ลำนำสตรียอดเซียน 172.1-179

ตอนที่ 172-1 ทุกคนต่างก็มีโชคดีของตัวเอง

 

นี่คือคนที่นางแยกจากมาที่เขาอวิ๋นอู้มากกว่าสิบปีมาแล้ว เจียงซั่งหัง!


 


 


เจียงซั่งหังแตกต่างจากตัวเขาเมื่อสิบปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ย้อนไปเมื่อตอนที่โม่เทียนเกอเจอกับเจียงซั่งหังเมื่อพวกเขาเข้าสำนักอวิ๋นอู้ในตอนแรก เขายังหนุ่มและดูซื่อตรง ทว่าเขามักจะให้ความรู้สึกที่มืดมนและใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยการดูถูก ดังนั้นคนอื่นจึงแทบไม่อยากจะสนิทสนมกับเขา


 


 


ในทางตรงกันข้าม เจียงซั่งหังคนปัจจุบันดูค่อนข้างอ่อนวัยกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย พูดกันตามตรง เขายังอายุไม่ถึงห้าสิบปี ดังนั้นเขาจึงถือว่าอายุน้อยสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ตอนนี้เขาผอมกว่าแต่ก่อนมาก แต่ความรู้สึกมืดมนที่น่าอึดอัดใจของเขาได้กลายเป็นความเฉยเมย สีหน้าเขาก็ดูอ่อนโยนขึ้น ไม่ได้เต็มไปด้วยการดูถูกแต่ตอนนี้กลับแสดงให้เห็นความเฉยเมยเบาๆ แทน


 


 


เมื่อปีนั้น หลังจากนางถูกเจียงซั่งหังช่วยไว้ ทั้งสองคนต่างหนีไปตามทางของตัวเอง เพราะโม่เทียนเกอดึงดูดความสนใจของคนที่ไล่ตามพวกเขา จึงไม่มีใครรู้ว่าเจียงซั่งหังก็เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย ทำให้เขาสามารถหายตัวไปได้ด้วยดีจากเขาอวิ๋นอู้ ถึงแม้โม่เทียนเกอจะได้ฉินซีช่วยชีวิตเอาไว้ แต่นางก็ต้องเสียท่านอาของนางและต้องไปที่โรงเรียนเสวียนชิงซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นพันลี้ ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาถามไถ่ข่าวคราวเกี่ยวกับเจียงซั่งหัง ในชั่วพริบตา เวลามากกว่าสิบปีก็ได้ผ่านไปแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว


 


 


“… ศิษย์พี่เจียง”


 


 


เมื่อเห็นนาง เจียงซั่งหังก็ยิ่งตกใจมากกว่านางเสียอีก เพียงหลังจากที่เขาได้ยินเสียงของนางเท่านั้นเขาจึงกลับมาสงบจิตใจได้ เขาพูดกับไห่ปั๋วผู้ที่ยืนอย่างสงสัยอยู่ด้านข้างพวกเขา “นี่คือสหายของข้า รีบไปเอาชาบัวหิมะมาให้เราสิ”


 


 


ไห่ปั๋วรีบทำตามคำสั่ง “ขอรับๆ กรุณารอสักครู่ เดี๋ยวจะนำชามาให้ขอรับ”


 


 


เมื่อไห่ปั๋วออกไป สายตาเจียงซั่งหังมาจับอยู่ที่โม่เทียนเกออีกครั้ง ขณะที่เขามองสำรวจนาง ความตกใจของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป สุดท้ายแล้วเขาก็ยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ไม่เจอกันเสียนาน”


 


 


รอยยิ้มนี้ทำให้โม่เทียนเกอแอบรู้สึกสลดอยู่ลึกๆ ถ้าเป็นเจียงซั่งหังคนก่อนจะยิ้มไหม เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนไปมากในเวลาราวสิบปีหลังจากพวกเขาออกจากสำนักอวิ๋นอู้


 


 


“นานมากแล้วจริงๆ เพียงชั่วพริบตาเวลาสิบปีได้ผ่านไปแล้วและเราก็มาพบกันอีกครั้งที่นี่โดยไม่คาดคิด”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มและพยักหน้า “ศิษย์น้องเยี่ย เชิญนั่งสิ อ้อ ตอนนี้ข้าควรต้องเรียกเจ้าว่าอย่างไรดี”


 


 


โม่เทียนเกอนั่งบนเก้าอี้แขกและพูดด้วยรอยยิ้ม “คำที่ท่านเรียกข้ามันจะแตกต่างอย่างไรหรือ ชื่อที่ข้าใช้อยู่ข้างนอกยังคงเป็น ‘เยี่ยเสี่ยวเทียน’ ศิษย์พี่เจียงยังสามารถเรียกข้าเช่นนั้นได้” โม่เทียนเกอหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วจึงหยุดนิ่งพร้อมกับยิ้ม นางถามว่า “ศิษย์พี่เจียง ท่านยังใช้ชื่อเก่าอยู่หรือไม่”


 


 


เจียงซั่งหังนั่งบนที่นั่งหลักและส่ายหน้า “ทุกวันนี้ข้าใช้ชื่อเจียงสุ่ยหัน”


 


 


เป็นอย่างที่นางคาดไว้ เขาเปลี่ยนชื่อของเขาจริงๆ ด้วย เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น โม่เทียนเกอแค่ถอนหายใจและพยักหน้า เจียงซั่งหังอาจจะเปลี่ยนชื่อของเขาเพราะเขาไม่มีทางเลือก วินาทีที่เขาออกจากตระกูลเจียง เขาก็ได้ตัดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแล้ว ก่อนเขาจะจากไป ก็ถึงขนาดฆ่าทายาทผู้เป็นที่รักของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของตระกูลเจียง ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เหมือนกับนางที่เข้าโรงเรียนเสวียนชิงและมีคนคอยคุ้มครอง ถ้าเขาไม่เปลี่ยนชื่อ เขาก็คงถูกตามหาตัวเจอได้ง่ายมาก


 


 


“เราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี ศิษย์พี่เจียง ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเข้าสำนักเจิ้งฝ่าและมาลงเอยเป็นเทพเซียนของเผ่าในทิศเหนือสุดได้อย่างไร”


 


 


“ตอนนี้ข้าก็ค่อนข้างสบายดี” เจียงซั่งหังพูดแผ่วเบา “หลังจากข้าออกจากเขาอวิ๋นอู้ ข้ามุ่งมั่นที่จะออกจากคุนอู๋และมองหาเส้นเลือดวิญญาณที่อื่นที่ข้าสามารถฝึกตนได้ อย่างไรก็ตาม เพราะเส้นเลือดวิญญาณในโลกมนุษย์นั้นเล็กเกินไป ข้าจึงตัดสินใจไปที่เขตทิศเหนือสุดหลังจากคิดใคร่ครวญมามาก สำนักเจิ้งฝ่าเป็นสำนักใหญ่และเป็นเพียงกลุ่มการฝึกตนเดียวในเขตทิศเหนือสุดและก็เชี่ยวชาญพิเศษในเวทมนตร์ธาตุน้ำ เพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะกับข้าพอดี นอกจากนี้มันยังถูกแยกออกโดยภูเขาและแม่น้ำนับไม่ถ้วน ข้าคาดว่าไม่ว่าตระกูลเจียงจะตามหาข้าอย่างไร พวกเขาก็คงไม่ไปไกลถึงขั้นมาตามหาที่เขตทิศเหนือสุดแน่


 


 


“นั่น… ก็สมเหตุสมผล ศิษย์พี่เจียงฝึกเวทมนตร์ธาตุน้ำมาก่อน ท่านช่างเหมาะสมกับสำนักเจิ้งฝ่า” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่ต้องพยักหน้า เขาเชี่ยวชาญในวิชาธาตุน้ำ ดังนั้งวิชาการฝึกตนของสำนักเจิ้งฝ่าจึงเหมาะกับเขาพอดิบพอดี ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นการดีที่จะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากคุนอู๋


 


 


เจียงซั่งหังยิ้ม “การที่สามารถเข้าสำนักเจิ้งฝ่าได้อย่างราบรื่นที่จริงแล้วเป็นเรื่องบังเอิญ คนจากแถบทิศเหนือสุดที่มีรากวิญญาณจะได้รับเข้าเป็นศิษย์โดยสำนักเจิ้งฝ่าไม่ว่ารากวิญญาณของเขาจะแย่สักแค่ไหน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเข้มงวดมากกับผู้ฝึกตนที่มาจากทางใต้ รากวิญญาณของข้าแย่เกินไป มันคงจะยากมากสำหรับข้าที่จะถูกรับเข้ามาแต่แรก”


 


 


“โอ้ หรือว่าศิษย์พี่อาจจะไปบังเอิญเจอเข้ากับชะตาลิขิต”


 


 


“นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เมื่อข้ามาถึงที่นี่ ข้าบังเอิญเจอเข้ากับคนของเผ่านี้ ท่านเทพเซียนของพวกเขาเพิ่งเสียไป พวกเขาจึงเสี่ยงกับการถูกเผ่าอื่นเข้ามายึดครอง ดังนั้นพวกเขาจึงขอร้องให้ข้าเป็นท่านเทพเซียนของพวกเขา ข้าคิดว่าข้าไม่มีที่จะไป เพราะฉะนั้นข้าก็เลยแค่ตอบตกลงกับคำขอของพวกเขา ในภายหลัง สำนักเจิ้งฝ่าเปลี่ยนชื่อและเลิกใช้ชื่อ ‘โรงเรียนเจิ้งฝ่า’ ซึ่งเดิมเป็นที่รู้จักกันในชื่อนี้ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการเปลี่ยนชื่อ พวกเขาจึงมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ฝึกตนจากภายนอกที่กลายมาเป็นท่านเทพเซียนของเผ่าอย่างตัวข้า และเราก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมสำนักได้”


 


 


“… เข้าใจล่ะ” พูดอีกอย่างก็คือเจียงซั่งหังมีวันเวลาที่ยากลำบากกว่านางมากตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เขาเพียรพยายามหนีจากสำนักอวิ๋นอู้ ออกจากคุนอุ๋และหนีมาไกลถึงแถบทิศเหนือสุด คาดว่าเขาคงผ่านบททดสอบและความยากเข็ญมามากมายในตอนแรกเริ่ม โชคดีที่ความพยายามของเขายังให้ผลดีในท้ายที่สุด


 


 


เจียงซั่งหังมองนางแล้วจึงถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย จากหน้าตาท่าทางของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำได้ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นะ ตอนแรกข้าคิดว่ามันคงดีพอควรแล้วถ้าเจ้าสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานได้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าระดับการฝึกตนของเจ้าจะสูงกว่าข้ามากนัก! เจ้าคงได้รับโอกาสที่ดีพิเศษมาบ้างใช่ไหม” ระดับการฝึกตนของเขายังคงอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ถึงแม้เขาจะต้องการก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกออยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วและสามารถลองพยายามเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ทุกเวลา


 


 


รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ นิสัยของเจียงซั่งหังค่อนข้างถูกจริตนาง เขาพูดตามตรงถึงสิ่งที่เขาอยากจะพูดและไม่หม่นหมองเหมือนสมัยก่อน “ชีวิตข้าไม่แย่หรอก แต่ข้าก็แค่โชคดี”


 


 


“ข้าเกรงว่าแค่โชคดีคงไม่ใช่ทั้งหมดน่ะสิ ทำไมศิษย์น้องเยี่ยถึงถ่อมตัวนัก” เจียงซั่งหังหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าจะพูดตามตรง ตอนนั้นที่เราแยกกัน ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะหนีสถานการณ์ลำบากครั้งนั้นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้า… ท้ายที่สุดแล้วเจ้าหนีมาได้อย่างไหรือ”


 


 


“นี่…” โม่เทียนเกอรู้สึกขัดแย้งแต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจบอกความจริงกับเขา “ข้าเกือบจะลงเอยอย่างที่ท่านคาดการณ์ไว้นั่นล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ฉินมาช่วยข้าไว้ ข้าคงตายไปแล้วแน่”


 


 


“ศิษย์พี่ฉิน” เจียงซั่งหังใช้เวลาสักพักเพื่อคิดจากนั้นจึงพูดด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหมายถึงฉินซีน่ะหรือ ศิษย์น้องฉินที่อาศัยอยู่กับพวกเรา”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “หลังจากเราแยกกันวันนั้น ท่านอารองกับตัวข้าหนีไปจากเขาอวิ๋นอู้ แต่ในไม่ช้าเราก็โดนพวกเขาไล่ตามทัน เป็นเพราะเหตุนี้ทำให้ท่านอาของข้าต้องตาย…” ขณะที่นางพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้านางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก


 


 


เจียงซั่งหังดูรู้สึกเสียใจ เขากล่าว “ข้าต้องขอโทษ ที่ทำให้เจ้าต้องระลึกถึงเรื่องที่น่าเจ็บปวดเช่นนั้น”


 


 


“ไม่เป็นไร” พฤติกรรมของเจียงซั่งหังปัจจุบันนี้ห่างไกลจากที่เคยเป็นไปมากโข หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะขอโทษสำหรับเรื่องเช่นนี้หรือ นางยังคงพูดต่อ “ก่อนท่านอาของข้าจะตาย เขาบอกข้าให้ขอความช่วยเหลือจากใครคนหนึ่ง คนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังผู้โด่งดังในคุนอู๋ตะวันตกซึ่งติดหนี้บุญคุณท่านพ่อของข้า ครั้งหนึ่งเขาเคยให้เครื่องรางกระจายเสียงกับเราที่ใส่จิตสัมผัสของเขาอยู่… ไม่นานหลังจากข้าทำลายเครื่องรางกระจายเสียง ศิษย์พี่ฉินก็มาปรากฏตัว”


 


 


“อะไรนะ!” เจียงซั่งหังตกใจมาก เขาจมอยู่ในห้วงของการครุ่นคิดแล้วจึงถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่าศิษย์น้องฉินมีอาจารย์อยู่ก่อนที่เขาจะมาที่สำนักอวิ๋นอู้”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพยักหน้า นางรู้ว่าเจียงซั่งหังเข้าใจผิดแต่นางไม่มีความต้องการจะอธิบาย ที่จริงแล้วการคาดเดาของนางก่อนหน้านี้ก็เหมือนกับของเจียงซั่งหัง และฉินซีก็ปล่อยให้นางเชื่ออย่างนั้น ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ นางจะเชื่อได้อย่างไรว่านางอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังมาตั้งหลายปี


 


 


หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ครู่หนึ่ง เจียงซั่งหังถาม “เป็นไปได้ไหมว่าท่านอาจารย์ของศิษย์น้องฉินนั้นมีอิทธิพลมากกว่าสำนักอวิ๋นอู้ ดังนั้นเขาจึงสามารถ…”


 


 


“ถูกต้อง…” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “คนของสำนักอวิ๋นอู้จะกล้าหาเรื่องศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอแห่งโรงเรียนเสวียนชิงของคุนอู๋ตะวันตกได้อย่างไรกัน”


 


 


“อะไรนะ!” เจียงซั่งหังอุทานออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเด้งตัวยืนขึ้นด้วย


 


 


ทันใดนั้นเอง เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากด้านนอก “ท่านเทพเซียน ชาบัวหิมะพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เจียงซั่งหังพยายามสงบจิตใจ เขานั่งลงและพูดด้วยเสียงนิ่งๆ อีกครั้ง “เข้ามา”


 


 


หญิงคนหนึ่งยกม่านประตูเปิดขึ้นและเดินเข้ามาข้างในอย่างสง่างามพร้อมถือถาดอยู่ในมือ ขณะที่นางบริการชา สายตานางสลับไปมาระหว่างทั้งสองคนอย่างลับๆ ราวกับว่านางกำลังพยายามเดาความสัมพันธ์ของพวกเขา เมื่อนางวางชาเสร็จ ในที่สุดนางก็ขอตัวและออกไป


 


 


มีความแตกต่างอยู่บ้างระหว่างผู้หญิงที่เขตทิศเหนือสุดและผู้หญิงที่ดินแดนใจกลางและคุนอู๋ ถึงแม้ผิวของพวกนางจะขาว แต่ใบหน้าของพวกนางมีสีเข้มกว่าถ้าเทียบกัน รูปร่างของพวกนางไม่สูงแต่แข็งแรง จากชั่วขณะที่นางเข้ามาถึงเผ่านี้ ผู้หญิงทุกคนที่โม่เทียนเกอเห็นล้วนเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตาม หญิงคนนี้ดูสวยกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อย และรูปร่างของนางก็ดูอ้อนแอ้นแบบผู้หญิงมากกว่า นางไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงปกติทั่วไปจากเขตทิศเหนือสุด


 


 


เจียงซั่งหังสังเกตเห็นสายตานางแล้วจึงอธิบายว่า “ตั้งแต่สำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งมาในเขตทิศเหนือสุด มีการแต่งงานระหว่างพวกมนุษย์และเผ่าทางทิศเหนือสุดมากมาย ทุกวันนี้บางคนในเผ่าก็มีสายเลือดที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนใจกลางและคุนอู๋” หลังจากเขาอธิบายเสร็จ ก็ชี้ไปยังชาบัวหิมะบนโต๊ะ “ศิษย์น้องเยี่ยเคยดื่มชาบัวหิมะในเมืองต้าอันหรือยัง ย้อนกลับไปตอนที่ข้าหนีมายังเขตทิศเหนือสุด ข้าไม่ได้ดื่มชาบัวหิมะและข้าต้องทุกข์ทรมานอย่างมากก็เพราะเหตุนั้น โชคดีที่ข้าบังเอิญเจอชนเผ่าจากเผ่าสิงโตทะเลเข้า”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้าและหัวเราะ “ข้าก็ยังไม่เคยดื่มเหมือนกัน โชคดีที่ข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็คงต้องทนกับความลำบากเหมือนกัน”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มและทั้งสองคนต่างจิบชา


 


 


เหมือนกับชาทางใต้ ชาบัวหิมะก็ทำมาจากกรรมวิธีตากแห้งและต้มเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แทนที่จะใช้ใบชา กลีบดอกบัวหิมะกลับถูกนำมาใช้แทน เมื่อได้ดื่มไปเต็มคำ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นผุดขึ้นมาจากช่องท้องของนางและแผ่ขยายไปทั่วทั้งแขนขาและกระดูกทันที ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งตัว เห็นได้ชัดว่าวิธีการที่ใช้ในการต้านทานลมหนาวในเขตทิศเหนือสุดไม่ได้จำกัดอยู่แค่การชำระล้างด้วยน้ำดอกบัวหิมะต้มเท่านั้น การดื่มชาดอกบัวหิมะก็ได้ผลดีเช่นกัน


 


 


เจียงซั่งหังวางถ้วยชาของเขาจากนั้นจึงกลับไปพูดถึงหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อ “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากำลังบอกว่าศิษย์น้องฉินเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิงอย่างนั้นหรือ”


 


 


“ใช่แล้ว” นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่นางต้องเก็บเป็นความลับ


 


 


“เช่นนั้นก็หมายความว่า… เจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเสวียนชิงแล้วในตอนนี้”


 


 


โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มจางๆ “ข้าโชคดี ตอนที่ข้ามาโรงเรียนเสวียนชิง ข้าได้รับความกรุณาจากประมุขเต๋าจิ้งเหอและเขารับข้าเข้าไปเป็นศิษย์ลงนามของเขา หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้ ข้าจึงกลายเป็นศิษย์ทางการของเขา”


 


 


พอถึงตอนนี้ เจียงซั่งหังมองนางแตกต่างไปจากเดิม เมื่อเขาเห็นว่านางมั่นใจแค่ไหนและระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว เขาก็รู้แล้วว่านางต้องทำได้ดีอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยคิดว่านางจะทำได้ดีถึงเพียงนี้


 


 


ศิษย์ทางการของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่… เขาทบทวนกับตัวเอง หลังจากเขาสร้างฐานแห่งพลังงาน ความเร็วการฝึกตนของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์หัวกะทิ ดังนั้นเขาจึงยังถือว่าตัวเองโชคดีอยู่ บางครั้งเขาจะคิดกลับไปถึงศิษย์น้องเยี่ยจากเมื่อปีนั้น แต่เขาก็มักจะคิดว่านางคงจะจากโลกนี้ไปเสียแล้ว เขาคิดว่าต่อให้นางโชคดีพอที่จะหนีจากหายนะนั้นได้ แต่นางก็อาจจะไม่สามารถสร้างฐานแห่งพลังงานของตัวเองได้ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าไม่เพียงแต่นางจะสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จ แต่นางยังสบายดีมากอีกด้วย ดีมากเสียจนมันเกินกว่าจินตนาการของเขา

 

 

 


ตอนที่ 172-2 ทุกคนต่างก็มีโชคดีของตัวเอง

 

“หากเป็นเช่นนั้น ไม่น่าแปลกใจที่ศิษย์น้องเยี่ยทำการบรรลุผ่านดินแดนได้เร็วนัก ไม่เพียงแต่เจ้าจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างราบรื่น แต่เจ้ายังเข้าถึงจุดสูงสุดของขั้นกลางได้อย่างรวดเร็วมาก…” เจียงซั่งหังถอนหายใจแล้วจึงพูดต่อ “ทุกคนต่างก็มีโชคดีของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะอิจฉากัน”


 


 


“ศิษย์พี่เจียงก็เป็นศิษย์ทางการของสำนักเจิ้งฝ่าแล้ว ท่านจะอิจฉาข้าทำไมกัน คาดว่าด้วยอารมณ์ของศิษย์พี่เจียง การบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ก็ต้องเป็นไปได้แน่”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มเยาะตัวเอง “บรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่หรือ ข้ายังห่างไกลจากจุดนั้นมากนัก! ตอนนั้นข้าประเมินความสามารถของข้าสูงเกินไป ข้าคิดว่าบรรพบุรุษทั้งสองคนนั้นคอยกีดกันข้าและจงใจให้ความสำคัญกับเจียงเฉิงเสียนมากกว่า ที่จริงแล้วต่อให้พวกเขาไม่ได้กีดกันข้า แล้วมันจะมีความแตกต่างอะไรหรือ ข้าอาจจะสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างราบรื่น แต่… อนาคตของข้าหลังจากสร้างฐานแห่งพลังงานก็ยังคงยากจะคาดเดา”


 


 


โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ หากนางไม่ได้รับศาสตร์แห่งต้นกำเนิดที่เปลี่ยนนางจากคนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุแสนอ่อนแอไปเป็นอัจฉริยะผู้ได้รับพรจากสวรรค์ เส้นทางการฝึกตนของนางก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อนางยังอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ นางมักจะคิดว่าต่อให้เส้นทางไปสู่ความเป็นเซียนจะยากลำบาก แต่นางก็จะยังประสบความสำเร็จได้ตราบใดที่นางพยายามอย่างหนักมากพอ แต่หลังจากนางสร้างฐานแห่งพลังงานได้ อย่างไรก็ตาม นางก็รับรู้แล้วว่าการคาดเดาของนางนั้นไร้เดียงสาแค่ไหน ต้นทุน วิชาการฝึกตน อารมณ์ โชค ทุกอย่างล้วนสำคัญเท่ากันทั้งหมด


 


 


“อย่างน้อยศิษย์พี่เจียงก็ก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างราบรื่น ไม่ใช่หรือ”


 


 


เจียงซั่งหังพูดพร้อมกับถอนใจ “ข้าสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จก็เพียงเพราะข้าเข้าสำนักเจิ้งฝ่ามา ย้อนไปตอนนั้น ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังและยาเพิ่มพลังการก่อเกิด แต่ข้าก็ล้มเหลวในการพยายามลองครั้งแรก ในภายหลัง หลังจากข้ามาที่เขตทิศเหนือสุดและเข้าร่วมสำนักเจิ้งฝ่า ข้าจึงเปลี่ยนวิชาการฝึกตนไปเป็นวิชาการฝึกตนธาตุน้ำแข็งระดับสูงของสำนักเจิ้งฝ่า ในท้ายที่สุดข้าก็ชนะการแข่งขันย่อยภายในของสำนักและได้รับคำชี้แนะจากศิษย์พี่ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แค่ตอนนั้นล่ะที่ข้ากล้าเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนั้นข้าทำสำเร็จ”


 


 


“…” ด้วยรากวิญญาณสี่ธาตุที่เจียงซั่งหังมี เขาจัดว่าโชคดีจริงๆ ที่สร้างฐานแห่งพลังงานได้ในการพยายามครั้งที่สอง ที่จริงแล้วนางก็โชคดีเหมือนกันไม่ใช่หรือ “เมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังงาน ข้าใช้ยาสร้างฐานแห่งพลังไม่น้อยไปกว่าสี่เม็ด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าได้รับยาสร้างฐานแห่งพลังเล็กน้อยเป็นรางวัลจากท่านอาจารย์ของข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จตอนไหนเหมือนกัน” โม่เทียนเกอเองก็ถอนใจเช่นกัน นางไม่รู้เรื่องรู้ราวเมื่อนางยังอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ แต่บัดนี้ที่นางสร้างฐานแห่งพลังงานได้แล้ว ในที่สุดนางก็รู้ว่ามันยากเย็นแค่ไหนขณะที่นางระลึกถึงขั้นตอนนั้น


 


 


ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พวกเขาต่างเหลือบมองกัน และไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะเบาๆ ออกมา


 


 


หลังจากครุ่นคิด โม่เทียนเกอพูดอย่างแนบเนียน “อีกอย่างหนึ่ง ศิษย์พี่เจียง ตอนนี้อารมณ์ของท่านดูเหมือนจะแตกต่างไป…”


 


 


เจียงซั่งหังหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความว่าอะไร เจ้าคิดว่าข้าไม่น่ารำคาญเหมือนอย่างที่เคยเป็นใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะเช่นกันแต่นางไม่ได้ปฏิเสธ


 


 


เจียงซั่งหังพูด “การออกจากตระกูลเจียงและประสบกับหลายต่อหลายสิ่งทำให้ข้ารู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด… เมื่อข้ายังอยู่ในตระกูลเจียง ข้าใช้วิชาลับเพื่อฝึกตนอย่างเร็วและมันก็ทำลายร่างกายของข้า ดังนั้นอารมณ์ของข้าจึงแปลกมาก เมื่อข้าเข้าสำนักเจิ้งฝ่า ข้าทิ้งวิชาการฝึกตนเดิมของข้าและฝึกวิชาธาตุน้ำแข็งระดับสูงของสำนักเจิ้งฝ่าแทน เพราะฉะนั้นอารมณ์ของข้าจึงไม่เหมือนกับที่เคยเป็น”


 


 


“อย่างนี้นี่เอง…” ไม่น่าแปลกใจที่เขาให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงในตอนนี้ วิชาลับที่เขาใช้เมื่อก่อนคงจะโน้มเอียงไปทางความเยือกเย็นชนิดที่หมองหม่น ในขณะที่วิชาการฝึกตนธาตุน้ำแข็งระดับสูงในปัจจุบันของเขาจะโน้มเอียงไปทางความเยือกเย็นชนิดที่ชัดเจนมากกว่า อีกอย่างหนึ่ง เมื่อไม่มีตระกูลเจียงคอยผูกมัดเขา มันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกสบายใจไร้กังวลมากกว่า


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าทุกคนก็เคารพข้าที่นี่และสำนักเจิ้งฝ่าไม่ได้คอยบังคับอะไรข้า ทุกอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องรู้สึกขมขื่นอีกต่อไป”


 


 


โม่เทียนเกอก็คิดว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน สภาพแวดล้อมที่อยู่จะส่งผลกระทบต่อนิสัยของพวกเขา ย้อนกลับไปตอนที่นางอยู่ในสำนักอวิ๋นอู้ นางต้องคอยระวังกับทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นจิตใจของนางจึงว้าวุ่น นางมักจะยิ้มให้ทุกคนไม่ว่าอย่างไรก็ตามและนางมักจะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นโกรธเคืองเสมอแม้เพียงนิดเดียว อย่างไรก็ตาม ในโรงเรียนเสวียนชิง ระดับการฝึกตนของนางสูงมากพอและนางก็มีทั้งตัวตนและสถานะ ดังนั้นบุคลิกของนางจึงเริ่มจะค่อยๆ เปิดเผยมากขึ้นและนางก็ได้เรียนรู้ที่จะหัดใช้อำนาจบ้างเช่นกัน


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ยก็เปลี่ยนไปเหมือนกันนะ…” เจียงซั่งหังมองนางขึ้นๆ ลงๆ และยิ้ม “ศิษย์น้องเยี่ยคนเก่ายังดูเหมือนเด็ก แต่… ตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นเทพธิดาได้แล้ว”


 


 


นี่เป็นคำชมหรือ โม่เทียนเกอรู้สึกแปลกนิดหน่อย ถึงแม้นางจะเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าผู้หญิง แต่นางก็มักจะใส่ชุดชาวลัทธิเต๋าตัวกว้างที่มีแขนเสื้อกว้างและเกล้าผมเป็นมวยสูงแบบชาวลัทธิเต๋า แม้แต่เครื่องประดับเพชรที่ฉินซีให้นางสมัยก่อนก็ยังไม่เคยถูกเอามาใช้… การนึกถึงชื่อนั้นทำให้นางรู้สึกงุนงง พวกเขาไม่ได้เจอกันมาสิบปี ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าเขายังคงอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิหรือไม่ ท่านอาจารย์ของนางบอกว่าเพราะมีอะไรมากมายหลายอย่างในจิตใจของเขา เขาน่าจะล้มเหลวในการสร้างจิตวิญญาณใหม่ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะทำมัน นางรู้ว่าเขาไม่ใช่คนใจร้อนเมื่อเป็นเรื่องการฝึกตน แล้วอะไรทำให้เขารีบเร่งที่จะสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขานัก


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย! ศิษย์น้องเยี่ย!”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอจึงรู้ตัวว่าจิตใจของนางล่องลอยไปชั่วขณะ ขณะที่รู้สึกกลุ้มใจกับตัวเอง นางพูดว่า “ขอโทษ ศิษย์พี่เจียง…”


 


 


เจียงซั่งหังมองนางเหมือนมีคำถามแต่สุดท้ายเขาก็แค่ส่ายหน้าและไม่ได้ถามอะไร เขากลับพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งแทน “เจ้าบอกว่าศิษย์น้องฉินเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอ งั้นก็หมายความว่า… เจ้าทั้งสองคนตอนนี้เป็นสหายศิษย์ที่อยู่ภายใต้ท่านอาจารย์คนเดียวกันหรือ”


 


 


“… ใช่”


 


 


“ในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนที่มีชื่อเสียงอย่างโรงเรียนเสวียนชิงและถึงขนาดมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เป็นอาจารย์ของเขา ทำไมเขาถึงต้องเข้าไปที่สำนักอวิ๋นอู้ด้วย เขาอยู่ที่นั่นตั้งสามปีด้วยซ้ำ…”


 


 


“เอ…” นางก็ไม่แน่ใจกับเรื่องนี้เช่นกัน อีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉินซี นางจะพูดถึงคงไม่เหมาะ


 


 


เมื่อสังเกตเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของนาง เจียงซั่งหังจึงพูดว่า “ข้าแค่ถามเล่นๆ น่ะ หากเจ้าไม่อยากพูด เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้”


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจด้วยความโล่งอก จากนั้นนางยิ้มและอธิบายว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของศิษย์พี่ฉิน คงไม่เหมาะที่ข้าจะพูดถึงมัน”


 


 


“เป็นตัวข้าเองที่หยาบคายเกินไป” เจียงซั่งหังปล่อยคำถามนั้นไปแต่ถามนางอีกคำถามแทน “ถ้างั้นแล้วศิษย์น้องฉินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“… สบายดีมาก” คำพูดที่นางอยากจะพูดติดอยู่ที่มุมปากแต่สุดท้ายนางก็กล้ำกลืนมันลงไป “ศิษย์พี่ฉินทำการบรรลุผ่านดินแดนได้เร็วกว่าข้าเสียอีก”


 


 


“จริงหรือ” เจียงซั่งหังถามด้วยความประหลาดใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ปีนั้นเขาเป็นแค่ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ แต่เขาก็เป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว… เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้นทุนของเขาจะยอดเยี่ยมมาก” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น สายตาของเขาหันเหไป เขารู้ว่าศิษย์น้องเยี่ยมีต้นทุนอย่างไร แต่นางก็ยังถูกผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่รับเข้าเป็นศิษย์ เพราะเหตุนั้น เขาจึงสงสัยว่านางจะถูกรับเข้าไปเพราะเห็นแก่ศิษย์น้องฉิน


 


 


“ก็ประมาณนั้น…” โม่เทียนเกอพูดแผ่วๆ “ศิษย์พี่ฉินเป็นผู้สืบสกุลสายข้างเคียงของท่านอาจารย์ข้าและต้นทุนของเขาก็ยอดเยี่ยม คาดว่าการเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้”


 


 


“เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่…” หลังจากได้ยินดังนั้น เจียงซั่งหังอดไม่ได้ที่ต้องพูดว่า “ศิษย์น้องฉินตอนนี้ก็อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเหมือนกันไม่ใช่หรือ ต่อให้เขาเป็นอัจฉริยะที่มีรากวิญญาณเดี่ยว แต่การเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่สำเร็จไม่ใช่เรื่องแน่นอนสักหน่อย…”


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น โม่เทียนเกอก็แค่เผยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับว่านางไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนประเด็น “ในคนห้าคนที่บ้านของเราตอนนั้น ศิษย์น้องสวีตายไป และศิษย์น้องฉินก็ออกมาพร้อมกับเรา ดังนั้นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในสำนักอวิ๋นอู้คือศิษย์พี่หลิ่วคนนั้น ข้าสงสัยว่าเขาจะมีความสุขไหมกับความสำเร็จของเขาในตอนนี้”


 


 


เจียงซั่งหังมีรอยยิ้มเยาะอยู่บนใบหน้าขณะที่เขาพูดถึงหลิ่วอีเตาเหมือนกับว่าเขารังเกียจ


 


 


โม่เทียนเกอย่นคิ้วเล็กน้อย นางถามด้วยความสับสน “ศิษย์พี่เจียง ท่านไม่ได้มีปัญหาอะไรกับศิษย์พี่หลิ่วในตอนนั้นใช่ไหม”


 


 


“แน่นอนว่าไม่มีหรอก”


 


 


“เช่นนั้นแล้วทำไมท่าน…”


 


 


เจียงซั่งหังพูดเยาะเย้ยอีกครั้ง “ตอนแรกข้าคิดว่าเขาเป็นคนที่ยึดติดกับความสำคัญของมิตรภาพ ซึ่งหาได้ยากในหมู่ผู้ฝึกตน ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งข้าจะค้นพบความลับของเขาเข้าจริงๆ”


 


 


“ความลับ” โม่เทียนเกอประหลาดใจ


 


 


“ใช่ ความลับ” เจียงซั่งหังถามอย่างเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องสวีตายอย่างไร”


 


 


“ในการทดสอบเพื่อให้ได้รับยาสร้างฐานแห่งพลัง…” จู่ๆ โม่เทียนเกอก็หยุดกลางคัน ในเมื่อเจียงซั่งหังพูดอย่างนั้น หรือว่าการตายของสวีจิ้งจืออาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลิ่วอีเตา


 


 


เมื่อเขาเห็นสีหน้าของนาง เจียงซั่งหังพยักหน้าอย่างเย็นชา “เจ้าควรจะเดาได้ว่าข้าหมายความว่าอะไร ข้าเห็นพวกเขาโดยบังเอิญเมื่อปีนั้นในป่า ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าพวกเขาโดนโจมตีจากทุกด้าน แต่ทันทีที่ถึงช่วงเวลาคับขัน ศิษย์พี่หลิ่วไม่เตือนศิษย์น้องสวีถึงการโจมตีและใช้ข้อได้เปรียบของความจริงที่ว่าพวกคนโจมตีไม่สังเกตเห็นเขาเพื่อยืดเวลาให้ตัวเองหนีไปได้ เขาปล่อยให้ศิษย์น้องสวีถูกตีวงล้อมโดยผู้ฝึกตนสำนักจื่อซย่าทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”


 


 


“อะไรนะ!” ใบหน้าโม่เทียนเกอซีดเผือด นางกำลังจะถามเจียงซั่งหังว่าทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรเมื่อเขาเห็นทุกอย่าง แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วนางก็ไม่ได้ถาม นอกจากอารมณ์ของเจียงซั่งหังในตอนนั้น การต่อสู้ครั้งนั้นคงจะต้องจบลงด้วยการพ่ายแพ้แน่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องรนหาที่ตาย อย่างไรก็ตาม การมองอยู่ด้านข้างก็เรื่องหนึ่ง แต่การทิ้งสวีจิ้งจือไว้ให้ต้องพลีชีพนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย!


 


 


นางครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อนางเจอหลิ่วอีเตาครั้งก่อน เขาโมโหกับการตายของสวีจิ้งจือมาก… หรือว่าบางทีเขาอาจจะรู้สึกผิด ในเมื่อตัวเขาเองทำให้เกิดความวุ่นวายนั้น เขาคงจะโกรธพวกคนที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจเช่นนั้นมากยิ่งขึ้น


 


 


โม่เทียนเกอพูดช้าๆ “ศิษย์พี่หลิ่ว… ก็สร้างฐานแห่งพลังงานได้เช่นกันแล้วตอนนี้ ข้าเจอเขาครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของสำนักอวิ๋นอู้”


 


 


“งั้นหรือ” เจียงซั่งหังเยาะเย้ย แต่สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นความเฉยเมยที่สุด “ข้าออกจากสำนักอวิ๋นอู้มานานแล้วและข้าก็ไม่มีเจตนาจะกลับไปอีกในอนาคต เขาจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไร นางกำลังคิดเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่าสิบปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหลิ่วอีเตาทำผิดต่อสวีจิ้งจือแล้วจะทำไมหรือ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรกับคนผู้นั้นอีก


 


 


แค่เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกอ่อนไหว แน่นอนว่าคนเราอาจจะรู้จักคนผู้หนึ่งมาเป็นเวลานานโดยไม่เข้าใจถึงนิสัยธาตุแท้ของพวกเขาเลยก็ได้

 

 

 


ตอนที่ 173 ดื่มเหล้าองุ่นแก้วใหญ่

 

หลังจากคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์อื่นๆ ที่ทั้งสองคนยกหัวข้อต่างๆ มาพูด เจียงซั่งหังก็ถามขึ้นว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์โรงเรียนดังแล้วตอนนี้ เหตุใดเจ้าถึงมาที่กันดารอย่างเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี่เล่า”


 


 


“คือ… ข้าจะพูดตามตรงกับศิษย์พี่เจียง ข้าออกจากภูเขามาเพื่อท่องเที่ยว และเนื่องจากสำนักเจิ้งฝ่าและโรงเรียนเสวียนชิงของข้าทั้งคู่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเต๋า ข้าจึงลองมาที่นี่” สิ่งที่นางพูดนั้นจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง เรื่องที่นางออกจากโรงเรียนเพื่อท่องเที่ยวนั้นเป็นเรื่องจริง ทว่าคงไม่เหมาะที่จะพูดมากเกินไปถึงชะตาลิขิตอย่างการที่นางเข้าไปถึงถ้ำเซียนของจื่อเวย


 


 


เป็นธรรมดาที่เจียงซั่งหังไม่รู้ว่านางกำลังปิดบังอะไรอยู่ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำตอบของนาง เขาจึงแค่พยักหน้า นี่เป็นเรื่องปกติมาก เพื่อจะหลีกเลี่ยงการมีสภาวะจิตใจไม่มั่นคงในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนและทำไม่สำเร็จ ศิษย์ส่วนใหญ่จากกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ จึงมักจะออกไปข้างนอกเพื่อหาประสบการณ์ภาคสนามก่อนที่จะทำการบรรลุผ่านดินแดน โม่เทียนเกอตอนนี้อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ดังนั้นตามกฎแล้ว นางก็ต้องออกไปข้างนอกและหาประสบการณ์ก่อนที่นางจะสามารถลองทำการเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน


 


 


“แล้วศิษย์พี่เจียงเล่า ทำไมตอนนี้ท่านไม่อยู่ในสำนักเจิ้งฝ่า”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มแต่ไม่ได้ตอบทันที มีร่องรอยของความลังเลในใบหน้าเขา แต่สุดท้ายเขาก็พูดช้าๆ ว่า “ข้าเองก็จะพูดตามตรงกับเจ้าเช่นกัน หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงาน มันคงจะยากมากสำหรับการฝึกตนของข้าที่จะพัฒนาไปด้วยต้นทุนของข้า เพราะเหตุนั้น ทุกวันนี้ข้าจึงไม่ได้อยู่ในสำนักตลอดเวลา ข้ามักจะออกไปข้างนอก มองหาพืชวิญญาณเพื่อปรุงยาวิเศษ ไม่เช่นนั้นด้วยต้นทุนที่ข้ามี มันจะยากมากสำหรับข้าที่จะ…” เขาหยุดก่อนจะพูดต่อ “นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงออกจากสำนักในครั้งนี้ เจ้าไม่ควรทึกทักเอาว่าเขตทิศเหนือสุดเป็นแค่ทุ่งหิมะที่ไร้ขอบเขต ที่จริงแล้วมีสิ่งดีๆ มากมายข้างนอกนั่น มันแค่ขึ้นอยู่กับว่าคนเราจะสามารถหามันเจอหรือไม่”


 


 


เมื่อเห็นรอยยิ้มลับๆ บนใบหน้าเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่ต้องถามว่า “ศิษย์พี่เจียงพอจะรู้หรือไม่…”


 


 


เจียงซั่งหังยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเขา พูดว่า “หากศิษย์น้องเยี่ยสนใจ เราสามารถคุยรายละเอียดกันทีหลังได้ ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยก็มาถึงเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดแล้ว ข้าควรจะทำเต็มที่ในฐานะเจ้าบ้านและต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี”


 


 


เมื่อสังเกตเห็นว่าเจียงซั่งหังเปลี่ยนประเด็น โม่เทียนเกอก็รู้ทันทีว่าเขาไม่อยากจะพูดถึงมันในตอนนี้ นางจึงหยุดถามและเป็นฝ่ายพูดนำแทน นางพูดพร้อมพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นข้าคงจะต้องขอบคุณศิษย์พี่เจียง ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้ ข้าเป็นแค่คนแปลกหน้าในต่างแดน การมีศิษย์พี่เจียงคอยอยู่เป็นเพื่อนก็คงจะดีไม่น้อย”


 


 


เจียงซั่งหังหัวเราะแล้วจึงพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าคิดว่าเจ้าต้องเหนื่อยมากแน่ ถ้าเช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อนดีไหม เมื่อเจ้าพักผ่อนเพียงพอแล้ว เราค่อยมาปรึกษากันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกตน หรือบางทีข้าอาจจะพาเจ้าไปดูทิวทัศน์ของเขตทิศเหนือสุดนี้ได้”


 


 


“เช่นนั้น… ข้าคงต้องรบกวนศิษย์พี่ด้วย”


 


 


เจียงซั่งหังพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มแล้วจึงตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้!”


 


 


ครู่เดียวหลังจากนั้น หญิงคนที่ก่อนหน้านี้นำชามาให้พวกเขาเปิดประตูม่านเข้ามาอีกครั้ง นางทำความเคารพเขาแล้วจึงถามว่า “ท่านเทพเซียน ท่านมีอะไรจะสั่งการหรือเจ้าคะ”


 


 


เจียงซั่งหังพูด “เก็บกวาดบ้านพักแขกให้เรียบร้อย ดูแลสหายของข้าให้ดีล่ะ”


 


 


หญิงคนนั้นเหลือบมองโม่เทียนเกอ “เจ้าค่ะ” ทันทีหลังจากนั้น นางเดินมาหาโม่เทียนเกอ โค้งอย่างนอบน้อมแล้วจึงทำท่า “เชิญ” ด้วยมือของนาง “ท่านเทพธิดา เชิญมากับข้าน้อยเจ้าค่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอประสานมือไปทางเจียงซั่งหังอีกครั้งแล้วจึงยืนขึ้นและตามหญิงผู้นั้นออกจากบ้านน้ำแข็งไป


 


 


มนุษย์หญิงผู้นั้นนำทางนาง เลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำแข็งที่ไม่ห่างออกไปมากนัก ไม่มีความแตกต่างมากระหว่างบ้านน้ำแข็งหลังนี้และหลังที่เจียงซั่งหังอยู่ก่อนหน้านี้ ด้านนอกคือห้องนั่งเล่นเล็กๆ เหมือนกันและด้านในคือห้องนอนซึ่งถูกกั้นโดยประตูม่านจากห้องนั่งเล่น ประตูไม่เหมาะกับบ้านน้ำแข็งในเขตทิศเหนือสุดนี้ เพราะฉะนั้นเห็นได้ชัดว่าบ้านทุกหลังจึงใช้ประตูม่านที่ทำมาจากหนังสัตว์


 


 


หลังจากพานางมาที่นี่ มนุษย์หญิงโค้งอย่างนอบน้อมอีกครั้ง “ท่านเทพธิดาเชิญพักที่นี่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการอะไร ท่านต้องทำเพียงแค่ตะโกนเรียกข้า”


 


 


“อืม” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับสำรวจดูบ้านน้ำแข็งหลังเล็ก


 


 


มนุษย์ผู้หญิงทำความเคารพนางแล้วจึงออกจากบ้านไป


 


 


โม่เทียนเกอนวดหน้าผากของนาง ถึงแม้นางจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่นางก็ยังระวังตัวมากพอที่จะวางม่านพลังป้องกันเอาไว้ภายในบ้านก่อนจะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง


 


 


ในแคว้นจิ้น นางพบการผันผวนของพลังวิญญาณและตามมันมาจนกระทั่งนางมาถึงหุบเขามรสุมในภูเขาเก้าวิญญาณ ที่นั่นนางเข้าไปในถ้ำเซียนของจื่อเวย และสุดท้ายนางก็ถูกส่งมายังเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดโดยม่านพลังเคลื่อนย้าย ที่จริงแล้วทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสามถึงสี่วัน สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน สามถึงสี่วันนั้นแทบไม่มีค่า แต่อย่างไรก็ตาม เพราะนางผ่านเหตุการณ์หลายต่อหลายสิ่งมาในช่วงเวลานั้น โม่เทียนเกอจึงรู้สึกเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว


 


 


ตอนนี้เมื่อนางเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและรู้สึกปลอดภัยได้ในที่สุด โม่เทียนเกอไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น นางนอนลงโดยตรงและหลับไปเกือบจะทันที


 


 


ครั้นถึงเวลาที่นางตื่นขึ้น นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเวลาเท่าไร จากนั้นนางจำได้ว่านางผ่านอะไรมาบ้างในถ้ำเซียนของจื่อเวย จากกระเป๋าเอกภพของนาง นางเอาหุ่นเชิดรูปปั้นหินสลักสองตัว หนังสือม่านพลังเสวียนจี และหินสุริยันออกมา


 


 


ในถ้ำเซียนของจื่อเวยนางได้รับของมาทั้งหมดห้าอย่าง รองเท้าย่ำเมฆาที่ใส่อยู่กับตัวนาง ส่วนสินแร่ที่ไม่รู้จักนั้น ถึงแม้นางจะบอกไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน นางจึงเก็บมันไว้ก่อน นอกเหนือจากของสองอย่างนั้น ของอีกสามอย่างอยู่ต่อหน้านางแล้วตอนนี้


 


 


หุ่นเชิดรูปปั้นหินสลักสองตัวนี้อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายทั้งคู่ จากวิชาสำหรับควบคุมที่นักเดินทางจื่อเวยทิ้งไว้ในจิตใจนาง นางค้นพบว่าหุ่นเชิดพวกนี้จะซึมซับพลังวิญญาณรอบตัวมันโดยอัตโนมัติ ตราบใดที่มีพลังวิญญาณ มันก็จะสามารถใช้การได้เสมอ สำหรับตัวนางในปัจจุบัน การมีผู้ช่วยระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายสองตัวหมายความว่าพละกำลังของนางเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่ง ถ้านางสามารถควบคุมพวกมันได้อย่างดี นางไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ฝึกตนคนไหนที่ระดับการฝึกตนต่ำกว่าดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเลยด้วยซ้ำ


 


 


ยังมีหินสุริยันอีกด้วย ตามคำของนักพรตฟางเจิ้ง สิ่งนี้สามารถผลิตไฟสุริยันซึ่งสามารถใช้ในการปรุงยาวิเศษได้ นางทิ้งเสี่ยวหั่วไว้กับเจินจีเพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย และไฟตานเถียนของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานก็ไม่แกร่งมากพอ ดังนั้นนางจึงขาดไฟในการปรุงยาอยู่ ณ ตอนนี้ การมีหินสุริยันนี้จะทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายสำหรับนางมากขึ้น


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในทั้งหมดนี้คือหนังสือม่านพลังเสวียนจี ภายในถ้ำเซียนของจื่อเวย นางได้เจอมากับตัวเองถึงพลังที่น่าเกรงกลัวของม่านพลังมายาแล้ว และนักเดินทางจื่อเวยยังพูดว่าเขาอ่อนข้อให้พวกนางในม่านพลังนั้น ถ้าเขาไม่ปรานี ม่านพลังนั้นจะน่ากลัวมากแค่ไหน ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่นางศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจีจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะพูดว่านางจะสามารถสู้กับศัตรูได้หลายคนพร้อมกันในคราวเดียวได้แน่ถ้านางมีการเตรียมตัวมากพอ ต่อให้ศัตรูของนางจะเป็นผู้ฝึกตนระดับสูง แต่นางก็คงไม่ลงเอยด้วยการหมดหนทางช่วยชีวิตตัวเองแน่นอน


 


 


นางใส่จิตสัมผัสลงไปในหยกบันทึกเรียบร้อยแล้วและเตรียมพร้อมจะศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจี แต่จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดังมาจากภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน “ท่านเทพธิดา ท่านเทพธิดา”


 


 


โม่เทียนเกอชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วและในเวลาเสี้ยววินาทีถัดมา นางก็ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน จากนั้นนางเปิดม่านพลังและพูดว่า “เข้ามาได้!”


 


 


ใครบางคนยกประตูม่านเปิดขึ้นข้างนอกและเดินเข้ามา แต่แล้วก็หยุดอยู่นอกประตูด้านใน ในไม่ช้า เสียงของผู้หญิงคนเมื่อวานดังผ่านเข้ามา “ท่านเทพธิดา ท่านเทพเซียนของเราต้องการขอพบท่าน ท่านเทพธิดามีเวลาพบเขาหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


ปรากฏว่าเจียงซั่งหังต้องการจะพบนาง! โม่เทียนเกอพยักหน้า “ได้สิ ไปกัน”


 


 


หญิงคนนั้นทำความเคารพนางอีกครั้งก่อนจะเดินนำนางกลับไปที่บ้านน้ำแข็งที่นางแวะไปเมื่อวาน


 


 


เมื่อพวกเขาเปิดประตูม่าน นางเห็นเจียงซั่งหังกำลังคอยนางอยู่แล้วในห้องนั่งเล่น พอเห็นนางเดินเข้ามา เจียงซั่งหังยืนขึ้นและทักทายนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าไม่ได้รบกวนเจ้าใช่ไหม”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม “ไม่หรอก ข้าไม่มีอะไรทำพอดี”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มกลับ “เช่นนั้นก็ดีเลย ศิษย์น้องเยี่ย ข้าพูดว่าข้าจะพาเจ้าไปดูทิวทัศน์ในเขตทิศเหนือสุด บังเอิญว่าอากาศวันนี้แจ่มใสดี เพราะฉะนั้นเราออกไปเดินเล่นกันไหม”


 


 


“ได้สิ” ในเมื่อเจ้าบ้านเชิญนาง มีเหตุผลอะไรที่นางจะปฏิเสธด้วยหรือ


 


 


ทั้งสองคนออกจากบ้านน้ำแข็ง รายล้อมไปด้วยมนุษย์ชาวเผ่าที่ล้วนหมอบอยู่กับพื้นเมื่อเห็นพวกเขา ต่างใช้เครื่องมือเวทบินได้ของตัวเองและเหาะขึ้นไปในอากาศ


 


 


พวกมนุษย์ด้านล่างกำลังมองพวกเขาทั้งด้วยความเคารพและความอิจฉา โม่เทียนเกอถึงขนาดเห็นแม่คนหนึ่งอุ้มลูกที่อายุราวๆ สามถึงสี่ขวบของนางขึ้นและบอกเขาอย่างจริงใจว่า “เสี่ยวเฟิง เจ้าเห็นไหม เขาเป็นท่านเทพเซียน! ท่านเทพเซียนบอกว่าเจ้ามีรากวิญญาณและถึงแม้รากวิญญาณของเจ้าจะไม่ดีนักแต่เจ้าก็ยังฝึกตนได้ เจ้าต้องขยันฝึกตนอย่างพากเพียร เมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าจะสามารถเหาะได้เหมือนอย่างท่านเทพเซียน!”


 


 


คาดว่าเจียงซั่งหังคงได้ยินสิ่งที่แม่คนนั้นพูดเช่นกันเพราะเขายิ้มให้โม่เทียนเกอและอธิบายว่า “เด็กคนนั้นมีรากวิญญาณห้าธาตุ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังสามารถฝึกตนได้ ดังนั้นทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่เขา”


 


 


โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจกับเรื่องนี้ “คงจะมีคนแค่ไม่กี่ร้อยคนในเผ่านี้ใช่ไหม ศิษย์พี่เจียง ท่านบอกว่าท่านมาที่เผ่านี้เพราะท่านเทพเซียนของเผ่านี้ตายไป แต่ตอนนี้กลับมีเด็กที่มีรากวิญญาณมาปรากฏตัวขึ้น… ทำไมข้ารู้สึกว่าโอกาสของการเกิดมามีรากวิญญาณที่นี่ถึงค่อนข้างสูง”


 


 


“ถูกต้อง! ข้าเองก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เหมือนกันเมื่อตอนที่ข้ามาที่นี่แรกๆ” เจียงซั่งหังกล่าว “โอกาสที่รากวิญญาณจะปรากฏขึ้นในหมู่พวกมนุษย์ทางแถบทิศเหนือสุดนั้นสูงกว่าในพวกมนุษย์ของดินแดนใจกลางมากนัก แทบจะไม่ด้อยไปกว่าโอกาสของตระกูลผู้ฝึกตนในคุนอู๋เลย เผ่าที่มีคนไม่กี่ร้อยคนสามารถให้กำเนิดคนหนึ่งคนที่มีรากวิญญาณได้ แต่อย่างไรก็ตาม รากวิญญาณของพวกเขาโดยทั่วไปมักจะย่ำแย่ ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณาณสามธาตุหรือดีกว่านั้นแทบจะไม่มีเกิดมาเลย ยิ่งไปกว่านั้น อายุขัยผู้ฝึกตนของพวกเขาก็สั้นกว่าผู้ฝึกตนจากคุนอู๋อย่างพวกเราด้วย”


 


 


“อ้อ…”


 


 


“ข้าคิดว่านี่คงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติของเขตทิศเหนือสุด พวกเขาต้องการการปกป้องจากผู้ฝึกตน ดังนั้นทีละน้อยๆ พวกเขาจึงมีผู้ฝึกตนมากกว่าคุนอู๋ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีข้อได้เปรียบแล้วข้อหนึ่ง ก็เป็นธรรมดาที่จะมีข้อเสียเปรียบ สิ่งที่พวกเขาต้องแลกคืออายุขัยของผู้ฝึกตน ซึ่งสั้นกว่าอายุขัยผู้ฝึกตนของคุนอู๋”


 


 


นางเข้าใจเหตุผลนี้ได้ ครั้งหนึ่งเคยมีทฤษฎีในยุคกลาง ทฤษฎีนั้นเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติคัดสรร มีเพียงแค่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ ความจริงนั้นยังรองรับทฤษฎีนี้อีกด้วย เพราะความเปลี่ยนแปลงเดียวที่ปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมจะถูกส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในอนาคต และคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะล้มหายตายจากไป


 


 


ดังเช่นที่เจียงซั่งหังพูด อากาศวันนั้นแจ่มใส ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ให้ความอบอุ่นแก่พวกเขาเมื่อสาดส่องลงมา แสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนธารน้ำแข็งก่อให้เกิดแสงสีสันสดใสเป็นประกายสวยงามประดุจสายรุ้ง


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอผู้ที่กำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้ามองที่ภาพทิวทัศน์เบื้องล่างนาง นางรู้สึกว่าเขตธารน้ำแข็งที่เป็นประกายระยิบระยับไม่รู้จบซึ่งมีสายรุ้งอยู่เหนือหัวนั้นช่างน่าทึ่งเสียจริง


 


 


เจียงซั่งหังมองกลับมาและเห็นสีหน้าของนาง จากนั้นเขาพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องเยี่ยก็รู้สึกว่าทิวทัศน์ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้สวยมากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า ไม่สามารถยั้งตัวเองจากการอุทานด้วยความชื่นชมได้ “โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ความงามของแต่ละที่ก็แตกต่างกัน แนวเทือกเขาคุนอู๋เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่หิมะขาวสุดลูกหูลูกตาของเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้ก็น่าประทับใจมากเช่นกัน”


 


 


“ถูกต้อง” เจียงซั่งหังดูภูมิใจ “เมื่อข้ามาที่นี่ ในที่สุดข้าก็ตระหนักว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่แค่ไหน ทำไมข้าต้องจำกัดตัวเองอยู่แค่ในที่เดียวด้วย ในเมื่อตระกูลเจียงไม่ได้ดูแลข้าดี ข้าก็แค่ต้องจากมา โลกนี้ช่างใหญ่โต จะเป็นไปได้หรือที่ข้าจะไม่สามารถเข้ากับที่ไหนได้เลย โลกนี้ช่างสวยงาม ทำไมข้าต้องรู้สึกเศร้าเพราะตระกูลเจียงที่ไม่เคยปฏิบัติกับข้าอย่างดีด้วย”


 


 


“ท่านพูดถูก!” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะปรบมือและชมเขา “ศิษย์พี่เจียงช่างมีวิสัยทัศน์… หากมีเหล้าองุ่นละก็ ท่านต้องดื่มแก้วใหญ่แน่!”


 


 


“ฮ่าๆ!” เจียงซั่งหังหัวเราะร่วน จากภายในชุดคลุมของเขา เขาหยิบขวดเหล้าองุ่นขวดเล็กออกมาแล้วจึงโยนให้นาง “ในเมื่อเจ้าต้องการเหล้าองุ่น เช่นนั้นนี่พอได้ไหม”


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอรับขวดเหล้าองุ่น นางเห็นเขาหยิบอีกขวดออกมาจากชุดคลุมแล้วจึงเปิดขวด ดูกล้าหาญเป็นอย่างมาก การมองดูเขาทำให้จิตวิญญาณคนกล้าพรั่งพรูอยู่ภายในตัวนางเช่นกัน ดังนั้นนางจึงดึงเปิดฝาขวดและยกขวดดื่มอวยพรให้กับเขา “นี่เป็นการสดุดีแด่ศิษย์พี่เจียงสำหรับการเกิดใหม่อีกครั้งและไม่เป็นคนเก่าอีกต่อไป”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้ม “แด่พวกเราที่หนีมาได้และรอดชีวิต แด่การพบกันอีกครั้งของเราหลังจากผ่านไปมากกว่าสิบปี แด่โลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ และแด่อนาคตอันสดใสสวยงามของพวกเรา”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ ทั้งสองคนดื่มจนหมดขวดพร้อมกัน


 


 


หลังจากโยนขวดของเขาทิ้งไป เจียงซั่งหังถอนหายใจยาวและพูดว่า “ข้าอยู่ที่นี่มามากกว่าสิบปี แต่ข้าก็ไม่มีความต้องการอยากกลับไปที่คุนอู๋เลยแม้แต่น้อย ที่นี่เงียบและสงบสุข ถึงแม้จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้างและทุกวันก็ยากลำบาก แต่ก็ยังดีกว่าคุนอู๋ที่ซึ่งหัวใจของทุกคนนั้นยากจะหยั่งถึงและทุกวันก็เต็มไปด้วยการคาดคะเน”


 


 


“อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอทอดสายตาไปยังที่ไกล เบื้องหน้านางคือดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะไร้จุดสิ้นสุด ว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเพียงแค่สัตว์ป่าส่งเสียงร้องตรงนั้นตรงนี้บ้างเท่านั้น นางก็ต้องการชีวิตสงบสุขเช่นนี้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ที่โรงเรียนเสวียนชิง นางทำได้ดีมากในทุกแง่มุม นางมีท่านอาจารย์ นางมีสหาย นางมีญาติ สำหรับนางแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนสำคัญกว่า

 

 

 


ตอนที่ 174 แดนแห่งมังกรซ่อนลาย

 

เมื่อพวกเขาทอดสายตามองทิวทัศน์กันจนพอใจแล้ว เจียงซั่งหังพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ารู้หรือไม่ เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้ที่จริงแล้วคือมหาสมุทร”


 


 


โม่เทียนเกอประหลาดใจ “มหาสมุทรหรือ”


 


 


เจียงซั่งหังชี้ไปทางเหนือ “ตรงนั้น แถบทิศเหนือของเขตธารน้ำแข็ง”


 


 


โม่เทียนเกอมองเท่าที่สายตาจะมองเห็นได้ ทว่านางก็ไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษ


 


 


เจียงซั่งหังกระโดดขึ้นบนเครื่องมือเวทบินได้ของเขา “ไปกันเถอะ!”


 


 


ครั้นเห็นเขาดูกระตือรือร้นมาก โม่เทียนเกอเองก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเช่นกัน


 


 


เจียงซั่งหังเห็นนางบินอยู่กลางอากาศโดยไม่มีเครื่องมือเวทใดๆ ช่วยมาแล้ว ตอนนี้เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าสามารถบินได้ที่ความเร็วขนาดนี้จริงๆ หรือ”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ได้ ศิษย์พี่เจียง ดูที่รองเท้าข้าสิ มันคืออาวุธเวทบินได้”


 


 


เจียงซั่งหังสังเกตว่ารองเท้าของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ ตอนนี้พอเขาได้ยินสิ่งที่นางพูด ในที่สุดเขาจึงได้มองให้ละเอียดขึ้นและรู้สึกค่อนข้างอิจฉา


 


 


อาวุธเวทในรูปแบบของรองเท้านั้นสะดวกมากกว่าอาวุธเวททั่วไป ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากกว่าในแง่ของพลังเวท อย่างไรก็ตาม อาวุธเวทรองเท้าบินได้นั้นหาได้ยากยิ่งนัก ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เจียงซั่งหังจะรู้สึกอิจฉา ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นศิษย์ของสำนักเจิ้งฝ่าและมีคนเคารพนับถือ แต่เขาก็ไม่มีท่านอาจารย์และเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาเท่านั้น เขาจึงไม่มีอาวุธเวท เขามีเพียงแค่เครื่องมือเวทที่ดีพอใช้ได้เท่านั้น


 


 


ทั้งสองคนยังคงบินไปทางเหนือ พวกเขาอาจจะบินอยู่ประมาณครึ่งวัน แน่นอนว่าพวกเขาเริ่มได้ยินเสียงอึกทึกแล้ว เมื่อพวกเขาเหาะเข้าใกล้แหล่งที่มาของเสียงนั้น ในที่สุดโม่เทียนเกอจึงได้เห็นพื้นที่กว้างใหญ่ของมหาสมุทรในเขตธารน้ำแข็งไร้ที่สิ้นสุด


 


 


“นี่คือมหาสมุทร…”


 


 


“ถูกต้อง” เจียงซั่งหังลอยอยู่กลางอากาศขณะที่เขามองไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ “นี่คือมหาสมุทรทางเหนือสุด กว้างใหญ่แผ่ขยายไปเป็นพันๆ ลี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะนำทางไปถึงจุดไหนและภายในก็มีสัตว์ปีศาจอยู่มากมาย อีกทั้งมีทรัพย์สมบัติหายากนับไม่ถ้วน แต่เจ้าจะได้ครอบครองมันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการฉกชิงมาของเจ้า”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เทียนเกอก็หันหน้าไปจ้องมองเขาพลางครุ่นคิด


 


 


เจียงซั่งหังเองก็หันมาหานางเช่นกันแล้วจึงยิ้มให้ “ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเยี่ยจะเข้าใจแล้วว่าข้าหมายความว่าอะไร ใช่ เพื่อประโยชน์ในการฝึกตนของข้า ข้าต้องการสำรวจมหาสมุทรทางเหนือสุดและมองหาวัตถุวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นของที่จำเป็นสำหรับการฝึกตนของข้า ข้าบอกศิษย์น้องเยี่ยเรื่องนี้ก็เพราะข้าต้องการถามว่าศิษย์น้องเยี่ยสนใจหรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบทันที นางหันกลับมามองและพินิจพิเคราะห์มหาสมุทรไร้ขอบเขตเบื้องหน้านางแทน ในเขตภาคเหนือสุด ทั้งพื้นหิมะกว้างขวางและมหาสมุทรเบื้องหน้านางนั้นเงียบสงบอย่างมาก นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าจิตใจของนางเปิดกว้างขึ้นขณะที่อยู่ที่นี่ นางพบว่ามันค่อนข้างจะทนได้ยากที่ปล่อยให้เรื่องราวไร้สาระต่างๆ ในโลกแห่งการฝึกตนต้องมาแปดเปื้อนความสงบสุขนั้น


 


 


“ศิษย์พี่เจียง… ที่นี่มีสมบัติแบบไหนอยู่หรือ แล้วความเสี่ยงเป็นอย่างไร”


 


 


เจียงซั่งหังดูค่อนข้างโล่งใจที่ได้ยินสิ่งที่นางพูด จากนั้นเขาชี้ไปที่จุดหนึ่งที่อยู่ไกลๆ “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเห็นขอบแหลมตรงนั้นไหม”


 


 


โม่เทียนเกอมองตามทิศทางที่เขาชี้ มันคือภูเขาน้ำแข็งที่เหมือนกริชสูงประมาณพันจั้งซึ่งแยกมุมหนึ่งของมหาสมุทรออก


 


 


เจียงซั่งหังพูดว่า “ภูเขาน้ำแข็งนั้นมีชื่อที่เป็นที่รู้จักในหมู่พวกเราชาวศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า”


 


 


“ชื่อหรือ”


 


 


“ใช่ นั่นไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็งธรรมดา เป็นเวลาหมื่นปีมาแล้วที่มันไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ลอยไปไหน เพียงแต่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง เราเรียกมันว่าแดนแห่งมังกรซ่อนลาย”


 


 


“แดนแห่งมังกรซ่อนลาย…” โม่เทียนเกอพูดตาม ดูค่อนข้างงุนงง มังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคกลาง เผ่าพันธุ์มังกรมีเวทศักดิ์สิทธิ์แต่กำเนิด และครั้งหนึ่งเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับพระเจ้าที่สุด สามารถทำให้เกิดเมฆและนำพาฝนมาได้ สามารถกลืนกินแม่น้ำและคายออกมาเป็นมหาสมุทร แม้แต่มังกรเพิ่งเกิดก็ยังมีพละกำลังที่เท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! เมื่อระดับการฝึกตนของพวกมันเข้าถึงจุดสูงสุด ก็จะกลายเป็นมังกรมีปีกที่สามารถล่องลอยขึ้นไปยังสวรรค์ ลงไปสู่นรกภูมิ และเดินทางรอบจักรวาลได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่สง่างามและอิสรเสรีที่สุด


 


 


“ศิษย์พี่เจียง ท่านกำลังบอกว่า… มังกรมีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ”


 


 


เจียงซั่งหังส่ายหน้า “เราไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แต่แดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้เป็นตำนานในหมู่ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่ามานานหลายพันปี ข้าเองก็เคยไปที่นั่นและมันมีลมปราณวิญญาณอยู่ภายในจริง แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันคือมังกรหรือไม่”


 


 


“ข้างในนั้นอันตรายไหม”


 


 


“แน่ทีเดียว ภัยอันตรายและโอกาสมักจะอยู่คู่กันเสมอ” แววตาแรงกล้าวูบวาบอยู่ในดวงตาของเจียงซั่งหัง เขาพูดต่อด้วยเสียงต่ำ “ครั้งหนึ่งเราเคยมีศิษย์พี่ เขาได้รับทรัพย์สมบัติลึกลับจากข้างใน และเพราะเหตุนั้น เขาสามารจะก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ในครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ศิษย์บางคนที่เข้าไปข้างในกลับออกมาอย่างบาดเจ็บสาหัสและบางคนก็ถึงขนาดเสียชีวิต” เมื่อสังเกตว่านางไม่ได้พูดอะไร เขาจึงถามอย่างกระตือรือร้น “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่สนใจหรือ”


 


 


รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอขณะที่นางเหลือบมองเขา “ศิษย์พี่เจียง แล้วความใจกว้างของท่านเมื่อครู่นี้ล่ะ”


 


 


เจียงซั่งหังอึ้งไป สีหน้าละอายใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา แต่เขาก็ยังพูดด้วยความมุ่งมั่น “ข้าไม่ติดอยู่ในอดีตอีกต่อไปแล้ว แต่ในเมื่อข้าเริ่มเดินบนเส้นทางไปสู่ความเป็นเซียน ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร ถ้าข้าสามารถเดินต่อบนถนนเส้นนี้ได้ ข้าจะไม่ยอมแพ้ให้กับโอกาสอะไรก็ตามที่จะได้ครอบครองเต๋าและกลายเป็นเซียน!”


 


 


โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ เส้นทางสู่ความเป็นเซียน… คนใจกว้างนับไม่ถ้วนที่ล้มเหลวในการทำความเข้าใจคำสี่คำนั้น เพราะฉะนั้นเจียงซั่งหังจะเข้าใจได้อย่างไร


 


 


นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่เจียง หากผลประโยชน์ไม่ยิ่งใหญ่มากพอ ข้าก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเผชิญกับภัยอันตรายถึงชีวิตเลยแม้แต่นิดเดียว ท่านคิดว่าอย่างไร”


 


 


เจียงซั่งหังตะลึง แต่พอนึกได้ถึงตัวตนในปัจจุบันของนาง ในที่สุดเขาก็ตอบพร้อมยิ้มและพูดว่า “พวกเราศิษย์ธรรมดาไม่ใช่พวกเดียวที่ต้องการเข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายเพื่อล่าสมบัติ แม้แต่ศิษย์หัวกะทิในสำนักข้าก็ยังตามล่าสมบัติเหมือนฝูงเป็ดเช่นกัน เพราะฉะนั้นศิษย์น้องเยี่ย เจ้าจะพูดว่าผลประโยชน์ไม่มากพอได้อย่างไรกัน”


 


 


“เช่นนั้นหรือ…” สำนักเจิ้งฝ่าก็เป็นหนึ่งในกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดแห่งขั้วท้องฟ้า พวกเขาอ่อนแอกว่าโรงเรียนเสวียนชิงและสำนักกู่เจี้ยนเล็กน้อย หากเป็นเช่นนั้น…


 


 


ครั้นเห็นว่าโม่เทียนเกอดูไม่ได้สนใจมากนัก เจียงซั่งหังก็ยังคงพูดต่อไป “ศิษย์น้องเยี่ยอย่าประเมินสมบัติข้างในนั้นต่ำเกินไปล่ะ แดนแห่งมังกรซ่อนลายเป็นสถานที่ที่แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แห่งสำนักเจิ้งฝ่ายังไปเป็นประจำ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากศิษย์ที่อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานหรือดินแดนสูงกว่า พวกเขาไม่สามารถเชิญผู้ฝึกตนจากภายนอกสำนักของเราให้เข้าไปได้!”


 


 


“โอ้” สิ่งที่เขาพูดในที่สุดก็กระตุ้นความสนใจของนางได้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คงไม่สนใจสมบัติธรรมดาแน่นอน ในเมื่อสมบัติข้างในยังดึงดูดผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ มันคงจะต้องเป็นสมบัติที่มีเอกลักษณ์และพิเศษมากแน่นอน


 


 


เมื่อเห็นว่าในที่สุดโม่เทียนเกอดูสนใจขึ้นมาเล็กน้อย เจียงซั่งหังก็รีบพูดทันที “ศิษย์น้องเยี่ย ถ้าเป็นคนอื่น ข้าคงไม่เสียเวลาพูดถึงเรื่องนี้ แต่เจ้าเป็นสหายเก่าของข้าและเจ้าก็ไม่ได้อ่อนแอ ดังนั้นข้าจึงขอให้เจ้ามาเป็นสหายร่วมทางของข้าได้อย่างปลอดภัย เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป อันตรายข้างในนั้นยังไม่ถึงขั้นที่โอกาสเสี่ยงตายสูงกว่าโอกาสรอดชีวิตหรอก หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงาน ข้าไปที่นั่นสองสามครั้งและข้าก็มักจะกลับมาอย่างปลอดภัยทุกครั้ง ตราบใดที่เราระวังมากพอและเตรียมตัวดีพอ เราก็จะไม่ต้องเผชิญกับภัยอันตรายถึงตายแน่”


 


 


“จริงหรือ” หลังจากนางได้ยินสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอพูดอย่างค่อนข้างจงใจ “ถ้าเช่นนั้น ทำไมศิษย์พี่เจียงถึงพยายามอย่างหนักที่จะให้ข้ามา จะไม่ดีกว่าหรือที่ท่านจะไปกับสหายศิษย์ของท่าน”


 


 


เจียงซั่งหังมีรอยยิ้มขมขื่นอยู่บนใบหน้าขณะที่เขาส่ายหัว “ข้าจะไม่โกหกเจ้า ในสำนักเจิ้งฝ่า ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานธรรมดาและข้าก็ไม่ได้สนิทกับสหายศิษย์มากนัก เพราะฉะนั้นเมื่อข้าไปที่แดนแห่งมังกรซ่อนลายกับพวกเขา ข้าก็มักจะตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบเสมอ สำหรับคนที่ข้ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีด้วยนั้น ความสามารถของพวกเขาล้วนอยู่ระดับปานกลาง ถ้าศิษย์น้องเยี่ยไปกับข้า ด้วยความช่วยเหลือของเจ้า ข้าก็จะสามารถมีสิทธิ์มีเสียงอะไรในกลุ่มได้บ้าง”


 


 


งั้นนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม โม่เทียนเกอลองคิดถึงเรื่องนี้ดูและรู้สึกว่าที่เขาพูดดูเหมือนจะเป็นความจริง กลุ่มขนาดเล็กมักจะมีอยู่ในกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ นี่ก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเสวียนชิงเช่นกัน


 


 


“ถ้าเช่นนั้น… ศิษย์พี่เจียงตั้งใจว่าจะไปเมื่อไหร่”


 


 


เจียงซั่งหังดีใจที่ได้ยินว่านางไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา เขาพูดว่า “ครั้งนี้ข้ากลับมาที่เผ่าก็เพราะข้าต้องการเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปยังแดนแห่งมังกรซ่อนลาย ข้าทำการนัดหมายกับสหายศิษย์ของข้ามานานแล้ว ยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนที่พวกเราจะมุ่งหน้าออกไป”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า “คงจะดีกว่าหากศิษย์พี่เจียงจะบอกข้าถึงสิ่งที่ข้าควรรู้ไว้ล่วงหน้า”


 


 


“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” เจียงซั่งหังกล่าว “เกี่ยวกับเรื่องยาวิเศษ เครื่องมือเวท และของอื่นๆ ข้าคาดว่าศิษย์น้องเยี่ยคงเตรียมตัวไว้พอประมาณอยู่แล้ว แต่แค่มีปัญหาเล็กๆ ก็คือการจะเข้าไปยังแดนแห่งมังกรซ่อนลาย เราจำเป็นต้องมียาลับ แต่ศิษย์น้องเยี่ยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ข้าจะเตรียมส่วนแบ่งของเจ้าไว้ให้”


 


 


“ตกลง” โม่เทียนเกอตอบตกลงอย่างเป็นทางการ “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปกับศิษย์พี่เจียง”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มกว้างด้วยความยินดี “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าจะระลึกถึงความเต็มใจช่วยเหลือของเจ้าไว้อย่างแน่นอน”


 


 


โม่เทียนเกอโบกมือ “นี่ไม่ถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรอกถ้าข้าเองก็ได้ผลประโยชน์เหมือนกัน”


 


 


หลังจากทั้งสองคนพูดคุยกันเสร็จ โม่เทียนเกอมองทิวทัศน์รอบตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่งอีกครั้งก่อนจะกลับไปกับเจียงซั่งหัง


 


 


ระหว่างทาง เจียงซั่งหังได้อธิบายให้นางฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลาย


 


 


ปรากฏว่าก่อนที่สำนักเจิ้งฝ่าจะก่อตั้งขึ้น คนทรงของเผ่าทางทิศเหนือสุดรู้เกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลายอยู่แล้ว แต่ละปีในวันที่สิบห้าของเดือนแปด พวกเขาจะไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อเสนอเครื่องสังเวยให้กับเหล่าพระเจ้า ในบางครั้ง คนบางคนก็จะได้รับชะตาลิขิตข้างในนั้นซึ่งทำให้พวกเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ทันที อย่างไรก็ตาม ณ เวลาตอนนั้นยังไม่มีชื่อเรียกตามปัจจุบันของมัน


 


 


หลังจากสำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งขึ้น คนของสำนักค้นพบการมีอยู่ของแดนนั้น บรรพบุรุษแห่งเต๋าระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ก่อตั้งสำนักได้เข้าไปสำรวจเป็นครั้งแรกและสุดท้ายต้องกลับมาหลังจากพบเจอกับอันตรายมากมาย ชื่อแดนแห่งมังกรซ่อนลายจึงถูกถ่ายทอดต่อกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


 


 


สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ… ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าหลายต่อหลายคนได้เข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายและได้รับทรัพย์สมบัติมากมาย แต่สมบัติข้างในนั้นกลับไม่เคยหมดลงเลย


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินเช่นนั้น นางอดที่จะถามไม่ได้ “ศิษย์พี่เจียง มันจะเป็นไปได้อย่างไร”


 


 


เจียงซั่งหังพูด “ใช่แล้ว ตอนแรกข้าก็มีความคิดแบบเดียวกัน แต่หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้ ข้าก็ค้นพบว่าส่วนข้างในนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทุกครั้งที่ข้าเข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย”


 


 


“แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” โม่เทียนเกองุนงง “สถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร”


 


 


“ถูกต้อง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เจียงซั่งหังพูด “แดนแห่งมังกรซ่อนลายตั้งอยู่ใต้น้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นโลกภายในมหาสมุทร อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เราเข้าไปข้างใน เรามักจะพบว่าลักษณะภูมิประเทศนั้นแตกต่างกับครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แม้แต่สัตว์ปีศาจและทรัพยากรข้างในก็ไม่มีความเหมือนกันเลยแม้แต่น้อยกับสิ่งที่เราเจอมาก่อนหน้านั้น”


 


 


“มีร่องรอยของม่านพลังข้างในหรือเปล่า”


 


 


เจียงซั่งหังส่ายหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น “คือ… ข้าหาไม่พบ แต่แม้แต่ท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของเราก็ไม่สามารถหาเจอได้เหมือนกัน”


 


 


โม่เทียนเกอดูเหมือนกำลังครุ่นคิด “งั้นก็หมายความว่า… มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ซึ่งอยู่เหนือดินแดนยุคปัจจุบัน”


 


 


“ใช่แล้ว!” เจียงซั่งหังพยักหน้า “ทุกปีในวันที่สิบห้าของเดือนแปด กระแสน้ำในมหาสมุทรทางเหนือสุดจะเพิ่มสูงขึ้นและหลังจากนั้นด้านในก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์”


 


 


“งั้นเมื่อกระแสน้ำขึ้น เราก็ไม่สามารถอยู่ข้างในต่อได้”


 


 


“ข้าไม่แน่ใจ ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนที่ไม่สามารถออกมาได้ตอนกระแสน้ำขึ้น หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ไม่มีใครหาตัวคนผู้นั้นพบอีกเลย แต่…” เมื่อพูดถึงตรงนั้นจู่ๆ เจียงซั่งหังก็หยุดกะทันหันก่อนจะพูดต่อด้วยความลังเล “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินศิษย์พี่แอบพูดกันลับๆ ว่าชั้นที่สองของแดนแห่งมังกรซ่อนลายจะเปลี่ยนไปแค่ทุกหลายร้อยปีเท่านั้น”


 


 


“ชั้นที่สอง” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีอีกหลายชั้นอยู่ข้างใน”


 


 


“ถูกต้อง ข้างในนั้นมีสามชั้น ชั้นแรกเปิดกว้างแม้แต่สำหรับพวกเราศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานและการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ส่วนสำหรับชั้นที่สองและสาม มีเพียงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือระดับสูงกว่าที่สามารถเข้าไปได้”


 


 


“… พวกนี้คือกฎที่สำนักเจิ้งฝ่าของท่านทำตามกันมาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมางั้นหรือ”


 


 


“ใช่” เจียงซั่งหังไม่พยายามปิดบังความจริง “พวกนี้คือกฎที่ตั้งขึ้นโดยผู้ก่อตั้งสำนักของเรา ครั้งหนึ่งเคยมีคนฝ่าฝืนกฎ และในท้ายที่สุด ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานพวกนั้นเข้าไปที่ชั้นสองและไม่เคยออกมาอีกเลย”


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึง นี่มันร้ายแรงมาก! นางใช้เวลาสักพักเพื่อคิดแล้วจึงถามว่า “ถ้างั้นมีอะไรอยู่ที่ชั้นสองหรือ ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในสำนักของท่านไม่เคยพูดอะไรถึงมันเลยหรือ”


 


 


“พวกเขาไม่ได้พูด” เจียงซั่งหังส่ายหน้าแล้วจึงแนะนำนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ชีวิตของเราสำคัญมาก ดังนั้นมันจึงเพียงพอแล้วที่เราจะไปที่ชั้นแรก ถ้าโชคดีเราก็สามารถครอบครองสมบัติล้ำค่ามากมายในชั้นแรกได้เช่นกัน ไม่มีเหตุผลที่เราต้องเสี่ยงและไปถึงชั้นสอง”

 

 

 


ตอนที่ 175 ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่า

 

เมื่อนางกลับไปยังเผ่าสิงโตทะเลและแยกกับเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอจึงวางม่านพลังป้องกันและเข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน


 


 


ความจริงแล้วนางไม่เชื่อในสิ่งที่เจียงซั่งหังพูด ถึงแม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดถึงอันตราย แต่มันก็มีสมบัติที่โดดเด่นอยู่ข้างใน ดังนั้นคนของสำนักจึงน่าจะมองว่าถ้ำนั้นเป็นความลับ พวกเขาจะต้องไม่เผยแพร่ต่อศิษย์ของสำนักตัวเอง นับประสาอะไรกับศิษย์จากกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นเล่า


 


 


อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ได้คิดว่าเจียงซั่งหังจะมีจิตใจที่ชั่วช้า ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่พวกนางอยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้ นางช่วยเขาไว้เพียงแค่ผิวเผินครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขาเต็มใจที่จะตกอยู่ในอันตรายเพื่อช่วยนางเป็นการตอบแทน อีกอย่างเขาดูชิงชังต่อหลิ่วอีเตาที่ทิ้งให้สวีจิ้งจือต้องเสียสละตัวเอง ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่น่ากลัวนัก หากเขามีเจตนาที่ไม่ดีต่อนางเขาก็คงขี้เกียจเกินกว่าที่จะปฏิบัติกับนางเช่นนี้


 


 


สรุปโดยย่อ นิสัยของเจียงซั่งหังไม่ได้นับว่าเลวร้ายนัก เขาเคยช่วยชีวิตนางมาหนึ่งครั้ง นี่เป็นเหตุผลหลักที่โม่เทียนเกอตกลงไปกับเขา สำหรับสมบัติที่โดดเด่นหรือผลประโยชน์อื่นๆ นางไม่ได้สิ้นหวังถึงขนาดที่จะต้องมีในตอนนี้ นางมีของมากมายแล้ว ดังนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับนางที่จะต้องโลภมาก


 


 


ด้วยความคิดเช่นนั้น โม่เทียนเกอเริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางของนาง


 


 


ถึงแม้ว่าเจียงซั่งหังจะบอกว่านางไม่จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวอะไร แต่โม่เทียนเกอเป็นคนที่จะต้องเตรียมตัวเสมออยู่ดี นางมักจะวางแผนอย่างเหมาะสมก่อนจะทำการใดๆ ด้วยวิธีการเช่นนั้นจะทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ น้อยลง และในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายสูงสุด โอกาสที่นางจะรอดชีวิตก็มีสูงมากขึ้น


 


 


จากกระเป๋าเอกภพของนาง นางหยิบหุ่นเชิดหินสองตัวออกมา หลังจากที่นางสั่งพวกมันผ่านความคิดของนาง หุ่นเชิดสองตัวก็รีบปฏิบัติการ


 


 


ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง พื้นที่ใจกลางนั้นเต็มไปด้วยกระท่อมหลังเล็กๆ หลายหลังในขณะที่รอบๆ กระท่อมนั้นแน่นขนัดไปด้วยป่าไผ่ ลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านป่าไผ่นั้น และอีกฝั่งของลำธารก็เต็มไปด้วยสวนสมุนไพรอันกว้างขวาง


 


 


หลังจากที่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจำนางได้ในฐานะเจ้าของ มันได้ผ่านกระบวนการทำความสะอาดดูแลเบื้องต้นแต่รูปแบบนั้นไม่ได้ถูกเปลี่ยนไป จึงยังคงอยู่ในสภาพเดิมกับที่เจ้าของคนก่อนได้วางไว้ หลังจากที่นางเรียกหุ่นเชิดหินสองตัวออกมา พวกมันเริ่มจากการตัดป่าไผ่ด้านหน้ากระท่อมในเวลาแค่ครู่เดียวเหลือทิ้งไว้แค่ป่าไผ่ครึ่งเดียวที่อยู่ทางด้านหลังกระท่อม หลังจากนั้นในทันที นางสั่งให้หุ่นเชิดสร้างกระท่อมขึ้นมาใหม่โดยใช้ต้นไผ่ที่เพิ่งตัดออกมา


 


 


เมื่อหุ่นเชิดหินสร้างกระท่อมเสร็จ โม่เทียนเกอเดินไปยังกระท่อมหลังใหญ่สุดหลัง จากนั้นจึงผายมือออก ไม่นาน แผ่นม่านพลังหลายแผ่นลอยออกมาและจัดการเรียงตัวเองในตำแหน่งที่สอดคล้องกัน หลังจากนั้นนางประกบมือในท่ามุทราที่ซับซ้อนและปล่อยแสงพลังวิญญาณออกไป แผ่นม่านพลังสว่างขึ้นในทันที สุดท้ายนางหยิบธงม่านพลังออกมา ด้วยเหตุนี้ม่านพลังทั้งหมดจึงพร้อมใช้งาน


 


 


หลังจากนั้นนางงุ่นง่านอยู่กับกระเป๋าเอกภพของนาง หยิบเตาหลอมยาออกมาและวางอยู่ตรงจุดกึ่งกลาง เตาหลอมยานี้มีขนาดประมาณสองตารางจั้งและปกคลุมไปด้วยเมฆหนาแน่นสีม่วง สิ่งที่ถูกปกคลุมอยู่ในแสงจิตวิญญาณนั้นคือเตาไม้หลอมยาของจงมู่หลิง


 


 


ขณะที่หยิบเตาหลอมไม้สีม่วงและตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันไม่มีปัญหาอะไร นางใช้ความหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์ของนางเพื่อสั่งหุ่นเชิดหินทั้งสองตัว ซึ่งไม่นานพวกมันก็วุ่นวายไปกับการตักน้ำจากลำธารเล็กๆ มาที่กระท่อมไม้ไผ่


 


 


ขณะที่หุ่นเชิดทำงานอยู่ โม่เทียนเกอไม่ได้อยู่เฉย นางหยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุมของนาง มันคือหินสุริยันที่นักเดินทางจื่อเวยมอบให้กับนาง!


 


 


จากที่นักพรตฟางเจิ้งบอก หินสุริยันสามารถสร้างไฟสุริยันซึ่งเป็นไฟที่ดีที่สุดในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือ เมื่อนางอ่านหนังสือม่านพลังเสวียนจีผ่านๆ ในวันก่อนหน้านี้ นางพบม่านพลังพิเศษอันหนึ่งที่เหมาะกับหินสุริยันเข้าโดยบังเอิญ นางต้องการเตรียมยาวิเศษคุณภาพสูงสำหรับการเดินทางไปยังแดนแห่งมังกรซ่อนลายของนาง ดังนั้นนางจึงสร้างห้องปรุงยาขึ้นมา


 


 


นางวางหินสุริยันไว้บนฝ่ามือและหยิบพู่กันเครื่องรางออกมาจากชุดคลุมของนางอีกมือหนึ่ง หลังจากนั้น นางใช้ความหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์ในการกลั่นหยดเลือดออกมาจากตัวของนาง ใช้พู่กันเครื่องรางและเลือดของนางในการวาดลายเส้นเลือดบนเตาหลอมไม้สีม่วงไปทั่ว ลายเส้นเลือดนี้ดูเหมือนกับจะไร้สาระ แต่เมื่อมันได้ถูกวาดลงบนเตาหลอมไม้สีม่วงก็เกิดเป็นแสงไหลผ่านวูบวาบไปมาระหว่างพวกมัน ทำให้ดูเหมือนกับว่าเป็นสสารบางอย่างที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์


 


 


นางวาดเสร็จ ก็เก็บพู่กันเครื่องรางหลังจากนั้นจึงเปิดเตาหลอมไม้สีม่วงออก แล้ววางหินสุริยันไว้ด้านใน หลังจากนั้นก็ทำท่าทางประกบมือที่ซับซ้อนอีกครั้ง ผนึกหินสุริยันไว้ที่ก้นของเตาหลอม


 


 


จังหวะที่นางทำเสร็จ ความอ่อนล้าโถมใส่นางในทันที หยดเลือดสร้างรากฐานแห่งการเป็นมนุษย์ ดังนั้นแต่ละหยดนั้นถือว่าล้ำค่ามาก ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วก็ตาม แต่การสูญเสียเลือดเพียงแค่หยดเดียวก็ยังคงทำให้นางอ่อนล้าได้พอสมควร


 


 


หลังจากที่นางนั่งลงบนพื้น กินยาวิเศษหลายตัวและเคลื่อนพลังวิญญาณไปตามวงโคจรจุลจักรวาลหลายครั้ง โม่เทียนเกอก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยในที่สุด ในขณะนี้ หุ่นเชิดหินสองตัวได้เตรียมห้องปรุงยาเรียบร้อยแล้ว น้ำจากลำธารเล็กๆ ได้ถูกทำให้ไหลมาที่กระท่อมผ่านกระบอกไม้ไผ่ เข้าสู่บ่อน้ำภายในกระท่อมพร้อมกับเสียงที่ดังเปาะแปะ


 


 


หลังจากที่เก็บหุ่นเชิดหิน โม่เทียนเกอใช้เวลาครุ่นคิดครู่หนึ่งว่ายาวิเศษประเภทไหนที่นางจะปรุงในครั้งนี้ ยาวิเศษสำหรับรักษานั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ ยาวิเศษที่ช่วยถอนพิษหรือสงบจิตใจก็มีความจำเป็น ในถ้ำเซียนของจื่อเวยครั้งก่อน นางโชคดีที่นักพรตฟางเจิ้งมีเครื่องรางสงบจิตใจอยู่หลายอัน หาไม่แล้ว นางก็คงจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่


 


 


ในช่วงเวลาที่นางปรุงยาวิเศษเหล่านี้เสร็จ หลายวันก็ได้ผ่านไป ในระหว่างนี้นางได้บอกกับสาวใช้ที่ถูกสั่งให้คอยดูแลนางว่าไม่ให้รบกวนนอกจากหากมีเรื่องสำคัญเพราะนางต้องการมีสมาธิในการฝึกตนหลายวัน


 


 


นางยังคงเตรียมเครื่องมือสำหรับม่านพลังฉุกเฉิน เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจีให้ถี่ถ้วน อย่างไรก็ตาม ความรู้ของนางเกี่ยวกับม่านพลังนั้นมีมากกว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดินแดนเดียวกับนางแล้ว นางจึงสามารถเตรียมม่านพลังต่างๆ ได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งรวมถึงม่านพลังสัตว์จตุรเทพร้อยบุปผา หากม่านพลังที่ซับซ้อนนี้ได้ปรับใช้อย่างถูกต้อง นางก็ยังคงมีพลังพอที่จะต่อสู้ถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญเข้ากับสัตว์ปีศาจระดับห้าหรือสูงกว่าก็ตาม


 


 


ไม่กี่วันก่อนที่จะออกเดินทาง โม่เทียนเกอไม่ได้ทำอะไร นางเพียงแต่หลับตาทำสมาธิและควบคุมการหายใจ ทุ่มเทเพื่อเข้าสู่สภาวะที่ดีที่สุด


 


 


สิบวันต่อมา นางออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ย้ายม่านพลังที่นางวางไว้ภายในบ้านน้ำแข็งออกและเดินออกไป


 


 


เจียงซั่งหังรอนางอยู่ด้านนอกแล้ว เมื่อเขาเห็นนางออกมาจากบ้าน เขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างพร้อมพูด “ศิษย์น้องเยี่ยนี่รักษาคำพูดของนางจริงๆ สิบวันก็คือสิบวัน”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้มพยักหน้า “ในเมื่อข้าได้ให้สัญญากับศิษย์พี่เจียงไว้ ทำไมข้าถึงจะต้องผิดสัญญาด้วยเล่า”


 


 


ในขณะนั้น ทั้งสองคนก็มองขึ้นด้านบนทันที พวกเขาเห็นแสงเหินมากมายข้ามผ่านท้องฟ้าและหายไปในทางทิศเหนือ


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย” เจียงซั่งหังพูด “ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเดินทางไปกันแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”


 


 


คนที่เจียงซั่งหังพูดถึงคือสหายศิษย์ที่เขานัดไว้ โม่เทียนเกอพยักหน้า และในทันทีทั้งสองคนก็เปลี่ยนเป็นแสงเหินสองแสงโดยใช้วิธีเหาะของตัวเองในชั่วพริบตา


 


 


หลังจากที่เหาะมาประมาณครึ่งวัน ทั้งสองคนก็มาถึงมหาสมุทรทางเหนือสุดที่พวกเขามาเมื่อหลายวันก่อนอีกครั้ง


 


 


จากระยะไกล โม่เทียนเกอเห็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานลอยสูงอยู่เหนือชายฝั่งหลายคน ในกลุ่มพวกเขามีทั้งผู้ชายและผู้หญิง และดูจากเสื้อผ้า พวกเขาเป็นศิษย์ของสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมด


 


 


เจียงซั่งหังรีบพาโม่เทียนเกอไปหาพวกเขา


 


 


“ศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง อภัยให้ข้าด้วยที่มาช้า” เจียงซั่งหังทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มในขณะที่ประกบมือรูปถ้วยเพื่อแสดงความเคารพ


 


 


เมื่อเห็นเขาทำเช่นนั้น โม่เทียนเกอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำและวิธีที่เขาปฏิบัติในตอนนี้นั้นช่างแตกต่างจากที่เขาเคยเป็นมาก่อนมากมายนัก


 


 


ศิษย์จากสำนักเจิ้งฝ่าทักทายเขากลับ มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่าเขาหยิ่งและคงรู้สึกว่ามันเป็นการลดตัวหากทักทายกลับ


 


 


เจียงซั่งหังรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมของผู้นั้นเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่หันไปทางศิษย์คนอื่นเพื่อแนะนำโม่เทียนเกอ “นี่ศิษย์น้องเยี่ยแห่งโรงเรียนเสวียนชิง เยี่ยเสี่ยวเทียนสหายเก่าของข้า การฝึกตนของศิษย์น้องเยี่ยนั้นเยี่ยมยอดมาก ข้าจึงตั้งใจที่จะเชิญนางให้มาร่วมกันกับเรา”


 


 


โม่เทียนเกอผู้จงใจสวมชุดคลุมของโรงเรียนเสวียนชิงในวันนี้ประกบมือรูปถ้วยไปทางพวกเขาด้วยท่าทางที่ไม่ได้นอบน้อมแต่ก็ไม่ได้หยิ่งผยองนัก “ข้าเยี่ยเสี่ยวเทียน คารวะสหายนักพรตแห่งสำนักเจิ้งฝ่า”


 


 


ขณะที่ได้ยินการเกริ่นนำของเจียงซั่งหัง ผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเจิ้งฝ่าต่างหันมองมาที่โม่เทียนเกอ ท่าทางหวาดกลัวเกิดขึ้นในสายตาของผู้ฝึกตนชาย แต่ผู้ฝึกตนหญิงสองคนในทางกลับกันนั้นจ้องมองนางด้วยความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างตอบรับการทักทายของนาง


 


 


อำนาจของโรงเรียนเสวียนชิงนั้นกว้างขวางขึ้นมากในทุกวันนี้ พวกเขามีความสามารถที่จะนำหน้าเหนือกว่าสำนักเทียนเต้า ซึ่งเป็นที่หนึ่งในกลุ่มการฝึกตนของขั้วแห่งท้องฟ้า ถึงแม้ว่าสำนักเจิ้งฝ่าจะตั้งอยู่ทางเขตเหนือสุดของแคว้น พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะดูถูกศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิงแม้แต่น้อย แม้กระทั่งชายผู้ฝึกตนที่หยิ่งทะนงผู้นั้นยังคงมองที่นางและสุดท้ายก็ประกบมือรูปถ้วยเพื่อทักทายนางกลับ


 


 


“ศิษย์พี่ชาย ศิษย์พี่หญิง” เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ดูไม่พอใจ เจียงซั่งหังจึงยิ้มพร้อมพูดว่า “พวกท่านไม่ถือสาที่ข้าบังอาจเชิญศิษย์น้องเยี่ยมาใช่หรือไม่”


 


 


ไม่มีใครตอบ กลับกันพวกเขามองไปยังผู้ฝึกตนที่หยิ่งทะนง ชายผู้ฝึกตนมองที่โม่เทียนเกอแต่เมื่อเขาได้ยินที่เจียงซั่งหังพูด เขาก็หันสายตาไปทางเจียงซั่งหังแม้ว่าจะเพียงแค่ครู่เดียว พร้อมพูด “ในเมื่อนางเป็นศิษย์น้องจากโรงเรียนเสวียนชิง ก็ให้นางเดินทางร่วมไปกับพวกเราก็ได้”


 


 


หลังจากที่ได้ยินคำอนุญาตจากชายผู้นั้น เจียงซั่งหังจึงถอนใจอย่างโล่งอก หลังจากนั้นเขาจึงทำมือรูปถ้วยไปทางชายผู้นั้น “ขอบพระคุณมากขอรับศิษย์พี่เริ่น”


 


 


ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบและเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น


 


 


เจียงซั่งหังไม่ได้สนใจเขาเพียงแต่หันไปทางโม่เทียนเกอและพูดว่า “ศิษย์น้องหญิงเยี่ย มาสิ ข้าจะแนะนำเจ้ากับสหายศิษย์ของข้า” การเรียกนางว่า “ศิษย์น้องชายเยี่ย” ต่อหน้าคนอื่นนั้นคงจะดูแปลก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีการเรียกนาง


 


 


เบื้องหน้าพวกเขามีผู้ชายหกคนและผู้หญิงสองคน คนที่มีระดับการฝึกตนสูงที่สุดคือชายที่หยิ่งทะนงคนนั้น เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังแล้ว ชายผู้ฝึกตนอีกสองคนอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานในขณะที่เหลือของกลุ่มรวมถึงเจียงซั่งหังก็อยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน


 


 


เจียงซั่งหังแนะนำพวกเขาให้นางฟังทีละคน “นี่ศิษย์พี่ลู่ ลู่หรงเซิง ศิษย์พี่เซี่ยง เซี่ยงจือหยาง ศิษย์พี่ซิว ชิวจื้อหมิง ศิษย์น้องถัง ถังฟัง ศิษย์น้องอวี๋ อวิ๋เซี่ยวหราน” หลังจากนั้นเขาจึงหันไปทางผู้ฝึกตนหญิงสองคน “นี่คือศิษย์พี่ไอ้ ไอ้เสียน และศิษย์พี่ซย่า ซย่าโหวย่วน”


 


 


โม่เทียนเกอแสดงความเคารพต่อพวกเขาอีกครั้ง ในระหว่างคนกลุ่มนี้ มีเพียงแค่ลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางที่อยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเท่านั้น ในขณะคนที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นต้น ชายผู้ฝึกตนปฏิบัติต่อนางด้วยความกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามหญิงผู้ฝึกตนสองคนไม่ได้ดูร้อนรนหรือเย็นชาต่อนางทำให้นางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย


 


 


คนสุดท้ายคือชายที่หยิ่งทะนงผู้ซึ่งมีระดับการฝึกตนสูงที่สุดในระหว่างคนพวกนี้ ไม่แน่ชัดว่าเจียงซั่งหังแนะนำเขาเป็นคนสุดท้ายเพราะเขารอบคอบหรือมีความหมายลึกบางอย่างแอบแฝงอยู่ เขาพูด “ท่านผู้นี้คือผู้นำของการเดินทางนี้ ศิษย์พี่เริ่น เริ่นอวี่เฟิง ศิษย์พี่เริ่นเป็นศิษย์ภายในของท่านอาจารย์ลุงปู้ฉี ระดับการฝึกตนของเขานั้นสูงและทักษะของเขานั้นก็เยี่ยมยอดเช่นกัน”


 


 


เจียงซั่งหังพูดทั้งหมดนั้นแต่น้ำเสียงเขาช่างนิ่งเฉย


 


 


“คารวะศิษย์พี่เริ่น” โม่เทียนเกอพูดในขณะที่ประกบมือรูปถ้วยไปทางเขา ในเมื่อนางเรียกเจียงซั่งหังว่าศิษย์พี่ชาย นางจึงเรียกชายผู้นี้ว่าศิษย์พี่ชายเช่นกัน แต่ระหว่างกลุ่มการฝึกตนที่เป็นพันธมิตรกัน ศิษย์จำเป็นต้องเรียกกันด้วยคำว่าศิษย์พี่ หรือศิษย์น้องไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ตาม


 


 


เริ่นอวี่เฟิงตอบกลับการแสดงความเคารพของนางในครั้งนี้ และพูดออกมาเสียทีว่า “ศิษย์น้องเยี่ยช่างดูเด็กและดูมีอนาคตนัก ข้าคิดว่า… เจ้าน่าจะมีอายุยังไม่ถึงแปดสิบปีสินะ ใช่หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธในคำพูดของเขา นางยังคงดูเหมือนเดิมในสมัยที่นางอายุยี่สิบปี ตามหลักอายุขัยของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ถ้านางยังไม่ถึงอายุแปดสิบปี รูปลักษณ์ปัจจุบันของนางจะเป็นรูปลักษณ์ปกติและไม่ได้เป็นผลจากการกินยาคงรูป ถึงแม้ว่ายาคงรูปจะสามารถคงความอ่อนเยาว์เอาไว้ได้ ผู้ฝึกตนที่มีประสบการณ์มักจะมองเห็นถึงร่องรอยบางอย่างว่าคนผู้นั้นกินยา โดยทั่วไปเพราะคนที่กินยาเป็นคนอายุมาก พฤติกรรมของพวกเขาและท่าทางต่างๆ จะเผยให้รู้ถึงอายุที่แท้จริง


 


 


“ศิษย์พี่เริ่นสุภาพเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น”


 


 


“โชคดีอย่างนั้นหรือ” เริ่นอวี่เฟิงหัวเราะขบขันหลังจากนั้นจึงพูดอย่างมีนัย “ถ้าโชคดีทำให้คนสามารถผ่านเข้าสู่ดินแดนได้ โลกนี้จะไม่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนระดับสูงไปหมดหรือ”


 


 


คำพูดของเขาฟังดูแปลก ดังนั้นแทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอจึงทำเพียงแค่ยิ้ม


 


 


เริ่นอวี่เฟิงหันกลับไปมองกลุ่มพร้อมพูด “สหายที่เยี่ยมยอดทั้งหลาย ในเมื่อทุกท่านอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเราควรจะเริ่มกันได้แล้ว”


 


 


ไม่มีใครปฏิเสธ กลุ่มคนทั้งสิบคนหยิบเครื่องมือเวทของตัวเองออกมาและเหาะไปทางภูเขาน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่พร้อมกัน


 


 


โม่เทียนเกอและเจียงซั่งหังเหาะเคียงข้างกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอจึงส่งเสียงไปยังเจียงซั่งหังอย่างลับๆ “ศิษย์พี่เจียง ทำไมพวกเขาจึงทำท่าทางที่แปลกประหลาดนัก ศิษย์พี่ผู้หญิงเหล่านั้นของท่านดูไม่เต็มใจที่จะต้อนรับข้าเท่าไร”


 


 


รอยยิ้มแปลกๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเจียงซั่งหัง เขาก็ส่งเสียงลับตอบกลับไปหานางเช่นกัน “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าอาจจะแสร้งทำเป็นผู้ชายมานานจึงลืมว่าเจ้าเป็นผู้หญิงสินะ มันเป็นเรื่องปกติที่ศิษย์พี่ผู้หญิงสองคนนั้นจะไม่ชอบเจ้า สุดท้ายแล้ว ผู้หญิงก็ไม่สามารถทนมองคนที่สวยกว่าพวกนางได้!”

 

 

 


ตอนที่ 176 ภายในภูเขาน้ำแข็ง

 

โม่เทียนเกอตะลึงกับคำตอบของเขา “นี่…”


 


 


เจียงซั่งหังยิ้มกว้างและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าอยู่ในคุนอู๋มาเป็นเวลานานและเห็นผู้หญิงสวยๆ มามากในโลกแห่งการฝึกตน เพราะฉะนั้นเจ้าเลยไม่ได้คิดถึงตัวเองมากนัก อย่างไรก็ตาม เราอยู่ในเขตภาคเหนือสุด เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าศิษย์พี่ผู้หญิงทั้งสองคนของข้าดูค่อนข้างธรรมดา”


 


 


โม่เทียนเกอได้ยินคำตอบของเขา ก็ตวัดสายตามองไปข้างหน้า จากตัวตนของพวกนางในฐานะผู้ฝึกตน ไอ้เสียนและซย่าโหวย่วนก็ดูค่อนข้างธรรมดาเกินไปจริงๆ ด้วย


 


 


“แทบไม่มีผู้หญิงสวยในเขตทิศเหนือสุด เมื่อข้ามาที่นี่ตอนแรกข้าก็ไม่ชินกับเรื่องนี้เช่นกัน ย้อนไปตอนนั้น ข้าไม่มีความคิดพิเศษอะไรเกี่ยวกับศิษย์น้องเยี่ย แต่หลังจากเราได้เจอกันอีกครั้ง ในที่สุดข้าก็รู้ตัวว่าก่อนหน้านี้ข้าพลาดสาวงามไปได้!” เจียงซั่งหังพูดติดตลก


 


 


โม่เทียนเกอไม่ชินกับมุกตลกเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่เจียงอย่าล้อข้าสิ ข้ายิ่งหน้าบางอยู่ด้วย”


 


 


“แหะๆ” เมื่อเห็นว่านางดูอึดอัดใจจริงๆ เจียงซั่งหังจึงหยุดพูดเรื่องนั้น “ขอโทษทีศิษย์น้องเยี่ย ข้าไม่ควรพูดหยอกเจ้าด้วยมุกตลกเช่นนั้น”


 


 


โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้าแค่ไม่ชินกับมุกตลกแบบนี้ ศิษย์พี่เจียงไม่ต้องกังวลหรอก”


 


 


“อืม” เจียงซั่งหังคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปลอบใจนาง “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่ต้องกังวลหรอกนะ ศิษย์พี่ผู้ชายพวกนั้นชินแล้วกับการเจอศิษย์ผู้หญิงในสำนักอยู่ทุกวัน ดังนั้นพวกเขาก็แค่สงสัยเกี่ยวกับตัวเจ้า ส่วนศิษย์พี่ผู้หญิงทั้งสองคน ต่อให้พวกนางไม่ชอบเจ้า ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง เพราะฉะนั้นพวกนางจะไม่ทำอะไรเจ้าแน่”


 


 


“… ข้ารู้” โดยทั่วไปผู้ฝึกตนมักจะมีเหตุผลเสมอ อีกอย่างนางก็ไม่ใช่คนสวยจนหาที่เปรียบมิได้ที่สวยเสียจนคนอื่นๆ ต้องบ้าคลั่งไปด้วยความอิจฉา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันนี้ก็ทำให้นางรู้สึกก้ำกึ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กลายเป็นว่ารูปลักษณ์ของคนหนึ่งทำให้คนอื่นๆ ต้องเป็นตัวเปรียบเทียบ เมื่อนางอยู่ในคุนอู๋ มีแค่ไป๋เยี่ยนเฟยที่แสดงออกว่าสนใจนาง และนั่นก็เป็นเพราะนางตรงกับความต้องการของเขา เมื่อนางมาถึงที่เขตทิศเหนือสุด อย่างไรก็ตาม ในที่สุดนางก็รู้ว่านางถือว่าเป็นคนสวยได้เหมือนกัน


 


 


นางลองพิจารณาผู้ร่วมคณะชั่วคราวของนางอีกครั้ง ผู้ชายสองคนแซ่ลู่และแซ่เซี่ยงค่อนข้างแก่กว่าคนที่เหลือเล็กน้อย พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ในช่วงอายุสี่สิบในขณะที่คนอื่นๆ ดูเหมือนอายุประมาณยี่สิบถึงสามสิบปี แต่ถึงอย่างนั้นท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตน ดังนั้นเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนเดี่ยว พวกเขาก็ยังอายุน้อยกว่ามาก อย่างไรก็ตาม หน้าตาพวกเขาค่อนข้างธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงดูด้อยกว่าผู้ฝึกตนของคุนอู๋ที่ส่วนใหญ่แล้วหน้าตาดี โม่เทียนเกอเหลือบมองเจียงซั่งหัง รู้สึกอยากจะหยอกล้อเขา กับคนพวกนี้ที่เป็นตัวเปรียบเทียบของเขา เจียงซั่งหังก็ดูหล่อขึ้นมากเช่นกัน


 


 


กลุ่มคนสิบคนเหาะอยู่เป็นเวลานาน แต่ภูเขาน้ำแข็งก็ยังคงอยู่ไกลออกไปที่เส้นขอบฟ้า


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วจากนั้นจึงถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง มันไม่ได้ดูไกลขนาดนั้นตอนที่เราดูกันก่อนหน้านี้นี่!”


 


 


เจียงซั่งหังอธิบายว่า “ศิษย์น้องเยี่ย บางทีเจ้าอาจจะไม่ทันคิดเรื่องนี้ แต่ในเขตทางทิศเหนือสุด ทั้งหมดนี้คือเขตธารน้ำแข็ง มันเป็นแค่พื้นที่กว้างขาวโพลน ดังนั้นเราก็อาจจะรับรู้ถึงความตื้นลึกได้ไม่ถูกต้องนักตอนที่เรามองมัน แดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ที่จริงแล้วอยู่ห่างออกไปอีกหลายพันลี้”


 


 


“เข้าใจล่ะ…” ห่างออกไปอีกหลายพันลี้… ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานต้องเหาะอยู่เป็นเวลานานเพื่อข้ามระยะห่างนั้น


 


 


พวกเขายังคงเหาะไปอีกระยะหนึ่งก่อนที่ภูเขาน้ำแข็งจะค่อยๆ เข้ามาใกล้ทีละนิด พอถึงเวลาที่มันปรากฏแก่สายตานาง ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าความงดงามโอ่อ่าของภูเขาน้ำแข็งนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าภูเขาในคุนอู๋เลย


 


 


ความงดงามของคุนอู๋อยู่ในลักษณะของภูเขากว้างใหญ่ ภูเขาแผ่ขยายออกไปเป็นพันๆ ลี้ แต่ภูเขาแต่ละลูกต่างเชื่อมต่อกัน ทุกส่วนของมันมีทิวทัศน์ที่แตกต่าง บางส่วนสูงชันและดูแปลกประหลาด ในขณะที่ส่วนอื่นๆ สง่างามและเงียบสงบ อย่างไรก็ตาม ภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้านางกลับตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวได้ด้วยตัวของมันเอง ยอดเขาน้ำแข็งหลายร้อยจั้งอยู่โดดเดี่ยวและเงียบเหงา เหมือนกับว่ามันตั้งอยู่เดี่ยวๆ กำลังมองมหาสมุทรทางเหนือสุด มองภูเขาน้ำแข็งรอบๆ กำลังลอยเคลื่อนไป และมองการเปลี่ยนแปลงของโลก ขณะที่มันยังคงตั้งอยู่ที่นี่แยกตัวออกจากโลกไปตลอดกาล มันเป็นความสวยงามชนิดที่สันโดษและเย็นชา


 


 


เจียงซั่งหังเพ่งมองภูเขาและพูดว่า “ในตำนานของคนทางเหนือสุด ภูเขาน้ำแข็งนี้อยู่ที่นี่มาโดยตลอด ภูเขาน้ำแข็งลูกอื่นๆ ต่างละลาย หายไป ลอยออกไป มีเพียงแค่ภูเขาลูกนี้ที่ยังคงอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่เวลาแรกเริ่ม”


 


 


“ทำไมถึงไม่ละลาย” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่ต้องถาม ภายใต้แสงอาทิตย์ ยอดเขาน้ำแข็งแต่ละยอดของมันดูบริสุทธิ์ โปร่งแสง และระยิบระยับไปด้วยแสงแพรวพราว เผยภาพทิวทัศน์งดงามบรรเจิดให้ได้รับชม


 


 


“ไม่มีใครรู้” คนที่ตอบนางคือเริ่นอวี่เฟิงอย่างคาดไม่ถึง ระดับการฝึกตนของเขาสูงที่สุดในหมู่พวกเขาและเขาก็เป็นหัวหน้า ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยืนอยู่หน้าทุกคน “แดนแห่งมังกรซ่อนลายเป็นแบบนี้ แม้แต่ท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้คำถามนั้นได้ บางทีเราอาจจะได้รับคำอธิบายเมื่อใครสักคนกลายเป็นเทพผู้ฝึกตน”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ เขากวาดสายตามองทั้งกลุ่มอย่างเร็ว “ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเจ้าทุกคนพร้อมกันหรือไม่ ถ้าพร้อมแล้ว เราเข้าไปได้ตอนนี้เลย”


 


 


โม่เทียนเกอมองเจียงซั่งหัง ก่อนการเดินทางครั้งนี้ เจียงซั่งหังบอกว่าพวกเขาจำเป็นต้องใช้สิ่งของพิเศษบางอย่างแต่เขาจะเตรียมส่วนของนางไว้ให้


 


 


ขณะนั้นเอง เจียงซั่งหังหยิบเอาถุงเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือเขาออกมาและมอบให้นาง “ศิษย์… น้องเยี่ย พวกนี้คือผลฟองอากาศ ทันทีที่เจ้ากิน ร่างกายของเจ้าจะสร้างมนตร์กันน้ำซึ่งสามารถอยู่ได้หนึ่งวัน ข้างในนี้มีประมาณสิบสองผลซึ่งน่าจะเพียงพอ”


 


 


ผลฟองอากาศ ช่างเป็น… ชื่อที่งี่เง่าจริงๆ โม่เทียนเกอรับถุงเล็กนั้นมาและสำรวจดูผลไม้ จากนั้นนางหยิบผลไม้ที่เหมือนบ๊วยและกัดไปหนึ่งคำ อืม รสชาติไม่แย่ ค่อนข้างหวาน


 


 


เจียงซั่งหังก็กินไปลูกหนึ่งเช่นกันขณะที่กระซิบกับนาง “ผลไม้นี้มีแค่ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดและก็มักจะเอาไว้ป้อนให้เด็กๆ กิน”


 


 


“…” ในความเงียบ เริ่นอวี่เฟิงได้นำทางพวกเขามาจนถึงตรงที่ต้องดำลงน้ำแล้ว


 


 


โม่เทียนเกอสังเกตเห็นว่าพวกเขาไม่ใช้พลังวิญญาณเพื่อสร้างเกราะป้องกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาอยู่ใต้น้ำ ร่างกายของพวกเขาจะสร้างมนตร์กันน้ำขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผลฟองอากาศเหล่านี้ทำได้สมชื่อของพวกมันจริงๆ …


 


 


หลังจากพวกเขาดำลงไปหลายจั้ง จู่ๆ ทุกคนก็หยุดกะทันหัน เริ่นอวี่เฟิงเอาเครื่องรางหยกออกมา พึมพำร่ายคาถาที่ไม่รู้ว่าคืออะไรชุดหนึ่งและยิงลำแสงพลังวิญญาณมากมายไปที่น้ำแข็ง ชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนจะมีกระแสคลื่นในน้ำรอบๆ พื้นผิวของน้ำแข็ง จากนั้นปากถ้ำมืดดำก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละนิดบนพื้นผิวของน้ำแข็งที่ยังเรียบเนียนอยู่เมื่อครู่นี้


 


 


นี่คือกำแพงอาคมที่ซับซ้อนอย่างสูง ถึงแม้โม่เทียนเกอจะมีความรู้ในม่านพลัง แต่นางกลับไม่สามารถเห็นร่องรอยการมีอยู่ของมันได้เลยตอนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ของสำนักเจิ้งฝ่าให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถานที่แห่งนี้ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โม่เทียนเกอก็ยิ่งสับสน ในเมื่อที่นี่เป็นสถานที่สำคัญสำหรับสำนักเจิ้งฝ่า ทำไมพวกเขาจึงต้องเชิญศิษย์จากสำนักอื่นอย่างนางมาด้วย เจียงซั่งหังเชื่อใจนาง แต่ทำไมคนอื่นๆ ถึงไม่มีการคัดค้านเลยแม้แต่น้อย


 


 


นางไม่มีเวลาคิดให้ถี่ถ้วนกว่านี้เพราะเริ่นอวี่เฟิงหันมามองพวกเขา ที่ใต้น้ำเสียงของเขาฟังดูค่อนข้างแตกต่างไป “ศิษย์น้องทั้งหลาย เรากำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ระวังตัวด้วย!”


 


 


ทุกคนประสานมือและส่งเสียงเห็นดีเห็นงามด้วย ทุกคนมีสีหน้าขึงขังอยู่บนใบหน้า


 


 


ขณะนั้นโม่เทียนเกอเกิดมีความรู้สึกอยากจะหัวเราะขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นภาพเช่นนี้ มีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานหลายคนและทุกคนล้วนต้องพูดด้วยฟองอากาศ นี่มันช่าง… น่าขัน


 


 


ด้วยการนำของเริ่นอวี่เฟิง ทั้งสิบคนค่อยๆ เข้าไปผ่านปากถ้ำดำมืดช้าๆ โม่เทียนเกอตามหลังคนอื่น แต่เจียงซั่งหังตั้งใจให้นางเดินอยู่หน้าเขา


 


 


ทันทีหลังจากที่พวกเขาผ่านปากถ้ำเข้ามา ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไปและจู่ๆ ความอบอุ่นก็กลับคืนสู่ร่างพวกเขาทันที ในความลึกของมหาสมุทรทิศเหนือสุดมีเพียงแค่น้ำและน้ำแข็ง แต่ภายในภูเขาน้ำแข็งนี้ อย่างไรก็ตาม มันกลับเต็มไปด้วยสีฟ้าอ่อนของมหาสมุทรอย่างไม่น่าเชื่อ มีพืชน้ำที่ชุ่มฉ่ำ ปลาที่แหวกว่ายไปเป็นกลุ่ม และจุดของแสงที่หักเห มันดูเหมือนกับมหาสมุทรเขตอบอุ่นไม่มีผิด!


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมอง ดูเหมือนว่าผิวน้ำและแสงอาทิตย์จะอยู่ไม่ไกลออกไป กลุ่มของปลาสีเงินตัวเล็กที่มีขนาดเท่านิ้วว่ายผ่านมา ท่ามกลางการหักเหของแสงในน้ำ เกล็ดสีขาวเหลือบเงินของพวกมันเป็นประกายไปด้วยแสงสีเงิน ก่อให้เกิดภาพที่สวยงามอย่างยิ่ง


 


 


นางค่อนข้างหลงใหลกับภาพทิวทัศน์จนนางถึงขนาดยื่นมือออกไป ต้องการจะลูบปลาสีเงินตัวน้อย อย่างไรก็ตาม ข้างหลังนาง สีหน้าของเจียงซั่งหังเปลี่ยนไป กระบี่ปรากฏขึ้นในมือของเขาและเขารีบพุ่งเข้าไปฆ่าฝูงปลากลุ่มนั้นทันที


 


 


โม่เทียนเกอตกใจ นางหันกลับเพื่อมองคนอื่นๆ แต่ก็พบว่าทุกคนมีสีหน้าแบบเดียวกับเจียงซั่งหังและต่างคว้าเครื่องมือเวทของพวกเขาออกมากันแล้ว


 


 


ไม่ว่านางจะโง่สักแค่ไหน นางก็ควรจะรู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติกับปลาสีเงินตัวน้อยพวกนั้น ทันใดนั้นนางเหวี่ยงกระสวยอัปสราของนาง เกิดเป็นลำแสงสีทองที่ยิงไปข้างหน้า แต่เมื่ออยู่ใต้น้ำ พละกำลังในการโจมตีของนางจึงไม่แรงเท่าที่นางต้องการและช้ากว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด


 


 


เมื่อตระหนักถึงสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่ข้างใน ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าพวกนี้มาที่นี่ตลอดทั้งปี ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่มีอุปสรรคแม้แต่นิดเดียว ในทางตรงข้าม ตัวนางกลับมีน้ำเป็นอุปสรรค ดังนั้นพละกำลังของนางจึงลดลงอย่างมาก สถานการณ์นี้ช่างไม่เอื้ออำนวยแก่นางเลยจริงๆ …


 


 


ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานสิบคนโจมตีพร้อมกันและฝูงปลาก็ถูกฆ่าตายจนหมดในไม่ช้า โม่เทียนเกอฉวยโอกาสช่วงที่ทุกคนกำลังวุ่นกับการต่อสู้กระซิบถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ปลาตัวเล็กพวกนี้มีพลังวิญญาณแค่เล็กน้อย พวกมันไม่ใช่สัตว์ปีศาจ เพราะฉะนั้นทำไม…”


 


 


เจียงซั่งหังเก็บกระบี่ของเขาแล้วจึงอธิบาย “ศิษย์น้องเยี่ย ปลาพวกนี้ไม่ใช่สัตว์ปีศาจก็จริงแต่มันมีฟันประหลาด ถ้ามันพุ่งเข้าใส่เรา มันจะกัดเรา และการกัดของมันสามารถทำลายได้แม้กระทั่งเกราะป้องกันบนร่างกายของเรา”


 


 


“…” โม่เทียนเกอตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเกี่ยวกับสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์ปีศาจแต่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนบาดเจ็บได้ ที่จริงแล้วโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลและสิ่งที่แปลกเกินธรรมดาก็มีอยู่ทั่วทุกที่


 


 


ต่อมาพืชน้ำที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยก็สามารถงอกกิ่งก้านที่พยายามจะพันรอบตัวพวกเขาเช่นกันและแม้แต่พุ่มไม้ยังมีปากขนาดใหญ่ที่พยายามจะกลืนกินพวกเขา


 


 


หลังจากแค่ประมาณสองชั่วโมงตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในภูเขาน้ำแข็ง พวกเขาต้องผ่านการสู้รบติดต่อกันหลายครั้ง บัดนี้ในที่สุดโม่เทียนเกอก็เข้าใจแล้วว่าเจียงซั่งหังหมายความว่าอะไร


 


 


การเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตแปลกพิกลเหล่านี้ พวกเขาต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอเพราะสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีพิษภัยอาจจะพยายามคร่าชีวิตพวกเขาได้ โดยรวมแล้วสถานที่แห่งนี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยภัยอันตรายเพราะมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่างที่พวกเขาอาจไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำแต่ที่จริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่ยากในการฆ่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยเหล่านี้เท่าใดนัก


 


 


เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาฆ่าแมงกะพรุนกลุ่มหนึ่งเสร็จ พวกเขาก็เข้ามาถึงแนวปะการังขนาดใหญ่สีแดงเข้มที่ส่องประกายวิบวับ โม่เทียนเกอเห็นได้ว่าปะการังนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นมันอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติได้เช่นกัน


 


 


ขณะนั้นเอง หัวหน้าของพวกเขาเริ่นอวี่เฟิงหยุดแล้วจึงหันมาหาพวกเขา “ศิษย์น้องทั้งหลาย ปะการังแดงเพลิงเหล่านี้เป็นของหายากเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรจะเอาไปให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม มันต้องมีสิ่งเล็กๆ ที่อันตรายลอยอยู่ในนั้นด้วยแน่ เจ้าต้องระวังตัวไว้ด้วย”


 


 


ทุกคนพยักหน้าและตอบด้วย “ขอรับ/เจ้าค่ะ” ในไม่ช้าทุกคนก็แยกกัน ต่างมองหาชิ้นที่ถูกใจพวกเขา


 


 


เจียงซั่งหังดึงโม่เทียนเกอมาที่ด้านข้างแล้วจึงพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ปะการังแดงเพลิงพวกนี้มีอายุอย่างน้อยพันปี เพราะฉะนั้นเราจึงควรเอากลับไปกับเรา ด้วยวิธีนั้นต่อให้เราไม่ได้อะไรในภายหลัง การเดินทางนี้ก็ยังไม่ถือว่าสูญเปล่า”


 


 


ปะการังถูกนำมาใช้แค่ในสูตรยาประหลาดไม่กี่สูตรเท่านั้น ในขณะที่ไม่เคยได้ยินว่ามีการใช้ในการขัดเกลาเครื่องมือใด ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีค่ามากนัก แต่ไม่ว่ากรณีใด พวกมันก็เป็นวัตถุวิญญาณที่มีอายุเป็นพันๆ ปีซึ่งแทบไม่เคยพบเจออยู่ในโลกใบนี้ ดังนั้นนางก็น่าจะเอาออกไปบ้าง บางทีมันอาจจะมีประโยชน์เข้าสักวันหนึ่ง


 


 


เจียงซั่งหังที่คว้ากระบี่บินของเขาออกมาแล้วค่อยๆ ตัดชิ้นปะการังอย่างระมัดระวัง โม่เทียนเกอทำตามอย่างเขา นางหยิบกระบี่บินของนางออกมาและตัดปะการังชิ้นหนึ่งให้ตัวเองด้วยความระมัดระวัง เมื่อยืนยันได้แล้วว่ามันไม่มีอันตราย สุดท้ายนางจึงเก็บเข้าไปในกระเป๋าเอกภพ


 


 


โม่เทียนเกอหยุดหลังจากเก็บได้ไม่กี่ชิ้น นางไม่ใช่คนโลภมากและเริ่นอวี่เฟิงก็บอกว่าอาจมีอันตรายอยู่ภายในปะการังพวกนี้ การเสี่ยงเพื่อสิ่งที่ไมได้มีค่ามากมายนั้นมันไม่คุ้มค่ากัน


 


 


ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น เริ่นอวี่เฟิงพูดขึ้นมาเช่นกัน “เอาละเท่านี้ก็พอแล้ว ทุกคนหยุดได้ อย่าเก็บมามากเกินไป มันไม่คุ้มถ้าเราเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายแค่เพื่อปะการังพวกนี้”


 


 


หลังจากเขาพูด ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าหยุดอย่างว่าง่ายและเก็บของที่เก็บมาได้จากนั้นขยับเข้าไปหาเขา


 


 


ทุกคนมารวมตัวอยู่รอบๆ เขาแล้วแต่เริ่นอวี่เฟิงไม่มีทีท่าว่าจะไปต่อเลยสักนิด เขากลับกวาดสายตามองทุกคนแทนและดูขึงขังอย่างที่สุด สุดท้ายสายตาเขาก็มาจับอยู่ที่โม่เทียนเกอ แต่คนที่เขาพูดด้วยคือเจียงซั่งหัง “ศิษย์น้องเจียง เจ้าบอกศิษย์น้องเยี่ยถึงจุดประสงค์การเดินทางของเราหรือยัง”

 

 

 


ตอนที่ 177 จุดประสงค์ที่แท้จริง

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด รอยย่นเล็กน้อยปรากฏขึ้นที่คิ้วของโม่เทียนเกอ แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่เจียงซั่งหังยังไม่ได้บอกนาง!


 


 


เจียงซั่งหังเหลือบมองนางอย่างเร็วแล้วจากนั้นจึงพูดกับเริ่นอวี่เฟิง “ข้ายังไม่ได้บอกรายละเอียดนาง”


 


 


เริ่นอวี่เฟิงพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องบอกนางได้แล้ว”


 


 


โม่เทียนเกอมองสลับไปที่เจียงซั่งหัง รอคำอธิบายจากเขา ถึงแม้ว่านางจะคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าเรื่องคงไม่ง่ายนัก แต่นางก็ยังรู้สึกไม่พอใจเมื่อบัดนี้เรื่องนั้นถูกเปิดเผยออกมาต่อหน้านาง


 


 


เมื่อเผชิญกับสายตานาง เจียงซั่งหังกระแอมให้โล่งคอแล้วจึงพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจ “ศิษย์… น้องเยี่ย อย่าเพิ่งโมโหนะ ข้าไม่ได้บอกเจ้าก่อนเพราะเรื่องนี้สำคัญมาก อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างที่ข้าสัญญากับเจ้าไว้ก่อนหน้านี้ยังคงมีผลอยู่ เหตุผลเดียวที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าก็เพราะมันไม่ง่ายที่ข้าจะทำเช่นนั้นตอนก่อนหน้านี้”


 


 


โม่เทียนเกอแค่แสยะยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร นางเดาได้ตั้งนานแล้วดังนั้นนางจึงไม่ได้โกรธจริงจัง แต่ถ้านางปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายดายเกินไป คนก็จะคิดว่านางเป็นเหมือนพรมเช็ดเท้าที่ใครจะเหยียบย่ำก็ได้


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าขัดแย้งของเจียงซั่งหัง เริ่นอวี่เฟิงจึงขัดจังหวะขึ้น “ให้ข้าพูดเอง”


 


 


เจียงซั่งหังมองเขา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามและถอยหลังไป


 


 


โม่เทียนเกอมองพวกเขาอย่างเย็นชา ตัดสินจากพฤติกรรมของเริ่นอวี่เฟิงว่าโอหังมากแค่ไหนตอนก่อนหน้านี้ แล้วเจียงซั่งหังจะกล้าคัดค้านต่อหน้าเขาได้อย่างไรกัน เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เจียงซั่งหังพูดกับนางก่อนหน้านี้นั้นเป็นความจริง เขาเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าสหายศิษย์ของเขา เขาจึงตกอยู่ในตำแหน่งที่เปราะบาง


 


 


ขณะที่เผชิญหน้ากับโม่เทียนเกอ เริ่นอวี่เฟิงลดความโอหังแบบเดิมของเขาลงและพูดอย่างเข้มงวด “ศิษย์น้องเยี่ย พูดสั้นๆ ก็คือข้าปล่อยให้เจ้าออกไปได้หากเจ้าไม่ตกลงกับสิ่งที่เรากำลังจะทำ แต่เจ้าต้องสาบานคำสัตย์กับมารภายในจิตใจของเจ้าว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร!”


 


 


โม่เทียนเกอย่นคิ้วเล็กน้อย ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น


 


 


นางพูดอย่างนิ่งเฉย “ศิษย์พี่เริ่นแค่ต้องพูดมาตรงๆ สำคัญด้วยหรือว่าข้าจะตกลงหรือไม่ สหายศิษย์ของท่านทุกคนอยู่ที่นี่ ถ้าท่านต้องการจัดการกับข้าก็คงจะง่ายสำหรับท่านมาก”


 


 


คำพูดของนางทำให้เริ่นอวี่เฟิงพูดไม่ออก และแม้แต่เจียงซั่งหังยังเฉมองไปทางอื่น พวกเขาก็กำลังคิดเหมือนกัน ไม่ว่ากรณีใดนางก็มีตัวคนเดียว ถ้านางไม่ตกลง พวกเขาคงไม่มีปัญหาอะไรในการบีบบังคับนางด้วยกำลัง อย่างไรก็ตาม การที่สิ่งนั้นถูกโม่เทียนเกอพูดแฉอย่างเปิดเผยก็ยังทำให้ใบหน้าพวกเขาร้อนฉ่า ท้ายที่สุดแล้วการรังแกผู้หญิงตัวคนเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจสักเท่าไร


 


 


แต่อย่างไรก็ตาม หน้าเริ่นอวี่เฟิงนั้นหนามากพอ ดังนั้นเขาจึงกลับมาสงบอารมณ์ได้และพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสในสำนักของเราจะอนุญาตให้เราบอกคนอื่นเกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลาย สถานที่ซึ่งเรามักจะพบเจอสมบัติเช่นนั้นหรือ”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินเช่นนั้น นางเหลือบมองที่เจียงซั่งหัง “เช่นนั้นก็หมายความว่า… ทุกอย่างที่ศิษย์พี่เจียงบอกข้าก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหก”


 


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่หรอก” เจียงซั่งหังรีบปฏิเสธ “แดนแห่งมังกรซ่อนลายเป็นสถานที่ที่เรามักจะพบเจอสมบัติจริง นอกเหนือจากที่มันเป็นความลับของสำนักเรา ทุกอย่างที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” โม่เทียนเกอหันไปหาเริ่นอวี่เฟิง “งั้นศิษย์พี่เริ่นหมายความว่าอย่างไร”


 


 


“เราจะเริ่มจากครั้งล่าสุดที่เราเข้าสู่แดนแห่งมังกรซ่อนลาย” เริ่นอวี่เฟิงจ้องโม่เทียนเกอด้วยสายตาเฉียบคมราวกับเขากำลังดูว่านางมีสีหน้าไม่พอใจหรือเปล่า เขาพูดต่อช้าๆ “สามเดือนก่อน ศิษย์น้องเซี่ยง ศิษย์น้องถัง ศิษย์น้องเจียง และตัวข้าได้เข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายด้วยกันและพบสถานที่ลับอยู่ข้างใน โชคร้ายที่เราทั้งสี่คนไม่มีพละกำลังมากพอ ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับมามือเปล่า หลายเดือนหลังจากนั้น เราพยายามจะหาคนที่เราไว้ใจเพื่อมาที่นี่และตามหาสมบัติกับเรา”


 


 


“… แล้วนี่มันเกี่ยวกับข้าอย่างไร” โม่เทียนเกองุนงง “สหายศิษย์ของท่านน่าจะน่าไว้ใจมากกว่าคนนอกอย่างข้า ถ้าท่านกำลังมองหามิตร ท่านควรจะหาจากในหมู่สหายศิษย์ร่วมสำนักของท่าน!”


 


 


“อย่างแรกเราต้องพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานที่ลับเสียก่อน” เริ่นอวี่เฟิงกล่าว “ครั้งล่าสุดเราบังเอิญเข้าไปในสถานที่ลับและผลก็คือเราเจอเข้ากับสัตว์ปีศาจระดับห้าทันที นั่นไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง ถึงแม้สัตว์ปีศาจระดับห้าจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเราทั้งสี่คนไม่แข็งแกร่งพอจะสู้กับมัน ปัญหาคือสัตว์ปีศาจตัวนั้นมีการต้านทานที่แกร่งมากต่อเวทมนตร์ธาตุน้ำและน้ำแข็ง! คาดว่าศิษย์น้องเยี่ยคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่ตั้งแต่สำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งขึ้นในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด ศิษย์ของเราทั้งหมดฝึกวิชาการฝึกตนธาตุน้ำหรือน้ำแข็งทั้งสิ้น แม้แต่เครื่องมือเวทของเราก็เป็นเครื่องมือเวทธาตุน้ำและน้ำแข็ง เพราะฉะนั้น เราจึงพ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้และต้องหนีออกมา”


 


 


“งั้นท่านก็ต้องการหาผู้ฝึกตนที่เป็นศิษย์ของสำนักอื่นเพื่อสู้กับสัตว์ปีศาจตัวนั้น”


 


 


“ถูกต้อง” หลังจากเห็นว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในสีหน้านาง ในที่สุดเริ่นอวี่เฟิงจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้นิดหน่อย เขาพูดตามตรง “โชคร้ายที่สำนักเจิ้งฝ่าของเราตั้งอยู่ในเขตทิศเหนือสุด ดังนั้นจึงแทบไม่มีคนนอกมาที่นี่ ต่อให้มีผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นมาที่นี่ แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็มักจะไม่สูงมากพอหรือไม่พวกเขาก็ไม่น่าเชื่อถือ เราจึงไม่ต้องการพวกเขาแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าถึงขั้นคิดว่าจะไปที่คุนอู๋เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมด้วยซ้ำ”


 


 


โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบ ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นจริง มันก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ที่นางจะจัดการกับเรื่องนี้


 


 


“เมื่อศิษย์น้องเยี่ยมาถึงที่เขตทิศเหนือสุดของเรา ศิษย์น้องเจียงคิดว่าจะเชิญเจ้ามา ดังนั้นเขาเรียกข้ามาและถามว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ เพราะเขารับประกันว่าเจ้าเป็นคนที่ไว้ใจได้ ข้าจึงตกลง”


 


 


เช่นนั้นก็หมายความว่า… เจียงซั่งหังวางแผนเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก! เมื่อสรุปได้อย่างนี้ในใจ โม่เทียนเกอเหลือบมองเขาอีกครั้งโดยไม่แสดงสีหน้า ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ร้ายแรงนัก แต่นางก็ยังรู้สึกไม่พอใจ นางไม่ถือสาหากเขาจะทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่การลากนางเข้ามาเกี่ยวข้องในบางสิ่งบางอย่างโดยที่นางไม่ได้อนุญาตมันเป็นคนละเรื่องกันเลย


 


 


เจียงซั่งหังค่อนข้างอับอาย ดูเหมือนกับเขาอยากจะอธิบายแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปล่อยเรื่องนั้นไป


 


 


“ก็ได้ ศิษย์พี่เริ่นควรบอกข้ามาก่อนว่าข้าควรต้องระวังอะไร ข้าควรทำอย่างไรและข้าจะได้อะไรในตอนท้ายที่สุด”


 


 


“แน่นอน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเริ่นอวี่เฟิงในที่สุดเมื่อตอนนี้โม่เทียนเกอตกลงจะเข้าร่วมด้วย “อย่างแรกที่ข้าอยากคุยกับศิษย์น้องเยี่ยก็คือระดับความอันตรายที่นั่น มันไม่ได้แตกต่างจากชั้นแรกของแดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ยกเว้นว่าที่นั่นมีสัตว์ปีศาจระดับห้าเฝ้าประตูอยู่ ถึงแม้สัตว์ปีศาจระดับห้าจะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ความฉลาดของมันด้อยกว่ามนุษย์ ข้าคิดหาวิธีจัดการกับสัตว์ปีศาจตัวนั้นมานานแล้ว สิ่งที่ศิษย์น้องเยี่ยจำเป็นต้องทำคือโจมตีมันตามคำสั่งของข้า ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยเป็นสหายร่วมทางของเราแล้วในตอนนี้ เป็นธรรมดาที่เจ้าจะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สมบัติด้วย ส่วนจะได้เท่าไรนั้นก็ขึ้นกับว่าเจ้าลงแรงช่วยเหลือในการเดินทางครั้งนี้มากแค่ไหน”


 


 


โม่เทียนเกอพยักหน้า นางสามารถยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้ได้ แต่–


 


 


“ศิษย์พี่เริ่น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจพวกท่าน แต่ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ตัวคนเดียวในการเดินทางนี้ เพราะฉะนั้นข้าจึง…” นางหยุดและกวาดสายตาไปที่ทุกคน


 


 


เริ่นอวี่เฟิงเข้าใจความหมายของนาง เขาจึงถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย หากเจ้าจะขอร้องอะไร เจ้าแค่ต้องพูดมา ถ้ามันอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ ข้าจะตกลงอย่างแน่นอน”


 


 


“ตกลง” โม่เทียนเกอตอบรับทื่อๆ “ข้าต้องการให้ศิษย์พี่เริ่นสาบานว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ทำร้ายข้าและท่านจะปล่อยให้ข้าจากไปอย่างปลอดภัยแน่นอนหลังจากการเดินทางนี้จบลง”


 


 


“…” เริ่นอวี่เฟิงนิ่งเงียบ เขาเข้าใจว่าโม่เทียนเกอหมายความว่าอะไรที่ขอให้เขาสาบาน เขาแค่ขอให้โม่เทียนเกอสาบานคำสัตย์หัวใจมารถ้านางไม่อยากเข้าร่วม ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงแค่ขอให้เขาทำแบบเดียวกันในตอนนี้


 


 


เขากัดฟันแน่นแล้วจึงพูดด้วยเสียงหนักๆ “ตกลง!”


 


 


พอได้ยินเขาตอบตกลงคำขอของโม่เทียนเกอ ศิษย์ผู้หญิงของสำนักเจิ้งฝ่าที่อยู่ข้างเขา ไอเสียนร้องตะโกนออกมา “ศิษย์พี่เริ่น เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร”


 


 


เริ่นอวี่เฟิงเหลือบมองนางและพูดอย่างเฉยเมย “คำขอของศิษย์น้องเยี่ยไม่ได้ไร้เหตุผล อีกอย่างหากข้าไม่ได้วางแผนจะกลับคำ ผลที่ออกมาก็จะเป็นเหมือนกันไม่ว่าข้าจะสาบานคำสัตย์หรือไม่”


 


 


โม่เทียนเกอยิ้ม “ศิษย์พี่เริ่นช่างกล้าหาญเสียจริง ท่านทำให้ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ” ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่นางก็ไม่ยอมถอนคำขอของนาง อีกฝ่ายมีเก้าคนในขณะที่นางมีตัวคนเดียว ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะให้ส่วนแบ่งผลประโยชน์กับนางภายหลังหรือจะพยายามปล้นสมบัติที่นางมีหรือไม่ ถึงแม้เจียงซั่งหังกับนางจะค่อนข้างคุ้นเคยกันและเขาก็ไม่น่าจะทำร้ายนาง แต่เขาไม่ได้มีสถานะสูงส่ง ดังนั้นทุกอย่างก็ยังคงขึ้นอยู่กับว่าเริ่นอวี่เฟิงคิดอย่างไร เริ่นอวี่เฟิงผู้ที่มีสถานะสูงที่สุดในกลุ่มเป็นแค่ศิษย์ภายในของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง คาดว่าเขาคงไม่มีอาวุธเวทหรือของอื่นๆ หรือต่อให้เขามี มันก็คงไม่ใช่ของระดับสูงแน่นอน มันจึงเป็นไปได้ที่เขาจะมีความคิดโลภมากในภายหลัง


 


 


“ข้า เริ่นอวี่เฟิง สัญญากับมารภายในจิตใจของข้าว่าศิษย์น้องเยี่ย เยี่ยเสี่ยวเทียน จะไม่ได้รับบาดเจ็บในการเดินทางครั้งนี้ ข้าจะควบคุมสหายศิษย์ของข้าและยอมให้ศิษย์น้องเยี่ยจากไปอย่างปลอดภัยหลังจากการเดินทางนี้จบลง” เมื่อเขาพูดจบ เขาลืมตาและมองโม่เทียนเกอ “แค่นี้พอไหม”


 


 


ตอนนี้เริ่นอวี่เฟิงทำการสาบานคำสัตย์หัวใจมารแล้วจริงๆ โม่เทียนเกอจึงพูดพร้อมรอยยิ้มทันที “ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่เริ่นเชิญพูดต่อได้ ข้าไม่มีคำถามอื่นอีก”


 


 


ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกในที่สุดเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด


 


 


เริ่นอวี่เฟิงพูดว่า “เอาละ ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยไม่คัดค้านอะไร เราสามารถเริ่มการเตรียมตัวได้ตอนนี้ คาดว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าต้องเตรียมอะไร เริ่มเคลื่อนไหวได้เลย!”


 


 


ทันทีหลังจากเขาพูดจบ ทุกคนวุ่นวายกับหน้าที่ของตัวเองทันที


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร แต่นางเห็นเจียงซั่งหังเข้ามาหานาง เขาพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย นี่คือเครื่องรางป้องกันน้ำแข็งเย็นเยือกของสำนักเจิ้งฝ่า ในธาตุทั้งห้า สัตว์ปีศาจระดับห้าตัวนั้นเกี่ยวข้องกับธาตุน้ำ ดังนั้นเจ้าจะปลอดภัยขึ้นหน่อยถ้ามีเครื่องรางนี้อยู่บนร่างกาย”


 


 


โม่เทียนเกอรับมาแล้วจึงพูดแผ่วเบา “ขอบคุณที่นึกถึง ศิษย์พี่เจียง”


 


 


นางไม่ได้เย็นชาหรืออบอุ่น ไม่มีความโกรธในเสียงของนาง แต่ก็ไม่มีความตั้งใจจะยกโทษให้แม้แต่น้อยเช่นกัน เจียงซั่งหังเต็มไปด้วยคำที่เขาต้องการพูด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นและทำได้แค่หันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อให้เสร็จ


 


 


นอกเหนือจากโม่เทียนเกอ ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมดกระทำการภายใต้คำสั่งของเริ่นอวี่เฟิง แต่ละคนเลือกตำแหน่งแล้วจึงวางศิลาวิญญาณรอบตัวพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเตรียมม่านพลังประเภทหนึ่ง


 


 


ด้วยความเชี่ยวชาญของโม่เทียนเกอในด้านม่านพลัง มองปราดเดียวนางก็เดาได้ว่าพวกเขาต้องการวางม่านพลังเพิ่มพลังป้องกัน อย่างไรก็ตาม นางไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงวางม่านพลังที่นี่


 


 


ในไม่ช้า ม่านพลังเพิ่มพลังป้องกันก็ถูกวางเรียบร้อย เริ่นอวี่เฟิงตะโกนเรียก “ศิษย์น้องเยี่ย ช่วยมาตรงนี้หน่อย”


 


 


ขณะนั้นเอง ทุกคนนอกเหนือจากเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางเดินไปที่ศูนย์กลางของม่านพลัง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงตามพวกเขาไป


 


 


หลังจากเห็นว่าทุกคนเข้าสู่ม่านพลังแล้ว เริ่นอวี่เฟิงพูดว่า “ศิษย์น้องทั้งชายและหญิง พวกเจ้าจะอยู่ในม่านพลัง ในภายหลังศิษย์น้องเซี่ยงและตัวข้าจะล่อปีศาจปลาคาร์พน้ำระดับห้ามาที่นี่ และพอถึงตอนนั้น เจ้าสามารถเปิดใช้ม่านพลังได้ เจ้าต้องอดทนไว้! ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลถึงสิ่งใดเพราะเราจะปกป้องเจ้าแน่นอน เจ้าแค่ต้องจดจ่ออยู่กับการโจมตีมันด้วยเครื่องมือเวทและคาถาที่ทรงพลัง”


 


 


ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าพยักหน้า และโม่เทียนเกอก็แสดงออกว่าตกลงเช่นกัน นางหวังว่าเริ่นอวี่เฟิงจะรักษาคำพูด ถ้าเขาทำจริง นางจะมีช่วงเวลาที่ง่ายที่สุดในหมู่พวกเขาทั้งหมด


 


 


บัดนี้คนอีกเจ็ดคนนอกจากโม่เทียนเกอเข้าไปยืนประจำตำแหน่งของตัวเอง ตำแหน่งของพวกเขาทำให้เกิดเป็นกลุ่มดาวรูปทรงกระบวยใหญ่โดยมีลู่หรงเซิงผู้ที่ระดับการฝึกตนสูงที่สุดในกลุ่มพวกเขาอยู่ที่ตำแหน่งหน้าสุดคอยเฝ้าดูม่านพลัง สำหรับโม่เทียนเกอ นางยืนอยู่ที่ตำแหน่งใจกลางที่สุด ตกอยู่ภายใต้การคุ้มครองของม่านพลัง


 


 


เริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางออกไปในที่ที่มีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าคือที่ไหน แต่ตามการคาดเดาของโม่เทียนเกอ พวกเขาทั้งแปดคนถูกทิ้งไว้ที่นั่นเพราะนี่เป็นวิธีรับมือกับสัตว์ปีศาจระดับห้า แต่ก็อาจจะเพราะพวกเขาจำเป็นต้องมีวิชาเฉพาะในการเปิดเส้นทางเข้าสู่สถานที่ลับ และทั้งสองคนนั้นไม่อยากให้อีกแปดคนเห็นวิชานั้น


 


 


หลังจากผ่านไปสักพัก ลู่หรงเซิงตะโกน “มันมาแล้ว!”


 


 


คนทั้งเจ็ดคว้าเอาเครื่องมือเวทของตัวเองออกมาทันทีและเริ่มรวบรวมพลังวิญญาณ พอถึงเวลาที่เครื่องมือเวทของพวกเขาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ลู่หรงเซิงตะโกน “เปิดใช้ม่านพลัง!”


 


 


คนทั้งเจ็ดยกเครื่องมือเวทขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันและยิงลำแสงแห่งพลังวิญญาณเจ็ดแสงไปที่ดวงตาแห่งม่านพลังทั้งเจ็ดดวงในเวลาเดียวกัน ลำแสงแห่งพลังวิญญาณพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่แสงทั้งหมดล้วนเป็นสีฟ้า ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมดฝึกวิชาการฝึกตนธาตุน้ำ ดังนั้นสีของพลังวิญญาณของพวกเขาจึงเป็นสีฟ้า


 


 


ลำแสงแห่งพลังวิญญาณทั้งเจ็ดบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียวเหนือม่านพลังและก่อให้เกิดเป็นเกราะป้องกันที่ปกป้องคนทั้งแปดคนในม่านพลังไว้อย่างแน่นหนา


 


 


โม่เทียนเกอเองก็เอาอาวุธเวทและเครื่องมือเวทหลายอย่างออกมาและทำการเตรียมตัวให้พร้อม จิตสัมผัสของนางแกร่งกว่าของลู่หรงเซิง ถึงแม้ว่าใต้น้ำนางจะไม่เก่งเท่าผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าที่เหมือนกับปลาในน้ำ แต่นางก็สัมผัสได้นานแล้วว่าเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางกำลังกลับมา ตอนนี้ม่านพลังถูกทำให้เริ่มเคลื่อนไหวแล้วและลมปราณของสัตว์ปีศาจระดับห้าตัวนั้นก็ได้แผ่ขยายมาปะทะเข้าหน้าพวกเขาอย่างจัง

 

 

 


ตอนที่ 178 ปีศาจปลาไนน้ำ

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของโม่เทียนเกอในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้า แต่นี่เป็นครั้งแรกของนางในการต่อสู้ใต้น้ำ


 


 


จากที่ไกลๆ เริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางกำลังรีบเร่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ไม่แน่ชัดนักว่าพวกเขาใช้วิชาหลบหนีแบบใด แต่ความเร็วของพวกเขาตอนนี้เร็วกว่าเมื่อพวกเขาอยู่บนพื้นดินอย่างไม่น่าเชื่อ คาดว่าผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าคงจะเก่งในการใช้เวทมนตร์ธาตุน้ำ ดังนั้นการใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำที่ใต้น้ำจึงเหมาะสำหรับพวกเขามาก


 


 


ขณะที่ทั้งสองคนยังคงรีบเข้ามา พวกเขาก็ตะโกน “ม่านพลัง!”


 


 


ลู่หรงเซิงกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของเขาทันทีและตะโกน “เปิดม่านพลัง!”


 


 


ทั้งเจ็ดคนเสกคาถาของพวกเขาพร้อมกัน รังสีระยิบระยับปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของเกราะป้องกัน ก่อให้เกิดเป็นช่องว่างเล็กๆ ซึ่งทำให้เริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางเหาะเข้ามาในม่านพลังได้


 


 


ลู่หรงเซิงตะโกนอีกครั้ง “ปิดม่านพลัง!”


 


 


ช่องว่างเล็กๆ ปล่อยแสงวิญญาณและในชั่วพริบตาช่องว่างนั้นก็หายวับไป


 


 


ทันทีหลังจากที่เกราะป้องกันปิดสนิท ลมปราณของปีศาจปลาไนน้ำก็กระเพื่อมเข้ามาหาพวกเขาอย่างรุนแรง ชั่วขณะหนึ่ง คนทั้งสิบภายในเกราะป้องกันล้วนตัวซีดเผือด


 


 


ถึงแม้พวกเขาจะคิดหาวิธีต่อกรกับสัตว์ปีศาจตัวนี้มานานแล้ว ทว่าระดับของมันก็ยังเทียบเท่ากับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ในฐานะผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน พวกเขายังครองสติอยู่ได้อย่างยากลำบากเมื่อเผชิญกับแรงเคลื่อนไหวล้นทะลักที่น่าเกรงขามของมัน


 


 


เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ศิษย์น้อง สงบสติเอาไว้! ม่านพลังล่องหนเจ็ดดาราของเราจะสามารถสกัดกั้นมันไว้ได้แน่!”


 


 


พอถึงเวลาที่เขาพูดจบ ปีศาจปลาไนน้ำก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้ว สัตว์ปีศาจโดยทั่วไปมักจะพึ่งสัญชาตญาณมากกว่าและเนื่องจากปีศาจปลาไนน้ำถูกทำให้โกรธจนเดือดดาล มันจึงเอาหัวกระแทกกับเกราะป้องกันทันทีเมื่อเห็นพวกเขา!


 


 


โม่เทียนเกอฝืนตัวเองให้สงบนิ่ง นางมองจากภายในม่านพลัง ปีศาจปลาไนน้ำตัวใหญ่มากกว่าพวกเขาทั้งสิบคนรวมกัน และทั้งตัวของมันก็ดำขลับอย่างกับหมึกดำ มันดูเหมือนกับปลาคาร์พปกติทั่วไปแต่มีหัวขนาดมโหฬาร ปากดำและฟันไขว้กัน มันช่าง… น่าเกลียดน่ากลัว!


 


 


ขณะที่ปีศาจปลาไนน้ำเอาหัวพุ่งเข้าหาพวกเขา แรงเคลื่อนไหวของสัตว์ปีศาจระดับห้าทะลักออกมาอย่างแรงและโม่เทียนเกอก็เกือบจะคิดว่าพวกเขาคงโดนมันกลืนกินแน่ๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม มันถูกสกัดกั้นไว้ด้วยเกราะป้องกันสีฟ้า วินาทีที่สัตว์ปีศาจกระแทกเข้ากับเกราะป้องกัน แสงสีฟ้าบนพื้นผิวของเกราะป้องกันส่องแสงวูบวาบ แต่สามารถสกัดกั้นสัตว์ปีศาจไว้ได้ในท้ายที่สุด


 


 


เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอเท่านั้น แต่ขนาดเริ่นอวี่เฟิงและคนอื่นๆ ยังถอนใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน ในเมื่อพวกเขาวางม่านพลังไว้ พวกเขาจึงมั่นใจกับประสิทธิภาพของมันเป็นธรรมดา แต่อย่างไรก็ตาม ความมั่นใจของพวกเขาก็ยังจำเป็นต้องอิงตามหลักความจริง ตอนนี้ที่พวกเขาเห็นแล้วว่ามันสามารถขัดขวางปีศาจปลาไนน้ำได้ รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกเขาในท้ายที่สุด


 


 


“ศิษย์น้องทั้งชายและหญิง! พวกเจ้าก็เห็นด้วยตัวเองแล้ว เราควรจะปฏิบัติตามแผนของเราเสียเลยตอนนี้!”


 


 


ทุกคนส่งเสียงเห็นด้วยจากนั้นจึงตั้งมั่นอยู่ประจำตำแหน่งของตัวเอง เริ่นอวี่เฟิงพูดกับโม่เทียนเกอว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ปีศาจปลาไนน้ำตัวนั้นมีคาถาที่ทรงพลังมากซึ่งต้องใช้เวลารวบรวมนานมากระหว่างการใช้คาถาแต่ละครั้ง เมื่อคาถานี้ผ่านไป เราจะเปิดม่านพลังชั่วคราวและเจ้าจะต้องโจมตีมันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี”


 


 


“ตกลง” นั่นมันไม่ยากแต่… นางคิดครู่หนึ่งแล้วจึงถามเริ่นอวี่เฟิง “ศิษย์พี่เริ่น เมื่อเราเปิดม่านพลัง หรือว่าเราจะ…”


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ยแค่ต้องเชื่อเรา!” ก่อนนางจะทันถามคำถาม เริ่นอวี่เฟิงก็พูดตัดบทนาง เขากำลังดูปีศาจปลาไนน้ำอย่างประหม่า ไม่สนใจจะตอบคำถามของโม่เทียนเกอ ความยโสของเขาจากเมื่อครั้งแรกที่พวกเขาพบกันตอนนี้ถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ตัว


 


 


โม่เทียนเกอขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร ด้วยสถานะปัจจุบันของนางที่โรงเรียนเสวียนชิง ไม่ได้มีคนมากมายนักที่พูดเช่นนั้นกับนางได้ นางเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิงเหอ เพราะฉะนั้นใครกันจะกล้ากวนใจนาง นิสัยของเริ่นอวี่เฟิงไม่ดีจริงๆ แต่นางก็สงสัยว่าพละกำลังของเขาจะมีมากพอเป็นเหตุผลให้นิสัยของเขาเป็นแบบนี้หรือไม่


 


 


ขณะที่นางกำลังใช้ความคิด นางได้ยินเริ่นอวี่เฟิงตะโกนอย่างดัง “เดี๋ยวนี้เลย! เปิดม่านพลัง!”


 


 


ลู่หรงเซิงโบกกระบี่ไม้ในมือเขาทันที “เปิดม่านพลัง!”


 


 


ในชั่วพริบตา ช่องโหว่เล็กๆ ปรากฏขึ้นในเกราะป้องกันด้านบนพวกเขา


 


 


เริ่นอวี่เฟิงตะโกนอีกครั้ง “โจมตีได้!”


 


 


โม่เทียนเกอยกมือขึ้นทำให้กระสวยอัปสราลอยออกไปนอกม่านพลังผ่านช่องโหว่เล็กๆ นั้น เปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองซึ่งยิงเข้าใส่ปีศาจปลาไนน้ำ ในขณะเดียวกันเครื่องมือเวทของเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางก็ลอยออกไปเช่นกัน แต่เครื่องมือเวทของพวกเขาเป็นแค่กระบี่บินเท่านั้น คาดว่าพวกเขาคงไม่มีเวลาขัดเกลาเครื่องมือเวทด้วยคุณสมบัติของธาตุอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้กระบี่บินธรรมดา


 


 


กระบี่บินของเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางแทงเข้าใส่ปีศาจปลาไนน้ำอย่างรวดเร็ว แต่ผิวหนังของมันแข็งมาก กระบี่บินทั้งสองทำให้เกิดแค่รอยข่วนสีขาวรอยเดียวและไม่สามารถแทงผ่านตัวของมันได้


 


 


กระสวยอัปสราของโม่เทียนเกอขยับ ลำแสงสีทองหมุนวนรอบตัวปีศาจปลาไนน้ำและล้อมมันไว้ ขณะนั้นกระบี่บินทั้งสองเล่มก็ได้กลับสู่เจ้าของด้วยความพ่ายแพ้ เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ศิษย์น้องเยี่ย เร็วเข้า!”


 


 


โม่เทียนเกอไม่เหลือบมองเขาด้วยซ้ำ ชั่วขณะที่ลำแสงสีทองอยู่ใต้หัวของปีศาจปลาไนน้ำพอดี ทันใดนั้นลำแสงก็แทงเข้าร่างของมัน ปีศาจปลาไนน้ำร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและโกรธจนบ้าระห่ำขึ้นทันที


 


 


ในทางกลับกัน เริ่นอวี่เฟิงและคนอื่นๆ ตื่นเต้นไปด้วยความดีใจ เครื่องมือเวทของโม่เทียนเกออย่างน้อยก็สามารถทำให้สัตว์ปีศาจบาดเจ็บได้ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วการเดินทางของพวกเขาจึงไม่สูญเปล่า


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย!” เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”


 


 


แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอกลับเอาเครื่องรางระดับสูงกองหนึ่งออกมาและเขวี้ยงไปข้างหน้า


 


 


หลังจากนั้นพวกเขาเห็นทรายในน้ำข้างนอกกำลังผุดขึ้นเป็นฟองอย่างรุนแรง โม่เทียนเกอโยนเครื่องรางธาตุดินออกไป!


 


 


ปีศาจปลาไนน้ำสัมพันธ์กับธาตุน้ำและธาตุดินข่มธาตุน้ำ เครื่องรางเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


 


ปีศาจปลาไนน้ำโกรธจัด ทันใดนั้นเอง จู่ๆ มันก็ตวัดหางฟาดเข้ากับเกราะป้องกันและทำให้เกราะสีฟ้าเริ่มสั่นสะท้าน ลู่หรงเซิงที่กำลังรักษาม่านพลังให้คงอยู่กระอักเลือดออกมา ถึงแม้พวกเขาจะเตรียมตัวมานาน แต่การโจมตีอย่างเกรี้ยวกราดของสัตว์ปีศาจระดับห้าก็ไม่ง่ายที่จะต้านทาน


 


 


ในสภาวะคลุ้มคลั่งของมัน ปีศาจปลาไนน้ำดูเหมือนกำลังเตรียมใช้เวทมนตร์อะไรสักอย่าง เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “หยุดโจมตี! ปิดม่านพลัง!”


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางเคลื่อนพลังวิญญาณของนางและถอนกระสวยอัปสรากลับและทันทีหลังจากนั้นม่านพลังก็ปิดลงอีกครั้ง


 


 


เพราะมันไม่สามารถเห็นหรือโจมตีกลุ่มพวกเขาได้ ความโกรธของปีศาจปลาไนน้ำจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้งและเหวี่ยงหางชนปะทะเข้ากับเกราะป้องกันด้วยแรงทั้งหมดของมัน ขณะที่มันปะทะเข้าหลายๆ ที ลู่หรงเซิงกระอักเลือดออกมาเต็มปากหลายครั้ง


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ เริ่นอวี่เฟิงรีบสั่งการ “ศิษน์น้องเซี่ยง สลับที่กับศิษย์น้องลู่!”


 


 


เซี่ยงจือหยางส่งเสียงรับคำสั่งและเดินไปที่ตำแหน่งของลู่หรงเซิง จากนั้นเขาเอาอาวุธเวทซึ่งเป็นแผ่นหยกบันทึกออกมา


 


 


สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาทำให้โม่เทียนเกอนิ่วหน้า เซี่ยงจือหยางเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของลู่หรงเซิง ลู่หรงเซิงไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพวกเขาในตอนนี้เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรงของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น คนพวกเดียวที่ช่วยรุกอย่างต่อเนื่องตอนนี้จึงมีเพียงแค่เริ่นอวี่เฟิงและตัวนาง กระบี่บินของเริ่นอวี่เฟิงสามารถทำร้ายสัตว์ปีศาจได้อย่างมีขีดจำกัด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหวังพึ่งแค่นางคนเดียวเพื่อให้จัดการกับปีศาจ… พูดตามตรง โม่เทียนเกอก็ไม่มั่นใจเลยว่านางจะทำได้


 


 


ถึงอย่างนั้น แม้ว่านางจะอยากถอย แต่สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาทำให้เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำเช่นนั้น นางต้องกัดฟันและอดทนต่อไป


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย” ระหว่างการโจมตี เริ่นอวี่เฟิงมองนางและพูดว่า “เครื่องมือเวทของเจ้าน่าทึ่งดีนะ”


 


 


โม่เทียนพูดว่า “ท่านอาจารย์ของข้ามอบให้เมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จ โชคดีที่มันมีประโยชน์”


 


 


“อย่างนั้นหรือ” เริ่นอวี่เฟิงถาม “ศิษย์น้องเยี่ย ผู้ฝึกตนคนไหนจากโรงเรียนเสวียนชิงที่เป็นท่านอาจารย์ของเจ้าหรือ ข้าเคยเดินทางไปคุนอู๋เมื่อข้ายังเด็ก ดังนั้นข้าจึงคุ้นเคยกับผู้อาวุโสบางท่านในโรงเรียนเสวียนชิง บางทีข้าอาจจะคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ของเจ้า”


 


 


โม่เทียนเกอหัวเราะและพูดกว้างๆ “ข้าเป็นศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ท่านอาจารย์ของข้าไม่ออกจากภูเขามาหลายปีแล้ว ศิษย์พี่เริ่นคงจำเขาไม่ได้หรอก”


 


 


“อ้อ…” คำตอบของนางคลุมเครือ แต่เริ่นอวี่เฟิงก็เป็นคนเข้าใจง่าย เขาเห็นว่านางไม่ต้องการพูดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดังนั้นเขาจึงหยุดถาม เขาแค่เหลือบมองนางอย่างครุ่นคิดอยู่หลายครั้งก่อนที่จะเฝ้าดูปีศาจปลาไนน้ำด้านนอกเกราะป้องกันต่อไป


 


 


ม่านพลังล่องหนเจ็ดดาราของสำนักเจิ้งฝ่านั้นยอดเยี่ยม ภายใต้โทสะของปลาไนน้ำ ม่านพลังยังสามารถต้านทานการโจมตีของมันได้อย่างหนักแน่น


 


 


โอกาสครั้งที่สองในการเปิดม่านพลังของพวกเขามาถึงเร็วมาก ครั้งนี้เพราะปีศาจปลาไนน้ำบาดเจ็บอยู่แล้ว ในที่สุดกระบี่บินของเริ่นอวี่เฟิงจึงได้ผล ตอนนี้มันสามารถทิ้งรอยบากได้บ้างเมื่อปะทะเข้ากับตัวของปีศาจปลาไนน้ำ


 


 


โม่เทียนเกอยังคงจู่โจมโดยใช้กระสวยอัปสราของนาง แต่ในระหว่างนั้นนางโยนเข็มบินได้และมีดขว้างเล่มเล็กๆ ไปด้วยเช่นกัน โชคร้ายที่ผิวหนังของปีศาจปลาไนน้ำนั้นหนามาก ดังนั้นนอกเหนือจากกระสวยอัปสราแล้ว อาวุธอย่างอื่นจึงไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผลเด่นชัดอะไรต่อมันได้ ส่วนพวกเครื่องรางนั้นก่อนหน้านี้นางใช้เครื่องรางระดับสูงไปหลายอันและไม่มีเหลืออยู่มากแล้วในตอนนี้ นางจึงไม่อยากจะเสียของไปเปล่าๆ อีก


 


 


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ปีศาจปลาไนน้ำควบคุมอารมณ์ไม่ได้ พวกเขาจึงปิดม่านพลังลงอีกครั้ง


 


 


ทำซ้ำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ปีศาจปลาไนน้ำไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้และได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ อีกนับไม่ถ้วน ดังนั้นในท้ายที่สุดมันก็ค่อยๆ หมดแรงไปทีละนิด ทำให้การเคลื่อนไหวของมันช้าลง


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ เริ่นอวี่เฟิงพูดด้วยความดีใจ “ทุกคน อดทนไว้! การเคลื่อนไหวของปีศาจปลาไนน้ำกำลังช้าลงแล้ว ในไม่ช้าเราก็จะสามารถทำให้มันเหนื่อยจนตายได้!”


 


 


หลังจากได้ยินเช่นนี้ ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าที่กำลังเฝ้าดวงตาแห่งม่านพลังอย่างเหน็ดเหนื่อยหันเหสายตาของพวกเขาไปมองที่ปีศาจปลาไนน้ำ ทุกคนต่างมีกำลังใจดีขึ้น แม้แต่ลู่หรงเซิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นตัวก็ยังลืมตาขึ้นเช่นกัน


 


 


เซี่ยงจือหยางผู้ที่ทำหน้าที่แทนลู่หรงเซิงในการควบคุมม่านพลังก็เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน แต่แล้วเขาพูดอย่างอ่อนแรง “ศิษย์พี่เริ่น… ครั้งนี้ต้องได้ผลนะเพราะข้าไม่สามารถทนได้อีกนานไปกว่านี้แล้ว…”


 


 


สำหรับม่านพลังอย่างม่านพลังเพิ่มพลังป้องกันนี้ คนที่รับหน้าที่ควบคุมม่านพลังต้องทนกับภาระอันหนักหน่วงมากกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มของพวกเขารวมถึงโม่เทียนเกอ มีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางแค่สามคนและขั้นสุดท้ายหนึ่งคนเท่านั้น เริ่นอวี่เฟิงต้องคอยสั่งการกำกับคนอื่น และโม่เทียนเกอก็ไม่เข้าใจวิชาที่ใช้กันโดยสำนักเจิ้งฝ่า ดังนั้นจึงมีเพียงลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางที่สามารถควบคุมม่านพลังนี้ได้ ในเมื่อลู่หรงเซิงใช้พละกำลังของเขาไปจนหมดสิ้นแล้วจึงไม่มีใครสามารถทำแทนเซี่ยงจือหยางได้อีก


 


 


สภาพปัจจุบันของเซี่ยงจือหยางทำให้เริ่นอวี่เฟิงบ่นพึมพำด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเขาจะพูดว่า “ถ้าศิษย์น้องเซี่ยงไม่สามารถทนต่อไปได้อีก ครั้งหน้าที่เราเปิดม่านพลัง เราควรสู้สุดแรงและฆ่าปีศาจปลาไนน้ำให้ได้!”


 


 


คำพูดของเขาที่จริงแล้วพุ่งเป้ามาที่โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ขณะนั้น ถึงแม้นางจะไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง แต่การโจมตีสัตว์ปีศาจระดับห้าก็ยังทำให้นางต้องเสียพลังวิญญาณไปอย่างมหาศาล ดังนั้นนางจึงต้องใช้เวลาช่วงสั้นๆ นี้ให้คุ้มค่าที่สุดในการฟื้นฟูพลังวิญญาณให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


 


โม่เทียนเกอลืมตาและยืนขึ้น “ศิษย์พี่เริ่น ข้าไม่มีเครื่องรางเหลืออยู่อีกมากนัก ข้าไม่มั่นใจจริงๆ ว่าข้าจะสามารถฆ่ามันได้ทันทีในครั้งต่อไปที่เราเปิดม่านพลัง”


 


 


“วางใจเถอะศิษย์น้องเยี่ย” เริ่นอวี่เฟิงพูดอย่างร้อนใจ “เจ้าแค่ต้องใช้เครื่องรางของเจ้า เมื่อเราเจอสมบัติ เราจะให้ส่วนแบ่งที่มากขึ้นแน่นอน”


 


 


“…” โม่เทียนเกออยากจะบอกว่านางไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่เมื่อพิจารณาให้ดีนางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นางยังมีท่าไม้ตายอีกอย่างที่นางยังไม่ได้ใช้เพราะนางรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ถึงจุดที่จำเป็นต้องใช้ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้นางไม่สามารถกังวลเรื่องนั้นได้ นอกเหนือจากนาง ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมดไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสู้กับปีศาจปลาไนน้ำ ถ้านางไม่ใช้ท่าไม้ตายสุดท้ายของนางและเกราะป้องกันของพวกเขาถูกทำลายลง นางจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแน่


 


 


ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ม่านพลังถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าต้องทุ่มสุดแรง!” หลังจากเขาพูดจบ กระบี่บินของเขาโจมตีนำไปก่อน


 


 


โม่เทียนเกอไม่ลังเล นางเขวี้ยงกระสวยอัปสราไปข้างหน้าและในขณะเดียวกัน จิตสัมผัสของนางซึ่งกลายเป็นรูปธรรมหลังจากใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณทำให้แกร่งขึ้นก็แผ่ขยายออกไปเช่นกัน!


 


 


จิตสัมผัสที่เป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นโดยศาสตร์หลอมจิตวิญญาณละเอียดอ่อนมากและล่องหนโดยแท้ ปีศาจปลาไนน้ำระดับห้าจึงแค่รู้สึกว่ามีอะไรกำลังโจมตีมัน มันสะบัดครีบพยายามจะปัดจิตสัมผัสออกไป แต่รูปธรรมของจิตสัมผัสยังไม่เทียบเท่ากับคุณสมบัติอื่นๆ ดังนั้นเมื่อมันสะบัดครีบ โม่เทียนเกอจึงปล่อยให้จิตสัมผัสที่เป็นรูปธรรมกระจายไปทันทีและเปลี่ยนให้กลายเป็นจิตสัมผัสธรรมดา


 


 


ดวงตาของปีศาจปลาไนน้ำกลอกไปทั่วด้วยความสับสน อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอมาบรรจบกันอีกครั้งและกระแทกเข้าใส่สัตว์ปีศาจอย่างไม่ปรานี


 


 


“บุ๋ง!” ปีศาจปลาไนน้ำครวญคราง จิตวิญญาณเริ่มต้นของมันถูกโจมตีเข้าอย่างจัง!


 


 


การรับมือกับศาสตร์หลอมจิตวิญญาณที่จริงแล้วง่ายดายมาก คนผู้นั้นแค่ต้องป้องกันจิตใจและไม่ใช้จิตสัมผัสของตัวเอง ด้วยวิธีนั้นจิตวิญญาณเริ่มต้นของพวกเขาก็จะถูกซ่อนเร้นไว้ลึกอยู่ในทะเลแห่งความรู้ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ตามอำเภอใจ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสัตว์ปีศาจ ทั้งคู่ต่างต้องใช้จิตสัมผัสไปตามสัญชาตญาณในระหว่างการต่อสู้ จิตสัมผัสของพวกเขาสำคัญเหมือนกับดวงตา เพราะฉะนั้นพวกเขาจะไม่ใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะกับสัตว์ปีศาจ พวกมันไม่มีความฉลาด การใช้จิตสัมผัสจึงเป็นไปตามสัญชาตญาณ


 


 


ใช้ข้อได้เปรียบจากความจริงที่ว่าจิตวิญญาณเริ่มต้นของปีศาจปลาไนน้ำเพิ่งถูกปะทะเข้าโดยตรง โม่เทียนเกอยังคงโจมตีต่อไป นางขยายจิตสัมผัสที่เป็นรูปธรรมของนางออกไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อทิ่มแทงปีศาจปลาไนน้ำ และในขณะเดียวกันนางยังควบคุมกระสวยอัปสราไปด้วย แสร้งทำว่านางกำลังจะใช้มันเพื่อโจมต

 

 

 


ตอนที่ 179 ตำหนักบาดาลใต้น้ำ

 

จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอพุ่งโจมตีอีกครั้ง ฟาดเข้าโดยตรงที่จิตวิญญาณเริ่มต้นของปีศาจปลาไนน้ำ ในขณะเดียวกัน แสงสีทองจากกระสวยอัปสราของนางก็กักขังมันอย่างแน่นหนาอยู่ข้างใต้!


 


 


ปีศาจปลาไนน้ำทำเสียงบุ๋งๆ ขณะร้องโหยหวน มันเหวี่ยงหางอย่างลนลาน กระแทกเกราะป้องกันด้วยความเดือดดาล


 


 


คนทั้งเจ็ดที่คอยค้ำยันม่านพลังเพิ่มพลังป้องกันได้รับบาดเจ็บในทันที โดยเฉพาะเซี่ยงจือหยาง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปและเขากระอักเลือดออกมา เกราะป้องกันเหนือตัวเขาสั่นสะเทือนเช่นเดียวกันราวกับว่ามันกำลังจะแตก


 


 


ทั้งที่สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาเป็นเช่นนี้ ทว่าเริ่นอวี่เฟิงร้องตะโกนด้วยความดีใจ “มันกำลังจะตาย! เราแค่ต้องทนให้นานขึ้นอีกนิด!”


 


 


โม่เทียนเกอจ้องเขาด้วยสายตาโกรธๆ เขาเป็นผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายเพียงคนเดียวในกลุ่ม แต่ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ เขากลับไม่แสดงออกว่าอยากจะอาสาช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย! ถึงแม้เวทมนตร์และเครื่องมือเวทของเขาจะไม่สามารถทำร้ายปีศาจปลาไนน้ำได้ แต่เขาก็ยังสามารถถ่ายทอดพลังวิญญาณของเขาให้นางหรือให้อีกเจ็ดคนก็ยังได้!


 


 


ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะแตกคอกัน ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไร นางเอาหนึ่งในเครื่องรางเวทที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอมอบให้นางออกมาจากกระเป๋าเอกภพแล้วจึงเขวี้ยงมันผ่านช่องโหว่เล็กๆ ของเกราะป้องกัน


 


 


เครื่องรางเวทประกอบด้วยแรงของอาวุธแหลมคม มันลอยอย่างเบาหวิวราวกับขนนกด้านนอกเกราะป้องกันจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่อย่างเงียบซึ่งแทงเข้าร่างของปีศาจปลาไนน้ำเบาๆ แต่คม


 


 


ฉวยโอกาสจากช่วงจังหวะนั้น โม่เทียนเกอใช้กระสวยอัปสราฟันร่างของปีศาจปลาไนน้ำ มันสะบัดหางอย่างรุนแรง ทว่าในท้ายที่สุดก็ไม่อาจทนต่อไปได้อีก ด้วยเสียงร้องครวญคราง มันหมดแรงลงในที่สุด


 


 


เลือดไหลทะลักออกจากร่างของปีศาจปลาไนน้ำจนย้อมให้น้ำเป็นสีแดง


 


 


สภาพรอบตัวเงียบสงัดอย่างที่สุด ทุกคนยังไม่สามารถสงบจิตใจได้จากการต่อสู้ในครั้งนี้


 


 


โม่เทียนเกอเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหว นางโบกมือทำให้แสงสีทองของกระสวยอัปสราเกิดเสียงกระทบกันก่อนที่มันจะลอยกลับเข้าสู่มือนาง ครั้งนี้ในที่สุดคนอื่นๆ จึงได้สติจากภวังค์ความงุนงง


 


 


“ศิษย์พี่เซี่ยง!” ไอ้เสียนกับซย่าโหวย่วนตะโกนพร้อมกัน พวกเขาอยู่ใกล้กับเซี่ยงจือหยางที่สุด พวกเขาจึงรีบเข้าไปหาเขาเพื่อช่วยพยุงเขาขึ้นมาทันที


 


 


เกราะป้องกันเหนือหัวพวกเขาแตกออกและพร้อมกันนั้นเอง เซี่ยงจือหยางล้มลง


 


 


เริ่นอวี่เฟิงรีบเข้าไปตรวจอาการของเขาทันที และหลังจากนั้นไม่นานสถานการณ์ก็กลายเป็นวุ่นวายขณะที่ทุกคนยุ่งกับหน้าที่อะไรสักอย่าง พวกเขาทั้งสิบคนสามารถรอดชีวิตมาได้แต่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางสองคนแทบจะไม่มีชีวิตรอดและสูญเสียพลังการต่อสู้ไป


 


 


ขณะที่ทุกคนพักผ่อน โม่เทียนเกอแอบถามเจียงซั่งหัง “ศิษย์พี่เจียง ของอะไรที่อยู่ในสถานที่ลับนั้นหรือที่พวกท่านทุกคนถึงขนาดยอมขอความช่วยเหลือจากคนนอกแทนที่จะบอกผู้ฝึกตนจากสำนักของตัวเอง”


 


 


เจียงซั่งหังรู้สึกดีใจที่น้ำเสียงของโม่เทียนเกอไม่ได้ฟังดูเหินห่าง เขาโน้มตัวเข้าใกล้นางแล้วจึงกระซิบ “ศิษย์น้องเยี่ย ครั้งหนึ่งข้าเคยบอกเจ้าว่าแดนแห่งมังกรซ่อนลายมีลมปราณมังกรอยู่ภายในใช่ไหม”


 


 


“แต่ศิษย์พี่เจียง ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าแม้แต่ศิษย์พี่ระดับจิตวิญญาณใหม่ของท่านก็ยังไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกันแน่”


 


 


“เจ้าพูดถูก แต่เดิมมันเป็นเช่นนั้น…” เจียงซั่งหังลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อไปในที่สุด “ทุกครั้งที่เราเข้าสู่แดนแห่งมังกรซ่อนลายนี้ ภูมิทัศน์ข้างในนั้นจะแตกต่างกันเสมอ อย่างไรก็ตาม มีสถานที่หนึ่งที่มักจะคงอยู่เช่นเดิม นั่นคืออนุสาวรีย์เทพมังกรที่ตรงศูนย์กลาง ไม่มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่คนไหนสามารถจำคำจารึกบนอนุสาวรีย์เทพมังกรนั้นได้ แต่มันคืออนุสาวรีย์เทพมังกรนั้นล่ะที่ปล่อยลมปราณลึกลับที่เราพูดถึงออกมา เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว มีเสียงลือกันในหมู่ศิษย์ของสำนักข้าว่าลมปราณลึกลับนั้นคือลมปราณของเทพมังกร…”


 


 


“ลมปราณของเทพมังกร…” โม่เทียนเกอพูดพึมพำ นางไม่แน่ใจว่ามันคือลมปราณของเทพมังกรจริงหรือไม่ แต่ดูจากที่ศิษย์สำนักเจิ้งฝ่าตั้งชื่อนี้ให้ นางก็รู้แล้วว่าลมปราณลึกลับนั้นต้องเยี่ยมยอดแน่นอน


 


 


“ไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้” เจียงซั่งหังพูดพร้อมกับถอนใจ “แม้แต่หลังจากหลายปีผ่านไป ท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ในสำนักเจิ้งฝ่ายังไม่สามารถเข้าใจอนุสาวรีย์เทพมังกรได้อย่างเต็มที่ พวกเขารู้เพียงว่าพลังภายในอนุสาวรีย์นี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำเป็นเล่นได้ แต่มันก็ยังไม่นานมากพอตั้งแต่ที่สำนักเจิ้งฝ่าถูกก่อตั้งขึ้น บางทีในเวลาอีกหลายหมื่นปี ความรู้ที่สำนักเราสั่งสมไว้รวมกับพละกำลังของศิษย์หลายรุ่นอาจจะทำให้เข้าใจอนุสาวรีย์นี้ก็ได้”


 


 


สำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน จึงนับว่าอยู่มาได้ไม่นานนัก อายุขัยของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่อยู่ที่ประมาณหนึ่งถึงสองพันปี ในระหว่างการมีอยู่หลายพันปีของสำนักเจิ้งฝ่า น่าจะมีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้น ในหมู่กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดในขั้วท้องฟ้า สำนักเจิ้งฝ่าเป็นเพียงที่เดียวที่ก่อตั้งเมื่อหลายพันปีก่อน ในขณะที่กลุ่มการฝึกตนกลุ่มอื่นๆ นั้นอยู่มามากกว่าหมื่นปี


 


 


“นี่มันเกี่ยวอะไรกับสถานที่ลับที่พวกท่านพบ”


 


 


เจียงซั่งหังพูดว่า “มันเป็นเพราะยังไม่มีใครเข้าใจอนุสาวรีย์เทพมังกรจนท่านปรมาจารย์ระดับจิตวิญญาณใหม่ทุกคนในสำนักของข้าจึงมักจะยุ่งอยู่กับการฝึกตน เมื่อเวลาผ่านไป ศิษย์อย่างเราไม่สามารถแวะเวียนไปที่อนุสาวรีย์เทพมังกรได้ด้วยซ้ำ ครั้งล่าสุด พวกเราทั้งสี่คนไปที่แดนแห่งมังกรซ่อนลายด้วยกันและโชคดีที่สามารถเข้าไปที่อนุสาวรีย์เทพมังกรได้ แต่เรากลับพบความผิดปกติที่นั่นโดยไม่คาดคิด”


 


 


เจียงซั่งหังหยุดครู่หนึ่งและเป็นไปตามคาด เขาเห็นความสงสัยบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ จากนั้นเขาจึงพูดต่อ “ไม่ได้มีอะไรผิดปกติกับตัวอนุสาวรีย์เทพมังกร สิ่งที่ผิดปกติไปคือจุดที่อยู่ข้างๆ อนุสาวรีย์ ทางเข้าตำหนักบาดาลได้ปรากฏขึ้นตรงนั้น”


 


 


“ตำหนักบาดาล” โม่เทียนเกอถาม “ตำหนักบาดาลใต้น้ำ”


 


 


“ถูกต้อง” เจียงซั่งหังพูดต่อ “เมื่อเราเข้าไป วันที่สิบห้าของเดือนแปดเพิ่งผ่านพ้นไป ดังนั้นเราควรจะเป็นศิษย์กลุ่มแรกที่เจอตำหนักใต้บาดาลนี้ หลังจากเราเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล เราพบลมปราณเช่นเดียวกับลมปราณที่กระจายออกมาจากข้างในอนุสาวรีย์เทพมังกรและมันก็เข้มข้นกว่ามาก!”


 


 


“อะไรนะ” ในเมื่อมันถูกเรียกว่าลมปราณมังกร มันก็ต้องท่วมท้นและยิ่งใหญ่แน่นอน อนุสาวรีย์เทพมังกรทำให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อับจนหนทางมาแล้ว แต่สถานที่ใต้ดินแห่งนี้มีลมปราณลึกลับแบบเดียวกันและยิ่งเข้มข้นกว่าอีกอย่างนั้นหรือ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาจะเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไรกัน


 


 


สีหน้าของโม่เทียนเกอเปลี่ยนไปหลายครั้ง ท้ายที่สุดนางก็พูดว่า “ศิษย์พี่เจียง ไม่ว่ามันจะเป็นลมปราณของเทพมังกรจริงหรือไม่ ท่านบอกว่าแรงของลมปราณนั้นเหนือธรรมดาและเกินกว่าพลังของเรา เราจะได้อะไรจากการเข้าไปในตำหนักใต้บาดาลนี้หรือ


 


 


รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงซั่งหัง “คำถามนี้… ข้าไม่มีคำตอบให้จริงๆ เพราะย้อนไปตอนนั้นศิษย์พี่เริ่นเป็นคนเดียวที่เข้าไปในตำหนักใต้บาดาล”


 


 


“… ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านถึงยังเกลี้ยกล่อมให้ข้ามา” โม่เทียนเกอนิ่วหน้า สะกดกลั้นความไม่พอใจที่นางรู้สึกอยู่ในใจเอาไว้ เจียงซั่งหังรับประกันหนักแน่นว่าสถานที่นี้จะไม่อันตรายเกินไปและพวกเขาจะได้สมบัติอย่างแน่นอน แต่กลายเป็นว่าแม้แต่เจียงซั่งหังเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่ามีอะไรอยู่ข้างใน


 


 


เจียงซั่งหังพูดพร้อมถอนใจ “นั่นคือสิ่งที่ศิษย์พี่เริ่นยืนยัน ตอนนั้นทันทีหลังจากที่เราเข้าไปในตำหนักใต้บาดาล เราถูกปีศาจปลาไนน้ำที่คอยเฝ้าประตูหยุดเราไว้ ศิษย์พี่เริ่นใช้เครื่องรางเวทเพื่อดักจับปีศาจปลาไนน้ำไว้ชั่วคราวจากนั้นบังคับให้เราทั้งสามคนสู้กับมันขณะที่เขาเข้าไปดูข้างในต่อ”


 


 


“หลังจากนั้นศิษย์พี่เริ่นพูดว่าอย่างไร”


 


 


เจียงซั่งหังหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยความลังเล “ศิษย์พี่เริ่นบอกว่าโครงสร้างข้างในมันซับซ้อน เขาทำได้แค่ดูคร่าวๆ เท่านั้นและเขาเห็นว่าดูเหมือนจะมีห้องปรุงยา…”


 


 


ถึงแม้เขาจะพูดเช่นนั้น แต่เจียงซั่งหังไม่ได้ดูแน่ใจกับเรื่องนั้นนัก ห้องปรุงยา… ในเมื่อมันเป็นตำหนักใต้บาดาล มันจะมีห้องปรุงยาอยู่ที่นั่นได้อย่างไร


 


 


“ศิษย์น้องเยี่ย” เจียงซั่งหังมองนางแล้วจึงพูดอย่างจริงจัง “ข้าบอกความจริงกับเจ้าตั้งนานแล้ว ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนธรรมดาในสำนักเจิ้งฝ่า ระดับการฝึกตนของศิษย์พี่เริ่นสูงกว่าข้าและในเมื่อเขาเป็นศิษย์ภายในของอาจารย์ลุงระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของข้า สถานะของเขาจึงสูงกว่าข้ามากเช่นกัน ครั้งก่อนข้าสามารถเข้าไปในแดนแห่งมังกรซ่อนลายกับเขาได้ก็เพราะข้าค่อนข้างสนิทกับศิษย์น้องถังฟัง โดยปกติแล้วข้าต้องเชื่อฟังไม่ว่าเขาจะบอกให้เราทำอะไร อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเหตุผลอะไรต้องโกหกเราเหมือนกัน เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ”


 


 


นั่นก็จริง… หากไม่มีผลประโยชน์อะไร เริ่นอวี่เฟิงคงไม่จำเป็นต้องลำบากมองหาใครสักคนเพื่อมาร่วมการเดินทางครั้งนี้กับเขาหรอก


 


 


โม่เทียนเกอใช้เวลาสักพักเพื่อคิดแล้วจึงถามอีกคำถาม “ศิษย์พี่เจียง ในเมื่อกลุ่มของท่านเจอตำหนักใต้บาดาลเข้า คนอื่นก็จะต้องเจอเหมือนกันแน่ ต้องมีคนที่สามารถเข้าถึงอนุสาวรีย์เทพมังกรโดยบังเอิญได้แน่นอน ท่านรับประกันได้หรือว่าไม่มีใครเห็นอนุสาวรีย์นั้นตั้งแต่พวกท่านออกไป”


 


 


เมื่อนางยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เจียงซั่งหังยิ้มและพูดว่า “เจ้าวางใจได้ เมื่อเราออกมาตอนครั้งก่อน ศิษย์พี่เริ่นและศิษย์พี่เซี่ยงใช้วิชาพิเศษเพื่อปกปิดการมีอยู่ของมัน ดังนั้นศิษย์ที่อยู่ในดินแดนเดียวกันกับพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นได้แน่นอน เพราะภูมิทัศน์ข้างในแดนแห่งมังกรซ่อนลายเปลี่ยนไปทุกปี เราเลยไม่มีเวลามากนัก ดังนั้นเราจึงรีบเร่งที่จะกลับมาอีก”


 


 


ขณะที่พวกเขาอยู่ระหว่างการสนทนา เริ่นอวี่เฟิงผู้ที่ดูเหมือนจะรักษาอาการบาดเจ็บของลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางเสร็จแล้วจึงเดินเข้ามาหา “ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์น้องเจียง พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่”


 


 


ขณะนั้นเริ่นอวี่เฟิงดูเป็นมิตรอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าการฆ่าปีศาจปลาไนน้ำโดยไม่ติดขัดทำให้อารมณ์ของเขาดีเป็นพิเศษ


 


 


หลังจากได้ปฏิสัมพันธ์กับเขามาสักพัก โม่เทียนเกอรู้สึกว่าไม่เพียงแต่นิสัยเขาจะแย่และหยิ่งยโส แต่เขายังไม่มีความสามารถในการเป็นผู้นำอีกด้วยและแค่หวังพึ่งสถานะของเขากับความจริงที่ว่าระดับการฝึกตนของเขานั้นสูงที่สุด การกระทำของเขาไม่น่าพอใจ แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้เขาก็กำลังยิ้มให้นางอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่มีเหตุผลอะไรจะไปทำให้เขาโกรธ เพราะฉะนั้นนางจึงยิ้มสุภาพให้เขา “เกี่ยวกับแดนแห่งมังกรซ่อนลายน่ะ ข้ายังไม่มั่นใจในบางเรื่อง ข้าจึงถามศิษย์พี่เจียง”


 


 


“อ้อ อย่างนี้นี่เอง… ที่จริงแล้วศิษย์น้องเยี่ยถามข้าก็ได้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่นี้ของศิษย์น้องเจียงไม่ได้ลึกซึ้งมาก” เริ่นอวี่เฟิงพูดพร้อมกับโบกไม้โบกมือราวกับเขาภูมิใจในตัวเองมากเหลือเกิน


 


 


เมื่อถึงเวลาที่เริ่นอวี่เฟิงพูดจบ เจียงซั่งหังเหลือบมองโม่เทียนเกอด้วยสายตาช่วยไม่ได้ เขาพูด “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าคุยกับศิษย์พี่เริ่นก็ได้ ข้าจะไปดูศิษย์พี่ทั้งสองคนนั้นก่อน”


 


 


พอรู้ว่าเจียงซั่งหังไม่อยากหรือไม่กล้าขัดใจเริ่นอวี่เฟิง โม่เทียนเกอจึงไม่บังคับให้เขาต้องอยู่ต่อ นางไม่ได้เกรงกลัวเริ่นอวี่เฟิงอยู่แล้ว จากสิ่งที่นางเห็นในวันนี้ วิชาหลบหนีใต้น้ำของเริ่นอวี่เฟิงนั้นเยี่ยมยอด แต่วิชาอื่นๆ ของเขาไม่สมฐานะศิษย์หัวกะทิระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานของกลุ่มการฝึกตนใหญ่เอาเสียเลย ต่อให้เขามีวิชาที่เขายังไม่ได้ใช้ แต่โม่เทียนเกอก็ยังมั่นใจว่านางไม่ด้อยไปกว่าเขา ถ้าพวกเขาสู้กันจริงๆ นางเชื่อว่าโอกาสในการเอาชนะเขาได้มีมากกว่าแปดส่วน


 


 


เมื่อเจียงซั่งหังเดินจากไป เริ่นอวี่เฟิงพูดกับโม่เทียนเกอ “ศิษย์น้องเยี่ย เครื่องมือเวทที่เจ้ามีนั้นดีเยี่ยมมากและเจ้าก็มีสมบัติมากมาย… เจ้าต้องเป็นศิษย์หัวกะทิใช่ไหม ศิษย์น้องเจียงเคยบอกข้าว่าสมัยเขาอยู่ในแนวเทือกเขาคุนอู๋ เขาเป็นเพียงศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง เจ้าทั้งสองคนเจอกันได้อย่างไร”


 


 


ไม่น่าเชื่อว่าเขามาเพื่อสอดรู้เรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกอหัวเราะแล้วจึงพูดอย่างนิ่งๆ “เมื่อตอนที่ข้าเจอกับศิษย์พี่เจียง ข้ายังไม่ได้เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิง”


 


 


“โอ้” เริ่นอวี่เฟิงพูดด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องเจียงมาที่สำนักเจิ้งฝ่าเมื่อประมาณหลายสิบปีก่อน ในตอนนั้นศิษย์น้องเยี่ยก็ยังไม่ได้เป็นศิษย์โรงเรียนเสวียนชิงหรือ”


 


 


“ใช่ หลังจากศิษย์พี่เจียงและข้าแยกจากกัน เขามาที่สำนักเจิ้งฝ่าในขณะที่ข้าบังเอิญได้เข้าโรงเรียนเสวียนชิง”


 


 


เริ่นอวี่เฟิงยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นอีกเมื่อโม่เทียนเกออธิบายอดีตของนาง “จากที่ข้าได้ยินจากศิษย์น้องเจียง เขาสร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้แค่หลังจากที่เขามาที่สำนักเจิ้งฝ่า คาดว่าในตอนนั้นศิษย์น้องเยี่ยก็ยังไม่ได้เข้าถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเช่นกันใช่หรือไม่ ภายในเวลาสิบกว่าปี ศิษย์น้องเยี่ยสามารถก้าวหน้าจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานและมาถึงขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน… ช่างเป็นระดับการฝึกตนที่คาดไม่ถึงจริงๆ ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าเป็นอัจฉริยะโดยแท้!”


 


 


โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ข้าแค่โชคดีได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ของข้า ข้าไม่คู่ควรให้เรียกว่าอัจฉริยะหรอก ข้าจะกล้ายอมรับชื่อนี้หากข้าก่อขุมพลังได้ในสักวันหนึ่งเท่านั้น”


 


 


ถึงแม้นางจะพูดถ่อมตัว แต่นางก็ยังเผยความมั่นใจที่นางมีในการก่อขุมพลังของตัวเองออกมาด้วย สายตาที่เริ่นอวี่เฟิงมองนางเต็มไปด้วยความชื่นชมและอิจฉาทันที สุดท้ายเขาก็เค้นรอยยิ้มออกมาและพูดว่า “ตอนที่ข้าเห็นศิษย์น้องเยี่ย ข้าก็รู้สึกแล้วว่าศิษย์น้องต้องเป็นคนเก่งโดยกำเนิดแน่ แต่ศิษย์น้องเยี่ยเกินความคาดหมายของข้าไปอีก! เราสามารถฆ่าปีศาจปลาไนน้ำได้ก็เพราะเครื่องมือเวทและเครื่องรางเวทของศิษย์น้องเยี่ย ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยมีสมบัติเหล่านั้น ท่านอาจารย์ของเจ้าก็ต้องยอดเยี่ยมมาก ข้าสงสัยว่าท่านอาจารย์เต๋าท่านไหนคืออาจารย์ของเจ้า”


 


 


ตอนนี้เขากำลังถามเกี่ยวกับท่านอาจารย์ของนาง โรงเรียนเสวียนชิงและสำนักเจิ้งฝ่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่โม่เทียนเกอต้องเก็บเป็นความลับ อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอรีบตอบว่า “แซ่ของท่านอาจารย์ข้าคือหม่า และชื่อแห่งเต๋าของเขาคือเสวียนอิน” นางโกหก อย่างแรก ประมุขเต๋าจิ้งเหอเตือนนางว่าเมื่อนางอยู่ข้างนอก นางควรจะเก็บชื่อและพื้นเพของนางเป็นความลับ อย่างที่สอง ชื่อของประมุขเต๋าจิ้งเหอโด่งดังเกินไปและสำนักเจิ้งฝ่าก็เป็นกลุ่มพันธมิตรกัน ตัวตนของนางไม่สามารถเก็บเป็นความลับได้แน่หากนางเปิดเผยชื่ออาจารย์ของนางออกไป ส่วนทำไมนางถึงพูดว่าเป็นประมุขเต๋าเสวียนอิน ก็เพราะนางเคยได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ลุงเสวียนอินมาจริง ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่และมักจะทำตัวไม่โดดเด่นเสมอ ความจริงครึ่งเดียวแบบนี้จึงง่ายที่จะพิสูจน์มากกว่าโกหกทั้งหมด


 


 


“หม่าเสวียนอิน” เริ่นอวี่เฟิงพึมพำ ทันใดนั้น สายตาที่เขามองนางก็เปลี่ยนไป “อย่าบอกนะว่าเป็นประมุขเต๋าเสวียนอิน!”


 


 


“เขานั่นล่ะ” โม่เทียนเกอยิ้ม แสดงให้เห็นใบหน้าของศิษย์ที่รู้สึกยินดีกับอาจารย์ของนาง “ท่านอาจารย์ของข้าเพิ่งสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้เมื่อหลายปีก่อน ข้าไม่คาดคิดเลยว่าศิษย์พี่เริ่นจะเคยได้ยินชื่อเขา”


 


 


“พิธีก่อจิตวิญญาณใหม่ของประมุขเต๋าเสวียนอินเมื่อหลายปีก่อนสร้างกระแสในขั้วท้องฟ้า ใครจะไม่รู้จักเขากันเล่า” น้ำเสียงเริ่นอวี่เฟิงฟังดูสุภาพขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าที่จริงแล้วศิษย์น้องเยี่ยจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของประมุขเต๋าเสวียนอิน ข้านี่ทำตัวหยาบคายมาโดยตลอดเลย”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม