ลิขิตกลกาล 172-181
ตอนที่ 172 เรี่ยวแรง
ฮูหยินหลินที่นั่งอยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินหลินเหวินเสี่ยวพูดเจื้อยแจ้วด้วยคำพูดที่เป็นปรปักษ์กับเยียลี่ว์เยี่ยนเช่นนี้ นางจึงรู้สึกตกใจอยู่มากจึงเอามือข้างหนึ่งดึงกระโปรงของหลินเหวินเสี่ยวเบาๆ ใต้โต๊ะ
ขนาดบุรุษยังไม่ยอมเอ่ยปากอะไรหลินเหวินเสี่ยวเป็นเพียงสตรีจะไปโต้เถียงอะไรกับเขาหากสตรีถูกหาว่าเป็นพวกปากว่าตาขยิบ วาจาร้ายกาจขึ้นมา นั่นคงไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีแน่!
อีกอย่างเมื่อดูลักษณะของเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วก็รู้ว่าเป็นคนประเภทแค้นฝังหุ่น! นางไม่อยากให้ลูกสาวของตนมีผู้ใดเคียดแค้นเช่นนั้น!
หลินเหวินเสี่ยวไม่สนใจมือที่กำลังยุ่งกับนางอยู่ใต้โต๊ะ เพราะแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ขัดขวางนาง อีกทั้งแววตาที่บิดามองมาที่นางนั้นก็เป็นแววตาแห่งการชื่นชม แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่นางกำลังลงมืออยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว! ดังนั้นคำพูดไร้สาระพวกนั้น นางจะยังต้องสนใจอะไรอีกเพราะฮ่องเต้มีสถานะสูงสุด ผู้ใดจะกล้าขัดขวาง
“ในเมื่อคุณหนูนางนี้บอกว่าเมื่อกี้คือการอ่อนข้อให้” เยียลี่ว์เยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่างนั้นแข่งกันอีกสักรอบดีหรือไม่แต่ครั้งนี้ฝั่งต้าชั่วห้ามออมมืออย่างเด็ดขาด!”
หลินเหวินเสี่ยวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อเพียงส่งสายตาของนางไปที่ลี่หยวนตี้ เพราะแม้ว่าแววตาของลี่หยวนตี้จะสนับสนุนนางให้นางพูดต่อก็จริง แต่การตบปากรับคำตกลง ด้วยฐานะของนางแล้วมิอาจตัดสินใจได้อย่างแน่นอน
การจะตกลงหรือไม่ตกลงนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลี่หยวนตี้
หลินเหวินเสี่ยวเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความมั่นใจและมีความปรารถนาอย่างมาก สายตาของนางกำลังบอกลี่หยวนตี้ว่า ‘การแข่งขันครั้งนี้นางมีแผนการแล้ว! มิถูกสิ คงต้องพูดว่านางรู้ว่าซูเหลียนอวิ้นมีแผนการแล้ว!’
“ตกลง ในเมื่อองค์ชายเยียลี่ว์ปรารถนาผลแพ้ชนะ เช่นนั้นคงต้องแข่งขันกันอีกสักรอบกระมัง” ลี่หยวนตี้ยิ้มแล้วมองไปที่เยียลี่ว์เยี่ยน ตอนนี้แรงกดดันแผ่กระจายออกมาจากรอบตัวของเขา “แต่ครั้งนี้มิรู้ว่าทางด้านเมืองเยียลี่ว์จะส่งผู้ใดออกมาหรือจะยังคงเป็นองค์หญิงคนเดิมแต่ว่า…องค์หญิงเพิ่งจะร่ายรำเสร็จไป เรี่ยวแรงกลับคืนมาแล้วหรือไม่ยังแข่งอีกรอบหนึ่งไหวหรือ”
แม้ว่าเมื่อดูจากท่าทางของหลินเหวินเสี่ยวแล้วนางจะต้องมีแผนการในใจและมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าลี่หยวนตี้เป็นเจ้าแผ่นดิน เรื่องราวทุกเรื่องหากสามารถลดความเสี่ยงลงได้ก็ต้องลดให้ได้มากที่สุด
เนื่องจากตอนนี้สงครามทางวาจาได้สิ้นสุดลงไปแล้ว พวกเขาทั้งคู่ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ดังนั้นการแข่งขันจริง…หากเป็นไปได้อย่าเกิดขึ้นอีกครั้งจะดีกว่า
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าไหวหรือไม่” เยียลี่ว์เยี่ยนหันหน้าไปแล้วยิ้มให้เยียลี่ว์เยียน “หากยังไหว เจ้ามาแข่งอีกสักรอบได้หรือไม่”
เยียลี่ว์เยียนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าตัวเองยังไหว ทว่าด้วยท่าทางเช่นนี้ของนาง ทำให้สังเกตได้ไม่ยากว่านางกำลังฝืนตัวเอง เพราะสำหรับนางในตอนนี้รอยยิ้มของเยียลี่ว์เยี่ยนเป็นสิ่งที่นางคุ้นเคยมาก! เพราะถือเป็นสัญลักษณ์เตือนล่วงหน้าก่อนที่อารมณ์ของเยียลี่ว์เยี่ยนจะระเบิดออกมา ดังนั้นตอนนี้เยียลี่ว์เยียนจึงรู้สึกว่าด้านหลังของนางมีเหงื่อไหลออกมาเป็นชั้นบางๆ เหงื่อที่ไหลออกมานั้นทำให้เสื้อผ้าของนางแนบชิดยิ่งขึ้น ความรู้สึกเหนียวเหนอะน่ะนี้ ทำให้นางรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่ เยียนเอ๋อร์ยังรำไหวเพคะ” เสียงของเยียลี่ว์เยียนตอนนี้สั่นเครือ หลังจากที่นางพยักหน้ารับแล้วนางก็หดหัวของตัวเองกลับอย่างรวดเร็วไม่กล้าชูคอขึ้นมาอีก
นั่นเป็นเพราะตอนนี้ความรู้สึกกลัวและตื่นเต้นของเยียลี่ว์เยียนค่อยๆ มลายหายไปจากใจและร่างกายของนาง
รอยยิ้มของเยียลี่ว์เยี่ยนนั้นบอกนางอย่างชัดเจนแล้วว่า หากครั้งนี้นางกล้าแพ้คอยดูเถิดว่าตอนกลับว่านางจะเป็นเช่นไร! นั่นเป็นเพราะตลอดมาเยียลี่ว์เยี่ยนเป็นผู้ที่รักษาหน้าตาของตัวเองเหนือกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำยั่วยุและอวดดีเช่นนี้จากต้าชั่วแล้ว อารมณ์ของเขาจึงเริ่มเกรี้ยวดราดอย่างมากมาสักพักแล้ว
ดังนั้นหากนางไม่สามารถทำให้ต้าชั่วต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นลายและเสียหน้าได้ นางคงไม่ต้องรอถึงตอนที่กลับไปเพราะเพียงนางออกจากวัง นางก็จะได้ลิ้มรสกับวิธีจัดการของเยียลี่ว์เยี่ยนแล้ว
“คุณหนูหลิน ตามข้ามาเถิด” ตอนนี้มีขันทีน้อยท่าทางนอบน้อมโผล่มาข้างๆ นางโดยที่นางไม่ทันได้รู้ตัว เขากำลังค้อมตัวอยู่ข้างๆ หลินเหวินเสี่ยว และทำท่าทางให้นางไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว
“ข้าไม่ได้เป็นคนรำ” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นเบาๆ “เป็น…ช่างเถอะ เหลียนอวิ้น เจ้าไปกับข้าเถิด”
คิดเสียว่าเป็นการทิ้งระเบิดควันเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ทำให้ผู้ชมเดาไม่ถูกว่าผู้ใดกันแน่ที่จะลงสนาม ถึงอย่างไรตอนนี้ทุกคนคงคิดว่านางจะเป็นผู้ลงสนามเองแล้วกระมัง หากทุกคนล้วนคิดเช่นนั้นก็ปล่อยให้คิดไปก่อนเถิด! เพราะหากสร้างอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ให้เยียลี่ว์เยี่ยนได้บ้างก็ควรทำใช่หรือไม่
ถึงอย่างไรระวังตัวไว้ก่อนก็ไม่เลว เพราะระหว่างการเปลี่ยนชุด ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรไม่คาดฝันขึ้นตอนที่พวกนางกลับมาหรือไม่
“อวิ้นเอ๋อร์!” อันเพ่ยอิงเอ่ยปากเรียกเบาๆ “เจ้าจะไปก่อเรื่องอะไรอีก! มีคนตามไปกับหลินเหวินเสี่ยวแล้ว เจ้ากลับมานั่งบนเก้าอี้เหมือนเดิมเสียดีๆ!” มนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวดังนั้นตอนนี้เมื่อเห็นว่าหลินเหวินเสี่ยวเป็นเป้าการโจมตีเมื่อผู้ชมทุกคนล้วนพุ่งความสนใจมารวมไว้ที่นางเช่นนี้…ตอนนี้อันเพ่ยอิงไม่อยากให้ซูเหลียนอวิ้นสนิทสนมกับอันเพ่ยอิงเลยแม้แต่น้อย
ลูกสาวของนางไม่จำเป็นต้องออกหน้าอะไรทั้งนั้น ทำเพียงนั่งเฉยๆ อยู่ตรงนี้เช่นเดียวกับคนส่วนมากก็เพียงพอแล้ว
“ท่านแม่ อย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ แกะมือที่จับแขนของนางออกช้าๆ แล้วหันไปยิ้มบางๆ ให้ “เชื่อในตัวลูกก็พอ ลูกรู้จักผิดชอบเจ้าค่ะ เชื่อลูกเถิด”
“อย่างนั้น…เจ้าต้องระวังตัวให้มาก” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นการแสดงออกของซูเหลียนอวิ้นเช่นนั้นจึงตอบกลับไปเบาๆ เพราะอันเพ่ยอิงเองก็รู้ดีว่าตอนนี้แม้ว่าตนจะพูดมากแค่ไหนก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ลูกสาวของนางได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างไรตนก็ยังอยู่ตรงนี้ ครอบครัวของพวกตนยังอยู่ที่นี่ และที่นี่คือแผ่นดินต้าชั่ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล!
“เยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงดูประหม่านัก” เยียลี่ว์เยี่ยนจิบน้ำชาพลางเหลือบมองเยียลี่ว์เยียนคราหนึ่ง
“ยังไหวเพคะ” เยียลี่ว์เยียนตอบพลางก้มหน้า มือทั้งสองข้างของนางจับชายกระโปรงเอาไว้แน่น “เพียงแค่รู้สึกแปลกใจและคาดไม่ถึงก็เท่านั้น น้องแปลกใจว่าคุณหนูคนที่เอ่ยขึ้นเมื่อครู่นั้น ความสามารถในการร่ายรำของนางเป็นอย่างไรถึงได้กล้าพูดออกมาเช่นนั้น”
เยียลี่ว์เยียนสูดหายใจเข้าลึก โดยหวังว่าจะทำให้ใจของตนที่กำลังเต้นแรงสงบลง เพราะที่เยียลี่ว์เยี่ยนกล่าวนั้นไม่ผิด ตอนนี้นางออกจะรู้สึกประหม่าและกังวลเป็นอย่างมาก!
นั่นเป็นเพราะว่าการร่ายรำเมื่อครู่นี้กินเรี่ยวแรงของนางไปมากแล้ว ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้นางจะได้พักผ่อนไปแล้วแต่เรี่ยวแรงของนางเกรงว่าคงยังไม่พอที่จะทำให้นางกลับมาเต้นอีกรอบหนึ่งได้
อีกทั้งยังมีการเตือนของเยียลี่ว์เยี่ยนและท่าทางมั่นอกมั่นใจของหลินเหวินเสี่ยวเช่นนั้นอีกทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเข้าด้วยกัน ทำให้นางในตอนนี้รู้สึกอ่อนแอและกังวลจนแทบจะเป็นบ้า!
“เยียนเอ๋อร์” เยียลี่ว์เยี่ยนวางจอกสุราลงแล้วเอามือเท้าคางเอ่ยว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะตื่นเต้นหรือว่าใกล้จะตายอยู่รอมร่อ การแข่งขันครั้งนี้หากเจ้าแพ้…หึๆ ยังต้องให้ข้าอธิบายอะไรอีกหรือไม่”
ตอนที่ 173 หึงหวง
“เยียนเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เยียลี่ว์เยียนก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิมแล้วเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ท่านพี่ตอนนี้ยังมีแผนการอื่นอีกหรือไม่เพคะ” วิธีการเช่นเดียวกับนางรำกลุ่มเมื่อครู่นี้ หากตอนแข่งขันเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก…?
“เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในแผ่นดินเยียลี่ว์รึ!” เยียลี่ว์เยี่ยนเม้มปากแน่น และเนื่องด้วยมือของเขากำจอกสุราเอาไว้จึงทำให้ตอนนี้บริเวณนิ้วมือของเขาสีขาวซีด “คนต้าชั่วเจ้าเล่ห์นัก ตรงกับข่าวลือที่เขาว่ากันไว้!”
การลงมือเช่นนั้นของเขา เขาต้องเสียแรงกายแรงใจและเงินทองไปเป็นจำนวนมาก แล้วจะให้ลงมือทำอีกครั้งงั้นรึ เยียลี่ว์เยียนคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นเชียวรึ!
อีกอย่างการลงมือในครั้งนี้ของเขา หากพลาดเพียงนิดเดียวก็จะเป็นการเปิดเผยหมากของเขาที่แฝงอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ และหากจะลงมืออีกครั้งจะต้องโดนเปิดโปงอย่างแน่นอน!
ผู้ที่เป็นหมากของเขาโดนเปิดเผยยังไม่เป็นไร แต่หากถูกเปิดโปงว่าเขาใช้ให้คนผู้นั้นลงมือทำอะไร และถูกเค้นให้เปิดโปงแผนการล่ะก็…พวกเขาชาวเยียลี่ว์คงกลายเป็นตัวตลกของเมืองอื่นๆ แน่นอน!
ไม่อยากแพ้จึงใช้เล่ห์กล? แต่ใช้เล่ห์กลแล้วดันถูกจับได้ต่อหน้าต่อตาอีก?
และเรื่องๆ นี้คงกลายเป็นรอยด่างในชีวิตของเยียลี่ว์เยี่ยนที่ลบไม่ออกไปตลอดชีวิต!
“เจ้าอย่าคิดเรื่องไม่เข้าท่าพวกนั้นแทนข้าได้หรือไม่ ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำไปเถิด!” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้สีหน้าของเยียลี่ว์เยี่ยนก็ปรากฏแววอำมหิต “อีกอย่างหากข้าจำไม่ผิด เยียลี่ว์เยียน เจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในการร่ายรำของเมืองเยียลี่ว์!”
“ท่านพี่วางใจเถิด” เยียลี่ว์เยียนแกว่งไกวชายกระโปรงของตัวเองเพื่อปิดบังความกังวลลึกๆ ที่อยู่ในแววตาของนาง
ตอนนี้ไม่สามารถใช้วิธีการพวกนั้นได้อีกต่อไปแล้ว? ความจริงข้อนี้ทุบลงกลางใจของเยียลี่ว์เยียนอย่างแรง ทำให้ใจของนางรู้สึกปั่นป่วนยิ่งขึ้น
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเพคะ” ผ่านไปครู่หนึ่งม่านไข่มุกก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงเบาๆ ที่ลอดเข้ามา
ผู้ชมต่างหันไปมองด้านหลังผ้าม่าน ทว่ากลับพบว่าหลินเหวินเสี่ยวยังสวมใส่ชุดเดิมอยู่และกลายเป็นคนที่เดินตามซูเหลียนอวิ้นที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วออกมา และชุดที่นางใส่นั้นยังเป็นชุดของบุรุษเสียด้วย
“อวิ้นเอ๋อร์?” ด้านบนแท่นประทับ เกาอู่เตี๋ยส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “หรือว่าการแสดงครั้งนี้จะเป็นเจ้า…?”
“ทูลฮองเฮา” หลินเหวินเสี่ยวชิงตอบตัดหน้าซูเหลียนอวิ้น “เมื่อครู่นี้หม่อมฉันยังมิได้กล่าวว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงสนามเลยเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงคนแนะนำเท่านั้น คนที่หม่อมฉันจะแนะนำก็คือซูเหลียนอวิ้นเพื่อนสนิทของหม่อมฉัน!”
“ฝ่าบาทคงไม่ถือสากระมังเพคะ” หลินเหวินเสี่ยวก้มหน้าราวกับเด็กที่ทำความผิด ทว่าจากสายตาที่เผยให้เห็นแม้จะปรากฏเพียงเสี้ยวเดียวก็ดูออกได้ไม่ยากว่ามีความเจ้าเล่ห์อยู่ในนั้น
“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” ลี่หยวนตี้กวาดตาไปมองเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วยิ้ม “ถึงอย่างไรก็เป็นคนต้าชั่วของข้าทั้งนั้น จะมีอะไรแตกต่างกันเล่า”
ผู้ที่ลงสนามคือซูเหลียนอวิ้นงั้นหรือ กล่าวได้ว่าลี่หยวนตี้ประหลาดใจยิ่ง! เพราะตั้งแต่ที่ซูเหลียนอวิ้นเดินออกมาในช่วงจังหวะนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็ก้มหน้าตลอดมาด้วยท่าทางที่ไร้ความมั่นใจ ดังนั้นจึงยากจะจินตนาการได้ว่าคนเช่นนี้หรือที่เป็นผู้กล้าท้าแข่งขันร่ายรำ!
“เป็นซูเหลียนอวิ้นหรือ” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเยียลี่ว์เยียนเองก็ประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้ เมื่อครู่นี้นางมัวแต่ขบคิดเกี่ยวกับหลินเหวินเสี่ยวว่านางจะร่ายรำอะไร แต่ผลสุดท้ายหลินเหวินเสี่ยวกลับมิได้ลงสนาม และผู้ที่ลงสนามกลับเป็นคนที่นางดูถูกมาตลอดอย่างซูเหลียนอวิ้น?
ซูเหลียนอวิ้นกล้าดีอย่างไรถึงได้ท้าทายนาง?! ตอนนั้นเองเยียลี่ว์เยียนพลันมีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา
แต่นี่ก็ทำให้เยียลี่ว์เยียนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เพราะนี่เปรียบเสมือนการที่นางเดินลัดเลาะไปตามภูเขาที่มืดสลัวโดยที่ตัวเองรู้ว่าข้างหน้าจะต้องมีสัตว์ดุร้ายโผล่ออกมา ในหัวของตนจึงคิดถึงความน่ากลัวทั้งหมดซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังคิดถึงวิธีการรับมือต่างๆ ไว้เสร็จสรรพ ผลสุดท้ายเมื่อรอจนเหยื่อปรากฏตัวออกมากลับพบว่าเหยื่อนั้นอันที่จริงแล้วไม่ใช่สัตว์ดุร้ายที่ไหน แต่เป็นกระต่ายที่บอบบางไร้เรี่ยวแรง?
ยังมีเรื่องอะไรที่น่าขบขันกว่านี้อีกหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตลกยิ่งนัก
“เป็นนางนี่เอง…” เยียลี่ว์เยี่ยนเขย่าจอกสุราที่อยู่ในมือตนสายตาของเขาแสดงออกถึงการครุ่นคิด “น้องหญิง เจ้าอย่ายอมแพ้”
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ผลิกผันเช่นนี้ก็เกิดความรู้สึกสับสน แต่เมื่อเห็นลี่หยวนตี้มีสีพระพักตร์ประหลาดใจเช่นกัน ผู้ชมจึงเริ่มอยู่ในความสงบ
ดูท่าแล้วเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันแน่นอน! แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ทรงไม่รู้ ดังนั้นพวกเขาไม่รู้…ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่!
“ซูเหลียนอวิ้น…!” ต้วนเฉินเซวียนกัดฟันพลางเอ่ยขึ้น ทุกครั้งที่ข้าพบเจ้า เจ้าต้องทำให้ข้าเกิดความรู้สึกที่แปลกใหม่ไปจากเดิมทุกครั้งเชียวรึ?
แต่ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกเพียงผู้เดียวก็พอแล้วกระมัง ตอนนี้มีผู้คนตั้งมากมายเฝ้าดูอยู่! ซูเหลียนอวิ้นเจ้าช่าง…!
ต้วนเฉินเซวียนเอามือข้างหนึ่งของตนกุมศีรษะเอาไว้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเหนื่อยแทบขาดใจ! เพราะเขามีความสามารถในการได้ยินที่เฉียบคม ดังนั้นย่อมได้ยินเสียงซุบซิบรอบด้านอย่างชัดเจน
เหตุการณ์ตอนนี้มีบุรุษจำนวนไม่น้อย เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นในลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิมเช่นนี้ก็เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น! และสายตาของพวกเขาก็จ้องจนแทบจะเอาหน้าไปติดซูเหลียนอวิ้นอยู่แล้ว
นี่ทำให้เขาหัวเสียยิ่ง!
เนื่องจากนี่คืองานเลี้ยงของวังหลวง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเดินเข้าไปหาคนที่กล้าวิจารณ์นางเรียงคนแล้วสั่งสอนให้พวกเขาหัดหุบปากและเลิกจ้องมองได้ ตอนนี้สิ่งที่ต้วนเฉินเซวียนพอทำได้ก็คือการส่งสายตากินเลือดกินเนื้อไปรอบๆ ตัว ให้ทุกคนที่กล้าวิจารณ์ซูเหลียนอวิ้นเกิดความตระหนักบางอย่างขึ้นในใจ
ตอนนี้พวกเจ้าวิจารณ์กันไปก่อนเถิด พูดกันให้มากๆ ไปเลย เพราะโอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ
“พี่ต้วน!” ด้านข้างหันชิงอวี่เอามือกอดอกตัวเองหลวมๆ “สายตาของพี่ต้วนตอนนี้น่ากลัวยิ่ง! ทำเช่นนี้จะทำให้แม่นางทั้งหลายตกใจกลัวกันหมด!”
เอ่อ ตอนนี้ดูท่าแล้วพี่ต้วนคงกำลังสนใจบางอย่างอยู่?
หันชิงอวี่พิจารณาอยู่เงียบ ผู้ชมที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรที่เกินจริงนัก! เพียงแค่เอ่ยปากชมว่าการแต่งกายของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้แม้ว่าขาดเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง แต่ดูหล่อเหลาคมเข้มแบบนี้ก็ถือว่าดูดีอยู่ไม่น้อย แต่พี่ต้วนกลับมองพวกเขาอย่างกับพวกเขาพูดอะไรไม่ดีอย่างไรอย่างนั้น…อาการหึงหวงนี้น่ากลัวยิ่งนัก!
“เจ้ายังกล้ามองอีก?” ต้วนเฉินเซวียนหันตัวมา แล้วยิ้มมัวหม่นให้หันชิงอวี่ “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลงมือเป็นรายคนอยู่แล้ว เช่นนั้นก็เริ่มจากคนที่ใกล้ตัวสุด…เจ้าก็แล้วกัน?”
ดูเข้าสิ รายคนอะไรกันเล่า! แค่มองยังไม่ได้! หากพูดคงยิ่งแล้วใหญ่!
ไม่ว่าจะอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็คือของเขาทั้งภายนอกและภายใน ชาติก่อนจนถึงชาตินี้ล้วนเป็นของเขาทั้งสิ้น!
หากผู้อื่นกล้าคิดไม่ดีกับนางหรือกล้าคิดเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว คนพวกนั้นคงอยากหาเรื่องใส่ตัวให้ตัวเองโดนสั่งสอนแน่นอน!
“ข้าแค่มองแวบเดียว แวบเดียวเท่านั้น!” หันชิงอวี่ค่อยๆ เลื่อนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ “อีกอย่างพวกเรานั่งห่างขนาดนี้ ข้าเห็นไม่ชัดหรอก! ข้าไม่ดูแล้วก็ได้” บุรุษที่แอบรักเขาข้างเดียวนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง หันชิงอวี่แอบเบะปาก เขาเพียงแค่มองตามกระแสสายตาของคนอื่นไปก็เท่านั้น แม้แต่ใบหน้าเขายังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ! ต้วนเฉินเซวียนถึงกับกันตนออกราวกับว่าตนจะไปแย่งภรรยาของเขาอย่างไรอย่างนั้น!
ตอนที่ 174 ขยัน
“มองแค่นิดเดียวก็ไม่ได้!” ต้วนเฉินเซวียนชูหมัดขึ้นขู่ “ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้ ใครก็ตามที่กล้าพูดจาเสียๆ หายๆ ข้าจะจำไว้ให้หมด แล้วคอยดูทีหลังก็แล้วกัน หึๆ …”
เมื่อหันชิงอวี่มองต้วนเฉินเซวียนที่มีท่าทางคล้ายจะยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเช่นนั้น เขาก็เริ่มขยับเก้าอี้ออกห่างมากขึ้นอีก ดูท่าแล้ววันนี้สมองของต้วนเฉินเซวียนคงไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก! ขอแค่อาการนี้อย่าแพร่มาถึงเขาก็พอแล้ว! เพราะอาการเช่นนี้…คงไม่มียารักษาให้หายได้กระมัง
“เอาล่ะ! หยุดบ่นได้แล้ว!” หันชิงอวี่กระทุ้งต้วนเฉินเซวียนที่ยังไม่ยอมหยุดมองแล้วเอ่ยว่า “ชายาของท่านใกล้เริ่มร่ายรำเต็มทีแล้ว! ท่านจะมัวแต่คิดแค้นอยู่เช่นนี้ หรือว่าจะดูการแสดง?”
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยื่นมือออกไปตบไหล่หันชิงอวี่เบาๆ “ชิงอวี่ สุดท้ายเจ้าก็รู้จักพูดจาน่าฟังเสียที”
“ฮะ?” หันชิงอวี่เลิกคิ้ว
นี่พี่ต้วนหมายความว่าอะไร?
“คำพูดเมื่อครู่ที่ว่า ‘ชายาของข้า’ เจ้าพูดได้มิผิดเลย!”
ไม่ผิดแน่ ชายาของเขา!
หันชิงอวี่ “…”
พี่ต้วนป่วยก็รีบไปรักษาเถิด! เมื่อครู่นี้เขาเพียงหลุดปากพูดไปมั่วๆ เท่านั้น…พี่ต้วนกลับยิ้มเลอะเลือนเช่นนี้ไปได้? ดูท่าแล้วคงต้องให้หมอหลวงหลี่สั่งยาให้จริงๆ แล้ว! แม้ว่าหมอหลวงหลี่จะไม่ชำนาญในการรักษาสมอง แต่ให้หมอหลวงหลี่ตรวจดูไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร!
“อวิ้นเอ๋อร์ สู้เขา” หลินเหวินเสี่ยวหันไปรับกระบี่ไม้จากมือของขันทีแล้วส่งให้ซูเหลียนอวิ้น “อย่าตื่นเต้นก็พอ!”
“ข้าไม่ตื่นเต้น”
ก็แปลกแล้ว!
ซูเหลียนอวิ้นแอบเช็ดเหงื่อที่กลางฝ่ามือของตน
ช่างเถิด อย่างไรก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว หายใจเข้าลึกๆ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด!
“คุณหนูหลิน!” ด้านล่าง ซูมั่วเยี่ยมองไปยังหลินเหวินเสี่ยวด้วยสายตาร้อนใจแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “แม้ว่าอวิ้นเอ๋อร์จะเต็มใจก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้เอง แต่ทำไมเจ้าถึงไม่บอกพวกเราสักคำ!”
“เอ๊ะ?” หลินเหวินเสี่ยวเบี่ยงหน้าหันมาจึงเห็นสายตาของซูมั่วเยี่ยที่มีความโมโหระคนกังวลใจรวมอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเองจึงเกิดควาไม่มั่นใจขึ้นมา นางเลยไม่ยอมหันไปมองซูมั่วเยี่ย “พวกเรา…อวิ้นเอ๋อร์บอกว่านางเอาอยู่! ข้าเชื่อนาง!”
“เชื่ออะไรกันเล่า!” ซูมั่วเยี่ยร้อนใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากอวิ้นเอ๋อร์แพ้ขึ้นมา ผลสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น!” ขุนนางเป็นร้อยชีวิตในราชสำนัก บรรดาตระกูลใหญ่ของต้าชั่วต่างอยู่ที่นี่ด้วยในตอนนี้ ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดอวดดีของพวกนางทั้งสิ้น
ทั้งยังพูดอย่างน่าเชื่อถือว่าพวกนางจะต้องเป็นฝ่ายชนะได้แน่ หากชนะได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะจะกู้ศักดิ์ศรีของต้าชั่วคืนมาและจะทำให้ลี่หยวนตี้ได้หน้าและชื่อเสียง ถึงตอนนั้นคงจะเป็นคุณูปการแก่คนทั้งต้าชั่ว
แต่หากแพ้ขึ้นมาเล่า? ได้โอกาสอีกครั้งหนึ่งแต่กลับพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้นี้เกรงว่าคงจะมิได้เป็นเพียงการพนันขันต่อระหว่างสตรีเสียแล้ว เพราะความพ่ายแพ้นั้นจะกลายเป็นความเสียหายของต้าชั่วแก่นานาประเทศ สิ่งที่นางจะต้องแบกรับไม่ได้มีเพียงความกราดเกี้ยวของลี่หยวนตี้แต่เป็นความกราดเกรี้ยวของคนทั้งต้าชั่ว ทั้งยังมีคำเยาะเย้ยมากมายของผู้ชมที่นี่ ซึ่งน้องสาวของเขาจะต้องเป็นผู้แบกรับเอาไว้เองทั้งหมดหากพ่ายแพ้!
“อวิ้นเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์จะต้องชนะแน่!” แม้ว่าหลินเหวินเสี่ยวจะกลัวท่าทางของซูมั่วเยี่ยในตอนนี้ แต่เมื่อเห็นเขาไม่เชื่อและดูถูกซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้จึงซ่อนความหวั่นเกรงของตัวเองเอาไว้แล้วอธิบายกับเขาว่า “อวิ้นเอ๋อร์คือน้องของท่าน! หากแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ยังไม่เชื่อถือนางและไม่เชื่อใจนางอีก คิดดูว่านางจะเสียใจมากขนาดไหน
“อย่างไรข้าก็เชื่อว่าเหลียนอวิ้นจะต้องชนะอย่างแน่นอน” หลินเหวินเสี่ยวจ้องตรงไปยังดวงตาของซูมั่วเยี่ยแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าเคยเห็นด้านที่นางมีความพยายามมากที่สุดมาแล้ว ดังนั้นข้ารู้ว่าความขยันของนางไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตามจะต้องไม่ด้อยไปกว่ากันอย่างแน่นอน คนขยันจะต้องได้รับผบตอบแทน หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็คอยดูเหลียนอวิ้นเถิด”
ณ ใจกลางห้องโถง มือของซูเหลียนอวิ้นถือกระบี่ไม้เอาไว้ แขนของนางแกว่งไกวกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยท่าทางสง่าสงาม ท่วงท่าที่ชวนมอง สีหน้าของนางที่ผ่อนคลาย คล้ายไม่ได้เป็นท่าทางของคนที่กำลังอยู่ต่อหน้าผู้คนเป็นร้อยๆ ใจกลางห้องโถง แต่คล้ายว่า ณ พื้นแผ่นดินนี้มีนางเพียงคนเดียว
ไร้ความกังวลใดๆ ไร้ท่าทางแห่งความวิตกกังวลใจ ณ พื้นแผ่นดินนี้มีนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น ในสายตาของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้คล้ายว่ามีเพียงกระบี่ไม้ในมือของนางเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ส่วนทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนางล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย
“สวยใช่หรือไม่” หลินเหวินเสี่ยวจ้องไปยังผู้ที่กำลังเคลื่อนไหวตัวไปมาอยู่ตรงกลางโถงแล้วเอ่ยขึ้นราวกับพึมพำกับตัวเอง “ท่านรู้อะไรหรือไม่ ในช่วงงานพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้น สิ่งที่นางต้องท่องจำเช่นกฎระเบียบต่างๆ ที่ต้องปฏิบัตินั้นยากกว่าสิ่งที่นางต้องทำในตอนนี้มากนัก อีกอย่างผู้ที่มาร่วมงานพิธีปักปิ่นวันนั้นก็ไม่ถือว่าน้อยด้วย”
“ตอนนั้นมีบางขั้นตอนที่นางมักจะทำได้ไม่ดีนัก อันที่จริงก็ไม่ถือว่าไม่ดี เพียงแค่ไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น นางจึงพยายามฝึกฝนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนคล่องแคล่วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายที่ข้าฝึกกับนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแสดงออกให้เห็นว่านางทำได้แม่นยำแล้ว ตอนไหนต้องยิ้มอย่างไร ตอนไหนต้องผ่อนคลายอย่างไร นางล้วนทำได้อย่างยอดเยี่ยม
“ดังนั้นหากพูดถึงความขยันของนาง ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าเหลียนอวิ้นไม่มีทางแพ้ผู้ใดอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อนางกล้าที่จะเอ่ยปากออกมา นั่นคงเป็นเพราะนางเตรียมตัวไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังมีอะไรให้น่ากังวลใจอีกเล่า นางพยายามมานานขนาดนี้ หากนางไม่ได้แสดงฝีมือ นั่นไม่เท่ากับว่านางเสียเวลาฝึกเปล่าหรือ”
ซูมั่วเยี่ยฟังหลินเหวินเสี่ยวกล่าวจบโดยไม่ได้เอ่ยอะไร เขาอ้าปากเตรียมจะพูดบางอย่าง แต่เมื่อคิดทบทวนดูก็ตัดสินใจหุบปากดังเดิมไม่ยอมพูดแล้วหันไปดูคนที่อยู่ตรงกลางห้องโถงตั้งใจ
เมื่อซูมั่วเยี่ยดูไปเรื่อยๆ เขาพลันยิ้มออก เพราะเขาคิดว่าที่หลินเหวินเสี่ยวพูดก็ถูก หากพูดถึงความขยัน ที่ผ่านมาอวิ้นเอ๋อร์ไม่เคยแสดงความย่อท้อ อีกอย่างน้องสาวของเขาก็เป็นคนที่เขาคิดว่าดีที่สุดในโลกใบนี้มาโดยตลอดมิใช่หรือ ทำไมพอถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้กลับไม่เชื่อใจขึ้นมา?
อวิ้นเอ๋อร์จะต้องชนะอย่างแน่นอน ซูมั่วเยี่ยพยักหน้าในใจ เพราะหากดูจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแววตาของผู้ชมและสีหน้าที่ดูไม่ได้ของเยียลี่ว์เยียนแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่า น้องสาวสุดที่รักของเขาเป็นผู้ชนะและเป็นชัยชนะที่ไร้ข้อกังขาเสียด้วย!
“ฝ่าบาท การร่ายรำของหม่อมฉันสิ้นสุดแล้วเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นสบัดผมที่ปรกอยู่บนหน้าผาก “นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันทำได้ดีที่สุดแล้วเพคะ” เพราะนางคิดว่าตนแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วและถือว่าเป็นการแสดงที่ดีมากกว่าปกติด้วยซ้ำ
ดังนั้นหากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน!
“เป็นการร่ายรำกระบี่ที่ไม่เลวเลย” เกาอู่เตี๋ยมองไปทางซูเหลียนอวิ้นอย่างอ่อนโยน “อวิ้นเอ๋อร์เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ขององค์หญิงเยียลี่ว์แล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงของเกาอู่เตี๋ย ผู้ชมก็คล้ายหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่การร่ายรำนั้นสิ้นสุดลง จากนั้นจึงหันไปมองเยียลี่ว์เยียน เมื่อได้เผชิญหน้ากับการร่ายรำที่น่าตื่นตะลึงและมีเอกลักษณ์เช่นนี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเยียลี่ว์เยียนจะรับมือกลับอย่างไร?
เพราะว่า…คงไม่สามารถเต้นระบำนกยูงนั้นได้อีกครั้งแล้วกระมัง แม้ว่าจะเป็นการร่ายรำที่น่าดู แต่เมื่อกี้ทุกคนต่างดูกันไปแล้วรอบหนึ่ง!
“เยียนเอ๋อร์ ถึงตาเจ้าแล้ว” น้ำเสียงของเยียลี่ว์เยี่ยนเย็นเฉียบ “จำไว้ว่าเจ้ากับข้าสัญญากันไว้แล้ว หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น”
ตอนที่ 175 ผลแพ้ชนะ
“เพคะ…เสด็จพี่” เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นยืน ชุดที่นางสวมใส่อยู่ยังเป็นชุดนกยูงที่ยังไม่ได้เปลี่ยน
“เอ๊ะ องค์หญิงเยียลี่ว์ไม่เปลี่ยนชุดรึหรือว่าจะร่ายรำระบำนกยูงอีก”
“จริงด้วย ข้านึกว่าจะได้ดูการแสดงอื่นเสียอีก ผลสุดท้ายยังคงแสดงการแสดงชุดเดิมหรือ”
“อย่าพูดเหลวไหล! การแสดงระบำนกยูงมีตั้งหลายแบบ พวกเราตั้งใจดูก็พอแล้ว นางขึ้นชื่อว่าเป็นนางรำอันดับหนึ่งเชียวนะ! ผู้เป็นที่หนึ่งจะต้องไม่ทำให้พวกเราผิดหวังอย่างแน่นอนถูกหรือไม่”
เยียลี่ว์เยียนค่อยๆ ก้าวออกมาจนถึงกลางโถง เสียงอื้ออึงรอบกายดังเข้าหูนางประกอบกับสายตาต่างๆ ที่จ้องมองมา ไม่ว่าจะเป็นสายตาแห่งความขบขัน สายตาแห่งความเย็นชาแฝงข่มขู่ สายตาลามกหยาบช้า ไม่มีสิ่งใดที่หลุดลอดสายตานางไปแม้แต่อย่างเดียว
เยียลี่ว์เยียนก้มหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าพลางคิดในใจว่า เมื่อครู่นี้ซูเหลียนอวิ้นยังทนกับสายตาเช่นนี้ได้เลยแล้วนางจะต้องกลัวอะไรเล่า
ทว่าเยียลี่ว์เยียนรู้ดีว่า แม้ว่าสายตาโดยส่วนใหญ่จะแสดงออกคล้ายกัน แต่ว่าคล้ายมีบางสิ่งที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ภายใต้การจับจ้องมากมายเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีสายตาใดเลยที่แสดงออกถึง…ความอ่อนโยนและสายตาที่มองนางด้วยความจริงใจโดยไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง
เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น เยียลี่ว์เยียนถึงหลุดออกจากภวังค์ เรื่องพวกนั้นมีความสำคัญอะไรกันเล่าตอนนี้สิ่งที่นางสามารถทำได้คงมีเพียงการพยายามแสดงการร่ายรำอย่างสุดความสามารถ
“อวิ้นเอ๋อร์ ฝีมือร่ายรำของเจ้าเยี่ยมมาก!” หลินเหวินเสี่ยวยกนิ้วโป้งให้นาง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทำได้! หากเทียบกันแล้วเจ้าทำได้ดีกว่าระบำนกยูงของเยียลี่ว์เยียนในครั้งแรกเสียอีก!”
“ขอบคุณ” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม นางทำสำเร็จก็ถือว่าดีมากแล้ว ตอนนี้นาง…ทำได้แค่ภาวนาให้เยียลี่ว์เยียนทำพลาดจนปรากฏข้อบกพร่องออกมาให้เห็นก็พอ!
“น้องหญิง เช็ดเหงื่อหน่อยเถิด” ไม่รู้ว่าซูมั่วเยี่ยเปลี่ยนที่นั่งกับอันเพ่ยอิงตั้งแต่เมื่อใดตอนนี้เขาจึงนั่งอยู่ข้างกายซูเหลียนอวิ้นแล้ว เขากำลังยื่นผ้าขาวผืนสี่เหลี่ยมส่งมาให้นาง
“ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มอย่างเบิกบานใจตอนที่รับผ้าผืนนั้นมา หลังจากที่เช็ดเหงื่อเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ เมื่อครู่น้องร่ายรำเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ซูมั่วเยี่ยเม้มปากไม่กล่าวสิ่งใด ตาสีดำคู่นั้นของเขาจ้องมองซูเหลียนอวิ้นนิ่งราวกับกำลังรอให้ใบหน้าของนางมีอะไรงอกออกมา จากนั้นจึงถอนใจเขายื่นมือออกไปลูบผมของซูเหลียนอวิ้นสองสามทีแล้วเอ่ยว่า “น้องหญิง เจ้าแสดงดีมาก”
“แหะๆ …” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มแห้งๆ ซูเหลียนอวิ้นรู้อยู่แก่ใจว่า พี่ชายของนางต้องไม่พอใจการกระทำโดยพลการเช่นนี้ของนางอย่างแน่นอน?
“แม้ว่าเจ้าจะร่ายรำได้ดีมาก แต่…”
“แต่การกระทำของเจ้านั้นเลือดร้อนเกินไปมาก! ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย! ทำให้พวกเราเป็นห่วงเจ้ามาก! ท่านพี่ตั้งใจจะพูดอย่างนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นชายตามองซูมั่วเยี่ยคราหนึ่งจากนั้นจึงค่อยๆ หดศีรษะของตัวเองถอยออกมาจากมือของซูมั่วเยี่ย “ท่านพี่เจ้าคะ น้องแค่อยากเอาชนะเยียลี่ว์เยียนนั่นบ้าง มิเช่นนั้นน้องคงอึดอัดใจ”
ซูเหลียนอวิ้นหันทั้งตัวไปทางซูมั่วเยี่ยแล้วเอามือทั้งสองข้างเท้าคางตัวเองเอาไว้ สายตาจ้องตรงไปที่ซูมั่วเยี่ยแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถึงอย่างไรท่านพี่ก็คงรู้เรื่องแล้วว่าวันนั้นเยียลี่ว์เยียนพูดกับน้องว่าอย่างไรบ้าง! ถึงตอนนี้น้องนึกย้อนกลับไปยังรู้สึกอกแทบจะระเบิด!
“ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา น้องจึงเดาว่าเยียลี่ว์เยียนจะต้องแสดงการร่ายรำของตัวเองในงานวันนี้อย่างแน่นอน โอกาสเช่นนี้ น้องไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้ นางร่ายรำได้แล้วทำไมน้องจะทำไม่ได้อีกอย่างครั้งนี้มีผู้คนตั้งมากมายเฝ้ามองอยู่น้องจะได้ล้างมลทินให้ตัวเองไปด้วย!”
เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นสายตาซุกซนของน้องสาวตนเช่นนี้ก็กลัดกลุ้ม สายตาของเขายังคงเย็นชาพลางถอนใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะเอ่ยออกมาว่า “พี่รู้อยู่แล้ว แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น…พวกเราซุ่มทำก็ได้นี่นา วิธีการนี้ของเจ้าอวดดีและเสี่ยงเกินไป!
“อีกอย่าง นิสัยของเจ้านั้นยังเด็กมากนัก!” แม้ว่าในน้ำเสียงของซูมั่วเยี่ยจะแสดงความหมายถึงการตำหนิ ทว่าในแววตาของเขากลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพร้อมส่งเสริมกระทำของซูเหลียนอวิ้นนั่นหมายถึงการสนับสนุนนางอยู่อย่างเงียบๆ ที่นางสามารถรับรู้ได้
“เวลาที่ข้าอยู่กับท่านพี่ ข้าก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง มีอะไรไม่ดีหรือเจ้าคะ”
“แน่นอนว่าไม่มี” ซูมั่วเยี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากอวิ้นเอ๋อร์หยุดการเติบโตไว้เช่นนี้ได้ตลอดไป นั่นคงดีมากแน่”
หยุดการเติบโตเพียงเท่านี้ ไม่ต้องแต่งงานกับผู้ใดตลอดไป เฮ้อเมื่อนึกถึงตรงนี้ในใจของซูมั่วเยี่ยพลันเกิดความรู้สึกราวกับกินน้ำส้มเข้าไป[1] รสชาติของมันทั้งเปรี้ยวทั้งขม! ภาพของน้องสาวตนที่ต้องแต่งงานกับหนุ่มหน้าเหม็นที่ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดในภายภาคหน้าทำเอาเขาโมโหจนอกแทบแตก!
“ในเมื่อน้องหญิงตัดสินใจเช่นนี้ เช่นนั้นแผนที่พี่เตรียมไว้…”
“อะไรนะเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ากลับไปมองแล้วถามซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้รู้ว่าเมื่อครู่นางได้ยินไม่ชัดเพราะนางกำลังตักอาหารอยู่ ก่อนที่นางจะร่ายรำอาหารแทบจะตกไม่ถึงท้องนางเลย! เพราะหากนางกินมากเกินไปอาจทำให้นางดูอ้วนขึ้นได้!
“ไม่มีอะไร น้องหญิงกินข้าวไปก่อนเถิด” ซูมั่วเยี่ยคีบขนมโก๋ขึ้นมา “เมื่อกี้ข้าไม่เห็นเจ้ากินอะไรสักเท่าไหร่เลย ตอนนี้เจ้าต้องหิวมากแน่ๆ ใช่หรือไม่อีกอย่างเมื่อกี้เหงื่อเจ้าก็ออกตั้งมากมาย ตอนนี้รีบกินเข้าเถิด”
เดิมทีเขาเตรียมแผนที่สามารถทำให้เยียลี่ว์เยียนอับอายเอาไว้ ทว่าไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นตอนที่…มีสายตาของชาวต้าชั่วจับจ้อง ทว่าตอนนี้น้องสาวของเขาได้ชิงลงมือก่อนเขาไปก้าวหนึ่งแล้ว ดังนั้นการเดินหมากนั้นของเขาคงต้องล้มเลิกไปก่อน
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเยียลี่ว์เยียนก็เป็นถึงองค์หญิงทั้งยังเป็นฑูตจากต่างเมือง ฐานะของนางจึงไม่ธรรมดาหากต้องขายขี้หน้าต่อหน้าชาวต้าชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า…ชื่อเสียงของต้าชั่วจะต้องไม่ดีแก่สายตาคนภายนอกแน่
“อุ๊ย…!”
ขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังง่วนอยู่กับอาหารเลิศรสตรงหน้าตัวเองนางก็ได้ยินเสียงซุบซิบที่ดังขึ้นรอบๆ ด้านถึงเริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศความแปลกประหลาด จึงเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยียลี่ว์เยียน ถึงได้…ข้อเท้าพลิก?
ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว คงจะข้อเท้าพลิกกระมังท่าทางเจ็บปวดขนาดนั้นคงจะบาดเจ็บไม่น้อย แถมตอนนี้นางยังคงกุมข้อเท้าไว้ไม่ยอมปล่อย
เยียลี่ว์เยียนเจ็บจนหน้านิ่วคิ้วขมวดแววตาสับสนของนางมองไปยังเยียลี่ว์เยี่ยนที่อยู่ไกลออกไป ทว่าแววตาที่เยียลี่ว์เยี่ยนมองนางนั้นเป็นแววตาแสนเย็นชาที่มีนัยความหมายว่าจะไม่ให้นางหยุดแสดงหัวใจของนางในตอนนั้นรู้สึกราวกับว่าตนได้ตกลงสู่อุโมงค์น้ำแข็งที่หนาวยะเยือกอย่างสุดแสน
เขาต้องการให้นางกลับไปร่ายรำต่อ…เยียลี่ว์เยียนกัดริมฝีปากล่างของตนและพยายามที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่านางเพียงขยับเท้าขวาเบาๆ …ความเจ็บปวดก็พุ่งตรงเข้าเต็มหัวใจของนาง…ตอนนี้ นางลุกขึ้นยืนไม่ไหวจริงๆ
ลี่หยวนตี้มองไปที่เยียลี่ว์เยียนที่พยายามจะลุกขึ้นยืนหลายครั้งแต่ไม่เป็นผลจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “พอเถิด วันนี้พอแค่นี้ก่อน ทหาร มาช่วยพยุงองค์หญิงเยียลี่ว์ขึ้น แล้วตามหมอหลวงมาดูอาการว่าเป็นอย่างไร
“องค์ชายเยียลี่ว์ ข้าคิดว่าการประกาศผลแพ้ชนะคงต้องหยุดเอาไว้เท่านี้ก่อนดีหรือไม่เพราะ…องค์หญิงได้รับบาดเจ็บ หากฝืนให้นางร่ายรำต่อคงจะเป็นความผิดของข้า”
——
[1] กินน้ำส้มเข้าไป หมายถึง ความรู้สึกเศร้าขมขื่น
ตอนที่ 176 แอบลงมือ
“ลี่หยวนตี้ตรัสได้ถูกต้อง” เยียลี่ว์เยี่ยนลุกขึ้นแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อยทำให้ไม่มีผู้ใดเห็นแววตาของเขาในตอนนี้ “ไปพยุงองค์หญิงลุกขึ้นเถิดแล้วดูว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขันทีไม่ได้สงสัยถึงความผิดปกติใดจึงรีบพยุงเยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพานางไปนั่งด้านข้างเยียลี่ว์เยี่ยนดังเดิม
ไม่มีการกล่าวลงรายละเอียดถึงกติกา แต่ลี่หยวนตี้ก็เข้าใจ เยียลี่ว์เยี่ยนเองก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน ดังนั้นการที่ลี่หยวนตี้ไม่เอ่ยถึงผลแพ้ชนะครั้งนี้ เยียลี่ว์เยี่ยนก็ควรดีใจแล้วหุบปากเงียบเอาไว้ เพราะหากเอ่ยถึงอีกก็จะไม่เป็นธรรมกับพวกเขาเสียเปล่าๆ
“ท่าน ท่านพี่…” เยียลี่ว์เยียนเหลือบมองเยียลี่ว์เยี่ยนอย่างหวาดกลัวแล้วบิดตัวไปมาพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้ามิได้ล้มไปเองนะเพคะ! แต่มี ตอนนั้นมีของบางอย่างมากระแทกโดนข้อเท้าของน้อง เยียนเอ๋อร์ก็เลย หกล้มลงไป…” เยียลี่ว์เยียนรู้ดีว่าคำอธิบายนี้ของนางฟังดูไร้น้ำหนักถึงขั้นที่อาจทำให้เข้าใจว่านางแก้ตัว แต่ความจริงเป็นเช่นนี้จริงมีบางอย่างมากระแทกที่ข้อเท้านางจริงๆ นางจึงล้มลงไป
และก็เป็นไปตามคาด เมื่อเยียลี่ว์เยี่ยนฟังคำอธิบายที่ไร้น้ำหนักของเยียลี่ว์เยียนจบ เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงยิ้มเยาะแล้วใช้สายตาโกรธจัดมองไปที่เยียลี่ว์เยียน “แล้วอย่างไรต่อขาเจ้าหักรึไม่เจ้าตายหรือเปล่าตอนนี้เจ้ายังนั่งตัวเป็นๆ อยู่ตรงนี้แล้วบอกเหตุผลนี้แก่ข้าแล้วเจ้ามีเหตุผลอะไรที่จะร่ายรำต่อไปไม่ได้”
“ไม่ใช่นะเพคะท่านพี่! เยียนเอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์…”
“หุบปากไปซะเยียลี่ว์เยียน” เยียนลี่ว์เยี่ยนตัดบทนาง พลางใช้สายตาเกลียดชังมองไปที่นางแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยสนใจขั้นตอน ข้าสนใจเพียงผลลัพธ์ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายเจ้ากลับ…เป็นฝ่ายแพ้ ดังนั้นผลจะเป็นเช่นไร ข้าเดาว่า เจ้าก็คงคิดเผื่อเอาไว้บ้างแล้วใช่หรือไม่”
ตอนนี้เยียลี่ว์เยี่ยนเองกลัวว่าตนจะควบคุมตัวเองไม่ไหวจนถึงขั้นตบหน้าเยียลี่ว์เยียน เพื่อให้นางเข้าใจเสียทีว่านางได้ทำอะไรผิดไป
เสียงของชาวต้าชั่วที่อยู่รอบทิศดังเซ็งแซ่ขึ้นเรื่อยๆ สายตาของพวกเขาในตอนนี้ก็เริ่มลามปาม เยียลี่ว์เยี่ยนสูดหายใจเข้ายาวพยายามให้อารมณ์ของตัวเองนั้นสงบลง แต่ยิ่งคิดเช่นนี้เขาก็ยิ่งควบคุมความรู้สึกอยากจะสั่งสอนผู้ที่ทำผิดจนทำให้เขาต้องขายขี้หน้าคนนี้ไม่ได้
ไม่ว่าเหตุผลคืออะไร ผู้ที่ทำให้เยียลี่ว์เยี่ยนต้องขายหน้าจะต้องได้รับการชดใช้ในการกระทำของตัวเองอย่างไม่มีข้อยกเว้นแม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นน้องสาวของตนก็ตาม
“พี่ต้วน ใช้ได้เลย” หันชิงอวี่ใช้ตะเกียบคีบถั่วลิสงขึ้นมาพลางเอ่ย “ร้ายกาจๆ สามารถเอาถั่วลิสงมาทำเป็นอาวุธลับได้ กำลังภายในของพี่ต้วนใช้ได้ทีเดียว! แต่นี่มันใจร้ายเกินไปรึเปล่าเพราะถึงอย่างไรนางผู้นั้นก็เป็นสาวงาม พี่ต้วนยังทำใจลงมือได้ ดูสิ นางแพ้เลยโดนพี่ชายตัวเองดุใหญ่เลยโธ่เอ๊ย ดูท่านางเข้าสิ น่าสงสารยิ่ง”
แม้ว่าหันชิงอวี่จะคีบอาหารเข้าปากอยู่แต่เขาก็ยังคงพูดไม่ยอมหยุดปาก เขาค่อนแคะว่าต้วนเฉินเซวียนไม่รู้จักการทะนุถนอมพลางต่อว่าว่าเยียลี่ว์เยี่ยนดุร้ายกับน้องสาวของตัวเองมากเกินไป
แต่สายตาของเขากลับแสดงออกชัดเจนว่าเขามีความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก รวมทั้งเฝ้ามองความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นระหว่างต้วนเฉินเซวียนกับซูเหลียนอวิ้น
“ทำไมของกินถึงอุดปากเจ้ามิได้” เดิมทีต้วนเฉินเซวียนตั้งใจว่าจะไม่สนใจหันชิงอวี่ เขาอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไปเพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ทำให้เขารู้สึกเดือดร้อนอะไร อีกอย่างก็ถือโอกาสเป็นการฝึกฝนความหน้าหนาของตัวเองไปด้วย
เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเอง…หนังหน้ายังไม่ได้หนาถึงขั้นนั้น มิเช่นนั้นแล้วตอนนี้เขาคงจีบซูเหลียนอวิ้นติดแล้วกระมังแต่จะให้ทำอย่างไรได้ แม้ว่าเขาอยากจะทนให้ได้ถึงที่สุดแต่หันชิงอวี่นั้นปากมากน่ารำคาญเกินไปเสียจนทำให้ต้วนเฉินเซวียนทนไม่ไหว
เขาจึงหยิบปอเปี๊ยะใบบัวขึ้นแล้วเอาเข้าไปอุดปากของหันชิงอวี่ที่ยังคงอ้าปากพูดไม่หยุด “ตอนนี้เจ้าช่วยปิดปากเสียทีเถอะ ข้าไม่อยากได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว นั่งกินอาหารของเจ้าไปเงียบๆ ซะ!”
หันชิงอวี่ตกตะลึงไปเพราะเขาไม่เคยเห็นต้วนเฉินเซวียนมีอาการเช่นนี้มาก่อน หงุดหงิดอยู่แต่กลับไม่ได้มีท่าทางโกรธจริงจังนี่คงจะเป็นอาการ…เขินเสียมากกว่ากระมัง!
“พี่ต้วน พี่ต้วน ข้าไม่ได้ว่าท่าน” หันชิงอวี่กระดกน้ำชาไปอึกหนึ่ง สุดท้ายเขาจึงกลืนปอเปี๊ยะใบบัวนั่นลงไปได้ “ข้าคิดว่าหากท่านอยากจะตามจีบไปแบบนี้…ผลลัพธ์ออกมาคงไม่ถูกนัก! “
“ไม่ถูกตรงไหน”
“ที่ท่านทำทั้งหมดท่านคงแอบลงมือเงียบๆ เองกระมังคุณหนูซูไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าท่านยื่นมือเข้าไปช่วยนางเห็นหรือไม่ว่านางไม่รู้ด้วยซ้ำ! ดังนั้นท่านจะมานั่งปลื้มใจในตัวเองอะไรอยู่ตรงนี้เล่า มีแต่ตัวท่านที่รู้สึกประทับใจตัวเอง
“อีกอย่าง เหมือนข้าได้ยินมาว่าคุณหนูซูเป็นคนเข้มแข็งมากคนหนึ่งหากนางรู้ว่าเบื้องหลังของชัยชนะครั้งนี้มีท่านออกแรงช่วย…เฮ้อ นั่นคงไม่เป็นผลดีแน่”
ต้วนเฉินเซวียน “…”
คำพูดนี้กล่าวได้ไม่เลวเลย…ดูเหมือนว่านิสัยของซูเหลียนอวิ้นจะเป็นเช่นนี้จริงหากซูเหลียนอวิ้นรู้ว่ามีการลงมือเช่นนี้ ผลที่จะเกิดตามมาคือนางจะว่าเขาที่เขาแอบลงมือและคงกราดเกรี้ยวใส่เขาด้วยกระมัง
แค่คิดก็…เอ่ออ
ต้วนเฉินเซวียนถอนใจ “ผู้ใดบอกว่าข้าทำเพื่อซูเหลีนอวิ้นเล่าข้าทำเพื่อต้าชั่วมิได้รึหากเยียลี่ว์เยียนเป็นฝ่ายชนะขึ้นมาจะมีผลดีอะไรกับต้าชั่วบ้างดังนั้นเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับซูเหลียนอวิ้นกัน”
เมื่อหันชิงอวี่ได้ยินต้วนเฉินเซวียนอธิบายราวกับเป็นเช่นนั้นจริง ตอนนั้นเองที่เขากวาดตามองต้วนเฉินเซวียนตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายจึงถอนใจออกมาแล้วกล่าวว่า “พี่ต้วน ท่านสบายใจเช่นนั้นก็ดี…เพราะน้องอย่างข้าพูดอะไรท่านก็คงไม่ฟังอย่างนั้นท่านก็หลอกตัวเองและไม่ยอมรับความจริงต่อไปเถอะถึงตอนนั้นท่านจะเสียใจ! “
เขาไม่ยอมรับตั้งแต่เมื่อใดต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว เขาเคยบอกว่าไม่ยอมรับหรือ
อันที่จริงคำพูดนี้ของหันชิงอวี่เคยกล่าวมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อชาติก่อน เขาก็หลอกตัวเองและไม่ยอมรับว่าตนจะเสียใจทีหลัง พอมาตอนนี้เขาเริ่มเสียใจทีหลังจริงๆ เสียแล้ว
ช่างเถอะๆ ต้วนเฉินเซวียนยกมือขึ้นลูบผมอย่างไม่ใส่ใจ อย่างนั้นรอให้งานเลี้ยงจบลงก่อนแล้วเขาจะไปคุยกับซูเหลียนอวิ้นสักหน่อยเพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยอมรับแล้ว
……
“ฮ่องเต้ลี่หยวน” ตอนที่ลี่หยวนตี้เตรียมจะประกาศผลแพ้ชนะอยู่นั้น เยียลี่ว์เยี่ยนก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ลี่หยวน อันที่จริงการมาในครั้งนี้ของข้ากับน้องสาวยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะทำ”
“อ้อ? ” คิ้วของลี่หยวนตี้เลิกขึ้นอย่างน่าขบขัน”ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือ” ลี่หยวนตี้ใช้แววตานับถือมองไปที่เยียลี่ว์เยี่ยน เพราะเมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะขายหน้าไปมากเสียขนาดนั้น ตอนนี้ยังยืนขึ้นมาเพื่อเล่นลูกไม้ตุกติกได้อยู่อีกหรือ
นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วๆ ไปจะสามารถทำได้ เพราะทั้งหนังหน้าหรือจิตใจคงหนามากทีเดียว
แม้ว่าผู้ชมจะคิดเช่นนี้ แต่ตอนที่เยียลี่ว์เยี่ยนสนทนากับลี่หยวนตี้อยู่นั้นไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะแอบกระซิบกระซาบกันได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงทำได้เพียงชูคอยื่นออกไปฟังให้มากที่สุดแล้วมองไปที่เยียลี่ว์เยี่ยนด้วยความร้อนใจเพื่อรอดูว่าครั้งนี้เขาจะมีลูกไม้อะไรอีก
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กลัว เพราะชนะมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้พวกเขาเลยมีแรงฮึกเหิมอย่างรุนแรง!
ตอนที่ 177 บทลงโทษ
“ฮ่องเต้ลี่หยวน” เยียลี่ว์เยี่ยนเริ่มแสดงสีหน้าอ่อนโยนไร้พิษสง “การมาของพวกเราในครั้งนี้ อันที่จริงแล้วอยากจะเชื่อมความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองเมือง”
นั่นก็หมายถึงการแต่งงานสิท่าผู้ชมรอบด้านเริ่มลูบคางของตัวเองดูท่าแล้วการแสดงความเหนือชั้นกว่านั้นประสบผล! พวกเขาถึงขั้นเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานก่อน!
ตอนนั้นเองที่สายตาของคนกลุ่มนี้กวาดไปมองที่ซูเหลียนอวิ้นด้วยความปลาบปลื้ม ทุกคนต่างแสดงความชื่นชมว่า เมื่อครู่นี้นางแสดงได้ดีมาก ดีมากอย่างยิ่ง! ถึงขั้นพลิกวิกฤตให้ต้าชั่วกลับมามีหน้ามีตาได้
แม้ว่าหนังหน้าซูเหลียนอวิ้นจะเริ่มหนาแล้ว แต่ก็ยังทนกับสายตาที่มองนางราวกับเป็นตัวประหลาดเป็นพักๆ ไม่ได้ นางถอนใจ จากนั้นจึงยื่นมือไปดึงซูมั่วเยี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ “ท่านพี่…”
“มา อวิ้นเอ๋อร์เจ้ามานั่งอยู่ข้างหลังพี่เถอะ” ซูมั่วเยี่ยลุกขึ้นยืนแล้วก้าวยาวๆ ไปนั่งด้านหน้าเพื่อบังซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ หลังจากที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ความน่าเกรงขามก็แผ่ออกมาจากตัวเขาอย่างฉับพลันสายตาเย็นเฉียบของเขากวาดตามองไปรอบๆ คราวนี้เขาจะคอยดูว่ายังมีผู้ใดกล้าเหลือบมองมาทางพวกเขาอีกหรือไม่
เมื่อผู้ชมเห็นการกระทำเช่นนี้ของซูมั่วเยี่ยแล้วจะยังมีผู้ใดไม่เข้าใจอีกบ้าง ตอนนั้นเองพวกเขาจึงก้มหน้าลงแล้วเริ่มนับเม็ดข้าวในชามของตัวเองว่ามีกี่เม็ด
ไม่กล้ามองแล้ว ไม่กล้ามองแล้ว พี่ชายคนนี้ดุเกินไปหน่อย พวกเขาก้มหน้านับเมล็ดข้าวดีกว่า!
“อย่างนั้นมิทราบว่า เมืองเยียลี่ว์ได้คิดเอาไว้หรือไม่ว่าจะเชื่อมความสัมพันธ์นี้อย่างไรดี”เมื่อตรัสจบ พระเนตรของลี่หยวนตี้ก็กวาดไปที่เยียลี่ว์เยียนและเยียลี่ว์เยี่ยนรอบหนึ่งพวกเจ้ามากันสองคน ดังนั้นสรุปแล้วพวกเจ้าจะมาแต่งหรือจะมาขอกันแน่
เยียลี่ว์เยี่ยนก้มหน้าแล้วเอามือลูบศีรษะเยียลี่ว์เยียนการกระทำนี้มองแล้วดูสนิทสนมกันมากทีเดียวแต่สายตาของเขากลับก้มมองเยียลี่ว์เยียนอย่างเย็นชาหาใดเปรียบจากนั้นเยียลี่ว์เยี่ยนจึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าเมืองของพระองค์ คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเยียนเอ๋อร์ของพวกเราก็มีเพียงองค์ชายสามคนเดียวเท่านั้นกระมัง”
เยียลี่ว์เยียนตัวแข็งแล้วเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางจ้องไปที่เยียลี่ว์เยี่ยนอย่างไม่เชื่อสายตา ความหมายของเยียลี่ว์เยี่ยนคืออะไรเอ่ยถึงองค์ชายสามในช่วงเวลาเช่นนี้…? คงจะมิได้ให้นาง…
ไม่นะ! เยียลี่ว์เยียนอยากจะเอ่ยปากถามเยียลี่ว์เยี่ยนเสียเดี๋ยวนี้ ตอนนั้นคุยกันเรียบร้อยแล้วมิใช่หรือเหตุใดตอนนี้จะให้นางแต่งงานกับองค์ชายสามผู้น่าขยะแขยงคนนี้นางไม่แต่งไม่มีทาง!
ทว่าตอนนี้แม้ว่าเยียลี่ว์เยียนอยากจะเอื้อนเอ่ยมากเพียงใด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ไม่ออก หลังจากที่นางพยายามที่จะพูดอยู่หลายครั้ง เยียลี่ว์เยียนก็ตระหนักบางอย่างขึ้นมา
ดูเหมือนว่าตอนที่เยียลี่ว์เยี่ยนลูบผมของตนตอนนั้น เขาได้หยุดการทำงานของเส้นเสียงนางไปเสียแล้ว เพื่อให้นางมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“อื้ม” ลี่หยวนตี้ทรงพระสลวลเบาๆ “องค์ชายสามของข้ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับองค์หญิงเยียลี่ว์จริง หากพวกเขาทั้งสองคนสามารถแต่งงานกันได้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” เยียลี่ว์เยี่ยนก้มหน้ายิ้มแล้วหันไปมองเยียลี่ว์เยียนอีกครั้ง แต่กลับพบว่าใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ถือเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางรังเกียจและไม่ยินดีตอนนั้นเองที่มือขวาของเขาทุบลงไปที่เส้นความเจ็บปวดตรงด้านหลังของเยียลี่ว์เยียน
ด้วยตอนนี้เยียลี่ว์เยียนไม่สามารถพูดได้ ดังนั้นแม้ว่าจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ไร้หนทางจะแสดงออกมาได้นางจึงทำได้เพียงใช้สายตาจะกินเลือดกินเนื้อจ้องไปที่เยียลี่ว์เยี่ยนอย่าง
อาฆาต
“เยียนเอ๋อร์ อย่าทำสีหน้าเช่นนี้” เยียลี่ว์เยี่ยนเอามือของตนลูบเบาๆ ไปบริเวณผมข้างใบหูของเยียลี่ว์เยียน
จากมุมมองของคนภายนอกการกระทำของเยียลี่ว์เยี่ยนในตอนนี้คล้ายว่ากำลังแอบคุยความลับบางอย่างกับน้องสาวของตัวเองเงียบๆ หรือไม่ก็กำลังแนะนำเยียลี่ว์เยียนว่าหากจะต้องแต่งออกมาที่เมืองเยียลี่ว์จะต้องทำอย่างไร
เนื่องจากสายตาอันอ่อนโยน การกระทำที่สนิทสนมเช่นนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นการแสดงออกว่าเขาสนิทสนมกับน้องสาวของตัวเองอย่างยิ่งมิเช่นนั้นแล้วจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร
“นี่เป็นรางวัลของเยียนเอ๋อร์ที่จะได้รับหลังจากการพ่ายแพ้ของตัวเจ้าเอง เป็นอย่างไรเล่า ชอบรางวัลนี้หรือไม่”
เยียลี่ว์เยียนมองแววตาและพิจารณาน้ำเสียงอ่อนโยนของเยียลี่ว์เยี่ยนนางรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายกับนางที่สุดบนโลกใบนี้ตอนนั้นน้ำตาของนางไหลพรากออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้อีกต่อไป “ดีใจเพียงนี้เชียว ปลื้มจนน้ำตาไหลเสียแล้วหรือ” เยียลี่ว์เยี่ยนยื่นมือออกมาแล้วเช็ดหยดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของเยียลี่ว์เยียนออกให้”อันที่จริงองค์ชายสาม…ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดีถูกหรือไม่แม้จะได้ยินมาว่าเขาอ้วนมากและลามกไม่รู้จักพอ ทั้งยังมีชื่อเสียเรื่องชอบทำร้ายอนุภรรยา แต่เยียนเอ๋อร์มิต้องกังวล เจ้ามิได้เข้าไปเป็นอนุ ดังนั้นเขาคงไม่ทำร้ายเจ้าหรอก? ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงองค์ชาย ดังนั้นเยียนเอ๋อร์จะยังมีอะไรไม่พอใจอีกเล่า”
เยียลี่ว์เยียนรู้สึกว่าคำพูดของเยียลี่ว์เยี่ยนทุกคำทุกประโยคได้ตอกลงไปที่หัวใจของนาง ทุกคำที่เขาพูดล้วนทิ่มแทงเข้าไปกลางหัวใจจนเลือดของนางล้นทะลัก
เยียลี่ว์เยี่ยนก็ยังเป็นเยียลี่ว์เยี่ยน นางเคยทำผิดและถูกลงโทษมาก่อน หรืออาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ทำให้เขาไม่พอใจมักจะโดนวิธีจัดการที่เจ็บแสบเหมือนอย่างที่เขาเคยทำ
เยียลี่ว์เยียนหัวเราะเยาะตัวเอง เขาเข้าใจหัวจิตหัวใจของนางเป็นอย่างดีว่าสิ่งที่นางไม่อยากให้เกิดที่สุดคืออะไร คนที่นางเกลียดที่สุดคือผู้ใด ดังนั้นเยียลี่ว์เยี่ยนจึงรู้วิธีการลงโทษนางที่ดีที่สุด สุดท้ายก็สามตามความปรารถนาของเขาแล้ว
“เยียนเอ๋อร์ อย่ามัวแต่ก้มหน้าอยู่เลย เจ้าดูสิ องค์ชายสามผู้นั้นกำลังมองเจ้าอยู่” เยียลี่ว์เยี่ยนเชยคางของเยียลี่ว์เยียนให้หันไปมองทางองค์ชายสามหรือหนานกงหง “ดูสายตาของเจ้าสิ เริ่มผูกพันลึกซึ้งแล้วกระมัง”
ตอนนี้เยียลี่ว์เยียนเพียงรู้สึกคลื่นไส้ เพราะโดนชายร่างอ้วนหน้ามันจ้องมาที่ตนอย่างไร้มารยาทและหน้าไม่อาย นางจึงรู้สึกว่าแทงนางให้ตายนางจะยังมีความสุขเสียกว่า
“ไม่ต้องดูแล้วล่ะ พวกเราควรไปได้แล้ว” เยียลี่ว์เยี่ยนกวักมือเรียกองครักษ์ของตนมาสองคน “งานเลี้ยงจบลงแล้ว พวกเจ้าพาองค์หญิงกลับไปที่เรือนต้อนรับเถิด แต่พวกเจ้าต้องระวังหน่อย องค์หญิงของพวกเรากำลังจะกลายเป็นชายาขององค์ชายสามแห่งต้าชั่วแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าต้องดูแลนางอย่างถ้วนถี่”
“ขอรับ” ใบหน้าขององครักษ์ไม่ปรากฏอารมณ์ใดเพียงประคองเยียลี่ว์เยียนขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว
เยียลี่ว์เยียนเพียงรู้สึกว่าข้อเท้าของนางในตอนนี้เจ็บมากยิ่งขึ้น เพราะไม่รู้ว่าเหล่าองครักษ์มีเจตนาหรือตั้งใจแบกนางขึ้นไม่สูงมากนัก เท้าของนางตอนนี้จึงยังคงเลี่ยพื้นไปเรื่อยๆ ราวกับเดินอยู่
บริเวณข้อเท้าของนางรู้สึกเจ็บปวดสุดแสน
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
เมื่องานเลี้ยงจบลง พวกซูเหลียนอวิ้นจึงเดินตามฝูงชนออกมาจากพระราชวังทว่าระหว่างที่กำลังเดิน นางก็ครุ่นคิดไปพลางๆ ทำไมสุดท้ายผู้ที่เยียลี่ว์เยียนจะแต่งงานด้วยถึงกลายเป็นหนานกงหงไปได้? ไม่ใช่ต้วนเฉินเซวียนหรอกหรือเพราะนางมั่นใจถึงขนาดมาประกาศความเป็นเจ้าของถึงเรือนของตนแล้ว “อย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา” ซูมั่วเยี่ยกวาดตามองคนรอบด้านที่ยังกล้าแอบจ้องมองน้องสาวของตน “อาจจะเปลี่ยนใจกะทันหันกระมังอย่างที่รู้ คนที่เป็นผู้ตัดสินใจ มิใช่เยียลี่ว์เยียนแต่เป็นพี่ชายของนาง นั่นคือเยียลี่ว์เยี่ยนต่างหาก”
“แต่แม้ว่าเยียลี่ว์เยียนจะไม่ต้องแต่งงานกับต้วนเฉินเซวียนแล้ว น้องหญิงก็ต้อง…” น้ำเสียงของซูมั่วเยี่ยคล้ายกังวลขึ้นมา “เจ้าก็ต้อง คิดให้ดี! “
ตอนที่ 178 ขอเป็นพี่ชาย
“ท่านพี่…” ซูเหลียนอวิ้นเหลืออด “ท่านพี่คงอยากให้น้องแต่งงานมากกระมัง วันๆ เอาแต่พูดเรื่องนี้กับน้อง น้องยังไม่อยากจะแต่งงานสักหน่อย น้องแค่อยากจะอยู่กับท่านพี่ ท่านพ่อและท่านแม่ไปตลอดมิได้หรือ”
ซูมั่วเยี่ยเอ่ยว่า “นี่…ก็เกรงว่าจะไม่ได้…” เพราะแม้ว่าซูมั่วเยี่ยจะหวังให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่ผู้เป็นสตรีจะไม่แต่งงานได้อย่างไร
“น้องก็รู้…อย่างไรก็รอให้ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยประโยคนี้ขึ้นพลางทำปากจู๋ เพราะปัญหาของเรื่องนี้คือ…นางหวังว่าหากผลัดวันได้ก็จะผลัดวันออกไปก่อน แม้ว่าวันหน้าจะต้องเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่ตอนนี้…นางไม่อยากหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัวนางอีกแล้ว
เรื่องการแต่งงาน หากไม่แต่งกับคนในดวงใจแล้วจะแต่งไปเพื่ออะไร และจุดสำคัญของปัญหาคือตอนนี้นางยังไม่มีคนในดวงใจเลย!
อืม ไม่มี!
“พี่ซู! ” ซูมั่วเยี่ยคล้ายได้ยินคนตะโกนเรียกเขามาจากทางด้านหลังจึงหันกลับไปด้วยความสงสัย เขาจึงเห็นต้วนเฉินเซวียนกำลังก้าวเท้าเข้ามาหาพวกตนพอดี
คิ้วของซูมั่วเยี่ยขมวดแน่น สีหน้าของเขาตอนนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นว่ารอบตัวยังมีคนอยู่มากจึงไม่สามารถสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหน้าหนีไปอย่างไม่ใส่ใจได้ เพราะเมื่อกี้เขาได้หันไปเห็นแล้ว! ดังนั้นจึงทำได้เพียงเอามือดันซูเหลียนอวิ้นไปไว้ด้านหลังตนแล้วเอ่ยว่า “คุณชายต้วน เมื่อครู่เรียกข้าใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วพี่ซู” แววตาของต้วนเฉินเซวียนยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับไม่รับรู้ถึงท่าทางคุกคามและความระแวดระวังตัวของซูมั่วเยี่ย เขายังคงพูดต่อไปว่า “ดูเหมือนว่าข้าไม่ได้พบพี่ซูมานานแล้ว ช่วงนี้พี่ซูกำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่หรือ บอกเล่าให้น้องชายอย่างข้าฟังบ้างได้หรือไม่”
ด้านหลัง ซูเหลียนอวิ้นยืนมองต้วนเฉินเซวียนที่เข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเองกับพี่ชายของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แน่นอนว่านางไม่ได้ตั้งใจทำหน้าไร้อารมณ์เช่นนี้ เพียงแต่ตอนนี้นาง…กำลังตกตะลึง!
เพราะตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนมิใช่กำลัง…? พยายามเอาใจพี่ชายของนางอยู่หรือ เวลาที่ต้วนเฉินเซวียนพูดกับเกาอู่เตี๋ยนั้น เขาก็มักจะใช้น้ำเสียงเช่นนี้! ดังนั้นท่าทางของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกคุ้นตาอย่างแปลกประหลาด!
“คุณชายต้วน ข้ากับท่านมิได้สนิทกันถึงขั้นนั้น” ซูมั่วเยี่ยเอามือที่วางอยู่บนไหล่ตนลงอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงพาซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปครึ่งก้าว “หากคุณชายมีเรื่องอะไรก็รีบพูดเถิด หากไม่มีเรื่องอะไร ข้ากับน้องสาวคงต้องขอตัวก่อน”
อันที่จริงในใจของซูมั่วเยี่ยรู้สึกนับถือในตัวต้วนเฉินเซวียนมาก! เพราะคนที่ลงมือทำเรื่องเช่นนั้นไปแล้ว แต่กลับยังกล้าทำท่าทางสบายใจเช่นนี้ ซ้ำยังมายิ้มหน้าระรื่นอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้อีก นี่คงจะเป็นเพราะคิดว่าเขาอยู่ในวังหลวงจึงเดาว่าตนไม่กล้าลงมือกับเขากระมัง
“เมื่อครู่ได้ยินพวกท่านกำลังพูดเรื่องแต่งงาน อะไรสักอย่าง? ” ต้วนเฉินเซวียนยังคงทำท่าเอาอกเอาใจ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ “บอกเล่าเรื่องนี้แก่ข้าได้บ้างหรือไม่” พี่เขยคนนี้ยังคงเอาอกเอาใจยากเหมือนเคย!
ต้วนเฉินเซวียนแอบกรอกตาในใจ เพราะหากพูดถึงชาติที่แล้ว สาเหตุที่ซูมั่วเยี่ยไม่ชอบขี้หน้าตนคงเป็นเพราะตนได้แย่งน้องสาวแก้วตาดวงใจของเขาไป จึงทำให้เขามองตนอย่างไม่เห็นหัวตลอดมา ถ้าอย่างนั้นในชาตินี้…เขายังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับมองเขาเป็นศัตรูได้ถึงเพียงนี้แล้วหรือ!
“นี่เป็นเรื่องของครอบครัวข้า” ซูมั่วเยี่ยสูดหายใจลึกเพื่อสกัดอารมณ์พุ่งพล่านของตนที่อยากลงไม้ลงมือ เหตุผลข้อแรกคือที่นี่คือวังหลวง ไม่สามารถต่อยคนมั่วซั่วได้ ส่วนข้อสองนั้นเป็นเพราะน้องสาวของเขายังอยู่ด้านหลัง!
อันที่จริงในใจของซูมั่วเยี่ยนั้นเป็นทหารนิสัยเสียผู้หนึ่ง ดังนั้นสำหรับผู้ที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าคิดแผนการไม่ซื่อกับน้องสาวของเขาอย่างต้วนเฉินเซวียนนั้น ซูมั่วเยี่ยอยากจะต่อยเขาให้สมองกระจายออกเป็นกลีบดอกไม้เสียเดี๋ยวนี้!
ทว่าภาพเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้จะให้อวิ้นเอ๋อร์ของเขาเห็นได้อย่างไรเล่า ดังนั้นซูมั่วเยี่ยจึงได้แต่ดูถูกอยู่ในใจว่า เจ้าก็แค่ได้ประโยชน์จากอวิ้นเอ๋อร์เท่านั้น มิเช่นนั้นข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะเป็นคุณชายหรือว่าเป็นคนโปรดของฮองเฮาอะไรก็ตาม เพราะคนอย่างซูมั่วเยี่ยจะต้องจัดการเขาให้เละจนแม้กระทั่งแม่ของเขาก็จะจำหน้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าอยากมีพี่ชาย” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกระพริบตาปริบๆ
“อะไรนะ” ซูมั่วเยี่ยขมวดคิ้วแล้วมองไปที่ต้วนเฉินเซวียนคราหนึ่งเพราะไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไร
“คือข้ารู้สึกว่า…เวลาที่ข้าเห็นพี่ซู ข้ามักจะรู้สึกเสมือนได้พบญาติตัวเอง! เหมือนได้พบพี่ชายแท้ๆ ที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน! “
ซูมั่วเยี่ย “…? “
นี่ นี่ต้วนเฉินเซวียนสมองมีปัญหาไปแล้วกระมัง? เขากำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่ เวลาเห็นเขาแล้วรู้สึกเหมือนเห็นพี่ชายตัวเอง หากเขาต้องมีน้องชายแบบนี้จริง ไม่นานน้องชายเช่นนี้คงไม่รอดเงื้อมมือเขาอย่างแน่นอน!
“ท่านพี่ น้องกระหายน้ำแล้วเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นดึงเสื้อของซูมั่วเยี่ยจากทางด้านหลัง “น้องอยากกลับเรือนแล้ว” นางรู้ดีว่าช่วงนี้ต้วนเฉินเซวียนเลือดจะไปลมจะมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะเลือดจะไปลมจะมากับพี่ชายของนางด้วย
ถึงขนาดจะมาแย่งพี่ชายกับนางเชียวหรือ! อีกอย่างแม้ว่าวันนี้เยียลี่ว์เยียนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าคำพูดที่นางกล่าวกับตนในวันนั้นคงจะเป็นคำพูดที่นางกุขึ้นมาเอง แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ตนก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
ดังนั้นสายตาที่นางใช้มองต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้จึงแสดงถึงความรังเกียจและเย็นชาหาใดเปรียบ
“ได้ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยกับซูเหลียนอวิ้นด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเองก็ไม่อยากอยู่พูดคุยกับต้วนเฉินเซวียนมากเกินไปนัก อีกอย่างการที่ซูเหลียนอวิ้นเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาเองเช่นนี้ แสดงว่าความอดทนของนางถึงจุดสูงสุดแล้ว
สายตารังเกียจของซูเหลียนอวิ้นทิ่มแทงใจของต้วนเฉินเซวียนจนห่อเ**่ยว เพราะในความทรงจำของเขาช่วงนี้คล้ายว่าเขายังไม่ทันทำอะไรเลย ดังนั้นทำไม…ทำไมซูเหลียนอวิ้นต้องมาตนแบบนี้ ตอนนั้นที่ตนจูบซูเหลียนอวิ้น นางยังไม่มองตนแบบนี้เลย
“ซูเหลียนอวิ้น!” ต้วนเฉินเซวียนฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงสาวเท้าเข้าไปคว้าข้อมือของซูเหลียนอวิ้น “เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับข้าหน่อยหรือ” เอาล่ะ เขายอมรับเองก็ได้ว่าความจริงแล้วเขาต่างหากที่ไม่มีอะไรจะพูด
เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา กำแพงที่เรือนของซูเหลียนอวิ้นคล้ายทำจากเหล็กและทองแดงอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ต่อให้อยากบุกเข้าไปแค่ไหนก็คงแอบเข้าไปไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะมีโอกาสเข้าถึงตัวซูเหลียนอวิ้นและได้พูดกับนางต่อหน้าสองสามประโยคเช่นนี้ แต่สายตาของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
“ปล่อยข้า!” เมื่อซูเหลียนอวิ้นถูกคว้าข้อมือไว้ก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา “ท่านรีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
“น้องสาวของข้าบอกให้เจ้าปล่อยมือ เจ้าไม่ได้ยินรึ” ในใจของซูมั่วเยี่ยร้อนรุ่ม ช่วงเวลาที่เขาหมุนตัวเพียงชั่วขณะเดียว เจ้าคนสารเลวนี่ถึงกับกล้าเข้าประชิดน้องสาวเขาเลยหรือ! แถมยังกล้าคว้าตัวน้องหญิงด้วย?
“อย่าคิดว่าเจ้าอยู่ในวังหลวงแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ!” ซูมั่วเยี่ยชูกำปั้นขึ้น “รีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”
ซูมั่วเยี่ยก็ไม่ได้ใสซื่อจนถึงขั้นจะทำตามแผนที่พูดจริงๆ เหตุผลหลักเพราะน้องสาวของเขายังคงถูกคว้ามือเอาไว้จนมีสีหน้าเจ็บปวด เขาเกรงว่าหากบุ่มบ่ามเข้าไปโดยที่ต้วนเฉินเซวียนยังไม่ปล่อยมือจะทำให้น้องสาวของตนบาดเจ็บ แขนขาของน้องสาวเขาเล็กอ้อนแอ้น หากออกแรงมากเกินไปแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าแขนขาจะหลุดออกมาเสียก่อน!
ตอนที่ 179 อภัย
“ท่านจะทำอะไรกันแน่! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ตอนนี้ใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด เพราะแม้ว่านางจะรู้มาตลอดว่าต้วนเฉินเซวียนแรงเยอะ แต่…นี่เขาออกแรงมากเกินไปหน่อยหรือไม่
ตอนนี้นางรู้สึกราวกับว่าข้อมือของนาง โดนบีบจนแทบจะหักออกเป็นท่อนแล้ว!
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า” ต้วนเฉินเซวียนเบามือลง แต่ยังคงไม่ปล่อยมือออกจากซูเหลียนอวิ้น “ข้าอยากคุยกับเจ้าตามลำพังสักสองสามประโยค” คำพูดที่เขาเตรียมจะพูดต่อจากนี้ เขาได้เตรียมเอาไว้นานแล้ว แต่เป็นเพราะหวงหน้าหวงตาของตัวเองจึงไม่สามารถสารภาพออกไปตามตรงได้
ทว่าตอนนี้…ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่ามีบางคำพูดหากไม่พูดออกไปคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
คนที่ซูเหลียนอวิ้นวางแผนจะแต่งงานด้วยไม่ใช่เขา การตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ทำเอาเขาแทบคลั่ง! เพราะเมื่อชาติก่อนทั้งสองรู้จักกันมานานเสียขนาดนั้น แต่เขากลับเข้าใจในตัวซูเหลียนอวิ้นน้อยมาก
ดังนั้นเขาจึงรู้อยู่ลึกๆ ในใจว่าหากเขายังปล่อยซูเหลียนอวิ้นต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าซูเหลียนอวิ้นคงจะไปตกหลุมรักผู้อื่นเข้าจริงๆ เพราะตัวซูเหลียนอวิ้นเองนั้นโดดเด่นเปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่ามาโดยตลอด คล้ายมีแสงเปล่งประกายระยับออกมาจากตัวนางตลอด
คนที่หลงใหลในตัวนางนับวันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เคยลดลง ดังนั้นเมื่อต้วนเฉินเซวียนตระหนักได้ว่าอาจมีศัตรูทางหัวใจที่เขาไม่รู้จำนวนมากแอบอยู่มุมใดมุมหนึ่งและคอยจ้องจะลงมือจีบซูเหลียนอวิ้นอยู่ เขาจึงคิดว่าจะต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่าง
หากบอกว่าเมื่อชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นเปรียบเสมือนอัญมณีที่ไม่ผ่านการเจียระไนแล้ว เช่นนั้นซูเหลียนอวิ้นในชาตินี้ก็เปรียบเสมือนอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนจากช่างฝีมือชั้นยอดอย่างประณีตเสียจนกลายเป็นอัญมณีที่ประเมินค่าไม่ได้เสียแล้ว ใครก็ตามที่แม้หันไปมองเพียงคราเดียวก็จะไม่อาจละสายตาออกไปได้
ซูเหลียนอวิ้นลูบข้อมือของตัวเองบริเวณที่ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ และกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อค้อนต้วนเฉินเซวียน ทว่าเมื่อเห็นสายตาจริงจังอย่างมากของต้วนเฉินเซวียนแล้ว…ซูเหลียนอวิ้นพลันรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกเป็นลูกหนังที่เ**่ยวฟี้บไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ดูเหมือนว่าต้วนเฉินเซวียนมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่อยากจะพูดกับเรา? เพราะสายตาเช่นนี้…นางไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย
“ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าแล้วเอ่ยอู้อี้ออกมา “น้องคิดว่าน้องมีเรื่องต้องคุยกับเขาเจ้าค่ะ” คุยว่าต้วนเฉินเซวียนต้องการจะทำอะไรกันแน่ การที่เขามาปรากฏตัวเช่นนี้และสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตนางทุกครั้ง สรุปแล้วเขาวางแผนจะทำอะไรกัน
“อวิ้นเอ๋อร!” ซูมั่วเยี่ยจ้องนางด้วยอารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ขนาดเมื่อครู่นี้เขาอยู่ต่อหน้าพี่ เขายังกล้า… หากพี่ไม่อยู่ด้วยแล้วเขาทำอะไรเจ้าขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า”
“พี่ซูวางใจเถิด” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มด้วยใบหน้าซีดขาว แล้วชี้ไปยังศาลาหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลหลังหนึ่ง “พวกเราจะไปนั่งคุยกันที่ศาลาหลังเล็กตรงนั้น แน่นอนว่าอยู่ในสายตาของพี่ซู อย่างนี้ถือว่าได้หรือไม่”
“ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ”
“ตกลง” ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อซูมั่วเยี่ยโดนซูเหลียนอวิ้นและต้วนเฉินเซวียนจ้องมองเช่นนี้จึงยอมเอ่ยปากออกมา “แต่พี่ให้คุยกันเพียงครู่เดียวเท่านั้น! อีกเรื่องหนึ่งคือหากเจ้ากล้าลงมือทำอะไรก็ตามกับน้องสาวข้า เจ้ารอข้าสั่งสอนเจ้าได้เลย!” สายตาของซูมั่วเยี่ยจ้องต้วนเฉินเซวียนอย่างอาฆาตแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง
“พี่ซูอย่าห่วงเลย คุยกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ซูเหลียนอวิ้น พวกเราไปกันเถิด”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วก้าวเท้าตามต้วนเฉินเซวียนไปเงียบๆ แต่ในหัวของนางยังคงคิดซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดว่าเรื่องอะไรกันที่ทำให้ต้วนเฉินเซวียนมีท่าทีจริงจังขนาดนี้
มันจะเป็นเรื่องอะไรได้
“ซูเหลียนอวิ้น” ต้วนเฉินเซวียนหยุดฝีเท้าลงแล้วค่อยๆ หันตัวกลับมา “ข้าขอโทษ”
ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ถึงแม้ว่าคำขอโทษเป็นหมื่นคำไม่อาจชดเชยความเจ็บปวดที่เจ้าได้รับในตอนนั้นแม้เพียงหนึ่งเสี้ยวในหมื่นก็ตาม แต่อย่างไรเขาก็คงทำได้เพียง…ขอโทษจากใจ
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายคือซูเหลียนอวิ้นไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด นางเพียงกระพริบตาปริบๆ สองสามทีก่อนจะเอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า “ข้ารู้” รู้ว่าท่านขอโทษข้า แถมยังเป็นการขอโทษในหลายๆ เรื่องอีกด้วย
“เอ่อ…”
“การขอโทษของท่านในครั้งนี้ ต้องการจะขอโทษข้าในเรื่องอะไรกัน”
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนอ้าปากค้าง เขาเพียงรู้สึกว่าคอของเขาแห้งผาด คำพูดเหล่านั้นที่เขาเตรียมเอาไว้อย่างดี ตอนนี้เมื่อเห็นดวงตาคู่นี้ของซูเหลียนอวิ้นกลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
“เจ้าบอกมาก่อนได้หรือไม่ว่าคำกล่าวขอโทษของข้านี้จะได้รับการอภัยจากเจ้าหรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนหลบตาพลางเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
“ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นเรื่องอะไร” เรื่องราวเยอะเพียงนั้น บางครั้งคำขอโทษเป็นพันๆ คำก็อาจจะยังเล็กน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ เล็กน้อยประหนึ่งเป็นเพียงแค่คำขอโทษประโยคเดียวเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่สามารถที่จะให้อภัยต้วนเฉินเซวียนได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเขา
“อีกอย่างท่านเป็นฝ่ายขอโทษข้าไม่ใช่หรือ ท่านก็ต้องแสดงความจริงใจออกมาหน่อยสิ ท่านต้องบอกข้าก่อนว่าจะขอโทษข้าด้วยเรื่องอะไร!” ซูเหลียนอวิ้นเสียงแข็ง เพราะนางรู้สึกว่า…จากท่าทางเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนแล้วเรื่องๆ นี้จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน!
ผ่านไปพักใหญ่กว่าต้วนเฉินเซวียนจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยออกมาทีละคำช้าๆ ว่า “ซูเหลียนอวิ้น เรื่องต่างๆ เมื่อชาติก่อน ข้าล้วนทำผิดต่อเจ้า ข้าขอโทษเจ้า ดังนั้น…ด้วยเรื่องๆ นี้ เจ้าอภัยให้ข้าได้หรือไม่” อภัยให้ข้าเถิด จากนั้นให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ต้วนเฉินเซวียนอธิษฐานในใจ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นตอนฟังจบ สายตาของนางที่ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ต้วนเฉินเซวียนจึงเริ่มเข้าใจขึ้นมาตอนนั้นว่า คำว่าสิ้นหวังมันเป็นเช่นนี้นี่เอง…
“ไม่ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงแข็ง
ลมเย็นๆ พัดผ่านหลังสิ้นเสียงของนาง ลมพัดใบไม้ผลิวไหวหอบเอาเสียงของซูเหลียนอวิ้นที่คล้ายอยู่ในดินแดนที่ห่างออกไปแสนไกลกลับมา นางเอ่ยว่า “ต้วนเฉินเซวียน ท่านรู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่
“แต่ท่านรู้แล้วจะอย่างไรเล่า ในเมื่อซูเหลียนอวิ้นในชาติก่อนได้ตายไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นที่รักท่านจนลืมทุกสิ่งได้ตายไปแล้ว ดังนั้นที่ท่านถามว่าจะให้อภัยท่านได้หรือไม่นั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตอบได้
หากถามถึงการให้อภัย นี่ถือเป็นสิ่งที่นางไม่สามารถให้คำตอบได้ เขาควรจะไปถามซูเหลียนอวิ้นที่ถูกฝ่ามือของท่านโจมตีจนตายไปแล้วมากกว่าว่านางจะอภัยให้ท่านได้หรือไม่!
นั่นเป็นเพราะว่าคำตอบของนางในตอนนี้ แน่นอนว่านางไม่ให้อภัย
ไม่ หากจะพูดให้ถูก…เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับนางด้วย? เพราะที่ผ่านมานางเป็นคนประเภทที่สามารถปล่อยวางเรื่องราวได้ตั้งมากมาย ดังนั้นเรื่องราวความแค้นประเภทนี้ให้ลมพัดผ่านไปก็คงไม่เป็นไร
ไร้ความรู้สึก ไร้ความเกลียดชัง ไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนหลับตาทั้งสองข้างของเขาลง “ข้า ข้าหวังว่าจะได้โอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง ถือว่าให้ข้าได้ชดใช้ความผิดก็ได้”
“ไม่ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ย “โอกาสเป็นของที่ล้ำค่า เพราะเป็นของที่ผ่านมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ อีกอย่างนะต้วนเฉินเซวียน ข้ายืนยันว่าข้าพูดจริงๆ”
ซูเหลียนอวิ้เผยรอยยิ้มที่สุกใสเป็นประกาย เวลานี้แสงอาทิตย์ส่องกระทบบนใบหน้าของนาง ยิ่งทำให้ใบหน้าของสุกสว่างจนมิอาจจ้องมองได้โดยตรง “เรื่องราวในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว พวกเรามองไปข้างหน้ากันเถิด ข้าไม่เกลียดท่านหรอก”
แต่ไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับท่านอีกต่อไป! เพราะหากไม่มีท่านก็คงไม่มีซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้กระมัง
ตอนที่ 180 ไฟแรงลวกหมู
“ซูเหลียนอวิ้น” เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ท่าทางของต้วนเฉินเซวียนก็กลับไปมีท่าทีทีเล่นทีจริงเหมือนเช่นเคย “ซูเหลียนอวิ้น หากข้าบอกว่า ข้าชอบเจ้าเข้าแล้ว ไม่สิ หากข้าบอกว่าข้ารักเจ้า? เจ้าจะคิดอย่างไร”
“ฮะ?” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอแล้วใช้สายตามองใบหน้าของต้วนเฉินเซวียนไปทีละกระเบียดนิ้ว นางพยายามที่จะสำรวจว่าคำพูดของเขานั้นเป็นความจริงหรือไม่ “ท่านว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่า ซูเหลียนอวิ้น ข้าว่าข้าชอบเจ้าเข้าแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร” เจ้าเอาหัวใจของข้าไปแล้ว แต่กลับไม่เอาตัวข้าไปด้วย จะให้ข้าทำอย่างไร
ซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงระเบิดหัวเราะออกมา มือของนางกุมอยู่ที่ท้อง เสียงหัวเราะของนางสะท้อนก้องดังไปทั่วทั้งในและนอกศาลา เสียงหัวเราะอันดังนี้ทำให้สัตว์น้อยใหญ่รอบๆ ตกใจจนหนีกระเจิงไปหมด
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ต้วนเฉินเซวียน ท่านว่าอะไรนะ ท่านชอบข้า?” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะจนพอ มือของนางยังกุมท้องเอาไว้แล้วค่อยๆ ยืดตัวขึ้นช้าๆ “ข้าฟังผิดไปหรือไม่ คนอย่างคุณชายต้วนมีวันจะบอกว่าชอบใครด้วยหรือ”
นี่เป็นเรื่องน่าตลกที่สุดแล้วเท่าที่นางเคยฟังมา ซูเหลียนอวิ้นคิดในใจ เรื่องนี้ทำเอานางขำแทบตายแล้ว! เพราะตอนนี้นางหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาหมด
เมื่อชาติก่อนนางทำเพื่อต้วนเฉินเซวียนไปตั้งเท่าไหร่ แต่จนแล้วจนเล่านางได้อะไรกลับมาบ้าง ขอเพียงแค่การเหลียวมองของท่านสักครา รอยยิ้มเพียงสักครั้งหรือบางครั้งก็หวังเพียงคำพูดแค่คำเดียวก็ได้! ทั้งหมดล้วนทำให้นางชื่นชอบเขามานานขนาดนี้ได้
จนกระทั่งถึงวาระที่นางตาย นางก็ยังไม่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น
‘ซูเหลียนอวิ้น ข้าว่าข้าชอบเจ้าเข้าแล้ว’
ซูเหลียนอวิ้นเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา “ต้วนเฉินเซวียน ท่านคิดว่าการที่ท่านกล่าวประโยคนี้ออกมาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
“ข้าไม่ได้ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง” ต้วนเฉินเซวียนส่ายหน้า “ข้าแค่อยากพูดประโยคนี้เท่านั้น เมื่อก่อนข้าเอาแต่ตำหนิเจ้ามาตลอด ดังนั้นตอนนี้เมื่อข้าเอ่ยจบแล้วและพูดออกมาแล้ว เจ้าจะยอม…”
“ท่านพูดช้าเกินไปแล้ว ต้วนเฉินเซวียน” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม “คำพูดนี้ของท่าน เอ่ยช้าเกินไปแล้ว” ช้าไปหนึ่งชาติเต็มๆ ช้าไปหนึ่งชาติของชีวิตนาง!
“ต้วนเฉินเซียน คำพูดของท่านข้าได้ยินหมดแล้ว คำตอบของข้า ข้าก็ได้ให้ท่านไปแล้ว ดังนั้นท่านยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” หากไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็รีบหายตัวไปให้พ้นสายตานางเถอะ! นางเองก็…คุมตัวเองไม่ไหวแล้ว
“ไม่มีแล้ว คำตอบของเจ้า ข้าก็รู้แล้วเช่นกัน”
“อือ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าตอบและเตรียมจะจากไป
ต้วนเฉินเซวียนรู้แผนการของนางจึงก้าวเท้าตามไปติดๆ แล้วขวางเอาไว้ “แต่เจ้ายังไม่ได้ฟังคำตอบของข้า”
“เช่นนั้นท่านก็รีบพูดมาเถอะ” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปครึ่งก้าว พยายามรักษาระยะห่างเงียบๆ เพราะนางรู้สึกถึงล้มหายใจของต้วนเฉินเซวียนที่พุ่งเข้าใส่นาง เมื่อนางได้กลิ่นมัน ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าอภัยให้ข้าแล้ว เช่นนั้นทุกอย่างก็คงจะง่ายขึ้น”
“แล้วอย่างไร?”
“ดังนั้นเราก็สามารถพลิกเริ่มต้นเรื่องราวบทใหม่ได้แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนบิดขี้เกียจแล้วเนียนยื่นมือไปลูบผมซูเหลียนอวิ้นพร้อมเขยิบเข้าไปใกล้ๆ ใบหูของซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยแววตาขี้เล่น “ซูเหลียนอวิ้น เช่นนั้นก็สลับให้ข้าเป็นฝ่ายตามจีบเจ้าในชาตินี้ก็แล้วกัน ดีหรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้นเอี้ยวตัวมองแล้วแอบกลืนน้ำลายเงียบๆ คนที่ปากมากมาโดยตลอดอย่างนาง เวลาเช่นนี้กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เพราะหากบอกว่านางไม่รู้สึกอะไรในใจเลยแม้แต่น้อยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะนางเองก็ไม่ใช่เทพเซียนเช่นกัน!
แต่….ใจของนางเต้นระรัว?
ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าในใจ เรื่องโง่ๆ เช่นนั้น นางทำเพียงครั้งเดียวก็พอแล้ว! ล้มเหลวเพียงครั้งเดียวก็มากพอแล้ว! หากยังยอมล้มเหลวและยอมให้เกิดขึ้นอีก? คงต้องบอกว่าสมองและหัวใจของนางผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว!
“อ้อ!” ซูเหลียนอวิ้นยกมือลูบแก้มที่ร้อนจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำของตน “ข้าเชื่อท่าน”
เพราะต้วนเฉินเซวียนคือผู้ใด นางจะไม่รู้จักเขาเชียวหรือ คำพูดของเขาฟังๆ ไปไม่ต้องใส่ใจมากนักก็ได้ อีกอย่างเรื่องที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาแย่ลงเช่นนี้…เหอะๆ เขาจะทำรึ นางจะยอมเชื่อเขาก็ได้!
“ตอนนี้หมดเรื่องแล้ว เจ้าไปได้แล้ว!” ต้วนเฉินเซวียนยืดตัวขึ้นแล้วลูบผมของซูเหลียนอวิ้นที่เขาทำยุ่งเมื่อครู่ให้เข้าที่เข้าทาง “เพราะเห็นท่าพี่ซูแล้ว…คงใกล้จะทนไม่ไหวเต็มที! หากเจ้ายังไม่ยอมไป อีกเดี๋ยวพี่ซูคงเข้ามาตัดคอข้าเป็นแน่”
ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก! ซูเหลียนอวิ้นบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ในใจของนางรู้สึกอย่างไร นางมั่นใจเพียงเรื่องเดียวว่า เมื่อครู่ต้วนเฉินเซวียนต้องหลอกนางอย่างแน่นอน!
“ท่านพี่!”
“อวิ้นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงคุยกับเขานานนัก!” เขาร้อนใจแทบตายแล้ว! คุยอยู่ตั้งนานไม่ยอมออกมาเสียที เขาร้อนใจจนแทบจะบุกเข้าไปอยู่แล้ว!
“ท่านพี่ ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเกาะแขนซูมั่วเยี่ยไว้พลางเอ่ยขึ้น “พวกเรากลับเรือนกันเถิด” นางอยากจะกลับบ้านไปนอนสักตื่นเสียเดี๋ยวนี้ เพราะแม้ว่าเมื่อครู่นี้นางจะดูสงบนิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว…นางเพียงพยายามฝืนกลั้นเอาไว้เท่านั้น!
“อืม พวกเรากลับเรือนกันเถิด” เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นว่าไม่ว่าจะถามอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็ไม่ยอมบอกอะไร เขาจึงทำได้เพียงรู้สึกสงสัยเท่านั้น
คนทุกคนล้วนมีความลับด้วยกันทั้งนั้น ซูเหลียนอวิ้นเองก็เช่นกัน ดังนั้นหากซูมั่วเยี่ยพยายามจะบีบคั้นเอาความทุกเรื่องที่เป็นความลับของซูเหลียนอวิ้นล่ะก็ ซูมั่วเยี่ยเกรงว่าเขาคงอึดอัดใจตายไปนานแล้ว
มนุษย์ทุกคนต้องรู้จักความพอเพียง ตอนนี้ได้เท่านี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว ซูมั่วเยี่ยพยายามปลอบใจตัวเอง อย่างน้อยๆ ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นก็ปฏิบัติกับเขาอย่างสนิทสนมมากพอแล้วแถมยังชอบออดอ้อนเขาอยู่บ่อยๆ ด้วย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ซูมั่วเยี่ยก็ก้มหน้าลงเพื่อจะได้มองใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ทว่าเมื่อมองจากมุมสูงลงไปเช่นนี้…ซูมั่วเยี่ยก็พบว่าขอบตาของน้องสาวตนกลายเป็นสีแดงเสียแล้ว!
“อวิ้นเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้เจ้าร้องไห้หรือ!” เจ้าต้วนเฉินเซวียนบังอาจรังแกน้องสาวของเขาเชียวรึ ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยกำมือแน่นจนเสียงกระดูกลั่น
“เปล่าเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นขยี้ตา “เมื่อกี้มีลมพัดมานี่เจ้าคะ ลมแรงมากน้องเลยต้องหรี่ตาเจ้าค่ะ”
ซูมั่วเยี่ย “…”
เฮ้อ! ช่างเถิด…
“ถ้าอย่างนั้นตอนเราเดินทางกลับ น้องหญิงอยากจะแวะไปที่ร้านอัญมณีหน่อยหรือไม่ เผื่ออวิ้นเอ๋อร์จะมีของที่เข้าตา? “
“ดีเจ้าค่ะ! ท่านพี่จะเป็นคนจ่ายตังค์ใช่หรือไม่” เมื่อได้ยินว่าจะได้เครื่องประดับชิ้นใหม่ ซูเหลียนอวิ้นพลันดีใจขึ้นมา สุดท้ายรอยยิ้มจากใจที่หายไปนานก็กลับมาปรากฎบนใบหน้านางอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง” ซูมั่วเยี่ยยิ้ม “พี่ต้องออกตังค์ให้เจ้าแน่ วันนี้อวิ้นเอ๋อร์เลือกได้ตามใจเลย”
“ดีๆๆ เจ้าค่ะ!” ครั้งนี้คงต้องเชือดโหดๆ เสียหน่อยกระมัง เพราะพี่ชายของนางเป็นแกะตัวอ้วนและก็ไม่ใช่ว่าจะยอมให้นางเชือดได้ง่ายๆ เช่นนี้ด้วย? อย่างน้อยวันนี้ก็มีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นแล้ว!
ต้วนเฉินเซวียนหรี่ตามองไปยังซูเหลียนอวิ้นและพี่ชายที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ และเผลอตัวเลียริมฝีปากตัวเอง
เขาเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นที่ใจเต้นระล่ำในตอนนั้นอย่างชัดเจน ดังนั้น…ตอนนี้เขาจึงไม่สามารถใช้วิธีใช้ไฟอ่อนลวกหมู[1]ได้อย่างเดิมแล้วกระมัง เขารอไม่ไหวแล้ว คงต้องใช้ไฟแรงกระตุ้นหน่อยเสียแล้ว แต่จะเริ่มต้นจากผู้ใดก่อนดี?
——
[1] ใช้ไฟอ่อนค่อยๆ ต้มหมู ก็คือการดำเนินงานอย่างใจเย็นเชื่องช้า
ตอนที่ 181 ดอกสาลี่
“หลีมู่…” ซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้นุ่มด้วยกำลังครุ่นคิดพิจารณาบางอย่างอยู่ลำพัง “ข้าอยากนอนสักตื่นหนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดจะมาพบข้า ข้าก็ไม่ขอพบทั้งนั้น” เพราะวันนี้ถือว่านางดึงดูดความสนใจของผู้อื่นไปมากพอแล้ว ดังนั้นวันนี้ไม่ว่าจะเป็นลี่หยวนตี้ที่อาจจะมาพบนางด้วยเหตุผลที่นางพอจะรู้อยู่แล้วหรือว่าจะเป็นบิดาของนางเองที่จะมาเยี่ยมนาง นางคิดว่าคงมีจำนวนไม่น้อยแน่ๆ ทว่าให้อภัยนางด้วย ตอนนี้นาง…อยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง
“เจ้าค่ะ คุณหนู” หลีมู่เดินไปข้างหน้า “คุณหนูง่วงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ ถ้าง่วงแล้วคุณหนูอย่านอนบนเก้าอี้อยู่เลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะโดนลมโกรกเอา” เนื่องด้วยเก้าอี้นิ่มตัวนี้ตั้งอยู่ชิดหน้าต่าง
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ “ข้าง่วงนอนแล้ว” ตอนนี้นางทั้งเหนื่อยและง่วง แต่แน่นอนว่าสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เหนื่อยมาจากปัญหาใจ
เพราะคำพูดของต้วนเฉินเซวียนที่พูดกับนางในศาลาตอนนั้น เมื่อนางตกตะกอนทางความคิดได้แล้ว นางไม่เพียงไม่จมดิ่งอีกต่อไป แต่ความคิดของนางกลับเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ! ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าไม่ว่านางจะทำอย่างไร เสียงวนเวียนที่สะท้อนก้องอยู่ในหูและความคิดของนางนั้น มีแค่ต้วนเฉินเซวียนกับต้วนเฉินเซวียน!
นางใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว!
หลีมู่สงบปากสงบคำไม่ยอมเอ่ยคำพูดใดๆ พลางถอดเสื้อผ้าและรองเท้าให้ซูเหลียนอวิ้นอย่างใส่ใจ นางคิดว่านางเข้าใจดีว่าตอนนี้คุณหนูคงจะละเอียดอ่อนกับเสียงจุกจิกรอบกายแม้เพียงน้อยนิดอย่างมาก! เฮ้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นคุณชายต้วนพูดอะไรกับคุณหนูบ้าง…
ตั้งแต่วันนั้นคุณหนูของนางก็เพิ่งจะดีขึ้นมาได้เพียงไม่กี่วันเองกระมัง แต่เมื่อเห็นรูปการณ์เช่นนี้ คงมิต้องจะ…
“คุณหนู” ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาครู่ใหญ่และกำลังจะหลับตาลงนั้นเอง
หลีมู่ก็ทนไม่ไหวและเอ่ยปากออกมาว่า “คุณหนูเจ้าคะ เครื่องประดับพวกนี้ล่ะเจ้าคะ คุณหนูจะให้บ่าวเอาไปเก็บให้หรือไม่เจ้าคะ หรือว่าจะวางทิ้งไว้ตรงโต๊ะเครื่องแป้งดีเจ้าคะ” ตอนนี้กล่องใส่เครื่องสำอางของซูเหลียนอวิ้นเต็มปริ่มแล้ว! เกรงว่าคงไม่สามารถใส่ของอะไรลงไปได้อีก
นั่นเป็นเพราะซูปั๋วชวนเพิ่งจะปราบกบฏตระกูลหยางลงได้ ดังนั้นของที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้ด้วยความโปรดปราณจึงมีไม่น้อย ส่งผลให้เครื่องประดับของซูเหลียนอวิ้นกองอยู่เต็มห้องเก็บของของนางจนแทบไม่มีที่ไว้แล้ว!
แต่ผู้ใดเล่าจะรังเกียจของพวกนี้? แน่นอนว่าต้องเยอะเอาไว้ก่อน ยิ่งเยอะมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ซูเหลียนอวิ้นนอนอยู่บนเตียงพลางยกมือซ้ายขึ้นกุมศีรษะตัวเองเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะเลือกที่ข้าชอบไว้สักสองสามอันก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือเจ้าช่วยเอาไปเก็บที่ห้องเก็บของหน่อย” ของที่ซูมั่วเยี่ยพานางไปซื้อในวันนี้โดยส่วนใหญ่ก็ซื้อเพื่อต้องการระบายอารมณ์ทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางไปซื้อของเหล่านั้น เมื่อนางเห็นอะไรที่เข้าตานางก็จะซื้อ แต่พอเวลาผ่านไปแล้วเล่า? นางกลับไม่ชอบของพวกนั้นเอามากๆ และเสียใจที่ทำไมตอนนั้นถึงซื้อมาอย่างไม่คิด
“อ่อ เจ้าค่ะ!” หลีมู่พยักหน้าและแอบถอนใจ เมื่อคุณหนูแสดงความสนใจออกมาบ้างก็ถือว่าเงินพวกนั้นที่ใช้ซื้อของไปไม่ศูนย์เปล่าแล้ว!
เนื่องจากเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าซูเหลียนอวิ้นไม่ได้มีความสนใจต่อสิ่งของที่ถูกพระราชทานมาเป็นรางวัลเหล่านั้นเลย
ดังนั้นตอนนี้เมื่อนางบอกว่าจะลองเลือกดูว่ามีอันไหนที่นางถูกใจไว้ สำหรับหลีมู่แล้วนี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากแล้ว
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือขาวๆ ของนางรับกล่องมาจากหลีมู่แล้วเบะปากอย่างไร้อารมณ์ เพราะพอนางกลับมาดูตอนนี้ ของมากกว่าครึ่งกลายเป็นของที่นางไม่ต้องตาเสียแล้ว!
เฮ้อ จะทำอย่างไรดี ตอนนี้จู่ๆ เริ่มเสียดายเงินของท่านพี่ที่ใช้ไปวันนั้นเสียแล้ว
นางสุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้ว! ซื้อมาตั้งมากมายขนาดนั้นผลสุดท้ายพอกลับมาถึงเรือนแล้วลองพิจารณาดูดีๆ อีกครั้งหนึ่งกลับไม่มีอันไหนถูกใจนางเสียแล้ว! คงทำได้เพียงวางมันทิ้งไว้ในห้องเก็บของแล้วปล่อยให้มันสูญสลายไปเอง…แย่จริงๆ!
“ช่างเถิด ข้า…” หลังจากซูเหลียนอวิ้นจับๆ ดูอยู่สองสามอันก็ไม่พบว่ามีอันไหนเลยที่นางชอบ ตอนนั้นนางจึงหมดอารมณ์ “เอาไปเก็บทั้งหมดนี่เลยแล้วกัน ไม่มีอันไหนที่ข้าชอบเลย”
“คุณหนูไม่ลองดูอีกทีหรือเจ้าคะ ข้างในยังมีอีกตั้งหลายอัน คุณหนูยังล้วงลงไปไม่ถึงเลย!” หลีมู่ร้อนใจจนเริ่มขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็ไม่สนใจได้อย่างไร หากปล่อยให้ซูเหลียนอวิ้นอยู่ในห้องคนเดียวเฉยๆ เช่นนี้ คุณหนูจะต้องคิดเพ้อเจ้ออีกแน่นอน!
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่มีอันไหนที่ข้าชอบเลย! รีบเอาออกไปได้แล้ว!” ซูเหลียอวิ้นมองไปที่พานนั้นอย่างไม่สบอารมณ์เพราะยิ่งนางมองเห็นมันบ่อยเท่าไหร่ นั่นก็เท่ากับเป็นการเตือนตัวนางเองถึงความฟุ่มเฟือยของตนในครั้งนี้มากขึ้นเท่านั้น!
“อ้อ…” หลีมู่ตอบรับ ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
“เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนๆ!” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้น “ให้ข้าดูอีกรอบหนึ่งดีกว่า!” เมื่อครู่ตอนที่นางล้มตัวลงนอนแล้วเหลือบมามองนั้น นางรู้สึกเหมือนตัวเองเห็น…ของชิ้นหนึ่งที่คุ้นตา?
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือไปสัมผัสปิ่นด้านล่างสุดที่โผล่พ้นขึ้นมาให้เห็นเพียงลายดอกไม้แล้วออกแรงดึงขึ้นมา
“หลีมู่ เจ้าดูอันนี้สิ…คุ้นตาบ้างหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นแกว่งปิ่นในมือไปมา จากนั้นจึงส่งให้หลีมู่ “ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นตาของสิ่งนี้นัก เหมือนว่าข้าเคยเห็นมันที่ใดมาก่อนและมีความทรงจำที่ลึกซึ้งกับมันด้วย! แต่ตอนนี้ข้านึกไม่ออกแล้ว”
หลีมู่รับมาแล้วพิจารณาดูปิ่นอันนี้อย่างละเอียด หากพูดตามตรงแล้ว…นางกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยกับปิ่นอันนี้เลย!
ทว่าในเมื่อคุณหนูของนางเอ่ยเช่นนี้ นั่นแสดงว่าปิ่นอันนี้ต้องมีสิ่งใดแตกต่างจากของทั่วๆ ไปแน่นอน? แต่…ไม่ว่านางจะพลิกดูปิ่นอันนี้ซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่ด้านบนลงล่างกี่รอบก็ตาม ปิ่นอันนี้ก็ยังคงเป็นปิ่นธรรมดาที่ปักดอกสาลี่อยู่ด้านบนในสายตาของนางเท่านั้น
“เอ่อ…” หลังจากที่หลีมู่เงียบไปพักใหญ่ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าด้านบนมี…ดอกสาลี่ และคุณหนูก็ชอบดอกสาลี่มาก…ดังนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นตากระมังเจ้าคะ” หลีมู่พยายามคิดอย่างเต็มที่แล้ว แต่จะอย่างไรผลสุดท้ายที่นางคิดได้ก็ยังไม่ได้เรื่อง…เพราะว่าเหตุผลนี้ถือว่าตื้นเกินไปนัก
“ใช่หรือ” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว “ก็อาจจะเป็นไปได้…” แต่กล่าวตามตรงแล้ว นางเองก็ไม่ได้ชอบดอกสาลี่เท่าไหร่นัก อาจกล่าวได้ว่า นางไม่ได้มีดอกไม้อะไรที่นางชอบเป็นพิเศษเลย!
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ดอกไม้อย่างดอกสาลี่ก็อยู่เป็นเพื่อนนางมาแล้วเกือบสิบปี เพราะต้นดอกสาลี่ที่อยู่ในลานบ้านของนางก็มีอายุมากว่าสิบปีแล้ว! ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรของสิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นของที่ค่อนข้างมีความหมายสำหรับนาง
สิบปีหรือ?
ในตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เมื่อสิบปีก่อน…ทำไมจู่ๆ นางถึงตัดสินใจปลูกต้นดอกสาลี่?
“คุณหนูเจ้าคะ?” เมื่อหลีมู่เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของซูเหลียนอวิ้นราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความทรงจำบางอย่าง นางจึงยื่นมือไปสะกิดซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูใหญ่ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ คิดเรื่องอะไรอยู่หรือ”
“อ้อ…” ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบหว่างคิ้วพยายามให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลายลง “ก็ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่จู่ๆ …ช่างเถิด อย่าไปคิดอะไรมากก็พอ”
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเก่าเมื่อสิบปีที่แล้ว อีกอย่างตอนนี้นางก็มีเรื่องให้คิดมากพออยู่แล้ว นางยังไม่อยากหาเรื่องกลัดกลุ้มใจให้ตัวเองเพิ่มอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น