เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 171-174

ตอนที่ 171 ทำไมอยู่ๆ ผู้หญิงถึงได้โกร...

 

กู้จิ้งเจ๋อออกจะงงเล็กน้อย ทำไมอยู่ๆ หลินเช่อถึงจะไปร่วมงานอีเวนต์ขึ้นมาได้ล่ะทั้งที่เธอไม่ได้บอกเขาล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด 


 


 


หรือบางทีเธออาจจะเห็นเขามัวแต่ยุ่งๆ ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเพราะเรื่องโม่ฮุ่ยหลิงพยายามฆ่าตัวตาย เธอก็เลยไม่ได้บอกเขา 


 


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินเช่อเป็นคนเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี เวลาที่เขายุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงาน เธอก็ไม่เคยเลยที่จะสร้างปัญหาหรือตัดพ้อแง่งอนอะไร 


 


 


 


 


 


ในขณะเดียวกัน หลินเช่อกำลังขึนเครื่องบินไปยังเมือง S ที่ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์คริสต์มาส 


 


 


เมื่อเดินทางไปถึง เธอก็ตรงไปยังโรงแรมทันทีเพื่อพักผ่อน อวี๋หมินหมิ่นเดินทางมาพร้อมกันกับเธอด้วย ขณะเดินไปด้วยกัน ผู้จัดการสาวก็เอ่ยขึ้นว่า “กู้จิ้ิ้งอวี่นี่ใจกว้างจังเลยเนอะ อุตส่าห์ชวนเธอมาร่วมงานใหญ่แบบนี้ด้วยน่ะ” 


 


 


หลินเช่อจึงถามขึ้นว่า “นี่เป็นงานใหญ่มากเลยเหรอคะ” 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “รายการวาไรตี้ที่ผลิตโดยสถานีโทรทัศน์ของเมือง S นี่เป็นรายการที่มีชื่อเสียงมาก สำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี่ พวกเขาจะเชิญคนดังๆ มาร่วมงานกันเต็มไปหมด ถ้าถึงเวลาออกอากาศก็รับประกันได้เลยว่าว่าเรตติ้งคนดูต้องสูงลิ่วแน่นอน นี่เป็นงานใหญ่มาก คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางได้รับเชิญมาร่วมงานแน่ เธอเองยังไม่เคยมีโอกาสได้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่แบบนี้ เพราะฉะนั้นพอถึงวันงานที่เธอได้เข้าไปเป็นแขกรับเชิญละก็ ทุกอย่างจะต้องออกมายอดเยี่ยมแน่ ลองคิดดูสิ งานอีเวนต์ที่กู้จิ้ิ้งอวี่ยินดีจะมาร่วมน่ะไม่มีทางเป็นงานห่วยๆ ไปได้หรอก” 


 


 


เมื่อหลินเช่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า เธออารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่จึงไม่สนใจจะซักไซ้อะไรมากไปกว่านั้น เมื่อมาถึงโรงแรม หญิงสาวก็จัดแจงล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมลงไปซ้อมคิว เธอได้ยินทางทีมผู้จัดการบอกว่าจะให้เธอขึ้นร้องเพลงคู่กับนักร้องดังคนหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่หลินเช่อไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน และมันน่าจะทำให้เธอเป็นกังวลอยู่ในตอนนี้ แต่ก็กลับไม่เป็นเช่นนั้น หญิงสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อัดแน่นอยู่เต็มอก 


 


 


นี่กู้จิ้งเจ๋อคงยังดูแลโม่ฮุ่ยหลิงอยู่สินะ 


 


 


ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ เพราะตอนที่เธอออกจากบ้านมาก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดๆ จากเขาเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ยิ่งคิด หลินเช่อก็ยิ่งอารมณ์เสียหนักขึ้นไปอีก จนตอนนี้เริ่มจะกลายเป็นความโกรธขึ้นมาตงิดๆ แล้ว ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังปิดกั้นหัวใจเธอ จนไม่สามารถทำใจปล่อยวางความขุ่นข้องลงได้เหมือนเช่นทุกครั้ง 


 


 


ให้ตายสิ อีตาผู้ชายบ้านี่ บางครั้งเขาก็คอยมาวุ่นวายอยู่ใกล้เธอ แต่บางครั้งเขาก็ยังคงห่วงหาอาทรโม่ฮุ่ยหลิงทั้งที่ก็เลิกรากันไปแล้ว 


 


 


หลินเช่อก่นด่าชายหนุ่มอยู่ในใจ 


 


 


อีตาบ้า อีตาบ้า 


 


 


ก็ไหนเขาบอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับหล่อนไม่ได้สนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อน และหล่อนก็ไม่ได้เป็นคนรักของเขาอีกแล้วไม่ใช่หรือไงนะ 


 


 


แต่เมื่อลองได้คิดดู หลินเช่อก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดขาดกันได้ง่ายๆ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็รักใคร่กันมาตั้งแต่เด็ก แถมตอนนี้โม่ฮุ่ยหลิงก็ยังใช้ความเป็นความตายมากดดันชายหนุ่มอีก กู้จิ้งเจ๋อคงทั้งกลัดกลุ้มและรู้สึกผิดจนอยากจะตัดแขนที่ตบหน้าหล่อนทิ้งเป็นกำลัง 


 


 


ส่วนที่หลินเช่อกำลังหงุดหงิดฟึดฟัดอยู่ตอนนี้ ก็เป็นเพราะความมากบทบาทเล่นใหญ่เกินจริงของโม่ฮุ่ยหลิงนั่นแหละ 


 


 


ความรู้สึกนี้ยากเกินกว่าจะทนรับไหวและนั่นทำให้เธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงจนไม่สามารถนอนหลับได้ แต่แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็โทรมาหาเธอในช่วงเวลานี้ 


 


 


ทันทีที่หญิงสาวเห็นหมายเลขที่โทรเข้ามา เธอก็ตวัดเสียงอย่างฉุนเฉียวใส่ว่า “มีอะไร” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตกใจจนชะงักไปก่อนจะถามขึ้นที่ปลายสายว่า [ทำไมอยู่ๆ เธอถึงได้เดินทางไปร่วมงานอีเวนต์ล่ะ] 


 


 


“อะไรกัน นี่ฉันจะไปงานอะไรไม่ได้เลยหรือไงคะ นี่มันก็ใกล้จะคริสต์มาสแล้ว ต่อจากนั้นก็คือวันส่งท้ายปีเก่า ดาราสุดฮอตประจำปีอย่างฉันก็ต้องมีงานเลี้ยงมากมายให้ต้องไปร่วมอยู่แล้วนี่คะ” 


 


 


[หลินเช่อ นี่เธอ…เป็นอะไรไปน่ะ] กู้จิ้งเจ๋อสัมผัสได้ว่าหญิงสาวพูดจาด้วยน้ำเสียงที่กระด้างกว่าปกติ จึงถามขึ้นด้วยความงุนงง 


 


 


“หมายความว่ายังไงคะ เป็นอะไร” 


 


 


[ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกว่าเธอพูดจาแปลกๆ ไปน่ะ] 


 


 


“ก็ต้องแปลกสิคะ ฉันรีบตะกายมาขึ้นเครื่องบินตั้งแต่เช้าตรู่ และตอนนี้ก็ไม่สบายตัวเอาเลยด้วย เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้วละก็ อย่ามากวนใจฉันอีกนะคะ ฉันจะนอนแล้ว” 


 


 


[เธอไม่สบายเหรอ] เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มนั่งไม่ติด [ฉันจะส่งคนไปดูอาการเธอ เธอพักอยู่โรงแรมอะไรล่ะ] 


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวได้นอนซักงีบก็หาย ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ก็อย่าโทรมากวนฉันอีกก็แล้วกัน” 


 


 


เมื่อพูดจบ เธอก็วางสายไปทันที 


 


 


 


 


 


ที่โรงพยาบาล 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปแล้ว ชายหนุ่มก็มองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางสายไปด้วยความรู้สึกสับสน 


 


 


สองสามชั่วโมงต่อมา เขาก็ตัดสินใจโทรไปอีกครั้ง 


 


 


หลินเช่อที่เพิ่งงีบหลับไปได้สองสามชั่วโมงก็สะดุ้งตื่นด้วยเสียงสายเรียกเข้า หญิงสาวคว้าโทรศัพท์มาและกรอกเสียงถามลงไปว่า [อะไรอีกล่ะ] 


 


 


“ไม่มีอะไร ก็แค่จะโทรมาถามว่าตื่นหรือยัง แล้วดีขึ้นบ้างมั้ย” 


 


 


[ยังค่ะ! ก็คุณนั่นแหละที่โทรมาปลุก] หลินเช่อต่อว่า 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นละก็ พอดีเมื่อกี้ฉันไม่ได้ถาม แต่ไหนๆ เธอก็ตื่นแล้ว ไอ้งานอีเวนต์นี่จะเสร็จเมื่อไหร่ล่ะ แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะกลับบ้าน” 


 


 


[ทำไมคะ มันสำคัญอะไรด้วยเหรอ] หลินเช่อถาม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “สำคัญสิ ครอบครัวฉันอยากกินอาหารเย็นพร้อมหน้ากันวันส่งท้ายปีเก่า พวกเขาถามว่าเธอจะกลับมาทันหรือเปล่าน่ะ” 


 


 


[ตายจริง นั่นเรื่องสำคัญมากเลยนะคะเนี่ย กู้จิ้งเจ๋อ แต่ฉันจำได้ว่าตอนที่เราแต่งงานกัน ฉันไม่เคยตกลงว่าจะช่วยรับมือเรื่องครอบครัวของคุณด้วยนะคะ มันออกจะเป็นการเอาเปรียบฉันเกินไปหน่อยนะ ทีฉันยังไม่ให้คุณต้องมาวุ่นวายกับครอบครัวฉันเลย นี่ฉันออกมาทำงานข้างนอก ฉันยังได้ค่าตัว เพราะฉะนั้นฉันไม่มีทางทำให้ฟรีๆ แน่ คุณจะต้องจ่ายค่าตัวมาค่ะ] 


 


 


“โอเคๆ เธอต้องการเท่าไหร่ล่ะ” 


 


 


[ครั้งละสิบล้าน] 


 


 


“นี่ เดี๋ยวนี้ชักหัวการค้านะ!” 


 


 


[ทำไมละคะ ฉันจะรู้ว่าเราจะหย่ากันเมื่อไหร่ ถ้าฉันไม่ฉวยโอกาสกอบโกยไว้ตั้งแต่ยังเป็นคุณนายตระกูลกู้ อนาคตฉันก็ลำบากน่ะสิคะ ทำไมคะ คุณเริ่มนึกเสียใจแล้วละสิ ชีวิตคนจนๆ อย่างฉันมันก็พูดกันตรงๆ แบบนี้นี่แหละค่ะ ไม่โรแมนติกเหมือนคุณหนูโม่ของคุณหรอก ใช่ไหมล่ะ เพราะคืนนั้นคุณไม่รู้จักควบคุมร่างกายส่วนล่างของตัวเองให้ดียังไงล่ะ เฮอะ] 


 


 


“หลินเช่อ…ฉันคิดว่าบางทีเธอน่าจะไปหาหมอหน่อยนะ” 


 


 


[ทำไมคะ] 


 


 


“ฉันคิดว่าบางทีเธออาจจะป่วยก็ได้” กู้จิ้งเจ๋อว่า 


 


 


[นี่คุณ…คุณหาว่าใครเสียสติน่ะ คุณนั่นแหละที่เสียสติ!] 


 


 


“ฉันแค่คิดว่าเธอน่าจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่” กู้จิ้งเจ๋อบอก 


 


 


หลินเช่อตะโกนลั่นด้วยความโกรธจัด [คุณนั่นแหละที่ผิดปกติ! ตาซ้ายคุณน่ะมองได้แค่ 0.1 ส่วนตาขวาก็มองได้แค่ 0.01 ตาคุณน่ะใกล้จะบอดเต็มทีแล้ว เพราะฉะนั้น คุณนั่นแหละที่ต้องไปหาหมอ] 


 


 


ก็ถ้าเขาไม่ตาบอด เขาจะไปชอบผู้หญิงร้ายกาจอย่างโม่ฮุ่ยหลิงลงได้ยังไงกัน 


 


 


เมื่อหลินเช่อพูดจบ เธอก็วางสายโครมอย่างหัวเสียหนัก 


 


 


 


 


 


ที่โรงพยาบาล 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกำลังอยู่กับเฉินอวี่เฉิง 


 


 


นายแพทย์หนุ่มเฝ้ามองดูหลินเช่อวางสายใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง เขาพอจะได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ และกำลังอยากจะหัวเราะเต็มแก่แล้วแต่ก็ทนกลั้นเอาไว้ 


 


 


เฉินอวี่เฉิงได้แต่มองไปทางกู้จิ้งเจ๋อแล้วอมยิ้มอย่างมีเลศนัย 


 


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่กู้จิ้งเจ๋อผู้ยิ่งใหญ่ถูกผู้หญิงขู่แว้ดๆ เอาได้แบบนี้นะ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “ในความเห็นของนาย นายคิดว่าอะไรที่ทำให้ผู้หญิงอารมณ์เสียขึ้นมาได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงว่า “บางทีอาจเกิดจากการความพยายามที่จะเก็บกดปฏิกริยาทางร่างกายเอาไว้นานเกินไป จนไม่มีโอกาสได้ปลดปล่อยก็เป็นได้นะครับ” 


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อมองผู้เป็นนายแพทย์ด้วยสีหน้าบึ้งตึง 


 


 


เฉินอวี่เฉิงพยายามปลอบประโลมอีกฝ่ายอย่างจริงใจว่า “ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่เราจะมานั่งถกกันถึงจิตวิทยาของผู้หญิงกันน่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดก็ตามของผู้หญิง มันสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีเดียวเท่านั้น” 


 


 


“อะไร” กู้จิ้งเจ๋อถามพลางมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง 


 


 


“โยนเธอลงบนเตียงกับก็มีเซ็กส์กับเธอซะน่ะสิ แล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง” 


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อทำหูทวนลมใส่คำแนะนำแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “เขาเป็นอะไรของเขานะ” 


 


 


“ว่าแต่คุณไปทำอะไรให้เธอโมโหล่ะครับ” เฉินอวี่เฉิงยังกระหายที่จะให้คำแนะนำไม่เลิก 


 


 


แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินระดับสติปัญญากู้จิ้งเจ๋อด้านความเข้าใจผู้หญิงและความรักสูงเกินไปหน่อย 


 


 


เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่เขาควรจะรู้ได้แล้ว 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเพียงแต่เอ่ยเบาๆ ว่า “ก็ไม่นะ หลินเช่อไม่ใช่คนขี้โมโหซักเท่าไหร่” 


 


 


ชายหนุ่มคิดไม่ออกเอาเลยจริงๆ เขาไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้หญิงสาวไม่พอใจเข้า 


 


 


อย่างไรก็ตามเมื่อกลับถึงบ้าน กู้จิ้งเจ๋อก็ซึมไปไม่น้อยเมื่อมองเห็นเตียงนอนที่ว่างเปล่าในห้อง 


 


 


ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยบางอย่างกำลังล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในหัวใจ จนกระทั่งชายหนุ่มได้รู้ตัวว่าเขากำลังคิดถึงหลินเช่อใจแทบขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือจะเชื่อสำหรับเขาเป็นที่สุด  

 

 


ตอนที่ 172 คุณช่วยเลิกยุ่งกับฉันสักที...

 

หลังจากใส่อารมณ์กับกู้จิ้งเจ๋อไปเต็มที่ อารมณ์หลินเช่อก็เริ่มคลี่คลายลงทีละน้อย แล้วทันใดนั้น เธอก็เริ่มนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง สิ่งที่เธอเป็นอยู่นี้ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ…


 


 


เธอทั้งโกรธทั้งขุ่นข้องหมองใจ จนถึงขนาดพูดจาไม่ดีใส่เพียงเพราะเขาไปอยู่เป็นเพื่อนผู้หญิงคนอื่น นี่เป็นเพราะว่าเธอเริ่มชอบกู้จิ้งเจ๋อแล้วงั้นเหรอ


 


 


แต่มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน…


 


 


เธอกับเขาตกลงกันแล้วนี่นาว่านี่เป็นการแต่งงานโดยปราศจากความรัก ทั้งคู่จะหย่ากันเมื่อถึงเวลาอันสมควร ถ้าเธอยังดันทุรังไปรักเขาทั้งที่ตกลงกันไว้แล้วแบบนี้ก็มีแต่จะทรมานตัวเองเท่านั้น


 


 


โชคดีที่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อวี๋หมินหมิ่นก็เข้ามาบอกว่าได้เวลาลงไปแล้ว หลินเช่อจึงรีบลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวลงไปซักซ้อม หญิงสาวสลัดหัวเพื่อหยุดตัวเองให้เลิกคิดเรื่องเหลวไหลแบบนั้นซะที


 


 


เมื่อมาถึงบริเวณจัดงาน กู้จิ้งอวี่ก็ดึงหลินเช่อเข้าไปหาทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในงาน


 


 


“หลินเช่อ โอ้ ทำไมช่วงนี้เธอถึงได้ผอมนักล่ะเนี่ย ไม่ได้เจอฉันนานเลยคิดถึงงั้นรึไง”


 


 


“นี่ถามจริงเถอะนะ…ใครจะไปคิดถึงคุณกัน” หลินเช่อมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


 


“นี่เธอจะไม่นึกชอบฉันบ้างเลยสักนิดรึไงนะ ดูที่ฉันอุตส่าห์ทำสิ เพราะรู้ว่าเธอยุ่งมาก ฉันก็เลยเจียดเวลาเป็นฝ่ายมาหาเธอเองเลยนะ”


 


 


“นั่นเป็นเพราะว่าคุณเบื่อมากจนต้องโทรตามฉันให้มาอยู่เป็นเพื่อนคุณตอนถ่ายทำรายการนี้ต่างหากละคะ” หลินเช่อเปิดโปงความตั้งใจของอีกฝ่ายโดยไม่รั้งรอ


 


 


“ใช่เลยแหละ ดูเหมือนว่าเธอจะยังเข้าใจฉันดีทีเดียวนะเนี่ย ถ้างั้นฉันจะยอมยกโทษให้ก็ได้”


 


 


เมื่อทั้งสองเข้าไปในงาน พวกเขาก็เริ่มพูดคุยสนทนากันอย่างเต็มที่ บรรดาทีมงานจึงได้รู้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งคู่ในช่วงเริ่มต้นนั้นบัดนี้ได้พัฒนางอกงามขึ้นไปอีกหลายเท่าแล้ว


 


 


ปกติแล้วกู้จิ้งอวี่ไม่แยแสใครสักนิด แต่เขากลับทำตัวตรงกันข้ามเมื่ออยู่กับหลินเช่อ


 


 


ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น ใครบางคนก็โผล่พรวดพราดขึ้นมาทางด้านหลังและเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง


 


 


“หลินเช่อ!” คนร้องทักเหวี่ยงแขนขึ้นมาโอบรอบคอหลินเช่อด้วยความประหลาดใจระคนยินดี “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย”


 


 


ฉินหวานหว่านนั่นเอง


 


 


หลินเช่อร้องขึ้น “อ้าว เธอก็มาด้วยเหรอ นี่ฉันมาซ้อมน่ะ”


 


 


“ฉันก็เหมือนกัน” ฉินหวานหว่านบอก “ฉันมากับกู้จิ้งอวี่น่ะ” เธอหันหน้าไปทางชายหนุ่ม แต่กู้จิ้งอวี่กลับไม่ได้มีท่าทีสนใจแต่อย่างใด หนำซ้ำยังยกน้ำขึ้นดื่มโดยไม่อินังขังขอบ


 


 


แต่ฉินหวานหว่านก็ไม่ได้ใส่ใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเคยชินกับอุปนิสัยแบบนี้ของเขาเสียแล้ว


 


 


แล้วหลินเช่อก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองเคยร่วมงานกันมาก่อนแล้วในงานถ่ายทำซีรีส์โทรทัศน์เรื่องหนึ่ง


 


 


การซักซ้อมเริ่มขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งคู่จึงพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกัน


 


 


หลินเช่อนั่งอยู่ทางด้านหลัง มองดูฉินหวานหว่านกำลังซักซ้อมการแสดงกับกู้จิ้งอวี่ ทั้งสองคนต้องร้องเพลงประกอบซีรีส์ที่แสดงด้วยกัน


 


 


บริเวณด้านหลังนั้นมีนักแสดงรุ่นเล็กสองสามคนกำลังซุบซิบกันว่าฉินหวานหว่านน่าจะกลายเป็นดาราดังในไม่ช้านี้แน่ๆ


 


 


“ใครที่ได้จับคู่กับกู้จิ้งอวี่ก็ดังทุกคนนั่นแหละ แล้วฉินหวานหว่านก็เข้ากับคนเก่งจะตายไป ไม่ช้าก็เร็วเธอต้องดังระเบิดแน่ ฉันเดาได้”


 


 


ทว่าระหว่างที่ทั้งคู่ให้สัมภาษณ์คู่กันอยู่นั้น แม้ทั้งกู้จิ้งอวี่และฉินหวานหว่านจะมีท่าทีเป็นมิตรกันเป็นอันดี แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับตรงกันข้ามจนทำให้ผู้สื่อข่าวมองออกและยิงคำถามใส่ฝ่ายหญิงว่า “คุณกับกู้จิ้งอวี่ยังทำงานด้วยกันได้ดีอยู่หรือเปล่าครับ”


 


 


ฉินหวานหว่านยิ้มแล้วตอบว่า “ฉันกับกู้จิ้งอวี่เข้ากันได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ ฉันได้เรียนรู้จากเขาหลายอย่างเลยละ”


 


 


“คุณไม่คิดว่ากู้จิ้งอวี่เป็นคนเข้ากับคนยากหรอกหรือครับ เขาขึ้นชื่อเรื่องนั้นนะ”


 


 


ฉินหวานหว่านว่า “ก็ไม่เชิงนะคะ พี่จิ้งอวี่ก็ทำตัวแบบนี้กับทุกคนอยู่แล้ว ฉันเข้าใจดีว่าเขาต้องใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าจะสนิทสนมกับใครได้ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนเข้ากับคนอื่นยากตรงไหน”


 


 


แต่แล้วบรรดานักข่าวก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้ฉินหวานหว่านรู้สึกเหมือนถูกตบเข้าที่หน้าฉาดใหญ่


 


 


เพราะพวกเขาจับภาพตอนที่กู้จิ้งอวี่รีบปลีกตัวออกไปเดินหาหลินเช่อได้พอดี แม้ว่าทั้งกู้จิ้งอวี่และหลินเช่อจะไม่ได้อยู่ในโชว์เดียวกัน แต่เขากลับไปพูดคุยกับเธออย่างกระตือรือร้น รวมถึงกินป๊อปคอร์นจากถังใบเดียวกันกับเธอด้วยซ้ำ


 


 


ระหว่างการสัมภาษณ์ ฉินหวานหว่านไม่อาจแสดงสีหน้าที่ไม่ดีไม่งามออกมาให้เห็นได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังทำให้เธอรู้สึกอับอายอยู่ดีนั่นเอง


 


 


เมื่อการซักซ้อมเสร็จสิ้นลง กู้จิ้งอวี่ก็รีบกลับโรงแรมไปก่อน จนเมื่อหลินเช่อเตรียมตัวจะกลับบ้างนั่นแหละ ฉินหวานหว่านจึงเข้ามาหาและถามว่า “ดูเหมือนว่าเธอกับกู้จิ้งอวี่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมากเลยนะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “งั้นเหรอ ฉันว่าก็คงไม่มีอะไรหรอกมั้งจ๊ะ คงเป็นเพราะนานๆ ทีเราจะเจอกันทีน่ะ”


 


 


ฉินหวานหว่านพูดต่อ “เธอคงไม่เคยเห็นละสิว่าเขาทำตัวยังไงกับทีมงานที่กองถ่ายน่ะ เขาเป็นคนที่รับมือยากที่สุดเลย!”


 


 


หลินเช่อเพียงแต่บอกว่า “เธอต้องรู้จักเขาให้มากกว่านี้อีกหน่อยน่ะ เธอถึงจะรู้ว่าเขาแค่เข้าหายากในตอนแรกๆ เท่านั้นแหละ”


 


 


ฉินหวานหว่านได้แต่ยักไหล่และยิ้ม เมื่อได้ยินอวี๋หมินหมิ่นร้องเรียก หลินเช่อก็โบกมือให้และแยกตัวออกไป ขณะเดินไปหาผู้จัดการ หลินเช่อก็คิดในใจว่าเธอเองก็ไม่เคยรู้เหมือนกันว่ากู้จิ้งอวี่ทำตัวห่างเหินกับคนอื่นมากแค่ไหน แล้วทำไมใครต่อใครถึงต้องทำท่าเหลือเชื่อด้วยเวลาที่เขาพูดทักทายเธอเพียงไม่กี่ประโยค


 


 


ระหว่างทางกลับไปยังโรงแรม แสงไฟนีออนสาดส่องตลอดเส้นถนน หลินเช่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นตลอดทางจนกระทั่งลงจากรถ


 


 


แต่ทันทีที่เท้าแตะพื้น โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น


 


 


หลินเช่อหันไปดูแล้วก็ได้เห็นว่า กู้จิ้งเจ๋อโทรมาอีกแล้ว


 


 


ใจหนึ่งเธอไม่ค่อยอยากจะรับสายเท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำตัวไร้เหตุผล


 


 


ก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปหึงหวงหรือโกรธเขา แต่ถึงรู้ทั้งรู้ เธอก็ยังอดโกรธไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง


 


 


เธอรับสายแล้วพูดว่า “มีอะไรอีกเหรอคะ”


 


 


[นี่เธอกลับถึงโรงแรมหรือยังน่ะ]


 


 


“ถึงแล้วค่ะ…”


 


 


[ไม่มีอะไรหรอก รอฉันอยู่ที่โรงแรมนะ]


 


 


“หา” เมื่อได้ยินคำพูดของกู้จิ้งเจ๋อ เธอก็งงไปหมด “คุณ…คุณมาที่เมือง S เหรอคะ อย่ามานะ ฉันยุ่งจะตาย คืนนี้ฉันต้องอยู่ที่กองถ่ายทั้งคืน ฉัน…”


 


 


[แต่ฉันอยู่ที่นี่แล้ว] เสียงทุ้มลึกของเขาไม่ได้ดังมาจากโทรศัพท์ แต่ดังมาจากข้างหลังเธอนี่เอง


 


 


หลินเช่อแทบทำโทรศัพท์ร่วง


 


 


เธอหันมาและก็ได้เห็นชายหนุ่มยืนอยู่ข้างหลังเธอ เขากำลังสาวเท้ายาวๆ เข้ามาหา ช้าๆ แต่ทว่ามั่นคง ดูราวกับเสือดาวหิมะกำลังออกล่าเหยื่อในรัตติกาล


 


 


ท่าทางเขาดูอ่อนเพลียจากการเดินทาง สายตาที่มองดูเธอ ดูราวกับท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิด “หลินเช่อ นี่เธอเป็นอะไรน่ะ นี่เธอไม่อยากให้ฉันมาที่นี่ขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงขนาดบอกว่าจะต้องอยู่ค้างที่กองถ่าย แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” ก็เธอไม่คิดนี่นาว่าเขาจะหมายความตามที่พูดจริงๆ ว่าจะมาที่นี่


 


 


หญิงสาวทำอะไรไม่ถูก เธอมองหน้าเขาด้วยความตระหนกเล็กน้อยแล้วถามว่า “คุณมาทำไมคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาใกล้เธอ คว้ามือเธอไว้และยกขึ้นสำรวจดูจนทั่ว “เกิดอะไรขึ้นกับเธอ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ฉันพาหมอมาด้วย เดี๋ยวจะให้เขาตรวจดู”


 


 


หัวใจของหญิงสาวกระตุก แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังพยายามจะดึงมือออก “กู้จิ้งเจ๋อ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคะ ฉันไม่อยากเจอหน้าคุณ ทำไมคุณถึงตามฉันมาที่นี่ ฉันไม่ได้ไม่สบาย ฉัน…เออ สบายดี แค่ยุ่งแล้วก็ไม่มีเวลาจะมาวุ่นวายกับคุณเท่านั้นเอง”


 


 


ตอนนี้เธอไม่อยากเจอหน้าเขาขึ้นมาจริงๆ แล้ว เธอกลัวว่าถ้าขืนยังพูดกับเขาต่อ ตัวเธอเองจะเผลอพล่ามอะไรออกไปโดยไม่ทันคิดจนหลุดระบายความไม่พอใจที่อัดอั้นไว้ออกไปจนหมด


 


 


เห็นๆ อยู่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์ที่อะไรจะไปหึงหวงเขา แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่ยอมปล่อย ยังคงจับมือเธอไว้แน่นอย่างนั้น “นี่เธอเป็นอะไรกันแน่น่ะ หลินเช่อ บอกมาซิว่าไม่สบายตรงไหน ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”


 


 


หลินเช่อเงยหน้ามองเขา และเผลอกัดริมฝีปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว “ฉันก็แค่อยากจะถามคุณว่านับจากนี้คุณจะช่วยเลิกยุ่งกับฉัน เลิกเป็นห่วงเป็นใยฉันสักทีจะได้มั้ย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อชะงักไปในทันที


 


 


ใช่สิ เขาควรจะหยุดเป็นห่วงเธอซะทีแล้วก็ปล่อยเธอเอาไว้ตามลำพัง


 


 


แต่เขาทำไม่ได้นี่สิ 

 

 


ตอนที่ 173 ถ้าไม่ห่วงเธอแล้วจะให้ฉันห...

 

ในความมืดของยามราตรี กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้ามองดูหลินเช่อ ไหล่ของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ไหล่เล็กบอบบางของเธอทำให้เขารู้สึกถึงความบอบบางที่อยากจะดูแลปกป้อง 


 


 


หัวใจเขาเจ็บจี๊ดและสับสนว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เขามองหน้าเธอ “หลินเช่อ บอกฉันหน่อยสิ ว่าเธอเป็นอะไรไป” 


 


 


แม้ว่าชายหนุ่มจะขยับเข้ามาจนใกล้แต่หลินเช่อก็ไม่ยอมให้เขาเข้ามาประชิดตัว “ฉันก็แค่ไม่ชอบคุณเอามากๆ ก็เท่านั้น ไม่ได้หรือไงคะ” 


 


 


“เธอไม่ชอบฉันเหรอ” เขามองเธออย่างประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงไม่ชอบฉันล่ะ” 


 


 


“ไม่มีเหตุผล ฉันก็แค่ไม่ชอบเวลาที่ฉันมองหน้าคุณ!” ผู้ชายคนนี้จะช่างซักไซ้ไปถึงไหนกันนะ 


 


 


หลินเช่อก็แค่เกลียดที่เขาไม่ยอมหนีหายไปไหนเวลาที่เธออาละวาดเหวี่ยงใส่เขาแบบนี้ ทำไมเขาถึงยังยืนอยู่ตรงนี้อีกนะ ทั้งที่เธอก็พูดไปตั้งมากแล้ว 


 


 


ขณะที่ยืนจับมือเธอไว้ ดวงตาดำสนิทของเขาก็ปรากฏแววของความห่วงใยมากมายสะท้อนอยู่ในนั้น สายตาของเขาเหมือนเปลวไฟที่ราวกับจะเผาเธอให้แหลกลาญลงยามจับจ้องมองมา 


 


 


หลินเช่อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำตัวคนเห็นแก่ได้ เพราะยิ่งเขาเข้ามาใกล้ชิดเธอมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งต้องการจากเขามากขึ้นเท่านั้น จะว่าไปเธอก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากโม่ฮุ่ยหลิงเลยสักนิด ทั้งเธอและโม่ฮุ่ยหลิงต่างก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน อยากเป็นเจ้าของผู้ชายคนนี้แต่เพียงผู้เดียวเหมือนกัน ต้องการเป็นผู้ได้รับความห่วงใยสนใจทั้งหมดจากเขาแต่เพียงผู้เดียว แทนที่จะเป็นเพียงส่วนน้อยนิดที่ได้รับ 


 


 


และตอนนี้เธอกำลังทุรนทุรายอยากฉกฉวยเอาความห่วงใยที่เขามีไว้ให้กับโม่ฮุ่ยหลิงมาเป็นของตัวเอง 


 


 


คงเป็นเพราะเธอไม่เคยได้รับความเอาใจใส่จากใครมาก่อน ดังนั้นแค่กู้จิ้งเจ๋อทำดีกับเธอเพียงนิดหน่อย เธอก็ไม่อาจต้านทานได้เสียแล้ว 


 


 


ทั้งที่ความจริงแล้ว ความเอาใจใส่นั้นอาจเกิดจากความเป็นสุภาพบุรุษของเขาเพียงเท่านั้นก็ได้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคว้าเธอไว้แน่น เขาจับแขนเธอแน่นเข้าและแน่นเข้าทุกที โดยไม่ยอมที่จะคลายลงแม้แต่ น้อย “หลินเช่อ นี่เธอเป็นอะไรกันแน่! สีหน้าเธอดูไม่ดีเลย นี่เธอป่วยหนักหรือเปล่า” 


 


 


“เปล่า ฉันแค่ขอให้คุณช่วยเลิกยุ่งกับฉันซะที!” หลินเช่อพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นระริก 


 


 


ชายหนุ่มมองลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ ความเจ็บปวดที่ปรากฏชัดในดวงตาของเขา ทำให้หัวใจเธอรู้สึกเหมือนถูกบิด เขาฉวยข้อมือเธอไว้แน่น “เธอเป็นภรรยาของฉัน ถ้าฉันไม่ห่วงเธอแล้วจะให้ฉันไปห่วงใครกันล่ะ” 


 


 


หลินเช่อตกตะลึง เธอมองดูดวงตาแน่วแน่ของอีกฝ่าย ความรู้สึกอ่อนหวานเริ่มเอ่อล้นเต็มตื้นขึ้นในอก 


 


 


ใช่ เธอเป็นภรรยาของเขา 


 


 


แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ใช่คนรักของเขาอยู่ดีนั่นเอง 


 


 


“ฉันเป็นภรรยาที่ยังไงซะคุณก็จะหย่าด้วย” เธอพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสบตาเธอโดยไม่หวั่นเกรง สายตาลึกซึ้งไร้ก้นบึ้งของเขาดูราวกับอสูรที่กำลังหลับใหล มันจดจ้อง แน่วแน่ ไม่ไหวติง “แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เธอก็ยังเป็นภรรยาของฉันอยู่ดี” 


 


 


หลินเช่อพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เธออ้าปากค้างมองเขา และในทันใดนั้นเอง เธอก็รู้สึกได้ว่าหลุดลอยเข้าไปหาเขาเสียแล้ว เหมือนมดตัวน้อยที่ถูกดึงดูดเข้าไปโดยไม่สามารถต้านทานหรือขัดขืน 


 


 


ผู้ชายแบบนี้… 


 


 


จะมีใครปฏิเสธเขาได้ 


 


 


จะมีใครต้านทานเขาได้ 


 


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมโม่ฮุ่ยหลิงถึงได้หลงรักเขามากมายจนถึงขนาดยอมสละชีวิตอย่างง่ายดายเพราะความรักที่เธอมีต่อเขา 


 


 


คงจะมีแต่ผู้หญิงที่ไม่เคยมีประสบการณ์ความรักเท่านั้นแหละที่จะไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเป็นผู้ชายที่สามารถกุมหัวใจผู้อื่นได้อย่างง่ายดายโดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม 


 


 


เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อีกความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวหลินเช่อทันที ใช่สิ ครั้งหนึ่งเขาเองก็คงจะเคยดีกับโม่ฮุ่ยหลิงเหมือนกับที่ดีกับเธอในตอนนี้เหมือนกันนั่นแหละ 


 


 


หลินเช่อเรียกสติตัวเองกลับคืนมาได้อีกครั้ง เธอก้มหน้าแล้วบอกว่า “แต่ฉันก็ยังไม่อยากให้คุณมาคอยห่วงใยอยู่ดีนั่นแหละค่ะ” 


 


 


“ทำไมล่ะ” 


 


 


“คุณไม่ควรจะมาห่วงใยฉันมากขนาดนี้เลยค่ะ” เธอมองหน้าเขา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ่งสับสนหนัก “ทำไมฉันถึงไม่ควรล่ะ ที่เธอไม่อยากเจอหน้าฉันเพราะว่าฉันเป็นห่วงเธอมากเกินไปน่ะเหรอ แล้วฉันผิดตรงไหนที่เป็นห่วงเธอ มีใครบ้างที่ไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงตัวเองน่ะ” 


 


 


“ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนแปลกๆ แบบนี้เอง ก็ถ้าคุณคิดว่าฉันไม่ดีละ ก็เชิญกลับไปหาโม่ฮุ่ยหลิงได้เลย เธอคงไม่ทำตัวเป็นคนเจ้าปัญหาแบบฉันหรอก” 


 


 


ขณะที่พูด หลินเช่อก็บุ้ยปากและหันหน้าหนี แม้เจ้าตัวจะไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น แต่คำพูดที่ออกมาก็บ่งบอกถึงร่องรอยแห่งความหึงหวงได้อย่างชัดเจน ชัดเจนเสียจนไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้วเสียด้วยสิ 


 


 


จะมีก็แต่คนพูดนั่นแหละที่ยังไม่รู้ตัว 


 


 


เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเช่อ ชายหนุ่มก็คิดทบทวนดูอย่างถี่ถ้วน ตอนที่เขาคบหากับโม่ฮุ่ยหลิงนั้น มันก็ไม่ค่อยจะมีปัญหาอะไรมากมายอย่างที่หลินเช่อว่าจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


“ก็จริงนะ ที่ว่าฮุ่ยหลิงไม่เคยทำให้ฉันต้องเป็นห่วงเหมือนเธอเลย” 


 


 


“คุณ…” หลินเช่อโกรธเสียจนหน้าเบี้ยว เธอผลักเขาออกไปและพูดว่า “งั้นก็กลับไปเฝ้าเขาโน่นสิ ไม่ต้องมาวุ่นวายตามหาฉัน!” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าหลินเช่อกำลังทำตัวเหมือนเกกมะเหรกเกเรเหมือนเด็กจนชายหนุ่มเกือบจะหัวเราะออกมา ที่ได้เห็นว่าเธอพูดอย่างแต่กลับรู้สึกอีกอย่าง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำตัวยังไง เธอบอกว่าอยากให้เขาไปให้พ้น แต่สีหน้ากลับบอกอยู่ชัดๆ ว่าไม่เต็มใจ 


 


 


แบบนี้ยังจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักแสดงอาชีพได้ยังไงกัน 


 


 


“นี่ แต่ถึงยังไงฉันก็มาแล้วนะ” กู้จิ้งเจ๋อห้ามเธอไว้แล้วพูดว่า “ฉันอุตส่าห์มาตั้งไกล เธอไม่รู้สึกแย่บ้างหรือไงที่มาไล่ฉันให้ไปให้พ้นน่ะ” 


 


 


“ก็คุณพูดเองไม่ใช่เหรอคะ ว่าฉันมันไม่มีอะไรดีน่ะ ถ้าอย่างงั้นยังจะอยู่ทำไมอีกล่ะคะ กู้จิ้งเจ๋อ” ดวงตาเธอวาววับเมื่อหันมามองเขา “คุณรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่เหรอว่าฉันมีข้อเสียเต็มไปหมดน่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อใคร่ครวญถึงข้อนี้อีกครั้งและตอบว่า “ก็จริงอยู่นะที่ว่าเธอมีข้อเสียเต็มไปหมดน่ะ” 


 


 


“ว่าไงนะ!” หลินเช่อตะโกนลั่น 


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับเริ่มจาระไนรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับเธอให้ชัดแจ้งลงไปอีกว่า “ยกตัวอย่างเช่น เธอทั้งซุ่มซ่ามแล้วก็ไร้ระเบียบ เธอนอนดิ้น ท่านอนของเธอก็น่าเกลียดอีกต่างหาก เธอน้ำลายยืด ชอบใช้มือหยิบอาหารกิน เคี้ยวอาหารก็เสียงดัง พูดจากระโชกโฮกฮาก สบถก็บ่อย ชอบเม้ามอย เธอเป็นคนไม่สุภาพนุ่มนวล แล้วก็ไม่ใช่คนเงียบสงบอีกต่างหาก…” 


 


 


หน้าของหลินเช่อบึ้งหนักขึ้นและหนักขึ้น เธอถลึงตาใส่เขา แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจแก้ตัวได้เช่นกัน 


 


 


เมื่อลองคิดดูแล้ว ข้อเสียทั้งหมดที่ว่ามานี่…ดูจะเป็นของเธอทั้งหมดจริงๆ เสียด้วย 


 


 


“ก็ถ้าฉันมีข้อเสียมากขนาดนี้ …แล้วทำไมคุณถึงยังไม่ไปอีกล่ะ ไปเลยไป ไป๊ ไม่ต้องมาอยู่กวนประสาทฉันเลยนะ” หลินเช่อโกรธเสียจนยื่นแขนออกไปผลักเขาเป็นพัลวัน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มกว้างและหันกลับมาคว้าแขนเอาไว้ “เอาละๆ ก็เธอเป็นคนบอกให้ฉันพูดเองนี่ ฉันก็พูดแล้ว ยังจะมาตีฉันทำไมอีก” 


 


 


“คุณ…” หลินเช่อหน้าแดง ผู้ชายคนนี้ไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงบ้างเลยรึไงนะ เธอไม่รู้จริงๆ ว่าโม่ฮุ่ยหลิงทนคนโง่ทึ่มอย่างเขาได้ยังไงตั้งหลายปี 


 


 


“ถ้าคุณคิดว่าฉันเป็นคนเจ้าปัญหาจริงๆ ละก็ งั้นคุณก็ควรจะรีบไปได้แล้วมั้ยละ ยังจะมัวรออะไรอยู่อีก” 


 


 


“ฉันพูดถึงข้อเสียของเธอก็จริง แต่…ฉันก็ชินเสียแล้วนี่นา” 


 


 


เมื่อหลินเช่อได้ยินเช่นนั้น เธอก็ชะงักเล็กน้อย และเหลือบตาดูสีหน้าเขา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้มน้อยๆ เมื่อได้เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของหลินเช่อที่เขาไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก จะว่าไปเขาก็ชอบที่จะได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของเธอ 


 


 


เมื่อคิดดูแล้ว กู้จิ้งเจ๋อก็รู้สึกว่ามันน่าประหลาดสิ้นดี ในเมื่อหลินเช่อมีข้อเสียมากมายเต็มไปหมดออกอย่างนี้ แต่ทำไมเขากลับเริ่มที่จะรู้สึกดีที่เธอเป็นคนแบบนี้กันนะ 


 


 


นี่คือหลินเช่อตัวจริง ถ้าวันหนึ่งเธอกลายเป็นกุลสตรีผู้ดีที่สุภาพอ่อนโยนขึ้นมา ไม่ได้เป็นแม่สาวจอมแผดเสียงเหมือนที่เป็นอยู่นี้ เขาก็คงรู้สึกอึดอัดพิลึก 


 


 


เมื่อเห็นว่าหลินเช่อนิ่งไป เขาก็อาศัยจังหวะนี้โอบเอวเธอไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง 


 


 


หลินเช่อนิ่งไป ก่อนที่จะเริ่มดิ้นรนหนีให้พ้นจากอ้อมกอด 


 


 


แต่เขากอดเธอแน่นไม่ยอมปล่อย “อย่าดิ้นสิ อย่าดิ้น ฉันท้าให้เธอลองผลักฉันอีกทีดูสิ แล้วมาดูกันว่าฉันจะลงโทษเธอยังไง” 


 


 


“อะไรนะ…กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณกำลังจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ ฉันมันมีแต่ข้อเสีย แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปซะแล้วกลับไปหาโม่ฮุ่ยหลิงล่ะ เร็วเข้า ปล่อยฉันสิ!” 


 


 


ชายหนุ่มก้มหน้าลงมามองหน้าเธอ ใบหน้าของหลินเช่อแดงก่ำ “หลินเช่อ…เธอหึงฉันงั้นเหรอ”  

 

 


ตอนที่ 174 ทำไมมันต้องมาตอนนี้ด้วยนะ

 

หลินเช่อทำตาเขียวใส่เขา ใบหน้าของเธอแดงก่ำไปหมดแล้วในตอนนี้ ดูราวกับผลมะเขือเทศที่กำลังจะปริแตกก็ไม่ปาน


 


 


แต่ฝ่ายกู้จิ้งเจ๋อกลับทำราวกับกำลังค้นพบโลกใหม่ เขาจับใบหน้าเธอให้หันมาหาเพื่อให้เธอหมุนตัวเข้าหาเขา


 


 


“คุณจะทำอะไรน่ะ”


 


 


“หลินเช่อ นี่เธอหึงใช่มั้ย”


 


 


หลินเช่อโมโหสุดหัวใจ


 


 


ก็ใช่น่ะสิ เธอหึง ทั้งที่เธอก็ไม่อยากจะหึงหรอกนะ…


 


 


นี่เธอไม่ได้ยินดีที่จะอวยชัยให้พรเขาให้ได้ครองคู่อยู่กับโม่ฮุ่ยหลิงอย่างมีความสุขหรอกหรือนี่


 


 


“คุณน่ะสิหึง หึงกันทั้งบ้านนั่นแหละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกว่าคำพูดของหลินเช่อฟังดูแปลกหูผิดปกติจึงมองหน้าเธอและยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดว่า “หันหน้ามาหาฉันนี่ จะหลบหน้าไปทำไมกันล่ะ”


 


 


“ก็ฉันกลัวจะโดนสายตาคุณมองเหยียดหยามเพราะตัวเองมีแต่ข้อเสียเต็มไปหมดไงคะ ไม่ได้หรือไงล่ะ” หลินเช่อพูดด้วยความน้อยใจ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทีขณะที่พูดนั้นแฝงด้วยความเขินอาย แม้ว่าเธอจะไม่รู้ตัว แต่กู้จิ้งเจ๋อก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังขัดเขินอย่างหนัก


 


 


“นี่เธอจะคอยตอกย้ำตัวเองอยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิตเลยหรือยังไง เธอเป็นคนถามฉันก่อนนะ”


 


 


แต่เธอไม่ได้ถามเพื่อให้เขาพูดมันออกมาแบบนี้ซักหน่อยนี่ “เพราะฉันถาม คุณก็เลยพูดออกมาง่ายๆ แบบนี้เลยน่ะเหรอคะ เฮอะ คุณจาระไนออกมาได้ฉอดๆ ขนาดนี้ในเวลาแค่นิดเดียว แปลว่าคุณอัดอั้นตันใจอยากจะพูดมานานแล้วละสินะ แล้วนี่ก็คือโอกาสที่จะได้ระบายใช่ไหมละ”


 


 


“เธอ… หลินเช่อ นี่เธอไม่คิดว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนบ้างหรือไงนะ ก็เธอเป็นคนถาม ฉันก็ต้องตอบตามตรงสิ มันเป็นวิธีที่จะแสดงให้เห็นว่าฉันให้ความสนใจกับเธอมากแค่ไหนไงล่ะ แต่พอฉันตอบ เธอกลับไม่ชอบใจอีก”


 


 


หลินเช่อพูดอะไรไม่ออก คนบ้าอะไรงี่เง่าชะมัด


 


 


“เวลาผู้หญิงถามคำถาม คุณจะตอบตามตรงไม่ได้ เข้าใจรึเปล่าคะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูเสี้ยวหน้าที่กำลังแดงซ่านของหลินเช่อ “นี่เธอไม่ไล่ฉันแล้วใช่ไหม”


 


 


หลินเช่อก็เลยเพิ่งนึกออกว่าเธอกำลังขับไล่ไสส่งชายหนุ่มอยู่ “ยังไล่อยู่ค่ะ รีบไปเร็วๆ เข้าสิ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ทำไมถึงยังตื๊อดื้อด้านอยู่ได้แบบนี้นะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยกร่างหลินเช่อขึ้นอย่างว่องไวด้วยการขยับตัวเพียงครั้งเดียว เมื่อเขายืดตัวขึ้นก็ทำให้หลินเช่ออยู่สูงเหนือศีรษะเขาขึ้นไป ชายหนุ่มแหงนหน้ามองใบหน้าเล็กๆ ที่กำลังเหยเก “ก็ไหนเธอบอกว่าอย่าไปจริงจังกับคำพูดของผู้หญิงไงล่ะ”


 


 


“…”


 


 


อีตานี่เรียนรู้เร็วเป็นบ้า


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเธอด้วยสายตาอันลึกซึ้ง “หลินเช่อ เธอเป็นภรรยาของฉัน เพราะฉะนั้นอย่าพูดว่าเธอไม่ต้องการให้ฉันเอาใจใส่เธออีกต่อไปนะ ถ้าไม่ห่วงเธอแล้วจะให้ฉันห่วงใครได้ล่ะ”


 


 


คำพูดนั้นดูจะทำให้หัวใจหลินเช่ออ่อนยวบลงเล็กน้อย ราวกับมีดอกไม้กำลังเบ่งบานจนเต็มปริ่ม และพลิ้วผ่านพัดลอยไปเหมือนฉากในซีรีส์โทรทัศน์ เพียงแต่ฉากที่ว่ายังไม่อาจสัมผัสถึงหัวใจเธอได้ลึกซึ้งเท่าคำพูดอบอุ่นของกู้จิ้งเจ๋อในเวลานี้


 


 


ชั่วขณะต่อมา ริมฝีปากของกู้จิ้งเจ๋อก็ขยับมาหาเธอและค่อยๆ ครอบครอง แยกริมฝีปากเธอออกจากกันเล็กน้อย หัวใจของหลินเช่อสั่นระริกไปกับทุกการเคลื่อนไหว เธอลืมไปสนิทใจว่าเธอและเขากำลังยืนอยู่ริมถนน แม้จะไม่มีผู้คนผ่านไปมาพลุกพล่านมากนัก แต่เธอก็คิดว่ามันก็ยังไม่เหมาะอยู่ดีนั่นเอง


 


 


แต่ทักษะการจูบของกู้จิ้งเจ๋อก็ชวนให้ติดตรึงยิ่งนัก รอยจูบของเขาหนักแน่นทว่านุ่มนวล เขาจูบเธออย่างดูดดื่มจนเธอไม่อาจผลักไสเขาออกไปได้แม้ว่าจะอยากทำก็ตามที เหมือนแขนขาไร้ความรู้สึกและหมดสิ้นเรี่ยวแรง


 


 


“ไม่ค่ะ อย่า…ตรงนี้มัน…” หลินเช่อพึมพำอย่างอ่อนระทวย “นี่เป็นทางเข้าโรงแรมนะคะ มี…คนเยอะแยะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเลียริมฝีปากและมองเธอด้วยสายตาชวนฝัน “งั้นก็เข้าไปกันเถอะ…”


 


 


แก้มเธอแดงร้อนราวกับโดนถูอย่างแรง หลินเช่อไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว


 


 


ใครบอกกันนะว่าเราจะเข้าไปข้างใน…


 


 


แต่คนตัวใหญ่กว่าก็ยกร่างเธอขึ้นแล้วเดินเข้าโรงแรมไปโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง


 


 


เมื่อก้าวพ้นประตูใหญ่เข้ามาด้านในห้องของโรงแรม เขาก็ดันร่างเธอแนบกับประตูและจูบเธออย่างดื่มด่ำท่วมท้นเสียยิ่งกว่าตอนแรก ความรัญจวนใจแผ่กระจายไปทั่วร่าง ลมหายใจของหลินเช่อกระชั้นถี่ขึ้น เธอรู้สึกเหมือนร่างกายอ่อนปวกเปียกไปหมดจากการกระทำของกู้จิ้งเจ๋อ หลินเช่อทำได้เพียงใช้แขนดันไหล่ของเขาเอาไว้เพื่อประคองร่างไม่ให้ทรุดฮวบลงไป เธอรู้สึกได้ว่าอาภรณ์ที่สวมใส่กำลังถูกปลดเปลื้องออกทีละชิ้น ริมฝีปากเขาซุกไซ้ไปจนทั่วทุกตารางนิ้วของเนื้อตัวเธอ


 


 


แล้วเขาก็ใช้มือใหญ่ยกร่างเธอขึ้นและโยนลงบนเตียงนอน


 


 


มือเขาเคลื่อนต่ำลงไปตามเรือนร่างเมื่อเขาโลมไล้เธอ ทุกครั้งที่ถูกสัมผัส หลินเช่อก็รู้สึกเหมือนมีกองไฟปะทุขึ้นภายในช่องท้อง…


 


 


หญิงสาวตัวแข็งทื่อก่อนที่จะยกมือขึ้นปิดปาก เธอรีบผุดลุกขึ้นและผลักเขาออกไป “โอ๊ย ให้ตายเถอะ ฉันคิดว่ามันมาแล้วละค่ะ…”


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อชะงักงัน เขามองดูหญิงสาวกระโดดผึงลุกขึ้น จึงถามด้วยความงุนงงว่า “อะไรหรือ”


 


 


หลินเช่อดีดตัวลุกขึ้นยืนและวิ่งเข้าห้องน้ำไป โดยไม่ได้สนใจจัดการเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยอยู่ให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ


 


 


เมื่อหลบเข้ามาในห้องน้ำได้ หลินเช่อก็รีบตรวจดูให้แน่ใจ แล้วก็ได้พบว่ากางเกงชั้นในมีรอยเปื้อนขนาดใหญ่ ก่อนที่หน้าเธอก็แดงก่ำด้วยความอับอาย…


 


 


เมื่อกลับเข้ามาในห้อง ใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อก็กำลังบึ้งตึงได้ที่


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นและถามเธอว่า “เกิดอะไรขึ้นน่ะ”


 


 


หลินเช่อก้มหน้างุดมองนิ้วมือตัวเอง “มัน…มาน่ะค่ะ…”


 


 


“อะไรมา”


 


 


“ประจำเดือนของฉัน”


 


 


“…”


 


 


คราวนี้คนตัวใหญ่ยิ่งหน้าบึ้งหนักขึ้นไปอีก “จะมาอะไรตอนนี้ล่ะ!”


 


 


“ฉัน…ก็ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ ฉันควบคุมร่างกายตัวเองให้เอาของเก่ามาแทนของใหม่ไม่ได้สักหน่อยนี่”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงดูตัวเองโดยไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วเขาจะทำยังไงดีล่ะ…


 


 


“เอาละๆ ออกไปได้แล้วค่ะ ไปไป๊ อย่ามาอยู่ที่นี่!” หลินเช่อเริ่มไล่ส่ง


 


 


“ไม่มีทาง” กู้จิ้งเจ๋อไม่ยอมง่ายๆ และสวมกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน “งั้นเราก็นอนกันทั้งอย่างนี้นี่แหละ อย่าขยับล่ะ ฉันรับประกันว่าจะไม่ทำอะไรเธอหรอก นอนซะ!”


 


 


“ฉัน…”


 


 


แม้ว่าจะหงุดหงิด แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์มาถึงนี่ จะไม่ให้ทำอะไรเลยคงจะไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องจะให้เขาแยกไปนอนนั่นไม่มีทางเด็ดขาด


 


 


เมื่อถูกกอดเอาไว้แบบนั้น หลินเช่อก็ไม่มีทางเลือกอื่น เธอหันหนี ด้วยยังคงไม่กล้ามองหน้าเขาอยู่ดี


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยกแขนขึ้นพาดเอวเธอไว้ พลางมองดูด้านศีรษะของหญิงสาว เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ที่เธอยังไม่ยอมหันหน้ามาหา


 


 


นี่หลินเช่อ…เธอตั้งใจที่จะนอนหันหลังให้เขาแบบนี้นี่นา!


 


 


แต่ถึงกระนั้น หลินเช่อก็เป็นคนหลับง่าย ในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขายังคงตาสว่างโพลง เฝ้ามองใบหน้าที่หลับสนิทเป็นสุขนั้น และคิดว่าถึงจะไม่ได้ทำอะไรอื่นนอกจากได้นอนกับหลินเช่อแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีความสุขมากแล้ว…


 


 


เพราะความที่นอนไม่หลับ ชายหนุ่มจึงหันไปเห็นโทรศัพท์ของเธอ เขาหันกลับมามองผู้เป็นเจ้าของ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นเพราะมีสายเรียกเข้า และเดินออกไปรับสายนอกห้อง เมื่อเขารับสาย เขาก็ได้ยินเสียงของฉินหวานหว่านดังขึ้น หล่อนบอกว่า [หลินเช่อ ออกมาสนุกกับฉันหน่อยสิจ๊ะ]


 


 


เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิง ชายหนุ่มจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเข้มงวดทว่าสุภาพว่า “ต้องขอโทษด้วย หลินเช่อไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ เธอหลับไปแล้ว”


 


 


[อา… นี่คุณเป็น…เป็น…ของหลินเช่อ…]


 


 


“ถ้าคุณมีอะไรจะพูดกับเธอ ผมจะช่วยบอกให้ตอนเธอตื่นนอนแล้วว่ามีคนต้องการพบ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงพูดไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้รับคำตอบ


 


 


ฉินหวานหว่านเป็นคนมีชั้นเชิงในการพูดคุย เธอเข้าใจได้ในทันทีว่าคนที่รับสายไม่ได้ต้องการการตอบโต้ เธอจึงไม่ถามอะไรเขาอีก เพียงแต่พูดอย่างสงบเสงี่ยมว่า [ไม่เป็นไรค่ะ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยก็ได้ อันที่จริงฉันก็ไม่ได้มีอะไรจะพูดมากมายนักหรอกค่ะ]


 


 


“โอเค”


 


 


เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็วางสายในทันที

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม