พันธกานต์ปราณอัคคี 177-183

ตอนที่ 177 ดอกท้อในส่วนลึกช่างงดงาม

 

“แม่นางมั่ว ข้างหน้าตรงนั้นก็คือสวนปี้ซิ่วแล้วเจ้าค่ะ” ไห่เอี้ยนในสาวใช้ฝาแฝดเอ่ย


 


 


คบหามาหลายวัน มั่วชิงเฉินเข้าใจแล้วว่าพี่สาวชื่อไห่อิง ร่างเริงเปิดเผยสักหน่อย น้องสาวชื่อไห่เอี้ยว สุขุมรอบคอบสักหน่อย ถึงบัดนี้แม้นางจะแยกทั้งสองคนจากรูปโฉมไม่ได้ ทว่าหากเปิดปากปุ๊บ ก็สามารถแยกแยะจากน้ำเสียงและท่าทางเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างได้


 


 


“สวนปี้ซิ่วนี้ ก็ไม่ห่างจากหอว่างไห่สักเท่าไร” มั่วชิงเฉินพูดตามสบาย


 


 


ไห่อิงยิ้มว่า “นั่นน่ะสิเจ้าคะ ทั้งสองที่นี้ล้วนเป็นสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเข้มข้น สร้างอยู่บนแหล่งปราณวิญญาณสายเดียวกันเจ้าค่ะ”


 


 


ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูท่าฐานะของคุณชายสี่ผู้นั้นในตระกูลหวังไม่ธรรมดาจริงๆ


 


 


สองวันก่อนคุณชายหกก็เล่าให้นางฟังแล้ว ตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่าน ท่านหนึ่งคือท่านหัวหน้าตระกูลที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ปกติจะสนใจเพียงเรื่องสำคัญเท่านั้น เรื่องทั่วไปจึงให้ปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นอีกท่านหนึ่งดูแล


 


 


ส่วนคุณชายสี่ นับว่าเป็นชนรุ่นหลังสายตรงของปรมาจารย์ระดับก่อแก่นปราณระยะต้นท่านนั้น บวกกับพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ได้รับความรักใคร่มาก ฐานะของเขาในตระกูลย่อมสูงขึ้นตามด้วย นับว่าเป็นคนที่โด่งดังที่สุดในรุ่นของพวกเขา


 


 


ระดับก่อแก่นปราณระยะต้น มั่วชิงเฉินย่อมสู้ไม่ได้เป็นธรรมดา ทว่ามีสมบัติวิเศษตามธรรมชาติไหมเกล็ดน้ำแข็งอยู่ในมือ หากเกิดเรื่องขัดแย้งกันก็มั่นใจว่าจะหนีจากเงื้อมมือเขาได้ นางก็อาศัยสิ่งนี้ถึงกล้ามาตระกูลหวังโดยลำพังคนเดียว ทว่าหากไม่ถึงสุดท้าย นางไม่มีทางใช้ไหมเกล็ดน้ำแข็งเด็ดขาด


 


 


สมบัติวิเศษและอาวุธเวท สามารถแยกแยะได้จากแสงวิญญาณที่เปล่งออกจากตัวพวกมันเอง เมื่อไหมเกล็ดน้ำแข็งปรากฏออกมา ทุกคนในตระกูลหวังก็จะเห็นได้ว่านางใช้สมบัติวิเศษ ส่วนสมบัติวิเศษที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานใช้ได้ย่อมต้องเป็นสมบัติวิเศษตามธรรมชาติอยู่แล้ว


 


 


คนตายเพราะละโมบนกตายเพราะตะกละ ต่อให้คนหนุนหลังมั่วชิงเฉินใหญ่โตเพียงไหน เกรงว่าทุกคนในตระกูลหวังก็ต้านความเย้ายวนของสมบัติวิเศษตามธรรมชาติไม่ได้ รวมทั้งหัวหน้าตระกูลหวังที่ปฏิบัติต่อนางอย่างค่อนข้างให้เกียรติผู้นั้นด้วย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรประลองวิชาเวทกัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณคิดจะโดดเด่นเหนือผู้อื่น อาศัยยันต์เป็นหลัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอาศัยอาวุธเวทเป็นหลัก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอาศัยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็นหลัก ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อก่อนปราณสิ่งที่อาศัยก็คือสมบัติวิเศษ โดยเฉพาะสมบัติวิเศษประจำตัวที่บ่มเพาะอยู่ในตันเถียน ยิ่งหล่อเลี้ยงบ่มเพาะนาน อานุภาพก็ยิ่งแข็งแกร่ง ปกติเป็นสิ่งตัดสินความสูงต่ำของพลังความสามารถของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรระดับชั้นเดียวกัน


 


 


ด้วยเหตุนี้จึงรู้ได้ว่า สมบัติวิเศษตามธรรมชาติที่ทัดเทียมกับสมบัติวิเศษประจำตัวมีแรงดึงดูดมากเพียงใดต่อผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว


 


 


โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็เป็นเช่นนี้แล คนที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์มีมากมาย เพราะผลประโยชน์ของการแหกกฎเทียบไม่ได้กับสิ่งชดเชยที่ต้องเสียไป สิ่งชดเชยนี้รวมทั้งสิ่งที่อยู่ในที่แจ้ง และก็รวมทั้งสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย


 


 


ส่วนเมื่อยามที่ผลประโยชน์ที่ได้จากการแหกกฎมากกว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาก พูดได้เพียงว่าคนที่ยังสามารถไม่สะดุ้งสะเทือนได้มีเพียงคนส่วนน้อยมากเท่านั้น


 


 


ไหมเกล็ดน้ำแข็งได้แต่ใช้ในการหนีเอาชีวิตรอดในยามสุดวิสัยเท่านั้น และนั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่มั่วชิงเฉินอยากได้ เพราะอย่างไรเสียการเดินทางมาตระกูลหวังหากต้องปิดฉากด้วยการที่นางหนีอย่างทุลักทุเล เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ของมั่วหนิงโหรวดีขึ้นแต่อย่างใด กระทั่งยังจะนำการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งแย่มาให้


 


 


ดังนั้นเมื่อยามที่มั่วชิงเฉินรับรู้ว่าตระกูลหวังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่านนั้น จึงรู้ว่าหากควบคุมสถานการณ์ได้ดี ไม่แน่ยังสามารถประหยัดเวลาได้ไม่น้อยทีเดียว


 


 


ก็ไม่รู้วันนี้ คุณชายสี่จะเชิญผู้ที่หนุนหลังเขาท่านนั้นออกมาหรือไม่?


 


 


มั่วชิงเฉินครุ่นคิดอยู่ในใจพลางก็ถึงประตูใหญ่สวนปี้ซิ่วแล้ว


 


 


สามคนหนึ่งอีกาเพิ่งยืนนิ่ง ประตูใหญ่ก็เปิดดังเอี๊ยด คุณชายสี่เดินนำออกมาก่อน คุณชายสิบเจ็ดตามอยู่ข้างๆ ด้านหลังคือผู้ชายสองสามคนที่แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้ หนึ่งในนั้นทำให้มั่วชิงเฉินชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าคือหยางปี้อู่คนเก็บมุก!


 


 


“แม่นางมั่วมาเยือน ช่างกันเกียรติแก่ข้าจริงๆ” คุณชายสี่ยิ้มเหมือนฟ้าใสเดือนกระจ่าง ชุดสีเหลืองสว่างชุดใหม่ยิ่งขับจนเขาสง่าดั่งต้นไม้หยกยามต้องลม


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ มั่วชิงเฉินก็นึกถึงนกยูงรำแพนหาง จึงอดเม้มปากยิ้มไม่ได้ “คุณชายสี่พูดจนข้ารู้สึกละอายใจไม่กล้าเข้าไปแล้ว”


 


 


เห็นลักยิ้มข้างปากมั่วชิงเฉินปรากฏรางๆ คุณชายสี่ใจสั่นไหว จึงพิจารณานางอย่างตั้งใจอีกปราดหนึ่ง ในใจแอบคิดว่าตั้งแต่เห็นแม่นางมั่วคนนี้ ก็หมายตาแต่ตบะของนาง ตัดสินใจจะบำเพ็ญเพียรคู่กับนาง ไม่คิดเลยว่าจะไม่ค่อยได้ใส่ใจรูปลักษณ์ของนางสักเท่าไร วันนี้นางยิ้มเช่นนี้ กลับเสน่ห์ล้นเหลือ หรือว่าการที่นางแต่งตัวไม่สะดุดตาเช่นนี้เพราะมีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่?


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้ จึงสังเกตรูปร่างท่วงท่าของมั่วชิงเฉินอีก จึงยิ่งรู้สึกว่านางในชุดเขียวช่างมีเสน่ห์ตามธรรมชาติ ทันใดนั้นในใจก็คาดหวังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


มั่วชิงเฉินตามพวกคุณชายสี่ไม่กี่คนเดินเข้าสวนปี้ซิ่ว ในใจเริ่มตื่นเต้น อยากรีบเจอมั่วหนิงโหรวแทบทนไม่ไหว แต่ก็มีความรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกอีก ตาสองข้างคอยสอดส่องไปทั่ว


 


 


สวนปี้ซิ่วไม่สง่าเท่าหอว่างไห่ กลับมีความสวยงามประณีตเพิ่มขึ้นมา ไม่รู้ใช่เพราะมั่วชิงเฉินอคติหรือไม่ มักรู้สึกว่าในอากาศมีกลิ่นหอมของแป้งแต่งหน้าเพิ่มขึ้นมา ทำให้นางไม่สบายยิ่งนัก


 


 


เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไป ก็เห็นป่าท้อผืนหนึ่ง ดอกไม้แย่งกันเบ่งบาน สวยงามอร่ามตา


 


 


จิตตระหนักของมั่วชิงเฉินสะดุ้งทีหนึ่ง ไม่คิดเลยว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตของนางกำลังระริกระรี้อยู่ในถุงอสูรวิญญาณ ส่งสัญญาณอย่างรุนแรงว่าจะออกมา


 


 


นางอดดีใจไม่ได้ ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตที่ว่าง่ายเสมอมาผิดปกติเช่นนี้ หรือว่าอยากออกมาเก็บน้ำหวานจากดอกไม้แล้ว?


 


 


ตั้งแต่ได้ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตมา เดิมทีนางนึกว่าจะสามารถกินน้ำผึ้งทิพย์รสโอชาได้เสียอีก ทว่าใครจะรู้ว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตนี้นอกจากชอบกินโอสถที่ตนหลอมไว้เพื่อให้อสูรวิญญาณใช้โดยเฉพาะแล้ว ก็ไม่สนใจดอกไม้พวกนั้นเลย


 


 


ในเวลานั้นมั่วชิงเฉินถึงกับตะลึงงัน อีกทั้งเพราะลงจากเขาแล้วไม่อาจขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่หวังหน้าทารกผู้นั้นได้ จึงได้แต่ปล่อยมันไปตามสบาย


 


 


เพียงแต่บางทีก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ตนนี้ช่างดวงไม่เลวเลยจริงๆ ก่อนอื่นเลี้ยงอีกาที่มีอุดมการณ์จะเกาะคนอื่นกินตัวหนึ่ง ต่อมาก็เลี้ยงผึ้งไม่กี่ตัวที่เอาแต่กินโอสถไม่ยอมเก็บน้ำผึ้งอีก


 


 


มั่วชิงเฉินแอบปล่อยผึ้งวิญญาณเลือดมรกตออกมา แล้วก็เห็นผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวนั้นถลาเข้าไปในป่าดอกท้อตามคาด


 


 


มั่วชิงเฉินกระดกมุมปาก ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตแม้ไม่มีพลังโจมตี ในด้านเก็บงำกลิ่นอายกลับโดดเด่นเป็นพิเศษ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นอกจากเห็นพวกมันเข้าโดยบังเอิญ มิเช่นนั้นลำพังใช้จิตตระหนักกวาดผ่านละก็ยากมากที่จะค้นพบความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณ จะเห็นพวกมันเป็นเพียงแมลงทั่วไปเท่านั้น


 


 


ทุกคนกำลังเดินอยู่ ทันใดนั้นสาวใช้อ้อนแอ้นอรชรกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามา เห็นทุกคนแล้วจึงรีบหลบไปอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นใส่ชุดสีเขียว คอระหงหลุบต่ำ ดวงตาสวยงามคู่นั้นกลับทนกวาดไปมาบนหน้าคุณชายสีไม่ไหว ใบหน้าเขินอายและดอกท้อละอ่อนต่างขับกันและกัน ดูคนงามกว่าดอกไม้เสียอีก กลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิรุนแรงนัก


 


 


“ซื่อสี่ ประเดี๋ยวไล่สาวใช้ที่ใส่ชุดเขียนนั่นออกไปจากสวนปี้ซิ่ว” คุณชายสี่ส่งเสียงทางจิตนิ่งเรียบ


 


 


หนึ่งในคนที่แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้ตอบว่า “ขอรับ”


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้สังเกตพวกนี้ หากแต่ตั้งใจพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัว ทันใดนั้นได้ยินเสียงส่งมาทางจิตว่า “อย่าดมดอกท้อ”


 


 


เป็นเสียงของหยางปี้อู่อย่างคาดไม่ถึง


 


 


เสียงที่ส่งมาทางจิตนี้ทั้งเบาทั้งเร็ว อีกทั้งยังสั้นและเรียบง่ายอีก เห็นชัดว่าด้วยตบะของหยางปี้อู่ กลัวว่าพูดมากไปจะถูกคนเห็นพิรุธได้


 


 


มั่วชิงเฉินใบหน้าไม่กระโตกกระตาก แอบกวาดสายตามองหยางปี้อู่ปราดหนึ่ง กลับเห็นเขาตาไม่ว่อกแว่ก ลักษณะเหมือนเด็กรับใช้ที่รักษากฎเกณฑ์


 


 


คำพูดนี้กลับทำให้นางไม่ค่อยเข้าใจแล้ว ยามที่เพิ่งปล่อยผึ้งวิญญาณออก เห็นพวกมันทะยานสู่ป่าดอกท้อ มั่วชิงเฉินยังอุตส่าห์สำรวจทีหนึ่ง กลับไม่พบว่าป่าดอกท้อมีสิ่งผิดปกติ ทว่าคำพูดของหยางปี้อู่ความนัยในความพูดกลับแอบสื่อว่าดอกท้อมีพิษดมไม่ได้ หรือว่าพิษนั้นจะแยบยลเพียงนี้ พูดตามหลักแล้ว พิษที่ยิ่งแยบยลก็ยิ่งล้ำค่า ต่อให้คุณชายสี่จะวางยาพิษก็เป็นไปไม่ได้ที่จะวางทั้งป่าดอกท้อกระมัง


 


 


ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ในใจมั่วชิงเฉินก็ระแวดระวังขึ้นเล็กน้อย


 


 


คุณชายสี่นำมั่วชิงเฉินเดินสู่ส่วนลึกของป่าดอกท้อ พลางเดินพลางหัวเราะว่า “แม่นางมั่ว เจ้าดูป่าท้อผืนนี้ของข้าเป็นเช่นไร?”


 


 


“งามเกินคำบรรยาย” มั่วชิงเฉินชมจากใจ


 


 


คุณชายสี่ยิ้มอย่างได้ใจ “แม่นางมั่วเจ้าดูทางนั้น”


 


 


มั่วชิงเฉินมองไป ไม่ห่างออกไปมีต้นท้อแก่ต้นหนึ่ง ขนาดลำต้นคาดคะเนด้วยสายตาคนสิบกว่าคนก็เกรงว่าจะล้อมไม่มิด เฉพาะเจาะจงความสูงยังไม่เท่าต้นท้อธรรมดาที่อยู่รอบๆ ดังนั้นหากไม่เดินมาถึงที่นี่ก็มองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง


 


 


ต้นท้อแก่ใหญ่และเตี้ย ดอกไม้ก็ไม่ได้สวยงามเท่าต้นท้อรอบๆ ดอกท้อแต่ละดอกกลับเปล่งแสงวิญญาณรางๆ กิ่งท้อประสานกันแน่นขนัด รวมกันเป็นเมฆสีแดงผืนใหญ่เหมือนอยู่ในความฝัน หมอกวิญญาณปกคลุมระหว่างใบสีมรกต เหมือนต้นไม้เซียนที่ถูกลืมไว้ในแดนมนุษย์


 


 


มั่วชิงเฉินเบิกตาแผ่วเบา ต้นท้อแก่นี้ดูท่าทางเกรงว่าต้องมีหลายพันปีแล้วกระมัง


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินชะงัก ในตาคุณชายสีฉายแววได้ใจ ปากกลับเอ่ยว่า “ต้นท้อต้นนี้บรรพบุรุษตระกูลหวังเราปลุกเองกับมือยามที่เพิ่งมาถึงทะเลขนาบใจ แม้ไม่ใช่ของเซียนอะไร ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับอยู่มาจนบัดนี้ นับแล้วก็มีหลายพันปีแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินพิจารณาต้นท้อแก่อย่างละเอียดยิ่งขึ้นปราดหนึ่ง พบว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวของตนนั้นกำลังยุ่งอยู่ตามคาด


 


 


ดูท่าทางผึ้งวิญญาณเลือดมรกตปากสูงทีเดียวนะ น่าเสียดายสวนสมุนไพรพกพามีเพียงพืชวิญญาณที่อยู่รอดได้ อสูรวิญญาณหากเข้าไปจะต้องตาย พวกมันไม่สามารถเข้าไปเก็บน้ำผึ้งได้


 


 


“แม่นางมั่ว เชิญนั่ง” คุณชายสี่ยื่นมือออกว่า


 


 


มั่วชิงเฉินถึงเห็นโต๊ะยาวกระจ่างใต้ต้นท้อตัวหนึ่ง สองข้างวางเก้าอี้สีเดียวกันไว้


 


 


“ตะลึงต้นไม้เซียนนี้จนมองไม่เห็นสิ่งอื่นแล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มพลางเข้าที่นั่ง


 


 


คุณชายสี่ถึงนั่งลง คุณชายสิบเจ็ดนั่งลงข้างๆ


 


 


ทั้งสามคนต่างนั่งลง คุณชายสี่ยื่นมือตบสองที ก็เห็นสาวใช้เสื้อขาวกระโปรงชมพูยกถาดเรียงกันมา แล้วถอยลงไปอีกเหมือนสายน้ำ พริบตาเดียวบนโต๊ะยาวก็วางอาหารรสโอชาเต็มไปหมด


 


 


นิ้วมือเรียวยาวของคุณชายสี่หนีบขวดสุราไว้ เทสุราทิพย์สามจอกนิ่งๆ แล้วยกขึ้นจอกหนึ่งตามสะดวกว่า “แม่นางมั่ว การทดสอบของเราราบรื่นเช่นนี้ เป็นผลงานของแม่นางไม่น้อย ข้าน้อยขอดื่มให้ก่อนเป็นการให้เกียรติ” พูดพลางแหงนหน้าดื่มลงไป พลิกจอกสุรา ให้มั่วชิงเฉินดูก้นจอก


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มพลางยกสุราขึ้นจอกหนึ่ง พูดคำพูดตามมารยาทแล้วดื่มหมดจอกเช่นกัน


 


 


แข่งดื่มสุรา นางไม่กลัวใครหรอกนะ ยิ่งกว่านั้นหากจะทำอะไรในสุรา ยิ่งปิดนางไม่ได้


 


 


สุรารสต่างกัน เป็นเพียงวัตถุดิบในการหมักต่างกันจึงก่อให้เกิดสัมผัสที่ต่างกัน ทว่าหากเพิ่มยาเข้าไป การเปลี่ยนแปลงของรสชาติเช่นนั้นคนธรรมดาแยกแยะไม่ออก นางที่ช่ำชองวิชาหมักสุรากลับเพียงชิมดูก็รู้ทันที


 


 


ไม่ต่างจากที่มั่วชิงเฉินคาดไว้ คุณชายสี่ไม่ได้โง่ถึงขนาดใส่อะไรไว้ในสุรา


 


 


ทั้งสามเพิ่งดื่มหมดจอกแรก คุณชายสี่กำลังคิดจะใช้คารมคมคายสำแดงวิชาเกี้ยวสาวที่ไม่เคยไม่ราบรื่นมาก่อน กลับเห็นเด็กรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา


 


 


คุณชายสี่ขมวดคิ้ว “บอกแล้วว่าไม่มีธุระห้ามมารบกวนมิใช่หรือ?”


 


 


บ่าวรับใช้ฝืนพูดว่า “เรียนคุณชายสี่ คุณชายหกมาขอรับ”


 


 


“ให้เขากลับไป บอกเขาว่าวันนี้ข้ามีธุระ” คุณชายสี่หน้าบึ้งขึ้นมา


 


 


เด็กรับใช้ฝืนอีกว่า “ยังมีคนที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง คุณชายหกบอกว่าเป็นแขกสำคัญที่พักอยู่ที่หอว่างไห่ขอรับ”


 


 


คุณชายสี่โมโหสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง สะบัดเด็กรับใช้ออกไปไกล “เหตุใดเจ้าไม่พูดให้จบในคราเดียว ยังไม่รีบไปพาเข้ามาอีก”

 

 

 


ตอนที่ 178 คลับคล้ายคลับคลาว่าคนบ้านเดียวกัน

 

มั่วชิงเฉินเหลือบมองสีหน้าบึ้งตึงของคุณชายสี่ แล้วเม้มปากยิ้ม นางว่าแล้วว่านางมาสวนปี้ซิ่วคุณชายหกต้องมีความเคลื่อนไหวเป็นแน่ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะเชิญผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ที่พักอยู่ที่หอว่างไห่เช่นกันมาด้วย คิดว่าน่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นกระมัง


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินที่ไม่เคยพบผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์มาก่อนในใจก็คาดหวังยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ นี่มีวิธีการบำเพ็ญเพียรที่ต่างกับผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าของพวกเขาโดยสิ้นเชิงเลยนะ หากแลกเปลี่ยนความรู้กันสักครา ไม่แน่อาจจะมีผลพลอยได้ก็ได้นะ


 


 


ไม่นานนัก ก็เห็นเด็กรับใช้คนนั้นเดินนำผู้ชายสองคนมา


 


 


คนหนึ่งในนั้นใส่ชุดเขียวธรรมดา ย่อมต้องเป็นคุณชายหกอยู่แล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งชุดเขียวทั้งชุดเช่นกัน กลับเป็นชุดยาวที่สีอ่อนกว่าสักหน่อย ผมผูกด้วยผ้าสี่เหลี่ยมสีเดียวกัน ใส่รองเท้าผ้าสีดำพื้นขาว แต่งตัวลักษณะเหมือนบัณฑิตแบบดั้งเดิม


 


 


บัณฑิตคนนี้หน้าผากอิ่มเอิบ ดั้งจมูกสูงเป็นสัน ทำให้คนมองดูแล้วรู้สึกถึงความมีคุณธรรม ดันมีดวงตาทั้งโตทั้งดำคู่หนึ่ง บดบังความรู้สึกยุติธรรมเกินไปไว้ กลับกันให้ความรู้สึกไร้เดียงสาและฉลาดเฉลียวแบบเด็กเล็กน้อย เป็นผู้ชายที่ดูแล้วอายุน้อยมากคนหนึ่ง


 


 


ในพริบตาที่มั่วชิงเฉินเห็นหน้าบัณฑิตอย่างชัดเจน ก็ชะงักในทันใด


 


 


คนคนนี้ นางเคยพบมาก่อน!


 


 


ในปีนั้น มั่วหนิงโหรวพานางไปไกวชิงช้า สุดท้ายมั่วหนิงโหรวไม่ระวังตกจากบนชิงช้าออกไปนอกกำแพง ตนกระโดดตามลงไป แล้วก็มีชายหนุ่มสามคนวิ่งมาช่วย ตนพอดีถูกบัณฑิตน้อยคนหนึ่งรับไว้


 


 


กาลเวลาผ่านไป พริบตายี่สิบหกปีผ่านไป บัณฑิตยังคงรูปโฉมดังเดิม เพียงแต่ความไร้เดียงสาหายไปเท่านั้น นางที่ความจำดียิ่งย่อมจำได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว


 


 


ในชั่วเวลาหนึ่ง มั่วชิงเฉินฟังไม่ถนัดว่าไม่กี่คนนี้พูดอะไรอยู่ เพียงเพราะในใจนางเกิดความรู้สึกน่าพิศวง


 


 


ยามอายุแปดขวบ นางและมั่วหนิงโหรวมีวาสนาได้พบหน้าบัณฑิตคนนี้ครั้งหนึ่งนอกกำแพงจวนตระกูลมั่วพร้อมกัน จากนั้นตระกูลมั่วมีภัย พี่น้องสองคนต่างคนต่างเจอกับสภาพการณ์ที่ต่างกัน ทว่ากลับได้มารวมกันอีกครั้ง ที่ตระกูลหวังในทะเลขนาบใจหลังจากนั้นยี่สิบกว่าปี นี่ คือวาสนาประเภทไหนกันแน่?


 


 


วาสนาการพานพบระหว่างคนและคน คือเหตุในชาติก่อนก่อให้เกิดผลในชาตินี้ใช่หรือไม่นะ?


 


 


ทางแห่งผลกรรม ทางแห่งผลกรรม สี่คำนี้ปรากฏขึ้นในใจมั่วชิงเฉินซ้ำแล้วซ้ำอีก


 


 


รู้แจ้งหลายครั้ง นางเคยตริตรองถึงทางแห่งธรรมชาติ ทางแห่งความเป็นตาย บัดนี้ก็รู้แจ้งเกี่ยวกับทางแห่งผลกรรมขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว


 


 


หรือว่าเมื่อยามนางมีโอกาสรู้แจ้งถึงทางแห่งสังสารวัฏ ทางแห่งความว่างเปล่าต่างๆ ถึงสามารถตระหนักถึงทางที่ตนต้องเดินกระมัง


 


 


“แม่นางมั่ว แม่นางมั่ว…” คุณชายสี่เห็นมั่วชิงเฉินจ้องบัณฑิตหนุ่มตะลึงงัน สีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


คุณชายหกก็แอบแปลกใจ แม่นางมั่วผู้นี้เหตุใดจึงมองผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์คนนั้นตาไม่กะพริบ เอาเถอะ แม้เขาไม่ยอมรับไม่ได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์นั่นมีบุคลิกที่หาไม่ได้บนตัวผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าทั่วไป ทำให้เขาดูแล้วต่างจากคนอื่น ทว่าด้วยนิสัยของแม่นางมั่ว ไม่น่าใช่หญิงสาวที่จะถูกยั่วยวนได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกกระมัง


 


 


ได้ยินเสียงเรียกขอวคุณชายสี่มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา ยิ้มให้พวกเขาอย่างอักอ่วนเล็กน้อย ในใจกลับตัดสินใจจะไม่พูดถึงเรื่องอดีต เพราะอย่างไรเสียปีนั้นมีโอกาสเจอกันเพียงครั้งเดียว ได้คุยกันน้อยมาก เดิมทีก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงอยู่แล้ว อีกอย่าง คนเขาเกรงว่าก็จำแม่นางน้อยอายุแปดขวบเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้กระมัง


 


 


“แม่นางมั่วสวัสดี” บัณฑิตทักทายอย่างมีมารยาท ราวกับอาการเสียกิริยาเมื่อครู่ของมั่วชิงเฉินไม่ได้เกิดขึ้นมาก่อน


 


 


มั่วชิงเฉินคารวะกลับอย่างเกรงใจเช่นกัน ทุกคนนั่งลงใหม่


 


 


“วันนี้ช่างเป็นเกียรติแก่สวนปี้ซิ่วของข้าจริงๆ มีแขกสำคัญมาติดต่อกันถึงสองท่าน คุณชายหลี่ ข้าน้อยเลื่อมใสท่านและอาจารย์ของท่านมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีวาสนาได้พบมาตลอด วันนี้ดีที่ได้น้องหกแล้ว” คุณชายสี่กลับมาใจเย็น พูดจาถูกกาลเทศะดังเดิม


 


 


เมื่อมั่วชิงเฉินประสานสายตากับคุณชายหก คุณชายหกก็พยักหน้าเบาๆ ให้นาง จึงอดแอบหัวเราะในใจไม่ได้ว่าเป็นแผนของคุณชายหกจริงๆ ด้วย เพียงแต่สองวันก่อนคุณชายหกยังบอกว่าไม่รู้จักผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์สองท่านที่หอว่างไห่อยู่แลย วันนี้ตกลงใช้วิธีอันใดกันแน่ถึงเชิญคุณชายหลี่ท่านนี้มาสวนปี้ซิ่วได้นะ?”


 


 


ความสงสัยของนางถูกแก้อย่างรวดเร็ว คุณชายสี่เพิ่งพูดเสร็จ คุณชายหลี่ก็เอ่ยว่า “คุณชายสี่เกรงใจไปแล้ว ข้าได้ยินคุณชายหกบอกว่าในสวนของท่านนี้มีต้นท้ออายุมากกว่าพันปีต้นหนึ่ง ยามนี้เป็นยามดอกไม้เบ่งบาน หึๆ ยังขอให้คุณชายสี่อย่าหัวเราะเยาะ คนเช่นข้านี่เมื่อได้ยินว่ามีทิวทัศน์สวยสาวงามอะไรที่ไหน ไม่ไปดูให้เห็นกับตาสักทีในใจก็จะรู้สึกคันคะเยอไม่หาย”


 


 


ทิวทัศน์สวยสาวงาม…เอาเถอะ เด็กคนนี้ช่างซื่อสัตย์จริงๆ มั่วชิงเฉินแอบพูดในใจ


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้ คุณชายสิบเจ็ดก็ตาเป็นประกาย แอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สี่ ข้าว่าคุณชายหลี่คนนี้น่าจะค่อนข้างชอบอิสตรี เหตุใดท่านไม่เรียกสาวงามในสวนปี้ซิ่วพวกนั้นออกมาร้องรำทำเพลงสักครา หากสามารถสร้างสัมพันธ์กับเขาได้ ท่านหัวหน้าตระกูลอาจไม่แทรกเรื่องของท่านกับแม่นางมั่วก็ได้”


 


 


คุณชายสี่ใจหวั่นไหวทันที คุณชายหลี่คนนี้แม้มีตบะระดับสร้างรากฐาน อาจารย์ของเขากลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ท่านหัวหน้าตระกูลค่อนข้างให้เกียรติอาจารย์เขา สองคนเคยปิดประตูคุยกันสามวันไม่ออกมา เห็นได้ชัดว่าหวังจะอาศัยการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้บำเพ็ญเพียรในแขนงอื่นๆ เพื่อเกิดการรู้แจ้ง บรรลุทางแห่งการก่อกำเนิด


 


 


หากมีสัมพันธ์อันดีกับคุณชายหลี่ เรื่องที่ตนวางแผนก็ยิ่งมั่นใจขึ้นแล้ว


 


 


นึกถึงตรงนี้คุณชายสี่ตบมือ ยิ้มว่า “คุณชายหลี่ช่างเป็นคนเปิดเผยที่หาได้ยากในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรจริงๆ มีดอกไม้ไม่มีสุราพูดได้ว่าไร้รสชาติ มีสุราไม่มีคนพูดได้ว่าไม่สนุก เช่นนั้นก็ให้พวกเราดื่มสุราชมดอกไม้ดูร่ายรำด้วยกันเป็นเช่นไร?”


 


 


พูดจบก็ไม่รอคุณชายหลี่ตอบรับ ก็ปล่อยสัญญาณออกไปสายหนึ่ง ทันใดนั้นเห็นหญิงสาวเกล้าผมทรงเมฆาในชุดชาววังกลุ่มหนึ่งเดินออกจากส่วนลึกในป่าท้อ บ้างร้องบ้างรำ เหมือนนางฟ้าจำแลง


 


 


คุณชายหลี่ชั่วเวลาหนึ่งดูจนตะลึง ดวงตากลมโตเป็นประกายแวววับ


 


 


คณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดประสานตากันหนึ่งยิ้ม มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูดไม่จา


 


 


คุณชายหกแอบร้อนใจ เดินทีเขานึกว่านำคุณชายหลี่มา แผนที่สู้หน้าคนไม่ได้ของหวังสี่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็จะใช้ไม่ได้แล้ว ทว่าไม่คิดว่าพวกเขากลับตั้งใจดึงคนคนนี้ให้เข้าเป็นพวก จึงอดแอบส่งเสียงทางจิตบอกเรื่องนี้แก่มั่วชิงเฉินไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินกลับตอบว่า “คุณชายหกไม่ต้องใจร้อน ข้ากลับรู้สึกว่าคุณชายหลี่คนนี้ไม่เหมือนคนประเภทนั้น”


 


 


คุณชายหกร้อนรนว่า “แม่นางมั่ว ความคิดของผู้ชายเจ้าไม่เข้าใจ…” พูดถึงตรงนี้รู้สึกตัวว่าล่วงเกินแล้ว จึงหยุดลง


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “คุณชายหก ผู้อยู่ภายนอกจะเห็นชัดเจนกว่า”


 


 


คุณชายหลี่ผู้นั้นแม้ใบหน้าเคลิบเคลิ้ม ทว่าแววตาที่เขาดูสาวงามทั้งหลายกับต้นท้อต้นนั้นกลับไม่ต่างกัน พวกเขาที่เป็นผู้ชายแยกแยะไม่ออก ทว่าหญิงสาวที่จิตใจละเอียดอ่อนสามารถรับรู้ถึงความแตกต่างเช่นนี้ได้


 


 


คุณชายหกเห็นมั่วชิงเฉินอารมณ์ไม่หวั่นไหวไปด้วย จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย


 


 


หญิงสาวทั้งหลายร่ายรำเสร็จ ก็พรั่งพรูมาถึงหน้าโต๊ะ


 


 


ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจามดังมากเสียงหนึ่ง ทุกคนชะงัก แล้วก็ได้ยินเสียงที่ไม่น่าฟังว่า “ไอยา ฉุนจนจะตายอยู่แล้ว!”


 


 


มั่วชิงเฉินตะเกียบกระตุกทีหนึ่ง เนื้อกระจกที่คีบขึ้นมาตกลงไป อีกาไฟช่างเป็นคนเก่งจริงๆ เลย นิ่งเงียบไม่ไหวติงเกาะอยู่บนไหล่ตนมาตลอด ในเวลาสำคัญกลับพูดเช่นนี้ขึ้นมา


 


 


บรรยากาศสวยงามอ้อนแอ้นที่เหล่าหญิงสาวนำมาถูกกวาดเกลี้ยงในพริบตา คุณชายสี่สีหน้าอึมครึม คุณชายสิบเจ็ดแอบด่าว่าเดรัจฉานขนแบน กลับติดแผนที่คุณชายสี่วางไว้ต่อมั่วชิงเฉินไม่กล้าพูดล่วงเกินอีก คุณชายหกกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ


 


 


คุณชายหลี่เบิกดวงตากลมโตคู่นั้นให้โตยิ่งขึ้น เอนตัวมาข้างหน้าว่า “นี่ นี่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นอีกาไฟชั้นสอง ช่างหายากจริงๆ เลย”


 


 


อีกาไฟหันหน้าไปอย่างไม่แยแส พอดีเห็นสีหน้าบึ้งตึงของคุณชายสิบเจ็ด อีกาไฟที่ถูกกลิ่นแป้งแต่งหน้าบนตัวหญิงสาวกลุ่มนั้นสุมจนไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งโกรธขึ้นมาทันทีว่า “มองอะไร ไม่เคยเห็นสาวงามหรือไร!”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดแอบสูดลมอึดหนึ่ง อดทนแล้วอดทนอีกถึงกดความอยากลุกขึ้นอัดมันสักตั้งไว้


 


 


“อู๋เย่ว์ ทำได้ไม่เลว กลับไปทำน้ำองุ่นน้ำให้เจ้าดื่ม” มั่วชิงเฉินใช้จิตตระหนักคุยด้วย


 


 


อีกาไฟสะบัดขน “ข้าจะดื่มสุรา ดื่มสุราที่หมักจากผลองุ่นน้ำ”


 


 


มั่วชิงเฉินรีบรับปาก แล้วพูดกับคุณชายหลี่ว่า “คุณชายหลี่ความรู้กว้างขวาง ถูกแล้ว ได้ยินว่าคุณชายหลี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ ข้าแปลกใจความแตกต่างของผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์และผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเรามาตลอด ไม่ทราบคุณชายหลี่เต็มใจพูดให้เราฟังหรือไม่?”


 


 


คุณชายหลี่ที่อิ่มบุญตาอีกทั้งสุราเลิศรสลงท้องเกิดอารมณ์อยากพูดแล้ว “ทุกท่านน่าจะรู้ว่าสิ่งที่แตกต่างที่สุดระหว่างพวกเราผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์และผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าก็คือเราไม่ต้องการรากวิญญาณ หากแต่เป็นปราณคัมภีร์ที่ติดตัวกระมัง?”


 


 


คุณชายหกละอายใจเล็กน้อย คุณชายสี่กลับว่า “ถูกต้อง นี่ก็เป็นส่วนที่ข้าน้อยแปลกใจ ไม่มีรากวิญญาณ พวกท่านดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดินได้เช่นไรกันนะ?”


 


 


คุณชายหลี่โบกพัด “เราไม่ดูดซับปราณวิญญาณจากฟ้าดิน หากแต่ดูดซับปราณแห่งความซื่อตรงและยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่านั้นการบำเพ็ญเพียรของเราก็ไม่ใช่การนั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว อ่านคัมภีร์ เขียนอักษร วาดภาพ หรือกระทั่งปลุกต้นไม้ใบหญ้า สิ่งต่างๆ ในการใช้ชีวิต ล้วนคือการบำเพ็ญเพียร อาจารย์เคยกล่าวไว้ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเน้นคือบำเพ็ญเพียรใจบำเพ็ญเพียรนิสัย บำเพ็ญเพียรทั้งกายใจ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรพระเน้นคือใจกระจ่างเห็นนิสัย สี่ธาตุล้วนว่างเปล่า ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์เราเน้นรักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอก…”


 


 


สิ่งที่พูดมาทำให้มั่วชิงเฉินตื่นตาตื่นใจ นางรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรมารดูดซับปราณมารจากฟ้าดิน ผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าดูดซับปราณวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเพียรปีศาจดูดซับปราณวิญญาณแล้วเปลี่ยนเป็นปราณปีศาจ กลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ดูดซับคือปราณแห่งความซื่อตรงและยิ่งใหญ่ ส่วนรักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอกที่เขาเอ่ยมา ยิ่งฟังจนงงงวย จึงอดถามออกมาไม่ได้ว่า “คุณชายหลี่  รักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอก หมายความว่าเช่นไร?”


 


 


“รักษาใจคุณธรรมเมตตาปรานี ก็คือรักษานิสัยติดตัวแต่กำเนิด นิสัยพื้นฐานคนล้วนเมตตา ดังนั้นจึงต้องรักษาไว้อย่าให้หาย อย่าให้เปลี่ยนแปลงไปเพราะความปรารถนาที่เกิดขึ้นภายหลัง นี่ก็คือสิ่งที่เราต้องการ ส่วนปราชญ์อยู่ในอำนาจอยู่นอก…” พูดถึงตรงนี้จู่ๆ คุณชายหลี่ก็เกาศีรษะ หัวเราะหึๆ ว่า “อาจารย์บอกว่าตามที่ตบะสูงขึ้นก็จะค่อยๆ สัมผัสได้เอง ให้ข้าอย่างคิดส่งเดชแล้ว”


 


 


นิสัยพื้นฐานคนล้วนเมตตา มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าคำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่ เต๋าที่นักปราชญ์ตั้งมั่นและของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าส่วนใหญ่ต่างกัน ทว่าเป้าหมายสุดท้ายกลับล้วนเป็นการบรรลุหนทางแห่งการมีชีวิตยืนยาว


 


 


นี่ไม่ถูกต้องนี่นา เต๋า มาร ปีศาจ พระ ปราชญ์ วิธีการของห้าแขนงใหญ่แห่งการบำเพ็ญเพียรต่างกันโดยสิ้นเชิง วัตถุที่ดูดซับจากฟ้าดินก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ศีลธรรมคุณธรรมที่แสวงหาก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าจากปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณนั่น ตนสรุปได้รางๆ ว่าถึงระยะแยกดวงจิตแล้วพวกเขาต่างเข้าสู่โลกวิญญาณเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นั่นมิใช่หนทางที่แตกต่างกันนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันหรอกหรือ?


 


 


หากเป็นเช่นนี้ จะแยกอะไรเต๋า มาร ปีศาจ พระ ปราชญ์ ไปเพื่ออะไร?


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกสงสัย จึงถามคำถามคุณชายหลี่อีกหลายคำถาม ส่วนคุณชายหลี่เมื่อสุราทิพย์ลงท้อง ก็ค่อยๆ พูดมากขึ้นมา ตอบอย่างตั้งใจและเวลาเดียวกันยังถามคำถามมั่วชิงเฉินไม่น้อยอีก ในชั่วเวลาหนึ่ง สองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ


 


 


พวกคุณชายสี่เมื่อเพิ่งเริ่มต้นยังตั้งใจฟังอยู่ ถึงตอนหลังเห็นสองคนยิ่งคุยยิ่งสนุก หัวข้อวนเวียนอยู่ที่เต๋า ปราชญ์สองแขนงยิ่งคุยยิ่งกว้าง จึงอดกลัดกลุ้มขึ้นมาไม่ได้


 


 


“พี่สี่ เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะ ขืนพูดต่อไป เจ้านั่นมิใช่จะเปลี่ยนจากแขกจะกลายเป็นเจ้าบ้านแล้วหรอกหรือ?” คุณชายสิบเจ็ดส่งเสียงทางจิตว่า


 


 


คุณชายสี่ไม่คิดขโมยไก่ไม่ได้เสียข้าวสารอีกกำมือหรอกนะ จึงรีบพูดแทรกว่า “สิ่งที่คุณชายหลี่พูดช่างทำให้พวกเราเปิดโลกทัศน์จริงๆ มา มา ข้าขอคารวะคุณชายหลี่หนึ่งจอก”


 


 


คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดผลัดกันคารวะเสร็จ คุณชายสี่ใบ้ให้หญิงสาวทั้งหลายเข้าไปคารวะสุราอีก ถูกคุณชายหลี่รีบห้ามไว้ว่า “สาวงามมองได้เพียงไกลๆ ให้คารวะสุราก็แปดเปื้อนแล้ว ไม่ต้อง ไม่ต้อง”


 


 


“บัณฑิตจนคร่ำครึ!” คุณชายสี่แอบด่า


 


 


มั่วชิงเฉินกลับเห็นตาสีดำสะอาดบริสุทธิ์ของคุณชายหลี่ฉายแววเจ้าเล่ห์แวบหนึ่ง


 


 


คุณชายสิบเจ็ดกลอกตา ยิ้มว่า “คุณชายหลี่ พวกเจ้าผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์ต้องมีปราณคัมภีร์ คิดว่าคงเหมือนบัณฑิตในโลกฆราวาสเชี่ยวชาญโคลงฉันท์กาพย์กลอน เอาอย่างนี้ก็แต่งกลอนเกี่ยวกับทิวทัศน์อันสวยงามเบื้องหน้าสักบท จะได้เป็นที่ระลึกในการสังสรรค์ครั้งนี้ท่านว่าเป็นเช่นไร?”


 


 


คุณชายสี่รีบตบมือ “น้องสิบเจ็ดพูดถูก คุณชายหลี่ว่าดอกท้อสุราเลิศรสสาวงามของข้าที่นี่ จะปลุกอารมณ์กวีของคุณชายขึ้นมาได้หรือไม่นะ?”


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มมุมปากแผ่วเบา รู้ว่าสองคนนี้เห็นคุณชายหลี่ปฏิเสธไม่ดื่มสุราจึงจงใจทำให้ลำบากใจ ทว่าในใจก็แปลกใจการกระทำของคุณชายหลี่เช่นกัน จึงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ดูความครึกครื้น


 


 


ดวงตากลมโตคู่หนึ่งของคุณชายหลี่โค้งลง กลิ่นอายสุรากลับย้อมแก้มให้เป็นสีแดงระเรื่อ


 


 


เห็นเพียงเขาพลิกข้อมือ ในมือปรากฏพู่กันใหญ่ขึ้นด้ามหนึ่ง ต่อจากนั้นกระดาษข้าวยาวหนึ่งจั้งกว่าใบหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ


 


 


คุณชายหลี่เดินไปถึงหน้ากระดาษ ยกพู่กันขึ้นแล้วเขียนดั่งน้ำไหล ถึงสุดท้ายพู่กันใหญ่บินออกไปขีดขีดสุดท้ายลง กระดาษข้าวทั้งใบเปล่งแสงวิญญาณแวบหนึ่ง แล้วตกเข้ามาในมือ


 


 


พวกคุณชายสี่ไม่กี่คนเดินขึ้นไป เริ่มแรกสีหน้านิ่งเรียบ ทว่าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความตกใจ ถึงสุดท้ายกลายเป็นความตะลึงพรึงเพริด


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกใจ อดลุกขึ้นเดินเข้าไปไม่ได้


 


 


เห็นเพียงลายมือหวัดบนกระดาษนั่นเหมือนมังกรเหินหงส์ร่ายรำ อิสระสง่างาม อ่านเพียงวรรคแรกของบทกลอนบนกระดาษ มั่วชิงเฉินก็เหมือนถูกฟ้าผ่า รู้สึกเพียงว่าในสมองดังโครมคราม


 


 


“กระท่อมดอกท้อในเถาฮวาวู่ เซียนดอกท้อในกระท่อมดอกท้อ


 


 


เซียนดอกท้อปลูกต้นท้อ เด็ดกิ่งดอกท้อแลกสุรา


 


 


สร่างสุรานั่งลงหน้าดอกท้อ เมาสุรายังมานอนใต้ดอกท้อ


 


 


ครึ่งเมาครึ่งตื่นวันซ้ำวัน ดอกท้อร่วงดอกท้อบานปีซ้ำปี…”


 


 


คุณชายหกเคลิบเคลิ้ม พึมพำอ่านบทกลอนจนจบ แล้วอดตบมือชื่นชมไม่ได้ “กลอนดี ช่างเป็นกลอนดีจริงๆ!”


 


 


มั่วชิงเฉินดวงตาที่งดงามคู่นั้นจับจ้องคุณชายหลี่ไม่กะพริบ สีหน้าที่พยายามสงบใจยากจะปิดบังความตกตะลึงในใจ กลอนที่มีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ ต่อให้นางมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มาหลายสิบปี แต่จะให้ลืมไปได้อย่างไร


 


 


นี่คือกลอนกระท่อมดอกท้อของถังปั๋วหู่[1]นี่นา ในโลกนั้น ขอเพียงเป็นคนที่มีความรู้พื้นฐานทางวรรณคดีเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีทางจำผิดได้!


 


 


หรือว่าในโลกนี้ วิญญาณเดียวดายที่มาจากต่างโลกไม่ได้มีเพียงนางคนเดียว?


 


 


มั่วชิงเฉินมองคุณชายหลี่ เขาที่เขียนกลอนบทนี้ลงมากลับสีหน้าไม่สะทกสะท้าน มีความรู้สึกสะใจที่ได้แต่งกลอนระบายความตื้นตันในใจหลังลิ้มลองสุรา


 


 


ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกไม่พอใจแวบหนึ่ง หากคนคนนี้มาจากที่เดียวกัน การขโมยผลงานของคนอื่นอย่างเปิดเผยเช่นนี้แล้วยังไม่รู้สึกละอายใจอีก จิตใจจะเข้มแข็งเกินไปสักหน่อยแล้ว


 


 


ท่ามกลางการจ้องมองด้วยสายตาเป็นประกายของมั่วชิงเฉิน คุณชายหลี่กระแอมเบาๆ เสียงหนึ่ง โคนหูค่อยๆ แดงขึ้นมา


 


 


“แม่นางมั่ว” คุณชายหกเตือนเบาๆ ไม่เข้าใจว่าวันนี้มั่วชิงเฉินเป็นอะไรไป เหตุใดถึงเสียกิริยาต่อหน้าคุณชายหลี่บ่อยครั้ง ทันใดนั้นกลับสะดุ้งเฮือก หรือว่านางพึงใจต่อคุณชายหลี่ตั้งแต่การพบกันครั้งแรกจริงๆ?


 


 


มั่วชิงเฉินกลับไม่ได้เบนสายตาออก ในใจลังเลชั่วครู่ ยังคงทนไม่ไหวว่า “กลอนนี้ช่างงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในเวลาสั้นเช่นนี้สามารถแต่งผลงานวิจิตรที่เข้ากับสถานการณ์ได้เช่นนี้ คุณชายหลี่ช่างทำให้ชิงเฉินนับถือจริงๆ”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ถังปั๋วหู่ หรือ ถังป๋อหู เป็นกวี จิตรกร ที่เลื่องชื่อในสมัยราชวงศ์หมิง 

 

 


ตอนที่ 179 กิ่งท้อขจัดเสนียดจัญไรได้

 

“ชิงเฉิน?” ยามที่คุณชายหลี่ได้ยิน ‘ชิงเฉิน’ สองคำก็ชะงักงันเช่นกัน ปากบ่นพึมพำว่า “มั่วชิงเฉิน หา แม่นางมั่ว เจ้า เจ้าคือแม่นางน้อยชุดขาวคนนั้น?” 


 


 


มั่วชิงเฉินตกตะลึงอีกครั้ง นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหตุใดคนคนนี้ถึงจำตนได้ 


 


 


ที่จริงพูดออกมาแล้วกลับไม่ใช่เรื่องแปลก ปีนั้นคุณชายหลี่ก็เพราะเห็นมั่วชิงเฉินและมั่วหนิงโหรวไกวชิงช้า ถึงได้ยินสหายพูดถึงเรื่องตระกูลเซียน และก็ในวันนั้นนั่นเองที่เขาเริ่มต้นวาสนาการเป็นเซียน นับแต่นั้นเข้าสู่เส้นทางที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงสายหนึ่ง 


 


 


สามารถพูดได้ว่า เหตุการณ์มั่วหนิงโหรวและมั่วชิงเฉินไกวชิงช้า เป็นจุดเริ่มต้นของหลักชัยอันหนึ่งในชีวิตเขา สำหรับคำพูดของพวกนางพี่น้องสองคนในปีนั้นได้สลักเข้าไปในสมองของเขาตั้งนานแล้ว พริบตาเดียวยี่สิบกว่าปีผ่านไป เขายังคงจำได้ว่าเด็กผู้หญิงชุดชมพูคนนั้นชื่อมั่วหนิงโหรว เด็กผู้หญิงชุดขาวชื่อมั่วชิงเฉิน  


 


 


“คุณชายหลี่ ไม่คิดว่าเรื่องตั้งหลายปีมาแล้วเจ้ายังจำได้” มั่วชิงเฉินกระดกมุมปาก ในใจกลับยิ่งอยากรู้มากกว่าว่าคนคนนี้ตกลงทะลุมิติมาเหมือนนางใช่หรือไม่ 


 


 


ครั้งนี้คุณชายหลี่พิจารณามั่วชิงเฉินอย่างตั้งใจ ในใจยังจำได้ถึงความตะลึงที่เห็นเด็กผู้หญิงชุดขาวเป็นครั้งแรก วันเวลาต่อจากนั้นยามนึกถึงเรื่องเก่าก่อนเป็นครั้งคราว ก็จะแอบคิดว่าหากเด็กผู้หญิงคนนั้นเติบใหญ่แล้วจะเป็นคนงามหยดย้อยเพียงใด ทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น เขาก็จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่อาจเห็นกับตา 


 


 


ทว่าบัดนี้ดูแล้ว นางแต่งตัวค้อมต่ำ ความงามไฉไลอ่อนเยาว์บนใบหน้าถูกผมบดบัง คนไม่รู้ดูแล้วก็คิดเพียงว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


นึกถึงตรงนี้ในใจคุณชายหลี่เหมือนมีแมวข่วนขึ้นมาทันที คนเช่นเขามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง ต้านทานแรงดึงดูดของความงามไม่อยู่ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้แค่เอื้อมยังไม่อาจเห็นได้ นอนไม่หลับสิ้นดี 


 


 


“คุณชายหลี่ แม่นางมั่ว พวกท่านนี่คือ?” เห็นสองคนเริ่มประสานสายตากันอีกแล้ว คุณชายสี่ออกปากพูดแทรก 


 


 


คุณชายหลี่ได้สติกลับมา “หลายปีก่อน ข้าและแม่นางมั่วมีวาสนาได้พบกันครั้งหนึ่ง พูดไปแล้ว พวกเรายังเป็นคนบ้านเดียวกัน” 


 


 


คุณชายหกคิดไปเองว่ามีคำอธิบายต่อความผิดปกติก่อนหน้านี้ของมั่วชิงเฉินแล้ว ถอนใจว่า “เช่นนี้แล้ว คุณชายหลี่และแม่นางมั่วมีวาสนามากนะ” 


 


 


“ก็นั่นน่ะสิ ถูกแล้ว แม่นางมั่ว เหตุใดเจ้าถึงมาทะเลขนาบใจได้ล่ะ? ข้าจำได้ว่าปีนั้นแม่นางน้อยที่อยู่ด้วยกันกับเจ้าคือพี่สิบสี่ของเจ้าสินะ บัดนี้นางอยู่ไหน?” คุณชายหลี่สีหน้าเปิดเผย ถามติดๆ กันว่า 


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปากแล้วถึงว่า “ชิงเฉินออกมาฝึกตน มาถึงที่นี่ด้วยความบังเอิญเท่านั้น” ข้ามคำถามข้างหลังไป 


 


 


“ฮ่าๆ พบสหายเก่าในต่างแดนเป็นความอภิรมย์ของชีวิต ทั้งสองท่านยิ่งต้องดื่มหนึ่งจอกใหญ่” คุณชายสี่พูดพลางดันสุราทิพย์ข้ามมา 


 


 


ทุกคนดื่มกันอย่างรื่นรมย์ ผลไม้ทิพย์สุราเซียนบนโต๊ะยาวกระจ่างหมดไปกว่าครึ่ง ทันใดนั้นคุณชายสี่ลุกขึ้น สองสามก้าวเดินไปถึงข้างต้นท้อแก่หักกิ่งท้อลงมากิ่งหนึ่ง เดินกลับมาเนิบๆ ยื่นให้มั่วชิงเฉินว่า “แม่นางมั่ว ดอกท้อสาวงาม ส่งเสริมกันให้งามยิ่งขึ้น กิ่งดอกท้อนี้ก็ขอมอบให้แม่นางมั่วแล้ว ขออย่าได้รังเกียจ” 


 


 


มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง ที่หยางปี้อู่เตือน ก็คือตรงนี้ใช่หรือไม่? 


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินลังเล คุณชายสิบเจ็ดพูดแทรกว่า “แม่นางมั่วไม่รู้อะไร ต้นท้อต้นนี้เป็นพันธุ์ประหลาด กิ่งท้อมีฤทธิ์ในการไล่เสนียดจัญไร แม้ถูกหักลงมาแล้วกลับดอกบานไม่รู้โรย พกติดตัวไว้กลิ่นหอมไม่หาย ต่อให้เป็นหยกหานเซียงก็เทียบไม่ติด เป็นของที่หญิงสาวในทะเลขนาบใจของเราละเมอเพ้อหา” 


 


 


มั่วชิงเฉินเหลือบมองคุณชายหกปราดหนึ่ง กลับเห็นคุณชายหกพยักหน้าแผ่วเบา เห็นชัดว่าบอกใบ้ให้นางรับไว้ ดูแล้วคำพูดของคุณชายสิบเจ็ดไม่ผิด 


 


 


มั่วชิงเฉินยอมรับ ตนใจหวั่นไหวแล้ว สามารถทำเป็นถุงหอมอะไรประเภทนั้นนางกลับไม่ใส่ใจ ที่สำคัญคือความสามารถในการไล่เสนียดจัญไรช่างยากจะปฏิเสธโดยแท้ 


 


 


ต้องรู้ว่าโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมหัศจรรย์พันลึก เรื่องประหลาดมากมี บัดนี้สถานที่ที่นางเดินทางไปฝึกตนยังน้อย วันหลังยากจะหลบเลี่ยงต้องพบเจอภูตผีบ้าง และอาวุธเวทสมบัติวิเศษประเภทสามารถพิชิตภูตผีได้ ล้วนเป็นของค่อนข้างนอกลู่นอกทาง ปกติผู้บำเพ็ญเพียรยากจะพบเจอ หากมีกิ่งท้อกิ่งนี้แล้ว เมื่อใดที่เจอภูตผี นางก็ไม่ต้องอับจนหนทางโดยสิ้นเชิงแล้ว  


 


 


“พวกเจ้าสัมผัสได้ว่ากิ่งท้อนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่?” มั่วชิงเฉินแอบสื่อสารกับผึ้งวิญญาณเลือดมรกต 


 


 


ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตส่งความรู้สึกปีติยินดีมา มั่วชิงเฉินรู้ว่าผึ้งวิญญาณเลือดมรกตปัญญาวิญญาณไม่สูง ส่งผ่านความรู้สึกเช่นนี้มาให้ก็หมายความว่ากิ่งท้อนี้ไม่มีปัญหา 


 


 


ความกังวลในใจยังคงมีอยู่ ของล้ำค่าที่มอบให้ถึงมือเห็นชัดว่าไม่ควรรับ ทว่าเพียงเพราะกลัวหลุมพรางก็ปฏิเสธของล้ำค่า นี่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการปฏิบัติตัวตลอดมาของนาง หากไม่ว่าเรื่องอะไรก็หดมือหดเท้าเพราะกลัวมีอันตราย เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรแล้ว 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอขอบคุณคุณชายสี่แล้ว” มั่วชิงเฉินที่แอบกลั้นหายใจไว้ยื่นมือรับกิ่งท้อมา กลับยังคงมีกลิ่นหอมของดอกท้อจางๆ ระลอกหนึ่งมุดเข้าจมูก นางรีบเก็บกิ่งท้อเข้าถุงเก็บวัตถุ 


 


 


คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดแอบแลกเปลี่ยนสายตากันปราดหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างรู้กัน 


 


 


พูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินลุกขึ้นกล่าวลา ที่จริงเดิมทีนางคิดจะโยงหัวข้อไปที่มั่วหนิงโหรวนั่น จะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์ในยามนี้ของมั่วหนิงโหรวสักหน่อย ทว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าคำนวณ คุณชายหกพาคุณชายหลี่มาแล้ว และคุณชายหลี่ผู้นี้ดันเคยพบนางและมั่วหนิงโหรวมาก่อน 


 


 


ส่วนมั่วชิงเฉินกลับไม่ยินยอมให้คุณชายสี่รู้ความสัมพันธ์ของนางและมั่วหนิงโหรวในยามนี้ เช่นนั้นก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเกินไป 


 


 


คุณชายสี่และคุณชายสิบเจ็ดลุกขึ้นส่งพวกมั่วชิงเฉินสามคนออกไป ยามที่เพิ่งเดินออกจากป่าดอกท้อ ทันใดนั้นเห็นเด็กผู้หญิงผิวขาวเนียนเหมือนแกะสลักจากหยกคนหนึ่งวิ่งออกมาจากหัวมุม ปากก็เรียกเสียงหวานว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อ…” 


 


 


มั่วชิงเฉินตัวสั่น เด็กผู้หญิงที่วิ่งมาอายุเจ็ดแปดขวบ ใส่ชุดสีชมพู เป็นลักษณะของมั่วหนิงโหรวในปีนั้นชัดๆ นาง…นางต้องเป็นบุตรสาวของพี่สิบสี่แน่! 


 


 


“เอ๊ะ แม่นางน้อยคนนี้…” เห็นชัดว่าคุณชายหลี่นึกขึ้นได้แล้ว 


 


 


มั่วชิงเฉินรีบส่งเสียงทางจิตว่า “คุณชายหลี่ อย่าพูด!” 


 


 


คุณชายหลี่ชะงักแผ่วเบา กลับเอ่ยต่อว่า “แม่นางน้อยคนนี้เป็นลูกบ้านใครน่ะ ช่างน่ารักยิ่งนัก” 


 


 


คุณชายสี่ตอบนิ่งเรียบว่า “เป็นบุตรสาวของข้าน้อย นิสัยดื้อรั้น ทำให้ท่านทั้งสองต้องหัวเราะเยาะแล้ว” พูดพลางสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อยมองเด็กผู้หญิงว่า “เยี่ยนเยี่ยน ใครให้เจ้าเข้ามา?” 


 


 


เด็กผู้หญิงหดไหล่ กลับรวบรวมความกล้ายื่นมือเล็กๆ ออกไปกระตุกชายเสื้อของคุณชายสี่ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพ่อ เยี่ยนเยี่ยนคิดถึงท่านแล้วเจ้าค่ะ ท่านอุ้มเยี่ยนเยี่ยนได้หรือไม่?” 


 


 


“เหลวไหล!” คุณชายสี่เอ็ดว่า 


 


 


ดวงตากลมโตรูปผลซิ่งของเด็กผู้หญิงรื้นด้วยน้ำตาทันที กลับพยายามกะพริบไม่ให้ร่วงลงมา 


 


 


มั่วชิงเฉินดูจนไฟโกรธลุกโชติช่วง อดกลั้นความรู้สึกอยากเอาก้อนอิฐซัดคุณชายสี่ไว้ แล้วก้มลงอุ้มเด็กผู้หญิงขึ้นมา 


 


 


เด็กผู้หญิงตกใจร้องเสียหนึ่ง เสียงกลับเล็กๆ ชวนให้คนเอ็นดู 


 


 


มั่วชิงเฉินในใจยิ่งอ่อนยวบขึ้นอีก รีบตบแขนของเด็กผู้หญิงว่า “เจ้าชื่อเยี่ยนเยี่ยนสินะ น่ารักจริงๆ น้าเห็นแล้วก็อยากอุ้มมากเลยน่ะ ให้น้าได้สมหวังหน่อยได้หรือไม่นะ?” 


 


 


ความคิดของเด็กบริสุทธิ์ที่สุด ปกติยิ่งสามารถสัมผัสได้อย่างเฉียบขาดว่าใครดีต่อนางจากใจจริง จึงอดยิ้มหวานให้มั่วชิงเฉินไม่ได้ว่า “ได้เจ้าค่ะ ท่านน้าสวยจริงๆ” พูดพลางมือเล็กๆ คู่หนึ่งกลับกอดมั่วชิงเฉินไว้ เงยหน้ามองไปที่บิดาของนาง 


 


 


“เยี่ยนเยี่ยน รีบลงมา เจ้าทำเช่นนี้เหมือนอะไร?” คุณชายสี่สีหน้าไม่เห็นอารมณ์หวั่นไหวสักนิด 


 


 


มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ทนไม่ไหวว่า “คุณชายสี่ ข้าถูกชะตากับเด็กคนนี้มากเลยนะ นางเป็นบุตรสาวของท่านหรือ?” 


 


 


คุณชายสี่พยักหน้า สีหน้าอบอุ่นเล็กน้อย “ดูไม่ออกว่าแม่นางมั่วชอบเด็กถึงเพียงนี้” 


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรผูกสัมพันธ์กัน แม้โอกาสให้กำเนิดชนรุ่นหลังที่มีรากวิญญาณมีมากว่าคนธรรมดาพันหมื่นเท่า ทว่าโอกาสที่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงตั้งครรภ์กลับน้อยมาก นี่อาจจะสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ฟ้าดินอย่างลับๆ ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ความสามารถในการสืบทายาทก็ยิ่งต่ำ รักษาความสมดุลไว้อย่างอัศจรรย์ 


 


 


คุณชายสี่อนุมากมาย กลับมีบุตรสาวคือหวังเยี่ยนเยี่ยนเพียงคนเดียว จะบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึกให้บุตรสาวเพียงคนเดียวแม้แต่น้อย นั้นกลับเป็นเรื่องขัดต่อใจจริง 


 


 


เพียงแต่คนเช่นคุณชายสี่เห็นแก่ผลประโยชน์เป็นหลัก ยามที่ไล่ตามมั่วชิงเฉินถูกพบว่าตนมีบุตรสาว จึงยากจะไม่หงุดหงิด จึงพาลระบายไฟโกรธเต็มท้องไปบนตัวเด็กผู้หญิง 


 


 


บัดนี้เห็นความรักชอบที่มั่วชิงเฉินมีต่อบุตรสาวไม่เหมือนเสแสร้ง ความไม่สบอารมณ์ในใจก็หายไปมากมาย 


 


 


มั่วชิงเฉินอุ้มเด็กหญิงพลางถามไม่หยุด อะไรอายุเท่าไร ชอบอะไร อยู่ที่ไหนต่างๆ เด็กผู้หญิงตอบอย่างว่าไงพลาง แอบเหลือบเห็นสีหน้าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของบิดา นี่ถึงรวบรวมความกล้าเรียกท่านพ่อเสียงหนึ่ง 


 


 


“เป็นอันใด?” คุณชายสี่ถาม 


 


 


เด็กหญิงรีบกวาดสายตามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ถึงเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่สบายแล้ว เยี่ยนเยี่ยนเป็นห่วงมาก ท่านไปดูท่านแม่พร้อมเยี่ยนเยี่ยนได้หรือไม่เจ้าคะ?” 


 


 


สีหน้าคุณชายสี่บึ้งขึ้น กำลังจะพูดก็ได้ยินคุณชายหลี่ว่า “คุณชายสี่ ในเมื่อฮูหยินไม่สบาย ท่านรีบไปดูหน่อยเถอะ มิต้องส่งแล้ว” 


 


 


ฮูหยินอะไรกัน! คุณชายสี่มีใจจะอธิบาย แต่ก็รู้สึกอีกว่าสถานการณ์เช่นนี้อธิบายขึ้นมากลับทำให้เห็นความเลวทรามของตน จึงอดมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งไม่ได้ 


 


 


มั่วชิงเฉินพยายามกดความสะเทือนอารมณ์ในใจลง วางเด็กหญิงลงแล้วอำลาคุณชายสี่ 


 


 


“ท่านน้า ต่อไปเยี่ยนเยี่ยนยังจะได้พบท่านหรือไม่เจ้าคะ?” เด็กผู้หญิงโบกมือ ถามอย่างอาลัยอาวรณ์ 


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มจนตาโค้งเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “แน่นอนสิ ท่านแม่ของเยี่ยนเยี่ยนไม่สบายมิใช่หรือ ไว้วันหลังน้าไปเยี่ยมพวกเจ้าดีหรือไม่?” 


 


 


“อืม คำนั้นคำนั้นนะ” เด็กผู้หญิงพยักหน้าอย่างดีใจ 


 


 


คุณชายสี่ได้ยินคำสัญญาของมั่วชิงเฉินและบุตรสาว ทันใดนั้นเหมือนคิดอะไรได้ สีหน้าจึงดีขึ้นมา 


 


 


หลังจากพวกมั่วชิงเฉินจากไป คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะว่า “พี่สี่ เรื่องนี้ถ้าสำเร็จแล้วท่านจะขอบคุณน้องเช่นไร?” 


 


 


คุณชายสี่อมยิ้มเหล่คุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง “เจ้าอยากได้อะไร?” 


 


 


คุณชายสิบเจ็ดหัวเราะแหะๆ ว่า “การทดสอบครั้งนี้ น้องโชคดีได้น้ำตาของปีศาจปลาเกี่ยววิญญาณ สามารถได้รับแบ่งโอสถในตระกูลก็พอใจแล้ว ดังนั้น แหะๆ น้องขอไม่มาก พี่สี่คิดวิธีเอาพี่น้องฝาแฝดที่อยู่ข้างแม่นางมั่วคู่นั้นมาให้ข้าก็พอแล้ว จิ๊ๆ พี่น้องเหมือนกันอย่างกับแกะ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” 


 


 


คุณชายสี่เอ่ยเสียงเย็นว่า “น้องสิบเจ็ด เจ้าลืมแล้วหรือว่าตนดื่มน้ำเข้าไปเต็มท้องในทะเลสาบน้ำแข็ง พิษเย็นเข้ากระดูก ไม่รักษาตัวดีๆ สักระยะหนึ่งเกรงว่าต่อไปจะกลายเป็นภัยใหญ่” 


 


 


“พี่สี่ ข้ารู้น่ะ นี่ไม่ใช่คิดจะลงมือก่อนได้เปรียบหรือไร จะได้ไม่ปล่อยให้สบายคนอื่น” คุณชายสิบเจ็ดบ่นว่า 


 


 


คุณชายสี่โมโหว่า “สาวใช้ที่เข้าหอว่างไห่ได้ฟูมฟักขึ้นมาไม่ง่าย ตระกูลหวังเราหลายสิบปีมานี้ก็ไม่เห็นจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมาเป็นแขก ด้วยความบังเอิญผู้บำเพ็ญเพียรที่พักอยู่หอว่างไห่คนก่อนเจาะจงชอบทางนี้ ก่อนไปขอสาวใช้แปดคนพาไปด้วย ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่นานศิษย์อาจารย์ผู้บำเพ็ญเพียรปราชญ์คู่นั้นก็มา สาวใช้สี่คนที่เหลืออยู่ไปปรนนิบัติรับใช้หมดแล้ว ไม่คิดว่าแม่นางมั่วก็พักเข้าไปอีก สองสาวพี่น้องคู่นี้ยังเป็นการสมทบเข้าไปชั่วคราว ทว่าด้วยคุณสมบัติของพวกนาง วันหลังมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มาก เจ้าคิดจะขอไปคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!” 


 


 


สาวใช้ในหอว่างไห่ ไม่มีสักคนที่ตระกูลหวังไม่ฟูมฟักมาอย่างตั้งใจ รูปโฉม ความสามารถ รากวิญญาณแม้ไม่เห็นว่าโดดเด่น กลับมีที่ที่พิเศษแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ หากถูกคนถูกตาต้องใจแล้วพาไป ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณพวกนั้นส่วนใหญ่จะทิ้งของไว้บ้าง และของที่พวกเขาเอาออกมาย่อมไม่กระจอก 


 


 


อีกด้านหนึ่ง หลังจากคุณชายหกร่ำลาไปแล้วก็เหลือมั่วชิงเฉินและคุณชายหกเดินไปหอว่างไห่พร้อมกันภายใต้การนำทางของสาวใช้ฝาแฝด 


 


 


“คุณชายหลี่ (แม่นางมั่ว)” สองคนเรียกขึ้นพร้อมกัน 


 


 


จากนั้นสองคนชะงัก เอ่ยพร้อมกันอีกว่า “เจ้าพูดก่อน!”  

 

 


ตอนที่ 180 ในที่สุดพี่น้องก็พบกัน

 

ทั้งสองคนต่างชะงักอีกทีหนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน


 


 


อีกาไฟที่ยืนอยู่บนบ่ามั่วชิงเฉินร้องแว้ดๆ ว่า “พวกเจ้าต่างไม่พูด ข้าจะพูดล่ะนะ ข้าจะดื่มสุรา ฮึ เมื่อครู่พวกเจ้าดื่มสุราข้ามองอยู่ พวกเจ้านั่งอยู่ข้ายืนอยู่ ทารุณกรรมกันนี่”


 


 


มั่วชิงเฉินคิ้วกระตุก “อู๋เย่ว์ เจ้าอยากดื่มสุราข้าไม่ได้รั้งเจ้าไว้เสียหน่อย”


 


 


อีกาไฟสีหน้าน้อยใจว่า “คนเขาพอเห็นคุณชายสิบเจ็ดคนนั้น ก็กินไม่ลง ดื่มสุราหากอาเจียนใส่หน้าเขา ไม่ใช่สร้างปัญหาให้เจ้าหรือไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปากทีหนึ่ง ไม่กล้าให้มันพูดต่อไป จึงหันหน้าบอกคุณชายหลี่ว่า “คุณชายหลี่ ไม่สู้ไปนั่งที่ข้านั่นสักครู่เถอะ”


 


 


“ได้” ตากลมโตของคุณชายหลี่มองดูอีกาไฟแล้วมองดูมั่วชิงเฉินอีก ทันใดนั้นก็รู้สึกเห็นใจมั่วชิงเฉินขึ้นมา


 


 


สองคนมาถึงโถงรับรองแขกที่ที่พักของมั่วชิงเฉิน สาวใช้ฝาแฝดยกผลไม้ทิพย์ชาทิพย์ขึ้นมาแล้วก็ถอยลงไปอย่างรู้กาลเทศะ


 


 


มั่วชิงเฉินเหล่อีกาไฟ เจ้านั่นกอบขวดสุราดื่มอย่างออกรสชาติ ดื่มหมดหนึ่งขวด สะอึกออกมา ยืนขึ้นมาเดินสองก้าวพูดกับมั่วชิงเฉินว่า “เอา…เอามาอีกขวดหนึ่ง!”


 


 


เพิ่งสิ้นเสียงก็ล้มตึงลงบนพื้นนอนกรนคร่อกๆ ขึ้นมา


 


 


คุณชายหลี่ชะงัก มั่วชิงเฉินรู้สึกคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติแล้วยื่นมือเก็บอีกาไฟเข้าถุงอสูรวิญญาณ เอ่ยอย่างจำใจว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจมัน มันก็ขวดเดียวล้มเช่นนี้แหละ”


 


 


“แม่นางมั่ว อีกาไฟของเจ้านี่พิเศษดี ถูกแล้ว เด็กผู้หญิงเมื่อครู่คนนั้นเหตุใดข้าเห็นแล้วเหมือนพี่สิบสี่ของเจ้ามาก เอ๊ะ หรือว่า…” คุณชายหลี่ถาม


 


 


มั่วชิงเฉินพยักหน้า “คุณชายหลี่ เจ้าคิดไว้ไม่ผิด พี่สิบสี่ข้าก็อยู่ตระกูลหวัง”


 


 


“นางออกเรือนมาตระกูลหวังเช่นนั้นหรือ? มิน่าแม่นางมั่วถึงมาทะเลขนาบใจ” คุณชายหลี่ฉงน


 


 


มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง ตัดสินใจพูดความจริงออกมา “ไม่ใช่นะ ข้าและพี่สิบสี่ พลัดพรากจากกันยี่สิบกว่าปีแล้ว จนกระทั่งมาถึงทะเลขนาบใจ ถึงรู้ข่าวคราวของนางโดยบังเอิญ…”


 


 


คุณชายหลี่ขมวดคิ้วแผ่วเบา “แม่นางมั่ว พวกเจ้ามิใช่ลูกหลานตระกูลมั่วหรอกหรือ เหตุใดอยู่ดีๆถึงพลัดพรากจากกันได้ล่ะ?”


 


 


“คุณชายหลี่ ยังจำปีนั้นที่พวกเราเจอกันโดยบังเอิญได้ใช่หรือไม่ ในปีนั้นเอง ตระกูลมั่วเราประสบเคราะห์กรรม คนที่หนีออกมาได้มีเพียงสามสี่คนเท่านั้น ข้าเดินทางไปหลายที่ไปถึงพรรคเหยากวง ครั้งนี้ออกมาฝึกตนมาถึงทะเลขนาบใจโดยบังเอิญ ถึงรู้ว่าพี่สิบสี่ยังมีชีวิตอยู่” มั่วชิงเฉินพูดด้วยสีหน้าสงบ


 


 


คุณชายหลี่กลับดูออกถึงความโศกเศร้าสายหนึ่งในสีหน้าสงบนิ่งของนาง จึงถอนใจว่า “ไม่คิดจริงๆ ว่าแม่นางมั่วประสบเรื่องมามากมายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเจ้ามาตระกูลหวังก็เพื่อพบพี่สิบสี่เช่นนั้นหรือ เหตุใดบัดนี้ยังไม่ได้พบกันอีกล่ะ?”


 


 


“คุณชายหลี่นึกว่าพี่สิบสี่ข้าแต่งงานกับคุณชายสี่หรือ หึๆ นางเป็นเพียงแค่หนึ่งในอนุที่มีมากมายของเขาเท่านั้น อย่างไรเสียชิงเฉินก็ต้องสืบสถานการณ์และความคิดของพี่สิบสี่ในยามนี้ให้แน่ชัด ถึงวางแผนอย่างอื่นได้” มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น


 


 


“อนุ?” ในตาคุณชายหลี่ฉายแววโกรธแวบหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นแล้วจะมากจะน้อยในใจก็รู้สึกปลอบประโลมบ้าง จึงว่า “คุณชายหลี่ อย่าพูดถึงพวกนี้เลย ชิงเฉินเพียงแต่อยากรบกวนเจ้าอย่าเปิดเผยความสัมพันธ์ของข้าและพี่สิบสี่ออกมาเร็วเกินไป”


 


 


คุณชายหลี่รีบรับปาก


 


 


“คุณชายหลี่ ข้ายังจำได้ว่าปีนั้นเจ้ายังเป็นบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่ง หลังจากนั้นก้าวเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรได้เช่นไรล่ะ?” มั่วชิงเฉินถาม


 


 


พูดถึงเรื่องนี้ คุณชายหลี่หางตายอดคิ้วต่างย้อมไปด้วยรอยยิ้ม “พูดไปก็บังเอิญ ในวันที่เราเจอกันวันนั้นนั่นแหละ เมื่อข้ากลับถึงบ้านก็มีบัณฑิตเฒ่าคนหนึ่งรอข้าอยู่แล้ว เอ่อ เขาก็คืออาจารย์ในบัดนี้ของเข้า พวกเราศิษย์สายปราชญ์มีน้อยมาก หลายปีมานี้ เวลาส่วนใหญ่ข้าล้วนตามอาจารย์เดินทางไปทั่ว”


 


 


“หึๆ พวกเจ้านักบำเพ็ญเพียรปราชญ์เน้นอ่านคัมภีร์หมื่นม้วน เดินทางหมื่นลี้ใช่หรือไม่?” มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า


 


 


คุณชายหลี่พยักหน้า “ถูกต้อง ใช่แล้ว แม่นางมั่ว ข้าชื่อหลี่จื้อหย่วน


 


 


เมื่อบอกชื่อแล้ว นี่ก็คือมีใจคบหากันแล้ว มั่วชิงเฉินแม้คบหาคนน้อย กลับสามารถมองออกว่าเขาเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ คบหากับคนเช่นนี้ได้ก็คลายกังวลไปมาก


 


 


“จากชื่อของคุณชายหลี่สามารถดูออกว่าคุณชายหลี่ต้องเกิดในตระกูลนักปราชญ์ แหล่งการศึกษาจากครอบครัว มิน่าที่สวนปี้ซิ่วถึงสามารถแต่งกลอนที่สละสลวยงดงามเพียงนั้นออกมาได้” มั่วชิงเฉินมีใจชม


 


 


ได้ยินมั่วชิงเฉินสรรเสริญเช่นนี้ หลี่จื้อหย่วนหัวเราะร่าว่า “แม่นางมั่วชมเกินไปแล้ว กลอนบทนั้นข้าไม่ได้เป็นคนแต่งหรอกนะ”


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินแปลกใจ หลี่จื้อหย่วนก็ไม่เล่นตัว “กลอนบทนั้นสืบทอดมาจากปรมาจารย์ท่านหนึ่งในสำนักของเรา พูดไปแล้วปรมาจารย์ท่านนั้นของเราความสามารถล้นเหลือจริงๆ ทิ้งผลงานสะเทือนหล้าไว้ไม่น้อย ศิษย์ในสำนักยกให้เป็นสมบัติล้ำค่า หนึ่งในเรื่องที่จื้อหย่วนเสียดายในชีวิต ก็คือไม่มีโอกาสได้ชื่นชมท่วงท่าสง่างามของท่านปรมาจารย์ท่านนั้น”


 


 


ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!


 


 


มั่วชิงเฉินพูดไม่ถูกว่าผิดหวังหรือว่าปีติ เพียงแต่รู้สึกโล่งใจ ปากก็ว่า “ท่านปรมาจารย์ท่านนั้นไม่อยู่ในสำนักแล้วหรือ?”


 


 


หลี่จื้อหย่วนพยักหน้า “อืม ท่านปรมาจารย์คือนักบำเพ็ญเพียรเมื่อหมื่นปีก่อน ต่อมาสาบสูญไร้ร่องรอย ทว่าในสำนักเราคิดเสมอมาว่า คนเช่นปรมาจารย์นั้นไม่มีทางดับสูญหรอก”


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้ม โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรเกือบหนึ่งแสนปีมานี้ล้วนไม่มีคนบินขึ้นเป็นเซียน พวกเขากลับเชื่อมั่นว่าปรมาจารย์ของตนไม่มีทางดับสูญ ดูแล้วคนบ้านเดียวกันที่ทะลุมิติมาท่านนั้นต้องมีที่ที่โดดเด่นเกินคนเป็นแน่


 


 


ทว่าที่พวกเขาพูดอาจไม่ผิด เกือบหนึ่งแสนปีไม่มีปรากฏการณ์ฟ้าบินขึ้นสวรรค์ใดๆ เป็นไปได้มากที่นักบำเพ็ญเพียรที่ถึงระดับแยกวิญญาณเข้าสู่โลกวิญญาณแล้วอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง ไม่แน่ปรมาจารย์ของพวกเขาก็คือหนึ่งในนั้น


 


 


สองคนคุยกันตามสบายอีกครู่หนึ่ง หลี่จื้อหย่วนจึงลุกขึ้นเอ่ยลา


 


 


มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว ยังคงไม่กล้าเอากิ่งท้อที่คุณชายสี่มอบให้ออกมาศึกษา จึงใช้จิตตระหนักเรียกผึ้งวิญญาณเลือดมรกตทีหนึ่ง ทว่าสารที่ส่งมา กลับคือพวกมันกำลังบ่มน้ำผึ้งอยู่ ออกมาไม่ได้


 


 


มั่วชิงเฉินเหลอหลา จากนั้นก็โยนพวกนี้ทิ้งสงบใจบำเพ็ญเพียรขึ้นมา


 


 


ผ่านไปอีกสองวัน ในที่สุดผึ้งวิญญาณเลือดมรกตในถุงอสูรวิญญาณก็มีความเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินรีบปล่อยพวกมันออกมา


 


 


ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวบินร่ายรำอยู่บนฟ้า มั่วชิงเฉินเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท้องของพวกมันใหญ่ขึ้นมาก


 


 


รับรู้ได้ถึงความร้อนรนของผึ้งวิญญาณเลือดมรกต มั่วชิงเฉินหยิบชามแก้วเล็กออกมาใบหนึ่ง ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตรีบบินเข้าไป ปล่อยน้ำผึ้งสีชมพูอ่อนไหลออกจากถุงใบหนึ่งในส่วนท้อง


 


 


มั่วชิงเฉินอดทอดถอนใจไม่ได้ ผึ้งวิญญาณและผึ้งธรรมดาสุดท้ายก็ไม่เหมือนกัน


 


 


รอผึ้งวิญญาณเลือดมรกตไม่กี่ตัวท้องแบนลง พวกมันเริ่มไม่ค่อยมีชีวิตชีวา มั่วชิงเฉินรีบป้อนยาลูกกลอนไขกระดูกเขียวให้พวกมัน แล้วเก็บกลับถุงอสูรวิญญาณ


 


 


มองดูน้ำผึ้งวิญญาณสีชมพูที่กล้อมแกล้มท่วมก้นชามแก้ว มั่วชิงเฉินใช้ช้อนเล็กควักขึ้นเล็กน้อยชิมดู รู้สึกทันทีว่าหวานชื่นใจเต็มปาก พลังวิญญาณที่อ่อนโยนสายหนึ่งค่อยๆเกิดขึ้นไหลไปที่ตันเถียน ที่ที่ไหลผ่านสบายยิ่งนัก


 


 


ไม่รู้กิ่งท้อนั้นเสียบไว้ในสวนสมุนไพรพกพา จะรอดไหมนะ? มั่วชิงเฉินอดคิดไม่ได้ เสียดายนางกลัวกิ่งท้อมีสิ่งใดเคลือบแฝง ไม่กล้าศึกษายามนี้


 


 


ใช้ขวดกระเบื้องขาวกะทัดรัดเก็บน้ำผึ้งวิญญาณขึ้น มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวอีกแล้ว ตัดสินใจจะไปเยี่ยมมั่วหนิงโหรวแล้ว


 


 


ก่อนอื่นส่งยันต์ส่งสารให้คุณชายสี่ คุณชายสี่ตอบกลับทันที คำพูดไม่สนิทสนมจนเกินเลย อีกทั้งยังพูดว่าเพราะว่าไปเยี่ยมสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิง เขาไม่สะดวกไปด้วย ขอโปรดอภัยต่างๆ


 


 


ผิดปกติย่อมชั่วร้าย มั่วชิงเฉินกลับไม่วางใจเสียแล้ว คิดๆ หากตนเข้าแผนของเขา เช่นนั้นสิบมีแปดเก้าปัญหาต้องอยู่ที่กิ่งท้อที่เขาให้มา ทว่ากิ่งท้อถูกนางเก็บเข้าถุงเก็บวัตถุแล้ว มีเพียงยามที่เพิ่งรับมาได้กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้


 


 


กลิ่นดอกไม้ไม่มีปัญหา สุราอาหารก็ไม่มีปัญหา หากคุณชายสี่คิดจะใช้แผนกับตน เช่นนั้น…


 


 


เช่นนั้นเป็นไปได้มากว่ากลิ่นหอมดอกไม้และสุราอาหารบางอย่างรวมเข้าด้วยกัน ถึงทำให้เกิดพิษที่แฝงอยู่ ส่วนพิษนี้ไม่คิดเลยว่ายามนั้นจะไม่ได้แสดงออกมา เช่นนี้ก็เป็นไปได้มากว่าต้องการกระสายยา หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ กระสายยาต้องกุมอยู่ในมือคุณชายสี่แน่นอน!


 


 


มั่วชิงเฉินคิดถึงตรงนี้ จึงไม่รีบไป นั่งขัดสมาธิลงมาจดจ่อกับจิต สัมผัสว่าในร่างกายตนมีสิ่งผิดปกติหรือไม่ไปทีละเล็กทีละน้อย


 


 


ตามคาด ในที่ที่ไม่ห่างจากหัวใจของนาง มีกลุ่มหมอกสีชมพูอ่อนขนาดเท่าเม็ดข้าวสารกลุ่มหนึ่ง หากไม่เพราะนางตรวจสอบอย่างละเอียด ต้องไม่สังเกตเห็นเป็นแน่


 


 


มั่วชิงเฉินแอบว่าคุณชายสีฝีมือยอดเยี่ยม แบ่งเพลิงแก้วใจกระจ่างออกพุ่มหนึ่งห่อหุ้มกลุ่มหมอกไว้ หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ในชั่วพริบตาที่พิษกำเริบนางสามารถรับรู้ความรู้สึกหลังจากที่ถูกแผน และเมื่อยามที่พิษกระจายออกข้างนอก แตะถูกเพลิงแก้วใจกระจ่างก็จะถูกเผามอด ถึงเวลา ตนอาจใช้แผนซ้อนแผน


 


 


ทำสิ่งเหล่านี้จนเสร็จ มั่วชิงเฉินถึงพาสาวใช้ฝาแฝดไปสวนปี้ซิ่ว


 


 


เด็กน้อยเยี่ยนเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู มองตาปริบๆ เห็นมั่วชิงเฉินเดินมา ใบหน้าเล็กๆ ฉายประกายขึ้นทันที วิ่งเข้ามาว่า “ท่านน้า ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ท่านแม่ไม่ค่อยสบาย ไม่อาจมาต้อนรับด้วยตนเองได้ เยี่ยนเยี่ยนพาท่านไปหาท่านแม่ดีหรือไม่?”


 


 


“ดี” มั่วชิงเฉินปาดปลายจมูกเยี่ยนเยี่ยน ภายใต้การนำของสาวใช้ตามเยี่ยนเยี่ยนเดินเข้าไปลานบ้านด้านหลัง


 


 


“ท่านน้า ท่านแม่พำนักอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ!” เยี่ยนเยี่ยนยื่นมือเนียนๆ ชี้ว่า


 


 


มั่วชิงเฉินยกตามองไป เห็นเพียงข้างทะเลสาบมีตึกสองชั้นหลังหนึ่ง ยังนับว่าประณีต ป้ายชื่อประตูเขียนว่า “ซีสุ่ยเสี่ยวจู้” สี่คำ


 


 


เยี่ยนเยี่ยนจูงมือมั่วชิงเฉินเดินไปที่ตึกเล็กทีละก้าวๆ มั่วชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านน้าที่สวยมากที่ข้าบอกท่านคนนั้นมาเยี่ยมท่านแล้ว” ยังไม่ก้าวเข้าประตู เยี่ยนเยี่ยนก็ตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร่าเริง


 


 


มั่วชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ ไม่ว่าเช่นไร พี่สิบสี่มีบุตรสาวที่น่ารักร่าเริงเช่นนี้เป็นเพื่อน ก็นับว่าเป็นการปลอบประโลมบ้าง


 


 


ก้าวเข้าประตู มั่วชิงเฉินก็นิ่งอยู่ตรงนั้น เห็นเพียงหญิงสาวซูบผอมคนหนึ่งนั่งพิงอยู่ข้างเตียง ชุดสีชมพูงดงามตระการตากลับขับจนนางยิ่งดูอ่อนแอ แป้งที่ทาบนใบหน้ากลับปิดความซูบซีดไม่มิด


 


 


เห็นพวกมั่วชิงเฉินเข้ามา หญิงสาวรีบพยายามลุกขึ้น ยังไม่ทันอ้าปากก็ไอก่อนเสียงหนึ่งจากนั้นถึงว่า “รบกวนแม่นางต้องมาเยี่ยม บ่าวกลับไม่อาจออกไปต้อนรับ ต้องขออภัยจริงๆ…”


 


 


เยี่ยนเยี่ยนรีบวิ่งเข้าไปพยุงหญิงสาว


 


 


มั่วชิงเฉินแสบเบ้าตา มั่วหนิงโหรวแม้นิสัยอ่อนแอกลับไม่ถึงกับเป็นโรค สมัยวัยเยาว์เป็นเด็กที่เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเหมือนเยี่ยนเยี่ยน เหตุใดบัดนี้กำลังเป็นช่วงอายุที่ดีงาม กลับกลายมามีสภาพเช่นนี้ กระทั่งมีความรู้สึกของไม้ใกล้ฝั่ง ทำให้คนเห็นแล้วต้องตกใจ


 


 


นางรีบเดินเข้าไปพยุงแขนของมั่วหนิงโหรวไว้ ริมฝีปากเผยอแล้วเผยออีก ถึงเอ่ยอย่างลำเค็ญว่า “พี่สาวรีบนั่ง”


 


 


จากนั้นแอบส่งเสียงทางจิตว่า “พี่สาว น้องมีเรื่องจะพูดกับเจ้า ให้เยี่ยนเยี่ยนหลบก่อนได้หรือไม่?”


 


 


มั่วชิงเฉินชะงัก เพ่งพิศมั่วชิงเฉินอย่างรอบคอบ เห็นสีหน้านางสงบ ถึงหันหน้าว่า “เยี่ยนเยี่ยน เจ้าออกไปเล่นครู่หนึ่งก่อน พวกเจ้าดูแลคุณหนูให้ดี”


 


 


“เจ้าค่ะ!” สาวใช้สองสามคนที่นำทางย่อเข่าคำนับ


 


 


เยี่ยนเยี่ยนแม้ไม่เต็มใจ ยังคงตามสาวใช้ออกไปอย่างว่าง่าย สาวใช้ฝาแฝดที่มั่วชิงเฉินพามาก็ถอยออกไปพร้อมกัน


 


 


“ไม่ทราบแม่นางมีเรื่องอันใด?” มั่วหนิงโหรวพูดเพียงครู่เดียวเช่นนี้ ก็หอบแฮ่กๆ แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินมองนางตาไม่กะพริบ เนิ่นนานถึงเปิดปากอย่างลำบากว่า “พี่สิบสี่” 

 

 


ตอนที่ 181 สภาพของมั่วหนิงโหรว

 

มั่วหนิงโหรวเบิกตาโพล่งทันที จ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง สาวน้อยที่สะสวยตรงหน้าทำให้นางมองไม่เห็นเงาที่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง พูดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “เจ้า…เจ้าคือใคร?”


 


 


มั่วชิงเฉินโบกมือ แสงวิญญาณแวบขึ้น กั้นเขตอาคมกันเสียงขึ้นอันหนึ่ง ถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “พี่สิบสี่ ข้าคือชิงเฉินนะ!”


 


 


มั่วหนิงโหรวตัวสั่นในบัดดล เพิ่งหลุดคำว่า ‘เจ้า’ ได้คำเดียว ก็หงายหลังล้มไป


 


 


มั่วชิงเฉินตาไวมือเร็วพยุงมั่วหนิงโหรวไว้ ให้นอนลงบนเตียง ปลายนิ้วแตะตรวจบนข้อมือผอมบางของนาง


 


 


ตามพลังวิญญาณที่ส่งเข้าไป คิ้วมั่วชิงเฉินยิ่งขมวดยิ่งแน่น ยามที่นางเพิ่งเห็นมั่วหนิงโหรว ก็รู้ว่าสภาพการณ์เกรงจะไม่ค่อยดี ทว่าไม่คิดว่าร่างกายของนางจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้


 


 


ชีพจรในร่างของมั่วหนิงโหรว อวัยวะภายในต่างๆ ไม่ได้รับความเสียหาย ทว่าเห็นชัดว่าถูกดึงไปใช้มากเกินไป ปราณหยินในร่างกายเกือบจะเหือดแห้ง


 


 


ปราณหยินนี้เหมือนดังปราณหยาง แปลงจากแก่นแท้ที่มีมาแต่กำเนิดเป็นปราณที่ มีหน้าที่คอยหล่อเลี้ยงชีพจร อวัยวะในร่างกายคนให้ชุ่มชื้น ไม่ว่าชายหญิง ก็ขาดมันไม่ได้


 


 


ปราณหยางในร่างของผู้บำเพ็ญเพียรชายสมบูรณ์ ปราณหยินในร่างผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสมบูรณ์ รักษาปราณทั้งสองในร่างอย่างสมดุลให้ค่อยๆ เติมใหญ่ จึงจะสอดคล้องกับทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคู่ของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า มิเช่นนั้นตามการสูงขึ้นของตบะผู้บำเพ็ญเพียรดวงจิตอุดมสมบูรณ์ขึ้น ร่างกายกลับไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงการฝึกฝนหยุดชะงักไม่ก้าวหน้า เช่นนั้นต้องมีสักวันที่รับความแข็งแกร่งของดวงจิตไม่ไหวร่างเนื้อแตกสลาย


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรปกติ ปราณวิญญาณในฟ้าดินที่ดูดซับไปส่วนใหญ่แปลงเป็นพลังวิญญาณในร่างกายเพิ่มตบะให้สูงขึ้น ยังสามารถแบ่งส่วนน้อยใช้ในการหล่อเลี้ยงร่างกายอีก ชดเชยความเสียหายที่นำมาให้ร่างกายอันเกิดจากในร่างกายหยางสมบูรณ์หยินอ่อนแอหรือหยินสมบูรณ์หยางอ่อนแอ


 


 


ส่วนคู่ในการบำเพ็ญเพียรคู่กลับสามารถส่งผ่านหยินหยางให้กัน รักษาสมดุลหยินหยางในร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ปราณวิญญาณในฟ้าดินที่พวกเขาดูดซับก็จะสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มตบะได้ทั้งหมด นี่จึงเป็นสาเหตุที่คนที่บำเพ็ญเพียรคู่ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเร็วว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป


 


 


การบำเพ็ญเพียรคู่เป็นวิธีให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหรือสำนักล้วนหวังจะให้เกิดขึ้น ทว่าการเอาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในนั้นทำเป็นหรูติ่ง เช่นนั้นก็คือการกระทำที่ชั่วช้าล้วนๆ แล้ว


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่งเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเป็นหรูติ่ง เช่นนั้นเขาก็จะได้แต่เด็ดเก็บปราณหยินโดยไม่สนใจสิ่งใด ปราณหยางไม่เสียหายแม้ครึ่งส่วน ตบะย่อมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ถูกเด็ดเก็บ กลับเพราะไม่ได้ปราณหยาง ปราณหยินก็สูญเสียเกินขนาดอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่พูดถึงว่าตบะยากจะรุดหน้า นานวันเข้าร่างกายก็จะค่อยๆ ถูกคว้านจนโล่ง สุดท้ายก็คือน้ำมันแห้งตะเกียงมอด ดอกไม้โรยราหยกงามแตกหัก!


 


 


น่าสงสารพี่สิบสี่มีรากวิญญาณสามธาตุ รากฐานมั่นคง บัดนี้กลับอยู่เพียงระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า นี่ก็ช่างเถอะ ร่างกายของนางในยามนี้กลับยากจะลากให้ผ่านปีนี้เสียแล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินหน้าเย็นเป็นน้ำแข็ง ในใจยิ่งเกลียดคุณชายสี่สุภาพบุรุษจอมปลอมผู้นั้นขึ้นอีกสามส่วน


 


 


ต้องรู้ว่าคนตระกูลมั่ว นอกจากท่านอาสิบสี่ที่วันนั้นไม่ได้ปรากฏตัว มั่วเฟยเยียนที่ถูกเซียนเฮ่าเย่ว์พาไป ก็เหลือหู่โถวและมั่วหร่านอีที่ไม่รู้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหนไม่รู้เป็นตาย


 


 


มั่วหนิงโหรวที่โชคดีรอดชีวิตจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ในยามนี้ของมั่วชิงเฉิน ทว่านางกลับถูกคุณชายสี่ทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้!


 


 


โบราณว่าไว้อยู่ภายใต้ชายคาคนอื่นไม่อาจไม่ก้มศีรษะ ได้ยินมั่วหนิงโหรวกลายมาเป็นอนุของคุณชายสี่ มั่วชิงเฉินแม้จะโมโห ทว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของตระกูลหวัง มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่าน อีกทั้งคุณชายสี่ก็เป็นบิดาของบุตรสาวพี่สิบสี่อีก หากเขามีใจทะนุถนอมมั่วหนิงโหรวสักนิด นางก็ไม่อยากสืบสาวราวเรื่องเกินไป


 


 


ที่มุ่งมั่นจะพบมั่วหนิงโหรวให้ได้ ก็เพื่ออยากฟังความเห็นของนาง หากนางไม่มีใจให้คุณชายสี่ ยินยอมพาบุตรสาวตามตนจากไป ตนจะพยายามทุกวิถีทางพาพวกนางแม่ลูกสองคนไปจากที่นี่ให้ได้ หากนางไม่ยอมให้บุตรสาวและบิดาต้องจากกัน กระทั่งมีใจให้คุณชายสี่ เช่นนั้นนางก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถทำให้พวกนางแม่ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่พูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยโอสถสร้างรากฐานตนสามารถแอบทิ้งไว้ให้มั่วหนิงโหรวสักหลายเม็ดได้


 


 


มั่วชิงเฉินเชื่อมาตลอดว่า ความช่วยเหลือจากภายนอกเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว มีเพียงเพิ่มพลังความสามารถของตนเอง ถึงจะเป็นหนทางปกป้องตนเองจากรากฐาน ลองคิดดูหากมั่วหนิงโหรวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ตระกูลหวังต้องไม่ปฏิบัติกับนางเช่นนี้เป็นแน่


 


 


ทว่าบัดนี้ มั่วชิงเฉินเปลี่ยนใจแล้ว นางไม่ยอมปล่อยคุณชายสี่ให้ลอยนวลเช่นนี้แน่ ต่อให้เขามีเทียดระดับก่อแก่นปราณคอยหนุนหลังก็เถอะ!


 


 


เมื่อตัดสินใจแล้ว มั่วชิงเฉินกลับผ่อนคลายใจเย็นลง ด้านหนึ่งใช้พลังวิญญาณเวียนว่ายอยู่ในร่างมั่วหนิงโหรว ด้านหนึ่งคิดหาวิธีช่วยมั่วหนิงโหรว


 


 


มั่วหนิงโหรวถูกเด็ดเก็บเกินขนาดทำให้ร่างกายเสียหาย ส่วนยาลูกกลอนย้อนอายุที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณกินกลับมีไว้ปลอบประโลมพลังวิญญาณฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายใน เห็นชัดว่าใช้ไม่ได้


 


 


จากนั้นก็คิดถึงโอสถที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณกินได้อีกหลายชนิด ล้วนไม่เหมาะกับสถานการณ์นางในขณะนี้


 


 


มั่วชิงเฉินกลัดกลุ้มเล็กน้อย ขมวดคิ้วครุ่นคิด ทันใดนั้นข้างหน้าก็สว่างขึ้น เหตุใดนางจึงลืมได้ กำลังวังชามีมาแต่กำเนิด กลับต้องพึ่งวัตถุที่รับเข้าไปหลังจากนั้นชดเชยและฟูมฟักไม่ให้ขาด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการสภาพร่างกายของมั่วหนิงโหรวก็คือ…รักษาโดยอาหาร!


 


 


แน่นอนการรักษาโดยอาหารนี้ไม่ใช่การรักษาโดยอาหารของโลกฆราวาสหรอกนะ หากแต่เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นผลไม้ทิพย์ ธัญพืชวิญญาณที่อยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร


 


 


มั่วหนิงโหรวเดิมทีปราณหยางก็ไม่พออยู่แล้ว ปราณหยินยิ่งใกล้จะแห้งเหือด สิ่งที่เหมาะสมที่สุดในการบำรุงคือของที่มีความเป็นกลาง


 


 


มั่วชิงเฉินนึกถึงในสวนสมุนไพรพกพาของตน สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือหวงฝูหลิงและเม็ดบัวหิมะที่เกิดจากบัวหิมะพันปีแล้ว


 


 


เพียงแต่ของสองสิ่งนี้หากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานสามารถค่อยๆ บำรุงร่างกาย กลับยากจะยื้อชีวิตของมั่วหนิงโหรวไว้ได้ เพราะว่านางเสียหายเกินขนาด ต้องการสิ่งที่ทั้งอ่อนโยนและมีฤทธิ์ทางวิญญาณที่แข็งแกร่งพอจะหยุดการร่วงโรยของร่างกาย


 


 


มั่วชิงเฉินจึงนึกถึงน้ำผึ้งวิญญาณที่นางได้มาใหม่ น้ำผึ้งดอกท้อที่ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบ่มออกมาเป็นไปได้มากว่าจะมีฤทธิ์วิเศษเช่นนี้!


 


 


นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินตัดสินใจรอมั่วหนิงโหรวฟื้นแล้วก็ให้นางลองเสียหน่อย หากได้ผลจริง ต้นท้อสุดที่รักของคุณชายสี่ในสวนปี้ซิ่วนางก็ไม่เกรงใจแล้ว


 


 


ในยามนี้เอง มั่วหนิงโหรวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขนตาสั่นเบาๆ มองมั่วชิงเฉินอย่างเหม่อลอยว่า “เจ้า เจ้าคือชิงเฉินจริงหรือ?”


 


 


มั่วชิงเฉินรีบกุมมือนางไว้ว่า “พี่สิบสี่ ข้าคือชิงเฉินอย่างไรเล่า สิบหกมั่วชิงเฉิน!”


 


 


“ทว่าเจ้า ลักษณะของเจ้า…” อาจเพราะยิ่งเป็นเรื่องดีงามก็ยิ่งไม่กล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง มั่วหนิงโหรวยังคงลังเล กลัวว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องมดเท็จ


 


 


มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมา ค่อยๆ ปัดผมข้างหน้าออก ใช้ที่หนีบผมดอกไห่ถังอันเล็กๆ หนีบไว้หลังหู โฉมหน้าก็เปิดเผยออกมา


 


 


มั่วหนิงโหรวดูจนตกตะลึง เนิ่นนานถึงสะอื้นพลางพูดออกมาประโยคหนึ่ง “น้องสิบหก เป็นเจ้าจริงๆ หนิงโหรวรู้อยู่แล้ว…รู้อยู่แล้วว่าเจ้าโตแล้วจะต้องหน้าตาเช่นนี้แน่ หึๆ เจ้ารู้ไหม ปีนั้นพี่แปดเคยแอบวาดรูปหนึ่ง ในภาพมีหญิงสาวงามเลิศเฉิดฉายนอนอยู่ใต้ต้นท้อมือถือขวดสุรา ท่าทางดื่มอย่างเต็มที่ หนิงโหรวบังเอิญเห็นเข้าถามเขาว่านี่คือผู้ใด เขาจึงบอกข้าว่า รอน้องสิบหกโตขึ้นต้องหน้าตาเช่นนี้เป็นแน่ เขายังบอกว่า รอถึงเวลาเฉินเฉียวเฉินเม่ยอะไรของตระกูลเฉินก็เทียบเจ้าไม่ติดแม้หนึ่งในหมื่น ใครมาสู่ขอเจ้า เขาจะอัดพวกเด็กหนุ่มคางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้าพวกนั้นกลับไปจนหมด…”


 


 


มั่วหนิงโหรวทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ พูดจาสะเปะสะปะไปเรื่อย มั่วชิงเฉินฟังแล้วกลับน้ำตาไหลออกมา


 


 


มั่วหนิงโหรวยื่นมือที่เ**่ยวแห้งเช็ดน้ำตาให้มั่วชิงเฉินอย่างอ่อนโยน ทำอะไรไม่ถูกว่า “น้องสิบหก เจ้าอย่าร้องไห้ ตั้งแต่เด็กเจ้าก็เข้มแข็งกว่าหนิงโหรว หนิงโหรวไม่เคยเห็นเจ้าน้ำตาตกมาก่อน…แค่กๆ” พูดถึงตรงนี้ก็ไอขึ้นมาอีก สีหน้ากลับปีติบริสุทธิ์ดั่งสาวน้อย


 


 


มั่วชิงเฉินเห็นแล้วในใจยิ่งทุกข์ทนยิ่งขึ้น กลับไม่กล้าให้นางต้องเสียใจมากขึ้นอีก จึงล้วงขวดกระเบื้องขาวกะทัดรัดที่ใส่น้ำผึ้งวิญญาณออกมาว่า “พี่สิบสี่ ท่านอย่าเพิ่งพูดเลย ลองกินน้ำผึ้งวิญญาณนี่ก่อน”


 


 


มั่วหนิงโหรวรับขวดกระเบื้องขาวมา ยิ้มแผ่วเบาว่า “น้องสิบหก ข้าสบายดี” พูดพลางกลับกินน้ำผึ้งวิญญาณลงไปอย่างเชื่อฟัง


 


 


มั่วชิงเฉินไม่สนใจว่ามั่วหนิงโหรวจะพูดอะไร แตะปลายนิ้วลงบนข้อมือนางโดยตรงส่งพลังวิญญาณออกไปรับรู้อย่างตั้งใจ รู้สึกว่าหลังจากน้ำผึ้งวิญญาณถูกดูดซึมเข้าไปแล้วก็เริ่มหล่อเลี้ยงกำลังวังชาในกายตามคาด


 


 


ใจของมั่วชิงเฉินถึงนับว่าสงบลงมาบ้าง ถึงถามว่า “พี่สิบสี่ เล่าเรื่องที่ท่านประสบมาในหลายปีนี้ให้ชิงเฉินฟังหน่อยได้หรือไม่?”


 


 


มั่วหนิงโหรวรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเล็กน้อย สายตามองออกไปที่ผิวทะเลสาบที่คลื่นมรกตกระเพื่อมเป็นวงนอกหน้าต่าง ค่อยๆ เล่าขึ้นมา


 


 


เป็นดั่งที่มั่วชิงเฉินคาดไว้ ปีนั้นมั่วหนิงโหรวถูกพ่อแม่ปกป้องไว้ใต้ร่าง รักษาชีวิตไว้ได้ ยามที่คนชุดแดงคนนั้นกำลังเตรียมใช้จิตตระหนักค้นหาผู้รอดชีวิต ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรีบร้อนพาคนจากไป นางถึงโชคดีรอดพ้นเคราะห์กรรมมาได้


 


 


มั่วหนิงโหรวที่รอดมาได้ราวกับรู้เรื่องขึ้นมาในทันที นางไม่กล้าไปพึ่งพาอีกสองตระกูลในเมืองลั่วหยาง ในจิตใจอ่อนเยาว์ของนาง ตระกูลฮวาที่มาสู่ขอท่านอาสิบสามสามารถเปิดฉากฆ่าล้างตระกูลมั่วได้ สองตระกูลที่เหลือยังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกล่ะ?


 


 


ก็เป็นเช่นนี้ นางออกจากเมืองลั่วหยางอย่างระมัดระวัง ออกสู่โลกภายนอกอย่างเลื่อนลอยทำอะไรไม่ถูก


 


 


เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง พบเจอเรื่องอะไรได้บ้างคิดดูก็รู้ ร่อนเร่อยู่ครึ่งปีนางก็พบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นบอกจะหาเด็กที่รากวิญญาณไม่เลวจำนวนหนึ่งพากลับสำนักเป็นศิษย์ มั่วหนิงโหรวหลงเชื่อ และแม่นางน้อยอีกมากมายข้ามมาทางทิศตะวันออกตามผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้น ไม่รู้วันเวลาผ่านไปนานเท่าไร ก็มาถึงที่นี่ หลังจากนั้นเนิ่นนานนางถึงรู้ว่าที่นี่เรียกว่าทะเลขนาบใจ เป็นสถานที่ที่ห่างจากดินแดนเทียนหยวนไกลนับหมื่นลี้


 


 


“น้องสิบหก หนิงโหรวไม่คิดว่ายังสามารถพบเจ้าที่นี่ได้ บัดนี้ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว” มั่วหนิงโหรวจับมือของมั่วชิงเฉินไว้ น้ำตาใสหยดลงมา


 


 


อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คนหนึ่งสิบนิ้วเรียวยาวดุจต้นเทียน อีกคนหนึ่งกลับเ**่ยวแห้งดุจขาไก่ การเปรียบเทียบที่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกเสียใจ กลับกุมมือของมั่วหนิงโหรวไว้ว่า “พี่สิบสี่ ท่านจะไม่ตาย”


 


 


“ข้า…”


 


 


มั่วหนิงโหรวกำลังจะเปิดปาก ก็ถูกมั่วชิงเฉินพูดขัด “พี่สิบสี่ ข้าขอพูดอีกครั้ง มีชิงเฉินอยู่ จะไม่ปล่อยให้ท่านตาย อย่าลืมว่าท่านยังมีเยี่ยนเยี่ยน”


 


 


คำพูดมั่นใจหนักแน่นของมั่วชิงเฉินและความเข้มแข็งของความเป็นแม่ตามธรรมชาติของนิสัยหญิงสาวทำให้นัยน์ตาของมั่วหนิงโหรวมีประกายแสงแวบขึ้นมาสายหนึ่งทันที นางยิ้มแผ่วเบาว่า “น้องสิบหก เจ้ามักแข็งแกร่งกว่าข้า หนิงโหรวเชื่อเจ้า”


 


 


มั่วชิงเฉินไม่อยากถามอีกแล้วว่ามั่วหนิงโหรวมาถึงตระกูลหวังแล้วเหตุใดจึงกลายเป็นอนุของคุณชายสี่ นั่นเป็นเพียงการเปิดบาดแผลของนางอีกครั้งเท่านั้น ที่นางอยากรู้คือบัดนี้มั่วหนิงโหรวคิดจะทำเช่นไรต่อไป


 


 


“พี่สิบสี่ บัดนี้ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไป ยินยอมไปจากตระกูลหวังพร้อมชิงเฉินหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามโดยตรง


 


 


นางจำเป็นต้องเข้าใจความคิดจากใจจริงของมั่วหนิงโหรว ไม่ว่ามั่วหนิงโหรวในสายตาคนอื่นจะมีชีวิตอนาถเพียงใด นางก็ไม่คิดจะเจ้ากี้เจ้าการวางแผนการทุกอย่างแทนมั่วหนิงโหรว


 


 


มั่วชิงเฉินคิดเสมอมา คนคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนคนอื่น ต่อให้ทำในนามว่าทำเพื่อคนคนนั้นก็ตาม


 


 


มั่วหนิงโหรวฟังคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้ว สีหน้าเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ในที่สุดก็ขยับปากเอ่ยว่า “น้องสิบหก ข้าไม่อาจทำได้” 

 

 


ตอนที่ 182 คนงามที่รอคอย

 

 


 


ไม่อาจทำได้ มิใช่ไม่ยินยอม มั่วชิงเฉินจับความแตกต่างในนั้นได้อย่างเฉียบขาด ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามอีกครั้งว่า “พี่สิบสี่ เหตุใดจึงไม่อาจทำได้?”


 


 


มั่วหนิงโหรวไม่พูด ค่อยๆ หลุบหน้าลงไป เผยให้เห็นคอระหง ราวกับแตะเบาๆ ก็สามารถหักได้อย่างไรอย่างนั้น


 


 


“เป็นเพราะเยี่ยนเยี่ยนใช่หรือไม่? หรือว่าห่วงว่าข้าพาพวกท่านไปจะมีอันตราย?” มั่วชิงเฉินถามลองเชิงดู


 


 


มั่วหนิงโหรวกัดริมฝีปาก ไม่ออกเสียง


 


 


มั่วชิงเฉินกุมมือของมั่วหนิงโหรวไว้อีกครั้ง “พี่สิบสี่ บัดนี้ชิงเฉินอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง หลังจากเข้าพรรคเหยากวงได้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรับไว้เป็นศิษย์ หากพาท่านและเยี่ยนเยี่ยนไปจากตระกูลหวัง อย่างไรก็มั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่มีปัญหา ดังนั้นด้านนี้ท่านไม่ต้องกังวล ส่วนเยี่ยนเยี่ยน ท่านไม่อยากให้นางต้องแยกจากบิดาบังเกิดเกล้าใช่หรือไม่?”


 


 


มั่วหนิงโหรวมองดูมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็เปิดปากเบาๆ ว่า “น้องสิบหก เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้แล้ว หนิงโหรวใช้ชีวิตในตระกูลหวังมายี่สิบกว่าปี ไม่คิดจะจากไปตั้งนานแล้ว”


 


 


มั่วชิงเฉินจ้องใบหน้าที่หมองหม่นของมั่วหนิงโหรวเขม็ง มองลึกเข้าไปในดวงตานาง “ข้าไม่เชื่อ พี่สิบสี่ ท่านไม่เคยคิดว่าจะมีสักวันที่จะได้พบกันใหม่กับข้า กับพี่เก้า พี่สิบ ยังมีหู่โถวอีกจริงหรือ? ไม่เคยคิดว่าพวกเราจะ…กลับบ้านไปดูด้วยกันเช่นนั้นหรือ?”


 


 


พูดถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินพยายามกะพริบตา ไม่ให้น้ำตาตกลงมา


 


 


มั่วหนิงโหรวกลับทนไม่ไหวอีกแล้ว ปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมา


 


 


สถานที่ที่คะนึงหานั้น นางจะไม่อยากกลับไปดูได้อย่างไร?


 


 


“น้องสิบหก เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เอาเป็นว่าข้าจะไม่ไปจากตระกูลหวัง” มั่วหนิงโหรวหยุดสะอื้น แล้วพูดอย่างแน่วแน่


 


 


มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน “พี่สิบสี่ ก่อนที่ร่างกายท่านจะดีขึ้น ข้าจะอยู่ที่ตระกูลหวังตลอด ช่วงระยะนี้ท่านคิดดูดีๆ ค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย ท่านต้องพักผ่อนให้มาก ชิงเฉินกลับก่อนแล้ว รอพรุ่งนี้ค่อยมาดูท่านอีกที”


 


 


“น้องสิบหก เจ้า เจ้าไปจากตระกูลหวังเร็วหน่อยดีกว่า” เสียงอันเศร้าโศกของมั่วหนิงโหรวดังมาจากด้านหลัง


 


 


มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง หันหลังไปทันที จ้องมั่วหนิงโหรวว่า “พี่สิบสี่ บอกชิงเฉินได้ไหม ท่าน…มีใจต่อคุณชายสี่หรือไม่?”


 


 


มั่วหนิงโหรวก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง เนิ่นนานถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดาของเยี่ยนเยี่ยน…”


 


 


“ชิงเฉินเข้าใจแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยต่ำๆ ประโยคหนึ่งแล้วก็เดินออกไป


 


 


มั่วหนิงโหรวมองห้องที่วังเวงอย่างเหม่อลอย แล้วฟุบลงบนเตียงสะอื้นขึ้นมาอย่างไม่มีเสียง


 


 


“คุณหนู คุณหนู ท่านระวังหน่อยเจ้าค่ะ” สาวใช้ใส่ชุดแดงทับทิมคนหนึ่งตะโกน


 


 


“พี่ลี่ว์เอ้อ ดึงมาทางนี้ ดึงมาทางนี้ ว้าย บินขึ้นมาแล้ว!” เยี่ยนเยี่ยนยืนชิดสาวใช้ที่ใส่ชุดกระโปรงเขียว แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วตบมือยิ้ม


 


 


ไห่อิงและไห่เอี้ยนสองพี่สองยืนอยู่ข้างๆ มองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


 


 


มั่วชิงเฉินเดินไปถึงข้างทะเลสาบ ภาพที่เห็นก็คือเช่นนี้


 


 


“แม่นางมั่ว” สาวใช้ฝาแฝดเห็นมั่วชิงเฉินก่อนคนอื่น จึงย่อตัวคำนับ


 


 


เยี่ยนเยี่ยนหันหน้ามา เห็นเป็นมั่วชิงเฉินจึงวิ่งมาอย่างร่าเริง ลากมือมั่วชิงเฉินว่า “ท่านน้า”


 


 


มั่วชิงเฉินเดาว่าหากคุณชายสี่คิดจะลงมือ น่าจะเลือกยามที่นางกำลังจะจากไป จึงไม่อยากลากเยี่ยนเยี่ยนเข้ามาพัวพันด้วย จึงว่า “เยี่ยนเยี่ยน น้ายังมีธุระต้องไปก่อนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกดีหรือไม่?”


 


 


เยี่ยนเยี่ยนอาลัยอาวรณ์ว่า “ท่านน้า ท่านยังไม่ได้เล่นกับเยี่ยนเยี่ยนเลยนะเจ้าคะ เยี่ยนเยี่ยนอุตส่าห์ขอร้องให้พี่สาวทำว่าว” พูดพลางชี้ไปที่สาวใช้ที่ใส่ชุดสีทับทิม


 


 


“เช่นนี้หรือ เช่นนั้นพรุ่งนี้น้าเล่นว่าวเป็นเพื่อนเยี่ยนเยี่ยน น้าปล่อยว่าวได้สูงมากเลยนะ” มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองสาวใช้กระโปรงแดงปราดหนึ่ง


 


 


เยี่ยนเยี่ยนถึงปล่อยมั่วชิงเฉินอย่างอาลัยอาวรณ์


 


 


มั่วชิงเฉินส่งสายตาให้สาวใช้ฝาแฝด แล้วเดินออกไปนอกลานบ้าน


 


 


เห็นมั่วชิงเฉินเดินไปไกล สาวใช้กระโปรงแดงยิ้มมองพวกคนที่ปล่อยว่าวอยู่ นิ้วมือยื่นเข้าไปในถุงหอมที่เอวแตะผงสีชมพูเล็กน้อย จากนั้นดีดเบาๆ ผงสีชมพูก็กระจายออกตามลม


 


 


ลึกเข้าไปในสวนปี้ซิ่วมีหอหอหนึ่ง คนสองคนกำลังลิ้มลองน้ำชาอยู่ที่โถงเล็กในหอ


 


 


“พี่สี่ แม่นางมั่วอยู่นานมากเลยนะ แหะๆ รอจนร้อนใจแล้วล่ะสิ?” คุณชายสิบเจ็ดยกจอกขึ้น ยิ้มอย่างสัปดนเล็กน้อย


 


 


คุณชายสี่สีหน้านิ่งเรียบ เหลือบมองคุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง กำลังจะพูดเครื่องประดับรูปหัวใจที่ห้อยอยู่ที่เอวก็ส่งกระแสความร้อนมาสายหนึ่ง


 


 


เครื่องประดับรูปหัวใจนั่นเหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก เป็นประกายกลับไม่กระจ่างใส ดูไม่ออกว่าเป็นวัสดุอันใดกันแน่ คุณชายสี่ยื่นมือดึงออกมาวางไว้ข้างริมฝีปากเป่าเบาๆ ก็เปล่งเสียงอันไพเราะออกมา


 


 


“พี่สี่ ข้าก็บอกแล้วเหยื่ออะไรก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือท่าน แหะๆ วันนี้แม่นางมั่วมาสวนปี้ซิ่วเอง แล้วก็เดินไปถึงเรือนเถาหยวนเอง มีใครไม่รู้บ้างว่าปกติท่านล้วนพำนักที่เรือนเถาหยวน ทีนี้ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนอื่นก็ได้แต่นึกว่านางเสนอตัวถึงอ้อมกอดของท่านแล้ว” สีหน้าคุณชายสิบเจ็ดยังตื่นเต้นกว่าคุณชายสี่เสียอีก


 


 


คุณชายสี่เหลือบมองคุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง “เจ้าพูดมากจริง”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดไม่แยแสว่า “แม่นางมั่วนึกว่าตนมาจากสำนักเลื่องชื่อ ท่านหัวหน้าตระกูลให้เกียรตินาง พวกเราก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว แหะๆ รอนางมาถึงนี่สำเร็จเรื่องดีงามกับพี่สี่ ท่านหัวหน้าตระกูลต้องเห็นดีเห็นงามกับเรื่องบำเพ็ญเพียรคู่ของพวกท่านเป็นแน่ ต่อให้เป็นอาจารย์ในสำนักนางก็ได้แต่ยอมรับแล้ว”


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีไปที่พำนักของผู้ชาย หากเกิดอะไรขึ้นจริง คนอื่นมองเรื่องนี้เช่นไรคิดดูก็รู้ ที่คุณชายสี่วางแผนไว้ก็คือเรื่องนี้ กลับถลึงตาใส่คุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่งว่า “น้องสิบเจ็ด เจ้าควรไปแล้วใช่หรือไม่?”


 


 


คุณชายสิบเจ็ดหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ใช่ น้องไม่รบกวนเรื่องดีของพี่สี่แล้ว พี่สี่ สาวใช้ฝาแฝดคู่นั้นยังไม่นับว่าเป็นสาวใช้อย่างเป็นทางการของหอว่างไห่ ท่านว่าน้องสามารถ…”


 


 


“อย่าพูดมาก ยังไม่รีบไปอีก” คุณชายสี่โบกแขนเสื้อ


 


 


คุณชายสิบเจ็ดที่รับทราบหัวเราะร่า แล้วก็ปีนหน้าต่างออกไปโดยตรง


 


 


อีกด้านหนึ่งมั่วชิงเฉินกำลังมุ่งหน้าเดินออกไป ทันใดนั้นฝีเท้าหยุดกึก จากนั้นเดินไปอีกทิศทางหนึ่งด้วยสองตาเหม่อลอย


 


 


“แม่นางมั่ว?” สาวใช้ฝาแฝดเรียกอย่างสงสัยเสียงหนึ่ง


 


 


มั่วชิงเฉินถึงลืมตาขึ้น รีบสั่งว่า “พวกเจ้ากลับหอว่างไห่ก่อน” พูดพลางเดินไปตามทิศทางนั้นต่อ


 


 


นางเดินได้ระยะหนึ่งทันใดนั้นพบว่านี่คือทิศทางที่ไปสู่ป่าท้อ ความคิดที่กระจ่างเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาในพริบตา แอบว่าคุณชายสี่ช่างวางแผนได้อำมหิตนัก


 


 


เมื่อครู่หมอกควันสีชมพูบริเวณหัวใจนางจู่ๆ ก็กำเริบ มัวเมาสติสัมปชัญญะในพริบตา มีพลังมารที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่งลวงนางให้เดินไปทางทิศทางนี้ ยังดีที่หมอกควันนั้นเมื่อกระจายไปถึงขอบข่ายหนึ่งก็ถูกเพลิงแก้วใจกระจ่างเผาจนหดเป็นก้อน ไม่กล้าขยับส่งเดชอีก


 


 


“อู๋เย่ว์ ช่วยอะไรข้าหน่อย ให้จิตตระหนักข้าสิงร่างหน่อย” มั่วชิงเฉินเรียกอีกาไฟออกมา


 


 


อีกาไฟรีบยื่นปีกสองข้างกอดอกไว้ทันที เอ่ยอย่างระแวงว่า “เจ้า เจ้าจะทำอะไร?”


 


 


มั่วชิงเฉินจำใจ นี่ก็คือสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเพียรไม่ยอมเซ็นพันธสัญญาเสมอภาคกับอสูรวิญญาณ หากเป็นพันธสัญญานายบ่าว นางไม่จำเป็นต้องปรึกษาก็สามารถให้อสูรวิญญาณทำเรื่องอะไรก็ได้ ส่วนพันธสัญญาเสมอภาคกลับจำเป็นต้องขอความยินยอมจากมัน


 


 


มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “ขอร้อง ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เพียงแต่อยากยืมตาของเจ้าดูว่าหมอกควันนั่นจะลวงข้าไปที่ใดกันแน่ ถึงที่นั่นแล้ว จิตตระหนักของข้าก็จะถอยออกมา”


 


 


“เอาเถอะ” อีกาไฟเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นยื่นปีกออกมาทำท่าว่า “สุราทิพย์สองขวด”


 


 


มั่วชิงเฉินรับปากเต็มคำ แยกจิตตระหนักสายหนึ่งออกมาเข้าไปในจิตอีกาไฟ จากนั้นเป็นฝ่ายกระตุ้นหมอกควันเอง อีกาไฟก็บินไปตามการชี้นำ


 


 


ในเรือนเถาหยวน คุณชายสี่ยกน้ำชาที่เย็นชืดหมดแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ มีสีหน้าตื่นเต้นอันเกิดจากความร้อนรนอีกทั้งคาดหวัง


 


 


ทันใดนั้นรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณสายหนึ่ง คุณชายสี่ลุกขึ้นทันที กลับเห็นอีกาที่ดำจนเป็นเงาตัวหนึ่งบินเข้ามาทางหน้าต่างกับตา ‘ตึง’ เสียงหนึ่งร่อนลงบนโต๊ะน้ำชา ขาเตะจอกน้ำชาบินออกไปพอดี ทันใดนั้นน้ำชากระเซ็นไปทั่ว จอกน้ำชากลิ้งตกบนพื้นดังเคร้งๆ


 


 


คุณชายสี่ชี้อีกาไฟเหมือนเห็นผี ร้องเสียงสั่นว่า “เหตุใด เหตุใดถึงเป็นเจ้า?”


 


 


อีกาไฟที่ถอดจิตตระหนักของมั่วชิงเฉินทิ้งกลับมามีสติตั้งนานแล้ว มันที่มีความภูมิใจในตนเองสูงมากได้ยินคำพูดนี้ไม่พอใจขึ้นมาทันที “เป็นข้าแล้วเป็นอย่างไร ไม่ใช่เจ้าเชิญท่านย่ามาหรอกหรือ? หา เจ้าคิดจะทำอะไรหา?”


 


 


พูดพลางดูเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงใช้ปีกสองข้างกอดไว้ที่หน้าอกทันที


 


 


การกระทำนี้ทำให้คุณชายสี่โมโหจนเดือดปุดๆ ทันที สีหน้าดำกว่าขนอีกาเสียอีก


 


 


“ข้าจะเชือดเจ้า เจ้าเดรัจฉานขนแบน!” คุณชายสี่ที่กำลังโมโหไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ชักดาบวงพระจันทร์ออกมาฟันไปที่อีกาไฟ


 


 


อีกาไฟบิน ‘ฟิ้ว’ ออกจากหน้าต่าง พลางบินพลางร้องว่า “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ฆ่าคนแล้ว!”


 


 


อีกาไฟและคุณชายสี่คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่ ค่อยๆ บินออกจากสวนปี้ซิ่ว


 


 


คุณชายสี่ที่ความโมโหบดบังจิตใจไม่ทันได้สนใจพวกนี้ คิดเพียงแต่จะเชือดอีกาไฟระบายอารมณ์ เห็นมันจู่ๆ หยุดอยู่กลางอากาศ ดาบวงพระจันทร์ในมือบินออกไปทันที วาดเป็นจันทร์เสี้ยวออกมากลางอากาศ


 


 


ศาลาคลายร้อนหลังหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากนอกสวนปี้ซิ่วนัก มั่วชิงเฉินส่งยันต์ส่งสารเชิญคุณชายหกและหลี่จื้อหย่วนมาที่นี่นานแล้ว ยามนี้ทั้งสามคนกำลังนั่งเล่นอยู่ในศาลาคลายร้อน


 


 


“ว้าย เจ้านาย เจ้าจะเห็นคนกำลังจะตายไม่ช่วยไม่ได้นะ!” ตาขาวคู่หนึ่งของอีกาไฟมองมั่วชิงเฉินที่ดื่มชาอย่างไม่รีบร้อนกรีดร้องว่า


 


 


หลี่จื้อหย่วนและคุณชายหกประสานสายตากันปราดหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเห็นมั่วชิงเฉินลุกขึ้นโดยพลัน สะบัดมือโยนก้อนอิฐเป็นประกายทองแวววับก้อนหนึ่งออกไป ก้อนอิฐพร้อมด้วยพลังอันมหาศาลชนไปที่ดาบวงพระจันทร์ ยามที่กระทบกันเกิดเสียงเคร้งเสียงหนึ่ง ดาบวงพระจันทร์กลับสู่มือคุณชายสี่


 


 


คุณชายสี่เห็นมั่วชิงเฉินก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเรื่องแดงแล้ว นึกถึงว่าต่อจากนี้มั่วชิงเฉินระแวดระวังแล้วหรือไปจากตระกูลหวังทันที แผนที่เขาวางไว้ทั้งหมดจะต้องเสียเปล่าหมด จึงกัดฟันตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน


 


 


เรื่องมาถึงขั้นนี้ เล่นไม้แข็งให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้วกัน ขอเพียงข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก นางผู้หญิงตัวคนเดียวจะทำอะไรได้!


 


 


คุณชายสี่ที่ลุ่มหลงจนเสียสติกระทั่งเพิกเฉยต่อพวกหลี่จื้อหย่วนสองคนในศาลาคลายร้อน ในสายตามีเพียงมั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่ตรงข้าม


 


 


“แม่นางมั่ว ข้าขอเตือนเจ้าให้ยอมข้าเสียดีกว่า มิเช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าทำลายบุปผาอย่างอำมหิตแล้วกัน” คุณชายสี่เอ่ยด้วยเสียงอันมืดมน


 


 


หลี่จื้อหย่วนและคุณชายหกกำลังจะยืนขึ้นมาเข้าไปช่วย ก็ได้ยินมั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “พวกเจ้าไม่ต้องขยับ”


 


 


จากนั้นนางเงยคางขึ้น มองคุณชายสี่ด้วยหางตาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ลองเข้ามาดู วันนี้ไม่อัดเจ้าจนฟันร่วงเต็มพื้น ข้าก็ไม่ชื่อมั่วชิงเฉิน!”


 


 


คุณชายสี่ที่ถูกท้าทายอีกครั้งไฟในทรวงพลุ่งพล่าน โบกสะบัดดาบวงพระจันทร์ปะทะกับมั่วชิงเฉินขึ้นมา


 


 


“คุณชายหก คุณชายสี่พลังความสามารถเป็นเช่นไร แม่นางมั่วรับมือเขาได้หรือไม่?” หลี่จื้อหย่วนตาไม่ออกห่างจากการสู้ ถามอย่างร้อนรนเล็กน้อย


 


 


คุณชายหกลังเลว่า “ข้าก็พูดไม่ถูก หวังสี่เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางมาหลายปี พลังความสามารถนับว่าเป็นที่หนึ่งที่สองของรุ่นในตระกูลหวังเรา ส่วนแม่นางมั่วก็ไม่ใช่คนทำสิ่งใดโดยไร้จุดหมาย”


 


 


ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่ทันใดนั้นก็ได้ยินมั่วชิงเฉินตะโกนเบาๆ เสียงหนึ่ง หลี่จื้อหย่วนพูดว่า “ดูเร็ว!” 

 

 


ตอนที่ 183 สถานการณ์อันโกลาหล

 

คุณชายหกมองไป เห็นเพียงมั่วชิงเฉินสองมือสิบนิ้วกางออกกว้าง ปล่อยเถาวัลย์ขนาดเท่านิ้วมือนับถ้วนออกจากหว่างนิ้ว เถาวัลย์เหล่านี้บินไปทางคุณชายสี่ด้วยความเร็วยิ่ง บิดขยับพันเกี่ยวกันอยู่กลางอากาศพริบตาเดียวก็ทอเป็นแหใหญ่ปากหนึ่ง คุณชายสี่รีบถอยหลังไปกลับหลบไม่พ้น ถูกแหใหญ่คลุมอยู่ข้างใน


 


 


มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะเสียงหนึ่งสะบัดข้อมือ แหใหญ่ห่อคุณชายสี่ไว้แล้วลอยขึ้นฟ้า


 


 


เพิกเฉยต่อการดิ้นรนของคุณชายสี่ มั่วชิงเฉินมือออกแรงยกแหใหญ่ขึ้นมาจากนั้นโยนลงพื้นไป แล้วก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง คุณชายสี่เอาหน้าลงพื้น ปากกระแทกกับก้อนหินเล็กก้อนหนึ่งเข้าพอดี ฟันหน้าบินออกไปสองซี่


 


 


มั่วชิงเฉินสะบัดข้อมือ โยนเถาวัลย์ในมือไปบนง่ามไม้บนต้นไม้ใหญ่ข้างๆ ต้นหนึ่ง คุณชายสี่ถูกห่ออยู่ในแหใหญ่ แกว่งไปไกวมาตามแห คนกลับไม่ออกเสียงสักแอะแล้ว


 


 


หลี่จื้อหย่วนและคุณชายหกตกตะลึงยกใหญ่ พวกเขาเดาได้ว่ามั่วชิงเฉินที่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากทั้งสองคนน่าจะมั่นใจในการรับมือคุณชายสี่อยู่หลายส่วน กลับไม่คิดว่าในเวลาสั้นเพียงนี้การต่อสู้ก็จบเสียแล้ว คุณชายสี่ยังแพ้อย่างอนาถเช่นนี้อีก


 


 


สองคนรีบรุดไป


 


 


คุณชายหกมองดูคุณชายสี่ที่ไม่ขยับเขยื้อน ตกใจจนเหงื่อเย็นโทรมกาย เอ่ยด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “แม่นางมั่ว หวังสี่เขาคงไม่…”


 


 


เขาไม่ได้เป็นห่วงความเป็นตายของหวังสี่หรอกนะ หากแต่หวังสี่เกิดถูกมั่วชิงเฉินตีตายขึ้นมาจริงๆ แล้ว อย่าพูดถึงท่านเทียดที่ลำเอียงรักเขาเสมอมาท่านนั้น ต่อให้เป็นท่านหัวหน้าตระกูลก็ไม่อาจละเว้นมั่วชิงเฉินง่ายๆ แล้ว


 


 


อย่างไรเสียงนี่ก็อยู่ในตระกูลหวัง ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากต่างถิ่นคนหนึ่งฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในตระกูล ท่านหัวหน้าตระกูลหากเพิกเฉยไม่สนใจ จะไม่อาจปลอมประโลมคนในตระกูลได้


 


 


พูดจากอีกแง่หนึ่ง การกระทำครั้งนี้ของมั่วชิงเฉินก็เป็นการตบหน้าท่านหัวหน้าตระกูลอย่างแรง ต่อให้นางมีภูมิหลังเช่นไร ท่านหัวหน้าตระกูลก็ไม่ละเว้นง่ายๆ ศักดิ์ศรีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ มาท้าทายได้เช่นไร!


 


 


“เจ้าวางใจ เขาไม่ตายหรอก” มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ส่ายศีรษะว่า


 


 


คุณชายหกโล่งใจอย่างชัดเจน ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็พูดง่ายแล้ว


 


 


ที่หลี่จื้อหย่วนถามกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “แม่นางมั่ว เมื่อครู่แหใหญ่ที่เจ้าใช้ใช่อาวุธเวทหรือไม่ ช่างร้ายกาจจริงๆ เลย เพียงแต่ไม่ว่าข้าจะดูอย่างไรก็ดูระดับชั้นของมันไม่ออก?”


 


 


เห็นท่าทางดีอกดีใจของหลี่จื้อหย่วน บนหน้าของมั่วชิงเฉินถึงปรากฏความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “นั่นมิใช่อาวุธเวท หากแต่เป็นคาถา”


 


 


หลี่จื้อหย่วนเบิกตาสีดำบริสุทธิ์โพล่งทันที “คาถา? ระดับสร้างรากฐานไม่คิดเลยว่าจะมีคาถาที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ข้าว่าไม่ด้อยกว่าอาวุธเวทระดับสูงแม้แต่น้อยนะ!”


 


 


มั่วชิงเฉินเหล่คุณชายสี่ที่หมดสติอยู่ในแหใหญ่ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นในใจรู้สึกสะใจมาก จึงยิ้มนิ่งเรียบต่อหลี่จื้อหย่วนว่า “ข้าบำเพ็ญวิชายุทธ์ธาตุไม้เป็นหลัก มีคาถาติดมาด้วย”


 


 


“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูแล้ววิชายุทธ์ที่แม่นางมั่วบำเพ็ญเป็นหลักต้องไม่ใช่ของธรรมดาเป็นแน่” หลี่จื้อหย่วนชื่นชมจากใจ


 


 


มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม กระบวนท่าที่รับมือคุณชายสี่เมื่อครู่เรียกว่าแหฟ้าตาข่ายดิน เป็นคาถาหนึ่งที่ติดมากับเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่จริงๆ ในเจ็ดปีนั้นที่นางฝึกฝนร่างกายสร้างรากฐานให้มั่นคงอยู่ที่เขาชิงมู่ เพราะต้องชะลอความเร็วในการบำเพ็ญเพียร จึงใช้เวลาที่ว่างอยู่ทั้งหมดไปกับการศึกษาด้านคาถา


 


 


กระบวนท่าแหฟ้าตาข่ายดินนี้ แต่เดิมมาจากการแปลงพลังวิญญาณ พลานุภาพแม้ไม่น้อยทว่าพลังวิญญาณที่ต้องสูญเสียกลับมากนัก ต่อให้กักคนไว้ได้ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้นานนัก


 


 


มั่วชิงเฉินใช้เถาวัลย์แทน ยามเดียวกันเถาวัลย์ที่ทอเป็นแหฟ้าตาข่ายดินมีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเหลืองอ่อนที่ความเหนียวสุดยอด ไม่กลัวไฟเผาดาบฟัน อีกชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเขียวที่สามารถพันธนาการพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรได้


 


 


เถาวัลย์สองชนิดบวกกับพลังวิญญาณของตนแปลงเป็นแหฟ้าตาข่ายดิน พลานุภาพย่อมสูงขึ้นไม่เพียงแค่ระดับเดียว ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่กักศัตรูไว้แล้ว ต่อให้สลายพลังวิญญาณของตนไป ตาข่ายที่ทอจากเถาวัลย์ยังอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกพลังวิญญาณพันธนาการไว้ดิ้นไม่หลุดโดยสิ้นเชิง จึงได้แต่อยู่ในตาข่ายอย่างว่าง่ายเหมือนสัตว์ที่ถูกมัดไว้


 


 


ในยามนี้เอง จู่ๆ ก็เห็นเยี่ยนเยี่ยนวิ่งออกมาจากสวนปี้ซิ่วด้วยน้ำตานองหน้า มองไปทั่วอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินจึงถลาเข้ามาเหมือนเห็นคนช่วยชีวิต


 


 


มั่วชิงเฉินใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ใช้เคลื่อนเงาเลือนรางเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างกายเยี่ยนเยี่ยน “เยี่ยนเยี่ยน เป็นอันใด?”


 


 


เยี่ยนเยี่ยนพักหายใจอึดหนึ่ง “ท่านน้า เยี่ยนเยี่ยนเห็น เห็นท่านอาสิบเจ็ดจับพี่ไห่เอี้ยน จากนั้นพี่ไห่อิงก็กระโดดลงไปในทะเลสาบ!”


 


 


พวกมั่วชิงเฉินสามคนฟังแล้วหน้าถอดสี ก้าวขึ้นอาวุธเวทรีบรุดไปสวนปี้ซิ่ว


 


 


ในสวนปี้ซิ่วมีทะเลสาบสองแห่ง อันเล็กอยู่ลานบ้านด้านหลัง อันใหญ่อยู่ห่างจากทางเข้าไม่ไกลนัก มั่วชิงเฉินส่งจิตตระหนักออกไปพบว่าใกล้ๆ นี้มีพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่สายหนึ่ง จึงรีบรุดไปทางนั้น


 


 


เมื่อสามคนไปถึงที่นั่น ก็เห็นหลังภูเขาจำลองข้างทะเลสาบ คุณชายสิบเจ็ดทับอยู่บนร่างหญิงสาวนางหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาที่เบิกกว้างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง


 


 


ในทะเลสาบ มีหญิงสาวคนหนึ่งลอยตุ๊บป่องอยู่เช่นกัน


 


 


มั่วชิงเฉินบังคับกระบี่บินร่อนลงบนผิวทะเลสาบ ดึงหญิงสาวขึ้นมา ส่วนยามนี้ คุณชายสิบเจ็ดถูกหลี่จื้อหย่วนเตะกระเด็นไป เสื้อคลุมตัวหลวมของบัณฑิตตัวหนึ่งคลุมอยู่บนร่างหญิงสาว


 


 


มั่วชิงเฉินวางไห่อิงไว้บนพื้น ใช้มือกดส่วนหน้าอกรีบปฐมพยาบาล ขณะเดียวกันก็ยัดยาลูกกลอนย้อนอายุเข้าปากนาง ใช้พลังวิญญาณของตนนำทางโอสถให้กระจายออกในร่างกาย


 


 


เพียงครู่เดียว ไห่อิง ‘อ๊อก’ เสียงหนึ่งอาเจียนของดำปิ๊ดปี๋กองหนึ่งออกมา ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่งทันที เห็นไห่เอี้ยนที่นอนอยู่บนพื้นจึงถลาเข้าไปทันที ร้องไห้ตะโกนว่า “ไห่เอี้ยน ไห่เอี้ยน…”


 


 


ไห่เอี้ยนเบิกตาโพลงไม่ขยับเขยื้อน ก็เหมือนตุ๊กตาไม้ที่สูญเสียชีวิตชีวา


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปที่คุณชายหลี่


 


 


คุณชายหลี่ส่ายหน้าว่า “คนไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่…”


 


 


กวาดเศษเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกระจัดกระจายตามพื้นปราดหนึ่ง มั่วชิงเฉินหน้าดุจน้ำแข็ง มองไปที่คุณชายสิบเจ็ดอย่างเย็นเฉียบ


 


 


คุณชายสิบเจ็ดที่ถูกเตะไปทีหนึ่งในสถานการณ์เช่นนั้นตกใจเกินขนาด เหลอหลาอยู่ครึ่งค่อนวันถึงรู้จักใส่เสื้อผ้า คลานขึ้นมาอย่างทุลักทุเลก็จะวิ่งไปข้างนอก


 


 


“เจ้าสารเลว หยุดเดี๋ยวนี้!” มั่วชิงเฉินดึงก้อนอิฐออกมากำลังจะโยนออกไป กลับถูกหลี่จื้อหย่วนรั้งไว้ว่า “แม่นางมั่ว ข้าเอง!”


 


 


เห็นเพียงหลี่จื้อหย่วนอัญเชิญพู่กันยักษ์ขนหมาป่า วาดคำว่า ‘กัก’ กลางอากาศ จากนั้นตะโกนว่า “ไป!”


 


 


อักษร ‘กัก’ ที่ประกายแสงวิญญาณแวววับนั่นก็เหมือนมีตาก็ไม่ปานไล่ตามคุณชายสิบเจ็ดไป ไปถึงหน้าเขาจู่ๆ ก็ปล่อยแสงสีเรืองรอง อักษร ‘กัก’ ที่ใหญ่ขึ้นไม่รู้กี่เท่าก็คลุมคุณชายสิบเจ็ดที่ลนลานทำอะไรไม่ถูกไว้ข้างในเหมือนกรงขัง


 


 


จากนั้นหลี่จื้อหย่วนตวัดเสื้อคลุมขึ้น วิ่งเข้าไปในสองสามก้าว ยกหมัดขึ้นซัดใส่หน้าคุณชายสิบเจ็ดขึ้นมา


 


 


“คุณชายหก เจ้ายังมัวบื้อทำอะไร!” หลี่จื้อหย่วนตะโกน


 


 


คุณชายหกได้สติกลับมาจากเรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างต่อเนื่องนี้ ไม่คิดมากก็เข้าไปสมทบ เข้าร่วมแถวการอัดคุณชายสิบเจ็ด


 


 


“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงอันมีพลานุภาพลอยมา จากนั้นตามมาด้วยแรงกดดันอย่างรุนแรง


 


 


พวกมั่วชิงเฉินหยุดชะงัก แม้แต่ไห่อิงที่กอดไห่เอี้ยนร้องไห้ระงมก็หยุดร้อง


 


 


คนที่มาลักษณะวัยกลางคน หน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่ตาเหยี่ยวคู่หนึ่งเพิ่มความเฉียบขาดให้บุคลิกของคนคนนั้นขึ้นหลายส่วน


 


 


“ท่าน…ท่านผู้เฒ่าสาม!” คุณชายหกสีหน้าซีดเซียวทันที


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าท่านผู้เฒ่าสามกวาดมองคุณชายหกปราดหนึ่ง ฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง จากนั้นตาคมเหมือนดาบมองปาดไปที่มั่วชิงเฉิน “ใครเป็นคนทำหวังสี่บาดเจ็บ?”


 


 


“ข้าเอง” มั่วชิงเฉินพูดอย่างใจเย็น


 


 


“คือเจ้า!” ผู้เฒ่าสามปล่อยพลังออกมา พลานุภาพที่แข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกดมาที่มั่วชิงเฉินอย่างไม่ไว้ไมตรี


 


 


มั่วชิงเฉินยืดหลังตรง ฟันหน้ากัดจนริมฝีปากล่างเลือดออก ต้านไว้สุดชีวิต


 


 


“ดี ดี ดี เป็นเด็กสาวที่ใจกล้ามาก มิน่ากล้ามาโอหังในตระกูลหวังข้า!” ผู้เฒ่าสามพูด ‘ดี’ ติดๆ กันหลายคำ ทันใดนั้นในมือปรากฏสมบัติวิเศษลักษณะเหมือนเปลือกหอยอันหนึ่งออกมา


 


 


ผู้เฒ่าสามจีบเคล็ดวิชานิ้ว เปลือกหอยอ้าออกในพริบตา ไข่มุกสุกใสบินออกมาหลายเม็ด จู่โจมมาที่มั่วชิงเฉิน


 


 


“แม่นางมั่ว รีบหลบเร็ว!” คุณชายหกตะโกนเสียงหลง


 


 


มั่วชิงเฉินอัญเชิญชามใหญ่ขวางไว้ข้างหน้า ขณะเดียวกันร่างกายก็ถอยไปข้างหลัง


 


 


พู่กันยักษ์ของหลี่จื้อหย่วนเขียน ‘ต้าน’ ออกมาคำหนึ่ง ขวางไว้หน้าชามใหญ่


 


 


แล้วก็เห็นอักษร ‘ต้าน’ คำนั้นสลายหายไปในพริบตา ตามด้วยชามใหญ่ดัง ‘ปุกๆ’ หลายเสียง ไม่คิดเลยว่าจะถูกไข่มุกยิงทะลุเป็นรูหลายรู!


 


 


มั่วชิงเฉินที่ใช้พลังวิญญาณควบคุมชามใหญ่กระอักเลือดออกมาทันที ต้องแข็งใจประคองไว้ถึงไม่ได้ล้มลง หลี่จื้อหย่วนดีกว่าเล็กน้อย สีหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษเช่นกัน


 


 


เป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินประมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ถึงรับรู้ได้ถึงความสยองของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอย่างลึกซึ้ง อย่าว่าแต่ตนที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ก็ไม่มีกำลังต้านทานโดยสิ้นเชิงเช่นกัน


 


 


ผู้เฒ่าสามยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง แตะด้วยปลายนิ้วเปลือกหอยในมือก็หมุนอย่างเร่งรีบขึ้นมา ในยามนี้เองได้ยินเสียงตะโกนเสียงหนึ่ง “ท่านผู้เฒ่าสาม รีบหยุดมือ!”


 


 


เงาร่างสองสายเร่งมาพร้อมกัน ขัดขวางการโจมตีของผู้เฒ่าสาม


 


 


มั่วชิงเฉินแอบโล่งใจ ที่นางรอก็คือเวลานี้นี่แหละ ขอเพียงหัวหน้าตระกูลหวังมาแล้ว ก็จัดการง่ายแล้ว


 


 


“ท่านผู้เฒ่าสาม เหตุใดท่านถึงสู้กับเด็กขึ้นมาแล้วล่ะ?” หัวหน้าตระกูลหวังขมวดคิ้วถาม


 


 


ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนอีกคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนบัณฑิต โบกพัดยิ้มให้ผู้เฒ่าสาม “ท่านผู้เฒ่าสามน่าเกรงขามยิ่งนัก” พูดจบก็เดินไปถึงหน้าหลี่จื้อหย่วนในไม่กี่ก้าว ไถ่ถามลูกศิษย์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


 


 


มั่วชิงเฉินมองไปที่หลี่จื้อหย่วน หลี่จื้อหย่วนยิ้มพลางขยิบตา นางเข้าใจทันทีว่าเหตุใดหลี่จื้อหย่วนถึงเข้าร่วมวงสู้กันอย่างแทบทนไม่ไหวแล้ว ในใจอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


“ท่านหัวหน้าตระกูล นางหนูคนนี้ตีหวังสี่จนสลบไม่ฟื้น หรือว่าจะปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจในตระกูลหวังของเราหรืออย่างไร?” ผู้เฒ่าสามหรี่ตาเหยี่ยว ดูแล้วน่าตกใจอยู่บ้าง


 


 


“สลบไม่ฟื้น? แม่นางมั่ว บอกหน่อยได้หรือไม่ว่านี่เกิดอะไรกันขึ้น?” หัวหน้าตระกูลหวังมองมั่วชิงเฉิน


 


 


มั่วชิงเฉินเล่าเรื่องราวคร่าวๆ รอบหนึ่ง เมื่อนางเล่าถึงนางถูกพลังเร้นลับลากมาถึงป่าดอกท้อนั้น หัวหน้าตระกูลหวังหน้าถอดสี ไม่รู้ส่งเสียงทางจิตอะไรกับผู้เฒ่าสาม ผ่านไปชั่วครู่ถึงว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ แม่นางมั่วเจ้าก็ไม่ควรลงมือหนักเช่นนี้”


 


 


มั่วชิงเฉินยักคิ้ว “ความหมายของท่านหัวหน้าตระกูลหวังคือ คุณชายสี่ทำเช่นนี้ต่อข้าไม่เป็นไร ข้าอัดฟันหน้าเขาร่วงสองซี่ก็ควรได้รับการลงโทษแล้ว?”


 


 


“แม่นางมั่ว ท่านผู้เฒ่าสามตรวจสอบสภาพของหวังสี่แล้ว บัดนี้เขาสลบไม่ฟื้น ใช้พลังวิญญาณแตะจิตก็ไม่อาจฟื้นมาได้!” หัวหน้าตระกูลหวังเอ่ย


 


 


มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “เป็นไปได้อย่างไร!”


 


 


เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือสามารถควบคุมพลังวิญญาณอย่างละเอียดลออ เมื่อครู่นางสั่งสอนคุณชายสี่ย่อมรู้หนักเบา เพียงแต่ถอนฟันหน้าเขาสองซี่ให้เขาอับอายขายหน้าเท่านั้น


 


 


“เจ้าตามข้ามา!” ผู้เฒ่าสามจับข้อมือของมั่วชิงเฉินอย่างไม่เกรงใจมาถึงศาลาคลายร้อนนอกสวนปี้ซิ่วดั่งลมพัด คุณชายสี่ถูกเขาช่วยลงมาวางไว้ตรงนี้แล้ว


 


 


มั่วชิงเฉินมองดูผู้คนที่รุดมาปราดหนึ่ง เดินไปถึงข้างกายคุณชายสี่แตะข้อมือตรวจดู เนิ่นนานถึงเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม