เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 175-188

ตอนที่ 175 เมื่อวานใครเป็นคนรับโทรศัพ...

 

วันต่อมา หลินเช่อปวดท้องหนักเสียจนสะดุ้งตื่น


 


 


แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงต้องไปยังสถานที่ถ่ายทำอยู่ดีเพื่อเตรียมตัว ด้วยรายการจะเริ่มขึ้นในตอนกลางคืน เพราะฉะนั้นตอนกลางวันนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งวุ่นวายอย่างที่สุด ทุกคนมาจะซักซ้อมและลองดำเนินรายการเหมือนจริงกันเป็นรอบสุดท้าย


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมาเคาะประตูห้องของหลินเช่อแต่เช้าตรู่ ห้องที่ทีมงานจัดเตรียมเอาไว้ให้อวี๋หมินหมิ่นนั้นเป็นห้องมาตรฐานขนาดเล็ก ส่วนห้องของหลินเช่อเป็นห้องสวีต ซึ่งนับว่าเป็นการดูแลที่ดีทีเดียวสำหรับแขกของรายการอย่างเธอ ทำเอาหลินเช่อปลาบปลื้มอยู่นาน เธออยากให้อวี๋หมินหมิ่นมาพักเสียที่ห้องเดียวกัน แต่ผู้จัดการสาวก็ยังยืนกรานให้หลินเช่อพักคนเดียวให้สบาย เพราะถึงอย่างไร เธอก็ต้องออกไปมีกิจกรรมถ่ายทำอยู่ข้างนอกเกือบตลอดทั้งวัน


 


 


ในตอนเช้า อวี๋หมินหมิ่นเดินขึ้นมาหาหลินเช่อ หลังจากเคาะประตู ประตูห้องก็เปิดออก แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นกู้จิ้งเจ๋อที่แต่งกายเนี้ยบเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า


 


 


มุมปากของอวี๋หมินหมิ่นขยับยกขึ้น เธอมองชายหนุ่มแล้วทักทายว่า “ท่านประธานกู้…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบอกเบาๆ ว่า “หลินเช่อยังอาบน้ำอยู่น่ะ”


 


 


“อ้อ งั้นเดี๋ยวฉันจะรอก็แล้วกันค่ะ เรายังมีเวลา”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นไม่ได้เดินเข้ามารอในห้อง แต่ยืนรออยู่หน้าประตูอย่างอ่อนน้อม กู้จิ้งเจ๋อเองก็ไม่ได้ปิดประตูเช่นกัน ในไม่ช้าหลินเช่อก็วิ่งพรวดพราดออกมา


 


 


เมื่อเห็นอวี๋หมินหมิ่น หญิงสาวก็อดรู้สึกกระดากขึ้นมานิดๆ ไม่ได้


 


 


ใครจะคิดว่าอยู่ๆ กู้จิ้งเจ๋อจะมาถึงที่นี่ตอนกลางดึก แล้วตอนนี้เขาก็ยังอยู่ในห้องเดียวกับเธออีก เมื่ออวี๋หมินหมิ่นเห็นแบบนี้ ความคิดของผู้จัดการสาวจะต้องหลงทิศผิดไปไกลอย่างแน่นอน


 


 


ต่อให้ความจริงมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอก็ตามที


 


 


หลินเช่อบอกว่า “ฉันเสร็จแล้วค่ะ ไปกันเถอะ”


 


 


“นี่ ไม่ต้องรีบหรอก เตรียมตัวให้ดีเถอะ ดูให้แน่ใจด้วยว่าไม่ได้ลืมอะไรน่ะ”


 


 


“ก็ไม่ได้ต้องเอาอะไรไปมากมายนี่คะ”


 


 


“ก็จริง เอ้า ไปเถอะ! รีบลงข้างล่างกัน”


 


 


โชคดีที่เธอไม่ได้เรียกตัวผู้ช่วยอีกสองคนให้ขึ้นไปตามหลินเช่อข้างบนด้วยกัน ไม่อย่างนั้นแล้ว สองคนนั่นคงจะต้องเป็นลมล้มพับเพราะช็อคกับภาพที่เห็นเป็นแน่แท้


 


 


โชคดีที่อวี๋หมินหมิ่นรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เนิ่นๆ อีกอย่างก็คือ เธออยู่ในวงการนี้มาหลายปี จนใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เธอเลยไม่ได้ตกใจจนถึงขั้นร้องกรี๊ดออกมาเมื่อได้เจอกู้จิ้งเจ๋อโดยบังเอิญเช่นนี้


 


 


หลินเช่อหันไปพูดกับชายหนุ่ม “งั้นฉันไปก่อนนะคะ”


 


 


“อือ นี่ รีบกลับมาล่ะ” เขาดึงเธอไว้แล้วยัดผ้าอนามัยใส่ลงกระเป๋าให้


 


 


นั่นแหละหลินเช่อถึงนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมอะไร


 


 


“เกือบลืมไปแน่ะค่ะ”


 


 


“เธอนี่ขี้ลืมสิ้นดี” ชายหนุ่มมองคนหน้ามึน


 


 


หลินเช่อแลบลิ้นแผล่บให้ “ก็ฉันชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้นี่!” ก่อนจะรีบปิดประตู


 


 


จนเมื่อเดินพ้นจากโรงแรมแล้วนั่นแหละ อวี๋หมินหมิ่นจึงหันไปถามหลินเช่อว่า “ทำไมเธอถึงไม่บอกละว่าจะมีคนมาหาน่ะ”


 


 


หลินเช่อว่า “อยู่ๆ เขาก็โผล่มาเมื่อคืนน่ะค่ะ ฉัน…”


 


 


“ดูเหมือนว่าท่านประธานกู้จะทนอยู่ห่างเธอไม่ได้สินะ ไม่เจอหน้าแค่ไม่กี่วันก็รีบมาตามขนาดนี้แล้ว” อวี๋หมินหมิ่นยิ้มพลางพูดเย้าๆ


 


 


หน้าของหลินเช่อแดงระเรื่อ “ไม่หรอกค่ะ ไม่ใช่หรอก”


 


 


“ถ้าไม่ใช่แล้วอยู่ๆ เขาจะถ่อจากเมือง B มาถึงเมือง S นี่ทำไมกัน ไม่ใช่เพราะจะมาเซอร์ไพรส์เธอหรอกเธอ ฉันไม่ยักรู้แฮะว่าประธานกู้นี่ก็โรแมนติกกับเขาเหมือนกัน ฉันคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนเข้มงวดจริงจัง คอยระวังทั้งคำพูดกิริยาซะอีกแน่ะ”


 


 


เขาก็เป็นคนเข้มงวดจริงๆ นั่นแหละค่ะ แล้วก็ไม่ใช่คนโรแมนติกอะไรเลยสักนิด” หลินเช่อบอก “ที่มาคราวนี้ก็เพราะว่ามีเหตุผลน่ะค่ะ”


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าที่เขามาคราวนี้ เพราะเขาคิดว่าเธอป่วยหนัก


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดว่า “ไม่แปลกใจที่ว่าทำไมโรงแรมทั้งชั้นถึงได้ถูกปิดล้อมตอนที่ฉันเดินขึ้นมา เพราะกู้จิ้งเจ๋อเกิดมาถึงปุบปับนี่เอง ตอนแรกฉันคิดว่าเธอก็ยังไม่ใช่ดาราดังขนาดนั้น ไม่เห็นจะต้องมีคนคอยล้อมห้องขนาดนี้ หรือถึงขนาดสั่งห้ามให้ใครมาพักชั้นเดียวกัน ที่แท้ก็เพราะกู้จิ้งเจ๋อนี่เอง ที่ฉันได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปได้ก็เพราะว่าฉันกับกู้จิ้งเจ๋อเคยเจอกันมาก่อน เขาก็เลยยอมปล่อยให้ฉันเข้าไปเพราะเป็นผู้จัดการของเธอ”


 


 


หลินเช่อร้อง “จริงเหรอคะ”


 


 


หลินเช่อไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดขนาดนี้เวลาที่เขาออกไปข้างนอก


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไป “แต่กู้จิ้งเจ๋อนี่ก็นิสัยไม่เลวเลยนะ เขาตั้งใจเปิดประตูทิ้งเอาไว้เพราะเขารู้ว่าฉันเป็นผู้จัดการของเธอ”


 


 


“…” หลินเช่อสงสัย “แล้วทำไมนั่นถึงทำให้เขาเป็นคนที่ไม่เลวเลยได้ละคะ”


 


 


“ก็ต่อให้เขาปิดประตู ฉันก็คงไม่พูดอะไรหรอก แต่ก็จะยืนรออยู่ตรงนั้นนั่นแหละ แต่เขารู้วิธีที่จะรักษาความรู้สึกของคน เขาตั้งใจไม่ปิดประตูเพื่อแสดงว่าเขาให้เกียรติผู้อื่น”


 


 


ด้วยเหตุนี้อวี๋หมินหมิ่นจึงรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใช้ได้ทีเดียว ความประทับใจที่มีต่อกู้จิ้งเจ๋อเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ


 


 


หลินเช่อได้แต่อุทานออกมาว่า “โอ้”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยังอธิบายต่อไปอีกด้วยว่า “ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะเห็นแก่เธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอละก็ เขาคงไม่ให้เกียรติฉันขนาดนี้หรอก”


 


 


“ไม่ใช่หรอกค่ะ อันที่จริงเขาเป็นคนมารยาทดีกับทุกๆ คน พอรู้จักเขาไปสักพัก พี่ก็จะรู้เองนั่นแหละค่ะ”


 


 


“เธอไม่รู้วิธีที่กู้จิ้งเจ๋อปฏิบัติต่อคนอื่นข้างนอกนั่นน่ะสิ ด้วยสถานะของเขาแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติใครเลยด้วยซ้ำ มารยาทดีเหรอ วิธีที่เขาพูดกับเธออย่างมารยาทดีน่ะเป็นเพราะว่าสถานะของเขามันชัดเจนยังไงล่ะ”


 


 


“อย่างนั้นหรอกเหรอคะ”


 


 


“เอาละ ทีนี้ฉันเข้าใจแล้วละ ว่าอธิบายให้เธอฟังไปก็เท่านั้น เพราะตอนนี้เธอคือแม่สาวน้อยที่กำลังถูกกู้จิ้งเจ๋อเพะเน้าพะนอเอาใจขนานหนัก แถมระดับสติปัญญาของเธอยังเป็นศูนย์อีกต่างหาก”


 


 


“เงียบไปเลยนะคะ!”


 


 


หลินเช่อครุ่นคิดกับตัวเอง กู้จิ้งเจ๋อเอาใจเธอตรงไหนกัน


 


 


แทบไม่มีเลยสักนิด


 


 


ที่เธอไม่รู้ก็เพราะส่วนใหญ่แล้วชายหนุ่มจะทำตัวเกกมะเหรกเกเรเหมือนอันธพาลใส่เธออยู่เกือบตลอดเวลา


 


 


จริงอยู่ว่ามีช่วงเวลาที่เขาปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ทำเพียงเพราะว่าต้องการปฏิบัติต่อเธอในฐานะภรรยาเท่านั้นเอง


 


 


เมื่อไปถึง สถานที่ถ่ายทำก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างหนักอย่างที่คิดไว้


 


 


หลินเช่อเข้าไปห้องแต่งตัวเพื่อแต่งหน้า ไม่ช้า ฉินหวานหว่านก็เข้ามา


 


 


หล่อนซื้อกาแฟมาฝากทุกคน ชื่อเสียงของเธอจัดได้ว่าดีมากทีเดียว ใครต่อใครก็พากันเข้ามาทักทายกันเต็มไปหมด ฉินหวานหว่านวางแก้วกาแฟให้หลินเช่อ หลินเช่อขอบคุณ ขณะที่ฉินหวานหว่านนั่งลงข้างๆ เพื่อแต่งหน้าไปพร้อมกัน


 


 


“หลินเช่อ ฮิๆ บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้นะ เมื่อคืนเธอเล่นซนอะไร วันนี้ถึงได้ดูโทรมขนาดนี้น่ะ”


 


 


“…” เธอจะไปเล่นซนอะไรได้ล่ะเนี่ย


 


 


แต่จะว่าไป อันที่จริงเธอก็ทำเรื่องซุกซนจริงๆ เสียด้วย แล้วก็เกือบจะทำเรื่องไม่ดี ไม่ดีเอามากๆ เสียด้วยสิ


 


 


เมื่อนึกย้อนกลับไป หลินเช่อก็คิดได้ว่าประจำเดือนของเธอช่างมาได้จังหวะพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน แรกทีเดียวหลินเช่อคิดว่ามันน่าจะมาในวันสองวันนี้ แต่เธอก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก เธอจำวันที่ที่แน่นอนที่ประจำเดือนจะมาไม่ได้ แต่บางทีความตื่นเต้นจากเหตุการณ์เมื่อวาน อาจเป็นเหตุให้เลือดลมเกิดไหลเวียนผิดปกติก็ได้ละมัง


 


 


“ฉันมีประจำเดือนอยู่น่ะ วันนี้ก็เลยดูซีดเซียวหน่อย” หลินเช่อว่า


 


 


ฉินหวานหว่านมองอย่างเห็นใจ “แย่จังเลยนะ มาเป็นประจำเดือนตอนถ่ายรายการสดแบบนี้น่ะ”


 


 


“ใช่แล้วละ”


 


 


“ฉันพกยามาด้วยนะ เดี๋ยวฉันเอาให้กิน มันช่วยแก้ปวดดีมาก ถ้าไม่ปวดท้องมากก็มาเอาไปกินได้นะ”


 


 


“ขอบคุณมาก”


 


 


“ทำไมเธอถึงพูดจาเป็นงานเป็นการกับฉันจังเลยล่ะเนี่ย” ฉินหวานหว่านถาม โน้มตัวเข้ามาใกล้ ยิ้มให้และถามว่า “แล้วคนที่รับโทรศัพท์เมื่อคืนเป็นใครกันน่ะ”


 


 


“โทรศัพท์อะไรเหรอ” ใบหน้าของหลินเช่อเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน


 


 


ฉินหวานหว่านท้วงว่า “อย่าตีหน้าซื่อไปหน่อยเลยน่า ก็เมื่อวานนี้ฉันโทรไปชวนเธอออกมาสนุกกัน แต่มีผู้ชายรับสาย นี่ บอกมานะ นี่เธอซ่อนผู้ชายคนไหนเอาไว้น่ะ ถึงขนาดพามางานอีเวนต์ด้วยแบบนี้เลยเชียว ว่าแต่เสียงเขาฟังแล้วเร้าใจดีจังเลยนะ นุ่มหูเป็นบ้า แถมเสียงยังฟังดูคุ้นๆ อีกต่างหาก อย่างกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนอย่างนั้นแหละ”


 


 


ทันใดนั้นหลินเช่อก็ถึงบุคคลหนึ่งขึ้นมาได้… กู้จิ้งเจ๋อ


 


 


จะเป็นใครไปได้อีกล่ะถ้าไม่ใช่เขา


 


 


นี่เขารับโทรศัพท์ของเธออย่างนั้นเหรอ


 


 


หลินเช่อมองฉินหวานหว่านด้วยความงุนงง ในช่วงเวลานั้นเธอไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ถ้าเธอบอกคนอื่นว่าเธอมีสามีแล้ว… เธอจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง


 


 


ในเมื่อเธอกับเขาแต่งงานกันแบบลับๆ นี่นา 

 

 


ตอนที่ 176 ถ้างั้นพวกเธอก็เป็นแฟนกันจ...

 

“แฟนเธอเหรอจ๊ะ” ฉินหวานหว่านถามช้าๆ “อย่าห่วงไปเลยน่า ฉันไม่บอกใครหรอก ในวงการเรา อะไรที่รู้ๆ กันอยู่น่ะเราไม่เอาไปบอกนักข่าวหรอก ไม่อย่างงั้นข่าวที่ว่าฉันได้ยินเสียงผู้ชายรับสายโทรศัพท์แทนเธอได้กลายเป็นพาดหัวข่าววันนี้ไปแล้ว” 


 


 


นั่นสินะ หลินเช่อคิดๆ ดูแล้วก็เห็นเป็นจริงตามนั้น อีกอย่างในเมื่อฉินหวานหว่านได้ยินเสียงแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังหล่อนอีก 


 


 


“ก็ประมาณนั้นแหละจ้ะ…” 


 


 


“ตายจริง นี่เธอมีแฟนจริงๆ เหรอจ๊ะเนี่ย แหม ปิดซะเงียบเชียบเลยนะ เมื่อไหร่จะพามาแนะนำให้พวกเรารู้จักกันบ้างล่ะ” 


 


 


หลินเช่อทำได้เพียงบอกว่า “เอาไว้มีโอกาสก็แล้วกันนะ” แต่ความจริงในใจ สิ่งที่หญิงสาวคิดก็คือถ้าเธอคิดจะพากู้จิ้งเจ๋อมาแนะนำให้ใครรู้จัก เธอก็คงจะเป็นบ้าไปก่อนแล้วล่ะ 


 


 


ทันใดนั้นเสียงกรี๊ดเชียร์ก็ดังมาจากด้านนอก หลินเช่อเอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้ดาราใหญ่คนไหนมานะ” 


 


 


วันนี้มีนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์มาร่วมงานมากมายหลายคน เสียงกรี๊ดที่ดังเข้ามาเป็นระยะๆ ทำเอาหญิงสาวอดอิจฉาไม่ได้ 


 


 


แต่เมื่อบุคคลสำคัญดังกล่าวเปิดประตูเข้ามา ก็ได้เห็นว่าเป็นกู้จิ้ิ้งอวี่นั่นเอง 


 


 


เมื่อได้เห็นว่าเป็นเขา หญิงสาวทั้งสองก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปกับเสียงดังสนั่นที่ได้ยิน 


 


 


ฉินหวานหว่านยิ้มและพูดว่า “พวกเราได้ยินเสียงแฟนๆ คุณเชียร์ดังมาแต่ไกลเชียวค่ะ” 


 


 


“งั้นเหรอ” กู้จิ้ิ้งอวี่ยิ้มแล้วเดินมายืนข้างหลินเช่อ ก่อนจะทักขึ้นว่า “ทำไมเธอถึงได้ดูซีดเซียวอย่างนี้ล่ะ” 


 


 


เมื่อฉินหวานหว่านมองเห็นความสนิทสนมระหว่างคนทั้งคู่ เธอก็ยิ้มและถามขึ้นว่า “เฮ้ หลินเช่อ หรือว่าจะเป็นกู้จิ้ิ้งอวี่จ๊ะ ที่เป็นแฟนของเธอน่ะ เขาเป็นคนที่รับโทรศัพท์แทนเธอเมื่อคืนก่อนใช่หรือเปล่า อันที่จริงเขาก็เสียงคล้ายอยู่หน่อยๆ เหมือนกันนะ…” 


 


 


หลินเช่อนิ่งอั้น 


 


 


ก็สองคนนี้เป็นพี่น้องกันนี่นา ถึงยังไงเสียงพวกเขาก็จะต้องมีอะไรเหมือนกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อยนั่นแหละ 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น กู้จิ้ิ้งอวี่ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “เฮ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ…” 


 


 


หลินเช่อจำได้ว่า ก่อนหน้านี้เธอเคยบอกกับกู้จิ้ิ้งอวี่ว่าเธอแต่งงานแล้ว แล้วก็เป็นกู้จิ้งเจ๋อเองนั่นแหละที่พยายามบังคับเธอให้โทรศัพท์บอกกับกู้จิ้ิ้งอวี่เรื่องนี้ซะ 


 


 


จนถึงตอนนี้ สีหน้าอันคลุมเครือของกู้จิ้ิ้งอวี่ก็กำลังทำให้หลินเช่อใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกังวล เขาคงไม่เผลอตัวเผยความลับของเธอหรอกนะ ใช่มั้ย 


 


 


ผลที่เธอจะได้รับตามมานั้นแตกต่างกันอย่างสุดขั้วเลยทีเดียว สำหรับการแต่งงานลับๆ กับการแอบมีแฟน 


 


 


หลินเช่อลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วเธอก็ได้เห็นกู้จิ้ิ้งอวี่ฉีกยิ้มด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ เขาเลิกคิ้วและพูดว่า “เอาล่ะ ไม่ว่าเธอจะได้ยินอะไรมาก็ทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินซะก็แล้วกันนะ” 


 


 


จากนั้นเขาก็ปรายตามองเธอด้วยท่าทีขี้เล่น ก่อนจะพูดด้วยประโยคอันชวนให้เข้าใจผิดว่า 


 


 


“มันมีความลับบางอย่างที่หลินเช่อเขาไม่อยากบอกใครน่ะ” 


 


 


“…” หลินเช่อตวัดสายตาไปทางคนพูดทันที 


 


 


ส่วนทางด้านฉินหวานหว่านก็มองตรงมาด้วยทีท่าตกใจ เธอกำลังช็อคอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่าสิ่งที่กู้จิ้ิ้งอวี่พูดถึงคือสิ่งที่เธอกำลังคิดจริงๆ 


 


 


หลินเช่อรีบโพล่งออกไปทันที “นี่พูดเรื่องเหลวไหลอะไรกันน่ะ กู้จิ้ิ้งอวี่!” 


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่ตอบว่า “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ ก็แล้วเธอไม่ได้มีข้อมูลลับที่ไม่อยากให้คนนอกรู้หรือยังไงล่ะ” 


 


 


ก็มีน่ะสิ อย่างเช่นความจริงที่ว่าเธอแต่งงานแล้วไงล่ะ เธอเคยบอกกู้จิ้ิ้งอวี่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเธอไม่อยากบอกเรื่องนี้ให้ใครๆ รู้ 


 


 


แต่เขาไม่คิดบ้างหรือไงนะว่า การพูดออกมาตอนนี้จะทำให้ฉินหวานหว่านเข้าใจผิดไปไกลได้ว่ าเธอกับเขามีความลับอะไรที่ไม่อยากบอกคนอื่นให้รู้น่ะ 


 


 


ฉินหวานหว่านเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมองดูคนทั้งสองด้วยความอัศจรรย์ใจเมื่อได้รู้ว่ากู้จิ้ิ้งอวี่และหลินเช่อคบหากันจริงๆ เสียด้วย และถ้าเป็นแบบนี้ คนที่หลินเช่อคบอยู่ก็เป็นคนพิเศษสุดๆ จริงๆ 


 


 


ไม่ต้องสงสัยเลย กู้จิ้ิ้งอวี่จะเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกันได้ยังไง ในเมื่อเขาคอยเฝ้าดูหลินเช่ออย่างใกล้ชิดทุกย่างก้าวโดยไม่มีสาเหตุออกขนาดนั้น 


 


 


“ตายจริง นี่เป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย…” หล่อนลูบมือหลินเช่อ “เอาละ เอาละ หลินเช่อ อย่าโกรธไปเลยนะจ๊ะ ถึงยังไงตอนนี้ฉันก็รู้แล้ว แต่ฉันไม่เอาไปบอกใครหรอกนะ ถ้าเธอสองคนอยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ ฉันก็จะช่วยเอง” 


 


 


กู้จิ้ิ้งอวี่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยท่าทีน่าสนุก 


 


 


ฉินหวานหว่านยังพูดต่อไปอีกว่า “หลินเช่อ นี่เธอปิดปากเสียสนิทเชียวนะจ๊ะ เอาเถอะ ถ้าเธอไม่อยากพูดอะไรก็ไม่ต้องพูดหรอกจ้ะ ฉันจะไม่บีบคั้นให้เธอยอมรับหรอกนะ ฉันรู้ดีว่าอยู่ในวงการนี้ก็ต้องระวังตัวกันแบบนี้แหละ แค่พวกเรารู้กันก็พอแล้วเนอะ ฮิๆ” 


 


 


“มันไม่ใช่แบบนั้น…” 


 


 


หลินเช่อไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อไปอย่างไรดี 


 


 


แต่ฉินหวานหว่านยังไม่หยุดง่ายๆ “แต่เธอโชคดีมากเลยนะที่ได้แฟนดีๆ อย่างพี่อวี่น่ะ” 


 


 


“…” หลินเช่อหมดแรงจะอธิบายใดๆ 


 


 


ส่วนกู้จิ้ิ้งอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้น กลับทำทีเป็นเสยผมจัดทรงอย่างสบายอกสบายใจ หลินเช่อเห็นแล้วนึกอยากจะตบให้ซักฉาด 


 


 


แล้วใครคนหนึ่งก็เดินมาตามฉินหวานหว่านให้ไปลองชุด ฉินหวานหว่านจึงหันมาบอกว่า “ฉันจะปล่อยให้พวกเธอสองคนได้ใช้เวลาอันมีค่าด้วยกันนะจ๊ะ” 


 


 


ก่อนที่จะเหลือบมองหลินเช่อด้วยความอิจฉา 


 


 


มีกู้จิ้ิ้งอวี่คอยดูแลปกป้องทุกย่างก้าวแบบนี้ หลินเช่อคงไม่ต้องลำบากตรากตรำทำงานหนักหลายปีนักหรอก 


 


 


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินลับสายตาไป หลินเช่อก็หันมาเล่นงานคนที่ยืนอยู่ข้างตัวอย่างโกรธจัด “กู้ จิ้ง อวี่!” 


 


 


คนโดนเรียกชื่อตีสีหน้าไร้เดียงสา “ทำไมเหรอ ฉันพูดอะไรผิดหรือไง” 


 


 


“คุณ คุณ คุณ คุณตั้งใจหาเรื่องให้ฉันชัดๆ เลย!” 


 


 


“เฮ้ ตกเป็นข่าวลือกับฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมเธอถึงทำอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายขนาดนั้น ฉันไม่ดีขนาดนั้นเลยรึไงกัน” 


 


 


“มันไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นซักหน่อย!” 


 


 


“เอาละ เอาละ ยังไงซะเขาก็ไม่เอาไปบอกคนอื่นหรอกน่ะ” 


 


 


ฉินหวานหว่านไม่ได้บ้านี่นา ถ้าขืนเธอปล่อยข่าวนี้ออกไปมันก็เท่ากับเป็นการเรียกร้องความสนใจให้หลินเช่อมากขึ้นไปอีก ต่อให้เป็นคนธรรมดาไม่ใช่ดาราก็ไม่มีใครอยากจะปล่อยข่าวแบบนี้หรอก มันเป็นเรื่องของพื้นที่สื่อที่มีอยู่อย่างจำกัดน่ะ ถ้าใครคนหนึ่งได้ครอบครองพื้นที่พาดหัวข่าวไปจนหมด คนอื่นก็ตกขอบความสนใจไปน่ะสิ 


 


 


“อีกอย่าง ต่อให้เธอเอาไปบอกคนอื่น เธอก็ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถืออยู่ดี ทั้งฉันและเธอต่างก็ไม่ได้พูดอะไรซักหน่อยนี่นา ถ้าถึงเวลานักข่าวมาถาม ฉันก็จะแค่บอกว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ” 


 


 


หลินเช่อตวัดสายตามองอีกฝ่ายและอดรู้สึกไม่ได้ว่า กู้จิ้ิ้งอวี่คือคนที่สวรรค์ส่งมาสร้างปัญหาให้กับเธอโดยแท้ 


 


 


ไม่ช้า รายการก็เริ่มต้นขึ้น 


 


 


ข้างนอกสถานที่ถ่ายทำเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไม่มีใครมีเวลาพอที่จะสนใจใครทั้งนั้น 


 


 


หลินเช่อไม่รู้เหมือนกันว่านั่งรออยู่นานแค่ไหน ในขณะที่เฝ้าดูบรรดาดาราน้อยใหญ่พากันเดินกลับไปกลับมาระหว่างด้านหน้าและด้านหลังเวที โชคดีที่คนของกู้จิ้ิ้งอวี่มาคอยช่วยเธอแลเธออยู่พักหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนเบียดจนต้องเข้าไปอยู่ในมุมห้องแล้ว 


 


 


งานคืนนั้น ทุกอย่างได้รับการจัดการให้เป็นระเบียบมากขึ้น จึงทำให้งานออกมาดูเรียบร้อยขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเช่อได้มีโอกาสมาร่วมงานกาล่าแบบนี้ เธอหันไปมองด้านนอกแล้วก็ได้เห็นคนดูถือป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนชื่อเธอเอาไว้บนนั้น 


 


 


หลินเช่อเรียกอวี๋หมินหมิ่นที่นั่งอยู่ข้างๆ และถามว่า “ตายจริง นี่ทางบริษัทเราจ้างคนมาทำแบบนี้เหรอคะ ทำไมคนพวกนั้นถึงได้ถือป้ายที่มีชื่อฉันแบบนั้นล่ะ” 


 


 


“ยัยโง่ พวกเขาก็เป็นแฟนคลับของเธอไงล่ะ!” อวี๋หมินหมิ่นบอก “ตอนนี้เธอเป็นคนมีแฟนคลับแล้วนะ เข้าใจมั้ย” 


 


 


ถึงอย่างนั้น นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่หลินเช่อได้เห็นแฟนๆ ของเธอ หญิงสาวดีใจจนอดลิงโลดด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ 


 


 


“พระเจ้า เป็นไปได้หรือนี่ ฉันมีแฟนคลับจริงๆ น่ะเหรอ” 


 


 


เมื่อได้เห็นแฟนๆ กวาดสายตามองมาทางทิศที่เธอนั่งอยู่ หลินเช่อจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้พวกเขามากขึ้นอีกนิด 


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อเดินมาหา กลุ่มเด็กสาวก็เริ่มส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นกันดั่งสนั่นหวั่นไหว 


 


 


“หลินเช่อ! หลินเช่อ! หลินเช่อ!” 


 


 


หลินเช่อออกจะขัดเขินเล็กน้อย แต่เธอก็เดินเข้าไปและพูดอย่างอ่อนหวานว่า “ตายจริง ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับการสนับสนุน ว่าแต่พวกคุณอยากให้ฉันเซ็นอะไรให้หรือถ่ายรูปด้วยกันรึเปล่าคะ” 


 


 


แน่นอนว่าเด็กสาวสองสามคนรีบตอบรับอย่างตื่นเต้น 


 


 


หลินเช่อถ่ายรูปกับพวกเธอ และสาละวนใช้แอปพลิเคชันแต่งรูปอยู่เป็นนาน 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นนั่งมองและได้แต่ส่ายหน้า ยัยหลินเช่อเอ๊ย 


 


 


แต่พวกเธอก็ไม่ได้รู้เลยว่า ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าถูกถ่ายเอาไว้ และนำขึ้นโพสต์ในอินเทอร์เน็ตในเวลาอันรวดเร็ว 


 


 


วันต่อมา ผู้คนก็เริ่มพูดคุยกันถึงการกระทำอันน่ารักของหลินเช่อ พวกเขาอธิบายรายละเอียดถึงสิ่งที่หลินเช่อทำอย่างน่าสนใจ และเล่าด้วยว่าหลังจากที่ถ่ายรูปแล้ว หลินเช่อยังบอกว่าจะช่วยแต่งรูปและใส่ฟิลเตอร์ให้ด้วย เธอเปลี่ยนท่าโพสต์หลายท่าและถ่ายรูปให้หลายรูป จนถ่ายไปกว่าสิบรูปแล้วนั่นแหละ เธอจึงค่อยเลือกรูปให้พวกเขาเอาเก็บไว้… 


 


 


ท่าทีของเธอเหมือนเด็กสาวตัวน้อยไม่มีผิด 


 


 


เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป หลายคนก็เริ่มรู้สึกเหมือนๆ กันว่าหลินเช่อนั้นเป็นคนนิสัยใจคอน่ารักอย่างมากทีเดียว 


 


 


แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปภายหลังจากงานอีเวนต์สิ้นสุดลง 


 


 


ในคืนก่อนวันคริสต์มาส หลินเช่อต้องขึ้นเวทีแสดงถ่ายทอดสดเป็นครั้งแรก ในขณะเธอกำลังทำการแสดงอยู่นั้น เธอก็รู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะเต้นทะลุอกออกมาอยู่ตลอดเวลา  

 

 


ตอนที่ 177 ความสุขคืนคริสต์มาสอีฟ

 

เมื่อกำลังตื่นเต้น หลินเช่อจึงลืมอาการปวดท้องของตัวเองไปเสียสนิท 


 


 


ระหว่างการแสดง หลินเช่อร่อนลงมาด้วยลวดสลิงประหนึ่งว่ากำลังลงมาจากสรวงสวรรค์ เมื่อลงสู่พื้นเวทีแล้ว เธอก็รู้สึกได้ถึงแสงไฟอันเจิดจ้าที่สาดส่องอยู่รอบตัวจนไม่อาจมองเห็นคนดูที่อยู่ด้านล่างได้ และทำได้แต่เพียงร้องไปตามจังหวะดนตรีที่ได้ยินเท่านั้น 


 


 


เธอมีหน้าที่เพียงมาช่วยเป็นนักร้องเสริมเท่านั้น เพราะการร้องเพลงส่วนใหญ่ตกเป็นหน้าที่ของนักร้องชาย ทักษะการร้องเพลงของหลินเช่อไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก อยู่เพียงแค่ระดับมาตรฐานการร้องตามคาราโอเกะเท่านั้น เธอจึงทำได้เพียงแต่ฮัมเพลงคลอไปตามเสียงร้องของอีกฝ่าย 


 


 


หลินเช่อร้องเพลงจบอย่างกระท่อนกระแท่น เมื่อลงจากเวทีแล้ว เธอถึงกับยกมือทาบอกและพูดว่า “คราวหน้าอย่ามาขอให้ฉันร้องเพลงอีกเลยนะคะ มันน่ากลัวมากจริงๆ” 


 


 


นักร้องชายที่เพิ่งทำการแสดงร่วมกันหันมายิ้มให้ “ผมต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายกลัวน่ะ คุณร้องเสียงหลงออกอย่างนั้นจนผมเองยังแทบทำอะไรไม่ถูกเลย” 


 


 


“แหม ใจร้ายจัง เอาเถอะค่ะ ยังไงคุณก็เป็นคนช่วยประคองให้โชว์นี้จบลงได้ นับว่าคุณเก่งมากทีเดียว งั้นฉันก็ขอพึ่งคุณนี่แหละค่ะ” หลินเช่อรีบบอก 


 


 


ฝ่ายนักร้องชายเป็นคนอัธยาศัยดีไม่น้อย เมื่อได้ยินหลินเช่อพูดเช่นนั้น เขาเองก็พูดกับเธออย่างมีมารยาทว่า “เอาเถอะครับ อย่างน้อยเราก็ไม่พากันล่ม การที่คุณพยายามร้องเองโดยไม่ลิปซิงค์นี่ก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้วละครับ” 


 


 


หลังจากนั้น หลินเช่อก็ไปนั่งดูฉินหวานหว่านร้องเพลงอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหวานหว่านและกู้จิ้ิ้งอวี่ต้องขึ้นเวทีพร้อมกันเพื่อสร้างกระแสให้กับซีรีส์โทรทัศน์ของทั้งคู่ และเพลงที่พวกเขาร้องก็เป็นเพลงประกอบจากซีรีส์โทรทัศน์เรื่องเดียวกันนั่นเอง การแสดงนี้จึงได้รับความสนใจไม่น้อย 


 


 


ที่ด้านล่างของเวที หลินเช่อพูดว่า “ฉินหวานหว่านร้องเพลงเพราะทีเดียวนะคะ…พอที หมดกันเลยภาพลักษณ์ฉัน เป็นความผิดของกู้จิ้ิ้งอวี่แท้ๆ เขาบังคับให้ฉันมาร่วมงานนี้โดยไม่มีเหตุผล…” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นปลอบว่า “ช่างเถอะน่า เธอเป็นนักแสดงนะ ใครจะสนกันล่ะว่าเธอจะร้องเพลงเพราะหรือเปล่าน่ะ ลืมมันไปซะเถอะ แค่เธอได้มาร่วมงานนี้แล้วก็ได้พื้นที่ข่าวบ้างก็ดีถมไปแล้วละ” 


 


 


แต่แล้วท้องของหลินเช่อก็เริ่มปวดขึ้นมาอีก เธอนั่งลงและพูดขึ้นว่า “สงสัยจะไม่ไหวแล้วละค่ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกปวดท้องเหมือนจะตายให้ได้เลย” 


 


 


ขณะที่พูด หลินเช่อก็ลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว 


 


 


ด้วยความตกใจ อวี๋หมินหมิ่นรีบถามด้วยอาการลนลานว่า “เกิดอะไรขึ้น ไหนขอฉันดูหน่อยซิ” 


 


 


หลินเช่อบอกว่า “โทรหากู้จิ้งเจ๋อให้หน่อยเถอะค่ะ…บอกเขาว่าฉันปวดท้อง…” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรับโทรศัพท์ไป เธอยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะต้องโทรหากู้จิ้งเจ๋อ แต่เมื่อได้เห็นว่าหลินเช่ออาการหนักไม่น้อย เธอจึงรีบต่อสายในทันที 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรับสายรวดเร็วทันใจ ชายหนุ่มส่งเสียงถามมาตามความเคยชินว่า “งานเลิกแล้วเหรอ จะให้ฉันไปรับหรือเปล่า” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรีบพูดโดยไว “ท่านประธานกู้ค่ะ หลินเช่อปวดท้องหนักมาก เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะค่ะ” 


 


 


ที่ปลายสาย กู้จิ้งเจ๋อนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกอย่างหนักแน่นว่า “ฉันจะไปรับเขากลับมาเอง” 


 


 


ก่อนจะวางสายไป 


 


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องที่จะออกไปสังสรรค์กันให้สนุกสนานต่อในคืนคริสต์มาสอีฟอยู่นั้น หลินเช่อก็ออกจากงานไปอย่างเงียบเชียบ 


 


 


เมื่อฉินหวานหว่านออกมามองหาหลินเช่อ เธอก็ได้พบว่าอีกฝ่ายหายตัวไปเสียแล้ว 


 


 


หญิงสาวจึงรำพึงกับตัวเองว่า “หายตัวกันไปไวเหลือเกินนะ ทีละคนสองคน ให้ตายสิ นี่ฉันเป็นคนเหงาคนเดียวที่มองหาคนมาฉลองคริสต์มาสอีฟด้วยหรือไงนะ” 


 


 


เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นว่า “คุณไม่เห็นละสิว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ ก่อนหน้านี้ มีรถหรูคันนึงแวะเข้ามารับเธอไป หน้าตาท่าทางคนที่มาไม่ธรรมดาเลย มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไปอย่างเราๆ แน่ แถมยังมีบอดี้การ์ดอีกเป็นโขยงตามหลังมาด้วย พวกเขารับตัวเธอขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางเธอคงจะไม่สบาย แต่เธอก็เป็นมืออาชีพมากเลยนะ ก่อนหน้านี้เธอก็อดทนไว้โดยไม่ปริปากบ่นเลยซักคำ พอพวกเขามาถึง ก็รับตัวเธอไปทันทีเลย” 


 


 


ฉินหวานหว่านเริ่มสับสนเมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อบอกเธอก่อนหน้านี้ว่ามีประจำเดือนจนอาจสร้างปัญหา นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่หล่อนปวดท้องกระมัง ว่าแต่ แล้วใครกันที่มารับหลินเช่อไปล่ะ 


 


 


หญิงสาวเหลียวมองไปรอบๆ สถานที่จัดงานอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นกู้จิ้ิ้งอวี่ เธอจึงคิดกับตัวเองว่า บางทีอาจเป็นกู้จิ้ิ้งอวี่นั่นแหละ เพราะถึงอย่างไรคนตระกูลกู้ก็มีศักยภาพในการทำอะไรได้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่นะ การที่จะส่งคนที่โขยงมารับหลินเช่อไปก็ดูจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติตรงไหน 


 


 


ในรถ สีหน้าของหลินเช่อบ่งบอกชัดเจนว่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง กู้จิ้งเจ๋อโอบกอดเธอเอาไว้แน่นเมื่อหญิงสาวถามด้วยความสงสัยว่า “นี่เรากำลังจะไปไหนกันคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ไปโรงพยาบาลน่ะสิ อยู่นิ่งๆ นะ” 


 


 


“อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ…มันแค่ปวดเท่านั้น…” 


 


 


“อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ ใกล้ถึงแล้วละ เธอปวดท้องหนักมาก” กู้จิ้งเจ๋อมองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้หลินเช่อไม่เคยปวดประจำเดือนมากมายอย่างนี้เลย หรือเป็นเพราะเธอเคลื่อนไหวมากเกินไปเพราะรีบร้อนที่จะมาร่วมงานอีเวนต์นี่จนทำให้ปวดท้องกันแน่นะ 


 


 


หลินเช่อเอนตัวพิงอกเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนเป็นคนโลภมาก แต่หญิงสาวก็อดคิดไม่ได้ว่า ต่อให้ปวดมากกว่านี้เพื่อแลกการได้มีเขามาคอยกอดปลอบใจมันก็คุ้มค่าแล้ว 


 


 


น้ำเสียงปลอบโยนที่เขาใช้ มันแทรกซึมทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้หลินเช่อไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว 


 


 


แม้จะรู้ตัวว่าไม่ควรรู้สึกแบบนี้ แต่เธอก็อดพอใจกับการที่เขาดูแลเอาใจใส่เธอแบบนี้ไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง 


 


 


ตอนที่อาการปวดกำเริบขึ้นมา บุคคลแรกที่เธอนึกถึงก็คือกู้จิ้งเจ๋อ ดูเหมือนว่าเธอออกจะเสพติดกับการพึ่งพาเขาขึ้นมาหน่อยๆ เสียแล้วสิ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชื่อของเขาจึงได้ผุดขึ้นมาในหัวเธอเป็นชื่อแรก แต่เธอรู้ดีว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ กู้จิ้งเจ๋อจะต้องช่วยเธอได้แน่ 


 


 


ความรู้สึกไว้วางใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ รับไม่ได้อย่างยิ่ง 


 


 


เมื่อในขณะที่ได้พักพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาแบบนี้ เธอก็ไม่อยากที่จะคิดถึงอะไรอื่นอีกแล้ว 


 


 


เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่กู้จิ้งเจ๋อคิดไว้จริงๆ หมอบอกว่าเป็นเพราะว่าเธอเคลื่อนไหวมากเกินไป ส่วนอย่างอื่นไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา และบอกเธอให้นอนพักมากๆ 


 


 


ดังนั้น เมื่อกลับมาถึงโรงแร ในห้องสวีท กู้จิ้งเจ๋อจึงถามขึ้นว่า “เธออยากกินอะไร เดี๋ยวฉันจะส่งคนออกไปซื้อให้” 


 


 


หลินเช่อตอบ “แต่ฉันยังไม่อยากกินอะไรเลยนี่คะ…” 


 


 


“ไม่ได้ เธอต้องกินซักหน่อย” ชายหนุ่มยืนกราน 


 


 


หลินเช่อคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะถามว่า “ถ้างั้น…งั้น ถ้าฉันอยากจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบที่ทำกินเองที่บ้านจะต้องทำยังไงคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะส่งคนออกไปซื้อบะหมี่มาให้ รอก่อนนะ” 


 


 


“แล้วคุณจะต้มบะหมี่ให้ฉันหรือคะ” หลินเช่อยิ้มพลางกะพริบตา มองหน้าอีกฝ่าย 


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นใครจะทำล่ะ” 


 


 


หลินเช่อกระโดดผึงทันที “ว้าว กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย” 


 


 


คำชมจากหลินเช่อนั้นมีค่าเหนือกว่าคำหวานใดๆ มันทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องเธอมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามองหลินเช่อ แล้วก็รู้สึกปรารถนาที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธอ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว เขาไม่ควรจะมีความรู้สึกเช่นนี้หลงเหลืออยู่แล้ว 


 


 


แต่คำพูดของเธอดูจะมีอำนาจราวกับเวทมนตร์ที่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างที่สุดได้ 


 


 


เพียงไม่นาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ถูกส่งมาที่ห้อง 


 


 


ห้องสวีทของโรงแรมมีทุกอย่างพร้อมสรรพ ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นทุกอย่างมีอยู่อย่างครบครัน รวมถึงครัวขนาดเล็กสำหรับประกอบอาหารด้วย แม้ว่าคงจะไม่มีใครใช้งานในส่วนนี้บ่อยนัก แต่ห้องครัวนั้นก็ยังมีทุกอย่างพร้อม เมื่อหลินเช่อหันมองไปรอบๆ เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าโรงแรมแห่งนี้คู่ควรที่จะเป็นโรงแรมเจ็ดดาวโดยแท้ ราคาที่สูงลิบนั้นเป็นไปเพราะการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ทั้งนั้น 


 


 


หญิงสาวนั่งมองอีฝ่ายวุ่นวายกับการปรุงอาหารราวกับรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


แม้ว่าเขาจะเคยเห็นเธอทำบะหมี่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ยังสามารถจัดการต้มมันได้อย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว เขาถือช้อนไว้ในมือข้างหนึ่งเพื่อตักซุปขึ้นชิมรส ส่วนมืออีกข้างเท้าเอวเอาไว้ ด้วยความสูงและรูปร่างอันบึกบึนนั้น ทำให้กู้จิ้งเจ๋อดูเย้ายวนใจอย่างที่สุดเมื่ออยู่ในห้องครัว 


 


 


ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ใครๆ พากันบอกว่า ผู้ชายจะดูหล่อที่สุดเวลาทำอาหาร 


 


 


โดยเฉพาะผู้ชายหน้าตาอย่างกู้จิ้งเจ๋อนี่ ไม่ว่าจะไปยืนตรงไหน เขาก็ดูเหมือนนายแบบบนหน้าปกนิตยสารไม่มีผิด 


 


 


เพียงครู่ต่อมา เขาก็ยกบะหมี่มาเสิร์ฟให้เธอ 


 


 


หลินเช่อเอ่ยชม “คุณทำออกมาได้ไม่เลวเลยนะคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “แน่ละสิ เธอคิดว่าทุกคนเขาโง่เหมือนเธอกันหมดรึไงล่ะ” 


 


 


“เฮ้ บะหมี่ที่ฉันทำก็อร่อยออกนะ” 


 


 


“พอที เอ้าอ้าปากสิ” กู้จิ้งเจ๋อหยิบตะเกียบและพยายามที่จะป้อนเธอ 


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขา เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่เป็นนาน เขาก็นิ่วหน้าและพูดซ้ำว่า “ฉันบอกให้อ้าปากไงล่ะ” 


 


 


“โอ้ โอ้…” หลินเช่อรีบอ้าปากทันที โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมสันเปี่ยมเสน่ห์ของอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นเองที่เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ เวลาที่เขาห่วงใยเอาใจใส่เธอ เขาก็ทำมันอย่างเต็มที่จริงๆ 


 


 


แล้วหลินเช่อก็นึกขึ้นได้ว่า นี่ยังคงเป็นคืนวันคริสต์มาสอีฟ 


 


 


เธอเงยหน้าขึ้นและบอกว่า “ใกล้จะคริสต์มาสแล้วนะคะ”  

 

 


ตอนที่ 178 คำพูดของเธอราวกับมีเวทมนตร์

 

กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ก็ใช่ แต่เธอไม่ใช่คริสเตียนนี่”


 


 


“คุณจะไปรู้อะไรล่ะ เทศกาลแบบนี้เป็นข้ออ้างให้ฉันได้ทำตามใจตัวเองนะคะ ใครจะไปสนล่ะว่ามันเป็นเทศกาลอะไร ตราบใดที่มันเป็นวันหยุดฉันก็มีความสุขแล้วละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธออย่างไม่อยากเชื่อ “เธอนี่เก่งเรื่องหาข้ออ้างผิดๆ กับเรื่องไร้สาระที่สุดเลยนะ”


 


 


แต่ถึงกระนั้น ในหัวใจเขาก็อดที่จะเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอพูดมาอย่างช้าๆ ไม่ได้


 


 


ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะถูกล้างสมอง อาจจะเป็นเพราะเขาอยู่กับเธอมานานเกินไปแล้วก็เป็นได้


 


 


เขาไม่ควรจะกลายเป็นผู้ชายซื่อบื้อเหมือนหลินเช่อในอนาคต


 


 


แต่แล้วข้างนอกก็เริ่มมีการจุดพลุกัน


 


 


หลังจากกินอาหารเสร็จ ท้องของหลินเช่อก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น เธอมองออกไปนอกหน้าต่างและพูดว่า “ดอกไม้ไฟสวยจังนะคะ” ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปดูใกล้ๆ


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อตวัดแขนคว้าเอวบางไว้อย่างว่องไว “อย่าขยับสิ เดี๋ยวฉันอุ้มไปเอง”


 


 


หลินเช่อหน้าแดง ชายหนุ่มช้อนร่างเธอขึ้นแล้วอุ้มเดินไปยังหน้าต่างแบบฝรั่งเศสของห้องพัก


 


 


เมื่อหันมองออกไป ดอกไม้ไฟก็ดูเหมือนจะผุดขึ้นตรงหน้านั่นเอง สีสันบรรเจิดพาดพันกันดูน่าตื่นตา ทำให้หลินเช่อรู้สึกราวกับอยู่ในโลกแห่งเทพนิยาย


 


 


สวยจนอดอุทานออกมาไม่ได้ “สวยจังเลย”


 


 


“หือ นี่สวยสำหรับเธอแล้วเหรอ”


 


 


“ก็มันสวยจริงๆ นี่คะ ฉันอยากดูดอกไม้ไฟแบบนี้ทุกวันจังเลย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเอ่ยขึ้น “ถ้าเธออยากได้แบบนั้นก็พอจะได้อยู่หรอกนะ…”


 


 


หลินเช่อหันมามองด้วยความประหลาดใจ “ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ…”


 


 


พ่อเศรษฐีหนุ่ม ขออย่าได้สั่งให้จุดดอกไม้ไฟทุกวันให้ดูขึ้นมาจริงๆ ทีเถอะ


 


 


หลินเช่อลืมไปสนิทใจว่าชายหนุ่มข้างตัวเธอคืออภิมหาเศรษฐีระดับบิ๊กบึ้มตัวจริง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเอียงคอมองคนข้างกาย ไม่ว่าดอกไม้ไฟด้านนอกจะวิจิตรงดงามแค่ไหน เขาก็อยากจะมองแต่เพียงหน้าเธอเท่านั้น


 


 


ณ เวลานี้ เขาพอจะเข้าใจความหมายของคำว่าเทศกาลขึ้นมาบ้างแล้ว บางทีสิ่งที่แฝงอยู่ลึกๆ ในช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองนี้ ก็คือการที่ได้อยู่กับคนที่เราต้องการจะอยู่ด้วยนั่นเอง และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะหันไปมองอะไร ทุกอย่างที่ได้เห็นก็ดูจะน่าตื่นตาตื่นใจไปเสียหมด


 


 


ทันใดนั้นมือใหญ่ก็ยกขึ้นประคองใบหน้าของหลินเช่อ ก่อนจะประทับจูบลงมาอย่างเงียบเชียบ


 


 


หญิงสาวตกใจเล็กน้อย ขณะที่ได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อหลับตาและใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามา หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ก็ไม่ได้ถอยหนีจากเขา


 


 


ดอกไม้ไฟที่นอกหน้าต่างยังคงปะทุดังไม่ขาดสาย ขณะที่ภายในห้องนั้นก็อวลไปด้วยอ้อมกอดและจุมพิตอันดูดดื่มยาวนาน


 


 


พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่เขาจะคลายอ้อมกอดจากเธอ


 


 


ใบหน้าของหลินเช่อแดงก่ำ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงรสชาติของความสุข…


 


 


คืนวันคริสต์มาสอีฟคืนนี้อาจจะเป็นคืนเทศกาลที่เงียบเชียบที่สุด ที่เธอและเขาเคยใช้ด้วยกันมา และแม้ว่าจะอยู่ต่างถิ่น แต่ทั้งสองก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากการอยู่บ้านเลยสักนิด


 


 


วันต่อมากู้จิ้งเจ๋อบังคับให้หลินเช่อนอนพักอีกวันก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน


 


 


ในวันนั้น กู้จิ้งเจ๋อออกไปจัดการเจรจาธุรกิจในเมืองเอส และให้หลินเช่อนอนพักอยู่ที่โรงแรม


 


 


ส่วนเรทติ้งของผู้ชมรายการถ่ายทอดสดของงานกาล่า คริสต์มาสอีฟนั้นก็ออกมาสูงลิบลิ่ว และยังได้รับการพูดถึง โพสต์ถึงอย่างถี่ยิบตลอดเวลา


 


 


เมื่อรู้ว่ากู้จิ้งเจ๋อออกไปข้างนอก อวี๋หมินหมิ่นก็มาที่ห้องพักของหลินเช่อเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องงาน


 


 


หลินเช่อไล่อ่านข่าวประเด็นร้อนต่างๆ ซึ่งก็มีเรื่องการแสดงของกู้จิ้ิ้งอวี่และฉินหวานหว่านรวมอยู่ด้วย ทุกคนต่างพากันแซ่ซ้องฉินหวานหว่านกันโดยทั่วหน้า ว่าสามารถร้องเพลงได้อย่างไพเราะจริงๆ


 


 


และแน่นอนว่ากู้จิ้ิ้งอวี่เองก็ได้รับคำชมในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าความจริงแล้ว เพียงแค่ชายหนุ่มอ้าปาก ก็ทำให้แฟนๆ ของเขากรีดร้องด้วยความคลั่งไคล้ได้แล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ความสนใจของงานจึงตกไปอยู่ที่บรรดานักแสดงหญิงรุ่นเล็กทั้งหลายที่ไปร่วมงานอีเวนต์นี้


 


 


ส่วนหลินเช่อเองที่เป็นดาราหญิงรุ่นเล็กที่มักตกเป็นข่าวพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่พ้นที่จะถูกหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับฉินหวานหว่าน


 


 


ใช้เวลาอ่านเพียงไม่นาน หลินเช่อก็ได้พบว่ามีคนที่กำลังกล่าวโจมตีเธอทางออนไลน์อยู่


 


 


“ให้ตายสิ เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงบอกว่าเดี๋ยวต้องมีคนด่าฉันเรื่องร้องเพลงห่วยแน่ๆ ดูสิคะ ฉันโดนใส่ซะยับเลยทีเดียว”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเดินมาดูข่าว แล้วก็ได้เห็นว่ามีคนกำลังด่าทอหลินเช่อจริงๆ พวกเขาตั้งใจที่จะเปรียบเทียบเธอกับฉินหวานหว่าน และบอกว่าการร้องเพลงของหลินเช่อนั้นห่วยแตกกว่าฉินหวานหว่านมาก


 


 


แรกทีเดียวพวกเขาเริ่มจากการชื่นชมฉินหวานหว่านก่อน “ฉินหวานหว่านนี่นับว่าเป็นไอดอลคุณภาพเยี่ยมจริงๆ ทั้งสวย ชื่อเสียงก็ดีไม่มีด่างพร้อย แถมยังร้องเพลงเพราะอีกต่างหาก ส่วนคนอื่นๆ ก็แค่พอจะถูไถหรอก แต่ฉันฟังไม่ออกจริงๆ ว่าหลินเช่อร้องเพลงอยู่หรือเปล่านะ มันเพี้ยนไปหมดเลย”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้อ่าน ผู้จัดการสาวมีความรู้สึกว่าข้อความดังกล่าวดูแล้วน่าสงสัยชอบกล


 


 


เธอจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้ตั้งใจที่จะโพสต์ด่าเธอหรือเปล่า ฉันก็เลยลองไปสืบดู แล้วก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นนักเขียนรับจ้างทางอินเทอร์เน็ตที่คอยโพสต์เกี่ยวกันฉินหวานหว่านน่ะ”


 


 


หลินเช่อถามอย่างแปลกใจ “พวกเขาคอยโพสต์เชียร์ฉินหวานหว่านหรือคะ แต่ต่อให้จะเอาแต่โพสต์ชื่นชมฉินหวานหว่าน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียนรับจ้างนี่นา ใช่มั้ยคะ เพราะมันก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าฉินหวานหว่านร้องเพลงเพราะออกน่ะค่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและมองหลินเช่อ “มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกนักเขียนผีหรือเปล่าน่ะ ดูสิ คนพวกนี้จะอยู่ในแชทแค่แป๊บเดียวเท่านั้น และถ้อยคำที่พิมพ์ก็จะคล้ายๆ กันไปหมด เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเป็นนักเขียนที่รับจ้างโพสต์คอมเมนต์น่ะ”


 


 


“จริงหรือคะนี่…” หลินเช่อมองหน้าผู้จัดการ “ทำไมพี่ถึงรู้ได้ทันทีเลยล่ะคะ”


 


 


“เพราะฉันเองก็ทำงานรับจ้างประเภทนี้ช่วงกลางคืนน่ะสิ ก็เลยพอจะคุ้นเคยอยู่บ้างว่าเขาทำกันยังไง ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจหรอกนะว่าฉินหวานหว่านจ้างคนพวกนี้ให้คอยโจมตีเธอทางออนไลน์ หรือว่ามีคนอื่นจ้างให้โพสต์เรื่องพวกนี้ของเธอ แล้วก็จุดประเด็นให้พวกเธอสองคนทะเลาะกันน่ะ”


 


 


“เรื่องมันซับซ้อนจังค่ะ ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะทีนี้” หลินเช่อถาม


 


 


อวี๋หมินหมิ่นว่า “เรื่องนี้จัดการได้ไม่ยากหรอก ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใคร เราก็แค่จับเธอออกไปสู้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง”


 


 


เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋หมินหมิ่นก็จัดแจงนำทีมออกไปโพสต์ข้อความตอบโต้


 


 


อวี๋หมินหมิ่นไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีหรือด่าทอฉินหวานหว่าน เพียงไม่นานหลินเช่อก็ได้เห็นคนโพสต์ข้อความว่า “อย่างน้อยเธอก็จริงใจนะที่ไม่ยอมลิปซิงค์ แม้ว่าจะร้องเพลงได้แย่มากก็เถอะ”


 


 


แล้วบุคคลผู้นี้ก็ยังตัดเอาคลิปการร้องเพลงของหลินเช่อมา และใช้โปรแกรมตัดเสียงนักร้องชายออกไป เหลือไว้แต่เพียงเสียงร้องของหลินเช่อคนเดียวเท่านั้น


 


 


เสียงดนตรีที่ได้ยิน…เรียกว่าเพี้ยนหลุดโลกทีเดียว


 


 


เมื่อหลินเช่อได้ฟังคลิปนี้ เธอจึงได้รู้ว่า เสียงร้องของเธอไม่ได้แค่แย่ธรรมดาเท่านั้น


 


 


โพสต์นี้ถูกแชร์ต่อๆ กันไปอีกนับหมื่นครั้ง ทุกคนต่างพากันหัวเราะเมื่อได้ฟัง และพูดกันว่าหลินเช่อนั้นตลกมาก ทำไมเสียงร้องของเธอถึงได้เพี้ยนหนักได้ถึงเพียงนี้


 


 


หลินเช่อหมดอาลัยตายอยาก เมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้นแล้ว หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปอีก


 


 


ทว่าเมื่อตกบ่าย ประเด็นเรื่องหลินเช่อร้องเพลงแย่ก็กลับถูกดันขึ้นมาแทนที่ข่าวของฉินหวานหว่าน และกลายเป็นข่าวร้อนที่คนให้ความสนใจมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง


 


 


แม้ว่าตอนแรก คนอื่นจะใช้เรื่องนี้ในการโจมตีหลินเช่อ แต่หลินเช่อกลับตลบหลังด้วยการใช้เหตุการณ์ดังกล่าวมาล้อเลียนตัวเองแทน


 


 


การล้อเลียนตัวเองเช่นนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากการที่คนอื่นก่นด่าเธอ


 


 


บ่ายวันนั้นหลินเช่อจึงเข้าไปในเว่ยป๋อและรีโพสต์คลิปของตัวเอง นอกจากนี้เธอยังเติมอีโมติคอนรูปร้องไห้เข้าไป พร้อมเขียนข้อความว่า “ต่อไป ถ้าใครมีมนุษย์นอนอยู่ในบ้าน ก็ลองเปิดคลิปนี้ให้เขาฟังนะคะเผื่อจะตื่น”


 


 


ทุกคนต่างแห่แหนเข้าไปในหน้าเพจเว่ยป๋อของเธออย่างรวดเร็ว พวกเขาเขียนคอมเมนต์เอาไว้ใต้โพสต์ของหลินเช่อว่า” ไม่เป็นไรน้า ต่อให้ร้องเพลงห่วยยังไง เธอก็ยังเป็นเช่อน้อยของเราอยู่ดี”


 


 


“เช่อน้อย อย่าร้องน้า ดีออกเสียงเธอทำให้เราตื่นได้ทั้งคืนเลย”


 


 


“ฉันจะรีโพสต์คลิปนี้เพื่อขับไล่วิญญาณอันชั่วร้าย”


 


 


หลินเช่ออยู่ตรงกลางระหว่างหัวเราะและร้องไห้ เธอหันไปพูดกับอวี๋หมินหมิ่นอย่างภาคภูมิใจ “มีผู้จัดการคนไหนเหมือนพี่อีกบ้างนะเนี่ย นี่พี่เสพติดการได้ด่าฉันออนไลน์แล้วใช่มั้ยล่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นว่า “ก็ใครขอให้เธอร้องเพลงห่วยแตกล่ะ เธอน่าจะลองตั้งใจฟังเสียงตัวเองดูนะ มันเป็นเสียงปีศาจชัดๆ ….เหมือนจะร้องเข้าจังหวะอยู่แค่คำเดียวเท่านั้นแหละ…”


 


 


เมื่อหลินเช่อหันไปมองผู้จัดการส่วนตัว เธอก็ต้องรู้สึกซาบซึ้งใจกับการรับมือที่ผู้จัดการสาวจัดการให้เธอ


 


 


แน่นอนว่าการมีทีมที่ดีและผู้จัดการมีฝีมือเป็นเรื่องสำคัญ


 


 


หลินเช่ออดคิดในใจไม่ได้ว่า น่าเสียดายที่แม้อวี๋หมินหมิ่นจะเป็นคนเก่งขนาดนี้ แต่เธอก็ยังต้องปากกัดตีนถีบเพื่อครอบครัวอย่างยากลำบากอยู่นั่นเอง 

 

 


ตอนที่ 179 เดี๋ยวฉันนวดท้องให้เธอเอง

 

เมื่อหลินเช่อเข้าไปดูในวีแชท เธอก็ได้เห็นว่าแม้แต่กู้จิ้ิ้งอวี่ก็ยังส่งข้อความมาบอกว่า “ฝ่ายพีอาร์ของเธอรับมือกับข่าวได้เยี่ยมไปเลย ดูเหมือนว่าทีมของเธอจะไม่ได้รับเชื้อซื่อบื้อจากเธอไปด้วยสินะ”


 


 


หลินเช่อระดมพิมพ์ตอบกลับไปในวีแชทด้วยความโกรธว่า “ไปตายซะไป๊ อย่ามาว่าฉันโง่นะ!”


 


 


อย่างไรก็ตาม การที่คนระดับกู้จิ้ิ้งอวี่ยังยอมรับวิธีที่อวี๋หมินหมิ่นใช้ในการรับมือ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าผู้จัดการของเธอทำได้ดีจริงๆ


 


 


จากการโดนโจมตีไปจนถึงการล้อเลียนตัวเองเพื่อตอบโต้ ทำให้หลินเช่อได้รับประสบการณ์ที่ช่วยเปลี่ยนมุมมองให้กับเธออย่างมากในวันคริสต์มาสปีนี้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลับมาถึงห้องในตอนกลางคืน เมื่อได้เห็นว่าหลินเช่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เป็นอันดีแล้ว เขาก็จัดแจงสั่งการสนามบินให้เตรียมเครื่องบินและเส้นทาง เพื่อที่เขาจะได้พาหลินเช่อขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลกู้และเดินทางกลับบ้านพร้อมกัน


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเองก็ตามมาด้วย และเธอก็ได้สัมผัสด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกว่าเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลกู้นั้นเป็นอย่างไร ระหว่างที่ช่วยกันเก็บกระเป๋า อวี๋หมินหมิ่นก็พูดกับหลินเช่อว่า “ตระกูลกู้มีเส้นทางบินที่ถูกกำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับพวกเขาเองในประเทศซี ซึ่งสำหรับคนอื่นแล้วนี่เป็นเรื่องที่จะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนตระกูลกู้จึงสามารถสั่งเอาเครื่องบินขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ที่พวกเขาต้องการ”


 


 


“จริงหรือคะ”


 


 


“แน่นอนสิ ต่อให้เป็นคนอื่นที่มีเครื่องบินส่วนตัว ก็ยังต้องรอให้มีการประสานงานจัดเตรียมเส้นทาง”


 


 


“สุดยอดไปเลย…”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไปว่า “ต้องขอบใจเธอหรอกนะ ที่ทำให้ฉันมีโอกาสได้บินในเส้นทางส่วนตัวแบบนี้กับเขาด้วย”


 


 


หลินเช่อกระทุ้งอีกฝ่ายอย่างขัดเขิน “พี่ก็ล้อฉันเล่นอยู่ได้!”


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าอวี๋หมินหมิ่นเพียงแต่หยอกล้อเธอเล่นเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้น


 


 


ไม่ช้า กู้จิ้งเจ๋อก็มาตาม อวี๋หมินหมิ่นรู้จังหวะที่จะปลีกตัวออกไปอยู่ที่อื่นอย่างเงียบๆ เพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้สนทนากัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพาหลินเช่อขึ้นเครื่อง และในไม่ช้า เครื่องบินก็เทคออฟและบินตรงไปยังเมืองบี


 


 


ชายหนุ่มหันมาบอกว่า “กลับไปถึงแล้ว เรายังต้องไปที่บ้านตระกูลกู้กันอีกนะ เพราะนี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปฉลองคืนส่งท้ายปีเก่ากับครองครัวนี่ จริงมั้ย”


 


 


“โอ้ ก็ได้ค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจำได้ถึงตอนที่หลินเช่อฟาดงวงฟาดงาด้วยความโกรธเมื่อตอนก่อนหน้า ว่าเขาจะต้องจ่ายเงินให้ถ้าต้องการให้เธอไปที่นั่นอีก ด้วยเหตุนี้ คนตัวใหญ่จึงกระตุกยิ้มและบอกว่า “ถ้าเธอแสดงได้ดี ฉันจะส่งเงินรางวัลเข้าบัญชีเธอเอง”


 


 


หน้าของหลินเช่อร้อนฉ่าทีเดียวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


 


 


ตอนนั้นที่เธอพูดออกไปก็เพราะความโกรธ ว่ากันตามตรง เธอก็ไม่ใช่คนหิวเงินอะไรขนาดนั้นหรอก


 


 


แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายขึ้นมาเอง เธอก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ


 


 


“คุณยังจะต้องรอดูผลงานอีกหรือคะ แล้วนี่ถ้าฉันแสดงได้ไม่สมบทบาท จะต้องถูกหักเงินหรือเปล่า”


 


 


“แน่นอนสิ ก็นี่แหละกลไกตลาดละ ในฐานะนักธุรกิจแล้ว ฉันจะไม่ยอมเสียเปรียบแน่นอน”


 


 


หลินเช่อทำจมูกขยุกขยิกใส่อีกฝ่าย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมของหลินเช่อก่อนหน้านี้ เมื่อลองมานึกๆ ดูแล้ว ไอ้ท่าทีเย็นชาอาละวาดของเธอนั่น ทั้งหมดเป็นเพราะความหึงหวงอย่างนั้นหรือ


 


 


เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว กู้จิ้งเจ๋อก็เข้าใจสิ่งที่เธอพูดในทันที


 


 


และเมื่อจำเหตุการณ์เมื่อวันก่อนได้ ชายหนุ่มก็อดอารมณ์ขึ้นมาทันตาไม่ได้


 


 


ถ้าเขารู้ว่าเธอทำไปเพราะหึงหวงละก็ เขาก็คงไม่กังวลใจขนาดนั้นหรอก


 


 


แล้วเขาก็จะปล่อยให้เธออยู่คนเดียวที่นี่นานขึ้นอีกหน่อยด้วย เผื่อจะได้ช่วยดัดนิสัยกันได้มั่ง เพราะเขาค่อนข้างจะสปอยล์เธออยู่เป็นประจำทุกวัน จนตอนนี้เธอแทบจะทำให้เขาคลั่ง สองวันที่ผ่านมาเขาแทบจะตายด้วยความหงุดหงิดอยู่แล้ว


 


 


หลินเช่อฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์และกดพนักเก้าอี้ให้เอนลง ทั้งสองนั่งกันอยู่ตามลำพังในเครื่องบินส่วนตัว โดยที่เก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของกู้จิ้งเจ๋อที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไป ทำให้หลินเช่อจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ และนึกสงสัยว่าทำไมรอยยิ้มของเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจขึ้นมาในพริบตาแบบนั้น


 


 


แต่แล้วอาการคลื่นไส้ที่แล่นขึ้นมาเป็นระลอกในช่องท้อง ก็เรียกสติหลินเช่อกลับมา


 


 


เมื่อชายหนุ่มได้เห็นเธอยกมือขึ้นนวดท้อง รอยยิ้มของเขาก็คลายลงและถามว่า “เป็นอะไร ยังปวดท้องอยู่อีกเหรอ”


 


 


“ยังปวดอยู่หน่อยๆ น่ะค่ะ ไม่เป็นไรหรอก คงเป็นเพราะคราวนี้ฉันกังวลมากไป มันก็เลยปวดมาก ปกติแล้วจะปวดอยู่แค่วันเดียวเท่านั้นเองค่ะ”


 


 


“คราวหน้าอย่าลืมจดบันทึกวันที่รอบเดือนของเธอมาไว้ด้วย!” ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ยัยบื้อเอ๊ย นี่เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ารอบเดือนตัวเองมาวันไหน”


 


 


หลินเช่อแลบลิ้นใส่อีกฝ่าย


 


 


หลังจากนิ่งเงียบไปเป็นครุ่ กู้จิ้งเจ๋อก็ลุกขึ้นเดินมาหาเธอ “นอนลงไปสิ เดี๋ยวฉันจะช่วยนวดท้องให้เอง”


 


 


“อา…ฉันว่าไม่ต้องหรอกค่ะ” เธอนึกอายที่จะให้เขามานวดท้องให้


 


 


“พอที ยังมีอะไรน่าเกลียดๆ เกี่ยวกับเธอที่ฉันยังไม่ได้เห็นอีกเหรอ มาตอนนี้จะมาอายอะไรอีก”


 


 


“…” หลินเช่อบุ้ยปาก แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว ที่เขาพูดก็ถูกแฮะ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงยอมเอนกายนอนลงแต่โดยดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยกศีรษะเธอขึ้นวางบนหน้าขาเขา ก่อนที่มือใหญ่จะวางลงบนท้อง และลงมือนวดเฟ้นเพื่อคลายความปวดให้


 


 


อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงกว่าเธอ ทำให้มือของเขาอุ่นกำลังดี หลินเช่อรู้สึกสบายและผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดตะขิดตะขวงใจนิดๆ ไม่ได้ที่มานอนราบอยู่แบบนี้


 


 


ที่สำคัญเธอกำลังนอนอยู่บนขาเขาเสียด้วยสิ


 


 


หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นมามองกู้จิ้งเจ๋อ พลางคิดว่า นี่ตัวเธอกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการให้บริการของท่านประธานกู้ผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ ถ้ามีใครอื่นมาเห็นเข้าละก็ รับรองได้ว่าคนนั้นเป็นต้องอ้าปากค้างแทบถึงพื้นเป็นแน่แท้…


 


 


ไม่ช้า เครื่องบินก็ร่อนลงจอดที่เมืองบี


 


 


เมื่อกลับมาถึง สิ่งแรกที่กู้จิ้งเจ๋อทำก็คือการเดินทางไปเยี่ยมโม่ฮุ่ยหลิง ซึ่งได้ย้ายออกจากโรงพยาบาลไปยังศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวตั้งใจจะพักฟื้นอยู่ที่นั่นสักพักก่อนที่จะกลับบ้าน


 


 


หลินเช่อแม้จะรู้ดีว่ากู้จิ้งเจ๋อเดินทางไปเยี่ยมโม่ฮุ่ยหลิง แต่เธอกลับไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่


 


 


แม้ว่าในใจเธอจะไม่ค่อยชอบนัก แต่โม่ฮุ่ยหลิงก็เพิ่งผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายมาหมาดๆ การที่กู้จิ้งเจ๋อจะไปเยี่ยมหล่อนก็เป็นเรื่องที่เธอพอจะเข้าใจได้


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าเธอพยายามที่จะปลอบใจตัวเองอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นที่เธอจะทำได้อีกแล้ว ต่อให้เธอไม่สบายใจกับเรื่องนี้นักก็ตาม


 


 


หลังคริสต์มาสผ่านพ้นไป เทศกาลปีใหม่ก็มาถึง ในวันสิ้นปี กู้จิ้งเจ๋อพาหลินเช่อเดินทางไปที่บ้านตระกูลกู้ด้วยกัน


 


 


อากาศหนาวเย็นลงมากทำให้ทั้งคู่ต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้น แต่เมื่อมาถึงบ้าน มู่หว่านฉิงก็ยังคงพูดกับหลินเช่อว่า “ทำไมสวมเสื้อน้อยชั้นแบบนี้ล่ะจ๊ะ เร็วๆ เข้า รีบเข้ามาข้างในนั้น ใครไปเอาเสื้อโค้ตให้คุณผู้หญิงหน่อยซิ”


 


 


หลินเช่อถูกห่อด้วยเสื้อผ้าอีกหลายชั้นทันทีที่ก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน หญิงสาวหมุนตัวมองดูรอบๆ แล้วก็ได้เห็นบรรดาบอดี้การ์ดส่วนตัวของท่านประธานาธิบดียืนระแวดระวังอยู่ด้านนอก ทำให้เธอรู้ว่า กู้จิ้งหมิงก็กลับมาร่วมฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าที่บ้านด้วยเช่นกัน


 


 


กู้จิ้งหมิงเดินเข้ามาทักทายหลินเช่ออย่างเป็นกันเอง แต่เมื่อเหลียวมองอยู่นาน หลินเช่อกลับไม่เจอกู้จิ้ิ้งอวี่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงลากตัวกู้จิ้งเจ๋อเข้ามาถาม “ทำไมกู้จิ้ิ้งอวี่ถึงไม่กลับมาฉลองส่งท้ายปีเก่าด้วยล่ะคะ”


 


 


ชายหนุ่มตอบว่า “จิ้งอวี่ไม่เคยกลับมาอีกเลยตั้งแต่ที่เขามีเรื่องกับที่บ้านน่ะ อย่าหวังว่าจะได้เจอเขาวันนี้เลย”


 


 


“ใครบอกว่าฉันอยากเจอเขากันล่ะคะ ก็แค่คิดว่ามันแปลกเท่านั้นเอง เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่พวกคุณเป็นพี่น้องกัน แต่ทำไมเขาถึงไม่กลับมาบ้าน” หลินเช่อถามด้วยสุ้มเสียงใคร่รู้ “แล้วเขามีเรื่องทะเลาะอะไรกับทางบ้านหรือคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่เพราะจิ้งอวี่เป็นน้องเล็กที่สุดของครอบครัว เขาก็เลยออกจะถูกตามใจมากเกินไป เลยทำให้เป็นคนขวางโลกแบบนี้นี่แหละ”


 


 


“เพราะเรื่องนี้หรอกเหรอคะ ฉันนึกว่าเป็นเรื่องฝ่าฝืนธรรมเนียมอะไรของครอบครัวซะอีก”


 


 


“เฮ้ นี่เธอไม่ควรจะพูดถึงผู้ชายคนอื่นต่อหน้าตาสามีของตัวเองไม่ใช่หรือไง”


 


 


“…” หลินเช่ออยากเถียงว่ากู้จิ้ิ้งอวี่ไม่ใช่ผู้ชายคนอื่นซักหน่อย


 


 


แต่เมื่อได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังทำตาขวางใส่เธออยู่ หญิงสาวจึงทำได้แค่แลบลิ้นแผล็บและหยุดพูดเท่านั้น


 


 


แล้วกู้จิ้งหมิงก็เดินเข้ามาพร้อมใครอีกคน ทำให้ทั้งสองไม่มีโอกาสได้พูดถึงเรื่องนี้กันต่อ


 


 


กู้จิ้งหมิงแนะนำขึ้นว่า “นี่เซียวเซียว เซียวเซียว นี่หลินเช่อ ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อยังคงงุนงงเมื่อมองดูหญิงสาวอีกคนหนึ่ง


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออธิบายด้วยสุ้มเสียงต่ำว่า “ที่บ้านเราจับพี่ชายใหญ่ให้เข้าพิธีดูตัวกับผู้หญิงที่เหมาะสมน่ะ เธอคนนี้เป็นลูกสาวของสส.”


 


 


แล้วหลินเช่อก็เข้าใจได้ในทันที


 


 


แม้แต่ประธานาธิบดีก็ยังโดนบังคับให้แต่งงานได้หรือนี่ 

 

 


ตอนที่ 180 สามีภรรยารวมทีม

 

เซียวเซียวยังดูเด็กมาก หลินเช่อคิดว่าเธอยังไม่ถึงวัยที่จะแต่งงานได้ตามกฎหมายด้วยซ้ำ


 


 


ส่วนเซียวเซียวเมื่อได้เห็นหลินเช่อก็ร้องออกมาทันทีว่า “อ๊ะ หลินเช่อ! ฉันรู้จักคุณนะคะ คุณเป็นดารานี่นา ใช่มั้ยคะหลินเช่อ”


 


 


หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ “คุณรู้จักฉันด้วยหรือคะ”


 


 


“รู้สิคะ เพื่อนร่วมชั้นของฉันชื่นชอบคุณมาก” เธอตอบพร้อมยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปหาจิ้งเจ๋อและพูดว่า


 


 


“แต่ไม่มีใครเคยบอกเลยนะคะว่าหลินเช่อแต่งงานแล้วน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “เรื่องนี้ยังคงเป็นความลับน่ะ”


 


 


“อา เข้าใจค่ะ ฉันเข้าใจ การแต่งงานลับๆ นั่นเอง กำลังเป็นที่นิยมในยุคนี้เลยนะคะ


 


 


เซียวเซียวมองดูกู้จิ้งเจ๋อและหลินเช่อพร้อมรอยยิ้มบนหน้า


 


 


มู่หว่านฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมายิ้มกับเซียวเซียวและถามว่า “หนูเซี่ยวรู้จักหลินเช่อด้วยหรือจ๊ะ”


 


 


เซียวเซียวตอบ “รู้จักสิคะ ฉันน่ะติดซีรีส์ที่พี่หลินเช่อเล่นเป็นเฉินอี้หันมากๆ เลยละค่ะ ฉันชอบตัวละครตัวนี้มาก พี่หลินเช่อน่ะเป็นดาราดัง ใครๆ ก็รู้จักค่ะ”


 


 


เมื่อมู่หว่านฉิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งยินดี เธอหันไปมองหลินเช่อด้วยความภาคภูมิใจ


 


 


“จริงด้วยจ้ะ จริงด้วย หลินเช่อของเราน่ะโดดเด่นอยู่เสมอแม้แต่เวลาที่ออกไปอยู่ข้างนอกนั่น”


 


 


หลินเช่อได้ยินคำชมทั้งหลายก็เขินอาย


 


 


เซียวเซียวยังพูดต่อไปอีกว่า “ฉันไม่คิดเลยค่ะว่าพี่หลินเช่อจะแต่งงานเข้าตระกูลนี้”


 


 


มู่หว่านฉิงหัวเราะและบอกว่า “ใช่จ้ะ พวกเราโชคดีน่ะที่ได้หลินเช่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา”


 


 


“นั่นสิคะ ฉันก็ว่าพี่หลินเช่อเป็นคนน่าสนใจมากจริงๆ”


 


 


“ใช่จ้ะ ในครอบครัวเรา เธอเป็นเหมือนเครื่องกระจายความสุขเลยทีเดียวละ ทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในบ้าน ทุกคนในครอบครัวก็จะมีความสุขขึ้นมาทันตาเลย”


 


 


หลินเช่อหน้าแดงเรื่อเมื่อเธอพูดพลางหัวเราะว่า “คุณแม่คะ ถ้ายังยอกันต่อแบบนี้ ตัวหนูจะลอยแล้วนะคะ”


 


 


“แม่ก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเองจ้ะ มาเถอะ มา อย่ามัวยืนกันอยู่เลย เข้าไปข้างในเถอะ”


 


 


เมื่อทุกคนเข้าไปในตัวบ้าน มู่หว่านฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า ในเมื่อไม่มีอะไรทำ งั้นก็มาเล่นไพ่นกกระจอกกันมั้ยจ๊ะ”


 


 


กู้จิ้งหมิงแย้งขึ้น “ผมเล่นไม่เป็นนี่ครับ”


 


 


“ใครบอกว่าจะให้ลูกเล่นล่ะ ลูกน่ะนั่งอยู่ข้างๆ ดูเซียวเซียวเล่นก็พอ” มู่หว่านฉิงหันไปหาหลินเช่อ “เช่อน้อย เล่นเป็นหรือเปล่าจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อรีบตอบ “เป็นสิคะ ไพ่นกกระจอกนี่หนูเล่นเก่งทีเดียวละ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้เป็นแม่สามีก็หัวเราะ “จริงเหรอจ๊ะ ดีเลย มาเลยจ้ะ”


 


 


“เยี่ยมเลยค่ะ! หนูไม่ได้เล่นมาพักใหญ่แล้ว แทบจะลืมไปหมดแล้วด้วย วันนี้ละค่ะ หนูจะมาทวงคืนบัลลังก์ ถ้าชนะหลายตาเกินไปคุณแม่คงไม่ตีหนูใช่มั้ยคะ หนูไม่ออมมือให้หรอกนะ”


 


 


มู่หว่านฉิงได้ฟังก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “ตกลงจ้ะ อยากจะชนะกี่ตาก็ตามใจเลย ฉันจะไม่ขอแก้มือหรอก แต่ถ้าแพ้ขึ้นมาก็อย่าร้องไห้แล้วกันนะ”


 


 


หลินเช่อรับคำ “โอ๊ย หนูต้องร้องอยู่แล้วละค่ะ ก็หนูไม่มีเงินจ่ายนี่นา”


 


 


มู่หว่านฉิงยิ่งหัวเราะหนักขึ้นไปอีก “ถ้าไม่มีเงินเลย ก็ต้องอยู่บ้านนี้ใช้หนี้กับแม่สิจ๊ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้ามุ่ยทีเดียวเมื่อพูดขึ้นว่า “เอาละ จะแพ้เท่าไหร่ก็แพ้ไปเถอะ ฉันมีเงินให้น่ะ”


 


 


นี่หลินเช่อคร่ำครวญเรื่องไม่มีเงินกับคนอื่นงั้นเหรอ ไม่รู้จักรักษาหน้าสามีบ้างเลยหรือไงนะ!


 


 


หล่อนแต่งงานกับกู้จิ้งเจ๋อ ซีอีโอใหญ่เลยเชียวนะ


 


 


ถ้าคนข้างนอกรู้ว่าคุณนายกู้เอาแต่คร่ำครวญเรื่องไม่มีเงินแบบนี้ละก็ มีหวังได้ถูกหัวเราะเยาะตายแน่


 


 


เมื่อมู่หว่านฉิงได้ยินที่บุตรชายพูด เธอก็หันไปบอกว่า “เห็นมั้ยล่ะจ๊ะ ลูกชายคนรองของเราเริ่มปกป้องภรรยาตัวเองแล้วนะ กลัวว่าแม่จะเก็บสะใภ้ไว้อยู่เป็นเพื่อนที่นี่หรือไง ไม่เอาน่า แม่ไม่ทำอย่างนั้นหรอก ต่อให้หลินเช่อเล่นเสียมากแค่ไหน ลูกก็พาเธอกลับบ้านได้อยู่ดีนั่นแหละ แม่น่ะอยากให้เราสองคนได้อยู่ด้วยกันทั้งวันทุกวัน แม่จะได้มีหลานอุ้มเร็วๆ ยังไงล่ะ”


 


 


“…”


 


 


หน้าของกู้จิ้งเจ๋อถึงขั้นถอดสี ในขณะที่กู้จิ้งหมิงนั่งหัวเราะอยู่ทางด้านหลัง


 


 


โต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกถูกนำมาตั้งอย่างรวดเร็ว มู่หว่านฉิงและหลินเช่อนั่งตรงกันข้าม ในขณะที่เซียวเซียวนั่งคั่นกลาง โดยที่มีญาติอีกคนที่หลินเช่อไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วยอีกคน


 


 


ประธานาธิบดีใหญ่กู้จิ้งหมิงนั่งลงด้านหลังเซียวเซียว แม้ว่าเด็กสาวจะอายุยังน้อย แต่เธอก็เล่นไพ่นกกระจอกได้เก่งพอตัวทีเดียว ส่วนหลินเช่อนั้นโชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย เธอจึงแพ้อยู่เรื่อยๆ


 


 


เมื่อเล่นกันไปได้ครู่ใหญ่ หลินเช่อก็แพ้จนหมดรูป


 


 


มู่หว่านฉิงพูดขึ้นว่า “ดูเข้าสิ เช่อน้อย ไอ้ที่ท้าอยู่เหย็งๆ เมื่อกี้ไปไหนหมดแล้วล่ะ”


 


 


หลินเช่อได้แต่เพียงบอกว่า “คุณแม่คะ คุณแม่อาจจะคิดว่าหนูขี้คุย แต่ที่จริงไม่ใช่เลยนะคะ หนูเคยเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในโฮสเทล ตอนนั้นไม่มีใครโค่นหนูได้เลยจริงๆ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อฟังแล้วถึงกับอึ้ง แต่ก็ไม่อาจทำอะไรเลย ได้แต่นั่งดูเธอเล่นต่อไป


 


 


“โอเค ใช้ตัวนี้สิ”


 


 


“หลินเช่อ สมองเธอไปไหนหมด นั่นเธอเพิ่งทิ้งไพ่ที่เธอต้องใช้ไปนะ”


 


 


“หลินเช่อ! เธอกำลังจะแพ้แล้ว เห็นรึเปล่าน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถึงขั้นต้องหยิบไพ่ส่งให้ เล่นห่วยปานนี้แล้วยังจะมีหน้ามาอ้างว่าเป็นสุดยอดแชมป์ได้อีกนะ


 


 


มู่หว่านฉิงหัวเราะกึกกักขณะที่มองสองหนุ่มสาว เมื่อหันไปมองกู้จิ้งหมิง สายตาของเธอก็บ่งบอกความคิดออกไปได้อย่างชัดเจน


 


 


ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นลูกชายที่หัวแข็งที่สุดของบ้านมีใครอีกคนเอาไว้คอยโต้เถียงด้วยแล้ว และตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างกู้จิ้งเจ๋อและหลินเช่อก็ดีขึ้นและใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกที


 


 


ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากกู้จิ้งเจ๋อ หลินเช่อก็พลิกเกมกลับมาเป็นฝ่ายชนะกับเขาบ้าง


 


 


ส่วนเซียวเซียวแพ้จนหมดรูป เธอหันไปพูดกับกู้จิ้งหมิงว่า “ท่านประธานาธิบดีคะ นี่คุณตั้งใจที่จะยอมแพ้ให้น้องชายคุณหรือไงคะ ถึงไม่ยอมทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้างเลยน่ะ”


 


 


กู้จิ้งหมิงว่า “เธอเสียไปเท่าไหร่ล่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายคืนให้”


 


 


เซียวเซียวได้แต่ทำหน้าตูมแล้วหันไปมองกู้จิ้งเจ๋อ “พวกคุณสองคนที่เป็นทีมที่น่ากลัวมากจริงๆ นะคะ อย่างกับคู่หูนินจาแน่ะ ฉันไม่เล่นต่อแล้วละ ก็โดนพวกคุณรุมเอาขนาดนี้น่ะ แถมยังหวานกันตลอด ทำเอาคนโสดอย่างฉันทรมานใจน่าดูเลย”


 


 


เพียงเท่านั้น วงไพ่ก็แยกย้ายกระจายกันออกไป


 


 


หลินเช่อนั่งนับชิปที่จะใช้แลกเป็นเงิน แล้วก็ได้รู้ว่าเธอชนะมาได้เงินมาถึงสองสามล้านทีเดียวในชั่วเวลาไม่นานนัก


 


 


“ว้าว บ้านคุณเล่นกันหนักจังเลยนะคะ” หลินเช่อยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ “ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันไม่ได้แพ้นะเนี่ย ไม่อย่างนั้นคงถึงขั้นต้องถอดเสื้อผ้ากันเลยทีเดียว”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าแล้วมองหลินเช่อ “คราวหน้าอย่าอ้างมาเล่นเป็นอีกนะ เพราะเท่าที่ดูจากฝีมือการเล่นห่วยแตกของเธอเมื่อกี้น่ะ”


 


 


“อะไรกัน อะไรกัน ฉันเล่นดีออกจะตาย” หลินเช่อเถียงคอเป็นเอ็น “วันนี้ฉันแค่โชคไม่ดีเท่านั้นเองหรอกน่ะ”


 


 


“เปล่าเลย เธอไม่ได้ใช้สมองเล่นด้วยซ้ำ”


 


 


“แล้วทำไมฉันจะต้องใช้สมองเล่นไพ่ด้วยล่ะ”


 


 


“อย่ามาบอกนะว่าเธอไม่ได้คิดถึงไพ่ใบที่คนต่อไปมีหรือว่าตัวเองควรจะทิ้งไพ่อะไรเลยน่ะ นี่เธอเดาไพ่หรือเดาใจคนอื่นไม่เป็นเลยรึไงฮะ” กู้จิ้งเจ๋อแว้ดใส่


 


 


หลินเช่อโต้ว่า “ก็แล้วฉันจะไปหาทางตรัสรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกันล่ะคะ”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าอีก ตอนนี้เขารู้แล้วว่าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ “ด้วยสมองเม็ดถั่วอย่างเธอนี่ ต่อไปนี้ห้ามไปเล่นไพ่นกกระจอกแบบไม่คิดหน้าคิดหลังที่ไหนอีกนะ”


 


 


หลินเช่อชักมีน้ำโห “ฉันคิดว่าไพ่นกกระจอกนี่ก็เล่นกันสนุกๆ เพลินๆ เท่านั้นไม่ใช่เหรอคะ ทำไมจะต้องมาคิดคำนวณอะไรกันให้วุ่นวายซับซ้อนด้วยล่ะ ไม่อย่างงั้นก็หนักหัวเหมือนทำงานน่ะสิ ถ้าเล่นแล้วหนักหัวแล้วจะเล่นไปทำไมคะ งั้นคุณก็กลับไปทำงาน นับคะแนนเสียงซะสิ”


 


 


“…” คราวนี้กู้จิ้งเจ๋อนึกไม่ออกว่าจะเถียงยังไง


 


 


สมองของยัยผู้หญิงคนนี้มีแต่ตรรกะเพี้ยนๆ ทั้งนั้น


 


 


ที่สำคัญ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เธอก็สามารถทำให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่เธอพูดได้เสียด้วยสิ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคิดว่าเขาควรจะอยู่ห่างๆ หลินเช่อเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาน่าจะติดเชื้อความเพี้ยนนี้มาจากเธอด้วย


 


 


ไม่อย่างนั้นแล้ว ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าที่เธอพูดก็ถูกล่ะ 

 

 


ตอนที่ 181 จะมาคอยก่อกวนกันอยู่แบบนี้...

 

ไม่ช้าทั้งสองก็กลับมาที่ห้องนอน หลินเช่อมองหน้าชายหนุ่มและพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เซียวเซียวนั่นดูจะยังเด็กมากเลยนะคะ ฉันไม่คิดว่ามันจะเหมาะที่จะแนะนำเธอให้พี่ชายของคุณเลยค่ะ พวกเขาน่าจะอายุห่างกันอย่างน้อยๆ สิบปีได้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามีคนแนะนำผู้หญิงให้พี่ชายฉันรู้จักกี่คนแล้ว แล้วเขาก็จะปฏิเสธทุกครั้งไปนั่นแหละ”


 


 


“จริงหรือคะ ฉันเห็นว่าเขาก็ออกจะดีกับเซียวเซียว”


 


 


“พี่ชายก็เป็นแบบนี้แหละ เวลาที่เขาชอบหรือไม่ชอบใคร เขาไม่แสดงออกให้เห็นหรอก”


 


 


หลินเช่อบุ้ยปาก “ถ้างั้นคนที่แต่งงานกับเขาก็คงลำบากแย่เลยสิคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีอย่างเธอที่ได้แต่งงานกับสามีดีๆ อย่างฉันนี่”


 


 


“หือ นี่คุณจะชมตัวเองเกินไปหน่อยมั้ย!”


 


 


หลินเช่อรู้สึกว่าช่วงนี้กู้จิ้งเจ๋อออกจะชมตัวเองหนักข้อขึ้นทุกที


 


 


แต่การทำแบบนั้น ก็ทำให้เขาดูจะกลายเป็นคนธรรมดาที่ติดดินมากขึ้นกว่าเดิมด้วย


 


 


หลินเช่ออดคิดไม่ได้ว่า หลายครั้งที่เธอและเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง และรู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอกับเขาสองคนเท่านั้น ไม่มีทั้งโม่ฮุ่ยหลิงหรือใครอื่นอีก


 


 


แต่ถึงกระนั้น เมื่อเดินออกมานอกห้อง ความจริงก็วิ่งเข้าชนเธอเหมือนคลื่นสาดกระทบฝั่ง ทั้งเธอและเขาไม่ได้มีชีวิตแต่งงานอย่างคนปกติธรรมดาเลยสักนิด


 


 


เช้าวันต่อมา กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาในห้องและเห็นว่าหลินเช่อยังคงนอนหลับอยู่ เขาจึงปลุกเธอ “หลินเช่อ ได้เวลาตื่นแล้ว”


 


 


หลินเช่อพลิกตัวแล้วนอนต่อ


 


 


ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะเดินอ้อมเตียงไป “ถ้าเธอไม่ยอมตื่น ฉันจะดึงผ้าห่มออกละนะ”


 


 


“เอาไป เอาไปเลย ฉันไม่ได้ใส่เสื้อผ้านอน” เธอว่า


 


 


“ไม่ได้ใส่เสื้อผ้านอนเรอะ ดี ถ้างั้นฉันจะดึงผ้าห่มออกละนะ แล้วอย่ามาเสียใจล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก


 


 


“อา ฉันไม่เสียใจหรอกน่า ยังไงคุณก็เห็นฉันมาหมดทั้งตัวแล้ว”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูคนนอนอยู่อย่างระอา ทำไมถึงได้หน้าด้านหน้าทนอย่างนี้นะ


 


 


“เอ้า เร็วเข้า ลุกสิ อย่าให้ฉันต้องใช้กำลังนะ”


 


 


“ฉันไม่ลุก ฉันไม่ลุก” หลินเช่อไม่ยอมฟัง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาประชิดข้าง


 


 


หญิงสาวพลิกตัวหนีอีก คราวนี้เธอหันหลังให้เขา เป็นการยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ยอมตื่นนอน


 


 


ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปมองใบหน้าเรียวเล็กนั่น มือใหญ่เอื้อมไปบีบจมูก


 


 


หลินเช่อนิ่วหน้าแต่ยังไม่ยอมขยับ แล้วสีหน้าของเธอก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ จนกระทั่งศีรษะตกห้อยไปอีกฝั่งหนึ่ง


 


 


นี่เธอหมดสติไปแล้วหรือไง ชายหนุ่มรีบปล่อยมือทันที


 


 


เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนแผ่นหลัง สติสตังชายหนุ่มแทบไม่เหลือ


 


 


เขารีบเอามือไปจ่อที่ปลายจมูกเพื่อดูว่าเธอยังหายใจอยู่หรือเปล่า ชายหนุ่มตัวแข็ง


 


 


นี่เธอไม่หายใจจริงๆ หรือนี่


 


 


“หลินเช่อ หลินเช่อ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาเขย่าตัวเธอเบาๆ และคิดว่าจะทำการปั๊มหัวใจให้เธอ


 


 


เขาวางมือทั้งสองลงบนอกเธอแล้วจัดการปั๊มลงไปสองครั้ง ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ


 


 


“หลินเช่อ”


 


 


เสียงของเขาเริ่มแหบพร่า


 


 


แล้วทันใดนั้น หลินเช่อก็หัวเราะคิก ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมลืมตาขึ้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูหญิงสาวลุกขึ้นนั่งด้วยอาการช็อคสุดขีด


 


 


ดวงตาสดใสของเธอเต้นระริกเมื่อมองมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “คุณลืมไปแล้วหรือไงคะว่าฉันเป็นนักแสดงอาชีพน่ะ ฉันเคยเล่นเป็นศพได้เก่งมากเลยนะ ไม่ต้องขยับตัวได้ครั้งละนานๆ เลยละ”


 


 


“…”


 


 


ขณะที่หลินเช่อพูด คนตัวใหญ่กว่าก็กำลังโกรธจัด ชายหนุ่มหน้าตึงทีเดียวเมื่อถอยลงจากเตียง


 


 


หลินเช่อสังเกตเห็นสีหน้านั้นได้ นี่เขาโกรธเหรอ


 


 


เธอรีบกระโดดลงจากเตียง วิ่งตามเขาออกไปทันที “เกิดอะไรขึ้นคะ คุณโกรธเหรอ ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง คุณจะมาโกรธกันง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อผลักเธอออกไป “อย่ามาโดนตัวฉันนะ”


 


 


“คือ ถึงฉันจะหยุดหายใจไปแล้ว แต่หัวใจฉันยังเต้นอยู่นะ ตอนที่คุณเอามือมาทาบคุณไม่รู้สึกหรือไงล่ะ”


 


 


ชายหนุ่มหรี่ตามอง ความมึนตึงในแววตานั้นดูจะยิ่งลึกล้ำมากขึ้นทุกที


 


 


ตอนนั้นเขากังวลมากเสียจนไม่ทันนึกถึงความสมเหตุสมผลใดๆ เลย นี่เขาไม่ทันสังเกตการเต้นของหัวใจได้ยังไงกันนะ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้แต่เพียงว่า ในช่วงเวลานั้นเขารู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาคิดว่าเธอไม่หายใจและเกือบจะโทรขอความช่วยเหลือแล้ว


 


 


เพราะเหตุนี้เขาถึงยิ่งโกรธหนัก


 


 


เธอทำให้เขากลัว


 


 


“อา คุณจะมาจริงจังเรื่องนี้ไม่ได้นะคะ มันแค่เรื่องล้อกันเล่นเองน่ะ”


 


 


“พวกคนไม่มีหัวใจ!” เขาหมุนตัวและตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคือง


 


 


“คุณนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”


 


 


“อย่ามาเล่นตลกแบบนี้อีกนะ” เขาหันกลับมามองเธอด้วยดวงตาที่แฝงแววล้ำลึกเสียจนหลินเช่อสะดุดใจ


 


 


เมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังของชยหนุ่ม เธอก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับคำอย่างเงียบๆ เท่านั้น


 


 


เขาหมุนตัวและเดินออกจากห้องไป


 


 


เธอมองตามพลางเปรยขึ้นว่า “ให้ตายสิ ล้อเล่นแค่นี้เอง ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วยนะ”


 


 


“เธอคิดว่าคนอื่นเขาไร้หัวในแบบเธอแล้วก็ล้อเล่นเรื่องงี่เง่าแบบนี้ทุกวันหรือยังไงกัน”


 


 


“ก็ถ้าคนอื่นเป็นแบบคุณกันหมด ชีวิตก็น่าเบื่อตายสิคะ”


 


 


“เพราะว่าคนทั่วไปเขามีเป้าหมายของเขา แล้วก็พยายามที่จะทำงานให้ดี พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ได้งี่เง่าไร้ความคิดเหมือนเธอ”


 


 


“เฮอะ นี่เขาเรียกว่า ‘เวิร์ค ฮาร์ด เพลย์ ฮาร์ด’ ต่างหากละคะ ต่อให้เราสองคนตาย คุณก็ต้องตายก่อนฉันแน่นอน คุณน่ะงานยุ่งตลอดๆ แล้วก็ไม่เคยมีเวลาพักผ่อนหรือเล่นสนุกบ้างเลยคุณจะต้องตายเพราะทำงานมากไปแน่ๆ”


 


 


“อย่างน้อยฉันก็ได้ทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง”


 


 


สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกตกใจเมื่อได้ยินการทะเลาะทุ่มเถียงกันของคนทั้งคู่


 


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คุรชายรองผู้เข้มงวดเคร่งขรึมได้กลายเป็นคนพูดจากับคนอื่นได้ยาวๆ แบบนี้


 


 


ทั้งสองโต้เถียงกันเหมือนคู่แต่งงานทั่วๆ ไป ก่อนเดินเข้าไปยังห้องรับประทานอาหาร สาวใช้จะเข้ามาแจ้งกู้จิ้งเจ๋อว่า “คุณชายรองคะ คุณชายใหญ่กำลังจะกลับแล้ว อยากจะไปส่งหรือเปล่าคะ”


 


 


หลินเช่อมองกู้จิ้งเจ๋อเดินออกไป เธอจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันและกลับมารับประทานอาหาร


 


 


สาวใช้เห็นหลินเช่อนั่งอยู่ลำพังคนเดียว จึงยิ้มและพูดกับเธอว่า “เราไม่เคยเห็นคุณชายรองมีชีวิตชีวาแบบนี้มานานแล้วนะคะ คุณผู้หญิง ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณจะดีขึ้นมากเลยทีเดียว”


 


 


หลินเช่อถาม “จริงเหรอจ๊ะ ไม่มีทาง ฉันคิดว่าเขาก็เป็นคนแบบนี้มาตลอดนั่นแหละ”


 


 


“ไม่เลยค่ะ” สาวใช้ตอบ “ตั้งแต่คุณชายรองเข้ารับช่วงสืบทอดธุรกิจของครอบครัวตอนอายุสิบสี่ เขาก็ไม่เคยยิ้มแบบนี้อีกเลย”


 


 


“จริงหรือ ถ้างั้นตอนที่มีคุณหนูโม่อยู่ด้วยก็คงจะดีสำหรับเขาเหมือนกันสินะ”


 


 


“ไม่เลยค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายรองกับคุณหนูโม่ออกจะดูเป็นทางการซะมากกว่า เขาไม่เคยดูมีชีวิตชีวาเหมือนตอนอยู่กับคุณแบบนี้เลยค่ะ”


 


 


“ใช่ค่ะ เราก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน คุณชายรองกับคุณน่ะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก”


 


 


หลินเช่อได้ยินแล้วก็รู้สึกยินดียิ่ง


 


 


ลึกๆ ข้างใจ หลินเช่อคิดว่าการที่ใครต่อใครพากันพูดถึงสิ่งดีๆ ระหว่างเธอและกู้จิ้งเจ๋อแทนที่จะเป็นโม่ฮุ่ยหลิงนั้น เป็นเพราะว่าพวกเขาพูดต่อหน้าเธอ และเธอเองก็เป็นคุณผู้หญิงของพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดดีใจไม่ได้


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อจัดการธุระของเขาเป็นที่เรียบร้อย เขาก็มารับหลินเช่อและเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับ


 


 


หลินเช่อถามเขาว่า “นี่พี่ชายคุณขอให้คุณไปส่งเขาเหรอคะ จริงหรือนี่ พวกคุณสองคนอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน แต่นานๆ จะได้เจอกันทีแบบนี้หรือคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ที่เขาขอร้องแบบนั้นก็เพราะเขาคิดว่าเขากับครอบครัวของเซียวเซียวคงจะไม่ได้ลงเอยกันน่ะสิ”


 


 


“โอ้ ทำไมล่ะคะ เพราะว่าเธออายุน้อยเกินไปงั้นเหรอ อันที่จริงฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน พวกเขาไม่ค่อยเหมาะสมกันเท่าไหร่”


 


 


“พี่ชายรู้สึกว่าเธอยังเด็กเกินไป ไม่เหมาะกับตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งน่ะ”


 


 


“ก็คงงั้นแหละค่ะ…” หลินเช่อว่า “แต่ฉันคิดว่าถ้าพี่ชายใหญ่ได้เจอคนที่เขาชอบจริงๆ ละก็ เขาคงไม่สนเรื่องว่าเป็นผู้ใหญ่หรือไม่เป็นผู้ใหญ่หรอกค่ะ ฉันคิดว่าเป็นเพราะเธอไม่ใช่คนที่ใช่มากกว่า”


 


 


“อืม เธอนี่ไร้เดียงสาจริงนะ บางครั้งการแต่งงานมันก็ไม่เกี่ยวหรอกว่าเธอจะชอบคนคนนั้นหรือเปล่า”


 


 


หลินเช่อชะงัก เพราะเมื่อมาคิดดูดีๆ แล้ว เธอกับกู้จิ้งเจ๋อก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเลยทีเดียว


 


 


แล้วรถก็หยุดลงระหว่างทางกลับบ้าน เพราะกู้จิ้งเจ๋อต้องการเข้าไปทำธุระบางอย่างในห้างสรรพสินค้า 

 

 


ตอนที่ 182 ฉันจะไม่ทำให้เธอต้องเป็นห่...

 

หลินเช่อลงจากรถไปยืนอยู่ที่ริมถนน มองดูกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


ชายหนุ่มยืนอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ถือโทรศัพท์ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างล้วงกระเป๋า เขาดูเหมือนนายแบบบนหน้าปกนิตยสารไม่มีผิด ทั้งสูงสง่าและหล่อเหลา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขยับตัวสองสามก้าว ทำท่าจะเดินกลับมาหาเธอ หลินเช่อส่งยิ้มให้เขา 


 


 


แต่แล้วทันใดนั้น รถคันหนึ่งก็โผล่มาโดยไม่รู้ทิศทาง พุ่งตรงดิ่งเข้ามา 


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ หลบไป!” 


 


 


เขาเงยหน้าขึ้น หลินเช่อตกใจจนตัวแข็งทื่อ เธอเห็นรถคันนั้นพุ่งตรงเข้ามา และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ภาพของกู้จิ้งเจ๋อก็แทบจะรวมกันเป็นภาพเดียวกับด้านหลังของรถคันนั้น 


 


 


รถบรรทุกส่งขนมปังคันใหญ่แล่นเข้ามาบังสายตาทำให้มองไม่เห็นอะไรอีก หลินเช่อวิ่งตะบึงข้ามถนนไปราวกับคนบ้า 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนอนอยู่บนพื้นถนน ดูเหมือนจะหมดสติ 


 


 


น้ำตาของหลินเช่อไหลพรากอาบแก้มเมื่อเธอตรงรี่เข้าไปข้างตัวเขา 


 


 


เธอร่ำไห้พลางพยายามที่จะยกไหล่ของชายหนุ่มขึ้นและร้องเรียก “กู้จิ้งเจ๋อ กู้จิ้งเจ๋อ ตื่นสิ! ตื่นสิคะ!” 


 


 


น้ำตาเม็ดใหญ่ราวกับไข่มุก หยดลงบนแก้มของชายหนุ่ม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลืมตาขึ้นและพบกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตระหนกตกใจของหลินเช่อ 


 


 


ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่อยากจะแก้แค้นเธอ ด้วยการล้อเธอเล่นแบบเดียวกันกับที่เธอทำกับเขาเมื่อเช้านี้ 


 


 


แต่ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นกังวลมากขนาดนี้ 


 


 


จนเขาไม่อาจเสแสร้งที่จะแกล้งเธอต่อไปได้ 


 


 


เขามองหน้าเธอ และสวมกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน ใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบหลังเธออย่างปลอบประโลม “เอาละ เอาละ อย่าร้องไห้เลยนะ…” 


 


 


แต่น้ำตาของหลินเช่อยังไหลลงมาไม่ขาดสาย เหมือนจะหยุดไม่ได้ 


 


 


เธอมองเขาด้วยดวงตาเปียกรื้น ไม่สามารถระงับอารมณ์ทั้งหลายได้ 


 


 


ตอนนั้นเธอคิดว่าเขาตายไปแล้วเสียอีก 


 


 


ในหัวของเธอขาวโล่งไปหมดตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ 


 


 


ลึกลงไปข้างใน เธอนึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเธอจะทำอย่างไรถ้าเขาอยู่ใต้รถคันนั้นและไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกเลย 


 


 


เธอจึงกอดเขาแน่นและฝังหน้าลงไปในอ้อมแขนนั้น สูดเอากลิ่นตัวของเขา พยายามที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองลงทีละน้อย เขาไม่เป็นไร เขายังอยู่ตรงนี้ 


 


 


เธอยังไม่สูญเสียเขาไป 


 


 


เป็นครู่ใหญ่ทีเดียว ที่หลินเช่อยังนึกกลัวไม่หาย เธอมองกู้จิ้งเจ๋อแล้วเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าเขา เธอต้องการที่จะรู้ว่าคนตรงหน้านั้นเป็นความจริงหรือจินตนาการของเธอเองกันแน่ 


 


 


ในตอนแรกกู้จิ้งเจ๋อคิดว่าการเอาคืนครั้งนี้คงจะสาแก่ใจ แต่เมื่อได้เห็นหลินเช่อร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ เขาก็เริ่มนึกเสียใจขึ้นมา 


 


 


ถ้าเขารู้มาก่อน เขาคงจะไม่ทำให้เธอเป็นกังวลแบบนี้ 


 


 


ถ้าเขารู้มาก่อน เขาจะยอมปล่อยวางเรื่องที่เธอแกล้งเขาเมื่อเช้า และไม่คิดที่จะเอาคืนเลย 


 


 


“ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไรจริงๆ แตะตัวฉันสิ ฉันปกติดี รถนั่นแค่โฉบผ่านหน้าฉันไปเท่านั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยซักนิดเดียว” 


 


 


เขาค่อยๆ จับมือเธอแล้วยกขึ้นมาแตะหน้า 


 


 


เมื่อรู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ที่สั่นระริกนั้น ชายหนุ่มก็ต้องตำหนิตัวเองอีกรอบ 


 


 


“เอาละ เอาละ อย่าร้องอีกเลยนะ” 


 


 


เธอทาบมือลงบนหน้าเขา สัมผัสเขาอย่างเงียบเชียบ ซึ่งทำให้หัวใจเธอเริ่มสงบลง 


 


 


ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาบนพวงแก้มให้ด้วยความสงสาร “ฉันขอโทษ” 


 


 


หลินเช่อส่ายหน้า แค่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เธอก็ไม่สนใจอะไรอื่นอีกแล้ว 


 


 


แม้ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ แต่คนขับรถคันนั้นก็ถูกจับในเวลาอันรวดเร็ว 


 


 


ทางครอบครัวตระกูลกู้เป็นผู้ได้รับแจ้งข่าวนี้ก่อนใคร และพากู้จิ้งเจ๋อมายังโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการตรวจเช็กโดยละเอียดก่อนจะปล่อยตัวกลับบ้าน 


 


 


มู่หว่านฉิงรีบตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาล เมื่อได้เห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอะไร เธอก็ตำหนิว่า “แม่บอกแล้วไงว่าให้เอาคนมาด้วยหลายๆ คน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะทำยังไง” 


 


 


ใบหน้าของหลินเช่อนั้นแดงเรื่อจากการร้องไห้ มู่หว่านฉิงปลอบโยนเธออย่างเห็นใจ “เอาละ ไม่ต้องกลัวแล้วนะ” 


 


 


ปลอบหลินเช่อเสร็จ หล่อนก็หันไปอาละวาดลูกชายต่อ “เห็นมั้ย ว่าลูกทำให้หลินเช่อกลัวแทบแย่น่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหญิงสาวก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก แต่ถึงกระนั้น หัวใจเขาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ 


 


 


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เขาแค่อยากจะแกล้งหลินเช่อด้วยการลงไปนอนบนพื้นถนนเท่านั้น 


 


 


เมื่อทุกคนออกมาจากโรงพยาบาล มู่หว่านฉิงก็ยืนกรานให้เขากลับไปพักที่บ้านของเธอก่อน 


 


 


ตอนนี้กู้จิ้งเจ๋อเริ่มนึกเสียใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว เขาไม่คิดเลยว่าการแกล้งทำเป็นเกิดอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว จะทำให้เขาต้องยกเลิกงานทั้งหมดในวันนี้ และเขาควรที่จะได้กลับไปพักอย่างสบายที่บ้านของตัวเอง 


 


 


หลินเช่อตามมาด้วยเพื่อช่วยดูแลกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


เมื่อมู่หว่านฉิงเห็นท่าทางของหลินเช่อดูเบื่อๆ เธอจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ถ้าอยากจะไปเล่นที่ไหนก็ไปได้นะจ๊ะ ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่หรอก” 


 


 


หลินเช่อรีบตอบ “โอ้ ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่ได้มีอะไรต้องทำ” 


 


 


“ไหนบอกฉันหน่อยสิ ปกติแล้วเธอชอบทำอะไรจ๊ะ ฉันไม่ค่อยจะรู้แล้วละว่าหนุ่มสาวยุคนี้เขาชอบทำอะไรกัน” 


 


 


หลินเช่อตอบอายๆ “ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนักหรอกค่ะ” 


 


 


ทุกอย่างที่เธอทำไม่ใช่เรื่องที่จะอวดใครได้เลยซักนิด 


 


 


หลินเช่อนึกสงสัยว่ามู่หว่านฉิงจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้การอบรมหรือเปล่านะ 


 


 


“นอกจากทำงานแล้ว หนูก็เล่นอินเทอร์เน็ต ไปช้อปปิ้ง หาอะไรกิน อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ” 


 


 


“โอ้ ช้อปปิ้งเหรอจ๊ะ มีที่ช้อปปิ้งดีๆ ที่ไหนบ้างเหรอ” 


 


 


หลินเช่อตอบว่า “คุณแม่คะ ถึงแม้ว่าทางตระกูลกู้จะมีแทบทุกอย่างแล้ว แต่ก็ยังมีอย่างอื่นที่น่าสนใจนอกจากการซื้อของอีกนะคะ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้า ของใช้จำเป็นหรือว่าอาหาร การออกไปซื้อของอาจจะเป็นเรื่องไม่สะดวกนัก แต่การได้ออกไปข้างนอก มองดูข้าวของต่างๆ และเลือกเอาสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกพอใจได้จริงๆ โดยเฉพาะเมื่อมีของให้เลือกมากมายเต็มไปหมดนี่ มันเป็นเรื่องสนุกจริงๆ นะคะเวลาที่เราได้เลือกอะไรให้ตัวเองน่ะ” 


 


 


มู่หว่านฉิงว่า “ตัวฉันเองไม่เคยออกไปช้อปปิ้งเองมาก่อนเลยจ้ะ” 


 


 


“จริงหรือคะ ก็เพราะว่าบ้านหลังนี้มีทุกอย่างพร้อมสรรพหมดแล้ว แต่เวลาที่เราต้องการจะซื้ออะไรซักอย่าง เราจะออกไปช้อปปิ้งด้วยตัวเองค่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะเคยลำบากยากจนมาก่อน แล้วก็ไม่ได้มีสาวใช้เหมือนที่บ้านนี้ แต่คนทั่วๆ ไปก็มักจะออกไปช้อปปิ้งกันเป็นประจำนะคะ” 


 


 


เมื่อผู้เป็นแม่สามีได้ยินเช่นนั้นก็ดวงตาเป็นประกาย “ทำไมเธอไม่พาฉันออกไปช้อปปิ้งบ้างล่ะจ๊ะ” 


 


 


“หือ” 


 


 


มู่หว่านฉิงว่า “ฉันไม่เคยได้ออกไปซื้อของมาก่อนเลยจ้ะ หลินเช่อ พาฉันไปหน่อยสิ ที่ไหนก็ได้” 


 


 


หลินเช่อยังคงไม่แน่ใจ “เราออกไปได้หรือคะ” 


 


 


“ได้สิจ๊ะ!” 


 


 


ด้วยเหตุนี้ อีกชั่วโมงให้หลัง หลินเช่อก็พามู่หว่านฉิงออกไปยังช้อปปิ้งมอลล์ในเขตบี 


 


 


มู่หว่านฉิงไม่ได้ออกมาช้อปปิ้งนานมากแล้วจริงๆ เธอมองเห็นทุกอย่างเป็นของแปลกใหม่น่าตื่นใจไปเสียทั้งหมด “ห้างสรรพสินค้าเดี๋ยวนี้ทำออกมาสวยจังนะจ๊ะ ฉันจำได้ว่าสมัยยังเป็นเด็ก ฉันก็ชอบมาเดินสำรวจห้างเหมือนกัน แต่หลังจากนั้นทุกอย่างถูกทางครอบครัวเตรียมให้ ฉันก็เลยไม่มีอะไรที่ตัวเองอยากจะซื้อ ยิ่งพอแก่ก็ยิ่งไม่ค่อยได้ไปไหนอีก” 


 


 


หลินเช่อหัวเราะ “คุณแม่คะ คุณแม่ยังไม่แก่เลยซักนิด จะมาบ่นว่าแก่แล้วได้ยังไงกันคะ ไม่เห็นเหรอคะ คนพวกนั้นจะต้องคิดว่าฉันมาช้อปปิ้งกับพี่สาวแน่ๆ” 


 


 


“ฮ่าๆๆๆ เธอนี่รู้วิธีทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ นะ”  

 

 


ตอนที่ 183 ศัตรูทางคับแคบ

 

หลินเช่อมองดูมู่หว่านฉิงและพูดขึ้นว่า “คุณแม่ขา หนูพูดจริงๆ นะคะ ตอนที่เจอคุณแม่ครั้งแรกน่ะ หนูไม่คิดเลยว่าคุณแม่จะเป็นแม่ของกู้จิ้งเจ๋อ คุณแม่ดูเหมือนคุณนายอายุซักสามสิบเท่านั้นเอง” 


 


 


“โอ๊ยตายจริง ถ้าฉันอายุแค่นั้นจริงๆ ก็ดีน่ะสิจ๊ะ” 


 


 


“คุณแม่ก็ยังดูเหมือนอายุแค่นั้นจริงๆ นะคะ ดูหน้าคุณแม่สิไม่มีริ้วรอยเลยซักนิด ถ้าหนูแก่แล้วดูเด็กได้เท่าซักครึ่งหนึ่งของคุณแม่ก็ดีใจจะแย่แล้วละค่ะ” 


 


 


“เธอเองก็จะต้องดูอ่อนเยาว์แน่ๆ จ้ะ หลินเช่อ ดูเธอสิสวยออกอย่างนี้” มู่หว่านฉิงว่า 


 


 


หลินเช่อบอก “หนูไม่อยากจะคิดถึงอย่างอื่นแล้วละค่ะ หนูว่าคนเราถ้าแก่ตัวลงแล้วจะมีริ้วรอยบ้างก็คงจะไม่เป็นไร หนูแค่หวังว่าต่อให้แก่จนหน้าเ**่ยวแล้วก็ขอให้ยังดูสวยอยู่เท่านั้นก็ดี แต่แน่ละว่าถ้าหน้าเนียนใสไร้ริ้วรอยเหมือนกับคุณแม่แบบนี้ย่อมจะดีที่สุด จริงมั้ยล่ะคะ” 


 


 


มู่หว่านฉิงหัวเราะและบอกว่า “เข้าใจคิดนะจ๊ะ ยังไงซะริ้วรอยเ**่ยวย่นก็จะต้องมาในไม่ช้าก็เร็ว เธออย่ากลัวไปเลยจ้ะ” 


 


 


ถึงจะออกปากเช่นนั้น แต่มู่หว่านฉิงก็อดภูมิใจกับใบหน้าของตัวเองไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่จะไม่รักสวยรักงาม “ฉันคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการมีทัศนคติที่ดี ถ้าไม่มีพวกลูกชายเจ้าปัญหาทั้งหลายที่ทำให้ต้องคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อยแบบนี้ ฉันคงจะดูเด็กกว่านี้มากเลยละจ้ะ แต่ถึงจะดูเด็กได้เพียงเท่านี้โดยที่มีพวกเขาอยู่ใกล้ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเหมือนกันนั่นแหละ ใช่มั้ยล่ะจ๊ะ” 


 


 


“จริงค่ะ พวกเขานี่ตัวก่อเรื่องกันทั้งนั้นเลย” 


 


 


ทั้งสองเดินคุยกันไปพลางชี้ชวนดูข้าวของต่างๆ ที่อยากได้ไปพลาง 


 


 


มู่หว่านฉิงรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน และคิดว่ากิจกรรมนี้ดูจะเป็นสิ่งดีต่อสุขภาพมากกว่าการอยู่กับบ้านเฉยๆ 


 


 


ขณะที่กำลังเดินดูของกันอยู่นั้นเอง เสียงพูดคุยจากคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกลนัก 


 


 


หลินลี่มาช้อปปิ้งกับเพื่อนๆ นั่นเอง 


 


 


ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้น่าจะเป็นห้างที่มีสินค้าแบรนด์เนมมากกว่าห้างไหนๆ ในเขตบีเลยก็ว่าได้ หลินลี่และเพื่อนจึงเลือกที่จะมาเดินซื้อของที่นี่ พวกเธอซื้อสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงมากมายและเดินถือถุงช้อปปิ้งไปทั่วห้างอย่างภาคภูมิใจ และระหว่างที่เดินช้อปปิ้งนั้น บรรดาผองเพื่อนก็พากันแซ่ซ้องหลินลี่ไม่ขาดปากว่า “เธอนี่ช้อปโหดมากเป็นบ้า ซื้อเอาซื้อเอาโดยที่ไม่ต้องพลิกดูป้ายราคาเลย แบบนี้เขาไม่เรียกช้อปปิ้งนะจ๊ะเธอ เขาเรียกมากวาดเรียบร้านจ้ะ” 


 


 


หลินลี่หัวเราะอย่างพอใจและบอกว่า “แหม การช้อปปิ้งคือการผ่อนคลายนะจ๊ะ จะมาคิดคำนวณอะไรกันมากมายให้ปวดหัวล่ะ” 


 


 


“ก็เธอเป็นว่าที่คุณนายตระกูลฉินนี่จ๊ะ ก็ผ่อนคลายแบบนี้ได้น่ะสิ” 


 


 


ขณะที่หัวร่อต่อกระซิกกันนั้นเอง หลินลี่ก็ชะงักฝีเท้า 


 


 


เธอคิดว่าเธอจำคนผิด แต่แล้วก็กลับไม่ใช่ 


 


 


เพราะผู้หญิงที่กำลังเดินตรงมาทางเธอพร้อมกับหญิงสูงวัยอีกคนหนึ่งนั้น เป็นหลินเช่อไม่ผิดแน่ 


 


 


เธอไม่คิดเลยว่าวันนี้จะเป็นที่ศัตรูต้องมาเจอกันบนเส้นทางที่คับแคบแบบนี้ 


 


 


บรรดาเพื่อนๆ ของเธอก็หันมาเห็นหลินเช่อเข้าเช่นกัน 


 


 


แน่นอนว่าทุกคนต่างก็รู้จักหลินเช่อดี พวกเธอคุ้นเคยกับนอกสาวนอกกฎหมายของหลินลี่ผู้นี้ และเคยช่วยกันรุมรังแกหล่อนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนด้วย 


 


 


แต่ตอนนี้ หลินเช่อกลายเป็นหนึ่งในดาราหน้าใหม่ที่กำลังโด่งดังและเป็นที่กล่าวขวัญอยู่ในอินเทอร์เน็ตเสียแล้ว 


 


 


ส่วนหลินลี่เองที่แม้ว่าจะเข้าวงการมาก่อน แต่กลับมีชื่อเสียงไม่มากเท่าน้องสาว 


 


 


“อ๊ะ นั่นหลินเช่อไม่ใช่เหรอ” เพื่อนคนหนึ่งอุทานด้วยความประหลาดใจเมื่อเหลียวไปมองหลินเช่อด้วยสีหน้ารังเกียจ 


 


 


ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลินเช่อและตระกูลกู้ เพราะหลินลี่ไม่เคยปริปากบอกใคร ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะหันไปชื่นชมหลินเช่อแทนตัวเธอเอง หลินลี่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังค่อยๆ พ่ายแพ้ต่อหลินเช่อมากขึ้นทุกที 


 


 


ด้วยเหตุนี้บรรดาเพื่อนๆ ที่เห็นหลินเช่อจึงพากันล้อเลียนอย่างสนุกปากว่า “นี่แม่นั่นมีปัญญามาซื้อของแบรนด์เนมพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันยะเนี่ย” 


 


 


ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง หลินเช่อก็หันมาเห็นหลินลี่และเพื่อนสาวที่แต่งตัวอย่างสวยงามหรูหราทั้งสามเข้าพอดีเช่นกัน 


 


 


“หลินเช่อ” เพื่อนคนหนึ่งของหลินลี่ฉีกยิ้มและส่งเสียงเรียกออกไป 


 


 


มู่หว่านฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินจึงถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “นั่นใครกันน่ะ” 


 


 


หลินเช่อตอบเพียงสั้นๆ ว่า “คนที่ฉันเคยรู้จักสมัยเด็กๆ น่ะค่ะ” 


 


 


“โอ้” มู่หว่านฉิงอุทาน 


 


 


หญิงสาวทั้งกลุ่มพากันเดินกรูเข้ามาหาอย่างกระตือรือร้น คนหนึ่งถามหลินเช่อว่า “เป็นไงมาไงถึงมาถึงนี่ได้ล่ะจ๊ะ” 


 


 


อีกคนหนึ่งเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงดูแคลนว่า “ตายจริงเธอนี่ มาพูดจากับเขาเหมือนเป็นหลินเช่อคนเก่าได้ยังไงกันจ๊ะ ตอนนี้เขาเป็นดาราแล้วนะ” 


 


 


“เฮอะ! เป็นดาราแล้วยังไงล่ะ กะไอ้ความเป็นดารากระจอกๆ นี่มันทำให้เธอมีปัญญาซื้ออะไรที่นี่กับเขาได้ด้วยหรือยังไง หลินเช่อ ฉันรู้นะว่าดาราอย่างเธอน่ะชอบถูกถ่ายรูปในสถานที่หรูๆ ดูดี เธอคงชอบให้ใครต่อใครเห็นว่าเธอใช้ชีวิตหรูเริ่ดสินะ แต่ยังไงก็อย่าถึงขนาดทำหน้าใหญ่ใจโตซื้อของแพงๆ ด้วยเงินทองที่หามาอย่างลำบากยากเย็นของตัวเองเลยนะจ๊ะ” 


 


 


หญิงสาวกลุ่มนี้พูดจาดูถูกหลินเช่อมานับตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนหญิงสาวไม่คิดจะตอบโต้อะไร จนกระทั่งหลินลี่เดินตามหลังมาร่วมสมทบ 


 


 


หลินลี่ชอบที่จะได้เห็นหลินเช่อถูกรุมรังแก และครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับการกระทำของเพื่อนและยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยทักว่า “หลินเช่อ ทำไมช่วงนี้ไม่กลับบ้านบ้างเลยล่ะ” 


 


 


ก่อนจะมองเลยไปยังสตรีสูงวัยที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาว 


 


 


มู่หว่านฉิงดูเหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป เสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่ใช่ของมียี่ห้อ ทั้งรูปร่างหน้าตาก็ยากจะคาดเดาอายุ ท่าทีของเธอจึงดูเหมือนคุณแม่ทั่วๆ ไปในชุดเดรสสีม่วงตัวยาวและรองเท้าส้นเตี้ย ไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาในเครื่องแต่งกายเหล่านั้น 


 


 


หนำซ้ำเธอยังเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยออกไปไหน และไม่เคยที่จะปรากฏตัวต่อสื่อเลยแม้สักครั้ง ด้วยเหตุนี้หลินลี่จึงไม่รู้ว่าสตรีสูงวัยตรงนี้ผู้นี้เป็นใคร เมื่อเห็นว่าหล่อนเอาแต่มองหลินเช่อ หลินลี่จึงคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นลูกจ้างหรือพนักงานที่หลินเช่อพามาด้วย หรืออาจจะเป็นพี่เลี้ยงของหล่อนกระมัง 


 


 


เมื่อปรายตามองเพียงเล็กน้อย หลินลี่ก็หันกลับไปเล่นงานผู้เป็นน้องสาวต่อ 


 


 


หลินเช่อพูดขึ้นว่า “ที่บ้านก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าแต่หลินอวี่โอเคดีหรือเปล่า ตั้งแต่กลับไปท่าทางเธอดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เลย” หลินเช่อพูดถึงหลินอวี่ขึ้นเพื่อที่จะเตือนพี่สาวว่า ให้ระมัดระวังคำพูด อย่าได้พลั้งเผลอไปล่วงเกินใครเข้าอีก 


 


 


เมื่อชื่อของหลินอวี่ถูกเอ่ยขึ้นมา อารมณ์เบิกบานของหลินลี่ก็ปะทุเป็นฟืนไฟ 


 


 


นังหลินเช่อนี่จะอวดดีเกินไปเสียแล้ว 


 


 


“ไม่รู้หรอกเหรอว่าหลินอวี่ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ แต่ฉันเห็นเธอออกข่าวทีวีอยู่บ่อยๆ นี่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่เลยนะ เธออาจจะยอมทำเรื่องเสียๆ หายๆ แลกกับการได้เป็นข่าว แต่ถึงยังไงเธอก็ยังเป็นคนตระกูลหลินอยู่นะ ถ้าเป็นแบบนี้คนเขาจะมองครอบครัวเรายังไง” 


 


 


หลินเช่อสวนกลับทันที “ไม่มีใครเขาคิดว่าฉันเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลินหรอกค่ะ” 


 


 


หลินลี่ทำเสียงหยันๆ “ถึงยังไงในอนาคตก็จะต้องมีคนที่ชอบขุดคุ้ยเรื่องแบบนี้ จะเป็นคนดังมันก็มีตั้งหลายวิธี เธอจะช่วยเลือกวิธีที่มันไม่เปลืองตัวไม่ได้หรือไงนะ” 


 


 


เพื่อนของหลินลี่ที่ยืนฟังอยู่ก็สอดเข้ามา “อา หลินลี่ นี่เขาไม่เหมือนเธอนี่จ๊ะ บางคนก็ร่ำรวยพอที่จะสนับสนุนตัวเอง แต่บางคนเขายากจนข้นแค้นออกจะตาย แต่พอเข้าวงการมาแล้วเราก็ไม่รู้หรอกจ้ะว่าใครเป็นใคร บางคนก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มีชื่อเสียง ว่าแต่ หลินเช่อจ๊ะ ฉันได้ข่าวมาว่าคนแบบเธอนี่ยอมขึ้นเตียงกับใครก็ได้เพื่อให้ได้บทมาแสดงไม่ใช่เหรอ เธอเองก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเอาไว้ดูแลตัวเอง แล้วนี่เธอต้องนอนกับพวกตาลุงแก่ๆ หรืออะไรแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ จะได้พอประคองตัวเองอยู่ในวงการนี้ได้น่ะ” 


 


 


มู่หว่านฉิงไม่เคยพบเจอใครที่พูดเรื่องสกปรกบัดสีแบบนี้มาก่อน ขณะที่ยืนฟังอยู่นั้น หญิงสูงวัยจึงขัดขึ้นด้วยเสียงหัวเราะว่า “นี่พวกเธอพูดจาไร้สาระอะไรกันจ๊ะนี่ เช่อน้อยของเราน่ะทั้งสวยทั้งมีความสามารถ เขาไม่จำเป็นต้องใช้ทางลัดสกปรกอะไรพวกนั้นเลยซักนิด แล้วก็ไม่จำเป็นต้องขอเงินสงเคราะห์จากใครด้วย เขาทำทุกอย่างด้วยความสามารถของตัวเอง” 


 


 


“ต๊าย แล้วนี่ป้าเป็นใครมาจากไหนกันยะ” หญิงสาวคนหนึ่งของกลุ่มเมื่อได้ยินหญิงสูงวัยกล้าพูดจายอกย้อนกลับ ก็ชักจะอารมณ์เสีย “หลินเช่อ เธอไม่ได้เป็นดาราดังอะไรทั้งนั้น จะต้องมาจ้างผู้คนแบบนี้ไว้ทำไมกัน หรือว่านี่เป็นทั้งผู้ช่วยและยัยป้าพี่เลี้ยงแบบทูอินวันกันจ๊ะนี่”  

 

 


ตอนที่ 184 ยัยแก่น่ารังเกียจนี่เป็นใค...

 

หลินเช่อได้ยินเข้าและคิดว่าเพื่อนสาวของหลินลี่ดูท่าจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว เธอรีบหันมาหามู่หว่านฉิง และได้เห็นว่าหล่อนยังคงยิ้มเย็น โดยไม่มีทีท่าโกรธขึ้งใดๆ 


 


 


แต่ถึงกระนั้น ดวงตาคมปลาบก็ซ่อนแววเย็นยะเยือกแบบเดียวกันกับกู้จิ้งเจ๋อไว้ไม่ผิดเพี้ยน 


 


 


หลินเช่ออดคิดไม่ได้ว่า นี่สินะคือคนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี มู่หว่านฉิงแม้จะอยู่ในสังคมชั้นสูง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีถือดีหรือทะนงตนอย่างผู้หญิงทั่วไปที่มักจะเกรี้ยวกราดโกรธเคืองด้วยถ้อยคำเพียงไม่กี่คำที่ได้ยิน เธอยังคงสงบนิ่งวางเฉยใส่บรรดาหญิงสาวแต่งกายดีที่ยืนอยู่ตรงหน้าและหัวเราะเบาๆ 


 


 


หลินเช่อกวาดตามองเพื่อนๆ ของหลินลี่ที่ยืนอยู่ต่อหน้ามู่หว่านฉิง ถ้าพวกหล่อนจะดูแคลนเธอก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก แต่บัดนี้ พวกหล่อนกำลังดูถูกคนที่ยืนอยู่ข้างตัวเธอ นั่นทำให้หลินเช่อโกรธเสียยิ่งกว่าเป็นฝ่ายโดนเองเสียอีก 


 


 


เธอโดนคนเหล่านี้รุมรังแกมาหลายครั้งจนชาชิน และเลิกขุ่นเคืองใจเสียแล้ว 


 


 


หลินเช่อเดินเข้าไปขวางตรงกลางระหว่างมู่หว่านฉิงและกลุ่มหญิงสาว “ขอความกรุณาช่วยเคารพกันด้วยเถอะ พวกเธอจะดูถูกฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าไปเอาคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอดูถูกฉัน เพราะฉะนั้นอยากจะว่าอะไรก็ลงมาที่ฉันให้เต็มที่ได้เลย” 


 


 


หญิงสาวคนหนึ่งทำเสียงฟึดฟัดและหันมามองหน้าหลินเช่อ “หมายความว่ายังไงที่ว่าพวกเราดูถูกเธอน่ะ เราไม่แม้แต่จะปรายตาดูเธอด้วยซ้ำไปย่ะ อย่ามาทำเหมือนว่าพวกเราสนุกที่ได้แกล้งเธอหน่อยเลย” 


 


 


“จริงด้วย หน้าเธอเราก็ยังไม่อยากจะมอง ถ้าเธอไม่มาทำเป็นวางท่ากรีดกรายหรูหราแบบนี้อยู่ที่นี่ ใครจะไปอยากสนใจเธอกัน” 


 


 


“พวกเราก็แค่กลัวว่าเธอจะไม่มีปัญญาซื้อของที่นี่ ถึงแม้ว่าจะเดินขาขวิดจนรอบห้างแล้วก็เถอะ” 


 


 


“ใช่ๆ อย่าเข้าไปหยิบจับอะไรในร้านเชียวนะ ไม่งั้นคนอื่นจะมาซื้อของที่เธอทำสกปรกพวกนั้นต่อได้ยังไงล่ะ” 


 


 


“จะว่าไป ห้างหรูๆ แบบนี้ ไม่ควรที่จะให้พวกยาจกอย่างเธอเข้ามาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำนะ จะยอมให้ทุกคนเข้ามาเดินได้ทำไมก็ไม่รู้ ถึงยังไงคนพวกนี้ก็ไม่มีปัญญาจะซื้ออะไรแต่กลับเที่ยวหยิบเที่ยวจับจนทั่วไปหมด ซกมกสิ้นดี” 


 


 


หลินเช่อได้ยินบรรดาผองเพื่อนของพี่สาวผลัดกันพูดแทบไม่เว้นระยะ ก็ได้แต่ยิ้มเย็นกลับไป 


 


 


แต่มู่หว่านฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ และได้เป็นประจักษ์พยานกับทุกคำพูด กลับหันมาหาหลินเช่อและถามว่า “เช่อน้อย เธอรู้จักยัยหมาบ้าพวกนี้ได้ยังไงกันจ๊ะนี่ ให้ตายสิ ชีวิตเธอคงจะลำบากมานานเลยสินะจ๊ะ” 


 


 


หลินเช่อตอบ “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เพราะว่าพวกเขาเป็นหมาบ้าแบบนี้ ก็เลยชอบไล่งับคนไปทั่ว อันที่จริงฉันก็ไม่ได้รู้จักมักจี่พวกเขาหรอกค่ะ แต่คุณก็คงเห็นแล้ว ว่าพวกเขาชอบวิ่งไล่กัดคนไปทั่วอย่างนี้เอง ฉันคิดว่ามันคงเป็นธรรมชาติของหมาละมังคะ เลยอดไม่ได้น่ะ” 


 


 


“นี่แก…” หลินลี่โกรธจนหน้าเขียว 


 


 


มู่หว่านฉิงพูดหน้าตายต่อไปว่า “โอ้ เธอพูดถูกจริงๆ เสียด้วยสิ เพราะแบบนี้ฉันก็เลยพยายามจะอยู่ห่างๆ พวกหมาบ้าตามถนนเอาไว้ เอาละเช่อน้อย ไปกันเถอะจ้ะ” 


 


 


หลินเช่อพยักหน้ารับ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ขยับตัว หลินลี่ก็กางแขนขวางทางเอาไว้เสียก่อน หล่อนถามหลินเช่อว่า “หลินเช่อ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง นี่เธอเรียกพี่สาวตัวเองว่าหมาบ้างั้นเหรอ อย่างน้อยก็น่าจะมีมารยาทบ้างนะ” 


 


 


มู่หว่านฉิงตอบแทนว่า “เราพูดกับมนุษย์ด้วยภาษามนุษย์ และพูดกับหมาด้วยภาษาหมาจ้ะ หล่อน้อย อย่ากลัวไปเลยนะ ฉันอาจจะแก่ แต่ฉันไม่เคยพบเคยเห็นเด็กสาวที่มารยาททรามขนาดนี้มาก่อน สงสัยจังว่าเด็กสาวๆ สมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมดนะ” 


 


 


เมื่อบรรดาผองเพื่อนได้ยินก็พากันเป็นฟืนเป็นไฟตาม 


 


 


หลินลี่มองหน้ามู่หว่านฉิงและยิ้มเยาะว่า “นี่ยัยป้า ถึงจะถูกจ้างให้มาทำงานให้แต่ก็ไม่ต้องพยายามพูดแทนหลินเช่อนี่ก็ได้นะ ป้าไม่รู้แน่ว่าใครผิดใครถูก แล้วพวกเราก็ไม่ใช่คนที่ป้าจะมาพูดจาล่วงเกินได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นอย่าได้ไปสาระแนพูดจาแบบนี้กับใครถ้าไม่รู้จักเขา ป้าคิดว่านังหลินเช่อนี่เป็นดาราใหญ่แล้วก็เก่งกาจสามารถซะเต็มประดาอย่างงั้นเรอะ ฉันจะบอกอะไรให้ มันยังมีคนที่อยู่เหนือกว่าพวกดารานี่ชนิดที่คนอย่างป้าไม่มีวันเข้าใจเลยละ แต่ฉันจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน ว่าอย่าสะเออะมาปากดีกับพวกฉันแทนคนที่มันไม่ได้มีค่าพอแบบนี้ พวกฉันไม่ได้จะหาเรื่องป้า แต่ว่านังหลินเช่อนี่อยากทำตัวอวดดีเกินหน้าเกินตา เพราะฉะนั้น ในฐานะพี่สาว ฉันก็เลยต้องอบรมสั่งสอนแทนแม่ของหล่อนซะหน่อย ป้าไม่เกี่ยว” 


 


 


มู่หว่านฉิงหัวเราะลั่น เธอมองดูหลินลี่ “อย่ามาเรียกฉันป้าเลยจ้ะ ฉันไม่มีหลานสาวไร้มารยาทแบบเธอ โชคดีเหลือเกินที่ไม่มี ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ยอมให้โตขึ้นมาทำร้ายคนอื่นแบบนี้แน่ๆ คงจะเอาขี้เถ้ายัดปากเสียตั้งแต่ยังแบเบาะแล้วละ” 


 


 


หลินลี่มองมู่หว่านฉิงอย่างตกตะลึง “ยัยแก่นี่ ฉันอุตส่าห์ยอมให้เพราะเห็นว่าอายุปูนนี้แล้วหรอกนะ ถึงได้อยากจะช่วยสงเคราะห์ด้วยการบอกดีๆ แต่ในเมื่อพูดจาไม่รู้เรื่อง งั้นก็อย่ามาว่าเราใจร้ายก็แล้วกัน” 


 


 


หลินเชอหันไปมองหลินลี่ “ไม่ต้องมาคอยอบรมฉันแทนแม่หรอกค่ะ แม่ฉันตายไปตั้งหลายปีแล้ว แต่ฉันยังจำคำสอนเรื่องการรู้จักตัวเองที่แม่บอกเอาไว้ได้ดี แล้วก็ยังจำได้ด้วยว่าแม่บอกว่า คนเราต้องรู้จักขอบเขตของตัวเองซะก่อน คุณไม่มีสิทธิ์ทำตัวเป็นแม่ฉันและมาสั่งสอนฉันแบบนี้ คุณทำตัวไม่ให้เกียรติคนตายเลยซักนิด คนไม่มีแม่คอยอบรบสั่งสอนอย่างฉันยังดีกว่าคุณเป็นร้อยเท่า” 


 


 


“นี่แก…” 


 


 


มู่หว่านฉิงยังช่วยเสริมอีกว่า “จริงจ้ะ ฉันละอยากรู้จริงๆ ว่าพ่อแม่แบบไหนกันที่จะเลี้ยงลูกให้ออกมาเป็นแบบเธอนี่ได้ เช่อน้อยจ๊ะ ฉันดีใจจังที่เธอไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาโดยคนแบบนั้น ถึงได้กลายเป็นเด็กดีแบบนี้” 


 


 


“แก…อิแก่นี่ ไม่รู้เหนือรู้ใต้เสียแล้ว คนอย่างพวกฉันจะโตมายังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแก อิป้าสลัมชั้นต่ำ สกปรกเหม็นโฉ่ นี่ห้างเขาปล่อยให้แกเข้ามาได้ยังไงนะ คนแก่น่ารังเกียจอย่างแกต้องเขามาขโมยของแน่ๆ” 


 


 


มู่หว่านฉิงเลิกคิ้ว “ว่าไงนะ” 


 


 


หญิงสาวอีกสองคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “นี่รปภ.อยู่ไหนนะ ทำไมถึงไม่มาตรวจดูว่าสองคนนี้ขโมยอะไรมาหรือเปล่า ถึงยังไงชาตินี้พวกแกก็ไม่มีปัญญาซื้ออะไรที่นี่ได้อยู่แล้วนี่ ใครจะไปรู้ว่าพวกแกตั้งใจเข้ามาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์อะไร” 


 


 


“แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะจ๊ะ เรียกรปภ.มาเลยซี่” 


 


 


“รปภ. มีคนขโมยของแน่ะ พวกแกไม่มาดูหน่อยเหรอ ให้ตายสิ ทำไมถึงปล่อยให้คนแบบนี้เข้ามาได้นะ ทำงานกันประสาอะไร แล้วลูกค้าอย่างพวกฉันจะเดินซื้อของอย่างสบายใจได้ยังไงกันล่ะเนี่ย” 


 


 


รปภ.สองสามคนรีบตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า รวมถึงหลินเช่อและมู่หว่านฉิงอย่างไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


แต่เมื่อหันไปมองดูกลุ่มหญิงสาวที่เป็นคนร้องเรียก ก็ดูทีว่าน่าจะมีฐานะดีกว่าหลินเช่อและมู่หว่านฉิงอยู่มาก ด้วยหลินลี่และเพื่อนๆ ของเธอต่างก็หิ้วถุงสินค้าที่ซื้อมากันพะรุงพะรัง 


 


 


ขณะที่ทางรปภ.กำลังจะขยับเข้ามาบอกให้หลินเช่อและมู่หว่านฉิงออกไปจากห้างนั้นเอง หลินเช่อก็ก้าวออกมาและพูดว่า “คุณกล้าทำจริงๆ เหรอ นี่คือคุณนายตระกูลกู้นะ ถ้ากล้าแตะต้องเธอ เราจะโทรเรียกตำรวจ!” 


 


 


ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันตัวแข็งทื่อ 


 


 


ตระกูลกู้รึ ตระกูลกู้ไหนกัน 


 


 


คนอื่นๆ อาจจะกำลังตั้งสติ แต่หลินลี่เข้าใจได้ในทันที 


 


 


และหลังจากนั้น บรรดาบอดี้การ์ดประจำตัวมู่หว่านฉิงก็พรวดพราดเข้ามาถึงตัวทันที หลินลี่ยิ่งมั่นใจว่าเธอเข้าใจถูกต้องแล้ว 


 


 


นี่เธอเพิ่งเรียกมู่หว่านฉิงว่า ‘ยัยแก่’ อย่างนั้นหรือนี่ มู่หว่านฉิงนั้นแม้ว่าจะไม่ใช่หญิงสาว แต่ก็ดูดีเกินกว่าที่จะมีร่องรอยของความเป็นหญิงสูงอายุ 


 


 


และเธอก็ยังเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกงานสังคมใดๆ จึงไม่มีใครคิดว่าเธอจะเป็นสุภาพสตรีคนสำคัญจากตระกูลกู้แบบนี้ 


 


 


ที่สำคัญ หลินลี่ไม่คาดคิดเลยว่า หลินเช่อจะมีสถานะสูงส่งถึงขนาดที่ไปไหนมาไหนกับสมาชิกในบ้านตระกูลกู้อย่างสนิทสนมได้แบบนี้ ก็กู้จิ้งเจ๋อแค่เห็นเธอเป็นของเล่นชั่วคราวไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงแนะนำเธอให้รู้จักกับคนในครอบครัวล่ะ 


 


 


อย่างไรก็ตาม ความจริงตรงหน้าช่างน่าประหลาดใจ นี่หลินเช่อคือสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลกู้จริงๆ หรือนี่ ถึงขนาดออกมาเดินช้อปปิ้งกับประมุขคนสำคัญของครอบครัวแบบนี้เลยเชียวรึ 


 


 


แววตาของหลินลี่เปลี่ยนไปในทันที เธอไม่คิดมาก่อนเลย ความช็อกทำให้เธอละล่ำละลักออกมาแทบไม่เป็นคำพูดว่า “กู้…คุณนายกู้ ฉันไม่ได้หมายความอย่างที่พูดนะคะ ฉันเพียงแต่…”  

 

 


ตอนที่ 185 โดนไล่ออกจากห้าง

 

เมื่อเห็นสีหน้าของหลินลี่ มู่หว่านฉิงก็หัวเราะและแก้ขึ้นว่า “ไม่หรอกจ้ะ ฉันเข้าใจดีว่าเธอเหมือนถึงอะไร ฉันอาจจะแก่ แต่หูตาฉันยังดีอยู่นะจ๊ะ” 


 


 


หลินลี่ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงตรงหน้าเธอจะเป็นมารดาของกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


แต่เมื่อเธอรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เธอก็รู้สึกได้ถึงรัศมีบางอย่างที่ส่องสะท้อนออกมาจากตัวของมู่หว่านฉิง 


 


 


หลินลี่นึกถึงตอนที่เธอเรียกมู่หว่านฉิงว่ายัยป้าแล้วก็นึกอยากจะตบปากตัวเองเป็นกำลัง 


 


 


“คุณนายกู้คะ คุณดูอ่อนเยาว์เหลือเกิน ไม่มีใครคิดหรอกค่ะว่าคุณจะเป็นแม่ของท่านประธานกู้น่ะ เพราะแบบนี้ฉันก็เลยจำคุณไม่ได้ แถมคุณยังแต่งเนื้อแต่งตัวทันสมัยอย่างนี้ แล้วก็ไม่ค่อยจะได้ทำตัวเป็นข่าวอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยจำไม่ได้ว่าเป็นคุณน่ะค่ะ ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ” หลินลี่พยายามแก้ตัวเป็นพัลวัน มองดูมู่หว่านฉิงด้วยท่าทีนอบน้อมยำเกรงอย่างที่สุด โดยหวังว่ามู่หว่านฉิงจะแลเห็นความอ่อนน้อมนี้และนึกชื่นชอบเธอขึ้นมา 


 


 


มู่หว่านฉิงหัวเราะเรียบๆ และตอบว่า “อย่างนั้นเองหรอกหรือจ๊ะ คนแก่อย่างฉันก็ไม่ค่อยจะได้ออกมาข้างนอกกับเขานักหรอก แต่ต่อไปฉันเห็นทีจะต้องออกมาให้บ่อยกว่านี้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางได้รู้เลยว่า ผู้หญิงสาวๆ ทุกวันนี้ทำตัวไร้ยางอายกันถึงขนาดนี้แล้ว” 


 


 


หลินลี่หน้าเสีย เธอรู้ดีว่ากำลังโดนมู่หว่านฉิงตำหนิ และไม่อาจที่จะตอบโต้อะไรได้ 


 


 


เธอตวัดสายตาไปมองหลินเช่อซึ่งยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่อย่างเพลิดเพลิน ซึ่งทำให้หลินลี่นึกอยากจะเดินเข้าไปตบหน้าน้องสาวต่างมารดาซักฉาด 


 


 


มู่หว่านฉิงถามขึ้นว่า “หลินเช่อ แม่คนนี้เป็นพี่สาวของเธอจริงๆ หรือจ๊ะนี่” 


 


 


หลินเช่อหันไปมองหลินลี่และตอบว่า “ค่ะ เรามีพ่อคนเดียวกัน แต่คนละแม่น่ะค่ะ” 


 


 


มู่หว่านฉิงดึงมือหลินเช่อเข้ามาหาและหันไปมองทางหลินลี่ “เช่อน้อยจ๊ะ เธอน่ะโชคดีแล้วนะที่โตมาโดยไม่กลายเป็นคนแบบนั้นน่ะ ต่อไปคราวหน้าคราวหลังอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้อีกนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องโดนคนพวกนี้รังแกอีกแน่ๆ เช่อน้อยผู้ไร้เดียงสา” 


 


 


หลินลี่นิ่งฟัง ก่อนจะหันไปมองหลินเช่อด้วยสายตาชิงชัง 


 


 


ผองเพื่อนของหลินลี่ที่พากันกระหน่ำด่าอย่างไม่ยั้งก่อนหน้านี้ ต่างพากันยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าแบบอ้าปากค้าง ตกตะลึงเสียจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี 


 


 


พวกเธอมองหลินลี่ด้วยสายตาแปลกใจ ตระกูลกู้ไหนกันที่ทำให้ว่าที่สะใภ้ตระกูลฉินอย่างหลินลี่ต้องหงอให้ถึงขนาดนี้ หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะกล่าววาจาตอบโต้กลับไปด้วยซ้ำ 


 


 


ในประเทศซีแห่งนี้ ก็มีตระกูลกู้อยู่เพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่สร้างความหวาดหวั่นในใจให้ผู้คนได้ แต่ว่า…มันจะเป็นไปได้หรือ 


 


 


นี่หลินเช่อไปข้องเกี่ยวกับตระกูลกู้จริงๆ น่ะหรือ 


 


 


คุณนายกู้งั้นรึ 


 


 


หลินลี่กัดฟันแน่นและรีบพูดว่า “คุณนายกู้คะ คุณอาจจะไม่รู้อะไร แต่หลินเช่อนี่เป็นลูกเมียน้อยนะคะ แม่ของหล่อนยั่วยวนพ่อฉันจนกระทั่งท้องหลินเช่อขึ้นมา ครอบครัวของเราก็เลยไม่มีใครยกย่องหล่อน หลินเช่อเองก็ได้เลือดชั่วของแม่มาไม่น้อย หล่อนก็เลยได้เชื้อผู้หญิงแพศยาคอยยั่วยวนผู้ชายมาจากแม่ด้วย” 


 


 


หลินเช่อตัวแข็ง เธอรีบก้าวออกมาข้างหน้าและมองหน้าหลินลี่ด้วยความโกรธจัด “เธอเรียกใครว่าแพศยา!” 


 


 


หลินลี่คิดว่าที่หลินเช่อโกรธเป็นเพราะตัวเองกำลังถูกเปิดโปงชาติกำเนิด เธอคิดว่าหลินเช่อไม่เคยเล่าให้ใครในตระกูลกู้ฟังถึงหัวนอนปลายเท้าของตัวเองมาก่อน ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงยิ้มเยาะด้วยความสะใจและพูดว่า “จะบอกว่าฉันพูดผิดหรือไงจ๊ะ ถึงแม้ว่าเธอจะใช้แซ่หลิน แต่เธอก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาโดยคนตระกูลหลินเรา เป็นแค่ลูกนอกสมรส ลูกเมียน้อยเท่านั้น” 


 


 


“นี่เธอ…” 


 


 


มู่หว่านฉิงดึงมือหลินเช่อไว้และหันไปพูดกับหลินลี่ “อืม แต่พอดูจากการอบรมที่เธอได้รับมานี่ ฉันเชื่อว่าแม่ของหลินเช่อคงจะเป็นผู้หญิงที่มีกิริยามารยาทดีกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว ต้องขอบคุณหลินเช่อที่ได้รับการถ่ายทอดคุณสมบัติเหล่านี้มาด้วยจนไม่กลายเป็นผู้หญิงแบบเดียวกันเธอนะจ๊ะ ถ้าพ่อของเช่อน้อยเป็นคนอื่น ป่านนี้เธอคงจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมมากๆ เลยละ” 


 


 


“คุณนายกู้ ฉันพูดความจริงนะคะ ทุกคนต่างก็รู้ดีทั้งนั้นว่าแม่ของหลินเช่อเป็นมือที่สาม หล่อนเป็นผู้หญิงที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับตระกูลกู้เลยซักนิด” หลินลี่พยายามอย่างหนักที่จะป้ายสีชื่อเสียงของหลินเช่อให้ด่างพร้อยให้จงได้ 


 


 


แต่มู่หว่านฉิงตอบกลับอย่างเยาะๆ ว่า “ฉันยังหูตาดีพอที่จะมองออกอยู่จ้ะ ว่าใครที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แต่ฉันละแปลกใจเหลือเกินที่คนอย่างเธอกล้ามาพูดโอ้อวดว่าตัวเองถูกเลี้ยงดูมายังไงด้วยนี่สิ” 


 


 


มู่หว่านฉิงเหลือบไปเห็นผู้จัดการห้างที่กำลังปรี่ตรงเข้ามา “ฉันละผิดหวังกับระบบรักษาความปลอดภัยของห้างซะจริงเชียวที่ปล่อยให้คนแบบนี้หลุดเข้ามาได้ แบบนี้มีแต่จะทำให้คุณภาพของห้างเราเสื่อมเสียเปล่าๆ” 


 


 


เมื่อผู้จัดการได้ยินก็รีบรับคำว่า “ครับ ครับ คุณนายกู้ เป็นเพราะพวกเราหละหลวมกันอง เราจะพาตัวพวกเขาออกไปทันทีเลยครับ” 


 


 


มู่หว่านฉิงยังถามสำทับอีกว่า “ฉันอยากรู้ว่าถ้ามาคราวหน้าฉันยังจะต้องเจอคนพวกนี้อีกมั้ย” 


 


 


ผู้จัดการรีบรับคำปากคอสั่น “ไม่ ไม่อย่างแน่นอนครับท่าน” 


 


 


ก่อนจะหันไปหารปภ.และออกคำสั่งว่า “จำไว้ด้วยล่ะ เราไม่อนุญาตให้คนพวกเนี้เข้ามาในห้างของเราอีกต่อไป” 


 


 


หลินลี่ไม่คาดคิดเลยว่ามู่หว่านฉิงจะไร้ความเมตตาได้ถึงขนาดนี้ ออกคำสั่งชนิดที่ไม่ไว้หน้าเธอเลยแม้แต่น้อย 


 


 


เพื่อนของหลินลี่ต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง 


 


 


แล้วรปภ.สองสามคนก็เริ่มปฏิบัติการลากตัวพวกเธอไปยังประตูทางออก 


 


 


แล้วพวกเธอทุกคนก็ถูกจับโยนออกมาราวกับขอทาน 


 


 


ขณะที่ถูกพาตัวเดินมายังประตูนั้น พวกเธอต้องเผชิญกับสายตาดูหมิ่นของบรรดาคนที่เดินผ่านไปมา ทุกคนกรีดร้องอย่างโกรธจัดว่า “ปล่อยนะ นี่แกทำอะไรน่ะ อย่ามาแตะตัวฉัน! ฉันเดินเองได้ย่ะ คราวหน้าต่อให้ไปมาอ้อนวอนฉันก็ไม่มีทางกลับมาที่ห้างนี้อีกแน่” 


 


 


“ใช่ นี่แกจะผลักฉันทำไมนักนะ ไม่รู้รึว่าฉันเป็นใคร นี่แกกล้าทำกับฉันขนาดนี้เลยเหรอ เฮอะ เดี๋ยวรอฉันกลับถึงบ้านก่อนเถอะ…ครอบครัวฉันไม่มีทางปล่อยพวกแกไปแน่” 


 


 


แต่น่าเศร้าที่ไม่มีตระกูลไหนจะชนะตระกูลกู้ไปได้ ต่อให้โกรธเกรี้ยวเพียงใด ทุกคนก็ถูกขับไล่ออกจากห้างนั้นอยู่นั่นเอง 


 


 


เมื่อระเห็จออกมาอยู่ด้านนอก หญิงสาวทั้งหลายต่างก็พยายามจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ ก่อนจะหันมองเข้าไปภายในห้างและพูดว่า “ตลกสิ้นดี ก็แค่ตระกูลกู้เท่านั้น พวกเขาใหญ่โตมาจากไหนกันรึ” 


 


 


เพื่อนคนหนึ่งมองหน้าหลินลี่และถามขึ้นว่า “ว่าแต่แล้วทำไมนังหลินเช่อถึงไปอยู่กับคุณนายกู้ได้ล่ะเนี่ย” 


 


 


“นั่นน่ะสิ ถ้าหลินเช่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับตระกูลกู้จริงละก็ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหล่อนถึงได้โด่งดังขึ้นมาชั่วข้ามคืนได้แบบนี้” 


 


 


หลินลี่ไม่เคยปริปากบอกใครถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลินเช่อและตระกูลกู้มาก่อน 


 


 


ทำให้บรรดาเพื่อนสาวอดสงสัยไม่ได้ว่า อาจเป็นเพราะหลินลี่อับอายเกินกว่าที่จะเล่า 


 


 


เพราะหลินลี่นั้นเอาแต่กดขี่และกลั่นแกล้งผู้เป็นน้องมาตั้งแต่เด็ก แต่มาถึงตอนนี้หลินเช่อกลับได้ดิบได้ดีและย้อนมาเอาคืนเข้า แถมยังได้เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับตระกูลกู้อีกต่างหาก แล้วอนาคตของหลินลี่จะเป็นอย่างไรเล่า 


 


 


ตระกูลฉินแม้ว่าจะมีฐานะไม่เลว แต่เมื่อเทียบกันกับตระกูลกู้แล้วก็ต้องบอกว่าไม่ติดฝุ่นแม้ซักนิด 


 


 


หลินลี่จ้องตอบสายตาสงสัยใคร่รู้ของบรรดาเพื่อนๆ อย่างไม่ลดละ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพวกหล่อนคิดอะไรกันอยู่ 


 


 


ด้วยใบหน้าซีดเผือด หญิงสาวไม่รู้จะเอาความโกรธไปลงกับใคร เธอจึงกระทืบเท้าอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อเอ่ยว่า “นี่พวกเธอมองอะไรกัน ยังไงซะไม่ช้าก็เร็วนังหลินเช่อก็ต้องถูกกู้จิ้งเจ๋อเขี่ยทิ้งอยู่แล้ว หึ ฉันก็แค่ปล่อยให้หล่อนได้ใจไปก่อนตอนนี้เท่านั้นแหละ แล้วค่อยมาดูตอนมันตกอับทีหลัง” 


 


 


เมื่อพูดจบก็หันหลังวิ่งหนีไปทันที 


 


 


เมื่อกลับถึงบ้าน หลินลี่ก็กางแขนทิ้งร่างลงบนเตียงและร่ำไห้ 


 


 


หันไฉ่อิงเมื่อได้ยินก็รีบรี่เข้ามาถามไถ่ “เกิดอะไรขึ้น หลินลี่ ร้องไห้ทำไมกัน” 


 


 


หลินลี่เงยหน้าขึ้นและตอบว่า “หนูอยากให้นังหลินเช่อมันทรมานจนต้องร้องขอชีวิต” 


 


 


ในขณะนั้นเอง ฉินชิงที่บังเอิญได้ยินคำพูดนั้นเข้าก็นิ่วหน้าและเดินเข้าห้องมา “หลินลี่ นี่เธอพูดเรื่องอะไรกัน”  

 

 


ตอนที่ 186 จะอิจฉาแม่ของตัวเองไปทำไม

 

หลินลี่เงยหน้าขึ้นและได้เห็นฉินชิง หญิงสาวจึงใช้น้ำเสียงชวนให้สงสารว่า “ฉินชิงคะ หลินเช่อน่ะทำเกินไปมากเลยนะคะ พอคบหากับกู้จิ้งเจ๋อ หล่อนก็เริ่มมาหาเรื่องฉัน นี่วันนี้ฉันโดนเธอทำให้ต้องถูกไล่ออกจากห้างสรรพสินค้า มันน่าอายมาก หล่อนกล้าทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันเป็นพี่สาวนะ” 


 


 


ฉินชิงขมวดคิ้วพลางมองหน้าหลินลี่ “ไม่หรอก หลินเช่อไม่ใช่คนแบบนั้นซักหน่อย จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่ๆ” 


 


 


หลินลี่ผงกหัวขึ้นอย่างขัดใจ “ไม่เข้าใจผิดแน่นอนค่ะ ฉันไปกับพวกเพื่อนๆ แล้วเราทุกคนก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา เพื่อนฉันเป็นพยานได้นะคะ” 


 


 


“พวกเพื่อนๆ เธอก็ไม่ใช่คนดีกันนักหรอก เธอไปคบหากับพวกนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” 


 


 


“อะไรนะคะ” หลินลี่มองหน้าฉินชิง “นี่เดี๋ยวนี้คุณแก้ตัวแทนนังหลินเช่อแล้วเหรอ” 


 


 


“ฉันไม่ได้แก้ตัวแทนใคร ฉันแค่รู้จักหลินเช่อดีและเขาไม่ใช่คนแบบนั้น” 


 


 


“แปลว่าคุณกำลังจะบอกว่าฉันเป็นคนแบบนั้นอย่างงั้นเหรอคะ” หลินลี่ไม่ยอมลดราวาศอก 


 


 


ฉินชิงมองหน้าหญิงสาวคนรักและหันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร 


 


 


หลินลี่วิ่งไล่ตามไปด้วยความโมโห “ฉินชิง พูดออกมาให้ชัดๆ สิคะ ตกลงคุณหมายความว่ายังไง หมายความว่ายังไงกันแน่คะ คุณ…” 


 


 


“หลินลี่” ทันใดนั้นฉินชิงก็หันกลับมา ริมฝีปากของเขาขยับช้าๆ เมื่อเอ่ยคำพูดที่เจ้าตัวเองก็อยากจะพูดออกมานานแล้วว่า “หลินลี่ ยกเลิกการแต่งงานของเราเถอะ ฉันคิดว่าฉันคงแต่งงานกับเธอไม่ได้อีกแล้วละ” 


 


 


หลินลี่หน้าเสียทันควัน 


 


 


“คุณ…คุณว่าอะไรนะคะ” 


 


 


เพียงเท่านั้น ฉินชิงก็เดินออกจากบ้านตระกูลหลิน หลินลี่ไล่ตามอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉินชิง ฉันไม่ยอมให้ยกเลิกงานแต่งหรอกนะ ไม่ยอม” 


 


 


“พอทีเถอะหลินลี่ ฉันตัดสินใจแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดอีก” 


 


 


“คุณ…นี่คุณแบบนี้เพราะหลินเช่อเหรอ” หลินลี่มองเขาอย่างเคียดแค้น 


 


 


ฉินชิงชะงักฝีเท้า เมื่อนึกถึงหลินเช่อ ใบหน้าของเขาก็ระบายไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอันไม่อาจอธิบายได้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินต่อไปโดยไม่ยอมพูดอะไรอีก 


 


 


หลินลี่ยืนเกรี้ยวกราดอยู่ตรงนั้น นังสารเลวหลินเช่อ ทำไมผู้ชายทุกคนถึงได้สนใจนังลูกนอกคอกนั่นกันนักนะ เธอไม่เชื่อเลยซักนิดว่าคนอย่างหลินเช่อจะมีเสน่ห์อะไรมัดใจชายได้ หลินเช่อ…ฉันจะต้องทำให้แกตายคามือให้จงได้… 


 


 


อีกด้านหนึ่ง 


 


 


หลินเช่อและมู่หว่านฉิงที่ช้อปปิ้งเสร็จก็ออกเดินทางกลับบ้าน 


 


 


หลินเช่อไม่คาดคิดมาก่อนว่ามู่หว่านฉิงจะต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ หญิงสาวจึงรู้สึกผิดต่อเธอเป็นอย่างมาก 


 


 


แต่มู่หว่านฉิงกลับดูร่าเริงเป็นปกติ เธอกวาดสายตามองดูข้าวของที่ซื้อมาและพูดว่า “ดูเหมือนว่าฉันควรจะหัดออกมาข้างนอกให้บ่อยขึ้นนะจ๊ะ ช้อปปิ้งนี่มันสนุกจริงๆ เช่อน้อย ถ้าว่างเมื่อไหร่อย่าลืมพาฉันออกมาช้อปปิ้งอีกนะจ๊ะ” 


 


 


“ได้เลยค่ะ ถ้าว่างเมื่อไหร่หนูจะมาเป็นเพื่อนเอง…แต่ว่าวันนี้โชคร้ายไปหน่อย ก็เลยทำให้คุณแม่ต้องมาเจอคนพูดจาไม่ดีใส่แบบนี้ หนู…” หลินเช่อก้มหน้าเมื่อพูดกับแม่สามี 


 


 


มู่หว่านฉิงรีบบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ มันจะเป็นความผิดของเธอไปได้ยังไงกันล่ะจ๊ะ เธอเองต่างหากที่เป็นคนโดนกระทำน่ะ พี่สาวเธอทำกับเธอแบบนี้ กู้จิ้งเจ๋อน่าจะได้เจอเธอเร็วกว่านี้หน่อย เธอจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอยู่กับพวกเขานานนัก” 


 


 


หลินเช่อมองหน้าหญิงชราอย่างซาบซึ้งใจ มู่หว่านฉิงช่างดีกับเธอเสียเหลือเกิน 


 


 


ความคิดนี้ทำให้หลินเช่อรู้สึกว่าเธอกำลังจะต้องทำให้มู่หว่านฉิงต้องผิดหวัง 


 


 


ถ้าหากว่าเธอและกู้จิ้งเจ๋อต้องหย่าขาดจากกันขึ้นมาในวันหนึ่ง ทั้งเธอและมู่หว่านฉิงคงจะต้องเสียใจไม่น้อยแน่ 


 


 


หลินเช่อดึงแขนหญิงสูงวัยกว่าและเอนตัวลงซบไหล่เธอ “คุณแม่ขา คุณแม่ดีกับหนูเหลือเกิน ดีเสียจนหนูคงทนไม่ได้ถ้าต้องไปจากคุณแม่เข้าซักวัน” 


 


 


มู่หว่านฉิงปล่อยให้หญิงสาวอิงซบตามสบายและหัวเราะเสียงดัง พลางลูบไหล่อย่างปลอบโยนว่า “เด็กโง่ เธอแต่งงานเข้าตระกูลเรามาแล้ว ก็เท่ากับว่าเธอเป็นลูกสาวของบ้านเรา เธอจะจากเราไปไหนได้อีกล่ะจ๊ะ” 


 


 


นับแต่วัยเด็กมา หลินเช่อไม่เคยได้สัมผัสกับความอบอุ่นของครอบครัวมาก่อน และเธอก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะได้รับสิ่งนั้นเป็นครั้งแรกจากครอบครัวนี้ นั่นทำให้หญิงสาวทำใจไม่ได้จริงๆ หากจะต้องจากไป 


 


 


เธอหันหน้าไปหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป เพียงแต่บอกกับมู่หว่านฉิงว่า “คุณแม่คะ วันนี้คุณแม่ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ หนูไม่ได้รู้สึกดีขนาดนี้มาตั้งนานแล้ว ได้เห็นหลินลี่ถูกไล่ออกไปแบบนั้น มันสะใจที่สุดเลยละค่ะ” 


 


 


มู่หว่านฉิงได้ยินก็พยักหน้ารับ “ใช่ ใช่ ฉันไม่ได้รับมือคนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะสนุกขนาดนี้” 


 


 


ผู้หญิงทั้งสองยังคงพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่พวกเธอจัดการหลินลี่กับเพื่อนอย่างออกรส ยิ่งได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งรู้สึกสนุก จึงพากันเดินคุยและหัวเราะไม่ขาดปากจนกระทั่งกลับมาถึงบ้านตระกูลกู้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อที่กำลังพักผ่อนอยู่ได้ยินเสียงพูดคุยดังมาแต่ไกลจนชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ 


 


 


เขาเดินออกมาและได้เห็นสตรีทั้งสองที่หัวเราะต่อกระซิกกันราวกับคู่แม่ลูกทั่วไป หนำซ้ำยังตัวติดกันจนแทบจะกลายเป็นร่างเดียวอีกต่างหาก 


 


 


หลินเช่อคนนี้นี่… 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่อยากเชื่อเลยว่ายัยผู้หญิงเอะอะมะเทิ่งพูดจากเสียงดังสนั่นคนนี้จะเข้ากันได้ดีเหลือเกินกับคนในครอบครัวของเขา 


 


 


ตอนที่เธอแต่งงานเข้ามาใหม่ๆ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีคนในครอบครัวของเขาที่จำเธอได้ เธอน่าจะเป็นเพียงผู้หญิงที่ทุกคนมองดูอย่างผ่านๆ ไม่ใส่ใจ และปฏิบัติต่อเธอเป็นเหมือนเพียงผู้หญิงที่ถูกขอร้องให้มาแต่งงานกับเขาเท่านั้น 


 


 


แต่เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้เห็นหลินเช่อและมารดาของตัวเองสนิทสนมกลมเกลียวกันเช่นนี้ ก็ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าหลินเช่อได้เอาชนะในคนในบ้านตระกูลกู้ได้ทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ 


 


 


ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายัยผู้หญิงบื้อคนนี้มีดีอะไรกันแน่ 


 


 


หรือบางทีคนซื่อบื้ออย่างหล่อนอาจจะมีโชคอย่างโง่ๆ ในเรื่องนี้ 


 


 


กู้จิ้งเจ่อสาวเท้ายาวๆ เดินออกมา “แม่ครับ นี่ไปไหนกันมาน่ะ” 


 


 


มู่หว่านฉิงเงนหน้าขึ้นมองและยิ้มจนตาหยีเมื่อตอบว่า “เราไปช้อปปิ้งเสื้อผ้ากันมาน่ะจ้ะ โอ๊ย ห้างสรรพสินค้าเดี๋ยวนี้เขาทันสมัยดีจัง มีสารพัดอย่างแม้กระทั่งอาหาร สนุกมากทีเดียวจ้ะ” 


 


 


“ใช่ค่ะ คุณแม่คะ แล้วที่กินไอศกรีมไปเป็นยังไงบ้างคะเนี่ย หนูกลัวว่ามันจะไม่สะอาดเท่าไหร่” 


 


 


“ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ฉันไม่เป็นอะไรซักนิด นานๆ ได้กินของอร่อยทีก็ไม่เสียหายหรอกน่ะ” 


 


 


“เฮ้ หนูซื้อมาใส่ตู้เย็นเพิ่มเอาไว้ด้วยนะคะ พอกินไปได้อีกสองสามวันเลยละค่ะ” 


 


 


“จ้ะ เธอจะแบ่งเอากลับบ้านไปบ้างก็ได้นะจ๊ะ” 


 


 


“ได้ค่ะ หนูจะแบ่งไปด้วยตอนกลับไป” 


 


 


“เอ๊ แล้วนี่ทำไมไม่อยู่ต่ออีกซักสองสามวันล่ะ” 


 


 


“คุณแม่ขา เราอยู่ใกล้แค่นี้เอง เดี๋ยวอีกสองสามวันหนูก็มาเยี่ยมอีกนะคะ” 


 


 


“นั่นสินะ ถ้าว่างก็มานะจ๊ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองผู้หญิงสองคนพูดคุยกันด้วยสีหน้าบูดบึ้งก่อนจะพูดขึ้นว่า “คุณแม่ครับ นี่คุณแม่ไปหลงผิดกับยัยบื้อนี่เข้าแล้วหรือไงครับนี่” 


 


 


มู่หว่านฉิงถาม “หลงผิดอะไรกันจ๊ะ ก็ลูกน่ะยุ่งกับงานของตัวเองอยู่ตลอดเวลา หลินเช่อก็เลยไปซื้อของเป็นเพื่อนแม่เท่านั้นเอง ดีออกจะตายที่ลูกสาวไว้คอยไปไหนมาไหนด้วยน่ะ พี่สาวของลูกก็ไม่ค่อยจะกลับมาจากต่างประเทศแล้วนี่นา” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองคนทั้งสองแล้วก็อดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ 


 


 


ทีกับคนอื่นแล้ว หลินเช่อจะทั้งใจดี อบอุ่นและโอนอ่อนผ่อนตาม 


 


 


แต่ทีกับเขา เธอกลับบ่ายเบี่ยง เลี่ยงโน่นเลี่ยงนี่ หรือบางทีก็ทำเฉยใส่เขาไปเลยดื้อๆ ก็มี 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตำหนิขึ้นว่า “หลินเช่อ ทีเวลาอยู่กับฉันไม่เห็นเธอจะทำหน้าระรื่นแบบนี้เลย” 


 


 


หลินเช่อหันขวับไปมองคนพูด “ก็ดูตัวคุณสิคะว่าน่าเบื่อแค่ไหน ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่เคยเล่นสนุกอะไรกับใครเขาเลย แล้วจะให้ฉันหน้าระรื่นเวลาอยู่กับคุณได้ยังไง” 


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อยิ่งหน้าบูดหนักขึ้นไปอีก 


 


 


มู่หว่านฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงกระแซะขึ้นว่า “นี่ก็จะหวงเมียตัวเองไปถึงไหน หลินเช่อแค่ออกไปกับแม่แค่นี้ก็จะมาอิจฉาซะอีกแน่ะ เอาน่า ยังไงลูกสองคนก็ยังใกล้ชิดกันที่สุดอยู่ดีนั่นแหละ แม่แค่สนุกที่ได้อยู่กับหลินเช่อแค่นั้นเอง” 


 


 


อิจฉาเหรอ เขาเนี่ยนะอิจฉา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหน้าตูมขึ้นมาอีกรอบ 


 


 


นี่เขาโกรธรึนี่ เขาอิจฉากระทั่งแม่ของตัวเองนี่นะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกว่าสิ่งที่เคยเป็นของเขา บัดนี้มีคนอื่นมาแบ่งปันไป และสำหรับหลินเช่อแล้ว เขามีความรู้สึกพิเศษบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อยากจะแบ่งปันเธอกับใครหน้าไหนทั้งสิ้น  

 

 


ตอนที่ 187 เหมือนเป็นลางร้าย

 

กู้จิ้งเจ๋อรู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร และคิดว่านั่นเป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดี 


 


 


ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงมองผู้หญิงทั้งสองและร้องตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้อิจฉา! เพียงแต่ผมคิดว่าแม่น่าจะพาคนติดตามไปด้วยมากกว่านี้ มันอันตรายเกินไปสำหรับทั้งสองคนนั่นแหละ” 


 


 


มู่หว่านฉิงหัวเราะแล้วหันไปพูดกับหลินเช่อว่า “เอาละจ้ะ แม่จะไม่รั้งเธอไว้ แล้วก็ถ่วงเวลาสำหรับคู่รักอันหวานชื่นไว้อีกแล้ว ไปอยู่เป็นเพื่อนจิ้งเจ๋อเขาเถอะจ้ะ” 


 


 


“แม่คะ…” 


 


 


เมื่อเห็นมู่หว่านฉิงเดินออกไป หลินเช่อก็หันไปทำตาขวางใส่ชายหนุ่ม “เป็นอะไรอีกล่ะคะเนี่ย” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงถามกลับว่า “คุณไม่ได้ออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอกมาหลายปีมากแล้ว แล้วทำไมถึงยอมออกไปกับเธอได้ล่ะ” 


 


 


“อืม…แล้วการพาคุณแม่ออกไปเที่ยวนี่มันไม่ดีเหรอคะ” หลินเช่อถามด้วยท่าทีห่วงใย เธอนึกกังวลขึ้นมาว่านั่นอาจจะสร้างปัญหาได้ 


 


 


เมื่อชายหนุ่มเห็นสีหน้าวิตกเอาจริงๆ จังๆ ของหลินเช่อ เขาก็รีบบอกว่า “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันก็แค่คิดว่ามันออกจะประหลาดที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ถึงได้ดีขึ้นมาผิดตาขนาดนี้” 


 


 


เมื่อหลินเช่อได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า “ก็ได้ค่ะ ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าการเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณแม่มากเกินไปคงจะไม่ดี ถ้าเกิดเราหย่ากันขึ้นมา คุณแม่ก็คงจะไม่พอใจเอามากๆ แต่คุณแม่ช่างแสนดีเหลือเกินนี่คะ ทุกคนในครอบครัวคุณก็ด้วย ฉันเคยคิดว่ามันน่าจะเหมือนที่เคยดูในละครซะอีก ที่ต่างคนต่างก็คอยแก่งแย่งชิงดีกัน ดูอย่างตระกูลหลินนั่นปะไร ที่ทำตัวเคร่งครัด ยโสอวดดีซะเต็มประดากับเงินแค่นั้น ฉันก็เลยคิดว่าบ้านคุณจะเป็นเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าทุกคนใจกว้างเอามากๆ เลย” 


 


 


หลินเช่อมองหน้ากู้จิ้งเจ๋ออย่างนึกอิจฉา “พูดจริงๆ นะคะ ครอบครัวคุณน่ะดีมาก แต่พวกคุณสามคนพี่น้องนี่หัวดื้อเป็นที่หนึ่ง พวกคุณไม่รู้หรอกค่ะว่าพวกคุณมีสมบัติล้ำค่าขนาดไหนอยู่ตรงหน้า” 


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อนิ่งฟังแล้วก็คิดได้ว่า เขาเองก็ไม่เคยนึกถึงข้อดีข้อเสียของครอบครัวตัวเองมาก่อนเลย 


 


 


อันที่จริง เขาก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าพ่อแม่ของเขานั้นออกจะเป็นคนหัวเก่าในบางเรื่อง แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกท่านก็เป็นคนใจกว้าง และอาจเป็นเพราะพวกเขาชอบหลินเช่อและปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดี หญิงสาวจึงรู้สึกชื่นชมมากมายขนาดนี้ 


 


 


“ฉันรู้ค่ะว่ามันไม่ค่อยจะถูกต้องนักที่จะทำอะไรแบบนี้ ในเมื่อเราตกลงกันแล้วว่าจะเป็นแค่การแต่งงานปลอมๆ ฉันคงจะสวมบทจริงจังจนถลำความรู้สึกมากเกินไปน่ะค่ะ บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันเองไม่เคยมีครอบครัวที่แท้จริง…ก็เลยเผลอปล่อยใจมากไปหน่อย ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ ต่อไปฉันจะรักษาระยะห่างให้มากกว่านี้” 


 


 


“ไม่เป็นไร” หัวใจเขาอ่อนยวบลงเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ “ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอก ไอ้การจะไปไหนมาไหนกับคุณแม่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร เอาละ ไปกันเถอะ” 


 


 


อากาศเริ่มเย็นลง ถึงแม้ว่าซีรีส์เรื่องใหม่ของหลินเช่อจะยังคงถ่ายทำอยู่ แต่ก็มีการตัดต่อภาพตัวอย่างออกมาฉายให้ทุกคนได้เห็นกันแล้ว 


 


 


และหลังจากที่ตัวอย่างแรกออกฉาย หลายๆ คนก็คิดว่าซีรีส์นี้ดูน่าทึ่งและเรื่องราวก็น่าสนใจมาก หนำซ้ำยังมีการเลือกตัดแต่เฉพาะฉากที่หลินเช่อเสนอออกมาใช้ฉายเป็นตัวอย่างอีกต่างหาก ตัวละครของหลินเช่อนั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งในแก๊งอาชญากร ที่ต้องใช้สติปัญญาและความกล้าหาญในการต่อสู้กับเหตุการณ์ต่างๆ และสุดท้ายเธอก็สามารถเอาตัวรอดหนีออกมาได้โดยไม่ถูกเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริง 


 


 


การแสดงของหลินเช่อในเรื่องนี้ได้รับการชื่นชมว่าดีที่สุดในบรรดานักแสดงหญิงหน้าใหม่ 


 


 


แม้ตัวหลินเช่อเองจะไม่กล้าบอกว่านี่เป็นผลงานที่ดีที่สุดของเธอ แต่เมื่อได้รับคำชมจากผู้คนมากมาย เธอก็อดปลาบปลื้มใจไม่ได้ 


 


 


การถ่ายทำซีรีส์ยังคงดำเนินอยู่ อวี๋หมินหมิ่นบอกกับหลินเช่อว่า ทางบริษัทเตรียมห้องทำงานใหม่ รวมถึงจัดหาพนักงานใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญ มาไว้ให้คอยช่วยเธอวางแผนและจัดการคิวงานต่างๆ 


 


 


หลินเช่อจึงตามผู้จัดการส่วนตัวของเธอไปดูห้องทำงานแห่งใหม่ พวกเขายกพื้นที่ทั้งชั้นเอาไว้ให้หลินเช่อเพียงคนเดียว 


 


 


หญิงสาวถึงกับอุทานด้วยความประหลาดใจ “ทำไมมันถึงใหญ่โตอย่างนี้ล่ะคะ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบว่า “แหม ก็เธอเป็นคุณผู้หญิงตระกูลกู้นี่จ๊ะ ถ้าพวกเขาให้ห้องแคบๆ ก็เท่ากับทำให้เธอต่ำกว่ามาตรฐานน่ะสิ ฉันยังกำชับไปด้วยว่า ตอนนี้เธอเป็นดาราคนสำคัญของบริษัทแล้วและเราต้องการผู้ช่วยงานเพิ่ม เพราะฉะนั้นจึงต้องมีพื้นที่เพิ่มขึ้น แต่ถึงยังไงก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว้างคฤหาสน์ตระกูลซักหน่อยนี่นา ใช่มั้ยล่ะ” 


 


 


“บ้าน่า มันเหมือนกันที่ไหนล่ะคะ ที่นั่นเป็นของกู้จิ้งเจ๋อ ไม่ใช่ของฉันซักหน่อย” 


 


 


“อะไรที่เป็นของเขาก็เป็นของเธอเหมือนกันนั่นแหละน่า ฉันกลัวแต่ว่าถ้าวันไหนกู้จิ้งเจ๋อเกิดมาหาแล้วได้เห็นว่าห้องทำงานของเธอเล็กกว่าห้องน้ำที่บ้านขึ้นมา เขาอาจจะไม่ยอมให้เราดูแลเธอต่อ เพราะไม่อยากเห็นเธอต้องอุดอู้อยู่ในที่แคบๆ ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาฉันจะทำยังไงล่ะ” 


 


 


“ไร้สารน่า!” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหน้าหลินเช่อ แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


เธอรู้ดีว่าอวี๋หมินหมิ่นล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง การที่ได้รับการยกย่องและเห็นคุณค่าแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมากทีเดียว 


 


 


หลังจากนั้น ทั้งสองก็เดินทางไปร่วมงานอีเวนต์งานหนึ่งด้วยกัน มันเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยแบรนด์สินค้าหนึ่ง ซึ่งพวกเธอควรจะไปร่วมงานเพื่อเป็นการสนับสนุนพวกเขา 


 


 


เมื่อไปถึง ผู้ช่วยก็เดินเข้ามาหาและแจ้งว่า “พี่เช่อคะ ฉันคิดว่าฉันเห็นฉินหวานหว่านอยู่ในงานนี้ด้วยนะคะ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ฉินหวานหว่านกำลังไปได้สวยทีเดียว หลังจากละครที่เธอเล่นกับกู้จิ้งอวี่ออกอากาศไปแล้ว เรตทิ้งของละครก็พุ่งทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลละครแห่งปีอีกต่างหาก แล้วก็มีหวังสูงมากว่าจะคว้ารางวัลมาได้ด้วย” 


 


 


หลินเช่อพยักหน้า “การแสดงของเขาก็ไม่เลวนะคะ แล้วละครก็สนุกดีด้วย ฉันได้ดูแล้วละ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไปว่า “โชคดีที่ซีรีส์ของเธอไม่ได้ถ่ายทำช่วงเดียวกัน ของเธอก็เลยน่าจะไปออกอากาศในปีถัดไปน่ะ ถึงอย่างนั้นก็คงดังไม่แพ้กัน เพราะฟอร์มก็ไม่ได้เล็กใหญ่ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไหร่ แต่เกิดต้องมาฉายแข่งกันขึ้นมา ฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะชนะ” 


 


 


หลินเช่อเดินเข้างานไปพร้อมผู้จัดการส่วนตัว แล้วฉินหวานหว่านก็ตรงรี่เข้ามาทักทายในทันที 


 


 


เธอยิ้มและพูดกับหลินเช่อว่า “ซีรีส์ของเธอก็ใกล้จะออกอากาศแล้วนี่จ๊ะ ใช่รึเปล่า” 


 


 


“ใช่จ้ะ เร็วๆ นี้นี่แหละ” หลินเช่อตอบอย่างสุภาพ 


 


 


ฉินหวานหว่านพูดต่อไปว่า “ฉันเห็นตัวอย่างแล้วละ ไม่เลวเลยนะจ๊ะ เทรนด์ตอนนี้ก็คือต้องสร้างกระแสให้พูดถึงกันมากๆ ก่อนจะออกอากาศจริง รับรองว่าจะต้องดังเปรี้ยงแน่ๆ” 


 


 


“ไม่หรอกจ้ะ…ต้องรอจนกว่าจะออกฉายนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าจะดังหรือเปล่า ตัวอย่างน่ะก็เป็นแค่การตัดต่อเอาฉากดีๆ มาใส่ไว้ด้วยกันเท่านั้นเอง” 


 


 


“ฉันพูดจริงๆ นะ เธอก็เห็น ว่าละครเรื่องไหนที่เธอรับเล่นก็ออกมาดีทั้งนั้น เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ฉากก็ดี ผู้กำกับกับบทก็ออกจะยอดเยี่ยม รับรองว่าจะต้องกลายเป็นซีรีส์ยอดฮิตอย่างแน่นอนจ้ะ” 


 


 


“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” หลินเช่อพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันได้ยินมาว่าเธอมีแววว่าจะได้รางวัลในปีนี้นี่จ๊ะ ถ้าได้ขึ้นมาจริงๆ ละก็ อย่าลืมเลี้ยงข้าวฉันด้วยล่ะ” 


 


 


ฉินหวานหว่านยิ้มหวาน “ได้เลย ฉันเลี้ยงเธอแน่ แต่ก็ยังไม่มั่นใจซะขนาดนั้นหรอกนะว่าเราจะได้รางวัลน่ะ ทุกคนในทีมเป็นมืออาชีพมากก็จริง แต่คู่แข่งก็แข็งแกร่งไม่น้อยเหมือนกัน” 


 


 


“เขาลือกันว่าเธอน่าจะทำให้ละครคว้ารางวัลได้น่ะ เอาเถอะ ขอดื่มฉลองให้เธอก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ ถือซะว่าเป็นการแสดงความยินดีล่วงหน้า” 


 


 


“โอเค ฉันเองก็หวังไว้ด้วยเหมือนกัน โอ้ จริงสิ มีงานอีเวนต์นึงที่เราน่าจะไปด้วยกันนะ เป็นงานสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์น่ะ จังหวะเหมาะเลยสำหรับการโปรโมตซีรีส์ที่กำลังจะออกฉายของเธอ แล้วฉันก็จะได้โปรโมตของฉันเองด้วย ไปด้วยกันแบบนี้น่าจะดีสำหรับเราทั้งคู่ 


 


 


“อืม ก็ได้จ้ะ เดี๋ยวฉันจะลองคุยกับผู้จัดการดูนะ” 


 


 


งานเลี้ยงจบลงในเวลาไม่นาน หลินเช่อจึงพูดกับอวี๋หมินหมิ่นเรื่องงานสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ผู้จัดการของเธอตอบว่า “แม่ฉินหวานหว่านคนนี้ช่างรู้จักวิธีขายตัวเองดีเสียจริง ไปออกงานโปรโมตกับเขาก็เป็นเรื่องดีสำหรับเธอนะ รายการที่เขาเลือกก็เหมาะดี แต่เธอควรจะระวังตัวเอาไว้ด้วย อย่าเข้าไปใกล้ชิดมากเกินไปนัก เพราะดูเหมือนว่าจะพยายามคะยั้นคะยอเธอแปลกๆ น่ะ…” 


 


 


เหมือนจะมีเจตนาร้ายแอบแฝง 


 


 


หลินเช่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ 


 


 


เมื่อออกจากงานเลี้ยง หญิงสาวก็กลับไปที่กองถ่ายเพื่อถ่ายทำฉากกลางคืนต่อ 


 


 


มันเป็นการถ่ายทำฉากรถเหาะ ซึ่งค่อนข้างจะอันตรายอยู่ไม่น้อย 


 


 


หลินเช่อนั่งอยู่ในรถ โดยมีผู้กำกับคอยบอกอยู่ข้างๆ ให้เธอระวังตัวด้วย 


 


 


หลินเช่อรับคำและจับพวงมาลัยแน่น และรู้สึกอึดอัดเป็นกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก บางทีอาจเป็นเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อคราวที่แล้ว 


 


 


ที่ทำให้เธอมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างอยู่เรื่อยๆ …  

 

 


ตอนที่ 188 หลินเช่อเสียโฉมหรือเปล่า

 

​​​​​​​ผู้กำกับตะโกนสั่ง “แอ็คชั่น!” แล้วจากนั้นรถก็เริ่มขยับ แล้วหลินเช่อก็รู้สึกได้ว่าตัวรถกำลังลอยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจับพวงมาลัยเอาไว้ด้วยมืออันสั่นเทา ถึงแม้ว่าเธอจะขับรถไม่เป็น แต่ด้วยความที่เป็นนักแสดงมืออาชีพ หลินเช่อจึงจำเป็นต้องเข้าฉากนี้ด้วยตัวเอง อวี๋หมินหมิ่นที่มองดูการถ่ายทำอยู่ด้วยออกจะเป็นห่วงหลินเช่อไม่น้อย เมื่อเธอได้ยินผู้กำกับสั่งแอ็คชั่น อวี๋หมินหมิ่นจึงเดินเข้าไปหาผู้ช่วยผู้กำกับและบอกว่า “หลินเช่อของเราขับรถไม่เก่งนะคะ ช่วยบอกทีมงานให้คอยดูแลด้วย อย่าปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นได้” 


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียงสั่งคัท เสียงดังสนั่นก็ดังมาจากรถสองคันที่พุ่งกระแทกกันโดยแรง 


 


 


“โอ้ไม่นะ! เกิดอะไรขึ้นน่ะ” 


 


 


“เร็วเข้า รีบไปดูหลินเช่อซิ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นทั้งสบถและก่นด่าขณะรีบตรงดิ่งเข้าไปที่รถ ส่วนทีมงานคนอื่นๆ ก็รีบรุดมาดูกันโดยพร้อมเพรียง 


 


 


ก่อนที่หลินเช่อจะทันได้ทำอะไร รถของเธอก็ชนเข้าเสียก่อนแล้ว ทีมงานรีบช่วยดึงร่างเธอออกมาอย่างเร่งร้อนเพื่อที่จะสำรวจดูอาการบาดเจ็บ ก่อนที่จะได้เห็นว่าศีรษะของหลินเช่อถูกกระแทกจนเลือดสดๆ ไหล่ปรี่ลงมา 


 


 


“โอ้ ไม่นะ เธอเสียโฉมหรือเปล่านั่น” 


 


 


“นี่มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ใครเป็นคนจัดการเรื่องรถ” 


 


 


“นักแสดงผู้หญิงจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไงถ้าเสียโฉมเข้าล่ะ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรีบจัดแจงไล่คนที่มุงดูอยู่ออกไปและห้ามไม่ให้ใครถ่ายภาพ ก่อนที่จะรีบพาหลินเช่อมายังห้องพักนักแสดง หญิงสาวรู้สึกมึนหัวไปหมดและการมองเห็นก็ค่อนข้างที่จะพร่าเลือน เธอได้ยินเสียงอวี๋หมินหมิ่นร้องเรียก จึงรีบถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้นกับฉันหรือคะ ฉันโดนชนตรงไหนบ้าง โดนหน้าหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งพูดจาไร้สาระ” 


 


 


“พี่โทรตามหมอหรือยังคะ” 


 


 


“ฉันเพิ่งโทรหาผู้ช่วยฉิน เราจะรอให้พวกเขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าปล่อยให้หมอที่ไหนก็ได้มาดูแลแผล กู้จิ้งเจ๋อน่าจะสามารถหาหมอที่มือกว่าได้แน่” 


 


 


“ผู้ช่วยฉิน พี่หมายถึงฉินเฮ่าน่ะหรือคะ” 


 


 


“ใช่แล้ว” 


 


 


เพียงไม่นาน กู้จิ้งเจ๋อก็เดินทางมาพร้อมกับทีมผู้ช่วยของเขา 


 


 


ทีมงานกองถ่ายต่างพากันพรั่นพรึงไปชั่วขณะทีเดียว เมื่อได้เห็นผู้คนมากมายที่กู้จิ้งเจ๋อพามาด้วย 


 


 


พวกเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะเจอปัญหาใหญ่ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาในห้องและได้เห็นสภาพของหลินเช่อ ชายหนุ่มก็รีบตรงเข้ามาหาและสำรวจดูบาดแผล 


 


 


หญิงสาวส่ายหน้าและพยายามที่จะบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันโอเคดี” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วหนัก ก่อนจะปล่อยให้นายแพทย์ที่เขาพาตัวมาด้วยจัดการปฐมพยาบาลในเบื้องต้นก่อน เนื่องจากบาดแผลนั้นอยู่ตรงบริเวณหน้าผากซึ่งนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้า หมอจึงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ทำให้เกิดแผลเป็นตามมาในภายหลัง หลังจากการปฐมพยาบาลพิถีพิถันเสร็จเรียบร้อย หลินเช่อก็ถูกพาตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่กู้จิ้งเจ๋อนำมาด้วย 


 


 


เฮลิคอปเตอร์พาเธอตรงมายังสนามบิน และเธอก็ถูกนำตัวขึ้นไปยังเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลกู้เป็นลำดับต่อไป 


 


 


หลินเช่อนั่งอยู่บนเครื่องบินเป็นที่เรียบร้อย พลางมองดูกู้จิ้งเจ๋อผู้ซึ่งจัดการทุกขั้นตอนอย่างเรียบร้อยรวดเร็วโดยปราศจากความลังเลใดๆ เขาตัดสินใจอย่างฉับไว และทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วแม่นยำ จนหลินเช่อรู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์ตลอดทั้งวันนี้ที่เพิ่งผ่านมาเป็นเพียงความฝันเท่านั้น 


 


 


ชายหนุ่มเดินเข้ามาก้มดูอาการบาดเจ็บขอหลินเช่ออีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงข้างเธอ หญิงสาวจึงพูดขึ้นว่า 


 


 


“อันที่จริงไม่เห็นจำเป็นจะต้องออกไปรักษาถึงต่างประเทศเลยนะคะ แผลเล็กแค่นี่เอง” 


 


 


“ฉันนัดกับแพทย์ผิวหนังมือดีที่สุดของโลกเอาไว้แล้ว เธอได้รับบาดเจ็บที่หน้า ถ้าขืนกลายเป็นแผลเป็นไปคงไม่ดีแน่” 


 


 


หลินเช่อจึงยอมแต่โดยดี “ก็ได้ค่ะ…อันที่จริง ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน เมื่อก่อนฉันก็เป็นแผลเจ็บตัวอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยจะเหลือแผลเป็นซักเท่าไหร่” 


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อไม่ยอม “ปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก โชคดีที่ผู้จัดการของเธอหัวไว เขารีบตัดสินใจติดต่อฉันเป็นคนแรก ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ได้หมอที่ดีกว่าหมอประจำกองถ่ายของเธอแน่นอน แค่เฉพาะการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนี่ก็ดีกว่าหมอทั่วๆ ไปแล้ว” 


 


 


หลินเช่อยกมือขึ้นแตะผ้าปิดแผล หญิงสาวไม่คิดเลยว่าการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแค่นี้จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายได้ถึงมากมายจนเธอชักจะละอายใจขึ้นมา 


 


 


“ถ้างั้นนี่เรากำลังจะไปไหนกันคะ” 


 


 


“หมอคนนี้อยู่ที่ลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา นอนพักซะก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วละ” 


 


 


“ก็ได้ค่ะ แค่คืนเดียวเท่านั้นนะเนี่ย ฉันบาดเจ็บ แถมยังถ่ายทำกันไม่เสร็จอีกต่างหาก…” หลินเช่ออ่อนเพลียเต็มที เธอทอดตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะผล็อยหลบไปในเวลาอันรวดเร็ว 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเห็นท่านอนของอีกฝ่ายที่ดูไม่น่าจะสบายนัก จึงยกร่างเธอมาวางบนตัว ให้หลินเช่อเกยซบร่างใหญ่เอาไว้แทน 


 


 


หลินเช่อขยับซุกจนได้ตำแหน่งที่เหมาะเจาะก่อนจะหลับลึกไปยิ่งกว่าเดิม 


 


 


ชายหนุ่มมองคนที่หลับปุ๋ยไปแล้ว ก่อนจะยิ้ม เอนกาย และหลับตาลงบ้าง 


 


 


เมื่อหลินเช่อตื่นขึ้น เธอก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดเล็กบนเครื่องบิน ที่ด้านตัว กู้จิ้งเจ๋อกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอันบึกบึนที่สวยงามสมส่วนอย่างยิ่ง 


 


 


หลินเช่อหน้าแดงขึ้นมาทันตา “คุณ…ทำไมถึงไม่สวมเสื้อผ้าล่ะคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมามอง “ยังจะมีหน้ามาถามอีก เสื้อฉันเปียกน้ำลายเธอไปหมดแล้วน่ะสิ จะไม่ให้เปลี่ยนได้ยังไงล่ะ” 


 


 


“อา…ไม่มีทาง…ฉัน…” 


 


 


“อยากให้ฉันเอาแผนที่โลกที่เธอเป็นคนวาดให้ดูหรือไงล่ะ” 


 


 


หน้าหลินเช่อยิ่งแดงหนักขึ้นไปอีก 


 


 


เขาก็พูดซะเกินไปนะ… 


 


 


ทว่า เมื่อเจ้าตัวยกมือแตะมุมปาก เธอก็สัมผัสได้ถึงคราบน้ำลายที่ติดอยู่ 


 


 


หลินเช่อมองหน้าชายหนุ่มด้วยความอายพลางหัวเราะแหะๆ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้า เมื่อคิดถึงน้ำลายหนืดๆ บนตัวเขาก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น เขาก็กลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด 


 


 


เพราะเมื่อคิดว่าเป็นน้ำลายของหลินเช่อ เขาก็รู้สึกเคยชินกับมันขึ้นมาซะอย่างนั้น 


 


 


ชายหนุ่มเคยคิดว่าเขาเป็นคนที่สร้างกำแพงป้องกันตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามาได้ แต่เมื่ออยู่ใกล้ๆ หลินเช่อ กำแพงเหล่านั้นดูเหมือนจะหายไปจนหมดสิ้น 


 


 


ไม่ช้าพวกเขาก็เดินทางมาถึงที่หมาย ชายหนุ่มพาหลินเช่อไปยังโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการตรวจรักษา โชคดีที่หมอบอกว่า แผลของหลินเช่อไม่เป็นปัญหาอะไรมากนัก แค่ต้องพักผ่อนให้พอ และไม่น่าจะเกิดรอยแผลเป็นตามมาในภายหลัง 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อโล่งอกถึงขนาดถอนหายใจยาว และหันไปมองคนต้นเรื่องว่า “เธอนี่หาเรื่องใส่ตัวเก่งจริงๆ” 


 


 


หลินเช่อทำปากยื่น 


 


 


เธอก็พอจะรู้ตัวอยู่เหมือนกันนั่นแหละว่ามักจะก่อเรื่องอยู่เนืองๆ 


 


 


จึงอดถามออกไปไม่ได้ว่า “แล้วคุณเสียใจรึเปล่าล่ะคะ ที่มาแต่งงานกับฉันแทนที่จะเป็นผู้หญิงที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยกว่านี้น่ะ” 


 


 


“แล้วฉันจะอยากแต่งงานกับผู้หญิงเรียบร้อยไปทำไมกัน” เขาถาม 


 


 


หลินเช่อสงสัย “ก็คุณชอบผู้หญิงที่กิริยามารยาทนุ่มนวลมากกว่าไม่ใช่เหรอคะ” 


 


 


เมื่อได้ยินชายหนุ่มก็พยักหน้า ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบจมูกหลินเช่อเบาๆ “ฉันชอบผู้หญิงกิริยามารยาทเรียบร้อยมากกว่าก็จริง แต่ในเมื่อฉันแต่งงานกับเธอแล้ว ฉันก็ต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเองสิ” 


 


 


คำพูดนั้นทำเอาหัวใจหลินเช่ออุ่นวาบขึ้นมาทันที 


 


 


แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่ามันยังมีบางอย่างที่ฟังดูขัดๆ อยู่ 


 


 


นี่เขายอมรับแล้วจริงๆ นี่นา ว่าชอบผู้หญิงเรียบร้อยน่ะ 


 


 


หลินเช่อยิ้มกริ่ม “ให้ตายเถอะ คุณนี่ไม่รู้จักพูดจาเอาใจผู้หญิงซะเลยนะ ก็คงมีแต่ผู้หญิงว่าง่ายสงบปากสงบคำนั่นแหละที่จะชอบผู้ชายแบบคุณน่ะ” 


 


 


“อะไรนะ” กู้จิ้งเจ๋อมองเธออย่างแปลกใจ 


 


 


“เชอะ” หลินเช่อรีบหันหน้าหนี “เอาละ ไหนๆ เราก็มาถึงต่างประเทศนี่แล้ว แถมแผลนี่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง งั้นเราไปเที่ยวชมเมืองกันเถอะค่ะ แอลเอนี่ใหญ่มากมั้ยคะ ฉันไม่เคยมาเที่ยวเมืองใหญ่ๆ แบบนี้มาก่อนเลย” 


 


 


“อะไรกัน” กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ว่าหลินเช่อรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน จนเขาตามอารมณ์เธอไม่ทันเลยทีเดียว 


 


 


หลินเช่อพูดต่อไปว่า “เอาละ เพื่อเป็นการชดเชยกับสิ่งที่คุณทำพลาดไป ฉันขอสั่งให้คุณไปช้อปปิ้งกับฉันแล้วก็ทำให้ฉันมีความสุข!” 


 


 


“แล้วทำไมเราถึงต้องไปช้อปปิ้งกันเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดของฉันด้วยล่ะ” 


 


 


“ก็เพราะคุณต้องซื้อกระเป๋าให้ฉันเพื่อเป็นการไถ่โทษของตัวคุณเองน่ะสิ” 


 


 


“แล้วทำไมถึงต้องเป็นกระเป๋าด้วย” 


 


 


“ตาบ๊อง ไม่เคยได้ยินหรือไงเล่า ว่ากระเป๋าน่ะเป็น ‘ยาสารพัดโรค’ น่ะสิคะ!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม