ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 177-184

 ตอนที่ 177 อีกด้านหนึ่งของฟังจือหัน


 


 


ตู้ซูเหนียนแสยะยิ้ม โบกมือออกคำสั่งให้ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนเริ่มลงมือจัดการฟังจือหันได้ ทั้งยังหัวเราะไปด้วยพูดไปด้วย “ถ้าแกยอมคุกเข่าให้ฉันเดี๋ยวนี้ เลียรองเท้าฉันให้สะอาด ฉันอารมณ์ดีแล้วไม่แน่อาจจะยอมปล่อยแกไปก็ได้นะ แต่ถ้าไม่ แกก็ล้างคอรอฉันทำให้แกตายเสียดีกว่าอยู่ได้เลย…”


 


 


ตู้ซูเหนียนพูดอย่างอารมณ์ดี เดินไปทางขวาสองสามก้าวอย่างสบายใจเฉิบ ในตอนที่เขาหมุนตัวกลับมา กลับต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าฟังจือหันฝีมือไม่ธรรมดา เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็จัดการชายฉกรรจ์ทั้งหมดสี่คนล้มกองระเนระนาดอยู่บนพื้นได้หมด


 


 


เส้นเลือดบนหน้าผากของตู้ซูเหนียนปูดโปน ดวงตาเบิกโตด้วยความโกรธเกรี้ยว ชี้ไปที่ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ ด่ากราด “ไอพวกขยะไร้ประโยชน์ สี่รุมหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้”


 


 


ตู้ซูเหนียนคว้าท่อนเหล็กที่อยู่บนพื้น พุ่งเข้าใส่ฟังจือหัน


 


 


ฟังจือหันพลิกฝ่ามือชิงท่อนเหล็กจากมือตู้ซูเหนียน จากนั้นฟาดลงไปที่ศีรษะของตู้ซูเหนียนอย่างแรง


 


 


ตู้ซูเหนียนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด “อ๊ากกก…”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์คอยจับตามองตู้ซูเหนียนอยู่ตลอด เมื่อเธอเห็นว่าตู้ซูเหนียนเรียกฟังจือหันออกมาด้านนอก เธอจึงแอบตามออกมาด้วย แรกเริ่มเดิมทีนึกว่าจะได้เห็นภาพฟังจือหันถูกซ้อมอย่างอเนจอนาถ นอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้นเหมือนสุนัข จากนั้นเธอค่อยเปิดตัวเดินออกมาอย่างหยิ่งผยอง…แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ชายที่ชื่อฟังจือหันคนนี้จะมีความสามารถด้านการต่อสู้ถึงเพียงนี้ เขาต้องเคยเข้ารับการฝึกอบรมแบบพิเศษมาอย่างแน่นอน การฝึกอบรมที่เหมือนกับพวกหน่วยรบพิเศษ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะเก่งกาจได้ขนาดนี้


 


 


ฟังจือหันออกแรงถีบอย่างโหดเ**้ยมอำมหิต ตู้ซูเหนียนลอยกระเด็นไปชนเข้ากับผนังด้านข้างจนเกิดเสียงดัง ปึง ร้องโอดครวญอย่างอเนจอนาถ เฉียวพั่นเอ๋อร์ที่กำลังแอบดูอยู่ดวงตาของเธอเบิกโพลงอย่างฉับพลัน เกือบร้องกรี๊ดออกมา


 


 


ตู้ซูเหนียนมึนงงไปหมด ร้องโหยหวนไปด้วยด่าไปด้วย “แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร แกกล้าทำร้ายฉัน แกตายแน่ ฉันจะทำให้แกเสียใจที่ยังมีชีวิตอยู่” 


 


 


ฟังจือหันปรายตามองตู้ซูเหนียนด้วยหางตา สายตาเย็นยะเยือกราวกับลมหนาวในนับเก้าเหมันต์ จากนั้นหันหลังกลับอย่างไม่แยแส


 


 


ตู้ซูเหนียนจ้องแผ่นหลังของฟังจือหันเขม็ง แววตาอาฆาตมาดร้าย โหดเ**้ยมอำมหิต เขาหยิบมีดสั้นออกมาจากกระเป๋าหน้าอก คมมีดที่ถูกพับอยู่ดีดออก จากนั้นพุ่งเข้าใส่ฟังจือหัน จู่โจมจากด้านหลัง ตู้ซูเหนียนคิดว่าตนเองต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ทว่าราวกับฟังจือหันมีตาหลัง นัยน์ตาเย็นชาหรี่ลงเล็กน้อย ร่างกายหมุนตวัดอย่างเฉียบคม ยื่นแขนออกไปคว้าข้อมือของตู้ซูเหนียนอย่างคล่องแคล่วว่องไว จากนั้นบิดแขนไขว้ไว้ด้านหลัง เมื่อมีดหล่นถึงพื้นแล้ว ฟังจือหันกระแทกตู้ซูเหนียนเข้ากับกำแพงอีกหลายครั้งอย่างโหดเ**้ยมอำมหิต


 


 


ตู้ซูเหนียนกระอักออกมาเป็นเลือดสีแดงสด ล้มลงกับพื้นแม้แต่จะส่งเสียงร้องโอดครวญก็ยังไม่สามารถทำได้ ฟังจือหันหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดบนมือ จู่ๆ ก็หันศีรษะมองไปทางเฉียวพั่นเอ๋อร์อย่างกะทันหัน สายตาเย็นเยียบทำให้เฉียวพั่นเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว เธอรีบซ่อนตัวทันที


 


 


ไม่ลนลานต่อความหวาดกลัว มีสติเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ขนาดตู้ซูเหนียนจะแทงเขาด้วยมีดจากด้านหลัง สีหน้าของเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน รับมืออย่างสุขุมเยือกเย็น ฟังจือหันมันเป็นใครกันแน่ เฉียวพั่นเอ๋อร์รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เธอกลัวฟังจือหันจะเดินมาคิดบัญชีกับเธอด้วย


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงหัวเราะสนุกสนานดังลอดออกมาจากงานเลี้ยง ยิ่งตอกย้ำถึงความเงียบงันอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวของสวนดอกไม้หลังงานเลี้ยง ฟังจือหันเดินมาหยุดอยู่ตรงตำแหน่งระนาบเดียวกันกับเธอ สายตาเย็นชามองลอดผ่านกระถางดอกไม้ใหญ่ยักษ์ที่กั้นระหว่างพวกเขา


 


 


ร่างกายของเฉียวพั่นเอ๋อร์สั่นเทา เธออยากจะวิ่งหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ขาทั้งสองข้างกลับหนักอึ้ง ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้


 


 


“ฟังจือหัน” น้ำเสียงไพเราะดังกังวานขึ้น มองเห็นอวี๋กานกานกำลังมองซ้ายแลขวา ก่อนจะเดินเข้ามา สายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งของฟังจือหันเปลี่ยนเป็นอบอุ่นนุ่มนวล ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอวี๋กานกาน


 


 


“นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”


 


 


“ตามหาคุณ”


 


 


“อ๋อ”


 


 


“กลับบ้าน”


 


 


น้ำเสียงของชายหนุ่มเรียบนิ่งราวกับน้ำใสสะอาด ชวนให้รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา ราวกับฝันหนึ่งตื่น 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 178 คำเตือนเนื้อหาต่อไปนี้มีความหวานสูง โปรดระมัดระวัง


 


 


ในตอนที่ฟังจือหันและอวี๋กานกานเดินออกมา เธอมองเห็นเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่ยืนช็อกอยู่หลังกระถางดอกไม้ ใบหน้าซีดเซียว ท่าทางดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


 


 


พวกเขาเดินออกจากงานเลี้ยง เมื่อขึ้นรถแล้วอวี๋กานกานถึงเอ่ยปากถามฟังจือหัน “เมื่อกี้นายพูดอะไรกับเฉียวพั่นเอ๋อร์เหรอ”


 


 


ฟังจือหันตอบเสียงเรียบ “ผมเดินผ่านทางนั้น”


 


 


ความหมายของประโยคนี้คือผมไม่ได้พูดอะไร จากสีหน้าท่าทางของเฉียวพั่นเอ๋อร์เมื่อครู่ อวี๋กานกานไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เธอรู้สึกว่าเฉียวพั่นเอ๋อร์น่าจะอาศัยจังหวะที่เธอไม่อยู่ ฉวยโอกาสมาให้ท่าฟังจือหัน แต่กลับโดนฟังจือหันพูดจาเชือดเฉือนใส่ ฟังจือหันปากร้ายจะตายไป บางครั้งที่เขาต้องการพูดจาเหน็บแนมใคร เขาจะไม่รักษาน้ำใจและไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไป เฉียวพั่นเอ๋อร์เป็นคนหน้าบาง โดนไปประโยคสองประโยคคงสูญเสียความมั่นใจไป แต่ก็ทำได้เพียงต้องโทษตัวเธอเอง ใครให้เธอสิ้นคิดไปยั่วโมโหฟังจือหันเล่า


 


 


ภายในรถเงียบสงัดตลอดทางกลับคอนโด อวี๋กานกานพิงเบาะรถมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอกำลังกลัดกลุ้มเรื่องของหลินจยาอวี่ การตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ยุ่งยากวุ่นวายเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าสุดท้ายหลินจยาอวี่จะตัดสินใจเลือกทางไหน ก็ดูเหมือนว่าไม่มีสักทางที่สวยงามสมบูรณ์แบบ ถ้าหากมีทางเลือกที่สามก็คงดี เช่นตามหาพ่อของลูกเจอ ให้เขาและหลินจยาอวี่แต่งงานกันไปก่อน จากนั้นค่อยๆ สานสัมพันธ์กลายเป็นคนรัก แบบนี้จะทั้งได้อยู่ร่วมกันกับคนรัก ทั้งยังมีครอบครัวที่สมบูรณ์ให้ลูก แต่ทว่าชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย เหตุการณ์อันสวยสดงดงามสมบูรณ์แบบนี้ น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียงศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เธอเองก็ทำได้เพียงแค่คิด


 


 


จู่ๆ รถยนต์ก็จอดลง อวี๋กานกานมองสำรวจด้านนอก ยังไม่ถึงคอนโด แต่รถจอดอยู่ข้างร้านหม้อไฟร้านหนึ่ง เธอหันไปมองฟังจือหันด้วยความสับสนงุนงง “จอดทำไม นายอยากกินหม้อไฟเหรอ”


 


 


ฟังจือหันไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่จ้องมองหน้าเธอ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอวี๋กานกานมีเพียงความสับสนงุนงง เขาจึงกุมพวงมาลัยเตรียมจะขับออกไปจากที่นี่


 


 


อวี๋กานกานรีบส่งเสียงท้วงทันที “เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”


 


 


ฟังจือหันปรายตามองเธอ พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ทำไม คุณอยากกินหม้อไฟเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ฉันอยากลงไปซื้อชานมสักแก้ว”


 


 


เธอยังไม่ได้รับประทานอาหารเย็นก็จริง แต่อิ่มจากขนมที่ได้กินในงานเลี้ยงแล้ว ไม่สามารถยัดหม้อไฟลงไปเพิ่มได้อีก แต่ยังเหลือที่ว่างสำหรับชานมหนึ่งแก้ว


 


 


ฟังจือหัน “…” ปกติคนคนนี้ชอบกินหม้อไฟมากแท้ๆ


 


 


อวี๋กานกานลงจากรถซื้อชานมมาสองแก้ว แก้วหนึ่งเย็นอีกแก้วหนึ่งร้อน ตัวเองเธอชอบดื่มแบบเย็น แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นฤดูหนาว เธอคิดว่าฟังจือหันน่าจะอยากดื่มแบบร้อน เธอยื่นชานมส่งให้ฟังจือหัน ฟังจือหันมองหน้าเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบชานมแบบเย็นที่อยู่ในมือของเธออีกข้าง


 


 


อวี๋กานกานมองหน้าฟังจือหันด้วยความประหลาดใจ “อ้าว ที่แท้นายก็ชอบชานมแบบเย็นเหมือนกันเหรอ”


 


 


“อากาศหนาวเกินไป หลังจากนี้ห้ามกินของเย็นตอนฤดูหนาวอีก” เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าดื้อ คุณเป็นผู้ป่วยนะ”


 


 


น้ำเสียงของชายหนุ่มช่างรักใคร่และเอ็นดู อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของความเอาอกเอาใจแฝงไว้อย่างบางเบา


 


 


 อวี๋กานกานได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเธอเต้นโครมคราม เธอดูดชานมจากหลอดคำโตๆ สงบความสั่นไหวที่อยู่ภายในใจ ทว่าหลังจากชานมอุ่นๆ ลงไปอยู่ในท้อง กลับทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม ความจริง เธอไปตรวจซ้ำมาแล้ว ร่างกายหายดีเป็นปกติแล้ว เธอไม่ได้เป็นคนป่วยซะหน่อย


 


 


ภายในรถยนต์อันเงียบเชียบ จู่ๆ ก็มีกลิ่นอายความหวานละมุนเกิดขึ้น เมื่อรถถึงคอนโดและจอดสนิทแล้ว อวี๋กานกานที่จิตใจกำลังว้าวุ่นต้องการรีบลงจากรถ แต่กลับลืมปลดเข็มขัดนิรภัย ทำให้ร่างกายของเธอถูกรั้งให้กลับมานั่งยังตำแหน่งเดิม เธอหันไปเหลือบมองฟังจือหัน ใช้รอยยิ้มปกปิดความลุกลี้ลุกลนของตนเองที่อยู่ในใจ


 


 


นัยน์ตาคู่สวยสีดำสนิทลึกล้ำของฟังจือหัน แฝงไว้ด้วยความรู้สึกขบขัน


ตอนที่ 179 ฝันในวสันตฤดู ไม่เหลือรอยอยู่ให้อาวรณ์[1]


 


 


นัยน์ตาคู่สวยสีดำสนิทลึกล้ำของฟังจือหัน แฝงไว้ด้วยความรู้สึกขบขัน เขาปลดเข็มขัดนิรภัยของตนออกก่อน จากนั้นจึงโน้มตัวไปช่วยอวี๋กานกาน กลิ่นฟีโรโมนรุนแรงล้อมรอบไปทั่วทั้งตัวของเธออย่างฉับพลัน หลังจากที่ฟังจือหันช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัยแล้ว เขาเอียงศีรษะเหลือบมามองเธอเล็กน้อย


 


 


ท่วงท่านี้ทำให้ลมหายใจของทั้งคู่สอดประสานรวมเป็นหนึ่ง เพียงขยับเข้าใกล้อีกนิดเดียวริมฝีปากก็จะชนกัน อวี๋กานกานใจเต้นโครมคราม ทั่วทั้งร่างกายสั่นไหวราวกับถูกไฟฟ้าดูด ทั้งเขินและอาย ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็มีภาพเหตุการณ์คลับคล้ายคลับคลาปรากฏขึ้นอยู่ในหัว ราวกับว่ามีสายฟ้าจากท้องนภาฟาดเปรี้ยงลงมาตรงกลางหัวใจของอวี๋กานกาน อวี๋กานกานแข็งทื่อไปทั่วทั้งตัว สติหลุดลอย นิ่งค้างอยู่ในท่าเดิมไม่กระดิกกระเดี้ยไปไหน จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูรถทางฝั่งฟังจือหัน เธอถึงสะดุ้งหลุดออกจากห้วงภวังค์


 


 


หลังจากที่ลงจากรถยนต์แล้วเธอก็ไม่กล้าสบตาฟังจือหันตลอดทั้งทางเดิน เธอทั้งรู้สึกอึดอัดและประหม่าเป็นอย่างมาก หลังจากที่เธอเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแล้ว จู่ๆ เธอก็ยกมือขึ้นมาอุดปากพร้อมกับเบิกตาโตด้วยความตื่นตกใจ งานเลี้ยงคืนนั้นที่เธอดื่มจนเมา เหมือนว่าเธอจะจูบกับฟังจือหัน อวี๋กานกานค่อนข้างกระวนกระวาย หรือว่าพอเธอเมา เธอจะมีอาการประหลาดไล่จูบคนอื่น? ก่อนหน้านี้เธอเองก็ไม่เคยเมาเสียด้วย ไม่รู้ว่าหลังจากที่เมาแล้วจะมีพฤติกรรมอะไรประหลาดๆ หรือเปล่า


 


 


พระเจ้าช่วย!


 


 


หากเธอเมาแล้วเป็นฝ่ายเริ่มจูบฟังจือหันก่อน เธอได้เอาหน้าแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ แน่ อวี๋กานกานนอนหลับไม่สนิทตลอดทั้งคืน เธอฝันวสันตฤดู ในความฝันมีแต่ฟังจือหันเต็มไปหมด เธอฝันว่าพวกเขากำลังพูดคุย เดินเล่น ดูหนัง ไม่ว่าจะฉากไหนๆ ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ตอนสุดท้ายของทุกฉากล้วนจบลงที่พวกเขาจูบกัน


 


 


เมื่อตื่นขึ้นจากความฝัน อวี๋กานกานรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว สัมผัสของเนื้อแนบเนื้อ ตลอดจนกระทั่งเสียงเต้นหัวใจของกันและกันในตอนที่พวกเขากอดกัน แม้ว่าจะเลือนราง ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง แต่ความรู้สึกนี้เมื่อนึกย้อนกลับไป กลับยังคงเร่าร้อน อบอุ่นและนุ่มละมุน


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าตัวเองต้องป่วยแล้วแน่ๆ เธอเป็นหมอ เธอรู้ดีว่าเวลานี้ควรจะหาใครสักคนมาคุยเป็นเพื่อน และตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือซ่งฉาไป๋


 


 


เธอไม่กล้าที่จะบอกซ่งฉาไป๋ไปตรงๆ ว่าเธอดื่มจนเมาแล้วเหมือนว่าจะจูบกับฟังจือหัน ในตอนที่เล่าให้ซ่งฉาไป๋ฟังจึงบอกแค่ว่าดื่มจนเมา หลังจากนั้นก็ฝันวสันตฤดู ในฝันได้จูบกับฟังจือหัน           


 


 


 ซ่งฉาไป๋ส่งเสียงดัง ‘โอ้ว’ ท่าทางตื่นเต้นราวกับอวี๋กานกานได้หลับนอนกับชายหนุ่มรูปงาม


 


 


อวี๋กานกานจิกกัดซ่งฉาไป๋ผ่านทางโทรศัพท์ “ให้มันน้อยหน่อยเถอะ ก็แค่ความฝัน เธอก็เวอร์ซะ”


 


 


ซ่งฉาไป๋หัวเราะชอบใจ ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ในฝันนอกจากจูบแล้ว พวกเธอได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า อย่างเช่นอากาศร้อนเกินไปถอดซงถอดเสื้อ จากนั้นก็ตับ ตับ ตับ ป้าบ ป้าบ ป้าบ…”


 


 


อวี๋กานกานรีบพูดขัดความคิดอันหื่นกามของซ่งฉาไป๋ “ไม่มี แค่จูบกันแป๊บเดียวเท่านั้น”


 


 


ซ่งฉาไป๋ถามต่อ “แล้วเขาจูบเก่งไหม สามารถทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับกำลังล่องลอยเข้าไปอยู่ท่ามกลางหมู่มวลก้อนเมฆได้หรือเปล่า”


 


 


เหมือนว่าในความฝันจะมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ อย่างไรเสียนั้นก็เป็นเพียงแค่ความฝัน คืนนั้นที่เมาอวี๋กานกานจำได้อย่างเลือนรางว่าเธอโอบคอของฟังจือหัน จากนั้นริมฝีปากของพวกเขาทั้งคู่สัมผัสกัน ส่วนเรื่องรู้สึกอย่างไร เธอจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


 


 


อวี๋กานกานกระแอมออกมาเบาๆ กล่าว “เธอคิดอะไรบ้าอะไรอยู่เนี่ย แค่ความฝัน จะไปมีความรู้สึกอะไรได้ ต้องเป็นเพราะฟังจือหันชอบหยอด ชอบหยอกล้อฉันบ่อยแน่ๆ ทำให้ฉันเก็บไปคิดมาก”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฝันในวสันตฤดู ไม่เหลือรอยอยู่ให้อาวรณ์ หมายถึง ความฝันอันสวยงามมักสั้นและผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ อุปมาถึง ทุกสรรพสิ่งล้วนอนิจจัง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 180 นี่คือกลอุบายของพวกผู้ชาย


 


 


มุมปากของซ่งฉาไป๋คว่ำลง พยายามกลั้นไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดเล็ดลอดออกมา “จะมีแค่จูบได้ยังไง จูบแค่ทีเดียวนับว่าเป็นฝันวสันตฤดูได้ที่ไหนกัน น่าเสียดายจริงจริ๊ง พูดได้แค่ว่าฟังจือหันยังยั่วยวนเธอไม่มากพอ”


 


 


อวี๋กานกานทอนหายใจยาวเหยียด น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยคำเตือนอันตราย “ซ่งฉาไป๋ เธอควรจะดีใจนะที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ตรงหน้าฉัน ไม่อย่างนั้นเธออาจจะได้เรียกรถพยาบาล”


 


 


ซ่งฉาไป๋รีบร้องขอชีวิต “กานกานของฉัน ตั้งแต่ที่เธอมีสามี ฉันสังเกตเห็นว่าเธอโหดขึ้นเยอะเลยนะ ผู้หญิงที่มีแฟนหนุ่มคอยหนุนหลังให้เนี่ยแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปจริงๆ”


 


 


น้ำอันเจ็บใจของซ่งฉาไป๋ ทำให้อวี๋กานกานเกือบหลุดหัวเราะออกมา อวี๋กานกานพูดแซว “ฉันว่านะเธอคงของขาดจริงๆ นั่นแหละ ต้องหาใครสักคนมาช่วยระบายหน่อยแล้ว!”


 


 


ซ่งฉาไป๋หัวเราะร่า “ถ้าพูดถึงเรื่องของขาดละก็ฉันว่าน่าจะเป็นเธอมากกว่า ดูเธอตอนนี้สิอดอยากปากแห้งจนเก็บไปฝันเป็นตุเป็นตะ”


 


 


“ซ่งฉาไป๋เธอเชื่อไหมว่าฉันจะโบกรถแท็กซี่ไปหาเธอเดี๋ยวนี้ ฉันจะทำให้เธอนอนโรงพยาบาลไปสักครึ่งเดือน…”


 


 


ฟังจือหันเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง รูปร่างสัดส่วนก็สุดยอด เรียกได้ว่าหล่อสะเทือนไปทั้งสามภพ โดนผู้ชายที่มีลักษณะแบบนี้หยอดใส่ทุกวัน เธอแค่เก็บเอาไปฝัน นับได้ว่าเธอทั้งหนักแน่นและมีสติสุดๆ แล้ว


 


 


“โอเค ฉันตัวคนเดียว ฉันสู้พวกเธอสองสามีภรรยาไม่ได้”


 


 


“ฉันกับเขาเราไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ” สายตาของอวี๋กานกานกลอกไปมาอย่างเคอะเขิน “เขาบอกว่าเขาเป็นสามีของฉัน แต่ไม่ได้บอกว่าชอบฉันสักหน่อย”


 


 


“นี่เขาเรียกว่ากลอุบายรู้หรือเปล่า ผู้ชายจีบผู้หญิงชอบใช้อุบายหลอกให้ตายใจแล้วค่อยเผด็จศึก อันดับแรกหยอดมุกให้รู้สึกคันหยุบหยิบทั้งหัวใจ จากนั้นน้ำมาคลองเกิด[1] แล้วค่อยรวบหัวรวบหางทีเดียว” ซ่งฉาไป๋วิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเป็นมืออาชีพ ประหนึ่งเชอร์ล็อกโฮมส์


 


 


อวี๋กานกานฟังแล้ว รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้


 


 


ซ่งฉาไป๋หัวเราะชอบใจ “ถ้าเป็นฉันละก็ ฉันจะซ้อนแผน”


 


 


“พรื่ด!” อวี๋กานกานหลุดขำออกมา “หากเปลี่ยนเป็นเธอ เธอคงได้เสียกับเขาไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เสียเปรียบอะไรอีกต่างหากใช่ไหมล่ะ”


 


 


อวี๋กานกานรู้ดีว่าซ่งฉาไป๋ก็แค่ชอบพูดจาลามก แต่ความจริงขี้ขลาดจะตายไป หาผู้ชายให้สักคน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลับนอน แค่มองหน้ายังไม่กล้ามองด้วยซ้ำ


 


 


ซ่งฉาไป๋หัวเราะเหอะๆ “เธอก็ไม่ได้ต่างอะไรจากฉันนักหรอก ดูสิ เธอฝันวสันตฤดู ต้องรู้ตัวแล้วนะว่าถ้าฝันถึงฉากจูบกัน นั่นหมายถึงความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เธอฝันว่าจูบกับฟังจือหัน นั่นก็หมายความว่าเธอชอบเขาเข้าให้แล้ว”


 


 


แก้มของอวี๋กานกานร้อนผ่าว รีบปฏิเสธทันควัน “จะเป็นไปได้ได้ยังไง เธออย่ามาพูดจาเหลวไหลไปหน่อยเลย ฉันจะไปชอบหมอนั้นได้ไง ตอนแรกฉันเหม็นหน้าหมอนั้นจะตายไป แต่เขาช่วยฉันไว้ไม่น้อย ตอนนี้นับได้ว่าฉันเห็นเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง”


 


 


ซ่งฉาไป๋ถาม “เพื่อน? เธอมีเพื่อนเยอะแยะไปหมด แต่ทำไมคนในฝันวสันตฤดูถึงเป็นฟังจือหัน ทำไมไม่เป็นคนเพื่อนคนอื่นๆ”


 


 


“นั้นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ฉันดื่มจนเมา แล้วเผลอไปจูบเขา…” เมื่อตระหนักได้ถึงว่าตนเองได้พูดอะไรออกไป อวี๋กานกานรีบปิดปากของตนเองทันที แต่ทว่าก็สายไปเสียแล้ว


 


 


ซ่งฉาไป๋กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ “อะไรนะ ที่แท้ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเธอกับฟังจือหันจูบกันแล้วจริงๆ ยัยปลาเค็ม กล้าโกหกฉันเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานอธิบาย “เอ่อคือ…คือก่อนหน้านี้ฉันยังจำเรื่องนี้ไม่ได้ เพิ่งจะนึกออกเมื่อคืนเอง หลังจากที่นึกออกแล้วฉันก็ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อนหรือเปล่า ฉันดื่มหนักไปหน่อย จากนั้นพอตกดึกฉันก็ฝันเห็นตัวเองจูบกับหมอนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


 


ซ่งฉาไป๋นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างฉับพลัน เธอหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จนน้ำหูน้ำตาแทบจะไหลออกมา


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] น้ำมาคลองเกิด อุปมาถึง เมื่อเงื่อนไขต่างๆ สุกงอม เรื่องต่างๆ ก็จะบรรลุผลสำเร็จ 


ตอนที่ 181 วิธีพิสูจน์ใจตัวเอง


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกเอือมระอาเป็นอย่างยิ่ง มันมีอะไรน่าขำ ซ่งฉาไป๋ถึงได้หัวเราะร่าแบบนี้ เจ้าตัวก็ไม่กลัวขำจนลำไส้พันกันบ้างหรือไง ซ่งฉาไป๋สัมผัสได้ว่าอวี๋กานกานเริ่มเคืองแล้ว เธอรีบกลั้นขำ พูดอย่างจริงจัง “โอเคๆ เธออย่าโกรธไปเลย ความจริงฉันพูดอะไรไปเธอก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว เอาแบบนี้แล้วกัน…ฉันมีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยเธอพิสูจน์ได้ว่าตกลงเธอชอบฟังจือหันจริงหรือเปล่า”


 


 


“วิธีอะไร”


 


 


“ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ในตอนที่ความสัมพันธ์คลุมเครือ ไม่มั่นใจในความรู้สึกของตนเอง วิธีที่จะยืนยันได้ดีที่สุดก็คือใช้ใจสัมผัสเสื้อผ้าที่แนบติดกับร่างกายของอีกฝ่าย ให้เนื้อหนังมังสาแนบชิดกัน หากในใจรู้สึกอ่อนยวบยาบ นั้นหมายถึงชอบ กลับกันหากไม่รู้สึกอะไร นั้นย่อมหมายถึงไม่ได้ชอบ”


 


 


อวี๋กานกานนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “เธอจะบ้าเหรอ ให้ฉันใช้ใจไปสัมผัสกางเกงชั้นในของฟังจือหัน? ให้เนื้อแนบเนื้ออะไรนั้นอีก!”


 


 


ซ่งฉาไป๋ขำดังพรืด “ใครใช้ให้เธอสัมผัสกางเกงชั้นในกันเล่า ฉันให้เธอใช้เสื้อเชิ้ตของเขาต่างหาก” ซ่งฉาไป๋หัวเราะจนหอบหายใจไม่ทันแทบจะนอนลงไปกองอยู่บนพื้น


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกราวกับว่าใบหน้าของตนเองกำลังถูกไฟแผดเผา “เลิกคบ!” พูดทิ้งท้ายสองพยางค์ด้วยความโกรธและเขินอาย จากนั้นก็วางสายทันที ยัยเพื่อนคนนี้เห็นได้ชัดว่าจงใจพูดให้เธอเข้าใจผิด ตอนท้ายยังหัวเราะเยาะเธออีก เกินไปแล้ว!


 


 


ภายในห้องตกเข้าสู่ความเงียบงันอย่างฉับพลัน อวี๋กานกานชำเลืองตาไปทางห้องนอนของฟังจือหันแวบหนึ่ง ฟังจือหันออกไปด้านนอกแล้ว นี่เป็นเวลาดีที่จะทำการพิสูจน์ และแน่นอนว่าเธออยากพิสูจน์อยู่แล้ว เธออยากจะบอกกับซ่งฉาไป๋ว่าตนเองไม่ได้หวั่นไหว ทั้งหมดเป็นซ่งฉาไป๋ที่คิดเลอะเทอะไปเอง


 


 


อวี๋กานกานเดินเข้าไปในห้องนอนของฟังจือหัน เปิดตู้เสื้อผ้า ต้องการจะหยิบเสื้อเชิ้ตออกมาตัวหนึ่ง ภายในตู้มีเสื้อเชิ้ตแขวนอยู่หลายตัว ทุกตัวล้วนสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย อวี๋กานกานหยิบสุ่มออกมาตัวหนึ่ง ในตอนที่เสื้อเชิ้ตอยู่ในมือของเธอ จู่ๆ เธอก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา อวี๋กานกานหลุบตาลงต่ำสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง ก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นรูปถ่ายที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นรูปถ่ายของเธอ เพราะเป็นรูปถ่ายของตนเอง อวี๋กานกานจึงเอื้อมมือไปหยิบตามสันชาตญาณ บังเกิดความสงสัย ทำไมเธอถึงยังมีรูปถ่ายเหลือไว้ในตู้เสื้อผ้าอยู่อีก


 


 


ในตอนที่เธอหยิบรูปถ่ายขึ้นมา เธอสังเกตเห็นใต้รูปถ่ายยังมีเอกสารหนึ่งฉบับวางอยู่ อวี๋กานกานขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัดสินใจหยิบทั้งรูปถ่ายและเอกสารขึ้นมาดู เป็นรูปถ่ายของเธอและอาจารย์ เป็นเอกสารสืบประวัติของเธอกับอาจารย์ เอกสารพวกนี้ไม่ใช่ของที่เธอลืมไว้ในตู้เสื้อผ้า แต่เป็นของฟังจือหัน มีแม้แต่ข้อมูลก่อนที่อาจารย์จะหายตัวไป เพราะฉะนั้นฟังจือหันกำลังสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์? เริ่มสืบตั้งแต่ตอนที่อาจารย์ของเธอยังไม่หายสาบสูญ?


 


 


ทันใดนั้นอวี๋กานกานรู้สึกว่าร่างกายของเธอรู้สึกเย็นวูบวาบอย่างแปลกประหลาด ราวกับออกมาจากห้องซาวน่าแล้วจู่ๆ ก็ถูกผลักลงทะเลลึกที่เป็นน้ำแข็ง จากร้อนสุดขีดแปรผันเป็นหนาวสุดขั้วอย่างกะทันหัน ประหนึ่งว่าเลือดในร่างกายแข็งตัว


 


 


สภาพอากาศเลวร้าย ท้องฟ้าคำราม ฝนตกห่าใหญ่ ราวกับว่ามันกำลังสะท้อนบ่งบอกถึงความรู้สึกของเธอที่เลวร้ายไม่ต่างกับสภาพอากาศ


 


 


อวี๋กานกานรู้มาโดยตลอดว่าการที่ฟังจือหันปรากฏตัวมาอยู่ข้างเธอ เขาต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่นอน แต่เธอสัมผัสได้ว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอ แต่ต่อให้เธอเชื่อเขา เธอก็ไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ไม่ถามถึงได้อีกต่อไป


 


 


เธออยากรู้ว่าทำไมฟังจือหันต้องสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์ และอยากรู้ว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับการที่อาจารย์หายสาบสูญไปหรือเปล่า


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 182 อวี๋เอ๋อร์[1] อบอุ่นอ่อนโยน


 


 


ตกเย็นเมื่อฟังจือหันกลับมา เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสีหน้าของอวี๋กานกานไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก หน้านิ้วคิ้วขมวด ท่าทางกลัดกลุ้มใจ เขาเดินไปข้างๆ เธอ ยื่นมือออกไปแตะหน้าผาก “คุณป่วยเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานส่ายหน้า “เปล่า…”


 


 


หลังจากที่เห็นเอกสารประวัติของเธอและอาจารย์ อวี๋กานกานไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้หรือจะถามออกไปตรงๆ ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย


 


 


เธอไม่ชอบอ้อมค้อม เรื่องบางเรื่องควรรับมือด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ “นายบอกฉันได้หรือเปล่าว่านี่คืออะไร” อวี๋กานกานหยิบรูปถ่ายและเอกสารวางไว้บนโต๊ะน้ำชา


 


 


ฟังจือหันไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย ร่างสูงใหญ่กำยำยืนอยู่ใต้แสงไฟ ปกคลุมไว้ด้วยแสงสีขาวเรืองรองหนึ่งชั้น ดูลึกลับยากที่จะคาดเดา


 


 


ฟังจือหันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ อวี๋กานกานจึงเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง “นายไม่มีอะไรจะพูดกับฉันหน่อยเหรอ” เช่นทำไมถึงต้องสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์ เธอขอให้เขาช่วยตามหาเบาะแสของอาจารย์ แต่ทำไมแม้แต่ประวัติของเธอถึงถูกสืบร่วมด้วย อีกทั้งจากช่วงเวลาที่เริ่มสืบเป็นช่วงก่อนที่อาจารย์เธอจะหายสาบสูญไปเสียด้วยซ้ำ


 


 


ฟังจือหันย่างเท้าหย่อนกายลงนั่งข้างๆ อวี๋กานกาน “ผมไม่ทำร้ายคุณกับอาจารย์ของคุณ” น้ำเสียงเย็นยะเยือก หนักแน่นและจริงจัง


 


 


อวี๋กานกานกะพริบตา เธอมั่นใจว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอ เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาดีกับเธอมาก ดีจนบางครั้งมีความรู้สึกว่าพวกเขามีสายสัมพันธ์ของความเป็นสามีภรรยา อีกทั้งยังเป็นสายสัมพันธ์แบบคู่สามีภรรยาที่รักกันเหนี่ยวแน่นมานาน แต่ว่า…


 


 


อวี๋กานกานเม้มปาก เธอถามข้อสงสัยที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจออกมา “การหายตัวไปของอาจารย์ฉันเกี่ยวข้องกับนายหรือเปล่า”


 


 


ฟังจือหันตอบ “ไม่เกี่ยว ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอาจารย์ของคุณหายไปไหน ผมเองก็อยากตามหาอาจารย์ของคุณให้พบ”


 


 


อวี๋กานกานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เป็นรอยยิ้มที่ค่อนข้างฝืน “เข้าใจแล้ว นี่ก็ดึกมาแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ”


 


 


มีบางอย่างที่ฟังจือหันไม่ต้องการจะบอกเธอ ต่อให้เธอถามไปก็ไร้ประโยชน์


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานกำลังเดินผ่านฟังจือหันไป มือของฟังจือหันขยับเล็กน้อย ราวกับว่ามันไม่ฟังสมอง ปรารถนาที่จะคว้าแขนของอวี๋กานกานไว้ ทว่าอวี๋กานกานเดินเร็วเกินไป เขาสัมผัสได้เพียงชายแขนเสื้อเท่านั้น ชายเสื้อเนื้อผ้าบางเบารูดผ่านนิ้วมือเรียวยาวของเขา หลงเหลือไว้เพียงแต่รอยสัมผัสที่ราวกับว่ามีแต่ก็เหมือนไม่มี


 


 


ฟังจือหันยกมือขึ้น สติหลุดลอย ก่อนจะเอื้อมมือมาเตะที่ริมฝีปากของตนเองแล้วประทับจูบอย่างซื่อสัตย์จริงใจ “อวี๋เอ๋อร์…”


 


 


คำสองพยางค์ที่ถูกเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยน ทว่ากลับแผ่วเบาจนแทบจะจางหายไป


 


 



 


 


อวี๋กานกานนอนอยู่บนเตียง จ้องเพดานห้องอย่างเหม่อลอย ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้กลับไปเริ่มต้นยังจุดเดิม ทว่าระหว่างทางกลับเหมือนได้ดื่มเหล้าแรงไปหนึ่งแก้ว สั่นคลอนหัวใจ แผดเผาลำคอ


 


 


ทุกคนล้วนมีเป็นความลับของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟังจือหันไม่ได้แน่นแฟ้น ฟังจือหันเคยยืนยันกับเธอแล้วว่าการหายตัวไปของอาจารย์ไม่เกี่ยวข้องกับเขา และเขาจะไม่ทำร้ายเธอและอาจารย์ ถ้างั้นเรื่องที่ว่าเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ เธอก็ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ได้หรือเปล่า


 


 


คำถามนี่เหมือนกับไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ไม่มีคำตอบที่แน่นอน


 


 


อีกสองวันอวี๋กานกานก็ต้องเดินทางไปเมืองจิงแล้ว วันหยุดพักผ่อนซ่งฉาไป๋จึงมาหาเธอ ทั้งยังตุ๋นซุปกระดูกหมูมาให้ด้วย “เมื่อคืนเธอแนบเนื้อกับเสื้อเชิ้ตของฟังจือหันแล้วได้ผลเป็นยังไงบ้าง”


 


 


ซ่งฉาไป๋กระแทกแขนใส่อวี๋กานกาน สีหน้ากรุ้มกริ่ม อวี๋กานกานที่กำลังรับประทานซุปอยู่เกือบจะสำลัก เมื่อคืนหลังจากที่เธอเห็นเอกสารฉบับนั้นแล้ว เธอก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิท


 


 


ซ่งฉาไป๋นึกว่าอวี๋กานกานมั่นใจในความรู้สึกของตนเองแล้ว พูดแซว “ไม่ต้องอายไปหรอก พวกเราเป็นเด็กสาววัยรุ่น การมีความรักเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องบังคับความรู้สึกของตนเอง ก่อนไปเมืองจิง ฉันสนับสนุนให้เธอรวบหัวรวบหางเขาก่อน”


 


 


 


 


—–


 


 


[1] การเพิ่มเอ๋อร์ (儿) หลังชื่อ เป็นการแสดงถึงความน่าเอ็นดู ความน่ารัก ระดับความสนิทสนม มักใช้เรียกกันในหมู่ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท  


ตอนที่ 183 หิมะที่ทำให้รู้สึกทุกข์ทรมาน


 


 


อวี๋กานกานซดน้ำซุปไปหนึ่งคำ พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างกลัดกลุ้ม “เมื่อวานฉันกะจะไปพิสูจน์ แต่กลับทำให้ฉันได้รู้ว่าเขากำลังสืบเรื่องของฉันกับอาจารย์อยู่ ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่เขาบอกกับฉันว่าเขาไม่ทำร้ายฉันกับอาจารย์ อีกทั้งเขาเองก็อยากจะตามหาอาจารย์ให้พบ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกเหตุผลกับฉัน”


 


 


มีความเป็นไปได้สูงที่เหตุผลนี้จะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของอาจารย์


 


 


ซ่งฉาไป๋ตกตะลึง เธอนิ่งค้างไปนานกว่าจะเรียกสติคืนกลับมาได้ “เขาสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์? แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย บวกกับการที่เขาบอกว่าเขาเป็นสามีของเธอ ถ้างั้นเป็นไปได้ไหมที่เป้าหมายของเขาคือต้องการอยู่กับเธอ”


 


 


อวี๋กานกานหัวเราะเหอะๆ “ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีเสน่ห์เหลือร้ายอะไรขนาดนั้นนะ”


 


 


ซ่งฉาไป๋แสร้งทำเป็นคว่ำปากด้วยความอิจฉา พูดเหน็บแนม “เธออย่าดูถูกตัวเองไปเลย ถึงแม้เธอจะไม่สวยเท่าฉัน แต่เสน่ห์ของเธอร้ายกาจกว่าฉันเยอะ”


 


 


“จ้าๆ เธอสวยที่สุด”


 


 


“ไม่ใช่อะไรนะ ฉันว่าเธอเป็นคนที่มีดวงชะตามหัศจรรย์ ไม่ว่าจะประสบพบเจอเรื่องเลวร้ายอะไรเธอก็มักจะเปลี่ยนเป็นเรื่องดีได้เสมอ ดูอย่างอุบัติเหตุรถยนต์เธอก็ได้สามีมาหนึ่งคน ดวงปลาคาร์ฟปกปักรักษาแท้ๆ ไม่แน่นะเมื่อก่อนเธออาจจะเคยหว่านเสน่ห์ใส่ฟังจือหันก็ไว้ได้ เพียงแต่ว่าเธอลืมไปแล้ว แต่ฟังจือหันหลงหัวปักหัวปำ”


 


 


ซ่งฉาไป๋นั่งเท้าคาง อมยิ้มกรุ้มกริ่ม


 


 


อวี๋กานกานเห็นรอยยิ้มของซ่งฉาไป๋แล้ว รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ช่างเถอะ ฉันรู้สึกว่าฉันกับเขาเราอยู่กันคนละโลก”


 


 


“ทำไมจะไม่ใช่โลกใบเดียวกัน เธอไม่อยู่โลกหรือเขามาจากต่างดาวล่ะ”


 


 


“เธอเนี่ยนะยิ่งพูดยิ่งออกทะเล”


 


 


“เอาล่ะๆ พวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้ว ที่จริงเธอจะคิดมากไปทำไม เดี๋ยวก็ต้องไปปักกิ่งแล้วนี่ กว่าจะกลับมาก็อีกหนึ่งเดือน ฉะนั้นเรื่องของเดือนหน้าก็ไว้เดือนหน้าค่อยมาว่ากันใหม่”


 


 


ซ่งฉาไป๋เป็นคนไม่คิดมาก เธอรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ชีวิตคนเราถ้ามัวแต่คิดเล็กคิดน้อยคงเหน็ดเหนื่อยน่าดู


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกว่าซ่งฉาไป๋พูดได้เยี่ยม เธอมั่นใจว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอแน่นอน อีกทั้งยังช่วยตามหาอาจารย์ด้วย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วนี่ เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว หมอกควันที่ปกคลุมอยู่ภายในใจของอวี๋กานกานก็มลายหายไปในทันที


 


 


วันเวลาที่แน่นอนในการเดินทางไปปักกิ่งอวี๋กานกานไม่ได้บอกกับฟังจือหัน เขียนเพียงโน้ตแผ่นหนึ่งทิ้งเอาไว้


 


 


หลินจยาอวี่ไปส่งอวี๋กานกานที่สนามบิน ระหว่างทางไปสนามบิน อวี๋กานกานถามถึงเรื่องลูกว่าเธอจะวางแผนทำอย่างไรต่อไป


 


 


“ยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำยังไง เธอเคยบอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าอายุครรภ์แค่ประมาณหนึ่งเดือนเศษ ฉันว่ายังพอมีเวลาให้คิดทบทวน น่าจะช่วงที่เธอกลับจากปักกิ่ง ฉันถึงตัดสินใจได้”


 


 


จู่ๆ อวี๋กานกานก็รู้สึกอยากจะคลี่ยิ้มออกมา สิ่งของประเภทเดียวกันจะอยู่รวมกลุ่มกัน นิสัยคล้ายกันถึงจะสามารถกลายมาเป็นเพื่อนกันได้ “ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง ฉันอยู่ข้างเธอเสมอนะ”


 


 


หลินจยาอวี่ให้กุญแจอวี๋กานกานหนึ่งดอก “นี่เป็นกุญแจห้องฉันที่ปักกิ่ง อย่างไรเสียมันก็ว่างอยู่ เธอไปพักเถอะ”


 


 


อวี๋กานกานรีบส่ายมือปฏิเสธ “ไม่ดีมั้ง ฉันว่าพักหอพักที่สมาคมจัดเตรียมไว้ให้ดีกว่า”


 


 


หลินจยาอวี่ยัดกุญแจใส่มือของอวี๋กานกาน “เอาไปเถอะ ถึงไม่ได้ไปอยู่ก็เก็บไว้ เผื่อเหลือเผื่อขาด”


 


 


หากจะปฏิเสธต่ออีกก็คงไม่ดี อวี๋กานกานจึงเก็บกุญแจใส่กระเป๋า เธอมาถึงปักกิ่งตอนบ่าย อากาศที่ปักกิ่งหนาวเป็นพิเศษ ประจวบเหมาะกับหิมะแรกของฤดูหนาวที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างพอดิบพอดี เกล็ดหิมะเริงระบำพลิ้วไหว ทิวทัศน์ถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์สีขาว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข


 


 


ทุกคนชอบหิมะ แต่อวี๋กานกานเกลียดหิมะ เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่จำความได้เธอก็เกลียดหิมะมาก เพราะหิมะมักจะให้ความรู้สึกทุกข์ทรมานแก่เธอ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 184 แพทย์แผนจีนวัยรุ่น


 


 


เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่จำความได้เธอก็เกลียดหิมะมาก เพราะหิมะมักจะทำให้เธอรู้สึกทุกข์ทรมาน เธอมักจะฝันอยู่บ่อยๆ เหตุการณ์ในความฝันเป็นวันที่หิมะตก ท่ามกลางหิมะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบสามสิบสี่ขวบ มองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน รู้สึกได้เพียงว่ามีสีแดงเต็มไปหมด สีของเลือดและหิมะตัดกันอย่างแสบสันสะดุดตา


 


 


เด็กคนนั้นเอาแต่ตะโกนใส่เธอ “รีบวิ่ง รีบวิ่ง…”


 


 


น่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เธอเกลียดหิมะ


 


 


……


 


 


สมาคมแพทย์แผนจีนเมืองไป๋หยางและปักกิ่งร่วมกันจัดงานสัมมนาครั้งนี้ขึ้น หนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยน สองเพื่อการศึกษา ระยะเวลาหนึ่งเดือน สถานที่จัดคือเมืองปักกิ่งซีเหมิน


 


 


อวี๋กานกานต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าคอนโดมิเนียมของหลินจยาอวี่ที่ปักกิ่งอยู่ใกล้กับสมาคมมาก นั่งรถแท็กซี่ไปสิบกว่านาทีก็ถึงแล้ว แต่เธอยังคงยึดมั่นว่าจะพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เพราะเธอไม่อยากทำตัวโดดเด่นเหนือคนอื่น แต่เธอหารู้ไม่ว่าเธอโดดเด่นเหนือคนอื่นตั้งแต่ได้เข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้แล้ว


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานเดินทางไปถึง ห้องโถงที่ใช้รายงานตัวแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเป็นที่เรียบร้อย เธอแอบกวาดตามอง มีหลายท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนของเมืองไป๋หยางและปักกิ่ง เป็นบุคคลทรงอิทธิพลในวงการแพทย์แผนจีน


 


 


สมาคมจัดงานสัมมนาเป็นประจำ เรียนเชิญแพทย์แผนจีนในประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หากว่างโดยปกติแล้วพวกเขาก็จะเข้าร่วม แต่ต่อให้ไม่ว่างพวกเขาก็จะส่งลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจที่สุดเข้าร่วมแทน


 


 


แพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับการสืบต่อความรู้ การวินิจฉัยอาการป่วยที่มีความซับซ้อน หากไม่วิเคราะห์ให้ลึก เทียบเคียงโดยใช้ตำราโรคไข้เพียงเล่มเดียว นั่นเป็นเรื่องยากที่จะรักษาได้อย่างตรงจุด


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานเดินเข้ามาในงาน มีคนมากมายชำเลืองตามามองเธอ แต่พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก พูดคุยกันต่อ


 


 


ขนาดพนักงานต้อนรับยังนึกว่าเธอมาตามหาผู้ร่วมงาน ถาม “มาหาใครคะ”


 


 


อวี๋กานกานยื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานของตนเองให้พนักงาน “สวัสดีค่ะ ฉันมาลงทะเบียนน่ะค่ะ!”


 


 


พนักงานต้อนรับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มองอวี๋กานกานด้วยสายตาประหลาดใจ ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินก็ต่างพากันตกอกตกใจ มองหน้ากันเลิกลักไปมา สีหน้าเหลือเชื่อกันทุกคน


 


 


นี่เหรอแพทย์ที่จะมาแลกเปลี่ยนศึกษาหาความรู้กับพวกเขา เด็กเกินไปแล้ว รูปร่างหน้าตาของเด็กสาวคนนี้ดูเหมือนยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ


 


 


เมื่อพนักงานต้อนรับได้สติคืนกลับมา ตระหนักได้ว่าตนเองเพิ่งจะทำตัวเสียมารยาทไป คลี่ยิ้มแล้วกล่าว “พอดีว่าทุกๆ ท่านมาพร้อมๆ กันหมด อาจจะจำเป็นต้องเรียงคิวสักหน่อยน่ะค่ะ”


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้ เธอเห็นเหล่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ยืนอยู่ข้างๆ พากันหัวเราะขำขัน คนที่ยืนอยู่ข้างเธอเอ่ยถามขึ้นมา “เธอมาจากสำนักไหน”


 


 


เนื่องด้วยสาเหตุทางด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษยศาสตร์ฯลฯ สำนักแพทย์แผนจีนที่รู้จักกันโดยทั่วไปจึงแบ่งออกเป็นเจ็ดสำนัก อวี๋กานกานไม่ได้อยู่สำนักไหนทั้งนั้น


 


 


อวี๋กานกานหันหน้าไปมอง เป็นผู้หญิงสวมชุดคอลเลคชั่นชาแนล หน้าตาฉลาดหลักแหลมเป็นการเป็นงาน ทั้งยังสวมกำไลหยกที่ดูมีราคาสูงลิ่ว อายุอานามน่าจะประมาณสามสิบกว่า คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนและศึกษาหาความรู้ด้วยกัน


 


 


อวี๋กานกานยิ้มแล้วตอบ “คุณปู่เป็นแพทย์แผนจีนน่ะค่ะ หนูเล่าเรียนกับคุณปู่ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ส่วนตอนสมัยมหาลัยเรียนแพทย์แผนตะวันตกค่ะ” อวี๋กานกานพูดพลางโค้งตัวอย่างมีมารยาทให้เหล่าผู้อาวุโส “หนูชื่ออวี๋กานกานค่ะ ระหว่างงานสัมมนารบกวนผู้อาวุโสทุกท่านโปรดช่วยชี้แนะด้วยค่ะ”


 


 


เมื่อหญิงสาวผู้สวมคอลเลคชั่นชาแนลได้ยินเช่นนี้ สายตาของเธอปรากฏความหยิ่งผยองเพิ่มขึ้นมาทันที และยังมีบางคนที่ดูถูกเหยียดหยามอวี๋กานกาน รู้สึกว่าเธอแค่ต้องการมาชุบตัวเท่านั้น เด็กที่ยังวัยรุ่นแบบนี้มีความรู้ความสามารถจริงๆ ที่ไหนกัน ที่ถูกส่งมาให้เข้าร่วมงานนี้ เบื้องหลังต้องมีเส้นสายที่เคี่ยวมากอย่างแน่นอน


 


 


สิ่งที่เธอเกลียดมากที่สุดคือคนที่อาศัยเส้นสายแบบนี้ เธอปรายตามองอวี๋กานกาน ส่งเสียงขึ้นจมูกไม่สบอารมณ์ “เหอะ…”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม