงไม่ได้ปริปากใดๆ อีก เขายื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่เอี่ยมให้จิ้นหยวนเงียบๆ โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของจิ้นหยวนถูกจิ้นเฮ่าทำตกพื้นจนเสียหาย และนี่เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่เขาเพิ่งไปซื้อมาเมื่อคืนนี้เอง 


 


 


จิ้นหยวนรับมันมาโดยไม่ได้แสดงความแปลกใจที่เห็นเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม หลินจื้อเฉิงติดตามเขามานานหลายปี ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้เขาคงผิดหวังมาก 


 


 


เขาเดินออกไปตรงระเบียงด้านนอก หยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุดสูบ ในใจครุ่นคิดว่าควรจะพูดอย่างไรกับสาวน้อยของเขาดี จากนั้นค่อยโทรศัพท์หาเธอ 


 


 


แต่เขาต้องแปลกใจมากที่ไม่ว่าเขาจะพยายามโทรอย่างไรแต่ก็ไม่มีคนรับสายเสียที เขาชักจะสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้ว จึงรีบโทรติดต่อพ่อบ้านเฉินแทน 


 


 


ปกติพ่อบ้านเฉินเก็บโทรศัพท์มือถือไว้กับตัวตลอดเวลา แต่น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่ได้รับสาย เหตุการณ์เหมือนเมื่อครู่ไม่มีผิด เขาชักหัวคิ้วชนกันแน่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? 


 


 


ในเวลาเดียวกัน เฉียวซือมู่กำลังจ้องมองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือด “ที่คุณพูดมันหมายความว่ายังไง?” 


 


 


แขกที่มาพบเธอเป็นชายที่มีใบหน้าอ่อนโยนและรูปร่างอ้วนกลม แต่คำพูดของเขากลับไม่อ่อนโยนเลยสักนิด “คุณยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดอีกหรือ? นายท่านจิ้นเฮ่าชอบคุณหนูหร่วนเซียงเซียงมาก เขาไม่ต้องการให้เธอต้องมาเจอเรื่องอะไรก็ตามที่จะทำให้เธอไม่สบายใจ…” 


 


 


“และจากที่ผมรู้มา ตัวตนของคุณถูกเปิดเผยแล้ว และมันทำให้คุณหนูหร่วนไม่พอใจมาก เพราะฉะนั้น รบกวนคุณรีบย้ายออกจากที่นี่ทันที เช็คเงินสดใบนี้เป็นค่าชดเชยของคุณ หวังว่าคุณจะพอใจกับตัวเลขนี้นะครับ” 


 


 


เขาร่ายยาวเป็นพรวนพลางมองใบหน้าซีดเผือดของเฉียวซือมู่ด้วยรอยยิ้มจอมปลอม จากนั้นค่อยๆ เลื่อนเช็คเงินสดใบหนึ่งไปไว้ตรงหน้าเธออย่างช้าๆ  


 


 


เธอหยิบมันขึ้นมาดูแล้วเห็นตัวเลขยาวเป็นพรวน เธอจ้องมองเช็คใบนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเดกันเข้ามาจนพูดไม่ออก 


 


 


ประกายดูถูกเหยียดหยามฉายชัดในแววตาของแขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นแวบหนึ่ง เขานึกว่าเธอจะเป็นผู้หญิงสูงส่งมากขนาดไหนเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่ผู้หญิงเห็นแก่เงินนี่เอง คราวนี้เขาไม่พูดหยั่งเชิงให้เสียเวลาอีก หากแต่เปลี่ยนท่าทีเป็นแข็งกระด้างแทน “หวังว่าคุณเฉียวรับเช็คใบนี้ไปแล้วจะทำตามสัญญาของเรานะครับ ห้ามคุณพบคุณจิ้นอีก เราจะเป็นคนหาเหตุผลที่เหมาะสมและทำให้เขาเชื่อเองว่าคุณเป็นคนทิ้งเขาไปเอง เพราะฉะนั้น หลังจากคุณก้าวเท้าออกจากประตูบานนี้แล้ว ให้ถือซะว่าคุณไม่เคยรู้จักเขามาก่อน” 


 


 


เฉียวซือมู่มองเช็คเงินสดในมือชั่วครู่แล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายแวววาวจนแสบตา เธอวางเช็คเงินสดลงบนโต๊ะแล้วค่อยๆ เลื่อนมันกลับไปตรงหน้าเขา “ขอโทษนะคะ ฉันคงทำตามที่คุณบอกไม่ได้หรอกค่ะ” 


 


 


เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที ไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่หวั่นไหวกับเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น หรือว่าข้อมูลที่เขาได้มาจะผิดพลาด? 


 


 


เขานั่งนิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะเห็นเงินแล้วไม่รู้สึกหวั่นไหว เขายังคงเชื่อว่าเป็นเพราะเงินที่พวกเขาเสนอให้เธอนั้นน้อยเกินไป เขาจึงชำเลืองมองเธอแวบหนึ่งอย่างดูถูกเหยียดหยามมากขึ้นไปอีก  

 

 


ตอนที่ 186 ทันเวลาพอดี

 

 


 


 


“ไม่นึกเลยว่าคุณจะละโมบโลภมากขนาดนี้ ไหนบอกมาซิว่าอยากได้อะไร เราจะพยายามทำให้คุณพอใจ แต่ว่าอย่าให้มันมากเกินไปก็แล้วกัน… คุณต้องเข้าใจหน่อยนะว่าความอดทนของเรามีขีดจำกัดเหมือนกัน” 


 


 


ความหมายของเขาก็คืออย่าเล่นตัวให้มันมากนัก รีบๆ พูดมาแล้วไสหัวออกไปจากที่นี่ได้แล้ว 


 


 


เธอเข้าใจดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เธอหลุบตาลงแล้วเอ่ยขึ้น “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่จะบอกว่า ถ้าจะให้เลิกกันก็ให้จิ้นหยวนเป็นคนมาพูดเอง ส่วนคุณ คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดกับฉันแบบนี้” 


 


 


เธอไม่ใช่คุณหนูอ่อนต่อโลก เพราะฉะนั้น เธอไม่มีทางไปจากที่นี่เพียงเพราะลมปากของคนตรงหน้าเด็ดขาด 


 


 


ชายคนนั้นเห็นท่าทางของเธอแล้วหรี่ตายาวรีของตัวเองมองเธอด้วยความคาดไม่ถึง อาจจะเป็นเพราะเธอแตกต่างจากมโนภาพของเขาก็ได้ แต่ว่า… ต่อให้เธอปฏิเสธชัดเจนอย่างไรก็ตาม เขากลับไม่รู้สึกร้อนใจเลยสักนิด และได้เวลาที่เขาจะทิ้งไพ่ใบที่สองแล้ว 


 


 


“คุณรู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนคุณจิ้นค้างคืนที่ไหน?” 


 


 


เฉียวซือมู่มองเขาแวบหนึ่ง “คุณกำลังจะบอกว่าเขาอยู่กับคุณหนูหร่วนทั้งคืนเหรอคะ?” 


 


 


เธอเคยเห็นลูกเล่นแบบนี้จากในโทรทัศน์มาเยอะแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะกลายเป็นตัวเอกเหมือนในละครน้ำเน่าพวกนั้น 


 


 


เธอไม่คิดจะเชื่อคำพูดของเขาแม้แต่คำเดียว เพราะเธอเชื่อใจจิ้นหยวน เชื่อช่วงเวลาที่ทั้งสองฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกัน และเชื่อความจริงใจที่ทั้งสองต่างมีให้แก่กัน ความเชื่อเหล่านี้มัดเธอและเขาเอาไว้แน่นจนไม่อาจแยกพวกเขาออกจากกัน 


 


 


แต่คำพูดประโยคต่อมาของชายคนนั้นทำให้เธอจมลงสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังราวกับว่าร่างกายเธอกำลังร่วงหล่นลงไปในเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหวจนไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างอีก 


 


 


เขาเอ่ยขึ้น “นายท่านถูกนำตัวส่งโรพยาบาลเพื่อกู้ชีพ คุณจิ้นทะเลาะกับนายท่านเพราะเรื่องของคุณจนทำให้อาการโรคหัวใจของนายท่านกำเริบ คุณจิ้นเห็นแก่สุขภาพของนายท่านจึงยอมรับปากแต่งงานกับคุณหนูหร่วนแล้ว” 


 


 


เขามองใบหน้าซีดเผือดของเฉียวซือมู่แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มน้อยๆ “คุณคิดว่าผมพูดจริงหรือพูดเล่นอยู่ครับ?” 


 


 


เฉียวซือมู่กัดริมฝีปากล่างแน่น อยากจะพูดอย่างเต็มปากเต็มคำเหลือเกินว่าไม่เชื่อคำพูดของเขาแม้แต่คำเดียว แต่ส่วนลึกสุดในจิตใจกลับรู้ดีว่าคำพูดส่วนใหญ่ของเขาเป็นเรื่องจริง 


 


 


เขารู้จักนิสัยของจิ้นหยวนเป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่รักษาคำพูดมากที่สุดและไม่มีวันคืนคำเด็ดขาด ถ้าหากใต้หล้านี้จะมีใครสักคนที่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ นอกจากคุณพ่อคุณแม่ของเขาแล้วคงไม่มีใครมีความสามารถนี้อีก 


 


 


เธอรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสุขภาพของจิ้นเฮ่าไม่ค่อยแข็งแรงนัก ช่วงที่คุณแม่ของเธอยังนอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาลจิ้นเฮ่าก็เคยได้รับการผ่าตัดไปแล้วรอบหนึ่ง เพราะฉะนั้น หลังจากประมวลความเป็นไปได้แล้ว ได้ข้อสรุปว่าใจเธอเชื่อคำพูดของเขาไปแล้ว 


 


 


แต่ว่า เธอยังคงมีความหวังอยู่ แม้มันจะเป็นความหวังเพียงหนึ่งในล้านก็เถอะ เธอมองเขาพลางเอ่ย “ไม่ ฉันไม่เชื่อ จิ้นหยวนรับปากฉันแล้ว เขาบอกว่า…” 


 


 


“เขาบอกว่าจะแต่งงานกับคุณใช่ไหมล่ะ? ช่างน่าหัวเราะ คุณรู้หรือเปล่าว่าการดำรงอยู่ของตระกูลจิ้นมีความหมายว่ายังไง? ดูเหมือนว่าคุณจะไม่รู้อะไรเลยสินะ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่พูดอะไรที่มันไม่เจียมตัวแบบนั้นออกมาหรอก” แขกผู้มาเยือนยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาจับจุดสำคัญของเธอได้แล้ว และตอนนี้ภารกิจของเขาใกล้จะสำเร็จแล้ว 


 


 


“คุณไม่ต้องรู้เรื่องพวกนี้ก็ได้ คุณแค่ต้องรู้เอาไว้ว่าชาตินี้ทั้งชาติคุณก็ไม่มีวันตะกายขึ้นตระกูลจิ้นได้ ถ้าคุณจิ้นแต่งงานกับคุณจริง เขาก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะไปชั่วชีวิตเพราะดันไปแต่งงานกับผู้หญิงที่บ้านล้มละลาย แทนที่จะเลือกผู้หญิงสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างคุณหนูหร่วนแทน เพราะฉะนั้น คุณเฉียว คุณทนเห็นเขาทำให้พ่อตัวเองต้องตาย ยอมให้เขากลายเป็นลูกเนรคุณและถูกคนอื่นหัวเราะเยาะไปตลอดชีวิตได้เหรอ?” 


 


 


คงต้องยอมรับว่าวิธีการพูดที่เปลี่ยนไปของเขาในครั้งนี้ตรงประเด็นจนแทงทะลุใจเธอทุกประโยค สีหน้าของเธอค่อยๆ เผือดซีดลงๆ จนไม่ต่างจากซากศพ 


 


 


สภาพเธอในตอนนี้น่าเวทนายิ่งนัก ใบหน้าของเธอซีดจนขาว ริมฝีปากที่เคยแดงอมชมพูยามนี้กลับไร้สีเลือด แววตาตื่นตระหนก ท่าทางน่าสงสารไม่ต่างจากสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังถูกรังแก มันทำให้คนใจแข็งอย่างเขาถึงกับรู้สึกสงสารเธอขึ้นมานิดๆ  


 


 


แต่มันเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เขาดึงตัวเองให้กลับมาสวมบทบาทนักเจรจาเหมือนเดิม เขาจ้องมองเฉียวซือมู่ที่สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้วอย่างเป็นต่อ “ว่ายังไงครับคุณเฉียว? ตัดสินใจได้หรือยัง?” 


 


 


เฉียวซือมู่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วมองเขานิ่ง “ขอเวลาฉันคิดสักหน่อยได้ไหมคะ?” 


 


 


เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วรีบส่ายศีรษะทันที “ไม่ได้หรอกครับ เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ นายท่านต้องเข้าห้องผ่าตัดด่วนก็เพราะคุณ ผมเชื่อว่าคุณคงไม่อยากให้คุณจิ้นต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อตัวเองต้องตายหรอกใช่ไหมครับ?” 


 


 


คำพูดของเขาทำลายเกราะป้องกันด่านสุดท้ายในใจเธอจนพังทลายลง ในที่สุดใบหน้าเธอก็แสดงความสิ้นหวังออกมา เธออ้าปากกำลังจะพูดสิ่งที่เขาอยากฟังออกมา 


 


 


ชายคนนั้นตื่นเต้นมากจนนั่งตัวตรงอย่างใจจดใจจ่อ เขาเอนกายเข้าหาเธอเล็กน้อยเพื่อรอฟังคำว่า “ตกลง” จากปากเธอ ทันใดนั้น เสียงของจิ้นหยวนกลับดังขึ้นแทน “ผิดแล้ว” 


 


 


ดวงตาของเฉียวซือมู่เป็นประกายวาบ เธอมองดูจิ้นหยวนที่กำลังเดินก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา พลันหยาดน้ำใสๆ เอ่อคลอเต็มเบ้าตา เธออ้าปากน้อยๆ เพราะมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะพูดกับเขา แต่จนแล้วจนรอดก็พูดไม่ออกสักคำ 


 


 


จิ้นหยวนโอบกอดเธอเอาไว้ข้างกาย เขาเลิกคิ้วขึ้นมองใบหน้ากระอักกระอ่วนของแขกผู้มาเยือนแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่คิดเลยว่าอาหลี่จะมีคารมคมคายขนาดนี้ สงสัยตำแหน่งผู้จัดการคงจะไม่เหมาะกับอาซะแล้ว” 


 


 


อาหลี่สีหน้าสลดลงเพราะรู้ว่าแผนการล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่วินาทีที่จิ้นหยวนย่างก้าวเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของจิ้นหยวนจึงกัดฟันพูดออกไปว่า “พวกเราหวังดีกับคุณนะครับ…” 


 


 


จิ้นหยวนยืนกอดเฉียวซือมู่ที่น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เงียบๆ เอาไว้แน่น น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบกว่าเดิม “ถ้าอาหลี่ว่างมากนักละก็ จิ้นซื่อกรุ๊ปเพิ่งจะเปิดบริษัทเหมืองแร่ที่อเมริกาใต้ ตอนนี้กำลังขาดคนดูแลที่มีประสบการณ์อยู่พอดี ตอนแรกก็ยังไม่มีคนที่เหมาะสมหรอกนะ แต่ตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่าอาหลี่น่าจะเหมาะกับงานนี้มากเป็นพิเศษ” 


 


 


อาหลี่รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นยืนทันที เขาหน้าซีดเผือด สองมือโบกไปมาเป็นพัลวัน พยายามฝืนยิ้มเต็มที่ “ไม่… ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ว่างเลย ปกติผมยุ่งมาก ครั้งนี้แค่ผ่านมาพอดี ไม่มีเจตนาอื่นเลยจริงๆ นะครับ” 


 


 


อาหลี่เป็นคนที่สังเกตสีหน้าคนเก่งมาก เมื่อเห็นว่าสายตาของจิ้นหยวนฉายแววเย็นยะเยือกก็ไม่กล้าพูดพล่ามอีก เขารีบเอ่ยลาทันที “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีงานค้างอยู่ ขอตัวก่อนนะครับ ฮาๆ…” 


 


 


เขาหัวเราะฮาๆ อย่างเก้อๆ แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที เขารีบร้อนจนลืมหยิบเช็คเงินสดใบนั้นไปด้วย 


 


 


จิ้นหยวนมองตามแผ่นหลังของเขาจนหายลับไปจากสายตา แววตาที่เคยเย็นยะเยือกสลายหายไป เขาลูบผมยาวนุ่มสลวยของเธอพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอโทษ ผมกลับมาช้าเกินไป” 


 


 


เขายืนฟังอยู่ข้างนอกเพียงแค่แป๊บเดียวยังรู้เลยว่าคำพูดของอาหลี่นั้นบีบหัวใจมากขนาดไหน ทั้งข่มขู่ทั้งล่อหลอก เธอสามารถยืนหยัดจนถึงตอนนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว 


 


 


หากเขามาถึงช้ากว่านี้อีกนิดเดียวล่ะก็… 


 


 


เขาจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าหากเขามาถึงช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว เขากอดเธอแน่นขึ้น อีกนิดเดียว… อีกนิดเดียวเท่านั้นเขาก็เกือบจะสูญเสียเธอไปแล้ว 



ตอนที่ 187 รักลึกซึ้ง 


 


 


 


 


 


เวลาค่อยๆ ผ่านไปจนกระทั่งถึงตอนเที่ยง แต่สภาพอากาศยังคงมืดครึ้มเหมือนเดิม ก้อนเมฆสีดำจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนราวฝนจะกระหน่ำตกลงมาในไม่ช้า เฉียวซือมู่ยืนอยู่ข้างเตียงนอนใหญ่เงียบๆ เธอทอดสายตามองเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ไม่แตกต่างจากพยับเมฆข้างนอกเลยสักนิด 


 


 


จิ้นหยวนค่อยๆ เดินเข้ามาทางด้านหลัง เขายื่นแขนโอบกอดเธอเอาไว้จากด้านหลัง จากนั้นก้มศีรษะลงเอ่ยเสียงเบาอย่างรักใคร่ข้างหูเธอ “ที่รัก อย่าโกรธผมเลยนะ ครั้งนี้ผมผิดเองที่ไม่บอกคุณก่อน” 


 


 


น้ำตาเธอเอ่อคลอพลางบ่นอย่างงอนๆ “คุณรู้ด้วยเหรอว่าผิด? ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน? คุณบอกว่ายุ่งมากจนไม่มีเวลาโทรหาฉัน โอเค ฉันเข้าใจ แต่คุณยุ่งทั้งคืนจนไม่มีเวลาปลีกตัวโทรหาฉันแม้แต่นาทีเดียวเลยเหรอ?”  


 


 


จิ้นหยวนชะงักกายเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความลำบากใจ “ผมปลีกตัวออกมาไม่ได้จริงๆ คุณพ่อกำลังป่วยหนัก โทรศัพท์มือถือของผมก็ตกแตก ผมวิตกกังวลจนไม่มีกะจิตกะใจคิดอะไรมากขนาดนั้น จริงนะ” 


 


 


คนนิสัยอย่างเขายอมอธิบายเสียงอ่อนแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดพี่น้องของเขามาเห็นเข้าจะต้องตกใจสุดขีดจนตาถลนออกจากเบ้าตาเป็นแน่ แต่ตอนนี้หญิงสาวตรงหน้ากลับไม่แยแสเขาสักนิด แล้วยังขยับกายไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก “ฉันกำลังโกรธอยู่ คุณอยู่ให้ห่างๆ ฉันหน่อย” 


 


 


ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอไม่กล้าพูดแบบนี้กับเขาแน่ แต่ตอนนี้เธอกลับพูดมันออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ นั่นย่อมแสดงว่าความรักระหว่างเธอและเขาลึกซึ้งมาก จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ ถึงเธอจะงอนตุ๊บป่อง แต่เขาฟังออกว่าในน้ำเสียงของเธอนั้นมีความห่วงใยซ่อนอยู่ 


 


 


เธอได้ยินเสียงหัวเราะของเขาแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์นัก “คุณหัวเราะอะไรคะ?” 


 


 


สองแขนของเขาโอบกอดเธอแนบแน่น เขาซบศีรษะลงบนบ่าของเธออย่างสบายอารมณ์ “หัวเราะดีใจที่มีแฟนน่ารักมากไง คุณเป็นแก้วตาดวงใจของผมเลยนะ” 


 


 


คำพูดหวานหยดทำให้เธอรู้สึกหัวใจหวานฉ่ำจนความโกรธลดลงไปไม่น้อย “ทำไมคุณถึงหน้าไม่อายแบบนี้? ฉันยังไม่ได้ยกโทษให้คุณเลยนะ” 


 


 


“โอเค ผมรู้แล้วว่าคุณยังโกรธอยู่ ถ้าอย่างนั้นผมขอโทษ โอเคไหม?” เพราะเหตุบางอย่างทำให้วันนี้เขาอ่อนโยนเป็นพิเศษและว่าง่ายเป็นพิเศษจนเธอหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง “แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” 


 


 


เธอหมุนตัวกลับไปสบตาเขา แต่เธอกลับพบว่าดวงตาของเขาแดงก่ำ เธอเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ “นี่คุณไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอคะ?” 


 


 


เขาพยักหน้าน้อยๆ ตอนแรกเขาทะเลาะกับคุณพ่อ จากนั้นจัดการเรื่องของหร่วนเซียงเซียง ขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวพักผ่อนอาการของคุณพ่อก็กำเริบขึ้น เรื่องราวต่างๆ ทยอยเกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสายจนทำให้เขาไม่มีเวลาพักผ่อนเลย 


 


 


เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ “ถ้าอย่างนั้นคุณรีบไปพักผ่อนเถอะค่ะ ไปเร็ว” 


 


 


เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างแล้วจับมือเธอเอาไว้ “สงสารผมเหรอ?” 


 


 


ใบหน้าเธอแดงระเรื่อ แต่ยังคงปากแข็งเหมือนเดิม “ไม่ได้สงสารสักหน่อย ฉันกลัวคุณล้มป่วยแล้วฉันต้องเป็นคนดูแลคุณต่างหากเล่า ยุ่งยากจะตาย” 


 


 


เธอเอ่ยพลางผลักเขาเข้าไปในห้องน้ำ “รีบเข้าไปอาบน้ำแล้วนอนซะ เดี๋ยวฉันจะออกไปกำชับกับพ่อบ้านเฉินว่าไม่ให้คนอื่นเข้ามารบกวนคุณ” 


 


 


เขาอมยิ้ม “เมียจ๋ายิ่งอยู่ก็ยิ่งเหมือนแม่เสือเข้าไปทุกวันแล้วนะ” 


 


 


“คุณนะสิที่เป็นเสือ” เธอทำหน้าดุแล้วผลักเขาเข้าไปในห้องน้ำ “รีบไปอาบน้ำเร็วเข้า” 


 


 


เธอกำลังคิดว่าควรจะเตรียมอาหารเอาไว้ให้เขาดีหรือไม่ ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะยังไม่ได้ทานอาหารเช้า แต่ไม่คิดเลยว่าผู้ชายหน้าไม่อายที่เธอกำลังคิดถึงจะใช้แรงดึงตัวเธอเข้าไปในห้องน้ำก่อนที่ประตูจะปิดลงพอดี 


 


 


“นี่คุณจะทำอะไร?” เธอเซเล็กน้อยแล้วรีบใช้มือจับบ่าของเขาเอาไว้แน่น ในใจชักหวั่นๆ “ฉันจะลงไปสั่งให้เด็กเตรียมอาหารให้คุณ คุณปล่อยฉันออกไปเถอะนะ…” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 188 ไร้ร่องรอย  


 


 


 


 


 


จิ้นหยวนยกยิ้มมุมปาก เห็นหญิงสาวน่ารักสดใสตรงหน้าแล้วเขาได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจเงียบๆ ทันใดนั้น เขาฝังจุมพิตลงบนมุมปากเธอเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ผมรักคุณ” 


 


 


คำสารภาพที่มาอย่างกะทันหันทำให้เธอตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เธอสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า “คุณพูดว่าอะไรนะคะ?” 


 


 


เขาอมยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยเบาๆ ข้างหูเธออีกครั้ง เธอน้ำตาเอ่อคลอ สองแขนโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้แน่นเพื่อรับสัมผัสจากอกแกร่งของเขา เธอพึมพำเบาๆ “ฉันก็คิดว่า… คิดว่า…” 


 


 


“คิดว่าอะไร?” เขาเชยคางมนของเธอขึ้น 


 


 


“คิดว่าคุณเห็นฉันเป็นแค่… เป็นแค่…” เธอพูดต่อไม่ไหวแล้ว เธอยิ้มทั้งน้ำตา พรมจูบลงตรงมุมปากเขาเบาๆ “ฉัน… ฉันก็รักคุณค่ะ” 


 


 


เสี้ยววินาทีนั้นเธอสาบานได้ว่าเธอเห็นความเย็นยะเยือกที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาละลายไปจนสิ้น เขาเผยยิ้มทรงเสน่ห์ “ผมรู้” 


 


 


เธอเอ่ยตอบเบาๆ ว่า “อืม” แล้วเบียดกายแนบชิดอกแกร่งของเขา เธอรู้สึกว่าตอนนี้เธอมีความสุขมากจนแทบจะขาดใจตาย 


 


 


ขณะที่เธอกำลังลุ่มหลงอยู่ในห้วงเวลาแห่งความสุข จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นเหนือศีรษะของเธอ “มู่มู่ จำเอาไว้นะว่าผมรักคุณ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คุณต้องเชื่อใจผมนะ” 


 


 


“อะไรนะคะ?” เวลานี้ในใจเธอเต็มไปด้วยฟองอากาศรูปหัวใจสีชมพู เธอไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไรบ้าง ได้แต่ตอบกลับอย่างเบลอๆ “อืม ค่ะ” 


 


 


เอ่ยจบก็หาวหวอดด้วยความง่วงงุน เขาเห็นว่าเธอง่วงมากจึงตบหลังเธอเบาๆ เพียงไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเขา 


 


 


ส่วนจิ้นหยวนที่ควรจะนอนหลับเพราะความเหนื่อยล้ากลับหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่างพักใหญ่ จมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองเนิ่นนานกว่าจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงแล้วผล็อยหลับไป 


 


 


เฉียวซือมู่ตื่นก่อน เธอลืมตาขึ้นเห็นเขากำลังนอนหลับสนิท เธอสงสารที่เขาไม่ได้นอนทั้งคืนจึงลุกขึ้นนั่งอย่างเงียบเชียบ เธอดึงห่มผ้าขึ้นมาห่มให้เขาแล้วค่อยๆ ลุกออกจากเตียง 


 


 


เธอดูเวลาเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เธอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คออกมาเปิดอ่านข่าว จากนั้นติดต่อกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


จิ้นหยวนตื่นขึ้นมาเห็นภาพสวยงามจับตา หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจกำลังนั่งอยู่ข้างกายเขาบนเตียงหลังใหญ่โดยมีคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ควางอยู่บนตัก ใบหน้างดงามกำลังจดจ่ออยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอหลุบเปลือกตาลงต่ำ แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องกระทบขนตายาวหนาเป็นแพจนทอดเงาลงบนผิวหน้าขาวนวลเนียนดูน่าเย้ายวนใจยิ่งนัก  


 


 


ดวงตาของเขาอ่อนแสงลง ลมหายใจหนักขึ้น เขาค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วโถมกายโอบกอดเธอเอาไว้ 


 


 


เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ หลังจากตั้งสติได้จึงทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนอกของเขาแล้วเอ่ยอย่างแสนงอน “คุณทำฉันตกใจเกือบตายแน่ะ” 


 


 


“จริงเหรอ? ไหนขอผมดูซิว่าคุณหลอกผมหรือเปล่า” เอ่ยจบปุ๊บมือปลาหมึกของเขาก็แผลงฤทธิ์ปั๊บ เธอปัดมือเขาออก “หลีกไป ตื่นมาก็ซนใหญ่เลยนะ” 


 


 


“คุณไม่ชอบที่ผมซนเหรอ?” เขายิ้มแป้น 


 


 


เธอทำแก้มป่อง “ไม่ชอบ ฉันไม่ชอบที่คุณลวนลามฉัน”  


 


 


“จริงเหรอ?” 


 


 


“นี่คุณ…” 


 


 


เธอถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห แต่ท่าทางดุๆ ของเธอกลับถูกใบหน้าแดงซ่านของตัวเองทรยศเข้าให้อย่างจัง 


 


 


จิ้นหยวนเห็นแล้วหัวใจร้อนรุ่ม เขายังอยากจะหยอกเย้าเธออีกนิด เผื่อจะได้รับสวัสดิการพิเศษจากเธอบ้าง ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือเจ้ากรรมดันดังขึ้นจนทำเสียบรรยากาศหมด 


 


 


เขาถอนหายใจหนักๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย 


 


 


เธอรีบฉวยโอกาสหนีออกจากห้องทันทีโดยให้เหตุผลว่าจะออกไปเตรียมอาหารให้เขา เธอหันกลับไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทแล้วตบหน้าอกตัวเองเบาๆ อย่างโล่งอก โชคดีเหลือเกิน อีกนิดเดียวเธอก็เกือบจะหลงเสน่ห์ของเขาและตกเป็นทาสเสน่หาของเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นอีกแล้ว 


 


 


ถึงหูของจิ้นหยวนจะคอยฟังเสียงรายงานของลูกน้องในโทรศัพท์ แต่สายตาของเขากลับมองตามแผ่นหลังน่ารักของเธอไม่วางตาจนเกือบฟังไม่รู้เรื่องว่าลูกน้องตัวเองรายงานอะไรไปบ้าง จนกระทั่งลูกน้องที่อยู่อีกฟากสายรู้สึกผิดปกติจึงเอ่ยทักขึ้นอย่างระมัดระวัง “พี่ใหญ่? พี่ใหญ่ครับ” เขาเพิ่งจะดึงสติกลับมาได้ จึงเอ่ยเสียงขรึม “นายพูดต่อไป ฉันกำลังฟังอยู่” 


 


 


ลูกน้องคนนั้นโล่งอกแล้วเอ่ยรายงานต่อ “เราไล่สืบตามเบาะแสที่มีอยู่ในมือจนเจอที่มาของข่าวนี้แล้วครับ สาวเสิร์ฟคนหนึ่งในร้านอาหารฝรั่งเศสร้านนั้นเป็นคนโพสต์รูปจริง เธอบอกว่าแค่อยากจะอวดรูปเท่านั้น ตอนแรกเธอแค่โพสต์รูปลงในเวยป๋อ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกคนอื่นแชร์รูปมากขนาดนั้น ส่วนเรื่องที่อยู่ดีๆ นายท่านก็ประกาศงานหมั้นกลางงานแถลงข่าว สาเหตุน่าจะมาจากโทรศัพท์สายหนึ่งที่นายท่านได้รับก่อนหน้านั้นครับ” 


 


 


“โทรศัพท์อย่างนั้นเหรอ?” เขาจับประเด็นสำคัญได้ทันทีแล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม 


 


 


ลูกน้องของเขานิ่งไปชั่วครู่จึงเอ่ยตอบ “ใช่ครับ โทรศัพท์สายนั้นน่าสงสัยมาก เราไล่สืบตามเบาะแสไปเรื่อยๆ จนเบาะแสขาดหาย ตอนนี้ก็เลยไม่รู้ว่าตัวตนของผู้ต้องสงสัยเป็นใคร” 


 


 


“หมดทางสืบต่อแล้วเหรอ?” แววตาของจิ้นหยวนจริงจัง เขารู้ดีว่าลูกน้องของตัวเองนั้นเป็นแฮกเกอร์ฝีมือฉกาจ ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามฝีมือยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้าง แต่ตอนนี้กลับลบร่องรอยจนสะอาดหมดจด แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี 


 


 


ลูกน้องของเขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อยเพราะเขาสืบไม่ได้ว่าตัวตนของฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร เขารู้เพียงแค่ว่าต้องเก่งกาจมาก อย่างน้อยก็ต้องเก่งกว่าเขา 


 


 


จิ้นหยวนสอบถามอีกเล็กน้อย เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเบาะแสมากกว่านี้แล้วจึงวางสายลง 


 


 


เขาโทรศัพท์เข้าไปที่โรงพยาบาลและได้รับแจ้งว่าอาการของจิ้นเฮ่าคงที่ แต่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นจึงวางสายลง จากนั้นเฉียวซือมู่เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี 


 


 


เขารีบซ่อนความรู้สึกของตัวเองให้มิดชิดทันทีแล้วส่งยิ้มหวานให้เธอ 


 


 


วันเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ในที่สุดฉินเพ่ยหรงก็โทรศัพท์หาเขาเมื่อล่วงเข้าวันที่สาม เธอบอกกับจิ้นหยวนว่าจิ้นเฮ่าฟื้นแล้ว เขาใคร่ครวญชั่วครู่แล้วบอกให้เฉียวซือมู่รออยู่ที่บ้าน ส่วนตัวเองรีบเดินทางไปโรงพยาบาลทันที 


 


 


และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกจุกจนพูดไม่ออกคือคำถามแรกที่จิ้นเฮ่าเอ่ยถามเขาหลังจากฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสล “เซียงเซียงล่ะ?” 


 


 


จิ้นหยวนหน้าขรึมลง หลายวันมานี้เขาไม่เคยเก็บเรื่องของหร่วนเซียงเซียงมาใส่ใจเลย แล้วเขาจะปล่อยให้เธอมาที่โรงพยาบาลได้อย่างไร? 


 


 


สีหน้าของจิ้นเฮ่าแย่มาก “ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกต้องหลอกฉัน” 


 


 


จิ้นหยวนนึกถึงคำสั่งของคุณหมอ เขากล้ำกลืนฝืนทนเอ่ยตอบ “ผมไม่ได้โกหก เดี๋ยวผมโทรตามให้เธอมาเยี่ยมคุณพ่อเอง” 


 


 


จิ้นเฮ่าได้ยินแล้วไม่พูดอะไรอีก 


 


 


ฉินเพ่ยหรงชำเลืองมองจิ้นหยวนแวบหนึ่งด้วยความเป็นห่วง เธอรู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายไม่ชอบหน้าหร่วนเซียงเซียงมาก เธอรู้สึกสงสารจิ้นหยวนจับใจที่ถูกจิ้นเฮ่าบังคับจิตใจแบบนี้ 


 


 


จิ้นหยวนเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยของฉินเพ่ยหรงแล้วส่ายศีรษะน้อยๆ เป็นการแสดงว่าเขาไม่เป็นไร 


 


 


ฉินเพ่ยหรงถอนหายใจ เธอไม่อยากทนเห็นจิ้นหยวนต้องฝืนใจจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวแม่โทรให้เอง”  

 

 


ตอนที่ 189 เริ่มต้น

 

จิ้นเฮ่าทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังบังคับจิตใจลูกชาย แต่ลูกชายตัวดีต่างหากที่ไม่เข้าใจความหวังดีของเขา เขาเห็นหร่วนเซียงเซียงดีทุกอย่าง มีแต่จิ้นหยวนนั่นแหละที่มีตาหามีแววไม่ 


 


 


เฉียวซือมู่รอจิ้นหยวนอยู่ที่บ้านตั้งครึ่งค่อนวันก็ยังไม่เห็นเขากลับมาเสียที เธอรู้สึกเบื่อมากจึงตัดสินใจออกไปทำงาน 


 


 


เธออดคิดไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เกิดมาใช้ชีวิตในสังคมยุคใหม่ ถ้าเธอต้องมานั่งรอโทรศัพท์ของเขาอยู่แต่ในบ้านทั้งวันโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันคงเป็นชีวิตที่น่ารันทดมาก 


 


 


จิ้นหยวนกลับถึงบ้านตอนกลางคืน แม้เขาจะปั้นหน้าให้ดูเหมือนปกติ แต่เธอดูออกว่าใต้ใบหน้าสงบนั้นซ่อนความผิดปกติเอาไว้ เธอพยายามซักไซ้ไล่ถามเขาแล้วแต่เขายืนกรานว่าไม่มีอะไร เธอขุ่นเคืองจนเลิกเซ้าซี้เขาอีก 


 


 


หลายวันผ่านไป ในที่สุดจิ้นเฮ่าก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้าน เธอได้ข่าวแล้วคิดว่าจิ้นหยวนจะดีใจเสียอีก แต่เขายังคงเก็บงำความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ในใจเหมือนเดิม เขาจะยิ้มเฉพาะเวลาที่มีเธออยู่ด้วยเท่านั้น 


 


 


เธอรู้สึกทั้งแปลกใจทั้งคาใจมาก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเล่าเรื่องรูปถ่ายที่ทำให้กลายเป็นข่าวครึกโครมให้เธอฟัง เขาบอกว่ามันเป็นความผิดพลาดและรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบริกรสาวในร้านอาหารฝรั่งเศสร้านนั้น และเด็กสาวคนนั้นก็ได้รับบทเรียนที่สาสมเรียบร้อยแล้ว เขาจึงไม่ถือโทษเอาความอีก 


 


 


เธอยังคงไปทำงานทุกวันตามปกติ ชีวิตผ่านไปอย่างราบรื่น แต่จิ้นหยวนกลับบ้านดึกขึ้นทุกวันๆ และมีหลายครั้งที่เขากลับบ้านหลังฟ้าสาง เธอได้แต่เฝ้ารอเขาอยู่เงียบๆ และสั่งให้แม่ครัวตุ๋นน้ำซุปบำรุงร่างกายให้เขาดื่มทุกวัน 


 


 


วันนี้อยู่ดีๆ เขาก็เอ่ยถึงโปรแกรมท่องเที่ยวที่ถูกพับโครงการไปแล้วขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


เธอมองจิ้นหยวนที่นานๆ จะกลับบ้านเร็วสักครั้งตาโต “คุณบอกว่าอาทิตย์หน้าเราจะออกไปเที่ยวกันเหรอคะ?” 


 


 


เขายุ่งมากไม่ใช่เหรอ? แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยว? 


 


 


จิ้นหยวนเอ่ยเสียงเบาอย่างทั้งรักทั้งเอ็นดู “เด็กโง่ ที่ผมยุ่งมากก็เพราะกำลังเคลียร์งานเพื่อไปเที่ยวกับคุณไง” 


 


 


ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เธอยิ้มดีใจพลางโถมกายเข้าสู่อ้อมแขนของเขา “ทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะคะ ฉันก็นึกว่า… นึกว่า…” 


 


 


เธอไม่มีหน้าเอ่ยคำพูดที่เหลือออกมา ช่วงที่เขากลับบ้านดึกดื่นทุกคืน เธอแอบระแวงว่าเขาเบื่อเธอแล้วใช่ไหม หรือว่าเขาไปมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างนอกและต่างๆ นานา 


 


 


จิ้นหยวนเห็นเธอไม่พูดต่อก็พอเดาออกแล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาบีบจมูกเธอเบาๆ “ยัยโง่เอ๊ย” 


 


 


“ห้ามว่าฉันโง่นะ” เธอทำแก้มพองลม ริมฝีปากอวบอิ่มยื่นออกมาราวดอกไม้อูม เขาเห็นแล้วทนไม่ไหวจนต้องฝังจุมพิตลงบนริมฝีปากยั่วเย้านั้น จนกระทั่งสองหนุ่มสาวหายใจหอบถึงแยกออกจากกัน 


 


 


เธอรีบยั้งมือของเขาเอาไว้ “ห้ามทำอะไรฉันนะ” 


 


 


จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นถาม “ทำไมล่ะ?” 


 


 


“ฉันยังมีเรื่องจะถามคุณอีก เราจะออกเดินทางกันวันไหนคะ ฉันจะได้จัดเวลาถูก” เธอเอ่ยถามอย่างจริงจัง 


 


 


ที่แท้ก็ถามเรื่องนี้เอง ดวงตาของเขาเป็นประกายแวบหนึ่ง “อีกสี่ห้าวัน คุณสบายใจได้ มีเวลาให้เราเตรียมตัวเหลือเฟือ…” 


 


 


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เธอก็เฝ้ารอวันที่เธอและเขาจะได้ออกไปท่องเที่ยวด้วยกันอย่างใจจดใจจ่อ รู้จักกับจิ้นหยวนมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ออกไปเที่ยวกับเขาสองคน เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาคอยให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ เธอรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจทุกครั้งที่หวนนึกถึงคำพูดของเขาในวันนั้น แม้แต่หรงเซียวที่เป็นคนไม่คิดมากยังรู้สึกได้และคอยส่งสายตาอยากรู้อยากเห็นให้เธอเป็นระยะๆ  


 


 


เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ค่อยๆ กระจายงานออกไปให้ลูกน้องใต้บังคับบัญชาเพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการท่องเที่ยว อาจเป็นเพราะวันเดินทางกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ จิ้นหยวนจึงดูยุ่งมากกว่าเดิม เขากลับบ้านดึกดื่นค่อนคืนทุกวัน เขามักจะกลับมาหลังจากที่เธอเข้านอนแล้ว และเธอตื่นมากลางดึกอีกทีถึงรู้สึกได้ว่ามีคนนอนอยู่ข้างกาย จากนั้นเธอตื่นมาอีกทีในเช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็ออกจากบ้านไปแล้ว 


 


 


เธอสงสารเขาจับใจจึงตัดสินใจเริ่มต้นลงมือเข้าครัวตุ๋นน้ำซุปบำรุงร่างกายเตรียมเอาไว้ให้เขาทุกวัน แรกเริ่มจิ้นหยวนยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่วันหนึ่งเขากลับบ้านเร็วกว่าปกติ เขาเห็นว่าดึกดื่นแล้วแต่เธอยังขลุกอยู่ในครัว สีหน้าของเขาเข้มขึ้น “ทำไมแม่ครัวถึงปล่อยให้คุณเข้าครัวทำอาหารเอง?” 


 


 


เธอละล่ำละลักอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ฉันเห็นคุณทำงานหนักทุกวัน ก็เลยอยากจะลงมือทำอะไรให้คุณทานเองกับมือค่ะ” 


 


 


สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง แต่ยังคงจริงจังมากเหมือนเดิม เขาเดินเข้าไปดึงตัวเธอเข้ามากอดเอาไว้ “ไม่ต้องทำแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ” 


 


 


เอ่ยจบก็พาเธอเดินออกจากห้องครัวโดยที่ไม่ปล่อยโอกาสให้เธอปฏิเสธ เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “โอเค ฉันไม่ทำแล้วก็ได้ แต่คุณก็ต้องให้ฉันปิดเตาก่อนสิคะ” 


 


 


เขาคลายมือออก พอเห็นว่าเธอเดินกลับเข้าไปในครัวแล้วแววตาของเขาก็สลดลง รอจนกระทั่งเธอยกถ้วยน้ำซุปออกมาเขาถึงรีบเก็บซ่อนความรู้สึกให้มิดชิดเหมือนเดิมแล้วคลี่ยิ้มที่ดูผ่อนคลายให้เธอ 


 


 


เธอยิ้มหน้าบานพลางยกถ้วยน้ำซุปยื่นให้เขา “นี่เป็นน้ำซุปที่ฉันตั้งใจทำมาก รีบดื่มเร็ว” 


 


 


เขาได้กลิ่นแปลกๆ แล้วชักสังหรณ์ใจไม่ดี “น้ำซุปอะไรเหรอ?” 


 


 


“นี่เป็นสูตรลับของเพื่อนจากทางใต้คนหนึ่งของฉัน ในนี้มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ คุณรีบดื่มสิ ไม่อย่างนั้นจะเสียของเปล่าๆ นะ” เธอยิ้มตาหยีพลางยื่นถ้วยน้ำซุปเข้าไปจ่ออยู่ตรงหน้าเขา 


 


 


เขาได้กลิ่นแล้วรู้สึกแปลกพิลึก แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธคนมีน้ำใจตรงหน้าให้ต้องเสียใจ เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำซุปมาดื่มจนหมด 


 


 


เธอรับถ้วยเปล่ามาจากเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “อร่อยไหมคะ?” 


 


 


เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย พยายามไม่ไปนึกถึงรสชาติแปลกประหลาดของมันแล้วฝืนตอบว่า “ใช้ได้” 


 


 


“ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉัน…” 


 


 


“ไม่ได้นะ!” เธอยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็ถูกเขาเอ่ยแทรกขึ้นกลางอากาศ “ไม่ต้องทำแล้ว ผมสงสารคุณน่ะ” 


 


 


เธอรีบซ่อนมือตัวเองไว้ข้างหลังแต่ก็ไม่อาจหนีพ้นสายตาของเขาไปได้ เขายื่นแขนออกไปจับมือเธอขึ้นแล้วแบมือเธอออกจนเผยให้เห็นตุ่มน้ำบนฝ่ามือ 


 


 


สีหน้าของเขาขรึมลง “พรุ่งนี้ไม่ต้องทำแล้ว” 


 


 


เธอมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกผิด อยากจะแก้ตัวว่าเป็นเพราะเธอไม่ระวังตัวเอง แต่เห็นสีหน้าไม่พอใจของเขาแล้วเธอก็ต้องยอมแพ้แล้วพยักหน้าหงึกๆ ให้เขา “ก็ได้” 


 


 


เขายิ้มพลางลูบผมยาวสลวยของเธอด้วยความพอใจ “ต้องอย่างนี้สิ ขอแค่คุณอยู่เคียงข้างผมก็พอ ต่อให้คุณไม่ทำอะไรเลยผมก็ยินดี เข้าใจไหม?” 


 


 


“อืม” เธอตอบเสียงเบา 


 


 


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ถึงวันเดินทางเสียที เขาจองที่นั่งเที่ยวแปดโมงเช้าเอาไว้ เธอตื่นแต่เช้าแต่กลับเจอแต่ข้างเตียงที่ว่างเปล่า เธอชะงักอึ้งไปชั่วครู่ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอเห็นว่าจิ้นหยวนเป็นคนโทรมาจึงกดรับสายด้วยความไม่พอใจนัก “คุณหายไปไหนคะ?” 


 


 


น้ำเสียงของจิ้นหยวนฟังดูรู้สึกผิดมาก “ที่รัก ผมติดธุระด่วนต้องกลับมาที่บริษัทก่อน ผมอาจจะกลับบ้านไม่ทัน คุณไปรอผมที่สนามบินก่อนได้ไหม?” 


 


 


เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ มีแฟนบ้างานนี่โชคร้ายจริงๆ ดูสิ เวลาสำคัญขนาดนี้เขายังคิดถึงแต่เรื่องงาน เธอทำแก้มป่องอย่างงอนๆ “งานๆๆ ถ้างั้นคุณก็ไปเที่ยวกับงานเองเลย” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม