ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ 169-176

 ตอนที่ 169 คุณคือภรรยาจอมล้างผลาญของผม


 


 


ความดูถูกเหยียดหยามที่เดิมทีเฉียวพั่นเอ๋อร์มีต่ออวี๋กานกาน ตอนนี้มีความอิจฉาริษยาเพิ่มเข้ามาด้วย หากอวี๋กานกานมีหลินจยาอวี่เป็นเพื่อน ผนวกเข้ากับตระกูลซูและตระกูลอวี๋ จากนี้เฉียวพั่นเอ๋อร์จะต่อกรกับอวี๋กานกานได้อย่างไร


 


 


สายตาของเฉียวพั่นเอ๋อร์จ้องมองอวี๋กานกานทุกฝีเก้าอย่างเคียดแค้น จนกระทั่งงานเลี้ยงเริ่ม หลินจยาอวี่และซูจื่อจิ้งต้องปลีกตัวออกไป อวี๋กานกานเดินไปยังมุมที่เงียบสงบมุมหนึ่ง นั่งลงข้างๆ ผู้ชายคนหนึ่ง


 


 


ผู้ชายคนนั้นเฉียวพั่นเอ๋อร์เคยเจออยู่สองครั้ง ครั้งแรกเจอที่ภัตตาคารซื่อจี้หวงจู๋ ครั้งนั้นนึกว่าเขาเป็นแมงดาที่หลินจยาอวี่ซื้อมาซะอีก ครั้งที่สองเจอกันที่อวี้หมิงถาง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายคนนั้นและอวี๋กานกาน ดูๆ แล้วสนิทสนมกันมาก


 


 


เขาเป็นแฟนหนุ่มของอวี๋กานกาน? !


 


 


อวี๋กานกานเคยพูดไว้ว่าของของเธอย่อมต้องเป็นของของเธออยู่วันยังค่ำ ไม่มีใครแย่งไปจากเธอได้


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์แสยะยิ้ม แล้วผู้ชายล่ะ? แย่งได้หรือเปล่า


 


 



 


 


ตั้งแต่ที่ฟังจือหันเข้ามาในงานเลี้ยง เขานั่งเงียบๆ อยู่ในมุมที่ห่างไกลออกจากผู้คนมุมนี้มาโดยตลอด ใบหน้าเย็นชาของชายหนุ่มประณีตและงดงามราวกับพระเจ้า เขาสวมชุดสูทสีดำเรียบง่าย ทว่ากลับดูสูงศักดิ์และสง่างาม แต่ก็ยังไม่วายให้ความรู้สึกเย็นชาหนาวเหน็บยิ่งเสียกว่าน้ำแข็ง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามารบกวนเขา


 


 


อวี๋กานกานเป็นคนแรกที่นั่งลงข้างฟังจือหัน “ทำไมนายเอาแต่นั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”


 


 


“เงียบสงบดี”


 


 


“ไม่ชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ แล้วจะมาทำไมเนี่ย”


 


 


“ใครให้ผมเป็นคนในครอบครัวคุณล่ะ”


 


 


อวี๋กานกานคว่ำปากใส่ฟังจือหันอย่างเอือมระอา


 


 


สายตาของชายหนุ่มหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของอวี๋กานกาน จูบครั้งนั้นเมื่อตอนเมาอวี๋กานกานจำไม่ได้และเขาเองก็ไม่ได้บอกเธอ เขาไม่รู้ว่าหากเธอรู้แล้ว เธอจะตัดสินใจอย่างไร


 


 


ก่อนหน้านี้คิดอย่างไรไม่สำคัญ อนาคตหลังจากนี้ต่างหากที่สำคัญที่สุด เขาปรารถนาให้วันข้างหน้าข้างกายของอวี๋กานกานมีเขาเคียงคู่กันไปตลอดกาล


 


 


มีบริกรคนหนึ่งเดินเข้ามายื่นกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งให้อวี๋กานกาน “คุณหมออวี๋ นี่เป็นของที่ท่านประธานหลินมอบให้คุณครับ”


 


 


อวี๋กานกานรับกล่องมา ค่อนข้างมีน้ำหนัก เป็นของอะไรกันนะ


 


 


 เธอเปิดกล่องอย่างช้าๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เธอประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่าเป็นกล่องนามบัตร ทั้งยังเป็นนามบัตรเนื้อหยกล้อมรอบด้วยกรอบที่ทำจากทองคำ ผิวหยกประณีตงดงาม เรียบลื่นและสดใสแวววาว กรอบเลี่ยมด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่ส่องแสงสีเหลืองอร่ามดึงดูดสายตา ช่างบริสุทธิ์งดงาม หรูหราตระการตา


 


 


ตอนนั้นที่ได้รับนามบัตรจากประธานหลิน เธอลองกัดเพื่อพิสูจน์ว่าใช่ทองแท้หรือเปล่า ประธานหลินพูดอย่างใจกว้างว่าจะมอบให้เธอชุดหนึ่ง เธอนึกว่าเขาแค่พูดไปตามมารยาท นึกไม่ถึงว่าจะทำให้จริงๆ


 


 


นัยน์ตาของอวี๋กานกานส่องแสงสีเขียว ประหนึ่งเป็นรังสีอินฟราเรดทำหน้าที่สแกน เธอมองขึ้นมองลงพิจารณานามบัตรอยู่หลายครั้ง จากนั้นหันหน้าไปหาฟังจือหัน ถามด้วยใบหน้าชื่นมื่น “นายว่าหยกกับทองคำเป็นของแท้หรือเปล่า”


 


 


มุมปากของฟังจือหันหยักโค้งขึ้น เขาตอบกลับด้วยความรู้สึกขบขันเล็กน้อย “แท้”


 


 


“ฉันรวยแล้ว” นี่มันราคาเท่าไรกันแน่เนี่ย


 


 


“คุณชอบ?”


 


 


“ชอบ”


 


 


ฟังจือหันพูดอย่างใจป้ำ “ผมจะทำให้คุณอีกหลายๆ กล่อง”


 


 


“ดีเลย” อวี๋กานกานยิ้มตาหยี “แต่ว่าคิดๆ ดูแล้ว หยกขายไม่ค่อยได้ราคา ถ้านายจะทำให้ฉันจริง ทำแบบเป็นทองทั้งแผ่นดีกว่า ถ้าฉันเอาทองคำไปละลายน่าจะขายได้หลายหยวน”


 


 


ครั้งนี้เป็นฝ่ายฟังจือหันที่ต้องเอือมระอาบ้าง เขาเอื้อมมือไปโอบบ่าของอวี๋กานกาน พูดข้างหูโดยจงใจเน้นเสียง “คุณภรรยาจอมล้างผลาญ ในอนาคตให้คุณดูแลเรื่องเงินไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


เกิดเส้นขีดสีดำพาดไปทั่วบริเวณศีรษะของอวี๋กานกาน “…”


 


 


ทำชื่อเสียงเธอเสียหายหมด นามบัตรทองคำเอาไปละลายย่อมดีกว่ามอบให้ฟรีๆ อยู่แล้ว เขาเข้าใจไหมเนี่ย อีกอย่างจะให้เธอดูแลเรื่องเงิน? ฟังจือหันอาศัยคอนโดเธออยู่มานานขนาดนี้แล้ว เงินสักหยวนก็ไม่เคยจ่าย เขามีเงินด้วยเหรอ


 


 


ในตอนที่กำลังจะอ้าปากเหน็บฟังจือหัน ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงที่ทั้งออดอ้อนและยั่วยวนดังเข้าโสตประสาท “สุภาพบุรุษรูปงานท่านนี้ สนใจมาเต้นรำด้วยกันสักหนึ่งบทเพลงไหมคะ”


 


 


อวี๋กานกานเหลือบสายตาขึ้นมามอง พลันสบเข้ากับนัยน์ตาสวยหยาดเยิ้มของเฉียวพั่นเอ๋อร์ ที่ซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย้ายวนราวกับต้องการจะดูดกลืนวิญญาณ เธอจดจ้องมาที่ฟังจือหันอย่างไม่ละสายตา ราวกับต้องการจะหลอมละลายเขาอย่างไงอย่างงั้น


 


 


นี่เฉียวพั่นเอ๋อร์ชอบพอฟังจือหันอย่างงั้นเหรอ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 170 ในสายตาของเขามีแค่เธอเพียงคนเดียว


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์เอ่ยปากชวนฟังจือหันเต้นรำ ผู้ชายบริเวณโดยรอบที่หมายตาเฉียวพั่นเอ๋อร์ต่างพากันตกตะลึง ส่งสายตาอิจฉาริษยาไปทางฟังจือหัน


 


 


นี่คือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเฉียวเชียวนะ ไม่เพียงแต่มีชาติตระกูลที่สูงศักดิ์ รูปร่างหน้าตาก็สวยสดงดงาม หากฟังจือหันสามารถมัดใจเฉียวพั่นเอ๋อร์ ได้แต่งงานกับเธอ นั่นคือบรรลุจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว ไม่ว่าตอนนี้ฟังจือหันจะมีสถานะทางสังคมอย่างไร หลังจากนี้จะไม่ใช่บุคคลธรรมดาต่อไปแล้ว พร้อมการันตีอนาคตสวยหรู แค่คิดก็ชวนให้รู้สึกอิจฉาริษยา


 


 


ทว่าฟังจือหันกลับไม่เป็นเหมือนดังที่พวกเขาคาดเดา เฉียวพั่นเอ๋อร์โปรดปรานเขา แต่เขากลับไม่แสดงอาการตกใจหรือดีใจใดๆ ออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แม้แต่หางตาก็ยังไม่ชายมามองเฉียวพั่นเอ๋อร์


 


 


อวี๋กานกานมองหน้าเฉียวพั่นเอ๋อร์แล้วหันไปมองฟังจือหัน จากนั้นสลับมามองเฉียวพั่นเอ๋อร์ สุดท้ายวนกลับไปที่ฟังจือหันอีกที ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในห้องโถงจัดงานเลี้ยง เขาน่าจะจงใจเลือกที่นั่งที่อยู่ในมุมลึกที่สุด ไม่ต้องการให้ใครมาสนใจ แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่วายต้องกลายมาเป็นจุดรวมสายตา


 


 


สายตาหลายคู่ของผู้คนในงานมีทั้งสับสนงุนงง สลับซับซ้อนและตกตะลึง แต่ฟังจือหันกลับเหมือนคนนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ไร้ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบ


 


 


ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เขายังคงสงบนิ่งเหมือนอย่างเคย ทำเพียงแค่เอ่ยปากถามอวี๋กานกานหนึ่งประโยค “ตอนคุณเข้างานคุณบอกว่าหิวไม่ใช่เหรอ งานเลี้ยงนี้ไม่เหมือนกับงานปาร์ตี้ มีแค่บาร์ขนมหวาน”


 


 


นี่เขาคิดจะเมินเฉียวพั่นเอ๋อร์โดยสิ้นเชิงแบบนี้เลยเหรอ! อวี๋กานกานเหลือบไปมองเฉียวพั่นเอ๋อร์ สีหน้าของเฉียวพั่นเอ๋อร์ย่ำแย่ถึงขีดสุดเป็นที่เรียบร้อย


 


 


อวี๋กานกานแต่ไหนแต่ไรเธอไม่ได้เป็นคนที่พูดจาโผงผาง ไม่ชอบก่อเรื่องทะเลาะวิวาท สามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ การยอมอ่อนข้อเพื่อให้เรื่องราวยุติคือทางที่ดีที่สุด ฉะนั้นเธอจึงพูดย้ำกับฟังจือหัน “มีคนชวนนาย…”


 


 


“ผมไปเอาให้” ฟังจือหันยื่นมือออกมาหยิกแก้มของเธอ จากนั้นลุกขึ้นยืน เดินเฉียดไหล่ของเฉียวพั่นเอ๋อร์ผ่านไป


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


นี่มันอิหลักอิเหลื่อสุดๆ


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะกล้าเมินเธอได้ถึงขนาดนี้ เขาไม่รู้หรือไงว่าเธอเป็นใคร เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเธอเป็นสาวงามอันดับต้นๆ คนหนึ่ง เรื่องชาติตระกูลเธอเป็นถึงเฉียวพั่นเอ๋อร์เชียวนะ ผู้หญิงที่ผู้ชายมากมายเพ้อฝันว่าอยากจะแต่งงานด้วย เทียบกับแพทย์กระจอกๆ อย่างอวี๋กานกานแล้ว ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างอวี๋กานกาน ซูจื่อจิ้งและหลินจยาอวี่จะสนิทสนมกันมากแค่ไหน มันก็ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนกำพืดของอวี๋กานกานได้ แต่ถ้าเขามาคบกับเธอ เขาสามารถมีชีวิตที่ไม่เหมือนใครได้ ผู้ชายแซ่ฟังคนนี้ก็ดูเป็นคนฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจในจุดนี้ สายตาของเขาเอาแต่จ้องอยู่ที่อวี๋กานกาน เหอะๆ หมอนั่นสมองเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ไม่สบอารมณ์ เธอสวมรองเท้าส้นสูงเดินดุ่มๆ พุ่งตรงเข้าไปขวางหน้าทางเดินของฟังจือหัน 


 


 


ในที่สุดฟังจือหันก็หันมามองเฉียวพั่นเอ๋อร์ตรงๆ น้ำเสียงเย็นยะเยือกไร้อุณหภูมิ “ขอทาง” ถ้อยคำธรรมดาๆ เพียงสองพยางค์ ถึงกับทำให้เฉียวพั่นเอ๋อร์หน้าเสีย


 


 


หากบอกว่าตอนที่อยู่อวี้หมิงถางสิ่งที่เธอได้รับจากอวี๋กานกานคือการดูถูกเหยียดหยาม ถ้างั้นตอนนี้เธอก็เหมือนกับโดนฟังจือหันจับกดลงพื้นแล้วลากถูไถไปมา


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์จ้องมองแผ่นหลังของฟังจือหันด้วยความโกรธเกรี้ยว ขบกรามกรอดตวาดลั่น “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”


 


 


รองเท้าส้นสูงเกือบสิบเซนติเมตร กระทืบลงบนพื้นอย่างแรงจนส้นรองเท้าเกือบจะหัก แต่กลับไม่สามารถทำให้ฟังจือหันหยุดฝีเท้าลงได้


 


 


ฟังจือหันเดินเข้าไปยังโซนบาร์อาหาร เขาหยิบจานขึ้นมาเลือกขนมหวานให้อวี๋กานกาน ผู้คนโดยรอบต่างพากันอ้าปากค้างดวงตาเบิกโต จากความอิจฉาริษยาแปรเปลี่ยนเป็นความเลื่อมใสอย่างน่าประหลาด


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์หน้าเสีย ทั้งโกรธทั้งแค้น เธอหันไปถลึงตาใส่อวี๋กานกานอย่างเจ็บใจ…


ตอนที่ 171 อย่าคุยกับคนที่ไม่สนิท


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์หน้าเสีย ทั้งโกรธทั้งแค้น เธอหันไปถลึงตาใส่อวี๋กานกานอย่างเจ็บใจ…


 


 


หลายปีมานี้ เธอเป็นหญิงสาวที่ทุกคนล้วนทะนุถนอมและภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไร้ซึ่งอุปสรรค แต่หลายวันมานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เรื่องแรกคือเทกโอเวอร์อวี้หมิงถางล้มเหลว พอครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเธอที่เข้าหาผู้ชายก่อน แต่กลับถูกผู้ชายเมิน ถูกปฏิเสธและทำให้อับอายขายหน้า เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพราะอวี๋กานกาน แพทย์กระจอกๆ คนหนึ่ง!


 


 


อวี๋กานกานเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเฉียวพั่นเอ๋อร์ เธอกะพริบตาปริบๆ ทำไมต้องถลึงตาใส่เธอด้วยสายตาเคียดแค้นแบบนั้นด้วย ฟังจือหันไม่สนใจเฉียวพั่นเอ๋อร์ มันเกี่ยวกับเธอตรงไหน เป็นผู้หญิงเหมือนกันจะมาสร้างความลำบากใจให้กันไปทำไม


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง ข่มความโกรธที่อยู่ในใจไว้ กดเสียงต่ำพูด “แกคงดีใจและสะใจมากสินะ”


 


 


อวี๋กานกานทำหน้างุนงง ตอบกลับทันควัน “ฉันไม่รู้นะ ฉันไม่เกี่ยวซะหน่อย!”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์แค่นหัวเราะ “มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าอะไรน้า ความรักของคนธรรมดาคือการคบกันแบบแก้ขัด เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถไขว่คว้าคนที่เหมาะสมที่สุดให้กับตนเองได้ ชีวิตรักจึงไม่มีอะไรท้าทาย ความรักจะค่อยๆ เสื่อมสลายไปกับความธรรมดาสามัญ เรื่องขนไก่และเปลือกกระเทียม[1] สุดท้ายการคบกันแบบแก้ขัดก็จะเดินมาถึงจุดอิ่มตัว ขอแค่มีโอกาสเพียงน้อยนิด ผู้ชายต้องไปหาคนใหม่ที่ดีกว่าหรือคนที่เขาชอบมากกว่าอย่างแน่นอน”


 


 


อวี๋กานกานเข้าใจความหมายที่เฉียวพั่นเอ๋อร์แฝงไว้ในประโยคนี้ เฉียวพั่นเอ๋อร์ต้องการบอกกับเธอว่าอย่าเพิ่งลำพองใจไป ไม่ว่าช้าหรือเร็วต้องมีสักวันที่ฟังจือหันทิ้งเธอไปแน่


 


 


อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบาง “หากบอกว่าความรักของคนธรรมดาคือการคบกันแบบแก้ขัด ถ้างั้นความรักของพวกคุณก็คงจะเป็นการแต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์ เพื่อการค้าขายใช่ไหมคะ ฟังดูแล้วน่าเวทนายิ่งกว่าธรรมดาอย่างพวกฉันเสียอีก อย่างน้อยคนธรรมดาก็ยังเลือกเองได้…ที่คุณจงใจมาเชิญฟังจือหันให้เต้นรำด้วยไม่ใช่เพราะว่าต้องการยั่วโมโหฉัน ต้องการพิสูจน์ว่าคุณสามารถแย่งของของฉันไปได้หรอกเหรอ ฉันว่านะคะการที่คุณทำแบบนี้มันกลับทำให้คุณดูมีความคิดเหมือนเด็กอมมือและน่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์แค่นหัวเราะ พูดเสียงลอดไรฟัน “อย่ามาทำเป็นดอกบัวขาวบริสุทธิ์ เกิดกลางโคลนตมยังคงแผ้วผ่อง[2] ถ้าเธอไม่ได้คิดที่จะมาตีสนิทกับคนใหญ่คนโต งั้นวันนี้เธอมาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ”


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกน่าขันเป็นอย่างยิ่ง “อยู่ในงานนี้เท่ากับต้องการตีสนิทคนใหญ่คนโต แล้วคุณมายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกันทำไม”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ฉุนกึก กล่าวทันควัน “ฉันไม่เหมือนกับเธอ”


 


 


อวี๋กานกานขมวดคิ้ว ขอคำอธิบายด้วยความสงสัย “ไม่เหมือนกันตรงไหนเหรอ คุณมีแขนมากกว่าหนึ่งข้าง ขาน้อยกว่าหนึ่งข้าง หรือว่าหมายถึงอวัยวะตันทั้งห้า[3]และอวัยวะกลวงทั้งหก[4]ของคุณถูกสุนัขรับประทานไปแล้ว”


 


 


เถียงคำไม่ตกฟาก! เฉียวพั่นเอ๋อร์รู้สึกว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปเธอไม่ควรจะเสียเวลามาเสวนากับผู้หญิงที่ขาดการอบรมสั่งสอนพรรค์นี้อีก


 


 


ฟังจือหันถือขนมหวานกลับมาแล้ว เขาลงนั่งข้างๆ อวี๋กานกาน ยื่นขนมส่งเข้าปากของอวี๋กานกาน จากนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “สนิทเหรอ”


 


 


ขนมมีรสชาติหวานแต่ไม่เลี่ยน รสดีหอมละมุนละไม  


 


 


อวี๋กานกานกำลังเคี้ยว เธอส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่สนิท”


 


 


ฟังจือหันเอ่ยเสียงเย็น เป็นน้ำเสียงที่ไม่อนุญาตให้สอดปากแทรก “อย่าคุยกับคนที่ไม่สนิท”


 


 


“อือ”


 


 


……


 


 


มือทั้งสองของเฉียวพั่นเอ๋อร์กำเป็นหมัดแน่น หลังฝ่ามือเห็นเป็นเส้นเลือดสีเขียวปูดโปน เพื่อไม่ให้ตัวเองสูญเสียการควบคุมอารมณ์กลางงานเลี้ยงนี้ เธอต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมากในการสะกดอารมณ์ของตัวเอง “พวกขยะชั้นต่ำ…”


 


 


ฟังจือหันเหลือบสายตาขึ้นมาทันที แววตามีไอสังหารเย็นยะเยือกที่ปิดไว้ไม่มิด ริมฝีปากของเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่กำลังอ้าอยู่ จู่ๆ ก็ไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้ เหงื่อเย็นผุดซึมออกมาอย่างฉับพลัน ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เฉียวพั่นเอ๋อร์ไม่ได้พูดต่อให้จบ ทำเพียงแค่แค่นหัวเราะ จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป


 


 


ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงชวนรู้สึกถึงความอันตรายได้ขนาดนี้ เฉียวพั่นเอ๋อร์เดินไปทางห้องน้ำ เธอต้องการที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองสักหน่อย ประตูของรับรองแง้มอยู่เล็กน้อย ในตอนที่เฉียวพั่นเอ๋อร์เดินผ่าน เธอเห็นหลินจยาอวี่ยืนอยู่ในห้องรับรองพอดี เธอหยุดฝีเท้าลงโดยอัตโนมัติ ซ่อนตัวและแอบมองจากอีกฝั่งหนึ่ง


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ขนไก่และเปลือกกระเทียม หมายถึง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรเอามาใส่ใจ


 


 


[2] ดอกบัวขาวบริสุทธิ์ เกิดกลางโคลนตมยังคงแผ้วผ่อง อุปมาถึง คนที่เกิดในสภาพแวดล้อมไม่ดี แต่ยังคงธำรงไว้ด้วยความดี


 


 


[3] อวัยวะตันทั้งห้า ได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต จัดอยู่ในกลุ่มพลังหยิน


 


 


[4] อวัยวะกลวงทั้งหก ได้แก่ ถุงน้ำดี ลำไส้เล็ก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ ซานเจียว(ส่วนโคนลิ้นลงไปถึงช่องอก) จัดอยู่ในกลุ่มพลังหยาง 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 172 สู่ขอ ของขวัญวันเกิดและสินสอด


 


 


ภายในห้องรับรองนอกจากหลินจยาอวี่ ยังมีหลินกั๋วเฟิง รวมถึงตู้ซูเหนียนและบิดาของเขา หลินกั๋วเฟิงกำลังพูดคุยอยู่กับบิดาของตู้ซูเหนียน สายตาของตู้ซูเหนียนราวกับกาวที่ติดหนึบอยู่บนร่างกายของหลินจยาอวี่


 


 


แม้ว่าหลินจยาอวี่จะเย็นชาผิดมนุษย์ แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอก็งดงามมากจริงๆ สวมเพียงชุดเดรสสีขาวเรียบหรู แต่กลับดูสวยเซ็กซี่หยาดเยิ้ม เป็นหญิงงามล่มเมืองขนานแท้ ตอนอยู่บนเตียงต้องอกแตกตายแน่ๆ


 


 


บิดาของตู้ซูเหนียนหยิบสัญญาหนึ่งฉบับออกมาจากเสื้อสูท ยื่นไปตรงหน้าหลินกั๋วเฟิง


 


 


หลินกั๋วเฟิงเปิดออกดู ดวงตาของเขาเบิกโตขึ้นอย่างฉับพลัน มองบิดาของตู้ซูเหนียนด้วยสายตาไม่เข้าใจ “ประธานตู้ นี่คุณหมายความว่าอะไร”


 


 


ประธานตู้ยิ้มแล้วกล่าว “วันนี้เป็นวันเกิดของประธานหลิน นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ผมมอบให้คุณ ถือว่าเป็นสินสอดทองหมั้นไปด้วยเลย”


 


 


หลินกั๋วเฟิงชะงักไปเล็กน้อย “สินสอด?”


 


 


“คุณลุงหลินครับ ผมชอบจยาอวี่ คุณลุงโปรดอนุญาตให้จยาอวี่แต่งกับผมเถอะนะครับ” ตู้ซูเหนียนพูดด้วยน้ำเสียงรักใคร่ ในขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มที่ทึกทักเอาเองว่าอบอุ่นละมุนละไมให้หลินจยาอวี่


 


 


เจ้าหญิงเย็นชาหลินจยาอวี่หัวคิ้วของเธอมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย


 


 


บิดาของตู้ซูเหนียนกล่าว “ประธานหลิน ผมรักหลินจยาอวี่เด็กคนนี้เป็นอย่างมาก คิดมาโดยตลอดว่าหากมีลูกสาวแบบนี้ก็คงดีไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าลูกของผมตู้ซูเหนียนจะชอบพอหลินจยาอวี่มานานแล้ว แถมยังเคยสาบานกับผมไว้ว่า ชีวิตนี้ถ้าไม่ใช่หลินจยาอวี่เขาก็จะไม่แต่งงานด้วยเป็นอันขาด ผมเลยต้องรับปากลูกชาย แบกหน้าเ**่ยวๆ มาขอประธานหลิน ประธานหลินถ้าคุณเห็นด้วยละก็ผมรับประกันเลยว่า หลังจากที่หนูจยาอวี่แต่งเข้าตระกูลของผมแล้ว ผมจะดูแลเธอเหมือนกับเป็นลูกสาวของตัวเอง ไม่ให้เธอได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ เด็ดขาด”


 


 


หลินกั๋วเฟิงรักลูกสาวของตนเองมาก เรื่องการแต่งงาน เขาย่อมต้องถามความยินยอมจากหลินจยาอวี่ก่อนถึงจะตัดสินใจได้ จะให้รับปากปุบปับได้อย่างไร แต่จะตอบกลับอย่างไรให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เขาต้องขบคิดให้รอบคอบก่อน


 


 


ไม่ต้องรอให้หลินกั๋วเฟิงพูด หลินจยาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ปฏิเสธทันควัน “ขอบคุณที่คุณลุงตู้ให้ความเอ็นดูหนูนะคะ แต่ว่าหนูขอกล่าวประทานโทษไว้ตรงนี้ หนูจะไม่แต่งงานกับตู้ซูเหนียนค่ะ” เมื่อพูดจบเธอก็หมุนตัวเดินออกไปทันที


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ที่แอบฟังอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นว่าหลินจยาอวี่กำลังเดินออกมา เธอก็รีบเดินไปหลบในห้องรับรองอีกห้องทันที ทว่าก็ยังไม่วายแอบมองลอดผ่านช่องประตู


 


 


ตู้ซูเหนียนเดินตามออกมาขวางทางหลินจยาอวี่เอาไว้ “จยาอวี่ ผมรักคุณจริงๆ นะ โปรดให้โอกาสผมสักครั้งเถอะ”


 


 


หลินจยาอวี่เอ่ยเสียงเย็น “แต่ฉันไม่ได้ชอบคุณและไม่มีวันที่จะชอบ ฉะนั้นฉันจะไม่แต่งงานกับคุณโดยเด็ดขาด” เมื่อกล่าวปฏิเสธจบเธอก็เดินออกมาทันที ท่าทีชัดเจนและเด็ดขาดเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ตู้ซูเหนียนโมโหโกรธา ถีบประตูบานข้างๆ ไปหนึ่งที แต่บังเอิญไปโดนเฉียวพั่นเอ๋อร์ที่แอบอยู่หลังประตูอย่างพอดิบพอดี ด้วยแรงถีบทำให้เธอโซเซจนล้มลงไปกองบนพื้น


 


 


เมื่อได้ยินเสียงร้องกรี๊ดเบาๆ ตู้ซูเหนียนก็สะดุ้งตกใจเช่นกัน เขาจำผู้หญิงคนที่ล้มกองอยู่บนพื้นได้ รีบพุ่งเข้าไปพยุง “คุณหนูเฉียว” 


 


 


ตู้ซูเหนียนประคองเฉียวพั่นเอ๋อร์ไปนั่งตรงโซฟาที่อยู่ข้างๆ “คุณชายตู้ คุณโกรธเกรี้ยวอะไรขนาดนั้นคะเนี่ย ใครทำให้คุณไม่พอใจเหรอคะ”


 


 


“ขอโทษด้วยนะครับ คุณหนูเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ตู้ซูเหนียนจ้องมองหุ่นอันแสนอรชรอ้อนแอ้น เรียวขาขาวจั๊วะของเฉียวพั่นเอ๋อร์ สายตาเปลี่ยนเป็นแทะโลมในทันที


 


 


แววตาของเฉียวพั่นเอ๋อร์ดูหนักใจเล็กน้อย หากในสถานการณ์ปกติ เฉียวพั่นเอ๋อร์ไม่ให้ค่าเสือผู้หญิงจอมเสเพลอย่างหมอนี่หรอก แต่ตอนนี้เธอมีความคิดที่แตกต่างออกไป         


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์คลี่ยิ้มแล้วกล่าว “คุณชายตู้ ฉันได้ยินมาว่าวันนี้คุณพ่อของคุณจะคุยเรื่องงานแต่งงานกับประธานหลินไม่ใช่หรือคะ แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่แถวนี้ละคะ”


 


 


ตู้ซูเหนียนกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยครับ”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์ทำหน้าตกตะลึง “หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ…วันนั้นที่ภัตตาคารซื่อจี้หวงจู๋ ฉันเห็นหลินจยาอวี่ไปกับผู้ชายคนหนึ่ง หรือว่า…” เธอหยุดเล่ากลางคัน รีบทำเป็นปิดปาก จากนั้นคลี่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวขอโทษ 


ตอนที่ 173 จะทำให้คุณเรียกผมว่าสามีทั้งน้ำตา!


 


 


แววตาของตู้ซูเหนียนถมึงทึงอย่างฉับพลัน รู้สึกว่าบนศีรษะของตนเองถูกสวมไว้ด้วยหมวกเขียว


 


 


ผู้หญิงสำส่อนอย่างหลินจยาอวี่ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีแฟนมาแล้วหนึ่งคน เขาอุตส่าห์ไม่ถือสา เต็มใจยอมสวมรองเท้าขาดๆ ของเธอ[1] นึกไม่ถึงว่าหลินจยาอวี่จะยังกล้าจู๋จี๋ดู๋ดี๋กับผู้ชายคนอื่นอีก หากไม่ใช่เพราะฐานะของหลินฮูหยิน มีหรือที่ตระกูลตู้จะหมายตาหลินจยาอวี่


 


 


“หลินจยาอวี่เป็นคนดีมากนะคะ แต่แค่ใสซื่อไปหน่อย อีกอย่างพวกผู้ชายประเภทปีนกิ่งสูง[2] เอาอกเอาใจผู้หญิงเก่งจะตายไปค่ะ ไม่แปลกหรอกค่ะที่หลินจยาอวี่จะตกหลุมพราง อ้อยังมีอีกเรื่อง…”


 


 


เฉียวพั่นเอ๋อร์เหลือบไปมองสีหน้าอันย่ำแย่ของตู้ซูเหนียน ตัดสินใจเอาความอัดอั้นตันใจที่เพิ่งได้รับมาหมาดๆ โยนใส่ตู้ซูเหนียน จะดีมากถ้าตู้ซูเหนียนออกไปคิดบัญชีกับไอ้เวรฟังจือหันตั้งแต่ตอนนี้ ให้มันกระจ่างเสียบ้างว่าอะไรคือฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ “เหมือนว่าวันนี้ฉันจะเห็นผู้ชายคนนั้นที่งานเลี้ยงนี้ด้วยนะคะ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะกล้ามาปนอยู่ในงานนี้ด้วย คุณชายตู้ คุณควรจะสั่งสอนแมงดาที่เกาะผู้หญิงกินอย่างหมอนั้นสักหน่อยนะคะ ให้มันรู้แจ้งเห็นชัดว่ามันเหมาะแค่เป็นคนถือรองเท้าให้คุณชายเท่านั้น”


 


 


“ไอแมงดานั้นมันอยู่ที่ไหน”


 


 


“เหมือนว่าจะนั่งอยู่กับอวี๋กานกาน คนที่เป็นหมอรักษาหลินจยาอวี่น่ะค่ะ ตรงโซฟาทางห้องโถงฝั่งตะวันออก”


 


 


“มารดามัน ไอ้เวร กล้าดียังไงมาแย่งผู้หญิงกับข้า”


 


 



 


 


ชายหนุ่มรูปงาม หน้าตาหล่อเหลา มองอวี๋กานกานด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก “มีคนมาแย่งสามีของคุณ คุณไม่ไล่ผมไม่ถือ แต่ทำไมคุณถึงเอาแต่มองดูด้วยสีหน้าสนุกสนาน นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่”


 


 


อวี๋กานกานกัดขนมเข้าไปหนึ่งคำ “สำหรับนายฉันให้มากที่สุดคือสามีกำมะลอ”


 


 


ฟังจือหันโน้มตัวมาใกล้ๆ ใบหูของเธอ พูดข่มขู่ “เชื่อไหมว่าคืนนี้ผมจะทำให้คุณเรียกผมว่าสามีทั้งน้ำตา!”


 


 


ลมหายใจร้อนผ่าวรดลงตรงใบหูอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว อวี๋กานกานรู้สึกจั๊กจี้ หดตัวตามสัญชาตญาณ เมื่อตั้งสติได้แล้วเพิ่งจะตระหนักได้ว่าฟังจือหันพูดอะไรออกมา ใบหน้าของเธอแดงซ่าน มองค้อนใส่ฟังจือหันด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไร


 


 


 ฟังจือหันลูบศีรษะของเธอ แววตาเจ้าเล่ห์มองไปยังด้านหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “สายตาที่ผู้หญิงคนนั้นมองคุณมีแต่ความเกลียดชัง คราวหน้าพยายามอย่าไปคุยกับคนพรรค์นี้อีก”


 


 


ริมฝีปากของอวี๋กานกานงับช้อนเข้าไปเล็กน้อย พูดเสียงอู้อี้ “เอื่ออี้เหมือนว่าจะเป็นเพราะเสน่ห์อองอายอากอว่านะที่อึงอูดเขามา อายไม่สนใจเขา เขานั่นแหละจะมาหาเรื่องอั๋น”


 


 


“ถ้าไม่อยากให้มาวุ่นวายกับคุณ งั้นก่อนที่เขาจะเข้ามาหาเรื่องคุณ คุณก็ชิงถีบเขาให้กระเด็นไปซะเลย”


 


 


“แล้วทำไมฉันต้องถีบ ทำไมนายไม่ถีบเองเล่า”


 


 


“เขาเป็นผู้หญิง” ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาจะลงมือได้อย่างไร


 


 


อวี๋กานกานกำลังกินขนม เธอพยายามกลั้นขำ เขากำลังจะบอกว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษ? หรือชายชาตรีอกสามศอก?


 


 


ขนมเลอะอยู่ตรงบริเวณมุมปากเล็กน้อย อวี๋กานกานแลบลิ้นออกมาเลียเบาๆ จากนั้นเม้มริมฝีปากอันสวยสดอวบอิ่ม ก่อนจะรับประทานต่อ งานเลี้ยงค่อนข้างน่าเบื่อ แต่ขนมอร่อยมากจริงๆ อวี๋กานกานกินเข้าไปอีกคำ พร่ำพรรณนาถึงความเอร็ดอร่อย ในตอนที่กลืนลงไปยังไม่วายหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข


 


 


นัยน์ตาล้ำลึกของฟังจือหันจ้องมองอวี๋กานกาน ก็แค่ขนมชนิดหนึ่ง แต่เธอกลับทำเหมือนกำลังได้กินอาหารอะไรสักอย่างที่มีรสชาติล้ำเลิศที่สุดในโลกมนุษย์ ทำให้รู้สึกถึงความหวานหอมที่ไม่สามารถพรรณนาออกมาได้ ท่าทีที่เอร็ดอร่อยแบบนั้น ชวนให้อดใจไม่ไหวอยากลองชิมดูบ้าง


 


 


ในตอนที่อวี๋กานกานจิ้มขนมเตรียมกำลังจะใส่เข้าปาก จู่ๆ ฟังจือหันก็พูดกับเธอว่า “ดูทางนู้นสิ”


 


 


อวี๋กานกานหันไปทางด้านซ้ายตามที่ฟังจือหันบอก แต่กลับไม่เห็นอะไร ในขณะที่กำลังสงสัยและไม่เข้าใจ ฟังจือหันจับมือของเธอ ส่งขนมเข้าปากของตนเองแล้วกลืนลงไป


 


 


อวี๋กานกาน “…”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] รองเท้าขาด อุปมาถึง ผู้หญิงหรือผู้ชายที่ประพฤติตัวไม่ดี 


 


 


[2] ปีนกิ่งสูง หมายถึง คบหากับคนที่ฐานะทางสังคมสูงกว่าตน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 174 เธอกำลังตั้งครรภ์!


 


 


อวี๋กานกานวางจานขนมในมือลง จากนั้นก็วิ่งหนีออกมาทันที มือแตะใบหน้าจิ้มลิ้มที่ค่อนข้างร้อนผ่าวของตนเอง ต้องโทษฟังจือหันคนเดียว ทำไมถึงต้องกินขนมของเธอโดยใช้ส้อมอันเดียวกันด้วย รู้หรือเปล่าว่านี่เป็นการจูบทางอ้อม!


 


 


ผู้ชายคนนี้ชอบทำอะไรมีเลศนัย ทั้งยังเหมือนมีประสบการณ์มาแล้วโชกโชน ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีแบบนี้จีบหญิงมาแล้วกี่ราย


 


 


อวี๋กานกานสติเตลิดเปิดเปิงเป็นที่เรียบร้อย เธอวิ่งไปหาหลินจยาอวี่ ถาม “ประธานหลินอยู่ที่ไหนเหรอ”


 


 


“คุณพ่ออยู่ห้องรับรองน่ะ” หลินจยาอวี่เห็นตู้ซูเหนียนกำลังเดินมา เธออยากจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา จึงพาอวี๋กานกานไปหาหลินกั๋วเฟิงที่ห้องรับรอง “เธอตามหาพ่อของฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”


 


 


“ขอบคุณเขาที่มอบของขวัญเป็นนามบัตรล้ำค่าให้ฉันกล่องหนึ่ง”


 


 


“…”


 


 


ภายในห้องรับรอง ประธานตู้ปลีกตัวออกไปแล้ว เมื่อหลินกั๋วเฟิงเห็นหน้าหลินจยาอวี่เขาก็เอ่ยปากหวังจะอบรมสั่งสอนทันที “จยาอวี่ ลูก…” ทำไมไม่ปฏิเสธให้มันอ้อมค้อมกว่านี้สักหน่อย ถ้าลูกนิสัยยังเป็นแบบนี้ อนาคตมันจะไม่เป็นผลดีต่อลูกนะ หลินกั๋วเฟิงเตรียมจะกล่าวตักเตือนด้วยความหนักใจ แต่เมื่อเห็นอวี๋กานกานเดินตามหลังหลินจยาอวี่เข้ามา เขาก็รีบหยุดกลางคั่นทันที คลี่ยิ้ม “คุณหมออวี๋”


 


 


อวี่กานกานคลี่ยิ้มบางๆ กล่าว “ประธานหลินเรียกหนูว่ากานกานเถอะค่ะ หนูกับจยาอวี่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว ประธานหลินอย่าเรียกหนูเป็นทางการอย่างงั้นเลยค่ะ”


 


 


หลินกั๋วเฟิงยิ้มแป้น “ได้สิ งั้นหนูก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าประธานหลินแล้ว จะเรียกลุงหรืออาก็ได้ แล้วแต่หนูเลย”


 


 


“ค่ะ คุณลุงหลิน ขอบคุณสำหรับของขวัญนะคะ หนูชอบมาก วันนี้เป็นวันเกิดของคุณลุง หนูเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณลุงไว้อย่างหนึ่ง หวังว่าคุณลุงจะชอบ”


 


 


อวี๋กานกานหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาหนึ่งขวดมอบให้หลินกั๋วเฟิง เธอเคยตรวจชีพจรให้หลินกั๋วเฟิงมาก่อน พบว่าความดันโลหิตของเขาสูงมาก นี่เป็นของขวัญที่เธอทำขึ้นมาเองหลังจากที่ได้รับจดหมายเชิญ “นี่เป็นยาลูกกลอนบำรุงร่างกายที่หนูปรุงขึ้นเพื่อสุขภาพร่างกายของคุณลุงโดยเฉพาะ สามารถสงบตับลดความดัน บำรุงเส้นเอ็นและกระดูก ปรับสมดุลร่างกาย”


 


 


หลินกั๋วเฟิงรู้สึกแปลกใจและดีใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่พิธีรีตอง ยื่นมือออกมารับของขวัญทันที “ขอบคุณหนูมากนะ หนูกานกาน”


 


 


อวี๋กานกานเกาศีรษะอย่างเหนียมอาย “หนูเป็นหมอ ทำได้แค่มอบยาเนี่ยแหละค่ะ หวังว่าคุณลุงจะไม่ถือสา”


 


 


“ไม่เลย ไม่เลย นี่มันยาธรรมดาๆ ซะที่ไหนกันละ นี่คือยาวิเศษเชียวนะ!” หลินกั๋วเฟิงรับมาด้วยความเต็มใจ จากนั้นหันไปพูดกับหลินจยาอวี่ “จยาอวี่ หลังงานเลี้ยงเลิก พากานกานไปนั่งเล่นที่บ้านเราให้ได้นะ”


 


 


“ค่ะ พ่อ”


 


 


วันนี้หลินกั๋วเฟิงเป็นเจ้าภาพผู้เฒ่าอายุยืน จะมัวเอาแต่อยู่ในห้องรับรองตลอดไม่ได้ เขาให้หลินจยาอวี่คอยดูแลอวี๋กานกาน จากนั้นตนเองก็ปลีกตัวออกไป


 


 


อวี๋กานกานรู้สึกอิจฉาหลินจยาอวี่เป็นอย่างมากที่มีพ่อที่น่ารักแบบนี้


 


 


สีหน้าของหลินจยาอวี่เฉยชาไร้อารมณ์ ถามอวี๋กานกาน “ฉันหายดีแล้วจริงเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า “ที่เธอรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หายดี เพราะเธอรู้สึกว่ายิ้มไม่ออกใช่ไหม ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเธอยิ้มไม่ออกนะ แต่เป็นตัวเธอเองต่างหากที่ไม่อยากยิ้ม…”


 


 


หลินจยาอวี่ส่ายศีรษะ กล่าว “ไม่ใช่เรื่องยิ้ม คือ…ช่วงนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยอยากอาหารเลย”


 


 


อวี๋กานกานประหลาดใจ โรคใบหน้าพิการไม่ว่าจะรักษาอย่างไร ยังไงก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร เธอยื่นนิ้วมือไปตรงจุดชีพจรบนแขนของหลินจยาอวี่เพื่อตรวจอาการให้เธอทันที เมื่อตรวจไปได้ครู่หนึ่งแล้ว สายตาของอวี๋กานกานมองหน้าหลินจยาอวี่อย่างตกตะลึง ร่างกายของเธอแข็งทื่อไปทั้งตัว


 


 


หลินจยาอวี่เห็นสีหน้าที่ตึงเครียดของอวี๋กานกาน ผนวกกับการที่อวี๋กานกานเปลี่ยนไปตรวจชีพจรเพิ่มที่แขนอีกข้าง ทำให้บังเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างฉับพลัน “มีอะไรเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานตรวจชีพจรให้เธอทั้งแขนข้างซ้ายและขวา ระยะเวลาในการตรวจก็นานมาก ตรวจนานกว่าตอนครั้งแรกที่เจอเธอเสียอีก นานจนหลินจยาอวี่เองก็เริ่มเป็นกังวล ในที่สุดเสียงของอวี๋กานกานก็ดังขึ้น “เธอกำลังตั้งครรภ์!”


ตอนที่ 175 เรื่องราวของหลินจยาอวี่


 


 


หลินจยาอวี่จ้องหน้าอวี๋กานกานนิ่ง ใบหน้าเย็นชานั้นยังคงไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่ามือทั้งประสานกันแน่นจนนิ้วขึ้นเป็นรอยจ้ำสีแดง เธอเหม่อลอยไปครู่ใหญ่ก่อนจะรวบรวมสติคืนกลับมาได้ ค่อนข้างสับสน “ทะ เธอแน่ใจเหรอ”


 


 


อวี๋กานกานพยักหน้า “ประมาณหนึ่งเดือน”


 


 


ถ้าเธอจำไม่ผิด เหมือนว่าหลินจยาอวี่จะเลิกกับแฟนหนุ่มมาเกือบจะครึ่งปีแล้วนี่นา ถ้าอย่างงั้นนี่เป็นลูกของใครกัน?


 


 


ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ หลินจยาอวี่เซไปเล็กน้อย อวี๋กานกานรีบพุ่งเข้าไปประคอง “จยาอวี่ เธอยังไหวอยู่ไหม”


 


 


หลินจยาอวี่ไม่ไหว เธอไม่ไหวแล้ว แขนทั้งสองข้างของเธอกอดไหล่ตัวเองไว้อย่างแน่นหนา


 


 


อวี๋กานกานเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของหลินจยาอวี่ เธอยื่นแขนออกไปโอบกอดหลินจยาอวี่ไว้ เป็นการปลอบประโลมโดยไม่ต้องพูดจากใดๆ ให้มากความ


 


 


“เธอถามฉันไม่ใช่เหรอว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมยิ้ม” หลินจยาอวี่ขยับมุมปากให้ยกขึ้น แต่กลับยังแข็งเกร็งเหมือนอย่างเคย ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้


 


 


หลินจยาอวี่ตั้งแต่เล็กจนโตไม่ว่าจะเรื่องชาติตระกูล รูปร่างหน้าตา กิริยามารยาทหรือความสามารถล้วนโดดเด่นเป็นเลิศ ทั้งยังไม่เคยได้รับความอัปยศใดๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้พบกับหลีหนานเซิง


 


 


หนานเซิง หนานเซิงเป็นชื่อที่ช่างไพเราะ ตอนที่เรียกขานชื่อนี้ มักจะทำให้หวนนึกถึงมะกล่ำแดงเติบโต ณ แดนใต้ ใบไม้ผลิมาเยือนแตกกิ่งก้าน หวังท่านเก็บผลผลิตให้มากยิ่ง เพราะมันคือสิ่งแทนความคิดถึง[1]


 


 


ด้วยชาติตระกูลของหลินจยาอวี่ หากเธออยากได้อะไรมาครอบครองล้วนไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ด้วยนิสัยของเธอที่เป็นคนเก็บตัว ทำให้เธอไม่ชอบไปแก่งแย่งชิงดีกับใคร เติบโตมาถึงขนาดนี้สิ่งเดียวที่เธอพยายามจะครอบครองและพยายามรักษาไว้อย่างสุดความสามารถ นั่นคือความรักความผูกพันระหว่างเธอกับหลีหนานเซิง


 


 


เพื่อนที่ดีที่สุดของหลินจยาอวี่มีชื่อว่าจางอวี้จือ เธอพาหลีหนานเซิงไปเมืองจิงแนะนำจางอวี้จือให้รู้จัก ทั้งยังพาพวกเขาไปขั้วโลกใต้ด้วยกัน ต้องการให้จางอวี้จือช่วยเธอวิเคราะห์ดูว่าแฟนหนุ่มหลีหนานเซิงคนนี้ของเธอเป็นอย่างไร ผลปรากฏว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ กลับตกหลุมรักหลีหนานเซิงและแย่งเขาไป นั่นเป็นครั้งแรกของเธอที่มีปากมีเสียงกับคนอื่น ครั้งแรกของเธอที่อยากจะเหนี่ยวรั้งความรักครั้งนี้เอาไว้


 


 


แต่กลับ…


 


 


หลินจยาอวี่จำได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน ท่ามกลางพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอันหนาวเหน็บ เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอพูดกับเธอว่า “เรื่องของความรู้สึกเป็นเรื่องที่ฝืนกันไม่ได้ เขาไม่ได้รักเธอ คนที่เขารักคือฉัน”


 


 


และยิ่งไม่มีวันลืมสิ่งที่แฟนหนุ่มของเธอพูดกับเธอ “คุณรู้ไหมว่าตอนที่ผมอยู่กับคุณมันทุกข์ทรมานมาก มันอึดอัดไปหมด จนบางครั้งผมแทบจะหายใจไม่ออก ผมไม่ชอบที่คุณเอาแต่ตามติดผม ไม่ชอบให้คุณมายุ่งวุ่นวายกับผม และยิ่งไม่ชอบรอยยิ้มที่คุณยิ้มให้ผมตอนนี้ เอาแบบนี้แล้วกัน เรามาเลิกกันด้วยดีเถอะ บางทีพวกเราอาจจะยังเป็นเพื่อนกันได้”


 


 


ครั้งแรกที่ตกหลุมรัก ครั้งแรกที่มีแฟน หลินจยาอวี่นึกมาโดยตลอดว่าพวกเขาจะมีรักที่สวยงามเหมือนกับคนอื่นๆ ประสบความสำเร็จเป็นความรักอันสมบูรณ์แบบ เธอให้ใจไปร้อยทั้งร้อย นึกว่าเมื่อให้ไปแล้วจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมา แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า นอกจากจะไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ กลับคืนมาแล้ว มิหนำซ้ำยังโดนคนรักและเพื่อนที่ดีที่สุดหักหลัง


 


 


วันนั้น ท่ามกลางพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หลินจยาอวี่ยืนนิ่งอยู่นาน นานจนเธอถูกความเย็นกัดจนได้รับบาดเจ็บแล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกตัว เธอเข้าผิดใจมาโดยตลอดว่าตนเองเป็นคนใจเย็นมีสติ ต่อให้มีความรักก็ไม่มีทางรักจนชั่วฟ้าดินสลาย ถึงตายก็ไม่แปรเปลี่ยน ซึ่งส่งผลให้ภายหลังเธอต้องช็อกอยู่กับความเจ็บปวดของตนเอง ช็อกอยู่กับความโศกเศร้าอาดูร ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยบอกกับตนเองว่า ‘ก็แค่ผู้ชายคนเดียวเองนี่?’ แต่เธอไม่สามารถลุกฮึดขึ้นมาได้จริงๆ


 


 


สองสามวันก่อนที่เธอจะเข้ารับการรักษากับอวี๋กานกาน เธอไปที่เมืองจิงอีกครั้งหนึ่ง แอบไปดูหลีหนานเซิงและจางอวี้จือ พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขหวานแวว


 


 


เธอโศกเศร้าเสียใจ เข้าผับกลายเป็นนางเมรีขี้เมา


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] หนานเซิง พ้องเสียงกับคำว่าแดนใต้ ทำให้หลินจยาอวี่นึกถึงกลอนบทนี้ สมัยก่อนมะกล่ำแดงถูกเรียกว่าเมล็ดคะนึงหาซึ่งเติบโตเฉพาะในภาคใต้ของประเทศจีน โดยกลอนบทนี้ หวังเหวย แต่งให้แก่ หลีกุยเหนียน สหายที่ไปพเนจรในแดนใต้ เพื่อแสดงออกถึงความคิดถึง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 176 ฟังจือหันที่ถูกยั่วยุ


 


 


จนถึงทุกวันนี้หลินจยาอวี่ก็ยังจำไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดในคืนนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร จำได้เพียงมีผู้ชายคนหนึ่งทับอยู่บนตัวเธอ หอบหายใจฮืดฮาด ร่างกายของเธออ่อนปวกเปียกไปทุกสัดส่วน ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ทำได้เพียงปล่อยให้ชายคนนั้นทำในสิ่งที่เขาปรารถนา


 


 


เมื่อตื่นเช้ามาหากไม่ใช่เพราะบนเตียงที่ยุ่งเหยิงมีร่องรอยของการร่วมรัก บนผ้าปูที่นอนมีเลือดสีแดงสดสะดุดตา เธอคงนึกว่าตัวเองแค่ฝันฤดูใบไม้ผลิ[1] ไปเท่านั้น


 


 


เธอแสร้งทำเหมือนเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง บังคับตัวเองไม่ให้นึกถึงมันอีก ตอนนั้นเธออยู่ในสภาพโศกเศร้าเสียใจ หมดอาลัยตายอยาก จึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องท้องหรือไม่ท้อง นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงครั้งเดียวก็แจ็กพอตแตก


 


 


เธอกำลังตั้งครรภ์…หลังจากที่เล่าเรื่องทั้งหมดที่เชื่อมโยงกันให้อวี๋กานกานฟังจบแล้ว หลินจยาอวี่ทอดถอนหายใจยาวเหยียด เหมือนกับว่าเธอได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งออก รู้สึกโล่งสบายไปทั่วทั้งตัวขึ้นมาทันที


 


 


หลินจยาอวี่มองหน้าอวี๋กานกาน กล่าว “ฉันขอบคุณเธอมากจริงๆ นะ กานกาน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ตอนนี้ฉันก็คงยังจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวดที่ตนเองสร้างขึ้นมา ทำให้พ่อแม่ที่พวกท่านก็ชรามากแล้วต้องมาเป็นห่วงเป็นกังวล พอตอนนี้มาคิดทบทวนดูแล้ว มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ”


 


 


ช่วงแรกหลินจยาอวี่เล่าด้วยท่าทีที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ราวกับกำลังเล่าเรื่องของคนอื่นอยู่ จนกระทั่งพูดถึงพ่อแม่ ดวงตาของเธอแดงก่ำ น้ำตาหยดใสค่อยๆ ไหลรินออกมาจากหัวตา รับการรักษามานานถึงขนาดนี้แล้ว หลินจยาอวี่ไม่เคยเล่าถึงสาเหตุที่เธอได้รับบาดเจ็บจากความเย็นเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าในวันนี้จะยอมเล่าออกมาเพราะตั้งครรภ์ก็ตาม แต่อวี๋กานกานรู้สึกว่า ในเมื่อเธอเต็มใจที่จะเล่าออกมาแล้ว นั่นเท่ากับเธอได้ทำการปลดล็อกปมที่อยู่ในใจไปเรียบร้อยแล้ว


 


 


อวี๋กานกานกุมมือของหลินจยาอวี่ กล่าว “ชีวิตคนเรายังอีกยาวไกล มีใครบ้างที่ไม่เคยเจอผู้ชายเลวๆ  การปล่อยวางต่างหากที่เป็นทางออกที่ฉลาดที่สุด อีกอย่างเธอควรจะดีใจนะ ที่ผู้ชายสาระเลวนั่นไม่ได้อยู่ทำร้ายเธอต่อ ให้เธอได้มีเวลาไปตามหาผู้ชายที่รักและทะนุถนอมเธอ”


 


 


หลินจยาอวี่พยักหน้า “อือ ฉันรู้ ฉะนั้นเด็กคนนี้…ฉันเก็บไว้ไม่ได้” แม้แต่พ่อของเด็กเป็นใครเธอก็ยังไม่รู้ เธอไม่สามารถให้กำเนิดเด็กคนนี้ได้จริงๆ


 


 


หัวคิ้วของอวี๋กานกานมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย “ฉันเคยอ่านประวัติการรักษาของเธอ เลือดของเธอเป็นหมู่อาร์เอชลบ[2]”


 


 


“ใช่ เลือดของฉันเป็นหมู่อาร์เอชลบ ทำไมจู่ๆ เธอถึงถามหมู่เลือดของฉัน”


 


 


“หมู่เลือดอาร์เอชลบ ด้านการคลอดบุตรไม่มีปัญหา ระหว่างการตั้งครรภ์ให้หมั่นตรวจแอนตี้บอดี และฉีดยาป้องกันการสร้างสารต้านดี เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ว่าหากต้องทำแท้ง มีโอกาสสูงที่หลังจากนี้จะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก หรือหากตั้งครรภ์ก็จะมีความเสี่ยงสูง แท้งง่าย เหมือนภาวะแท้งซ้ำซ้อน ถึงแม้จะให้กำเนิดออกมาได้ แต่เด็กก็อาจจะ…”


 


 


หลินจยาอวี่ดวงตาเบิกโต มองหน้าอวี๋กานกานด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ


 


 


“โดยปกติแล้วเลือดอาร์เอชลบไม่ควรจะท้องโดยที่ไม่พร้อม เมื่อท้องแล้วจำเป็นต้องคลอด เพราะท้องที่สองและสามมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัว เมื่อร่างกายของแม่และทารกในครรภ์เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกตัว มีโอกาสสูงถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เด็กจะไม่รอดชีวิต ฉะนั้นฉันขอแนะนำเธอให้คิดทบทวนดูให้ดีก่อน”


 


 


ใจจริงของอวี๋กานกานหวังให้หลินจยาอวี่เก็บเด็กเอาไว้ เพราะเธอตรวจชีพจรของหลินจยาอวี่ดูแล้ว สุขภาพร่างกายของเธอไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งปีมานี้ ร่างกายของหลินจยาอวี่เสื่อมสภาพไปมาก แต่ประโยคนี้เธอไม่สามารถพูดออกมาได้ เพราะการตั้งครรภ์นี้หลินจยาอวี่เป็นคนที่ต้องรับภาระ ต้องแล้วแต่หลินจยาอวี่เป็นผู้ตัดสินใจ


 


 


……


 


 


เมื่ออวี๋กานกานแยกตัวจากฟังจือหัน ตู้ซูเหนียนก็เดินเข้ามาหาเรื่องทันที


 


 


ณ สวนดอกไม้หลังงานเลี้ยง ตู้ซูเหนียนเรียกพรรคพวกเป็นชายฉกรรจ์มาด้วยกันสี่คน เตรียมพร้อมรุมสกรัมฟังจือหัน “แกคิดว่าแกเป็นใครวะ กล้ามาแย่งผู้หญิงกับฉัน ถ้าคืนนี้ฉันไม่ได้สั่งสอนแกให้หลาบจำก็อย่ามาเรียกฉันว่าตู้ซูเหนียน!”    


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฝันฤดูใบไม้ผลิ อุปมาถึงความสุขชั่วคราว ในที่นี้หมายถึงฝันเปียก


 


 


[2] หมู่อาร์เอชลบ (Rh-) มนุษย์จะแบ่งหมู่เลือดออกเป็น Rh+ และ Rh- แบ่งโดยโดยสารแอนติเจนที่อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงคือสาร ‘ดี’ (D antigen) โดยคนที่มีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงก็จะเป็นหมู่เลือดอาร์เอชบวก (Rh positive) ส่วนคนที่ไม่มีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงก็จะเป็นหมู่เลือดอาร์เอชลบ (Rh negative) โดยทั่วไปหมู่ Rh- จะยังไม่มีสารต้าน D ( anti D) อยู่เดิมแต่จะถูกสร้างขึ้นเมื่อได้รับเลือด Rh+ ซึ่งมีสาร D อยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงหรือตั้งครรภ์บุตรที่มีเลือดอาร์เอชบวก ซึ่งสารต้าน D จะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงและเป็นอันตรายได้  ดังนั้นในคนที่มีหมู่เลือด Rh- หากมีเหตุที่จะต้องได้เลือดจึงควรจะได้เลือดหมู่ Rh- เพื่อป้องกันการสร้างสารต้าน D และหากตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่มีสารต้าน D ก็ควรจะฉีดยาป้องกันการสร้างสารต้าน D ขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด ส่วนในคนที่มีการสร้างสารต้าน D แล้วก็จะต้องได้รับเฉพาะเลือดอาร์เอชลบเท่านั้น มิฉะนั้นก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม