เล่ห์รักกลกาล 171-177

ตอนที่ 171 เยี่ยนหลงใหลนางจริงๆ ยินยอมทำทุกอย่างเพื่อนาง

 

ในขณะที่ฝ่ามือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังจะกระทบใบหน้าเป่ยเฉินอี้


 


 


เป่ยเฉินอี้พลันเอ่ยปากว่า “เจ้าไม่อยากรู้ความจริงก่อนฆ่าข้าหรือไง หากนางเป็นคนที่ข้าส่งมาจริงแล้วล่ะก็ ข้าก็มีบุญคุณกับนาง เจ้าสังหารข้า ไม่กลัวนางแค้นเจ้าหรือ”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้


 


 


ฝ่ามือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหยุดชะงักก่อนจะกระทบหน้าเป่ยเฉินอี้


 


 


ส่วนสายตาที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเป่ยเฉินอี้แฝงด้วยไอสังหารรุนแรง เขาพยายามสูดลมหายใจลึก รั้งมือตนเองกลับมา จ้องมองใบหน้าสมบูรณ์แบบตรงหน้า ค่อยๆ เอ่ยว่า “เสด็จอาที่รักของเยี่ยน ไม่อาจไม่บอกว่าเยี่ยนมีชีวิตอยู่มาหลายปี เป็นครั้งแรกที่ต้องการสังหารคน ท่านยั่วโทสะของข้าแล้วจริงๆ”


 


 


เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกมา บรรยากาศโดยรอบก็กดดันขึ้น


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำของเป่ยเฉินอี้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อืม…เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้มีความเชื่อใดๆ ทั้งนั้น เจ้าไม่ใส่ใจหลักคุณธรรมใดๆ ไร้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ไม่รู้จักความรักหรือแม้กระทั่งความแค้น ในสายตาเจ้าการสังหารคนก็แค่ความสนุก การทรมานใจคนเป็นความสนใจ ไฉนวันนี้เพราะว่าสตรีผู้นี้มองข้า เจ้าก็คิดสังหารข้าแล้วหรือ”


 


 


เมื่อเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของเป่ยเฉินอี้ก็เกิดความสนุกสนาน “อย่างนั้นที่เจ้ารั้งมือกลับก็เพราะ ถึงรู้ว่านางไม่น่าใช่คนที่ข้าส่งมา ทว่าก็ยังกังวลว่าหากเป็นจริงเล่า กังวลว่าข้ามีบุญคุณกับนาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในฐานะเสด็จอาของเจ้า ข้าขอบอกเจ้าตามตรง จุดอ่อนของเจ้าชัดเจนเกินไปแล้ว จะถูกคนจูงจมูกเดินเอาได้”


 


 


สิ้นเสียงเขา


 


 


จิตสังหารในดวงตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่หายไป เขาจ้องมองบุรุษตรงหน้า ค่อยๆ กล่าว “ไม่ต้องเตือนหรอก ขอเพียงนางปลอดภัย เยี่ยนก็ไม่กลัวถูกคนจูงจมูก ขอให้เสด็จอาจำคำที่เยี่ยนเอ่ยไว้ การยั่วโทสะเยี่ยน เป็นการกระทำที่โง่เขลา ส่วนการกระทำในยามนี้ของท่าน ก็เรียกได้ว่าโง่เขลาเต็มที ไม่เหมาะสมกับฐานะปราชญ์อันดับหนึ่งของเสด็จอาเอาเสียเลย”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกไป เป่ยเฉินอี้ก็สงบลง


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยไม่ผิด


 


 


เป้าหมายของเขาไม่ใช่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทั้งไม่ใช่เยี่ยเม่ยผู้นั้น เขาไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเป็นศัตรูกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยิ่งไม่ต้องยั่วโทสะของเขา ทำให้สถานการณ์ยิ่งยากเกินจะจัดการได้


 


 


ทว่ายามที่เห็นเยี่ยเม่ย ยามที่มองใบหน้านั้น เขาก็สับสนแล้ว หมากทั้งกระดานยุ่งเหยิงไปหมด


 


 


สิ้นเสียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่พูดมากอีก เดินจากไป


 


 


หลังจากก้าวออกไปได้สามก้าว


 


 


เป่ยเฉินอี้พลันมองแผ่นหลังของเขา กล่าวว่า “หากเยี่ยเม่ยเป็นคนที่ข้าส่งไปล่อลวงเจ้าจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร”


 


 


ฝีเท้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักไป แววตาเย็นเยือกกวาดมองเป่ยเฉินอี้ ครู่หนึ่งค่อยตอบกลับมา “เช่นนั้นเยี่ยนก็ได้แต่เลื่อมใสที่เสด็จอาวางหมากสำเร็จ เยี่ยนหลงใหลนางจริงๆ ยินยอมทำทุกอย่างเพื่อนาง”


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว ก็ถามขึ้นอีกประโยค น้ำเสียงบีบคั้นคน “ต่อให้นางต้องการให้เจ้าสยบอยู่ฝ่ายข้า ช่วยทำงานให้ข้าอย่างนั้นหรือ”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตอบตามตรง “ไม่ผิด ขอเพียงนางยินยอมแต่งงานกับข้าดังเดิม ไม่ว่านางให้เยี่ยนทำอะไรเพื่อใคร เยี่ยนก็ไม่สนใจ นี่คือคำตอบ เสด็จอาพอใจหรือไม่ แต่ว่าเสด็จอามีความสามารถจะเป็นเจ้านายของนางได้อย่างนั้นหรือ”


 


 


เยี่ยเม่ยเป็นคนอย่างไร หลายวันที่ผ่านมาเขาเข้าใจชัดแจ้ง


 


 


นางเด็ดเดี่ยว มีความเห็นของตัวเอง ถึงขั้นหลงตัวเอง นางจะยอมรับเจ้านายคนหนึ่งได้อย่างไรกัน


 


 


แต่เมื่อครู่ยามที่นางมองเห็นเป่ยเฉินอี้นั้น เสี้ยวนาทีที่ขาดสติ จึงทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่กล้าลงมือสังหารเป่ยเฉินอี้ หาก..มีบุญคุณจริงๆ เล่า


 


 


เมื่อเอ่ยจบแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้าวเท้ากว้างเดินจากไป


 


 


รอจนเงาหลังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหายลับไป


 


 


เป่ยเฉินอี้ที่เดิมดูสงบนิ่งนั้น สองเท้าซวนเซเล็กน้อย ชิงเกอรีบเข้าไปประคอง “ท่านอ๋อง”


 


 


เขาย่อมรู้ว่ายามที่ท่านอ๋องพบแม่นางเยี่ยเม่ย เป็นสาเหตุของการกระทำไม่สมเหตุสมผลทั้งหลาย อย่างยั่วยุโทสะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน จากนั้น…ยามนี้คนไม่น้อยก็มีสายตามากมายจับจ้อง ท่านอ๋องไม่อาจแสดงท่าทางผิดปกติอีก


 


 


เหตุผลที่ชิงเกอรู้ เป่ยเฉินอี้ก็ย่อมรู้


 


 


เขาตีหน้าขรึมลง กระแอมไอสองสามที เสียงต่ำลงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ร่างกายข้ารับไม่ไหวเท่านั้น”


 


 


เหล่าทหารด้านข้างมองด้วยความกังวล พวกเขาต่างก็รู้ว่าสุขภาพของอี้อ๋องไม่ดีนัก ยามนี้เห็นเหตุการณ์ก็เป็นห่วง ได้ยินท่านอ๋องตอบว่าไม่เป็นอะไร คนทั้งหมดค่อยวางใจ


 


 


อี้อ๋องที่ถูกชิงเกอประคอง สีหน้าสับสนกลับห้องตัวเอง


 


 


หลังจากถึงห้อง เขานั่งลงดื่มชา ทว่ามือที่ถือถ้วยชาสั่นเทิ้มไม่หยุด แม้แต่กระทั่งถ้วยชายังถือไม่มั่น


 


 


นี่เป็นครั้งแรกในตลอดหลายปีที่ชิงเกอเห็นอี้อ๋องสูญเสียกิริยาเช่นนี้


 


 


สุดท้าย


 


 


 “ตุบ” เสียงอี้อ๋องวางถ้วยชาลงหนักๆ หลับตาลงอีกครั้ง สะกดข่มอารมณ์ต่างๆ เอาไว้


 


 


เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับมามีสีหน้ารวมถึงท่าทางเฉกเช่นปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้กอบกุมบ้านเมืองเอาไว้ในมือ เขากลอกตามองชิงเกอ “ชิงเกอ เจ้าว่า ใช่นางหรือไม่”


 


 


 “ความจริงในใจท่านอ๋องก็ตัดสินใจได้แล้วมิใช่หรือ” ชิงเกอไม่กล้าตอบ จึงเอ่ยเช่นนี้


 


 


อย่างไรแล้วใครต่างก็รู้ว่าจงเจิ้งซีตายไปแล้ว


 


 


ท่านอ๋องเป็นคนตรวจศพด้วยตนเอง แม่นางผู้นั้นเหมือนจงเจิ้งซีไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักน้อย อาจเป็นเพียง…ความบังเอิญกระมัง


 


 


เป่ยเฉินอี้สงบนิ่งไปชั่วครู่


 


 


สายตาคมกริบ เอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า “ไม่ว่าเป็นอย่างไร เจ้าไปจัดการ ข้าจะพบนางด้วยตัวเอง”


 


 


 “ขอรับ”


 


 


……


 


 


เยี่ยเม่ยกลับถึงห้องนอนของตน


 


 


ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง มองเยี่ยเม่ย ซินเยว่เยี่ยนรีบพุ่งเข้าไปเอ่ยว่า “ของที่พวกเราเตรียมไว้ได้ใช้หรือไม่ ใช้ได้ดีหรือเปล่า” 


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ขอบใจพวกเจ้ามาก”


 


 


หากมิใช่เพราะพวกนางทั้งสองว่างกระโดดเชือกเล่น เยี่ยเม่ยก็คงไม่มีแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ หากอาศัยแค่หลุมที่ให้หลูเซียงฮั่วไปขุดไว้ง่ายๆ ก่อนหน้า  จากความสามารถในการรับมือของจิวมั่วเหอ ไม่แน่ว่าวันนี้นางอาจจะเรือคว่ำอยู่ในคูน้ำ[1] เสียเปรียบก็เป็นได้


 


 


แม่นางทั้งสองรีบพยักหน้า “ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”


 


 


ขณะพูดคุยกัน บนฟ้าพลันปรากฏนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งบินมาทางซือหม่าหรุ่ย


 


 


หลายวันที่ผ่านมาไม่อาจส่งนกพิราบออกไป แต่กลับปล่อยให้บินเข้ามาได้ ซือหม่าหรุ่ยจับนกไว้ เปิดจดหมายอ่านดู สีหน้ายินดี “ดีเหลือเกิน โอวหยางเทาเจอพี่บุญธรรมแล้ว พี่บุญธรรมข้าปลอดภัย แต่ถูกยาพิษ เพราะบาดแผลฉกรรจ์ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ดังใจด้วยเหตุนี้ถึงแฝงกายรักษาตัวหลายปี”


 


 


 “ยินดีกับพวกเจ้าด้วย” เยี่ยเม่ยพยักหน้า เป็นข่าวดีจริงๆ


 


 


ซือหม่าหรุ่ยฉุกคิดได้ ใคร่ครวญสักพัก มองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง “ข้ากลับไปตอบจดหมายพวกเขา ขอตัวก่อน”


 


 


ซินเยว่เยี่ยนรีบตอบกลับ “ข้าไปด้วย ข้าก็มีคำพูดอยากบอกเซียวเซ่อหยางเช่นกัน”


 


 


 “อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า


 


 


คนทั้งสองรีบร้อนจากไป


 


 


ขณะที่เยี่ยเม่ยกำลังเดินเข้าห้องตัวเอง ในเวลานี้ชิงเกอเข้ามาอย่างรีบร้อน “แม่นางเยี่ยเม่ย”


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า หันหน้ามองชิงเกอ “เจ้าคือ”


 


 


เมื่อครู่ยามอยู่บนกำแพงเมือง เห็นเขาทีหนึ่ง หรือว่าเป็นคนของเป่ยเฉินอี้กัน


 


 


เป็นดังคาด


 


 


ชิงเกอเอ่ยปากตอบ “ข้าน้อยเป็นองครักษ์ข้างกายอี้อ๋อง ได้รับคำสั่งให้พาแม่นางไปพบท่าน”


 


 


 


 


 


 


[1] เกิดปัญหาขึ้นในสิ่งที่มีความมั่นใจ 

 

 


ตอนที่ 172 ข้าอยากรู้ว่า เจ้าเป็นใครกันแน่

 

ในขณะที่ชิงเกอตอบ ก็ประเมินเยี่ยเม่ยไปด้วย 


 


 


พูดตามตรง ความตกตะลึงในใจของเขาไม่ด้อยไปกว่าอี้อ๋องเลย สตรีนางนี้…หน้าตาเหมือนจงเจิ้งซีเกินไปแล้ว หากมิใช่มั่นใจว่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็สงสัยว่า นางคือจงเจิ้งซีใช่หรือไม่ 


 


 


 “เหตุผลคือ” เยี่ยเม่ยถามด้วยเสียงเย็นชา 


 


 


แววตาเย็นเยียบปราดมองชิงเกอ รอคำตอบของอีกฝ่าย 


 


 


ถึงจะบอกว่าผู้ตรวจการทหารมาพบผู้นำทัพไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ว่าอย่างไรนางก็เป็นผู้นำทัพแต่ชื่อ หากเป่ยเฉินอี้อยากพบสมควรไปพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ใช่มาหานาง 


 


 


ชิงเกอฟังคำถามของนางแล้ว นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “หรือแม่นางไม่อยากพบอี้อ๋อง” 


 


 


ใต้หล้านี้มีคนมากมายแค่ไหนที่ต่อแถวเข้าพบอี้อ๋อง หวังได้รับการชี้แนะแม้เพียงเล็กน้อย ก็ช่วยยกระดับสติปัญญาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นางถึงกับไม่อยากพบหรือ 


 


 


เยี่ยเม่ยไม่ตอบแต่ย้อนถาม “ข้ามีเหตุผลอะไรถึงอยากพบเขา” 


 


 


จากคำพูดก่อนหน้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ภาพลักษณ์ของเป่ยเฉินอี้ที่มีต่อเยี่ยเม่ยไม่ดีนัก วันนี้เห็นเป่ยเฉินอี้บนกำแพง นางรู้สึกว่าอันตรายมาก… 


 


 


หากต้องบอกเหตุผลในการพบเขาให้ได้… 


 


 


ความจริงเยี่ยเม่ยก็หาใช่ไม่มี อย่างไรเสียนางก็อยากรู้ว่า ก่อนหน้านี้นางเคยพบเป่ยเฉินอี้หรือไม่ 


 


 


เพียงแต่ คำพูดนี้ไม่ปลอดภัยที่จะเอ่ยออกมา อาจพานางเข้าสู่บรรยากาศที่นางไม่คุ้นเคย ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงไม่เอ่ยปากก่อนชั่วคราว 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา 


 


 


ชิงเกอเงียบลงสักพัก สุดท้ายก็เลิกคิ้วกล่าวว่า “อี้อ๋องบอกว่าวันนี้แม่นางนำทัพผิดสามประการ อี้อ๋องต้องการพูดคุยกับแม่นางเยี่ยเม่ย” 


 


 


คำตอบนี้ทำให้สายตาของเยี่ยเม่ยปรากฏความตกใจ จ้องชิงเกอถามว่า “นี่ถือว่าเป็นวิธียั่วยุหรือ” 


 


 


 “ท่านอ๋องกลับคิดว่า นี่เป็นวิธีเชิญ” หลังจากชิงเกอคารวะแล้วก็ก้มหน้าลง 


 


 


คราวนี้เยี่ยเม่ยเป็นฝ่ายหัวเราะเสียงเย็น “นั่นก็ดี ข้าอยากฟังว่า ความผิดสามประการของท่านอ๋องเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่” 


 


 


สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยสาวเท้ากว้าง สั่งชิงเกอว่า “นำทาง” 


 


 


 “ขอรับ” 


 


 


…… 


 


 


สิบลี้นอกเมืองชายแดน 


 


 


ทหารของต้ามั่วหมอบซุ่มอยู่บริเวณที่ลับตา 


 


 


รออยู่นานพักใหญ่ก็รอเปล่า ไม่เห็นทหารของเป่ยเฉินตามมาติดกับ 


 


 


นายทหารผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังจิวมั่วเหอเอ่ยปากว่า “แม่ทัพจิวมั่ว ดูท่าพวกมันคงไม่ไล่ตามมา” 


 


 


จิวมั่วเหอฟังคำ สีหน้ากลับฉายแววเดือดดาล 


 


 


ครู่หนึ่งผ่านไป แววโทสะนั้นค่อยๆ คลายลง เปลี่ยนเป็นความสนใจ “ข้าดูแคลนศัตรูไปใช่หรือไม่ เยี่ยเม่ยผู้นั้น ไม่ธรรมดาจริงๆ  เห็นข้านำทัพหนีตาย นางกลับไม่ไล่ตาม” 


 


 


ตั้งแต่เวลาที่นางกล้านำทัพออกรับศึกนอกเมือง ในใจของจิวมั่วเหอก็เกิดความสงสัย ทว่าเพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองรับมือไหว ดังนั้นจึงไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าจะเสียเปรียบครั้งใหญ่เช่นนี้ 


 


 


ยามนี้เขาพลันฉุกคิดได้ เซียวชินเคยบอกกับตนว่า หากไม่ระวังสักนิดเดียวจะประสบความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิต 


 


 


 “ท่านแม่ทัพ เอาอย่างไรต่อไปดี” นายทหารผู้นั้นถามมาจากด้านหลัง 


 


 


จิวมั่วเหอสั่งการเสียงเย็นเยียบ “ถอยทัพ” 


 


 


 “รับทราบ” 


 


 


ส่วนสายตาของจิวมั่วเหอ มองไปทิศทางกำแพงเมืองเป่ยเฉิน จับจ้องอยู่นาน เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือตำแหน่งราชา แต่วันนี้พ่ายแพ้ให้กับเยี่ยเม่ย ก็เริ่มทำให้เขาสงสัย 


 


 


หากหลังจากตนได้ขึ้นเป็นราชาแล้ว วันใดคิดบุกดินแดนภาคกลาง ขุมกำลังของราชสำนักเป่ยเฉินมีสตรีที่ไม่เล่นตามหลักการปกติผู้นี้เพิ่มขึ้นมา ตัวเขายังมีโอกาสเอาชนะได้หรือไม่  


 


 


 “ท่านแม่ทัพ” เมื่อเห็นจิวมั่วเหอไม่ขยับ คนที่เข้ามาจึงเรียก 


 


 


จิวมั่วเหอถอนสายตากลับ “ไปเถอะ” 


 


 


 “ขอรับ” 


 


 


…… 


 


 


เยี่ยเม่ยติดตามชิงเกอ เข้าสู่เรือนของเป่ยเฉินอี้ 


 


 


นางเดินกอดอก มีท่าทางเหลาะแหละเกเร หลังจากเดินเข้าเรือนมาแล้ว สายตาเย็นเยียบมองเป่ยเฉินอี้ ความคิดจะทำความเคารพเขาไม่มีเลยสักน้อยนิด 


 


 


เป่ยเฉินอี้เห็นนางเดินเข้ามา สายตาลุ่มลึกก็จ้องเยี่ยเม่ย 


 


 


สายตาคล้ายกับมองทะลุคนได้ ทำให้เยี่ยเม่ยเริ่มสงสัย สรุปแล้วเขามองตัวนาง หรือว่ามองคนอื่นผ่านตัวนางกันแน่ ในห้วงความสงสัยนั้นเอง 


 


 


เป่ยเฉินอี้พลันถอนสายตากลับ ทันทีที่นางก้าวเท้าก้าวแรกเข้าห้อง น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหูก็ดังขึ้น “แม่นางเยี่ยเม่ย ก่อนหน้าเคยพบจิวมั่วเหอมาก่อน ใช่หรือไม่”  


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันชะงักฝีเท้า 


 


 


สีหน้าเหลาะแหละหายไปแล้ว เพิ่มความหนักแน่นขึ้นมาหลายส่วน ไม่รอให้อี้อ๋องเอ่ยปาก เยี่ยเม่ยก็เดินเข้าไปนั่งตรงหน้าเขา 


 


 


นางมองเป่ยเฉินอี้ด้วยความเย็นชา “ไม่ทราบว่าเหตุใด อี้อ๋องถึงเอ่ยเช่นนี้” 


 


 


 “จากฝีมือของเจ้าทำให้จิวมั่วเหอล่าถอยไปได้ ก็พอให้ดูออกว่าเจ้าหาใช่คนโง่เขลา แต่การละเลยการปกป้องเมือง ออกไปรับศึกเป็นความผิดมหันต์ ตัวข้าได้แต่คาดการณ์ว่า เจ้าเคยพบจิวมั่วเหอ” คำพูดของอี้อ๋องไม่เร็วมาก ทว่าแต่ละคำพูดตรงประเด็นยิ่ง 


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่ตอบตรงๆ ย้อนถามเป่ยเฉินอี้กลับไปประโยคหนึ่ง “ท่านอ๋องยังทราบอะไรอีกบ้าง” 


 


 


เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเยี่ยเม่ย จับจ้องสีหน้าของนางทั้งหมด เอ่ยเสียงต่ำ “ข้ารู้มากมายนัก ข้ายังรู้อีกว่าหากพวกเจ้าเคยพบกันมาก่อน จิวมั่วเหอจะพูดอะไรกับเจ้าบ้าง ข้ายังรู้ถึงกระทั่งว่า การร่วมมือของพวกเจ้าสำเร็จแล้ว” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยออกมา แววตาของเยี่ยเม่ยสงบนิ่งลง 


 


 


การคาดการณ์ไม่มีส่วนใดผิด จิวมั่วเหอบอกว่า หากครั้งนี้นางชนะ ภายหน้าจิวมั่วเหอจะยอมแพ้ต่อเป่ยเฉิน อีกทั้งยอมส่งหนังสือสงบศึก ส่วนศึกครั้งนี้ ตัวนางก็ชนะจริงๆ   


 


 


เป็นดั่งที่เป่ยเฉินอี้กล่าว การร่วมมือสำเร็จแล้ว 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ “อย่างนั้นท่านอี้อ๋อง คิดว่าการคาดการณ์ของท่านจะถูกต้องอย่างนั้นหรือ” 


 


 


 “ถูกหรือไม่ถูกต้อง แม่นางเยี่ยเม่ยเข้าใจดีกว่าข้ามิใช่หรืออย่างไร” แววตาทอรอยยิ้มของเป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ย รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้มาจากเบื้องลึกของนัยน์ตา 


 


 


ครั้นเอ่ยถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้ว แสร้งว่านางไม่เคยร่วมมือก็คงทำไม่ได้ 


 


 


บุรุษเบื้องหน้า รู้เรื่องทุกอย่าง 


 


 


นางสูดลมหายใจลึก จ้องเป่ยเฉินอี้ “อย่างนั้นไม่รู้ว่า ความผิดพลาดสามประการของข้าที่อี้อ๋องกล่าวถึง นั่นหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


ถึงเยี่ยเม่ยเป็นคนมั่นใจในตัวเอง อ่านตำราพิชัยยุทธไม่น้อย ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็กรำศึกในกระดาษเท่านั้น ออกสนามรบจริงก็เพิ่งทำช่วงนี้ หากบอกว่าเป่ยเฉินอี้มองจุดที่เยี่ยเม่ยทำไม่ถูก กล่าวออกมาให้นางยอมรับจากใจ นางก็ยินยอมรับคำชี้แนะของอีกฝ่าย 


 


 


แต่หากเหตุผลไม่สมเหตุล่ะก็ อย่างนั้นนางก็จะ “สั่งสอน” เป่ยเฉินอี้ให้เปลี่ยนนิสัยความชอบวิจารณ์ส่งเดชผู้อื่นซะ 


 


 


 “ปัญหานี้ เป่ยเฉินอี้ตอบแม่นางได้ แต่…” สายตาล้ำลึกเป็นพิเศษของเป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงขรึม “เพื่อเป็นการตอบแทนแม่นางเยี่ยเม่ย จะตอบคำถามเป่ยเฉินอี้สักข้อได้หรือไม่”  


 


 


ในประโยคนั้น เขาใช้คำว่าเป่ยเฉินอี้ หาใช่ข้า นั่นก็หมายความทั้งสองมีฐานะเท่าเทียม การแสดงออกนี้ทำให้เยี่ยเม่ยไม่ต่อต้านเขา 


 


 


หญิงสาวเอ่ยปากว่า “เชิญท่านว่ามา” 


 


 


น้ำเสียงของเป่ยเฉินอี้เปลี่ยนเป็นนิ่งลง สายตาลุ่มลึกยากจับได้ จ้องเขม็งที่เยี่ยเม่ย “เยี่ยเม่ย ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่”  

 

 


ตอนที่ 173 หากเยี่ยนยังไม่ไปอีก พรุ่งนี้คงต้องเปลี่ยนไปสวมหมวกเขียวแล้ว

 

ในชั่วขณะนี้รอบด้านเงียบสงบลงหลายส่วน 


 


 


บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นความดุเดือดปะทุขึ้นมา 


 


 


เยี่ยเม่ยนั่งอยู่ที่เดิม รับรู้ได้ถึงลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามา มองประกายเย็นชาในสายตาเป่ยเฉินอี้ แต่นอกจากความเย็นชาแล้ว ยังมีความรู้สีกที่เยี่ยเม่ยไม่อาจอ่านออก ทำให้หญิงสาวระแวงอยู่บ้าง ในยามนี้นางอ่านใจของเป่ยเฉินอี้ไม่ออก 


 


 


ชิงเกอก็มองเยี่ยเม่ยด้วยความตื่นเต้น ในใจหวังได้ยินคำตอบนั้น แต่ก็กลัวจะได้ยินคำตอบนี้ 


 


 


เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบชั่วครู่ สายตาที่มองเป่ยเฉินอี้ไร้ความหวาดกลัว เอ่ยปากเสียงเย็นว่า “เยี่ยเม่ยก็คือเยี่ยเม่ย ไม่มีฐานะพิเศษอื่น” 


 


 


ยามนี้บรรยากาศในห้องหนาวเหน็บขึ้นมา 


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องเยี่ยเม่ย ใบหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแฝงไว้ด้วยอารมณ์ยากคาดเดา “นี่คือความจริงใช่หรือไม่ หรือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยต้องการให้เป่ยเฉินอี้จ่ายค่าตอบแทนใด ถึงยอมเอ่ยความจริง” 


 


 


เยี่ยเม่ยย่อมดูออกว่า เป่ยเฉินอี้ไม่เชื่อคำพูดนาง 


 


 


หญิงสาวหาได้ใส่ใจ กลับเอ่ยถามเขาด้วยเสียงอารมณ์ดี “ไม่อย่างนั้น อี้อ๋องลองเอ่ยมาว่าอยากฟังคำตอบแบบไหน เยี่ยเม่ยอาจจะฝืนตอบดูก็ได้” 


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว หาได้กลัดกลุ้ม ถามออกไปอีกประโยค “ดังนั้น ไม่ว่าเป่ยเฉินอี้จะถามอย่างไร แม่นางเยี่ยเม่ยก็มีคำตอบเดียวอย่างนั้นหรือ” 


 


 


คนทั้งสองยังคงต่อคำกันไปมา 


 


 


ประชันฝีปากไม่เลิก 


 


 


…. 


 


 


เยี่ยเม่ยเอ่ยจนเริ่มหมดความอดทน สายตาเย็นเยียบมองเป่ยเฉินอี้ “ไม่ผิด หากท่านต้องการฟังความจริง อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็มีคำตอบเดียวเท่านั้น เยี่ยเม่ยก็คือเยี่ยเม่ย ไม่ใช่ใครอื่น เบื้องหลังก็ไม่มีผู้ใด หากภายหน้าอี้อ๋องยังถามอีก คำตอบจะเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ เยี่ยเม่ยก็ยากจะบอกได้ชัดเจน” 


 


 


ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่บอกว่านางสูญเสียความทรงจำ ไม่แน่ว่าวันใดความทรงจำกลับมา หากนางเคยเป็นใครคนอื่นขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นหลังจากความทรงจำกลับมาแล้ว ย่อมมีคำตอบต่างออกไป 


 


 


ส่วนคำตอบของเยี่ยเม่ย 


 


 


กลับทำให้เป่ยเฉินอี้คลี่ยิ้มออก สายที่มองเยี่ยเม่ยยิ่งล้ำลึกลงไปอีก “แม่นางน่าสนใจกว่าที่เป่ยเฉินอี้คิดไว้มาก” 


 


 


 “อย่างนั้น ท่านบอกได้หรือยัง ความผิดที่ข้าทำเหล่านั้นคืออะไรกัน” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา รอคำตอบ  


 


 


เป่ยเฉินอี้ยิ้มออกมา จากนั้นรีบเอ่ยปาก… 


 


 


…… 


 


 


เรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 


 


 


อวี้เหว่ยเดินเข้ามาด้านใน คุกเข่ารายงาน “เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ยไปที่เรือนของอี้อ๋อง ชิงเกอเป็นคนเชิญนาง” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว แววตาแผ่ไอสังหารออกมา  


 


 


ทำให้อวี้เหว่ยใจสั่นหวาดกลัว เอ่ยถามความสงสัยออกไปอย่างระวัง “เตี้ยนเซี่ย ท่านว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะเป็นคนของอี้อ๋องจริงหรือไม่ ยามที่นางมองอี้อ๋อง สีหน้าไม่เป็นปกติ ตอนนี้ได้พบอี้อ๋องเป็นครั้งแรก ข้าน้อยกังวลว่า…” 


 


 


หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างนั้นเตี้ยนเซี่ยของเขาจะถูกม้วนเข้าสู่วังวนการชิงอำนาจ อีกทั้งยังถูกลากเข้าไปด้วยแผนหญิงงาม 


 


 


ในขณะที่อวี้เหว่ยกังวล 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ค่อยๆ ดังขึ้น “หากนางเป็นคนของเป่ยเฉินอี้จริง ยามนี้ก็ควรหลบเลี่ยง เพื่อกันมิให้ถูกสงสัย ไม่ใช่ไปพบเป่ยเฉินอี้ในทันที ไม่ใช่หรือไง” 


 


 


อวี้เหว่ยยามนี้ดวงตาทอประกาย พยักหน้าติดต่อกัน “นั่นก็ถูก หากแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนของอี้อ๋องจริง เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้ฐานะนี้ ยามนี้นางย่อมไม่ไปพบเป่ยเฉินอี้อย่างเปิดเผย หากจะไปพบก็สมควรหลบๆ ซ่อนๆ มากกว่า” 


 


 


ทว่าเมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างระวังทีหนึ่ง “แต่ว่าสีหน้าแม่นางเยี่ยเม่ยยามเห็นอี้อ๋อง ไม่ถูกต้องจริงๆ เตี้ยนเซี่ย ท่านว่า…”  


 


 


ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เอ่ยปากอีก ถัดมาเขาก้าวเท้าเดินออกจากห้องไปอย่างสง่างาม 


 


 


อวี้เหว่ยรีบติดตามไป “เตี้ยนเซี่ย ท่านไปทำอะไรหรือ” 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่หยุดฝีเท้า ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายไม่บอกอารมณ์ยินดียินร้าย กล่าวว่า “เจ้าก็บอกแล้วว่า สีหน้านางยามไปหาเป่ยเฉินอี้ไม่ถูกต้อง หากเยี่ยนยังไม่ไปอีก เกรงว่าวันพรุ่งนี้รัดเกล้าหยกของข้าคงไม่ต้องสวม แต่เปลี่ยนเป็นหมวกเขียว[1]แทนแล้ว” 


 


 


ระหว่างที่พูด ก็จากไปด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น เพียงไม่กี่ก้าวก็พ้นไปจากหน้าประตูเรือน 


 


 


อวี้เหว่ยกระตุกมุมปาก 


 


 


เห็นชุดต่วนสีแดงเข้มของเตี้ยนเซี่ย ทั้งยังมีหยกแดงบนศีรษะที่สีใกล้เคียงกับอาภรณ์ กอปรมีทับทิมแดงต่างๆ ประดับประดาทำเป็นรัดเกล้าหยก ลองคิดภาพว่าวันพรุ่งนี้เช้ารัดเกล้าหยกนั่นเปลี่ยนเป็นหมวกเขียวใบหนึ่งแล้ว 


 


 


ภาพรวมทั้งหมดแปลกประหลาดเกินคาด อวี้เหว่ยขนลุกไปทั้งกาย ยืดตัวตรง รู้สึกหนาวเหน็บ ไม่รู้ว่าจะมีคนตายอีกเท่าไหร่ เขาไม่เอ่ยอะไร รีบติดตามไป… 


 


 


หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่มากรัก ไม่เช่นนั้นคงมีผู้บริสุทธิ์ต้องตาย… 


 


 


…… 


 


 


ภายในห้องของเป่ยเฉินอี้ 


 


 


ยามที่เป่ยเฉินอี้เอ่ยคำพูดที่บอกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ย สายตาเยี่ยเม่ยพลันเกิดแววลุ่มลึก จ้องเป่ยเฉินอี้ เอ่ยปากเสียงเย็นชา “อี้อ๋องเอ่ยไม่ผิด ความผิดประการที่สองข้ายอมรับ ในใจเพียงแค่คิดว่าต้ามั่วรุกรานเข้ามา พวกเขากล้ามา ข้าก็กล้ารับศึก ข้าไม่เคยคิดถึงการใช้รับเป็นรุก เป็นฝ่ายบุกโจมตีก่อน” 


 


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยเม่ยแค่นหัวเราะ กล่าวต่อว่า “ความผิดประการที่สาม ข้าก็ยอมรับ ไม่ว่ามีเหตุมากน้อยเพียงใด การนำกำลังทหารออกไปมากกว่าย่อมชิงชัยชนะได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งบางทีอาจจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับทหารหลักของจิวมั่วเหอได้อีกด้วย” 


 


 


ยามนางออกจากเมือง ไม่คิดมากขนาดนั้นจริงๆ 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยชื่นชมเป่ยเฉินอี้ปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าจากใจ นางรู้สึกว่าถึงบุรุษผู้นี้จะอันตราย แต่หลังจากพบกันไม่กี่ครั้ง ความสามารถในการรบทัพของนางต้องพัฒนาขึ้นมากแน่ 


 


 


มิน่ายามชิงเหอเห็นว่านางไม่ยอมออกมาพบเป่ยเฉินอี้ ถึงตกอกตกใจขั้นนั้น  


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้คำรบหนึ่ง พลันถามว่า “อย่างนั้น ในเมื่ออี้อ๋องคาดเดาแล้วว่าข้ากับจิวมั่วเหอร่วมมือกัน ความผิดประการแรกที่อี้อ๋องเอ่ยก็ไม่มีอีก อย่างนั้นเพราะเหตุใดอี้อ๋องถึงให้ชิงเกอไปบอกว่าข้าทำผิดสามประการอีกเล่า” 


 


 


สมควรมีแค่สองประการถึงจะถูก 


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องใบหน้านาง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นว่า “เพราะหลังจากถอยทัพแล้ว ข้ายังพบข้อผิดพลาดอีกประการของเจ้า ความผิดนั่นก็คือ ไม่เคยคาดการณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงในการออกทัพ ไม่เคยคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จิวมั่วเหอจะฝ่าวงล้อมออกไป ดังนั้นถึงเสียโอกาสส่งคนไปดักไว้ก่อน เพื่อกำจัดพวกเขายามถอยให้ราบคาบ”  


 


 


เขาเอ่ยออกมาเช่นนั้น เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าลมหายใจของนางเริ่มหนักอึ้ง 


 


 


ในที่สุดนางจ้องมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยออกมาว่า “หากคนที่ข้าต่อกรด้วยคืออี้อ๋อง เยี่ยเม่ยไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้” 


 


 


นางชนะที่การเดินหมากเหนือความคาดหมาย ส่วนเป่ยเฉินอี้ชนะที่ใช้กลยุทธ์ได้ดุจเทพ เทียบกลวิธีพิสดาร เป่ยเฉินอี้อาจเทียบนางไม่ติด แต่ในด้านกลยุทธ์ศึก นางต้องยอมรับว่า เป่ยเฉินอี้อยู่เหนือชั้นกับนางมากโข 


 


 


 “แต่อย่างน้อยเจ้ายังมีโอกาสชนะถึงสี่ส่วน” เป่ยเฉินอี้วิเคราะห์ ถัดมาเขาก็ยกถ้วยชาขึ้น เอ่ยเสียงขรึมว่า “อย่างไรก็ตาม ใต้หล้านี้คนที่ทำศึกกับข้า แล้วมีโอกาสชนะเกินสองส่วนก็ไม่มี” 


 


 


เยี่ยเม่ยยามนี้สูดลมหายใจลึก 


 


 


นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคำพูดของเป่ยเฉินอี้มิได้โอ้อวดเกินไป  ถึงความสามารถในการชิงชัยของนางมีสูงมาก แต่เมื่อพบกับยอดฝีมือจริงๆ ก็ไม่แน่จะเอาชนะได้ทุกครั้งไป การทำศึกกับเป่ยเฉินอี้ สำหรับนางในยามนี้ก็มีความมั่นใจเพียงสี่ส่วนเท่านั้น 


 


 


นางเชื่อว่าจากความสามารถของบุรุษผู้นี้ คนที่เคยต่อสู้กับเขาไม่มีใครมีโอกาสชนะเกินสองส่วนได้ ไม่เพียงแค่กลยุทธ์การศึกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เขาเพิ่งมาถึงชายแดน เห็นสถานการณ์ศึกครั้งเดียว ก็เดาได้ว่านางกับจิวมั่วเหอจะร่วมมือกัน 


 


 


ถึงตอนนี้ เยี่ยเม่ยมองสายตาเป่ยเฉินอี้ กลับแฝงไปด้วยแววท้าทาย “แต่คนเราย่อมพัฒนา วันนี้เยี่ยเม่ยอาจมีโอกาสเพียงสี่ส่วน ภายหน้าจะเป็นอย่างไร ใครก็ตอบไม่ได้ อย่างไรเสียอี้อ๋องก็อยู่จุดสูงสุดอยู่แล้ว ส่วนคนที่อยู่บนจุดสูงสุดคิดก้าวหน้า ก็ยิ่งยาก” 


 


 


คำพูดนี้ไม่ผิดเลย 


 


 


นางยังมีช่องว่างให้พัฒนา ดังนั้นจึงก้าวไปได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเป่ยเฉินอี้อยู่จุดสูงสุดของปราชญ์แล้ว ก็นับเป็นคนยอดคน คิดจะก้าวไปอีกครึ่งก้าว ก็ล้วนเป็นความยากลำบากอย่างแสนสาหัส เพราะช่องให้พัฒนานั้นมีไม่มากแล้ว 


 


 


 “คำพูดนี้ถือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยส่งสารท้ารบกับเป่ยเฉินอี้หรือไม่” อี้อ๋องมองเยี่ยเม่ย สายตาล้ำลึกเกินหยั่งเผยแววสนใจขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ข้าเอาชนะจั่วอี้อ๋องและจิวมั่วเหอที่เป็นเทพแห่งสงครามไม่เคยแพ้ของต้ามั่วได้ ใครจะรู้ว่าจะมีสักวันหนึ่ง ที่ข้าเอาชนะท่านได้ เทพสงครามที่ไม่เคยแพ้ในใต้หล้า คนที่ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน จะรู้สึกเดียวดายนัก หากถูกข้าเอาชนะได้ สำหรับท่านแล้วหาใช่เรื่องไม่ดี มิใช่หรือไง” 


 


 


เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วพลันยิ้มออก “ท้าทายเป่ยเฉินอี้ ไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดนัก” 


 


 


เยี่ยเม่ยก็คลี่ยิ้มบ้าง “การท้าทายยอดคนถึงมีความหมาย เยี่ยเม่ยเฝ้ารอวันที่จะได้ประมือกับเป่ยเฉินอี้” 


 


 


ไม่ว่าพูดอย่างไร ในสายตาเยี่ยเม่ยเวลานี้ เป่ยเฉินอี้คือตัวอันตราย ทั้งเป็นศัตรูที่คู่ควรนับถือ ความสามารถของเขาน่าเลื่อมใสอย่างไม่ผิด 


 


 


เมื่อเอ่ยมาถึงขั้นนี้ เยี่ยเม่ยก็ไม่อยากรั้งอยู่อีกต่อไป 


 


 


นางลุกขึ้น เตรียมจากไป “คำที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว เยี่ยเม่ยจะมาเยี่ยมใหม่วันหน้า” 


 


 


สีหน้าเป่ยเฉินอี้ยากคาดเดาได้ จับอารมณ์บนใบหน้าเขาไม่ถูก เมื่อฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยแล้ว ก็ผายมือ “เชิญ” 


 


 


เยี่ยเม่ยหมุนตัวจากไป 


 


 


ทว่าพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ หันกลับมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงเย็น “ความจริงไม่รู้เพราะอะไร ครั้งแรกที่พบหน้าท่าน ข้ากลับมีความรู้สึกคุ้นเคย” 


 


 


ยามอยู่ด้านล่างกำแพงเมือง ประกายระยิบระยับจำนวนมากจุดประกายสว่างอยู่ในสมองนาง ทว่าไม่อาจจำแนกได้ชัด ทำให้เยี่ยเม่ยจำได้อย่างแม่นยำ 


 


 


คิดไม่ถึงว่ายามนางเอ่ยเช่นนี้ 


 


 


เป่ยเฉินอี้ที่นังมาตลอดดวงตาเบิกกว้าง ลุกขึ้นอย่างว่องไวราวกับสายฟ้าฟาด ถัดมาสายตาเขาปรากฏไอสังหาร สองมือพุ่งเข้ามาบีบคอเยี่ยเม่ย 


 


 


ความว่องไวขั้นทำให้เยี่ยเม่ยตกตะลึง 


 


 


นางถอยไปก้าวหนึ่ง เพื่อหลบการโจมตีเอาชีวิตของอีกฝ่าย เดิมก็สามารถถอยร่นไปได้อีกก้าว แต่นางสงสัยว่าเป่ยเฉินอี้จะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถอยไปอีกก้าวหนึ่ง ทว่ามือจับพัดเตรียมโต้กลับไป 


 


 


ส่วนเป่ยเฉินอี้ยามนี้บีบคอนางไว้ได้ 


 


 


แววตาของเขาเย็นเยียบ มองใบหน้าเยี่ยเม่ยจากระยะใกล้ น้ำเสียงทุ้มไพเราะ ในยามนี้ดูน่ากลัวอย่างถึงที่สุด “บอกมา ใครเป็นคนส่งเจ้ามากันแน่”  

 

 


ตอนที่ 174 ทำร้ายสตรีของเยี่ยน เบื่อชีวิตแล้วหรือไง

 

เยี่ยเม่ย “…”


 


 


ผลสรุปนี้มาจากไหนกัน


 


 


แนวคิดแบบคนโบราณต่างกับนางอยู่บ้าง


 


 


เมื่อเห็นสีหน้านางมองตนอย่างจนคำพูด แววตาทอความงงงวย คล้ายกำลังมองคนเสียสติ เป่ยเฉินอี้มุมปากกระตุก


 


 


สายตานี้ของนางคืออะไรกัน


 


 


หรือการกระทำของเขาไม่ปกติ


 


 


ยังไม่ทันคิดได้ว่าการกระทำของตนปกติหรือไม่ พลังปราณสีแดงเพลิงพุ่งเข้าใส่เป่ยเฉินอี้อย่างรุนแรง


 


 


เสี้ยววินาทีนั้น เป่ยเฉินอี้ถอยหลังอย่างว่องไว


 


 


หลบกระแสพลังขุมนั้น


 


 


จากนั้นก็มีพลังอีกกระแสหนึ่งพุ่งเข้าใส่หน้าเขา เป่ยเฉินอี้โคจรพลังภายในคล้ายลมกลุ่มหนึ่ง สลายกำลังภายในร้อนแรงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกไป


 


 


ในขณะเดียวกัน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตวาดด้วยโทสะดังตามมา “กล้าทำร้ายสตรีของเยี่ยน เบื่อชีวิตแล้วหรือไง”


 


 


ในขณะพูด กำลังภายในอีกสายของเขาก็พุ่งใส่เป่ยเฉินอี้


 


 


นั่นคือไม่เปิดโอกาสให้อธิบายเลย


 


 


 “แก่นมารทลาย”


 


 


แสงเพลิงสะท้านฟ้า ไอปราณเผาทำลาย ทำให้เยี่ยเม่ยคนที่เพิ่งเริ่มฝึกกำลังภายใน จับจ้องอย่างตื่นกังวล


 


 


เป่ยเฉินอี้ก็ถูกการกระทำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยั่วโทสะ กำลังภายในในมือเขาคล้ายสายลมทมิฬพัดขึ้นมา เข้าปะทะกำลังภายในของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “โทสะวายุ”


 


 


เยี่ยเม่ยไม่เอ่ยมากความ ตัดสินใจถอยร่นไปหลายก้าว


 


 


เป็นดังคาด


 


 


ถัดมา เกิดเสียงดังสนั่นลั่น ฝุ่นควันฟุ้งตลบ


 


 


บุรุษทั้งสองลงมือเช่นนี้…


 


 


ทำเอาห้องพังทลายแตกออกแล้ว


 


 


แตกออก


 


 


เป่ยเฉินอี้มาถึงชายแดน ห้องพักหลังแรกที่ใช้รับรองก็พังทลายด้วยเหตุนี้ ห้องพักพังแล้ว หลังจากแผ่นไม้แตกระแหงก็เกิดฝุ่นคลุ้ง ทำเอาเยี่ยเม่ยสำลักจนพูดไม่ออก


 


 


เพราะมั่นใจในฝีมือนาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงกล้าลงมือเช่นนี้


 


 


เมื่อมองนางคำรบหนึ่ง เห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างคาด เขาก็วางใจ กวาดตามองเป่ยเฉินอี้อีกครั้ง คราวนี้พลังเพลิงที่เกิดจากลมปราณงอกเงยขึ้นมาจากพื้น แผดเผาไป


 


 


 “เพลิงสลายเงา”


 


 


เพลิงสลายเงาแผดเผาไปทั่วสารทิศ ทำให้เป่ยเฉินอี้หมดหนทางหนี ไม่ว่าตำแหน่งใด ก็มีเพลิงลุกลามไปถึง


 


 


แต่ก็เพลิงกลุ่มนี้ก็คล้ายกับมีดวงตา ไม่ลุกลามไปยังตำแหน่งที่เยี่ยเม่ยยืนอยู่


 


 


เยี่ยเม่ยเข้าใจดีว่าเกิดจากการควบคุมของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


เป่ยเฉินอี้เห็นสถานการณ์ก็ไม่กล้าดูแคลน แววตาเจือโทสะ ดีดกายขึ้น ลมปราณสีนิลคล้ายกับพายุพัดกวาดไปทั่ว


 


 


โหมเปลวเพลิงบนพื้นของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไปหาเจ้าของ “วายุมิสิ้นสุด”


 


 


เยี่ยเม่ยมองกระบวนท่าของยอดฝีมือ ฟังพวกเขาพ่นชื่อกระบวนท่าทั้งหลายออกมา คล้ายกับภาพในภาพยนตร์สามดีในยุคปัจจุบัน นางรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ลึกๆ


 


 


ร้ายกาจ ร้ายกาจ


 


 


จากนั้น


 


 


ในตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทอประกายโทสะ


 


 


กำลังภายในในมือเริ่มปะทุแตกกระจาย คล้ายระเบิดมุ่งทำลายเป่ยเฉินอี้ เอ่ยชื่อกระบวนท่าต่อเนื่องออกมาอีกหลายท่า


 


 


กำลังภายในสายหนึ่งตรงเข้าใส่ใบหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


 “พลังเทพทำลายอี้”


 


 


จากนั้นกำลังภายในสีแดงก็พุ่งเข้าใส่ด้านหลังเป่ยเฉินอี้ ทำให้เขาถอยไม่ได้


 


 


 “ตัดทางอี้ถอย”


 


 


จากนั้นก็คล้ายมีกำลังภายในสีแดงอีกหลายสาย มุ่งเข้าทำลายใบหน้าเป่ยเฉินอี้


 


 


 “ตัดอี้เป็นพันชิ้น”


 


 


เยี่ยเม่ย “…?” ชื่อกระบวนท่าตั้งอย่างขอไปทีแบบนี้ก็ได้ด้วย


 


 


ในฐานะที่นางเป็นคนนอก ฟังชื่อเหล่านี้ก็รู้สึกได้ว่าไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย…นี่ตั้งใจจู่โจมคนเสียมากกว่า


 


 


เป่ยเฉินอี้ย่อมฟังออก ชื่อกระบวนท่าเหล่านี้มุ่งเป้ามาที่ตน


 


 


แต่ว่ากำลังแต่ละสายๆ พุ่งโจมตีเขา เป่ยเฉินอี้ในยามนี้ไม่พะวักพะวนคิดสิ่งอื่นอีก ทำเพียงแค่ตั้งมั่นรับมืออย่างเดียว


 


 


อย่างไรก็ตามความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาเป่ยเฉินอี้เข้าใจอย่างชัดเจน


 


 


หากไม่ระวัง เขาต้องตายใต้เงื้อมมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแน่


 


 


เขาจะถอย หลบ หรือโจมตีกลับ ทำให้การจู่โจมคร่าชีวิตในยามนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ช้าสีหน้าเป่ยเฉินอี้เปลี่ยนไป พลันกระอักเลือดสดคำหนึ่งออกมา


 


 


ชิงเกอหน้าเปลี่ยนสีทันที “ท่านอ๋อง”


 


 


ท่านอ๋องยังมีพิษอยู่ในร่าง ถึงจะรักษาไปได้กว่าครึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้กำจัดอีกครึ่งหนึ่ง ไม่ควรใช้กำลังภายใน ยามนี้ฝืนรับมือกับศัตรู ไม่บาดเจ็บภายในก็แปลกแล้ว


 


 


เป่ยเฉินอี้เช็ดเลือดบนริมฝีปาก สายตาเย็นชาตวัดมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน จากนั้นมองเยี่ยเม่ย “ทำให้เขาปกป้องเจ้าได้ถึงขั้นนี้ ข้าเริ่มสนใจคนที่บงการอยู่เบื้องหลังเจ้ามากขึ้นทุกที”


 


 


สามารถเอ่ยคำพูดที่คุ้นเคยกับเขาออกมาได้ เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนพบสตรีที่มีใบหน้าเหมือนกับอาซีทุกประการ จึงส่งมาอยู่เบื้องหน้าเขา


 


 


อีกทั้งสตรีนางนี้ยังทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปกป้องได้ขนาดนี้ ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลงใหลเสียจนตามติด ไม่เสียใจที่ลงมือกับเขา แต่ละกระบวนท่าหมายคร่าชีวิต เพื่อช่วยระบายโทสะให้นาง


 


 


คนที่อยู่เบื้องหลังนางคือใครกันแน่ เขาสงสัยเสียเหลือเกิน


 


 


เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ถอนหายใจยาว อธิบายว่า “ข้าบอกไปสองรอบแล้ว นี่เป็นครั้งที่สาม ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังข้าทั้งนั้น ส่วนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนปกป้องข้าถึงเพียงนี้ ก็เพราะเสน่ห์ของตัวข้าเท่านั้น หาได้ถูกล่อลวงได้อุบายแผนการ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านว่าถูกต้องหรือไม่”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายยังมีไอสังหารอยู่ น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยว่า “ไม่ผิด”


 


 


ระหว่างเอ่ย ดวงตาเย็นเยียบก็มองเป่ยเฉินอี้


 


 


เวลานี้ชิงเกอรีบชิงเข้ามาเอ่ยว่า “องค์ชายสี่ ท่านอ๋องก็แค่อยากรู้ฐานะของแม่นางเยี่ยเม่ยเท่านั้น ดังนั้นการกระทำอาจเกินเลยไปบ้าง ความจริง ท่านอ๋องมิได้คิดทำร้ายเลย”


 


 


จากสภาพร่างกายของเป่ยเฉินอี้ยามนี้ ชิงเกอเข้าใจดีที่สุด รู้อยู่แก่ใจว่าเตี้ยนเซี่ยของเขาไม่อาจใช้กำลังภายในอีก ดังนั้นหวังว่าทั้งสองจะสงบศึก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็กวาดสายตามองชิงเกอ เอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าคือ เยี่ยนสมควรรอให้เขาทำร้ายคู่หมั้น แล้วค่อยลงมือกับเขาอย่างนั้นหรือ”


 


 


 “คู่หมั้น” เป่ยเฉินอี้พลันเงยหน้าขึ้น กวาดตามองเยี่ยเม่ย


 


 


เห็นว่าเยี่ยเม่ยฟังแล้ว ไม่คิดปฏิเสธ ก็พอรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยความจริง


 


 


สายตาเป่ยเฉินอี้สงบลง


 


 


คู่หมั้น…


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ยามได้ยินว่าสตรีนางเป็นคู่หมั้นเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หัวใจเขาคล้ายถูกบีบ เจ็บปวดจับจิต ทั้งๆ ที่…


 


 


สตรีนางนี้มิใช่อาซี


 


 


เยี่ยเม่ยเชิดหน้า ความจริงเหตุการณ์ตรงหน้าล้วนเกิดขึ้นนอกเหนือความคาดหมายของนาง เดิมทีนางก็แค่แปลกใจว่าไฉนเป่ยเฉินอี้ถึงแตกตื่นเช่นนี้


 


 


คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวยังไม่กระจ่าง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็พุ่งเข้ามาฆ่าคน ต่อสู้กับเป่ยเฉินอี้ยกหนึ่ง ท่าทางปกป้องนางของเขา ทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกชอบมาก


 


 


มีคนผู้นี้ปกป้อง โดยเฉพาะเขาที่มีความสามารถขั้นนี้ นางก็แทบไม่ต้องกังวลว่าจะล่วงเกินใคร หรือเอาชนะใครไม่ได้อีก ถึงกระทั่งไม่ต้องลงมือเองก็แก้ไขปัญหาได้เรียบร้อย ยามนี้เยี่ยเม่ยคิดว่า คู่หมั้นผู้นี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน


 


 


นางมองเป่ยเฉินอี้ พยักหน้าอย่างภูมิใจ เอ่ยปากว่า “ไม่ผิด ข้าคือคู่หมั้นของเขา” 

 

 


ตอนที่ 175 ฮูหยิน เจ้าไม่ต้องพบผู้ชาย...

 

ยามนี้ชิงเกอตื่นเต้นไม่น้อย


 


 


หันกลับไปมองเตี้ยนเซี่ยของเขา เป่ยเฉินอี้ยึดมั่นในตัวจงเจิ้งซีมาก เขารู้ดี ถึงแม้สตรีเบื้องหน้าไม่ใช่จงเจิ้งซี แต่…ใครจะรู้ว่าใช่หรือไม่ เพียงแต่สตรีนางนี้หน้าตาเหมือนจงเจิ้งซีมาก


 


 


เตี้ยนเซี่ยก็…


 


 


ยามที่เยี่ยเม่ยเอ่ยคำพูดนี้ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ คำพูดนี้โดนใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งนัก ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ครั้นเห็นสายตาของเป่ยเฉินอี้เมื่อฟังคำพูดนี้ยิ่งทวีความลุ่มลึกไปอีก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งอารมณ์ดี


 


 


เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินอี้ จากนั้นเอ่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “พอเถอะ ผู้อื่นกระอักเลือดแล้ว พวกเราก็ช่างเขาเถอะ อย่างไรข้าก็ไม่ได้บุบสลายตรงไหน อีกอย่าง หากไม่ใช่เพราะข้าสงสัยว่าเขาอยากทำอะไร ไม่มีทางที่เขาจะบีบคอข้าได้ง่ายถึงเพียงนี้”


 


 


คิดไม่ถึงว่า ความสงสัยชั่วขณะของนางจะชักนำให้เกิดการต่อสู้ฉากหนึ่ง


 


 


มิน่าผู้คนมักบอกว่า ความสงสัยทำให้แมวตาย


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาเป่ยเฉินอี้มองนางยิ่งล้ำลึก เห็นได้ชัดว่าเขาคาดไม่ถึง เมื่อครู่นางจงใจถอยให้ก้าวหนึ่ง ตัวเองถึงบีบคอนางได้


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา


 


 


ดวงตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองไปทางเป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงอ่อนลง “ในเมื่อแม่นางเยี่ยเม่ยบอกว่าไม่สู้แล้ว อย่างนั่นเยี่ยนก็หยุดเพียงแค่นี้ หวังว่าเสด็จอาจะจำไว้ คอของแม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนยังหักใจไม่อาจแตะต้อง หากเสด็จอายังจับอีก เยี่ยนคงไม่พูดง่ายแบบนี้แล้ว”


 


 


สิ้นเสียง เขาไม่รอให้เป่ยเฉินอี้เอ่ยปาก ก้าวเท้าออกมาหน้าข้างหน้า จับมือเยี่ยเม่ยไว้ วางท่าปกป้องสตรีของตนดึงนางจากไป


 


 


นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจับมือกันอย่างจริงจัง


 


 


 


 


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไปชั่วครู่ ปลายนิ้วยังแข็งทื่อไปเล็กน้อย เพียงแค่เสี้ยววินาที ความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองก็หายไป เหลือเพียงรับรู้ถึงความอบอุ่นแทรกซึมเข้าสู่ดวงใจ


 


 


ความรู้สึกนี้ไม่เพียงไม่เลว อีกทั้งยังดีมาก


 


 


ใบหน้าเฉยชาและเย็นเยือกของเยี่ยเม่ย ในเวลานี้เผยความขบขันออกมา หัวใจเกิดกระแสความหวานล้ำ ปล่อยให้เขากุมมือเดินไป


 


 


เป่ยเฉินอี้จ้องมือที่กุมแน่นของพวกเขา สายตานิ่งขรึม ทำให้ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


 


จนกระทั่งเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออกจากเรือนเขาไป


 


 


ชิงเกอรีบเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “ท่านอ๋อง ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”


 


 


 “ไม่เป็นอะไรมาก” เป่ยเฉินอี้ตอบกลับเสียงนิ่ง เขามีพื้นฐานล้ำลึก หากมิใช่เพราะมีพิษอยู่ในร่างกาย ก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ แต่ว่าต่อให้ถูกพิษ กระบวนท่าไม่กี่ท่าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คิดทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ก็มิใช่เป็นไปไม่ได้


 


 


ระหว่างเอ่ย เป่ยเฉินอี้ก็ผละออกจากการพยุงของชิงเกอ


 


 


ชิงเกอรีบถอยไปอยู่ด้านข้าง เอ่ยปากละล้าละลังว่า “ท่านอ๋อง แม่นางเยี่ยเม่ยผู้นั้น ท่านเห็นว่าอย่างไร”


 


 


หน้าตาเช่นนี้เหมือนกับจงเจิ้งซีไม่มีผิดเพี้ยน การปรากฏตัวของสตรีนางนี้เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ


 


 


อย่าว่าแต่ท่านอ๋องไม่เชื่อ เขาเองก็ไม่เชื่อ


 


 


คนที่เคยเห็นจงเจิ้งซีจริงๆ ในปีนั้น ตอนนี้มีชีวิตเหลืออยู่ไม่กี่คนเท่านั้น แม้กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังไม่เคยเห็นนาง ดังนั้นสุดท้ายแล้วใครเป็นคนที่หาสตรีที่หน้าตาเหมือนจงเจิ้งซีปรากฏตัวต่อหน้าท่านอ๋อง


 


 


เป้าหมายคงจะต้องการต่อกรกับท่านอ๋องแน่


 


 


ชิงเกอสงบนิ่งไปครู่หนึ่ง พลันถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ใช่หน้ากากหนังมนุษย์หรือไม่”


 


 


สายตาเป่ยเฉินอี้ทวีความล้ำลึก “ตอนที่ข้าบีบคอนางตรวจสอบแล้ว ไม่มีหน้ากากหนังมนุษย์” 


 


 


เมื่อครู่ตอนบีบคอนางในระยะประชิด ไม่เพียงเพื่อบีบคั้นฐานะของนาง แต่ก็เพื่อให้มั่นใจว่า ใบหน้านางไม่มีหน้ากากหนังมนุษย์


 


 


ในใจของชิงเกอพลันเกิดการคาดเดาอย่างอาจหาญชนิดหนึ่ง “ท่านอ๋อง ท่านว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์หญิงซีจะไม่…”


 


 


หรือว่าสตรีนางนี้ เป็นจงเจิ้งซีจริงๆ ปีนั้นจงเจิ้งซียังไม่ตายหรือ


 


 


 


 


นี่ เป็นไปได้หรือ


 


 


ศพของจงเจิ้งซีฝังอยู่ในจวนอ๋องชัดๆ


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สายตาเป่ยเฉินอี้ก็สงบลง ทว่าเขาปิดตาลงในไม่ช้า “นางไม่ใช่อาซี”


 


 


 “ดูออกได้อย่างไรกัน” ชิงเกอมองเป่ยเฉินอี้คำรบหนึ่ง ไม่ช้าก็เอ่ยว่า “หากนางเป็นองค์หญิงซีจริงๆ เป็นไปได้ว่านางกลับมาแก้แค้น หากเป็นเช่นนี้นางแสร้งทำเป็นไม่รู้จักท่าน ก็เป็นไปได้ ข้าน้อยไม่เชื่อว่า โลกนี้จะมีคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันถึงขั้นนี้”


 


 


สิ้นเสียงเขา


 


 


เป่ยเฉินอี้ก็ลืมตา แววตายังล้ำลึกเหมือนเดิม “นางกับอาซี นอกจากใบหน้าที่เหมือนกันแล้ว เรื่องอื่นหาได้เหมือนกันไม่ อาซีมีนิสัยร่าเริง เยี่ยเม่ยเป็นคนเย็นชา อาซีมีกำลังภายในอยู่บ้าง ทว่าไม่ล้ำลึกนัก แต่เยี่ยเม่ย…  


 


 


เมื่อครู่นางร่นถอยไปก้าวหนึ่ง หลบเลี่ยงการโจมตีเอาชีวิตของตัวข้า ฝีมือเช่นนี้ อาซีทำไม่ได้ ยังมีอีกอย่างอาซีมีเมตตา ไร้เดียงสา ส่วยเยี่ยเม่ยผู้นี้ นางมีนิสัยเย็นชา แววตาท้าทายและครุ่นคิดของนาง ข้ามองออกว่านางมีนิสัยชอบสังหารโหด หากบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเสแสร้งขึ้นมา แต่ท่าทางที่เป็นความเคยชินของอาซี ไม่มีในตัวเยี่ยเม่ยเลย เรื่องพวกนี้แกล้งแสดงออกมาไม่ได้”


 


 


อย่างเช่นยามที่อาซีใคร่ครวญความคิด มักจับคาง ยามนางตื่นเต้น สายตามักกลอกไปซ้ายขวา ทั้งยังขาสั่นเล็กน้อย


 


 


แต่ว่าเยี่ยเม่ยผู้นั้น…ไม่มีเลยสักน้อย


 


 


คนเช่นนี้จะเป็นอาซีไปได้อย่างไร


 


 


พวกนางสองคน นอกจากใบหน้าแล้ว ไม่มีส่วนใดที่เหมือนกัน


 


 


ชิงเกอสงบนิ่งไปชั่วครู่ เอ่ยอย่างลังเล “เป็นไปได้หรือไม่ว่า หลังจากที่ปีนั้นองค์หญิงซีเผชิญความเปลี่ยนแปลงทำให้นิสัยเปลี่ยนไป กอปรกับนางมีโอกาสฝึกกำลังภายในจึงไม่เหมือนเดิมอีก”


 


 


อย่างไรเสียไม่ว่าใคร เมื่อประสบชะตากรรมบ้านเมืองล่มสลาย เห็นพ่อแม่ตายอนาถกับตาของตัวเอง ยังจะนิสัยเหมือนเดิมได้อย่างไร


 


 


หากบอกว่าเพราะประสบการณ์เช่นนี้ ทำให้นิสัยเปลี่ยนไปก็เป็นเรื่องปกติ


 


 


ชิงเกอเอ่ยถึงตรงนี้


 


 


เป่ยเฉินอี้พลันถอนใจ หลับตาลงอีกครั้ง ชิงเกอเห็นความอิดโรยบนในหน้าของเขา รวมถึงสูญสิ้นต่อความหวังสุดท้ายแล้ว


 


 


น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขา ค่อยๆ เอ่ยว่า “ข้าหวังให้เป็นเช่นนี้ ในโลกนี้ไม่มีใครหวังให้นางมีชีวิตอยู่ได้มากเท่ากับข้าอีกแล้ว แต่ว่าชิงเกอ สายตาที่นางมองข้าเป็นคนอื่นโดยสิ้นเชิง เป็นคนอื่นกระทั่งความแค้นยังไม่มีแฝงอยู่เลย”


 


 


อาซีสมควรแค้นเขา


 


 


แค้นจนแทบกินเนื้อสูบเลือดเขา


 


 


คนผู้หนึ่งแสร้งทำได้ ยามที่มองคนที่แค้นล้ำลึกราวกับไม่มีแม้แต่ท่าทางผิดปกติสักเล็กน้อย แต่จากสีหน้าของเยี่ยเม่ย เขาไม่พบพิรุธอะไรทั้งนั้น


 


 


นางปิดบังได้ดีขนาดนั้นจริงหรือ หรือว่าโลกนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ คนทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกันไม่ผิด


 


 


……


 


 


หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจูงมือพาเยี่ยเม่ยออกมา เขาก็ส่งนางกลับเรือน


 


 


เมื่อมาถึงหน้าประตู


 


 


เขาพลันทุบกำแพงเสียงดัง ผลักเยี่ยเม่ยเข้ากำแพง ริมฝีปากไม่พูดจากดจูบลงมา สอดลิ้นเข้าไป


 


 


เยี่ยเม่ยชะงักไปก่อนสักครู่


 


 


ใบหน้าแดงก่ำ ถูกเขายั่วเย้าอย่างรวดเร็ว ตอบรับเขาอย่างลืมตัว


 


 


จุมพิตร้อนแรง ลมหายใจร้อนระอุของเขา รดรินใบหน้าของนาง จ้องมองดวงตาของนาง ค่อยๆ เอ่ยว่า “ฮูหยิน เจ้าก็เห็นแล้วเป่ยเฉินอี้ถึงกับบีบคอเจ้า เพียงอยู่ข้างกายสามีถึงปลอดภัย เจ้าอย่าไปพบพวกผู้ชายโฉดพวกนั้นแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 176 ความหึงเป็นเหมือนสิ่งต้องห้ามของบุรุษ

 

เมื่อเขาเอ่ยออกมา กระแสเสียงยังมีความอ่อนโยนและเนิบช้าเหมือนเดิม


 


 


แต่ไม่รู้ว่าเยี่ยเม่ยเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า นางได้กลิ่นเปรี้ยวรุนแรงกระแสหนึ่ง คล้ายกับห่างไปร้อยลี้มีคนนับแสนกินบะหมี่ผักดอง จนได้กลิ่นเปรี้ยวฉุนจมูก


 


 


เยี่ยเม่ยมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า เลียนแบบท่าทางสุขุมของเขา เอ่ยปากว่า “ดังนั้น ท่านพูดแบบนี้ ก็เพราะกินน้ำส้ม[1]ใช่หรือไม่”  


 


 


ความจริงเรื่องที่เขาหึงชัดเจนมาก โดยเฉพาะกลิ่นเปรี้ยวฉุนมากพอรมให้คนตาย


 


 


แต่นางอยากฟังจากปากเขา อยากฟังคำว่า “หึง” คำนี้ จากปากของบุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาท่าทางสบายๆ


 


 


เมื่อนางเอ่ยออกมา


 


 


สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เผยแววโทสะสายหนึ่ง ก้มลงไปจูบปิดปากนางหนักๆ อีกครั้ง กลิ่นอายของบุรุษเพศอวลอยู่ในอก จูบของเขาเหมือนการปล้นชิง ทั้งยังแสดงอำนาจอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ถัดมา มือของเขารั้งเอวนาง กดร่างเข้ามาปะทะกับตัวเขาอย่างแรง


 


 


เยี่ยเม่ยในยามนี้ถูกจูบจนสติหลุดลอย ใบหน้าที่เย็นชามาตลอดยามนี้แดงก่ำ สายตาก็เลื่อนลอย


 


 


ลมหายใจของทั้งคู่ร้อนระอุ คล้ายแค่จุดประกายไฟเพียงเล็กน้อยก็พร้อมจะลุกโหม


 


 


นางผลักเขาออกด้วยความตื่นตระหนกลนลาน กังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเกิดเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ขึ้นมา


 


 


เมื่อรับรู้ถึงการต่อต้านของนาง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนใช้มืออีกข้างรวบข้อมือหญิงสาวเอาไว้ กดแน่นเหนือศีรษะ เขาล้วนมีท่าทีเชื่อฟังมาโดยตลอด วันนี้เป็นครั้งแรกที่แสดงความแข็งกร้าวออกมา


 


 


จากนั้นใช้ริมฝีปากบดเบียดริมฝีปากของเยี่ยเม่ยที่พยายามจะหลบหนีอย่างรุนแรง ไม่ยอมให้นางดิ้นหลุด


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยสับสนอลหม่าน หัวใจสั่นระรัวราวกับกลอง กระทั่งรู้สึกว่าร่างกายของตนมีการตอบสนองอยู่บ้าง นางร้อนผ่าวไปทั้งร่าง เกิดความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้นางรู้สึกงุนงง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี


 


 


ไม่รู้ว่าก้าวต่อไปนางควรจะทำอะไร ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้เขาชักนำ


 


 


จูบของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอุกอาจ รุนแรง และเร่าร้อน


 


 


ทำให้เยี่ยเม่ยเริ่มคิดโดยไม่รู้ตัวว่า หรือว่านี่จะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา นางขยับมือเล็กน้อย คิดหนีจากการควบคุมของเขา ทว่าเขากลับใช้กำลังที่มีมากกว่ากดข้อมือนางจนรู้สึกเจ็บนิดๆ ภายใต้รสจูบร้อนแรงของชายหนุ่ม ร่างกายของนางสิ้นแรงขัดขืน


 


 


นางหยุดดิ้นรนเพื่อไม่ให้ข้อมือเจ็บมากเกินไป เพราะเยี่ยเม่ยเข้าใจว่า เขาถูกคำพูดนางยั่วโมโหแล้วจริงๆ


 


 


จูบแบบฝรั่งเศสไม่นับว่าเป็นอะไร


 


 


แต่จูบแบบฝรั่งเศสแสนเนิ่นนานต่างหากที่จะเอาชีวิตคน


 


 


เขาปล้นจูบครู่หนึ่ง จนกระทั่งเยี่ยเม่ยรู้สึกวิงเวียน ลมหายใจติดขัด สงสัยว่าตนกำลังจะเป็นลมใช่หรือไม่


 


 


นางแค่นเสียงออกมาเบาๆ คำหนึ่ง “อย่า…”


 


 


เสียงนี้เบามากคล้ายกับเสียงคราง ความไร้เรี่ยวแรงนั้นทรงเสน่ห์อ่อนโยนของสตรี เยี่ยเม่ยในยามนี้หน้าแดงก่ำขึ้นไปอีก ไม่อยากเชื่อว่าเสียงเช่นนี้จะเป็นตนที่เปล่งออกมา


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมดูออกว่านางสิ้นเรี่ยวแรงขัดขืน เขาจึงหยุดจูบ แต่ยังไม่ลืมเลียริมฝีปากของหญิงสาว เพื่อตักเตือนว่าจูบร้อนแรงเมื่อครู่เป็นความจริง


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเผยแววปรารถนา ทว่าสุดท้ายก็ควบคุมเอาไว้ ไม่ให้ทำเรื่องที่เกินเลย


 


 


ดวงตาชั่วร้ายคู่นั้นจ้องมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงเสนาะหูมาตลอด ยามนี้อ่อนโยนอย่างถึงที่สุด ทำให้หญิงสาวรู้สึกชาวาบไปทั้งแผ่นหลัง “ฮูหยินกล่าวไม่ผิด สามีหึงจริงๆ ทั้งยังรุนแรงมากอีกด้วย”


 


 


ขณะเอ่ย ฝ่ามือใหญ่ปล่อยข้อมือเยี่ยเม่ยออก ลูบเรือนผมด้านหลังศีรษะหญิงสาวอย่างเบามือ ทำให้เยี่ยเม่ยในเวลานี้รู้สึกเสียววาบ


 


 


ไม่ช้า เสียงน่าฟังของเขาเจือความเอาแต่ใจและขบฟันเอ่ย “แม่นาง เจ้าต้องเข้าใจให้ดี เรื่องใดที่เยี่ยนคล้อยตามเจ้าได้ ในใจเยี่ยนเจ้าเป็นราชินีสูงส่ง แต่ว่าอย่ายั่วให้เยี่ยนหึงหวง ไม่เช่นนั้นเยี่ยนยังแสร้งเป็นสามีที่เชื่อฟังได้หรือไม่ เยี่ยนก็ไม่กล้ารับประกันอีก”


 


 


เขายอมรับออกมาง่ายๆ ตรงๆ ภาพลักษณ์สามีที่เชื่อฟัง ความจริงล้วนแสดงออกมา เยี่ยเม่ยอึ้งไปเล็กน้อย


 


 


ในขณะที่นางทึ่งอยู่นั้น


 


 


ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้าย เคลื่อนเข้ามาประชิดนาง น้ำเสียงอ่อนโยนค่อยๆ กล่าวว่า “เยี่ยนไม่สนใจว่าเมื่อก่อนเจ้ารู้จักกับเป่ยเฉินอี้หรือไม่ ทั้งไม่สนใจเรื่องราวที่ผ่านมาของพวกเจ้า แต่นับจากนี้ไปหากเจ้ายังใช้สายตาแบบนั้นมองเขา ต่อให้เยี่ยนจะอ่อนโยนและมีเมตตาก็ทนรับการท้าทายขีดจำกัดของเจ้าเช่นนี้ไม่ได้ อย่างนั้นเยี่ยนคงทำได้เพียงมัดเจ้าไว้กับเตียง รักถนอมเจ้าทั้งวันทั้งคืนเพื่อเตือนสติเจ้า ความหึงหวงเป็นดังของต้องห้ามของบุรุษ”


 


 


สายตาแบบที่นางมองเป่ยเฉินอี้หรือ


 


 


เยี่ยเม่ยยังอยู่ในอารามตกตะลึง โพล่งถามอย่างโง่งมประโยคหนึ่ง “ท่านพูดถึงสายตาแบบไหนกัน”


 


 


เมื่อเยี่ยเม่ยถาม เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ่งขบฟันแน่น


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้มหน้าลง ประทับจูบลงบนซอกคอขาวผ่องของนาง หลังจากรู้สึกเจ็บปวดน้อยๆ บนคอของเยี่ยเม่ยก็ปรากฏรอยจูบสีแดงรอยหนึ่ง ส่วนเขาดูจะพอใจกับตราประทับนี้เป็นอย่างมาก มือใหญ่ลูบคลึงรอยจูบบนคอเบาๆ


 


 


ยามนี้เยี่ยเม่ยก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


ก่อนหน้านี้ทำไมนางถึงไม่เคยรู้เลยว่า ตัวเองช่างอ่อนแอแบบนี้


 


 


นางกำลังกลัวอะไรกันแน่


 


 


คำถามสองข้อนี้เยี่ยเม่ยไม่ได้รับคำตอบ ในยามนี้สมองก็สับสน ไม่อาจครุ่นคิดคำตอบออกมาได้


 


 


เสียงขบฟันของบุรุษดังขึ้นข้างหูนาง แฝงไปด้วยความอันตราย “สายตาแบบไหนกันหรือ ยามที่มองเขาแล้วเหม่อลอย เยี่ยนยืนอยู่ข้างเขา ทว่าสายตาเจ้ามีเขาเพียงผู้เดียว ไม่มองที่เยี่ยนเลยสักครึ่งหนึ่ง เพราะอย่างนี้เยี่ยนถึงได้แค้นจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สูญเสียความเยือกเย็น ไม่อาจเสแสร้งทำสายตาอ่อนโยนเชื่อฟังได้อีก”


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร


 


 


เยี่ยเม่ยในเวลานี้กลืนน้ำลายเอื๊อก


 


 


ในฐานะสาวแกร่ง นางจำได้ว่าตัวเองไม่เคยขี้ขลาดเช่นนี้มาก่อน ครั้นมองเขาก็ยิ่งอึ้ง อย่างนั้นบุรุษเบื้องหน้าที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอ แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนแข็งกร้าวคนหนึ่งอย่างนั้นหรอกหรือ


 


 


ส่วนนางที่แข็งแกร่งมาตลอดกลับหวาดกลัวถึงขนาดนี้ ทั้งทนรับความเอาแต่ใจของเขาได้อย่างน่าประหลาด ออกจะชื่นชอบอยู่บ้างด้วยซ้ำ แท้ที่จริงแล้วนางเป็นพวกชอบถูกกระทำหรืออย่างไรกัน


 


 


ไม่


 


 


นางไม่อยากเชื่อ


 


 


เยี่ยเม่ยฝืนสงบใจลง มองท่าทางน่ากลัวและอันตรายของเขา จากนั้นค่อยๆ ดึงความเข้มแข็งของสาวแกร่งกลับมา จ้องมองดวงตาคู่ร้ายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากว่า  “นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของท่านหรือ”


 


 


ครั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยออกไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจับมือหญิงสาวแนบที่ใบหน้าของตน น้ำเสียงน่าฟังทว่าอันตราย ดังขึ้น “เจ้าเข้าใจเช่นนั้นก็ได้ เยี่ยนสามารถแสร้งทำตามที่เจ้าชื่นชอบได้ แต่ว่าเจ้าต้องจดจำเอาไว้ อย่าได้ท้าทายขีดจำกัดของเยี่ยน ครั้งหน้ายามเยี่ยนหึงจะทำอะไรไปบ้าง เยี่ยนก็ไม่อาจรับรองได้”


 


 


เดิมทีเยี่ยเม่ยคิดบีบให้เจ้าคนที่คล้ายไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นพูดคำว่าหึงออกมา


 


 


คิดไม่ถึงว่าจะบีบให้เขาพูดคำพูดเหล่านี้แทนเสียได้


 


 


ในขณะที่นางกำลังสงสัย เขาก็ปิดปากนางอีกครั้ง เอ่ยเสียงนุ่มว่า “ฮูหยิน เจ้าควรเข้าใจให้ดี คนที่ไม่ใส่ใจอะไรเลย เมื่อเขาเริ่มใส่ใจอะไรขึ้นมา นั่นก็คือความเด็ดขาดถึงขั้นฟ้าดินทลาย วันนี้พอแค่นี้ก่อน เยี่ยนไม่อยากทำให้เจ้าตกใจอีกแล้ว อย่างไรก็ตามโฉมหน้าที่แท้จริงของเยี่ยน บางทีอาจจะเข้มแข็งมากกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้มาก”


 


 


เยี่ยเม่ย “…”


 


 


ไฉนนางถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นกระต่ายขาวตัวน้อยที่ถูกหลอกให้เข้าสู่รังสุนัขจิ้งจอกไปได้กันนะ ?


 


 


 


 


 


 


[1] กินน้ำส้ม หมายถึง หึง 

 

 


ตอนที่ 177 นางรู้สึกว่าถูกหลอกให้แต่งงาน

 

เมื่อครู่เขาพูดว่าอะไรนะ


 


 


วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไม่อยากทำให้นางตกใจ…


 


 


อย่างนั้น นางจะขุดคุ้ยความจริงออกมาได้อย่างไร? หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาจะทำอะไรรุนแรงต่อไปอีกหรือเปล่านะ


 


 


ยังไม่ทันครุ่นคิดอย่างละเอียด


 


 


ริมฝีปากของเยี่ยเม่ยรู้สึกเจ็บเบาๆ นางค่อยได้สติขึ้นมา


 


 


ไม่ช้า เสียงกร้าวของบุรุษดังขึ้นที่ริมฝีปาก “ห้ามเหม่อ”


 


 


เยี่ยเม่ยหมดคำพูด นี่คือคำสั่งชัดๆ


 


 


ไฉนจู่ๆ นางถึงชอบความโรคจิตแบบนี้กันนะ


 


 


หรือเพราะใจจริงของนางชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ?


 


 


ยังไม่ทันคิดให้มากความ นางก็ตกอยู่ในจุมพิตเร่าร้อนของเขาอีก คนทั้งสองแนบสนิท เสื้อผ้าอาภรณ์ที่กั้นกายอยู่เปียกชื้นขึ้นมาก


 


 


มือของเขาเคลื่อนไปจับเอวเยี่ยเม่ยโดยไม่รู้ตัว


 


 


ในชั่วขณะนี้เอง…


 


 


เยี่ยเม่ยพลันตระหนักขึ้นมาได้ ผลักเขาออกอย่างแรง เตือนสติว่า “นี่มันกลางวันแสกๆ นะ”


 


 


มารดามันเถอะ


 


 


เขาคงไม่คิดจะทำเรื่องแบบนั้นตอนกลางวันหรอกนะ


 


 


เมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟังก็หยุดลง สายตาชั่วร้ายมองเยี่ยเม่ยด้วยความสงสัย น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นว่า “หากไม่ใช่เพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นร่างกายเจ้า เยี่ยนอยากครอบครองเจ้าต่อหน้าคนทั้งหลายด้วยซ้ำ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งทำให้เจ้าเข้าใจถึงโทสะของเยี่ยน ”


 


 


เขาไม่ได้โมโหเป่ยเฉินอี้เพียงคนเดียวเท่านั้น 


 


 


ยังมีเยี่ยเม่ยอีกคนด้วย


 


 


เพียงแต่ต่อให้การกระทำของนางสร้างความไม่พอใจให้เป่ยเฉินอี้ เขาก็ยอมให้เป่ยเฉินอี้บีบคอนางไม่ได้ 


 


 


ให้ตายเถอะ


 


 


เยี่ยเม่ยสงสัยว่าเขาเป็นบ้า


 


 


ถึงได้มีความคิดบ้าๆ เช่นนี้


 


 


จากนั้นเยี่ยเม่ยสงบลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นปีศาจที่เชี่ยวชาญการทรมานจิตใจคน เขามีนิสัยอย่างไรนางเข้าใจอย่างถ่องแท้ เขาจะอดทนเพื่อนางทุกเรื่อง คล้อยตามนางอยู่ตลอด เชื่อฟังครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


นางยังหลงคิดอย่างโง่งมว่า เขาเป็นกระต่ายน้อยสีขาวที่รังแกได้ง่ายๆ เท่านั้น


 


 


นางปรายตามองเขาด้วยความสงสัย เอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกว่า…”


 


 


 “เจ้าไม่ต้องรู้สึก” เขาเอ่ยตัดบทเยี่ยเม่ยอย่างเอาแต่ใจ ดวงตาคู่ร้ายจับจ้องนัยน์ตาของหญิงสาว “เจ้าจำไว้แต่ว่า เจ้าเป็นคู่หมั้นของเยี่ยน เป็นสตรีที่มีการหมั้นหมายแล้ว ส่วนเยี่ยนก็ไม่ถือสา หากต้องแสดงหน้าที่ของสามียามที่เจ้าไม่เชื่อฟัง ใกล้ชิดกับบุรุษอื่นจนเกินเหตุ”


 


 


เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย สายตาเขาเผยความยั่วยวนใจ ทั้งยังมีความคลุมเครือบางอย่างที่ยากอธิบายได้


 


 


หน้าที่ของสามีคืออะไรกัน


 


 


คืออะไรนะ


 


 


หากเยี่ยเม่ยไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์สูงส่งของตัวเองไว้ นางอยากด่าว่าเขาเป็นไอ้ลามกสักคำเลยด้วยซ้ำ


 


 


เห็นท่าทางแข็งกร้าวของเขา ไม่คล้ายเชื่อฟังเหมือนที่ผ่านมาอีก เวลานี้เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าป้ายหยกครึ่งท่อนที่เป็นของหมั้นหมายในอกนางร้อนเป็นอย่างมาก นางแทบอยากเอามันออกมา ยัดกลับใส่มือเขาไปเสีย


 


 


นางรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกให้แต่งงานแล้ว


 


 


 


 


ในระหว่างที่นางอยู่ในความเดือดดาล เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันก้มลงจูบนางอีกครั้ง ลมหายใจร้อนระอุ ค่อยๆ กล่าวว่า “ฮูหยิน เจ้าต้องเข้าใจนะ การยอมให้เจ้าพูดคุยกับบุรุษผู้อื่น ใกล้ชิดกับบุรุษอื่นเป็นการยินยอมอย่างถึงที่สุดของเยี่ยนแล้ว อย่าได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเยี่ยน ยั่วให้เยี่ยนโมโหอีก ได้ไหม”


 


 


เยี่ยเม่ยพลันตะลึงงัน


 


 


อนุญาตให้พูดคุยหรือเข้าใกล้บุรุษผู้อื่น ที่แท้เป็นการยอมของเขาแล้ว ทั้งยังถึงขั้น ‘ยินยอมอย่างถึงที่สุดอีกด้วย’


 


 


ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของเขามากมายขนาดไหนกันเชียวนะ


 


 



 


 


หลังจากจูบนั้นผ่านไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอุ้มเยี่ยเม่ยขึ้นทันที ช่วงเวลาที่คล้ายโลกหมุนนั้น เขาก็อุ้มหญิงสาวเดินเข้าห้องของนางไป วางเยี่ยเม่ยบนเตียงนอน จากนั้นเขากดนางไว้ใต้ร่างอย่างรวดเร็ว


 


 


คราวนี้เยี่ยเม่ยลนลานแล้ว “นี่ ท่าน…”


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่ทำอะไรต่อ


 


 


เพียงกดเยี่ยเม่ยไว้ใต้ร่าง นางรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเขา รู้ว่าบุรุษผู้นี้เกิดความปรารถนาแล้ว จึงไม่กล้าขยับส่งเดชอีก


 


 


ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังควบคุมตัวเอง น้ำเสียงแหบพร่า ดังขึ้นข้างหูนาง “ข้าต้องการเจ้า”


 


 


 “ผึง ” เสียงดังขึ้น เยี่ยเม่ยรู้สึกคล้ายเส้นสมองขาด มึนเวียนไปหมด ใบหน้าร้อนผ่าวเป็นสีแดงราวกับกุ้งต้มสุก มือไม้สะเปะสะปะไม่รู้จะผลักเขาออกไปอย่างไร กลัวว่าหากไม่ผลักเขาออกเขาจะกระทำการบางอย่าง แต่ก็กลัวว่าหากผลักเขาออกแล้ว กลับทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้อีก


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคล้ายรับรู้ถึงความลนลานของเยี่ยเม่ยเช่นกัน เขาแค่นหัวเราะเบาๆ ประทับจูบลงที่คอของนาง ค่อยๆ กล่าวว่า “วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่การเรียกร้องเอาความรัก เพียงแค่อยากบอกเจ้าว่าเยี่ยนคิดถึงเจ้ามากเพียงไหน เยี่ยนมีความอดทนพอ รอให้เจ้าพร้อมเสียก่อน เพียงแต่ อย่าได้ยั่วโทสะเยี่ยน ทำให้เยี่ยนต้องบังคับฝืนใจเจ้าเพราะความโมโหได้หรือไม่ เยี่ยนกลัวจะทำร้ายเจ้า”


 


 


เมื่อเขาเอ่ยจบ เยี่ยเม่ยพานหน้าแดงไปกันใหญ่


 


 


ไม่รู้เพราะความสัมพันธ์ฉันท์คู่หมั้นของพวกเขา หรือเพราะว่านางชอบเขาจริงๆ ยามนี้เยี่ยเม่ยไม่มีความคิดจะตีหรือใช้เท้าถีบเขาออกไปเลยสักน้อย


 


 


ครั้นเห็นนางไม่พูดจา ทั้งไม่โกรธ สายตาที่มองเขามีความระแวงและระวัง กลับทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสงบใจลงได้


 


 


เป้าหมายของเขาในยามนี้ ไม่ใช่การทำให้นางตกใจ ทั้งไม่ใช่ทำให้นางกลัวเขา


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระชับอ้อมกอด เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ขอกอดเจ้าสักครู่ เพื่อสงบความต้องการในตัวเยี่ยน”


 


 


เยี่ยเม่ยไม่พูดจา


 


 


เขาก็ไม่พูดจา


 


 


ผ่านไปสักพัก เยี่ยเม่ยมองใบหน้าของเขาอย่างโง่งม ถามว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า ตัวเองถูกหลอกให้แต่งงานแล้ว”


 


 


น้ำเสียงไม่มีความเย็นชาเหมือนเคย เต็มไปด้วยความน่ารัก


 


 


เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็ก้มลงไปปิดปากนางด้วยจูบที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน กล่าวว่า  “ผิดแล้ว ทั้งหมดคือการเข้าใจผิด คนที่รักชอบกันจะไม่แต่งงานกันได้อย่างไร ไฉนถึงกลายเป็นหลอกให้แต่งงานไปได้”


 


 


อ้อ


 


 


ก็ดูจะมีเหตุผลอยู่บ้าง


 


 


รักชอบกันหรือ


 


 


ยามนี้หน้าเยี่ยเม่ยแดงแล้วแดงอีก รู้ว่าชอบเขาก็จริง แต่รู้สึกมาตลอดว่าขาดอะไรบางอย่าง ยังไม่ถึงขั้นรัก


 


 


จนกระทั่งวันนี้


 


 


เขาแสดงด้านแข็งแกร่งเอาแต่ใจออกมา การกระทำต่างๆ นานาของเขา ทำให้นางรู้สึกชอบอย่างน่าแปลกใจ กระทั่งชอบมากกว่าที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ ทำให้ความรักชอบของนางที่มีต่อเขาเริ่มเหมือนเรือที่ลอยสูงขึ้นเพราะปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น[1] เอ่ออยู่ในใจจะแทบจะล้นทะลักออกมา


 


 


นางอดคิดไม่ได้ว่า หรือนี่จะเป็น…ความรักกัน


 


 


 “ปึ้ง” เยี่ยเม่ยรู้สึกคล้ายสมองจวนจะระเบิดออก


 


 


อย่างนั้น นางชอบ…เป็นฝ่ายถูกกระทำจริงๆ เหรอเนี่ย ?


 


 


ชอบให้คนใช้คำพูดข่มขู่กดดันเช่นนี้หรือ ชอบให้คนกดมือนางไว้ปล้นจูบอย่างนั้นหรือ ชอบฟังคำเตือนที่เต็มไปด้วยความหึงหวงของบุรุษอย่างนั้นหรอกหรือ ให้ตายเถอะ นางป่วยใช่หรือไม่


 


 


เขายิ่งจูบก็ยิ่งร้อนแรง


 


 


ในชั่วขณะที่สับสนว่าตนเป็นพวกชอบถูกกระทำหรือไม่ เป็นสตรีที่เสียสติหรือเปล่า นางก็ถูกเขาดึงเข้าสู่จุมพิตอ้อยอิ่ง ลืมเรื่องที่ตนถูกหลอกให้แต่งงานไปจนหมดสิ้น เรื่องที่คิดจะโยนป้ายหยกครึ่งชิ้นคืนเขาก็ถูกสลัดทิ้งไปไกลโยชน์


 


 


ยามที่ร่างกายของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดพัวพัน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ยุ่งเหยิงต่อไป


 


 


หลังจากจูบนี้ผ่านไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงยหน้าขึ้น สาบเสื้อเขาเปิดออก เยี่ยเม่ยมองแผงอกที่เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง งดงามเป็นอย่างมาก


 


 


นางหน้าแดงก่ำ เบือนหน้าหนีไม่กล้ามองอีก


 


 


กลัวว่าหากยังมองเขามากอีกหน่อย นางจะถูกความงดงามล่อลวง กลายร่างเป็นหมาป่าสาวไปเสีย


 


 


แววตาเช่นนี้ของเยี่ยเม่ยไม่อาจหนีพ้นสายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน


 


 


           เขายื่นมือออกมาจับหัวของนางหันกลับไปมอง น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยอย่างเย้ายวนว่า “อยากมองก็มอง ช้าเร็วอย่างไรก็เป็นของเจ้าอยู่ดี”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม