จอมใจจ้าวพิษ 176-183

 ตอนที่ 176 ลงมือ 


 


เมื่อถังเฉียนพูดจบ เจิ้งจยาเฉิงก็ใจเย็นลงบ้าง มองดูฮว่าเหยียนซึ่งยืนอยู่ที่หน้าประตู 


 


 


“ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย จินซิวอ๋องไม่ใช่อ๋องของข้า พวกเจ้าดูหมิ่นลูกสาวข้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เพราะนางเป็นคนจิตใจดีงามจึงไม่ถือสาพวกเจ้า ครั้งนี้เราเผ่าหมอผีเราจะไม่ยุ่งด้วย พวกเจ้าไปเชิญคนเก่งท่านอื่นเถอะ” 


 


 


หมอหลวงจางฟังที่สองฝ่ายพูดจากัน ก็อดพูดไมได้ 


 


 


“ใต้เท้าเจิ้ง การขอร้องคนไม่ใช่เรื่องน่าอาย ท่านอ๋องถูกพิษที่ประหลาดมาก หากไม่คิดหาวิธียับยั้งพิษไว้ เกรงว่าอาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ ถึงตอนนั้นต่อให้ท่านเจอตัวคนร้ายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ท่านอ๋องก็ไม่อยู่แล้ว ทั้งเด็กรับใช้คนหนึ่งยังเป็นคนของซูซินเหลียน น่าเชื่อถือหรือ นางยังเสียสติอีกด้วย อย่าลืมสิ นางโกรธแค้นหมอผีชุดดำ โดยเฉพาะนิกายเทพมังกร…” 


 


 


คำว่านิกายเทพมังกรกระตุ้นประสาทถังเวยอย่างรุนแรง นางตะโกนโหวกเหวกโวยวายออกมา 


 


 


“อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า ข้าไม่กล้าแล้ว ข้าไม่กล้าแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งร้อนใจ แต่ไม่กล้าแสดงออกมา หวังหลงกลัวว่าถังเวยจะก่อกวนจนเสียเรื่อง จึงใช้ฝ่ามือฟาดนางจนสลบไป ถังเฉียนเห็นแล้วก็รู้สึกปวดร้าวใจ แต่ทำได้เพียงดูเท่านั้น 


 


 


“ให้ท่านหมอตรวจท่านอ๋องก่อนเถอะ หากช่วยได้ก็ช่วยเลย ถ้าหาก…” 


 


 


หวังหลงมีความเห็นตรงกับหมอหลวงจาง ทั้งสองจึงร่วมกันเกลี้ยกล่อมเจิ้งจยาเฉิง เขายืนอยู่คนเดียวท่ามกลางหมู่คน รู้สึกเหมือนโดดเดี่ยวไม่มีคนช่วย  


 


 


“ย่อมได้!” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงพูดแล้ว หวังหลงจึงคลายความกังวลลง ทันใดนั้นก็เห็นเจิ้งจยาเฉิงลงมือ มีอาวุธโผล่ออกมาจากชายแขนเสื้อ เขาเอี้ยวตัวใช้มีดสั้นจ่อที่คอถังเฉียน 


 


 


“เจิ้งจยาเฉิง เจ้าจะทำอะไร” 


 


 


ทุกคนตึงเครียดขึ้นทันที แม้แต่ฮว่าเหยียนก็อดที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวไม่ได้ 


 


 


“รีบช่วยท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ หากท่านอ๋องเป็นอะไรไป ข้ากับนางจะร่วมฝังไปพร้อมกับท่านอ๋อง อาหรูน่า เจ้าอย่าโทษว่าข้าอำมหิต ใครใช้ให้เจ้าเป็นคนสำคัญ” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงยืนอยู่ข้างตัวถังเฉียน เขาใช้วิธีรุกพลิกแพลงอย่างที่สุดขู่ให้คนอื่นช่วยชีวิตฉู่จิ่งเหยา 


 


 


“ได้ เราจะไปดูเดี๋ยวนี้เลยว่าฉู่จิ่งเหยาเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าอย่าทำร้ายคุณหนูอาหรูน่า” 


 


 


ยิ่งเค่ออี้สีหน้าเคร่งเครียดเจิ้งจยาเฉิงก็ยิ่งคิดว่าตนเองทำถูกต้องแล้ว ฮว่าเหยียนร้อนใจกว่า นางคว้าคอหมอหลวงจางไปตรวจดูอาการฉู่จิ่งเหยา พอตรวจดูจึงพบว่าครั้งนี้ฉู่จิ่งเหยาถูกพิษรุนแรงมาก 


 


 


“นี่คือยาห้าก้าวเจ็ดพิษนี่เป็นยาพิษที่ได้จากการใช้ยาพิษเจ็ดชนิดเลี้ยงงูห้าก้าว เว้นแต่ว่าเราสามารถรู้ถึงยาพิษเจ็ดชนิดนั่น ไม่เช่นนั้นหากเราใช้ยาสะเปะสะปะยิ่งมีแต่จะทำให้ท่านอ๋องตายเร็วขึ้น” 


 


 


หมอหลวงจางบอกว่า 


 


 


“ใช่ ใช่ เหตุใดพระชายารองถึงได้โหดเ**้ยมเช่นนี้ ถึงกับคิดใช้ยาพิษร้ายแรงเช่นนี้มาสังหารท่านอ๋อง” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงเดินตามเข้ามาในห้อง เห็นฉู่จิ่งเหยานอนอยู่บนเตียงก็ทุกข์ใจมาก ใบหน้าเดี๋ยวขาวซีดเดี๋ยวสีม่วงเขียว ริมฝีปากสีแดงคล้ำตลอดเวลา  


 


 


“ซูซินเหลียนเล่า หากเจ้าจะมาบีบคั้นอาหรูน่า สู้ไปบีบคั้นซูซินเหลียนเสียจะดีกว่า หากนางพูดออกมาก็ดีไป หากไม่พูดเราก็ไม่รู้จะทำเช่นไร” 


 


 


หมอหลวงจางเห็นด้วยกับที่ฮว่าเหยียนพูด แต่เจิ้งจยาเฉิงไม่คิดเช่นนั้น 


 


 


“นางคนชั่วซูซินเหลียนเผ่นหนีไปก่อนแล้ว พอเราตามจับมาก็แกล้งทำเป็นเสียสติ ยังขังอยู่ที่คุกใต้ดิน ถ้าพวกเจ้าจะไปสอบถามนางก็เชิญตามสบาย ข้าขอพูดประโยคเดียว หากท่านอ๋องมีชีวิต นางก็ยังมีชีวิต หากท่านอ๋องตาย นางก็ต้องตาย” 


 


 


เค่ออี้มองฮว่าเหยียน เห็นนางส่ายหน้าตลอดเวลา จึงพูดว่า 


 


 


“เจิ้งจยาเฉิง เรายินดีใช้วิชาตรวจสอบวิญญาณกับซูซินเหลียน ทำให้นางไม่สามารถปิดบังได้ ก็จะรู้ว่าเป็นยาพิษชนิดใด” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงพยักหน้า พาถังเฉียนมายืนอยู่ด้านข้าง รอดูผลของคนเหล่านี้ ความหมายเขาชัดเจนมาก พวกเจ้าจะทำสิ่งใดข้าไม่สนใจ แต่ถ้าท่านอ๋องเสียชีวิต ถังเฉียนก็อย่าหวังว่าจะรอดได้ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 177 วิญญาณสองดวง 


 


 


 


 


 


เค่ออี้ส่งคนหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน แต่ข่าวที่กลับมารายงานนั้นทำให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาไปทำการตรวจสอบวิญญาณด้วยตนเอง แต่กลับไม่ได้ผลแต่อย่างไร 


 


 


“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้นางไม่รู้เราก็ยังสอบถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับยาพิษได้ แต่ในความจำของนางกลับไม่มีอะไรเกี่ยวกับยาพิษเลย เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงร้องหึ แล้วพูดว่า 


 


 


“พวกเจ้าเผ่าพีส่าไม่เห็นจะมีฝีมืออะไร” 


 


 


พอเขาพูดจบถังเฉียนก็รู้สึกได้ว่ามีดบนลำคอกดน้ำหนักมากขึ้น นางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า 


 


 


“เจิ้งจยาเฉิง เจ้าคงไม่รู้ว่าซูซินเหลียนต่างจากคนอื่น ในตัวนางมีวิญญาณสองดวง” 


 


 


ทุกคนประหลาดได้เมื่อได้ฟังคำว่าวิญญาณสองดวง 


 


 


“เดิมข้าคิดว่านางเป็นบ้า แต่เวลานี้ดูแล้วนางน่าจะมีวิญญาณสองดวงจริง ดวงหนึ่งคือซูซินเหลียน อีกดวงหนึ่งคือซูซิน เป็นวิญญาณคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง สองคนนี้มีนิสัยใจคอและพฤติกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าไม่ได้มาเรือนในบ่อย ไม่รู้หรอกว่าการเปลี่ยนแปลงของนางน่าตกใจมากเพียงไร” 


 


 


เมื่อถังเฉียนพูดจบ ฮว่าเหยียนก็ไปนำตัวซูซินเหลียนมาจากคุก นางหยิบแมลงสีดำตัวหนึ่งออกมาจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ง้างปากซูซินเหลียนออก แล้วให้นางกลืนแมลงตัวนั้นลงไป แมลงตัวนี้ต่างกับแมลงที่ถังเฉียนเคยเห็น แม้ตัวจะเป็นสีดำเหมือนกันแต่มีขาคู่หน้าที่ทรงพลังเหมือนกุ้งมังกร 


 


 


“เจ้าจะทำอะไร ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ล้วนแต่เป็นฝีมือของซูซิน ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริงๆ” 


 


 


ถังเฉียนหันมามองเค่ออี้ซึ่งคอยเฝ้ามองนาง เมื่อดวงตาทั้งสองสบกัน เค่ออี้ก็พูดว่า 


 


 


“ไม่ต้องคำนึงว่านางเป็นซูซินเหลียนหรือเป็นซูซิน ขอเพียงไปที่เขาศักดิ์สิทธิ์ หัวหน้าผู้บวงสรวงย่อมทำให้นางเปิดปากพูดได้ แต่ว่า…” 


 


 


มุมปากถังเฉียนเชิดขึ้นเล็กน้อย น่าเสียดายที่เจิ้งจยาเฉิงซึ่งอยู่ข้างหลังมองไม่เห็น 


 


 


“เช่นนั้นก็รีบหาวิธีเถอะ” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงร้องสั่ง สีหน้าเค่ออี้แสดงความไม่พอใจออกมา อาห่าวอยู่ข้างๆ พูดอย่างเยือกเย็นว่า 


 


 


“ต่อให้เวลานี้เราไปขอความช่วยเหลือผู้อาวุโสใหญ่เผ่าอินทรีเงิน ก็ยังไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะยินดีช่วยหรือไม่ ก่อนเที่ยงคืนวันนี้ อย่างไรก็ส่งท่านอ๋องไปเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ดูแล้วชีวิตท่านอ๋องคงผ่านหายนะครั้งนี้ไม่ได้แล้ว” 


 


 


ฮว่าเหยียนตบศีรษะซูซินเหลียน แล้วถาม 


 


 


“แม่หนู เจ็บหรือไม่” 


 


 


พอซูซินเหลียนได้ยินที่ถามก็ลงไปนอนดิ้นบนพื้นราวกับสติแตก นางพูดอ้อนวอนว่า 


 


 


“ท่านหมอ ข้าสำนึกผิดแล้ว แต่ข้าไม่รู้อะไรจริงๆ โปรดปล่อยข้าไปเถอะ อ้า ปวด ปวดจังเลย…” 


 


 


เพียงครู่เดียวท้องของซูซินเหลียนก็โป่งขึ้น เส้นเลือดตามร่างนูนขึ้นแล้วเคลื่อนไป ราวกับแมลงสีดำตัวนั้นคลานไปตามเส้นเลือดของนาง เส้นเลือดที่แคบถูกดึงรั้งให้ขยายออก ดูแล้วน่าวิตกว่านางอาจจะเสียชีวิต  


 


 


“ทางที่ดีเจ้าจงพูดความจริง ไม่เช่นนั้น ความเจ็บปวดระดับนี้จะเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น…” 


 


 


ทุกคนเฝ้ามองอยู่ ผิวหนังบนร่างซูซินเหลียนเหมือนปริแตก ผิวหนังและเส้นเลือดบริเวณที่แมลงผ่านไปจะเกาะเข้าหากัน ราวกับจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา เมื่อแมลงตัวนั้นคืบคลานมาถึงบริเวณคอ ลำคอนางก็บวมโตมาก ดูน่ากลัวมาก 


 


 


“ข้า…ข้า…” 


 


 


เสียงที่น่าเวทนาของซูซินเหลียนค่อยๆ หายไป แทนที่ด้วยเสียงที่อำมหิตของผู้หญิงอีกคน 


 


 


“อาหรูน่า ข้าจะปลิดชีวิตเจ้า เจ้าบังอาจทรมานข้า” 


 


 


พอซูซินปรากฎตัวขึ้น เค่ออี้รีบใช้เข็มแทงลงบนศีรษะนาง แล้วสอบถามความเป็นมาในการวางยาพิษฉู่จิ่งเหยา แต่คำตอบของนางค่อนข้างสับสน เมื่อถึงเวลาเค่ออี้ก็ดึงเข็มออก แล้วบอกว่า 


 


 


“นางมีสถานที่ลับแห่งหนึ่ง ซ่อนยาพิษไว้มากมาย นางมียาพิษแต่ไม่มีตำรับยา” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงพูดอย่างโกรธแค้น 


 


 


“นางมียาพิษย่อมต้องมียาถอนพิษ พวกเจ้า…” 


ตอนที่ 178 เสี่ยวจินโกรธเกรี้ยว 


 


 


 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงถือมีดสั้นคอยขู่ถังเฉียน แต่แล้วจู่ๆ ก็เจ็บที่มืออย่างรุนแรง เขาพลิกข้อมือ เห็นแมลงสีทองตัวหนึ่งกัดเข้าไปกลางฝ่ามือจนเป็นรูโบ๋ 


 


 


เค่ออี้ดึงตัวถังเฉียนออกมา อีกสามคนใช้ด้ายแดงมัดตัวเจิ้งจยาเฉิงที่บาดเจ็บไว้ คาดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะประสานกันได้ดีเช่นนี้ เสี่ยวจินที่ไม่ได้แสดงฝีมือมานานแล้ว มันออกมาอาละวาดอีกครั้ง ตีปีกอยู่ตรงหน้าถังเฉียน ท่าทางน่าเกรงขาม 


 


 


“พวกเจ้าลอบทำร้ายข้า ไม่ใช่วีรบุรุษ!” 


 


 


ฮว่าเหยียนโกรธ เตะใส่เจิ้งจยาเฉิง 


 


 


“เจ้าจับอาหรูน่า ก็ถือว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย หรือเจ้าอยากตอนตัวเองเสีย” 


 


 


ถังเฉียนคลำที่คอ แผลที่คอเจ็บเพียงเล็กน้อย นางใช้นิ้วมือป้ายเลือดที่คอ เป็นจุดที่อยู่ใกล้หัวใจมากกว่ามือ ในเมื่อมีเลือดไหลก็อย่าให้เสียเปล่า นางป้ายเลือดลงบนริมฝีปากฉู่จิ่งเหยา เพียงชั่วพริบตาสีแดงคล้ำบนริมฝีปากเขาก็จางหายไป 


 


 


จากนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น ใบหน้าฉู่จิ่งเหยาค่อยๆ มีเลือดฝาด เมื่อถังเฉียนหันมา เขาก็ลืมตาขึ้นแล้ว 


 


 


“เลือดข้ามีผลต่อท่านอ๋อง” 


 


 


นางเพิ่งพูดจบ ฉู่จิ่งเหยาก็ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว เขาก้มมองซูซิน เชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดว่า 


 


 


“หญิงผู้นี้จิตใจอำมหิตมาก ข้าอุตส่าห์ไว้ใจนางครั้งหนึ่ง แต่นางกลับตอบแทนความไว้วางใจของข้าเช่นนี้” 


 


 


ถังเฉียนเห็นฉู่จิ่งเหยาฟื้นก็ดีใจมาก แต่เสี่ยวจินบินไปทันที ตรงมาที่มือฉู่จิ่งเหยา ทำท่าเหมือนจะกัดให้เป็นรู ฉู่จิ่งเหยาไม่ใส่ใจ ยื่นมือออกไปกำเสี่ยวจินไว้ แต่เสี่ยวจินกลับไม่ดิ้นหนีออกมา 


 


 


เดิมถังเฉียนกลัวว่าเสี่ยวจินจะทำร้ายฉู่จิ่งเหยา แต่เมื่อมองดูก็พบว่าเสี่ยวจินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ 


 


 


“เสี่ยวจินเอ๋ย จะอย่างไรเจ้าก็เป็นแค่แมลง ไม่รู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของคนหรอก” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยากางฝ่ามือออก ในนั้นมีกล่องหยกใบหนึ่ง นั่นคือกล่องหยกเวินเซียงหน่วนซึ่งใช้ลงโทษเสี่ยวจิน ในนั้นยังใส่ใบไม้หยกซึ่งมันชอบไว้ ถังเฉียนคิดไม่ถึงว่าฉู่จิ่งเหยาจะเข้าใจเสี่ยวจินละเอียดถึงเพียงนี้ 


 


 


ถังเฉียนรับกล่องหยกจากมือท่านอ๋อง ค่อยๆ เปิดออก พบว่าเสี่ยวจินกำลังพยายามกินใบไม้หยกในนั้น ช่างไม่เอาไหนเสียเลย ถังเฉียนปิดกล่องด้วยความโมโห แสดงว่าจะขังมันไว้ในนั้น 


 


 


ซูซินมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด นางกรอกตาแล้วพูดว่า 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านน่าจะเข้าใจดี ที่ต้องการสังหารท่าน ไม่ใช่ข้า แต่เป็นคนที่อยู่เหนือข้าขึ้นไป เพราะฉะนั้นท่านอ๋องคงไม่กล้าทำอะไรข้าจริงหรือไม่” 


 


 


ฉู่จิงเหยาฟังที่นางพูดก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วบอกว่า 


 


 


“เท่ากับเจ้ายอมรับว่าตนเองคือซูซินเหลียน เป็นกุ้ยเฟยหรือท่านมหาเสนาบดีที่ส่งเจ้ามาสังหารข้า” 


 


 


มีรอยยิ้มอย่างดูแคลนผุดขึ้นบนใบหน้าซูซินเหลียน จากนั้นจึงพูดว่า 


 


 


“กุ้ยเฟย มหาเสนาบดี ท่านอ๋องคิดเองเถอะ จะอย่างไรชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร หากท่านไม่ชอบข้าก็ปล่อยข้าไปเถอะ แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก เหตุใดเราต้องสร้างความลำบากให้กันด้วย ท่านไปหาหญิงงามของท่าน ข้าไปหาผู้ชายของข้า เราไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ไม่ดีหรือ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาฟังที่นางพูดก็พยักหน้า 


 


 


“อย่างนั้นเจ้าก็กลับบ้านไปเสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาโบกมือ ซูซินเหลียนถูกคุมตัวออกไป เขาเงยหน้าขึ้นมองถังเฉียน นางยืนอยู่ข้างฮว่าเหยียน นางลูบแขนเสื้อถังเฉียนเบาๆ แม้จะไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่อยู่กันนานเข้าย่อมเข้าใจความคิดนาง 


 


 


“คนเขาคิดจะเอาชีวิตเจ้า เจ้าก็ยังช่วยเขา ไม่เคยเห็นเด็กที่โง่เช่นเจ้าเลย หึ ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 179 ปรับตำแหน่ง 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนไม่ได้นำไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองมาด้วยและไม่มีแมลงปีศาจสีดำชนิดนี้ จึงต้องขอร้องฮว่าเหยียนช่วยเย็บแผลที่ฝ่ามือเจิ้งจยาเฉิง ฮว่าเหยียนเหลือบมองฉู่จิ่งเหยาอย่างเย็นชา แต่ไม่มองเจิ้งจยาเฉิงเลยแม้แต้น้อย 


 


 


ฉู่จิ่งเหยารู้ว่านี่เป็นการให้ตนแสดงท่าที จึงยืนขึ้นค้อมคารวะแล้วพูดว่า 


 


 


“อาหรูน่าช่วยชีวิตข้าอีกครั้ง ถือเป็นผู้มีพระคุณของข้า นับจากวันนี้ไป อาหรูน่าจะเป็นแขกคนสำคัญของจวนจินซิวอ๋องตลอดไป ป้ายคำสั่งอันนี้ เสมือนข้ามาด้วยตนเอง นับจากนี้ไป เห็นป้ายคำสั่งนี้เท่ากับเห็นข้า” 


 


 


ฮว่าเหยียนได้ฟังเช่นนี้ก็ยังไม่พอใจ นางพูดอย่างเย็นชาว่า 


 


 


“ก็แค่ให้รางวัลตามที่สมควรให้ ชีวิตท่านอ๋องมีค่าเท่านี้เอง แต่ทำผิดก็สมควรถูกลงโทษ ไม่เช่นนั้นคนระดับล่างจะไม่มีวันรู้จักที่ต่ำที่สูง อาหรูน่าเรามีชาติกำเนิดสูงส่ง วันหน้าจะเป็นฮูหยิน จะปล่อยให้เขาลบหลู่เช่นนี้ได้หรือ” 


 


 


พอฮว่าเหยียนพูดเช่นนี้ ฉู่จิ่งเหยาจึงไม่อาจปกป้องเจิ้งจยาเฉิงได้ต่อไป ครั้งนี้เขาทำเกินเหตุจริง บาดแผลบนคอถังเฉียนยังอยู่ หากไปถึงเขาศักดิ์สิทธิ์ตนย่อมไม่สามารถอธิบายได้ 


 


 


“นับจากวันนี้ให้ลดตำแหน่งเจิ้งจยาเฉิงลงเป็นองครักษ์ซ้าย ตัดเบี้ยหวัดครึ่งปี เห็นแก่ที่เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว ให้งดโบยตามวินัยทหาร หากทำผิดอีกก็ไม่ต้องมารับใช้ข้างกายข้าอีกแล้ว” 


 


 


เจิ้งจยาเฉิงไม่มีคำพูดแสดงความน้อยใจต่อการลงโทษครั้งนี้ เขาก้มมองมือตัวเอง ค้อมคารวะแล้วพูดว่า 


 


 


“เรียนท่านอ๋อง ผู้น้อยลดตำแหน่งได้ แต่จะขาดผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ไม่ได้ ผู้น้อยคิดว่าหวังหลงทำหน้าที่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาพยักหน้าแล้วว่า  


 


 


“ให้หวังลงคงตำแหน่งเดิมควบหน้าที่ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ พวกเจ้าไปได้แล้ว” 


 


 


หมอหลวงจางจัดยาบำรุงร่างกายให้ฉู่จิ่งเหยา เขาจำต้องยอมรับว่าเลือดของถังเฉียนมีผลที่น่าอัศจรรย์ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าสำหรับฮว่าเหยียนและถังเฉียนแล้วที่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างคาดไม่ถึง 


 


 


“อืม แมลงสีดำตัวหนึ่งแลกเลือดเจ้าหยดหนึ่ง” 


 


 


ฮว่าเหยียนกระซิบพูดกับถังเฉียน นางรู้สึกว่าไม่มีอะไรจึงพยักหน้าตกลง แล้วเอาแมลงปีศาจสีดำวางลงบนมือเจิ้งจยาเฉิง นางไม่รู้สึกอะไรต่อสายตาที่ไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณของเขา 


 


 


เมื่อกลับมาที่ห้องหลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว ฮว่าเหยียนก็ซักไซ้ทันที 


 


 


“เจ้ายังบอกว่าเลือดเจ้าเป็นเลือดแห่งราชาโอสถเพียงครึ่งเดียว ความมหัศจรรย์เช่นนี้มีแต่เลือดแห่งราชาโอสถในตำนานเท่านั้นที่ทำได้ เจ้าโกหก” 


 


 


ถังเฉียนห้ามฮว่าเหยียนที่เตรียมจะเล่นงานนาง แล้วบอกว่า 


 


 


“ราชาโอสถเคยบอกว่าเลือดข้ามีภูมิต้านทานต่อพิษอย่างสมบูรณ์ แต่ผลต่อโรคต่างๆ ไม่ชัดเจน” 


 


 


ฮว่าเหยียนพยักหน้าแล้วพูดว่า 


 


 


“ตอนเป็นเด็กเจ้ากินยาพิษไปไม่น้อย ยังแช่ในยาพิษด้วยใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนถอนหายใจแล้วพูดว่า 


 


 


“ร่างกายข้ามีความพิเศษมาตั้งแต่กำเนิด มีภูมิคุ้มกันต่อพิษค่อนข้างแรง ราชาโอสถพบเห็นจุดพิเศษนี้จึงพาตัวข้าไป” 


 


 


ใบหน้าฮว่าเหยียนซ่อนอยู่หลังหน้ากาก จึงมองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกของนาง นางเพียงแต่เอาเลือดหนึ่งหยดจากถังเฉียนแล้วจากไป ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เรื่องเดียวที่ถังเฉียนแปลกใจก็คือตัวนางไม่ไวต่อยาพิษ หรืออาจพูดได้ว่าไม่รู้สึกเลย แต่เหตุใดนางจึงหมดสติ 


 


 


พอนางคิดถึงตรงนี้ก็ไปหาถังเวยทันที เดิมนางไม่เข้าใจว่าแววตาของถังเวยหมายถึงอะไร แต่ขณะนี้เข้าใจชัดแล้ว เกรงว่านางคงจะเห็นทุกอย่างที่ซูซินเหลียนทำ 


 


 


ซูซินเหลียนเป็นอะไรกันแน่ 


 


 


นางแปลกใจ ความแปลกประหลาดนี้เหนือกว่าที่นางคาดคิด เวลานี้ซูซินเหลียนโหดเ**้ยมอำมหิต แม้ท่านอ๋องจะบอกว่าจะไม่ให้นางอยู่ต่อไป แต่ถังเฉียนก็ยังอยากทำให้เรื่องนี้กระจ่าง 


ตอนที่ 180 คำถามข้อที่สาม 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนมาหาถังเวย แต่นางยังคงสติเลอะเลือน เมื่อเห็นว่าหากถังเวยเห็นชุดสีดำก็จะโหวกเหวกโวยวาย ตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถังเฉียนทำใจไม่ได้ จึงผละออกมา เห็นซูซินเหลียนซึ่งถูกขังอยู่ที่ห้องข้างๆ จึงเดินไปข้างหน้าสองก้าว ขยับเข้าไปใกล้ 


 


 


“ซูซินเหลียน เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายข้าด้วย” 


 


 


ถังเฉียนรู้ดีว่าถังเวยไม่กล้าใส่ร้ายตน ทั้งตอนนั้นทำท่าอยากจะพูดเตือนแต่ก็ชะงักไว้ เป็นการยืนยันว่าถังเวยยังมีจิตใจดีงาม ที่สามารถคิดทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้มีเพียงซูซินเหลียนเท่านั้น 


 


 


“ข้าไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อย่างซูซินเหลียนอะไรนั่น ข้าคือซูซิน หลังจากมาถึงที่นี่ ข้าบ้าๆ บอๆ ทุกคนจึงคิดว่าข้าเสียสติ มีเพียงเจ้าที่คิดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง ที่จริงข้าควรขอบใจเจ้า แต่ข้ามีภาระหน้าที่ของข้า เราถูกกำหนดให้เดินกันคนละทาง” 


 


 


ถังเฉียนฟังที่นางพูด มองดูสายตานางแล้วพยักหน้า จากนั้นจึงพูดว่า 


 


 


“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ แต่ซูซิน ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้าเหตุใดเจ้าต้องพุ่งเป้ามาที่ข้าเล่า” 


 


 


ถังเฉียนไม่เข้าใจจริงๆ นางไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่ส่งผลร้ายต่อซูซินเหลียน และไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีต่อซูซิน แต่เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ต่อตนด้วย แม้ว่าจริงใจไปแต่ก็อาจจะไม่ได้ความจริงใจกลับคืน แต่นางรู้สึกว่าจิตใจคนมีเลือดเนื้อ เหตุใดจึงต้องเป็นศัตรูกับนางด้วย 


 


 


“เจ้าจะถามข้าให้ได้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้า ข้ามีเครือข่ายที่ลึกลับ หากข้าอยากมีชีวิต เจ้าก็จำเป็นต้องตาย” 


 


 


ถังเฉียนไม่เข้าใจที่นางพูด นางมักจะสามารถพูดเรื่องแปลกๆ ประหลาดๆ ออกมา ฟังแล้วรู้สึกอึดอัด แต่เมื่อดูแววตานางก็รู้สึกได้ว่าไม่เคยโกหก 


 


 


“โลกนี้ยังมีเครือข่ายที่โหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้ บางทีที่เจ้าพูดอาจจะหมายถึงเครือข่ายหนึ่ง หรืออาจจะเป็นนิกายหนึ่ง แต่ข้าหวังว่าการเป็นคนควรจะมีบรรทัดฐานบ้าง” 


 


 


ถังเฉียนพูดจบก็ผละจากไป การช่วยเหลือซูซินเหลียนครั้งแล้วครั้งเล่า ความใจอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่าของนาง สุดท้ายจะจบลงด้วยคำถาม 


 


 


นางสามารถทำร้ายตัวเองได้ บาดแผลที่ถูกเล็บทิ่มแทงที่อกยังเจ็บแปลบๆ ไม่ใช่ว่านางไม่รู้จักเจ็บปวด และไม่ใช่ว่ามีจิตใจดีงามมาตั้งแต่เกิด แต่นางรู้สึกว่าซูซินเหลียนยังมีมโนธรรมในใจ นางน่ารังเกียจ น่าเสียดาย แต่ไม่น่าเคียดแค้น 


 


 


แต่วันนี้นางยิ่งพบว่าโลกนี้ไม่เพียงต้องพูดจาอย่างระมัดระวัง ทั้งต้องปฏิบัติต่อคนอย่างระมัดระวัง ที่สำคัญยิ่งกว่าคือต้องคอยระวังตัว ยิ่งต้องรู้ว่าคนบนโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนที่จิตใจดีงามทั้งหมด 


 


 


ถังเฉียนเดินออกจากห้องขัง เห็นฉู่จิ่งเหยาในชุดทหาร นางเห็นจินซิวอ๋องเช่นนี้ครั้งก่อน เป็นตอนที่เขาได้รับชัยชนะกลับมาจากสงคราม นางเคยคิดว่าโลกนี้ควรสูงส่งงดงามเช่นนี้ 


 


 


“ท่านอ๋อง พิษในร่างกายท่านถูกขจัดหมดแล้วหรือ” 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาพยักหน้า แต่สายตายังจับจ้องที่นาง 


 


 


“ข้ายังมีคำถามข้อที่สาม เดิมไม่รีบร้อนจะถามเจ้า แต่เวลานี้ข้าอยากถามเจ้าแล้ว” 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกตื่นเต้นทันที เมื่อเผชิญกับคำถามข้อที่สาม ถังเฉียนไม่รู้ว่าตนเองจะพูดความจริงหรือโกหก รู้สึกเหมือนมีก้อนหินขนาดมหึมาทับบนอก ไม่สามารถวางลงได้ด้วยตัวเอง และไม่อาจยกออกด้วยตัวเองเช่นกัน 


 


 


ฉู่จิ่งเหยาเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือออกมาถอดหน้ากากนางออก ครั้งนี้ถังเฉียนไม่ขัดขืน แต่นางก้มหน้าลง ไม่มองหน้าฉู่จิ่งเหยา แล้วได้ยินเสียงพูดดังเหนือศีรษะตนเอง แฝงด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนที่เป็นลักษณะพิเศษของเขา 


 


 


“ข้าอยากถามเจ้า เจ้าชอบเถิงเฟิงหรือไม่” 


 


 


“หือ” 


 


 


ถังเฉียนลูบคลำใบหน้าตัวเอง ชุดดำตัวใหญ่หลวมขับให้มือนางดูขาวผ่องราวกับหิมะ ในคืนที่มืดนี้ราวกับแสงจันทร์ขาวนวล 


 


 


“ท่านอ๋อง ท่าน เหตุใดท่านถึงถามเรื่องนี้หรือ” 


 


 


ใบหน้าถังเฉียนแดงเรื่อ ร้อนผ่าวขึ้น นางมองฉู่จิ่งเหยา เห็นดวงตาที่เจิดจ้าของเขา แล้วอดก้มหน้าลงย้อนถามไม่ได้ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 181 มือผีปรากฏตัวอีก 


 


 


 


 


 


คำถามนี้ฉู่จิ่งเหยาลังเลอยู่นาน แต่คืนนี้เขาห้ามใจไม่อยู่จึงถามขึ้น 


 


 


“ข้าผ่านสนามรบนับไม่ถ้วน กรำศึกมามากมาย แต่วันหนึ่ง ข้ากลับคอยเอาใจใส่แต่แม่นางคนหนึ่ง…แต่น่าเสียดายที่พระมารดาข้าเสียชีวิตแต่เนิ่น สำหรับปัญหานี้ไม่มีใครสามารถตอบได้” 


 


 


ถังเฉียนฟังแล้วยิ่งไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของฉู่จิ่งเหยา นางอยู่ข้างกายเขามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขามีความรู้สึกเป็นพิเศษกับใคร หรือว่าจะเป็นแม่นางจื่อเย่ว์ 


 


 


“เรียนท่านอ๋อง อาหรูน่าเองก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ…” 


 


 


ถังเฉียนตอบสองแง่ แต่หลังจากตอบคำถามนี้แล้ว นางยังคงคิดว่าตัวเองชอบเถิงเฟิงหรือไม่หรือการที่ชอบคนคนหนึ่งเป็นความรู้สึกเช่นไร นางดูเหมือนจะไม่รู้เลย เหมือนที่ชอบน้องสาวหรือไม่ บางทีอาจจะไม่เหมือนก็ได้ 


 


 


หลังจากถังเฉียนกลับมาที่ห้องไม่นาน จู่ๆ ก็เริ่มปวดศีรษะอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกเหมือนสมองจะแตกออก ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นอกจากเจ็บปวดที่รุนแรงแล้วยังรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก เหมือนครั้งก่อนที่ถูกเงาผีบีบคอ 


 


 


ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก ถังเฉียนราวกับถูกกดไว้บนเตียง ใบหน้าแดงก่ำ นางต่อต้านอย่างสุดชีวิต แต่มือนางไม่อาจสัมผัสพลังที่ไร้รูปร่างนั่นได้เลย 


 


 


ไม่รู้ว่าพลังกลุ่มหนึ่งมาจากไหน ซึ่งมันต่างจากที่นางเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง เถิงเฟิงก็ไม่อยู่ นางเป็นเหมือนเด็กโดดเดี่ยวที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ได้แต่ดิ้นรนสุดกำลังเหมือนกำลังจมน้ำ 


 


 


“ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย…ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย…” 


 


 


สมองถังเฉียนนึกถึงคำพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางยิ่งดิ้นก็ยิ้งรู้สึกว่าอากาศในทรวงอกเหมือนถูกทับจนหายไปหมด ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนอยู่ห่างจากความตายเพียงก้าวเดียว 


 


 


“อาหรูน่าไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่!” 


 


 


ทันใดนั้นสมองก็นึกถึงเสียงที่คุ้นเคย ชั่วขณะที่นางเกือบจะยอมแพ้ เกือบจะหมดเรี่ยวแรงดิ้นรน พลังโถมเข้ามาในสมองตน มีพลังอำนาจจนทำให้พลังประหลาดที่ทำร้ายตัวนางถูกขับไล่ออกไปจนหมดสิ้น หลังจากนั้นนางก็นอนสงบนิ่งอยู่ในห้องตนเอง เห็นอาห่าวบุกเข้ามาในห้อง แต่นางกลับทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่มองดูผู้คนที่ยืนล้อมตนเองอยู่ 


 


 


“มีคนใช้แมลงพิษทำร้ายอาหรูน่า ใครกันที่ลงมืออย่างโหดเ**้ยมเช่นนี้ ท่านอ๋องโปรดให้ความกระจ่างแก่ข้าและอาหรูน่าด้วย” 


 


 


คนของจวนอ๋องและพวกเค่ออี้ต่างมากันแล้ว แต่ถังเฉียนไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้เลย นางเพียงแต่มองเห็นและได้ยิน แต่อ้าปากไม่ได้ เหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกควบคุม 


 


 


“แมลงพิษ? ท่านหมอฮว่าเหยียน เรื่องนี้ท่านทำให้ท่านอ๋องของเราลำบากใจแล้ว แมลงพิษไม่ใช่เรื่องที่คนของจวนจินซิวอ๋องเชี่ยวชาญ เกรงว่าจะมีคนอิจฉาฐานะของคุณหนูอาหรูน่า อย่างเช่น…” 


 


 


เมื่อเจิ้งจยาเฉิงไม่อยู่ หวังหลงจึงกลายเป็นคนสนิทที่สุดข้างกายฉู่จิ่งเหยา ฉู่จิ่งเหยาไม่อยากพูดแก้ตัว แต่หวังหลงไม่อาจทนเห็นคนอื่นข่มเหงอ๋องของพวกตนได้ 


 


 


“ท่านหมอ สภาพของคุณหนูอาหรูน่าน่าห่วงมาก เราคิดว่าในเมื่อเชิญผู้อาวุโสเผ่าอินทรีเงินมาแล้ว ถ้าจะส่งท่านอ๋องไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์ สู้ส่งคุณหนูอาหรูน่าไปจะดีกว่า ท่านอาวุโสและเหล่าผู้อาวุโสต้องมีวิธีช่วยอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่านางถูกคนจับดวงวิญญาณเอาไว้” 


 


 


ฮว่าเหยียนเห็นสภาพถังเฉียนก็รู้ว่าเป็นสภาวะเร่งด่วนไม่อยากทำให้สภาพการณ์เลวร้ายลงจึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเห็นถังเฉียนลืมตาขึ้นเล็กน้อย แต่ขยับร่างกายไม่ได้เลย ในแววตาฮว่าเหยียนฉายแววตื่นตระหนกและปวดร้าวใจ 


ตอนที่ 182 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ 


 


 


 


 


 


เดิมทีคิดว่าผู้อาวุโสแห่งเผ่าอินทรีเงินนั้นจะต้องอาวุโสมากมาก แต่คาดไม่ถึงว่ากลับเป็นเด็กหนุ่มที่ท่าทางฮึกเหิม เขาชื่ออิ๋นหลาน อายุเพิ่งยี่สิบก็เป็นถึงอาวุโสแห่งเผ่าอินทรีเงินแล้ว เขาเป็นลูกชายของอิ๋นจ้าน ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของเถิงเฟิง 


 


 


ที่เขาต่างจากชาวเผ่าอินทรีเงินทั่วไปก็คือสวมรัดเกล้าที่ทำด้วยเงิน ลูกหลานสกุลอิ๋นเมื่ออายุครบสิบหกแล้วจะใช้รัดเกล้าเงินรัดผมที่ยาวไว้ สวมชุดสีเงิน ทำให้ดูงามสง่าเป็นพิเศษ 


 


 


อิ๋นหลานมาถึงแล้ว เรื่องแรกที่เขาทำคือมาดูอาการของถังเฉียน เขาเติบโตมากับเถิงเฟิงตั้งแต่เด็ก อยากรู้ว่าสาวงามที่สามารถทำให้เถิงเฟิงมอบพรศักดิ์สิทธิ์ให้อย่างเต็มใจจะมีรูปโฉมเป็นเช่นไร แต่เมื่อเห็นถังเฉียนแล้วก็รู้สึกว่าหน้าตายังนับว่าไม่ขัดตา แต่ไม่ใช่โฉมสะคราญที่งามสะท้านแผ่นดิน 


 


 


“ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าหนูนี่เห็นว่าสวยอย่างไร นางหาใช่โฉมสะคราญสะท้านแผ่นดินแน่นอน เหตุใดเขาจึงตัดสินใจผูกมัดตัวเองเช่นนี้” 


 


 


เขาพึมพำออกมา ฉู่จิ่งเหยาได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่เอ่ยสิ่งใด เค่ออี้เล่าสภาพของถังเฉียนให้อิ๋นหลานรู้ อิ๋นหลานเป็นคนที่ใจกว้างมาก เขามอบอินทรีเงินไล่วายุลูกของอินทรีเงินจ้าวพายุ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอินทรีเงินให้ทันที 


 


 


“หากเป็นคนนอก ข้าไม่ให้ยืมเจ้าไล่วายุของข้าเด็ดขาด แต่คนที่เจ้าหนูเถิงเฟิงถูกตาต้องใจ วันหน้าก็คือน้องสะใภ้ของข้า จะอย่างไรก็ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ พวกเจ้ากลับไปบอกเถิงเฟิงด้วย รอให้ข้าไปหา ให้เขาเลี้ยงเหล้าข้า” 


 


 


เค่ออี้ยิ้มแล้วรับปากแทนเถิงเฟิง อาห่าวห่อร่างถังเฉียนแล้วยกใส่ในตะกร้าใบใหญ่ ที่พื้นตระกร้าถูกรองด้วยผ้านวม เมื่อถังเฉียนถูกวางลงในตะกร้าก็หลับตาลง ขดตัวเข้าหากัน ดูน่าสงสาร 


 


 


“คืนนี้ยังไปไม่ถึง แต่พรุ่งนี้เช้าถึงแน่นอน พวกเจ้าวางใจได้ ข้าให้หน่วยอินทรีหิมะคอยคุ้มกันให้ ปลอดภัยแน่นอน ระหว่างทางพวกเจ้าให้คนไปกระจายข่าวว่า ข้าอิ๋นหลานเป็นผู้คุ้มครอง” 


 


 


ถังเฉียนเก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจ แต่นางยังคงขยับตัวไม่ได้ ราวกับร่างกายไม่ฟังการควบคุมของนางแล้ว นางเหลือเพียงสติสัมปชัญญะเท่านั้น ได้แต่รอคอยด้วยความอดทน  


 


 


แม้จะไม่ได้เห็นอินทรีเงินจ้าวพายุ แต่เจ้าอินทรีเงินไล่วายุ ก็มีร่างกายแข็งแรงใหญ่โต ปีกหุบเข้ามาครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อมันร่อนลงมาเกาะบนขื่อ ปีกมีความยาวราวสองห้อง อิ๋นหลานผิวปาก เจ้าไล่วายุบินขึ้นไปกลางอากาศสูงลิ่วทันที 


 


 


เป็นครั้งแรกที่คนของจวนจินซิวอ๋องเห็นอินทรีเงินที่ขนาดใหญ่โตเช่นนี้ เดิมพวกเขาคิดว่าอินทรีดำที่เห็นบินอยู่บนท้องฟ้านั้นตัวใหญ่มากแล้ว วันนี้จึงนับว่าเป็นการได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง   อิ๋นหลานคุ้นเคยกับสายตาที่ประหลาดใจของคนเหล่านี้ดี เขาพูดตามสบายว่า  


 


 


“นี่ก็แค่เจ้าไล่วายุตัวลูก ถ้าพวกเจ้าได้เห็นเจ้าจ้าวพายุกางปีกละก็ ปิดเมฆบังแสงตะวันเชียว” 


 


 


แม้อิ๋นหลานจะพูดเรื่อยเปื่อยแต่ก็ไม่อาจปิดบังความหยิ่งผยองและภาคภูมิใจบนใบหน้าตน ฮว่าเหยียนห่มผ้าให้ถังเฉียน นางใช้มือที่ขาวซีดเ**่ยวย่นลูบบนหน้าผากถังเฉียนเบาๆ นางพูดปลอบน้ำตาคลอ ใครเห็นก็รู้สึกว่าเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งระหว่างแม่ลูก 


 


 


แต่ถังเฉียนกลับรู้สึกเจ็บที่กลางกระหม่อมเหมือนถูกเข็มแทง 


 


 


“อาหรูน่า เจ้าต้องอดทน รอพบกันที่เขาศักดิ์สิทธิ์” 


 


 


ถังเฉียนขยับตัวไม่ได้ ไม่สามารถแม้แต่จะลืมตาขึ้น แต่นางรับรู้ทุกอย่างอย่างชัดเจน ราวกับอยู่ในความฝัน 


 


 


‘ฮว่าเหยียนทำสิ่งใดกับข้ากันแน่ หรือนางช่วยรักษาข้า’ 


 


 


ถังเฉียนไม่รู้ว่าเข็มบนศีรษะตนนั้นมีผลอย่างไรกันแน่’ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 183 ถูกตรึง 


 


 


 


 


 


ถังเฉียนอ้าปากไม่ได้ นางจำไว้ในใจเท่านั้น เจ้าไล่วายุขยับปีกแล้ว นางรู้สึกว่ารอบๆ มีแรงกดดันอย่างหนึ่งกดลงบนทรวงอกนาง แต่แรงกดดันดังกล่าวสลายไปอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกสบาย 


 


 


ถังเฉียนรู้สึกสมองหนักอึ้ง นางไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับแล้วฝันไป หรือว่านางกำลังอยู่ในความฝันตลอดเวลา เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง ไม่ทันได้เห็นเมฆยามเช้า เห็นเพียงแค่มุ้งสีแดงดำที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของตนเอง นับตั้งแต่มาที่เผ่าม้ง ทุกครั้งที่ถังเฉียนตื่นขึ้นจะต้องใช้เวลานานจึงจะรับรู้ว่าตัวเองอยู่ที่เผ่าม้ง มิใช่ตายไปแล้ว 


 


 


‘เถิงเฟิง?’  


 


 


ถังเฉียนอยากเคลื่อนไหวร่างกาย หากแต่ทำไม่ได้ ร่างนางเหมือนถูกตรึงเอาไว้ นางพยายามขยับตัวแต่ก็ยังขยับเขยื้อนไม่ได้  


 


 


“อาหรูน่า ไม่ต้องกลัว ตอนนี้เจ้ายังตื่นไม่ได้ ให้สติเจ้าจมลึกอยู่ภายในร่างเจ้า ใช้หัวใจเจ้ารับรู้ข้า…” 


 


 


ถังเฉียนได้ยินเสียงที่คุ้นเคยข้างหู นางรู้ว่าเถิงเฟิงกำลังรักษานางอยู่ บางครั้งรู้สึกว่าโชคชะตาช่างแปลกจริงๆ เห็นชัดๆ ว่าเถิงเฟิงเป็นคนป่วยของนาง แต่ทุกครั้งกลับเป็นเถิงเฟิงที่คอยรักษานาง ส่วนนางคอยรักษาฉู่จิ่งเหยา ราวกับคอยดูแลกันเป็นวงจร  


 


 


“ลืมตาขึ้น สำหรับเจ้าแล้วจะมองเห็นแสงอรุณหมื่นวาของเขาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เป็นเวลาที่งดงามที่สุด อย่านึกถึงเหนือหัวเตียงเจ้า คิดว่าข้ารอเจ้าอยู่ในมวลหมู่เมฆ” 


 


 


เสียงนี้ช่างมีแรงดึงดูดอย่างมากจริงๆ นางรู้สึกว่าศีรษะของตนนั้นหนักอึ้งแต่เท้ากลับเบาหวิว แล้วก็หลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นทะเลเมฆกำลังม้วนตลบ ทั้งยังมีแสงอรุณของเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เถิงเฟิงพูดถึงนับครั้งไม่ถ้วน 


 


 


“สวยมากจริงๆ ใช่หรือไม่” 


 


 


ถังเฉียนหันมา เห็นเถิงเฟิงในชุดสีแดง นั่งชิงช้าจากที่ไกล แกว่งเข้ามาใกล้นาง พอนางก้มลงมองจึงพบว่าเท้าไม่ได้แตะพื้น แต่กำลังยืนอยู่ในทะเลเมฆ กำลังขับเมฆขี่หมอก ถังเฉียนกลัวว่าถ้าเสียสมดุลก็จะตกลงไป  


 


 


ถังเฉียนเซเล็กน้อย เถิงเฟิงคว้าแขนนางไว้ แล้วยืนอยู่กับนาง 


 


 


“เจ้าคงแปลกใจว่าที่นี่คือที่ใด นี่คือที่ว่างในใจข้า คนเรามีสามวิญญาณหกดวงจิต หนึ่งวิญญาณกับสองดวงจิตของเจ้าถูกมือผีเอาไป ยังอีกหนึ่งวิญญาณกับหนึ่งดวงจิตถูกฮว่าเหยียนปิดกั้นไว้ในจิตใจเจ้า ดังนั้นขณะนี้เจ้าจึงมีเพียงหนึ่งวิญญาณกับสามดวงจิตอยู่ต่อหน้าข้า ส่วนร่างกายของเจ้าจมสู่ภาวะสลบไสล” 


 


 


ถังเฉียนพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ไม่รู้ว่าเพราะตนเองเหลือเพียงหนึ่งวิญญาณกับสามดวงจิตหรือไม่จึงรู้สึกว่าตนนั้นโง่เขลา เถิงเฟิงลูบศีรษะนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า 


 


 


“ไม่ต้องวิตก ข้ากำลังคิดหาวิธีช่วยเจ้า เวลานี้เจ้าพยายามทำความคุ้นเคยกับที่นี่ก็พอ ที่นี่มีทุกอย่างที่เจ้าชอบ เจ้ายังสามารถอาศัยหนึ่งวิญญาณกับสามดวงจิตไปยังที่ใดก็ได้ที่เจ้าอยากไป นี่คือโลกแห่งจิตใจ อยู่นอกเหนือการควบคุมใดใด” 


 


 


คำพูดที่ว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมใดใดๆ ทำให้ถังเฉียนรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เหตุใดคนเราจึงไม่ถูกควบคุม ก็เหมือนที่นกอินทรีบินได้แต่คนบินไม่ได้ แต่นาง… 


 


 


“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เข้าใจยาก เจ้าจะเข้าใจว่าเป็นความฝันก็ได้ เมื่อมีข้าอยู่ด้วยต้องเป็นฝันที่งดงามแน่นอน” 


 


 


นางฟังที่เขาพูดแล้วมองซ้ายขวา ทันใดนั้นนางก็กระโดดลงจากก้อนเมฆ ความรู้สึกที่ถูกลมพัดตีใบหน้าช่างเหมือนจริงมาก 


 


 


นางทุ่มสุดชีวิตเพื่อพิสูจน์คำพูดของเถิงเฟิง แต่ผลที่ได้ก็ดีที่สุด เพราะนางสามารถเปลี่ยนสถานที่ได้โดยไม่เกิดอะไรขึ้น เถิงเฟิงเห็นถังเฉียนเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่งก็พูดอย่างจนใจว่า 


 


 


“เมื่อครู่ยังหวาดกลัวอยู่เลย ไฉนจึงตอนนี้กล้าเล่นเช่นนี้แล้ว ผู้หญิงช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับเสียจริง” 


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม