ลำนำสตรียอดเซียน 168.1-171.2
ตอนที่ 168-1 ฝากฝัง
สหายนักพรตฟางเจิ้งตกลงไปที่พื้นด้วยเสียงดังปัง ในชั่วพริบตา เขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกตัว
โม่เทียนเกอเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาทันทีแต่เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณนั้นได้หายไปแล้ว นางยังไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน!
ขณะนั้นเอง สหายนักพรตฟางเจิ้งที่นอนอยู่บนพื้นส่งเสียงคราง ด้วยใบหน้าซีดเผือด เขากระเสือกกระสนเพื่อคลานขึ้น “นี่…”
“สหายนักพรตฟางเจิ้ง ดูเหมือนว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้ไม่ยอมปล่อยให้เราขโมยหินสุริยันของเขาไปได้” เมื่อยืนยันแน่แล้วว่าไม่มีอันตรายใดอีก โม่เทียนเกอเอาอาวุธเวทลงจากนั้นกวาดสายตามองทั่วห้องหินอย่างช้าๆ
กลอุบายนั้นเห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าดินแดนปัจจุบันของพวกเขา มันไม่ได้ดูเหมือนตั้งใจจะฆ่าพวกเขา ดูเหมือนว่ามันจะตั้งใจป้องกันไม่ให้คนเอาหินสุริยันออกไป
นักพรตฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองที่หินสุริยันเหนือหัวพวกเขา สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นความไม่เต็มใจอย่างที่สุด
ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องกลับไปมือเปล่าจากการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่หรือ
ขณะนั้นเอง เสียงกึกก้องดังขึ้นอีกครั้ง ฟังดูราวกับว่าแผ่นหินกำลังถูกเคลื่อนไปที่ไหนสักแห่ง
ทั้งสองคนไปตามทางแหล่งที่มาของเสียงนั้นด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นพวกเขาเห็นกำแพงที่ส่วนลึกสุดของห้องหินจู่ๆ ก็เคลื่อนเปิดออกทันที เผยให้เห็นโต๊ะหินพร้อมด้วยสิ่งของมากมายที่จัดวางอยู่บนนั้น
แต่หลายเหตุการณ์จากก่อนหน้านี้ทำให้ทั้งสองคนกระทำการด้วยความระมัดระวัง หลังจากความดีใจในตอนแรก พวกเขาจึงไม่ได้รีบหยิบฉวยสิ่งของพวกนั้นไปในทันที
นักพรตฟางเจิ้งปล่อยสัตว์วิเศษระดับหนึ่งของเขาไปอีกครั้ง นกส่งเสียงร้องแล้วจึงบินโงนเงนไปทางโต๊ะหิน
ไม่ใช่แค่นักพรตฟางเจิ้ง แต่แม้แต่โม่เทียนเกอเองก็ประหม่าถึงขีดสุด ตั้งแต่นางมาที่นี่ นอกเหนือจากราชินีแห่งหินจันทราและหินจันทราเวทมนตร์อีกหลายอัน นางก็ยังไม่ได้ครอบครองอะไรอื่นเลยสักอย่างเดียว ในทางตรงข้าม นางเสียเครื่องรางเวทไปหลายอันด้วยซ้ำไป เห็นได้ชัดว่ามีสมบัติมากมายที่นี่แต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้นำมันออกไป
เมื่อนกบินร่อนลงอย่างนิ่มนวลบนโต๊ะหิน นักพรตฟางเจิ้งดูมีความสุขขึ้นมาหน่อยในที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักเขาก็ยิ่งประหม่ายิ่งกว่าก่อนหน้านี้ขณะที่เขาสั่งให้นกตัวนั้นคาบของชิ้นหนึ่งขึ้นมาด้วยจะงอยปากของมัน
บนโต๊ะหิน นกตัวนั้นกระพือปีกและกระโดดไปยังสิ่งของที่รูปร่างเหมือนกระดิ่ง ในไม่ช้ามันก็คาบมือจับของกระดิ่งขึ้นมาด้วยจะงอยปากของมัน เตรียมพร้อมที่จะบินกลับมา
“ปัง!” ควันพุ่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและเส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณปรากฏขึ้นทันที
โม่เทียนเกอต้องการใช้พลังงานวิญญาณป้องกันร่างกาย แต่ในชั่วอึดใจ นางกลับเสียการควบคุมพลังงานทางจิตวิญญาณภายในร่างกาย นางไม่สามารถเคลื่อนมันได้!
ขณะนั้นเอง เสียงทุ้มที่ฟังดูยิ่งใหญ่ก้องสะท้อนอยู่ภายในห้องหิน “ศิษย์น้องคนไหนเข้ามาที่ถ้ำเซียนของจื่อเวยหรือ”
โม่เทียนเกอตกใจ หรือว่าจะเป็น–
นักพรตฟางเจิ้งตอบสนองไปก่อนแล้ว เขารีบเข้าไปตอบก่อน “ศิษย์น้องคือฟางเจิ้ง ผู้ฝึกตนเดี่ยวผู้ไม่สำคัญ ขอคารวะศิษย์พี่จื่อเวย!”
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามารถตัดแบ่งเศษเสี้ยวของจิตสัมผัสพวกเขาและเก็บรักษามันไว้สักที่หนึ่งหลังจากพวกเขาตาย คนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้คาดว่าจะเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่เรียกตัวเองว่านักเดินทางจื่อเวย
“ศิษย์น้องคือโม่เทียนเกอ ศิษย์แห่งโรงเรียนเสวียนชิง ขอคารวะศิษย์พี่จื่อเวย” ถึงแม้นางจะเผชิญหน้ากับแค่จิตสัมผัสของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แต่โม่เทียนเกอก็เลือกที่จะพูดความจริง
“โรงเรียนเสวียนชิง” คำพูดของนางทำให้นักเดินทางจื่อเวยประหลาดใจ แต่ไม่ช้าเขาก็ถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเกี่ยวข้องกับประมุขเต๋าตานหลิงอย่างไร”
ประมุขเต๋าตานหลิง โม่เทียนเกอใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบ “ประมุขเต๋าตานหลิงเป็นศิษย์พี่ในโรงเรียนของข้า เขาตายจากไปแล้วตั้งแต่เมื่อห้าพันปีก่อน”
“… ห้าพันปีก่อน” พอได้ยินคำตอบของนาง นักเดินทางจื่อเวยเงียบไปเป็นเวลานาน ในท้ายที่สุดเขาถอนหายใจยาวและพูดว่า “ผ่านมาห้าพันปีแล้วจริงๆ … จื่อหลาน ดูเหมือนว่าเจ้าก็…”
ในวินาทีถัดมา เสียงของเขากลับไปสงบนิ่งอีกครั้ง “ศิษย์น้องทั้งสอง ในเมื่อเจ้าเข้ามาในถ้ำเซียนของข้า เจ้ามีอะไรจะถามข้าไหม”
หลังจากนักพรตฟางเจิ้งได้ยินคำถามนั้น เขาตื่นเต้นไปด้วยความยินดี อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะพูด โม่เทียนเกอนำหน้าเขาไปก่อนแล้วก้าวหนึ่ง “ข้าสงสัยว่าศิษย์พี่ตั้งใจจะทำอะไรจากการที่หลอกล่อเรามายังสถานที่แห่งนี้”
ถือว่ากล้ามากสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานที่พูดอย่างนี้กับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ ด้วยเกรงว่าโม่เทียนเกอจะพูดอะไรผิดไป นักพรตฟางเจิ้งรีบกระซิบบอก “สหายนักพรต อย่าพูดโดยไม่คิดสิ!”
โม่เทียนเกอไม่ได้เสียกำลังใจ นางกล้าพูดเช่นนั้นเป็นปกติก็เพราะนางมั่นใจว่านักเดินทางจื่อเวยจะไม่โกรธ
แน่นอนว่านักเดินทางจื่อเวยระเบิดหัวเราะออกมาหลังจากนั้นไม่นาน “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นคนฉลาดนี่ ถูกต้องแล้ว ข้าหลอกล่อเจ้ามาที่สถานที่แห่งนี้โดยตั้งใจ”
“ศิษย์พี่มีจุดประสงค์อะไรหรือ”
นักเดินทางจื่อเวยไม่ได้ตอบคำถามของนาง เขาถามกลับแทน “ศิษย์น้อง เจ้าทั้งสองคิดอย่างไรกับถ้ำเซียนของข้า”
ครั้งนี้นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนตอบก่อน “ถ้ำเซียนของศิษย์พี่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ มีม่านพลังมากมายและทรัพย์สมบัติหลากหลาย”
“ม่านพลังและทรัพย์สมบัติ…” นักเดินทางจื่อเวยพูดตาม ทันใดนั้นเขาก็ถามอีกคำถาม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยากจะเอามันออกไปไหม”
นักพรตฟางเจิ้งทั้งหวาดกลัวและดีใจไปพร้อมกัน แต่เขาก็ไม่กล้าจะหยาบคาย เขาชำเลืองมองโม่เทียนเกอแล้วจึงตอบว่า “แน่นอนขอรับ… แต่ด้วยความสามารถของศิษย์พี่ เราไม่มีสิทธิ์จะตัดสินใจ”
“หึหึ เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์อย่างคาดไม่ถึง” นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะกับคำตอบของเขา “เจ้าทั้งสองไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าไม่ใช่คนโหดร้าย ถ้าเจ้าตอบคำถามข้าอย่างซื่อตรง ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางโอดโอยอยู่ภายใน ไม่ใช่คนโหดร้ายเช่นนั้นรึ มีแค่พวกเราสองคนที่เหลืออยู่ในสภาพดีจากคนทั้งหมดเก้าคน ตอนนี้นักพรตฟางเจิ้งก็บาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว หลังจากทั้งหมดนี้ เขายังพูดอีกว่าเขาไม่ใช่คนโหดร้าย…
“เจ้าจะคัดค้านอะไรไหม” เสียงของนักเดินทางจื่อเวยจู่ๆ ก็ฟังดูใกล้เหมือนกับเขากำลังพูดอยู่ข้างหูโม่เทียนเกอทำให้นางกลัวแทบสิ้นชีวิต เป็นไปได้หรือไม่ว่านักเดินทางจื่อเวยคนนี้สามารถใช้วิชาอ่านใจได้
“วิชาอ่านใจหรือ อืม ก็ไม่มากไม่น้อย” นางไม่ได้พูดสิ่งที่นางคิดออกมาแต่นักเดินทางจื่อเวยก็รู้ได้เรียบร้อยแล้ว “ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ครั้งหนึ่งข้าเคยลองทำการบรรลุผ่านดินแดนไปยังดินแดนแห่งเทพ ถึงแม้ความพยายามของข้าจะล้มเหลว แต่ข้าก็ได้รับความสามารถบางอย่างของเทพผู้ฝึกตนมา วิชาอ่านใจคือหนึ่งในนั้น”
โม่เทียนเกอรู้สึกอึ้ง สิ่งที่เขาพูดดูเหมือนจะถูกต้อง… ย้อนไปตอนที่นางอยู่กับหยวนเป่าและจงมู่หลิง นางก็พอจะสัมผัสได้คร่าวๆ ว่านางไม่สามารถปิดบังอะไรจากพวกเขาได้ ความรู้สึกนั้นแตกต่างจากความรู้สึกตอนที่นางพูดความจริงภายใต้แรงกดดันพลังงานทางจิตวิญญาณของใครสักคน ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ได้หมายความว่านักเดินทางจื่อเวยได้เข้าถึงขั้นสูงสุดของระดับจิตวิญญาณใหม่แล้วแต่ไม่สามารถก้าวหน้าไปถึงดินแดนแห่งเทพได้หรอกหรือ
“โอ้! ศิษย์น้อง เจ้าเคยพบเทพผู้ฝึกตนแล้วจริงๆ หรือ” พลังงานทางจิตวิญญาณล่องหนจู่ๆ ก็กระเพื่อมขึ้นลงทันใดและพันอยู่รอบตัวโม่เทียนเกออย่างแนบแน่นขณะที่ถูกถามคำถาม
รู้สึกหวาดกลัว โม่เทียนเกอรีบตั้งสติและสงบพลังงานทางจิตวิญญาณของนางลงให้นิ่ง ป้องกันจิตใจของนางไม่ให้ล่องลอยไป วิชาอ่านใจ… ถ้านางคิดมากเกินไป นั่นไม่ได้หมายความว่านางกำลังบอกเขาทุกอย่างหรือ
ความคิดนี้เพิ่งผ่านเข้ามาในจิตใจนางแต่ก่อนที่นางจะทันพูดอะไร นางก็ได้ยินนักเดินทางจื่อเวยหัวเราะเสียแล้ว “ศิษย์น้อง เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจไป วิชาอ่านใจไม่ใช่จะทำงานได้โดยอัตโนมัติ มันต้องเริ่มใช้ตามความประสงค์ของข้า ดังนั้นข้าจะหยุดใช้มันกับเจ้า เจ้าค่อยๆ พูดมาช้าๆ”
เขาฟังดูเป็นมิตรอย่างไม่น่าเชื่อ…
โม่เทียนเกอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะยังคงกังวลอยู่ลึกๆ นางตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ ศิษย์น้องเคยมีโอกาสได้พบกับเทพผู้ฝึกตนมาก่อนจริง”
“โห พวกเขาชื่ออะไรหรือ แล้วเจ้าพบพวกเขาได้อย่างไร”
“… คนหนึ่งในนั้นมีแซ่จง ชื่อมู่หลิง อีกคนหนึ่งถูกเรียกว่านักพรตหยวนเป่า แต่ข้าไม่รู้ว่ามันคือชื่อจริงของเขาหรือชื่อชาวลัทธิเต๋าของเขากันแน่”
“จงมู่หลิง หยวนเป่า…” เสียงนั้นพึมพำ “พวกเขาเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้จริงๆ ด้วยสิ…”
โม่เทียนเกอพูดด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่รู้จักเทพผู้ฝึกตนสองคนนั้นด้วยหรือเจ้าคะ”
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้…” นักเดินทางจื่อเวยพูดแผ่วเบา “เราเป็นผู้ฝึกตนจากยุคเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับข้าที่มาจากขั้วท้องฟ้า พวกเขามาจากอวิ๋นจง”
โม่เทียนเกอก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน หยวนเป่าเคยคุยกับนางเกี่ยวกับหลายต่อหลายสิ่ง แต่เดิมพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนจากอวิ๋นจง ในภายหลัง พวกเขาร่อนเร่ไปทั่วและมายังขั้วท้องฟ้า หลังจากพวกเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้ พวกเขาไม่มีที่อยู่อาศัยถาวรและแค่อยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนขณะที่พวกเขาท่องเที่ยวไปจนทั่ว
“เอาละ ศิษย์น้อง เจ้าควรบอกข้ามาก่อน ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“พวกเขา… สุขสบายดีมาก” จากคำถามของเขา ดูเหมือนจะมีแค่มิตรภาพและไม่ได้มีความเคียดแค้นระหว่างเขา จงมู่หลิง และหยวนเป่า ดังนั้นในที่สุดโม่เทียนเกอจึงคลายความกังวล “ศิษย์น้องเจอพวกเขาในการจลาจลสัตว์ปีศาจครั้งก่อน ศิษย์น้องบุกเข้าไปในถ้ำเซียนของศิษย์พี่ระดับเทพทั้งสองคนโดยบังเอิญและถูกพวกเขาช่วยชีวิตเอาไว้ ศิษย์น้องจากมาหลังจากอาการบาดเจ็บหายดี ดูเหมือนว่าพวกเขามาที่นี่เพราะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการเดินทางของพวกเขา”
“…” เมื่อได้ยินสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด นักเดินทางจื่อเวยนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปนาน สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจยาวและพูดว่า “การได้ยินข่าวของสหายเก่าทำให้ข้ารู้สึกอารมณ์อ่อนไหว ศิษย์น้อง ในเมื่อเจ้ารู้จักกับสหายเก่าของข้า ข้าจะไม่ทำให้เรื่องมันยากเกินไปสำหรับเจ้า บอกตามตรง ตลอดห้าพันปีที่ผ่านมา บางครั้งข้าก็มักจะทำให้ม่านพลังอ่อนกำลังลงและปล่อยพลังงานทางจิตวิญญาณออกไปเพื่อล่อผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างเจ้าทั้งสองมาที่สถานที่แห่งนี้ โชคร้ายที่ไม่มีใครสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้เลย…”
แน่สิ! โม่เทียนเกอเดาประเด็นนี้ไว้นานแล้ว นางแค่ไม่รู้ว่าทำไมนักเดินทางจื่อเวยถึงไม่ล่อผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่เข้ามา
“มีบางสิ่งที่ข้าเสียดายมาตลอดชีวิตและข้าไม่สามารถจัดการได้แม้ข้าตายจากไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าจึงผนึกจิตสัมผัสของข้าไว้ในถ้ำแห่งนี้ ถ้าใครที่สามารถผ่านการทดสอบและเข้าถึงถ้ำนี้ได้ จิตสัมผัสของข้าก็จะออกมาปรากฏเพื่อพบพวกเขา ถ้าเจ้าทั้งสองคนสามารถช่วยข้าจัดการเรื่องนั้นได้ ข้าจะให้ทรัพย์สมบัติเป็นการตอบแทน”
สิ่งที่เขาพูดทำให้โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างเหลือบมองกัน ทั้งคู่รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ ในกลุ่มของพวกเขา หกคนตายไปแล้วและอีกหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัส มีเพียงพวกเขาสองคนที่ยังสบายดีพอจะเข้ามาถึงถ้ำนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพราะผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ผู้ซึ่งตายไปแล้วมีบางสิ่งที่เขาอยากจะฝากฝังพวกเขาเช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังไม่ได้อธิบายด้วยว่าทำไมเขาถึงไม่ล่อผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่เข้ามา! นักเดินทางจื่อเวยผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในขั้นสูงสุดอันทรงพลังผู้ที่เข้าใกล้การเป็นเทพผู้ฝึกตนอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น คาดว่าทรัพย์สมบัติที่เขามีคงจะถูกผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นๆ หมายปองเช่นกัน
ตอนที่ 168-2 ฝากฝัง
“หรือว่าบางทีเจ้าอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงต้องการดึงดูดผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเข้ามา”
นักพรตฟางเจิ้งประสานมือ “โปรดอภัยให้พวกเราด้วยขอรับศิษย์พี่ เราไม่เข้าใจจริงๆ ถ้าศิษย์พี่มีเรื่องที่อยากฝากฝังให้เราทำ สู้ฝากฝังกับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่จะไม่ดีกว่าหรือ พวกเขามีฝีมือมากกว่าดังนั้นเรื่องนั้นจึงน่าจะสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย”
“หึๆ แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่จะกลัวเส้นใยจิตสัมผัสเช่นนั้นหรือ ไม่ว่าระดับการฝึกตนของข้าจะสูงแค่ไหนในอดีต แต่สิ่งที่ข้าเหลืออยู่ก็มีเพียงแค่เศษเสี้ยวจิตสัมผัสนี้เท่านั้น ข้าไม่สามารถขู่พวกเขาด้วยพลังของข้าได้” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างเฉยเมย “อีกอย่าง ปัญหาของข้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับระดับการฝึกตน”
นี่ก็สมเหตุสมผล ถ้าผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่พบถ้ำเซียนแบบนี้เข้า พวกเขาอาจจะบุกเข้ามาเอาสมบัติที่นี่ไป ท้ายที่สุดแล้วถึงแม้นักเดินทางจื่อเวยจะเคยเป็นอัจฉริยะเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้ตัวเขาเหลือเพียงแค่เส้นใยของจิตสัมผัสเท่านั้น
โม่เทียนเกอพูด “ศิษย์พี่ ท่านไม่กลัวหรือว่าเราจะตอบตกลงที่นี่แต่ไม่ยอมจัดการกับเรื่องนั้นในภายหลัง หรือศิษย์น้องอาจจะกลับไปที่กลุ่มและบอกท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสในฝ่ายของข้ามาที่นี่และตามล่าสมบัติของท่าน”
“ฮ่า! สาวน้อย เจ้ากล้ามาก” นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะแต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา น้ำเสียงของเขากลายเป็นเย็นชาทันที “ในเมื่อข้ายอมให้ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเข้ามา ข้าก็ต้องมีวิธีจัดการกับพวกเจ้าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!”
ทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้ปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณนั้นทะลุทะลวงเข้ามาในสมองของนางแต่ก็ออกไปหลังจากนั้นทันที
“อาาา” นางอดไม่ได้ที่ต้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
เมื่อความเจ็บปวดผ่านไป อย่างไรก็ตาม นางบอกไม่ได้ว่าตัวของนางมีอะไรแตกต่างไปหรือไม่ เมื่อนางหันไปทางนักพรตฟางเจิ้ง นางเห็นว่าเขาดูเหมือนกันกับนางและงุนงงพอกัน
นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างสบายๆ “ข้าทิ้งรอยประทับไว้ในทะเลแห่งความรู้ของเจ้า ถ้าเจ้าไม่กลับมาให้ทันเวลา รอยประทับเหล่านั้นจะลุกไหม้และตอนนั้นเอง…”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น คำข่มขู่เบื้องหลังคำพูดของเขาชัดเจนมาก
โม่เทียนเกอทั้งรู้สึกตกใจและโกรธแค้น “ท่าน–!” นางไม่ใช่คนที่ชอบกลับคำ ถ้านักเดินทางจื่อเวยให้สมบัติแก่นางแล้วจากนั้นก็ฝากฝังเรื่องบางอย่างให้นางทำ นางก็คงจะทำตามสัญญาให้สำเร็จอยู่แล้ว แต่การใช้เล่ห์กลเช่นนี้กับนางทำให้นางรู้สึกโมโห!
“ศิษย์น้อง” มีร่องรอยของรอยยิ้มในเสียงเขา “ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ อย่าลืมล่ะ… ตอนนี้ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้าแล้ว”
เมื่อถูกเตือนครั้งนี้ สุดท้ายโม่เทียนเกอก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ ถึงอย่างนั้นนางก็ห้ามตัวเองจากการเยาะเย้ยไม่ได้ “ศิษย์พี่ ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง เพราะฉะนั้นท่านทิ้งรอยประทับไว้กับข้าแล้วจะทำไมเช่นนั้นรึ เมื่อข้ากลับไปที่โรงเรียน ข้าก็แค่ต้องขอให้ผู้อาวุโสในโรงเรียนของข้าช่วยลบล้างรอยนี้ไป!”
“ฮ่าๆ ลบล้าง” เสียงของนักเดินทางจื่อเวยเต็มเปี่ยมไปด้วยความโอหัง “ในโรงเรียนของเจ้าคงไม่มีเทพผู้ฝึกตนใช่ไหมล่ะ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายก็ไม่สามารถคิดหาทางแก้วิชาพิเศษที่ข้าใช้ได้” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขายังคงพูดต่อด้วยความสงสัย “สาวน้อย ปกติแล้วเจ้ามักจะพูดจาขวานผ่าซากอย่างนี้หรือ เจ้าไม่กลัวรึว่าข้าจะฆ่าเจ้า สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็มีกันสองคน เจ้าไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของข้า”
“อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอพูดอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ต้องรออยู่หลายพันปีก่อนที่เราสองคนจะมาถึง ศิษย์พี่ ท่านไม่กลัวหรือว่าตัวเลือกอื่นของท่านจะทำภารกิจที่ท่านมอบหมายให้ไม่สำเร็จ”
นักเดินทางจื่อเวยไม่ตอบ หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่งเท่านั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างเหน็บแนม “เจ้าเป็นแค่สาวน้อยในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เจ้าปากจัดขนาดนี้ได้อย่างไรกัน เอ้~ ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะกลัวข้าหรือไม่ แต่เจ้าควรจะดีใจ… ข้าฝึกจิตและฝึกนิสัยอยู่ที่นี่มาตลอดสองสามพันปีหลังในช่วงชีวิตของข้า เพราะฉะนั้นข้าเลยหมดไฟกับอารมณ์โกรธไปหมดแล้ว มิเช่นนั้นละก็…”
จากนั้นเขาพึมพำกับตัวเอง “แต่ที่จริงแล้วเจ้าก็เหมือนกับนางมาก…”
นาง หรือว่าบางทีเขาอาจจะหมายถึง “จื่อหลาน” ผู้นั้น
นักเดินทางจื่อเวยพูดต่อ “พอเท่านี้ล่ะ ข้าจะไม่พูดจาไร้สาระกับเจ้าทั้งสองคนอีก ข้าไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ ตราบใดที่เจ้าจัดการกับเรื่องที่ข้ามอบหมายได้ภายในร้อยปีและกลับมาที่นี่ ข้าก็จะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้เจ้า ทั้งหมดจะถูกมอบให้กับคนที่ทำสำเร็จก่อนเป็นคนแรก อย่างไรก็ตาม เจ้าทั้งคู่ไม่ควรสู้กันเองแค่เพื่อจะแย่งสมบัติ รอยประทับที่ข้าทิ้งไว้ในทะเลแห่งความรู้ของเจ้าจะบอกข้าถ้ามีการสู้กันเกิดขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ให้อะไรกับใครทั้งนั้น!”
ทรัพย์สินของเขาทั้งหมด เมื่อนักพรตฟางเจิ้งได้ยินเช่นนั้น เขารีบถามทันที “ศิษย์พี่ ข้าขออนุญาตถาม ท่านต้องการให้เราทำอะไร”
“ข้าต้องการให้เจ้าทั้งสองคนตามหาโครงกระดูกของใครคนหนึ่งและนำมันมาให้ข้า ให้เราได้ถูกฝังอยู่ด้วยกัน”
“คือ ‘จื่อหลาน’ ที่ศิษย์พี่เอ่ยถึงซ้ำๆ หรือเปล่า” โม่เทียนเกอพูดโพล่งออกมา
“ถูกต้อง” น้ำเสียงของนักเดินทางจื่อเวยยังคงแผ่ว แต่โม่เทียนเกอรู้สึกว่าเสียงของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเศร้าไม่รู้จบ “ข้ารู้มานานแล้วว่าข้าจะไม่ได้เจอนางอีก มันเพียงพอสำหรับข้าแล้วตราบใดที่เราได้ถูกฝังอยู่ด้วยกัน…”
ไม่สามารถยั้งไว้ได้ โม่เทียนเกอถามด้วยเสียงต่ำ “นาง… นางเป็นใครเจ้าคะ”
คำถามของนางทำให้นักเดินทางจื่อเวยเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปนานเสียจนโม่เทียนเกอคิดว่าเขาจะไม่ตอบ สุดท้ายนางก็ได้ยินเสียงเขาอีกครั้ง “นางเป็นภรรยาข้า”
โม่เทียนเกอประหลาดใจ “ในเมื่อนางเป็นภรรยาของศิษย์พี่ ทำไม…”
“เจ้าศิษย์น้องคนนี้นี่! ทำไมเจ้ามีคำถามมากมายนัก” นักเดินทางจื่อเวยส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าต้องแยกกับภรรยาข้าและไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้านำกระดูกของนางกลับมา แต่เจ้าต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้จนถึงเบื้องลึกเลยหรือไง”
ทั้งที่พูดเช่นนั้นแต่เขาถอนหายใจแผ่วเบาจากนั้นจึงพูดช้าๆ ว่า “แซ่ของภรรยาข้าคือเสี่ยวและชื่อของนางคือจื่อหลาน นางเป็นผู้ฝึกตนจากโรงเรียนเสวียนจี เจ้ารู้จักโรงเรียนเสวียนจีไหม”
นักพรตฟางเจิ้งกระซิบบอก “โรงเรียนเสวียนจี… เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยศิษย์ดั้งเดิมของโรงเรียนเทียนเหลียงหลังจากที่โรงเรียนเทียนเหลียงถูกทำลายลงเมื่อหลายพันปีก่อน อย่างไรก็ตาม โรงเรียนเสวียนจีไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว มันถูกแบ่งแยกเป็นโรงเรียนกุ้ยกู่ สำนักฉีเฉี่ยว และกลุ่มการฝึกตนอีกหลายกลุ่ม…”
นักเดินทางจื่อเวยต้องใช้เวลาระยะหนึ่งก่อนที่เขาจะตอบสนอง “โดยไม่คาดคิดโรงเรียนเสวียนจีก็…”
“ใช่ขอรับ ตามความรู้ของศิษย์น้อง มันเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งภายใน แต่มันก็ผ่านมาหลายพันปีแล้ว ศิษย์น้องเป็นเพียงผู้ฝึกตนเดี่ยวดังนั้นศิษย์น้องจึงไม่รู้เรื่องราวภายใน”
“… โชคชะตา พวกเขาไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาของการเป็นกลุ่มที่ถูกทำลายล้างได้” นักเดินทางจื่อเวยถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “แล้วตอนนี้สำนักกู่เจี้ยนเป็นอย่างไรบ้าง ยังอยู่ดีแน่นอนใช่ไหม”
“ตอนนี้สำนักกู่เจี้ยนเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสามในขั้วท้องฟ้า พลังของพวกเขาน่าเกรงขามและศิษย์ของพวกเขาก็มีจำนวนมาก”
“นั่นก็… ดี” เมื่อพวกเขาพูดกันถึงสำนักกู่เจี้ยน นักเดินทางจื่อเวยฟังดูเฉยเมย เหมือนกับว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก
หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เขาเริ่มพูดอีกครั้ง “แต่เดิมข้าเป็นนักกระบี่จากโลกมนุษย์ เมื่อข้าอายุได้ยี่สิบปี ท่านอาจารย์ของข้าพบว่าข้ามีรากวิญญาณ ข้าจึงมาที่สำนักกู่เจี้ยน ในภายหลังข้ากลายเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่และมักจะฝึกฝนอย่างเต็มที่เสมอ เมื่ออายุได้ร้อยปี ข้าก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและเมื่ออายุสามร้อยปี ข้าก็เข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ข้าไม่กล้าพูดว่าข้าเป็นอัจฉริยะ แต่แน่นอนว่าข้าเป็นคนที่หาได้ยากท่ามกลางผู้ฝึกตนสายกระบี่”
“เพราะเดิมข้ามาจากโลกแห่งการต่อสู้ ข้าจึงมักจะตอบแทนบุญคุณที่ข้าได้รับมาและแก้แค้นคนที่ทำผิดต่อข้า ข้าอารมณ์รุนแรงเสมอและสำนักกู่เจี้ยนของข้าก็เป็นพวกชอบต่อสู้ ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ศิษย์พี่น้องร่วมสำนักและตัวข้าได้ทำลายโรงเรียนเทียนเหลียงเพราะพวกมันทำให้ศิษย์พี่ของข้าโกรธเคือง”
“…” โม่เทียนเกอค่อนข้างตกใจ สำนักกู่เจี้ยนตอนนี้เดินตามเส้นทางฝ่ายธรรม พวกเขามักจะคอยดูแลศิษย์ให้อยู่ในขอบเขต กลับกลายเป็นว่าสมัยก่อนนั้นพวกเขาก็…
“ในตอนนั้นข้าไม่สนใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าหลังจากร้อยปี ข้าจะบังเอิญพบกับเด็กสาวในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน…” พอถึงตรงนี้น้ำเสียงของนักเดินทางจื่อเวยก็เปลี่ยนไปในที่สุด “เด็กคนนั้นคือภรรยาของข้า จื่อหลาน นางเป็นศิษย์แห่งโรงเรียนเสวียนจี ข้ารู้เช่นนั้นแต่ข้าก็ไม่สนใจ ข้าเคยเข้าร่วมในเรื่องเก่าๆ แล้วจะทำไม ด้วยพละกำลังและตัวตนที่ข้ามีในตอนนั้น กลุ่มการฝึกตนเล็กๆ อย่างโรงเรียนเสวียนจีจะกล้าปฏิเสธข้าเชียวหรือหากข้าต้องการจะแต่งงานกับนาง”
“อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ยินดีที่จะให้จื่อหลานต้องรู้เรื่องนั้นเพราะข้าไม่อยากให้นางคิดว่าข้าใช้อำนาจเพื่อกดดันคนอื่นๆ จื่อหลานรู้แค่ว่าสมัยนั้นศิษย์สำนักกู่เจี้ยนของข้าทำลายล้างโรงเรียนเทียนเหลียง แต่นางไม่รู้เลยว่าข้าเองก็มีส่วนร่วมด้วย ถึงแม้ว่านางจะเกลียดสำนักกู่เจี้ยน แต่นางก็ยังแต่งงานกับข้า พวกเราสามีภรรยาแต่งงานกันอย่างมีความสุขอยู่สองร้อยปีซึ่งในระหว่างนั้นข้าก็สร้างจิตวิญญาณใหม่ได้อย่างราบรื่น และจื่อหลานก็ก่อขุมพลังของนางได้เช่นกัน ต้นทุนของนางยอดเยี่ยมและนางก็ได้รับความช่วยเหลือจากข้า ดังนั้นการสร้างจิตวิญญาณใหม่จึงน่าจะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าคิดว่าเราจะครองรักกันอย่างมีความสุขเช่นนั้นและอยู่ด้วยกันไปตลอดในอีกหลายปีข้างหน้า…”
สองร้อยปี… ณ ตอนนั้น นักเดินทางจื่อเวยก็น่าจะอายุสี่ร้อยปีแล้วใช่ไหม นั่นคือช่วงที่เขาต่อต้านสำนักของเขาและใช้ชีวิตปลีกวิเวกที่นี่ใช่ไหม
“ตอนนั้นจื่อหลานได้ยินจากศิษย์พี่ของข้าเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าเข้าร่วมในการทำลายโรงเรียนเทียนเหลียง นางกลับมาเพื่อถามข้าแล้วจากนั้นก็ตัดความสัมพันธ์กับข้า ตอนนั้นล่ะที่ในที่สุดข้าก็ได้รู้ว่าจื่อหลานไม่ใช่แค่ศิษย์โรงเรียนเสวียนจี ตระกูลของนางครั้งหนึ่งเคยเป็นตระกูลใหญ่ในโรงเรียนเทียนเหลียง… หรือพูดอีกอย่างก็คือ ผู้อาวุโสและครอบครัวของนางอาจจะตายไปด้วยน้ำมือของข้า”
นักเดินทางจื่อเวยทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทื่อๆ และน้ำเสียงของเขาไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง “เราเป็นสามีภรรยากันมาสองร้อยปี ข้าจะไม่รู้นิสัยของนางได้อย่างไร ถึงแม้ว่าโดยปกตินางจะใจดีและอ่อนโยน แต่นางก็หัวรั้นอย่างมาก ถ้านางตัดสินใจว่าจะทำอะไร นางก็จะไม่กลับคำอย่างแน่นอน ในเมื่อนางตัดความสัมพันธ์กับข้า นั่นก็หมายความว่านางจะไม่เจอข้าอีก”
“… แต่ข้ายังหวังลมๆ แล้งๆ ว่านางจะกลับมา ดังนั้นข้าจึงต่อต้านสำนักของข้าและมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ข้าส่งจดหมายไปหานาง บอกนางว่าถ้าวันหนึ่งนางยกโทษให้ข้า นางสามารถมาตามหาข้าได้ที่นี่ ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเรื่องเก่า ข้าก็จะเต็มตื้นไปด้วยความเสียดายแต่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจึงยอมทิ้งทุกอย่าง ทิ้งตัวตนของข้าและอะไรก็ตามที่ข้ามีในอดีตเอาไว้เบื้องหลัง” เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดนักเดินทางจื่อเวยก็แสดงอารมณ์ออกมาบ้าง เขาถอนใจและพูดว่า “แน่นอนว่าข้ารอคอยมามากกว่าพันปีแต่นางก็ไม่เคยมา ในภายหลังข้าได้ยินว่านางสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนางได้และกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งโรงเรียนเสวียนจี แต่นางก็ไม่เคยมาพบข้า…”
แสดงว่านั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เสี่ยวจื่อหลานผู้นั้นเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนจี… ไม่น่าแปลกใจที่มีร่องรอยของโรงเรียนเทียนเหลียงอยู่ทั่วหุบเขานี้ ในเมื่อพวกเขาเป็นคู่แต่งงานกันอยู่ตั้งสองร้อยปี สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นสิ่งที่นางถ่ายทอดให้นักเดินทางจื่อเวย จริงไหม
“ศิษย์น้อง ไปที่สำนักใหญ่ที่เก่าของโรงเรียนเสวียนจี ตามหากระดูกของจื่อหลานและฝังนางไว้กับข้า จากนั้นข้าจะให้เจ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าเก็บสะสมมาตลอดชีวิต”
ตอนที่ 169-1 หนังสือม่านพลังเสวียนจี
ตราบใดที่พวกเขาพบโครงกระดูก พวกเขาสามารถครอบครองความร่ำรวยที่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสูงสุดสะสมมาตลอดชีวิตของเขา นั่นดูเหมือนเป็นข้อตกลงที่ดี แต่…
โม่เทียนเกอเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ภรรยาของท่านคือผู้ฝึกตนผู้ซึ่งอยู่มาเมื่อห้าพันปีก่อน ดังนั้นสถานที่ฝังศพของนางคงหาได้ยากนัก ยิ่งไปกว่านั้น นางคือผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ สถานที่ฝังศพของนางจะอันตรายเท่าไรกัน ในเมื่อภรรยาของท่านคือศิษย์ที่ยอดเยี่ยมของโรงเรียนเสวียนจี ข้าเกรงว่าทักษะเกี่ยวกับม่านพลังของนางก็คงจะไม่ต่างจากศิษย์พี่เท่าใดนัก จริงหรือไม่ พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน พวกเราจะยืนยันได้อย่างไรว่าจะสามารถนำกระดูกของนางกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
“ถูกต้องแล้ว” นักพรตฟางเจิ้งพูดแทรกขึ้นมา “ก่อนที่พวกเราจะได้ครอบครองผลประโยชน์ใด พวกเราต้องอดทนต่ออันตรายทุกประเภท ข้อตกลงนี้ไม่ค่อยยุติธรรมนัก”
นักเดินทางจื่อเวยระเบิดหัวเราะออกมา “ดี! ดี! ถ้าเจ้าโง่เกินไป เจ้าก็ไม่ได้คู่ควรกับข้อตกลงนี้” เขาหยุดครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงพูดต่ออย่างไม่แยแส “ถ้าเจ้าต้องการผลประโยชน์ก่อนก็ได้ ข้าจะให้มันกับเจ้า! ไม่เพียงแต่ข้าจะให้ผลประโยชน์ต่างๆ แต่ข้าจะต่อข้อกำหนดเวลาไปเป็นสองร้อยปี เด็กน้อย ด้วยอายุปัจจุบันและระดับการฝึกตนของเจ้า ระยะเวลาสองร้อยปีคงเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะพัฒนาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังมิใช่หรือ อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ควรคิดว่าข้าจะไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เมื่อเจ้าเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ เมื่อรอยประทับในห้วงทะเลแห่งความรู้ของเจ้ามีปฏิกิริยา มันจะส่งผลต่อทั้งชีวิตของเจ้า ชีวิตและความตายของเจ้าจะอยู่ในมือของข้านานตราบเท่าที่ข้าต้องการ และเจ้า… ศิษย์น้อง เจ้าไม่มีเวลาเหลืออยู่ในช่วงชีวิตมากนัก เจ้าคงไม่สามารถทำได้ในสองร้อยปีเป็นแน่…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นักพรตฟางเจิ้งก็เริ่มกังวลมากขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ด้วยความสัตย์จริงเป็นเพราะเขาไม่ต้องการที่จะต้องรับคำสั่งไปเรื่อยๆ และเพราะเขาต้องการผลประโยชน์จากศิษย์พี่ผู้นี้ แต่เขาไม่ได้หมายความว่าข้อตกลงนี้ไม่คุ้มค่าพอ ช่วงชีวิตของเขายังคงมีเหลืออยู่ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี มันดูเหมือนว่าเขาจะสามารถหากระดูกได้ในช่วงเวลานั้น เมื่อถึงจุดนั้น เขาก็จะได้ครอบครองทรัพย์สินทั้งชีวิตของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ และโอกาสของเขาในการที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล! มันไม่สำคัญต่อให้เขาจะต้องยอม สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เหมือนกับเด็กน้อยข้างๆ เขาคนนี้ ก่อนที่สองร้อยปีจะผ่านไป เขาก็คงจะตายไปแล้ว ซึ่งก็เท่ากับการที่ไม่ได้ทำอะไร เขากลัวว่าเพราะเขาไม่ได้มีเวลาของชีวิตเหลืออยู่อีกมากนัก ศิษย์พี่ผู้นี้จะยกเลิกข้อตกลงไป นั่นจะหมายความว่าเขาพลาดโอกาสดีๆ อย่างไร้เหตุผล!
เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจนว่านักเดินทางจื่อเวยใช้วิชาอ่านใจกับนักพรตฟางเจิ้งหรือไม่ แต่หลังจากที่เงียบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดต่ออย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เท่าที่ข้าทราบมา การมีคนหลายๆ คนคอยตามหาศพของจื่อหลานเป็นสิ่งที่ดีเสมอ ก่อนหน้านี้การที่จะครองชีวิตให้ได้อย่างน้อยอีกหนึ่งร้อยปี ข้าได้ตามหาส่วนผสมในการปรุงยาอายุวัฒนะไปทั่วขั้วแห่งท้องฟ้า และข้ายังคงมียาเหลืออีกหนึ่งเม็ดที่จะให้กับเจ้า!”
ยาอายุวัฒนะงั้นหรือ ยาอายุวัฒนะ! ยาอายุวัฒนะที่แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ยังหาแทบไม่ได้!
หลังจากตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกดีใจอย่างล้นเหลือ เขาพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “ข้า… ศิษย์พี่… ยาอายุวัฒนะ…” คำพูดของเขาไม่ต่อเนื่องกันอีกต่อไป
ท่าทางของเขาทำให้นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง หลังจากนั้นเขาจึงพูดกับโม่เทียนเกอ “สำหรับเจ้า… ข้าจะให้ทางเลือกเจ้าหลายทาง ยาอายุวัฒนะไม่ได้เป็นประโยชน์กับเจ้าเท่าไรนักแต่ข้าสามารถให้ยาไร้ธุลีกับเจ้าได้ ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้ว่าการกินยาไร้ธุลีจะช่วยเพิ่มโอกาสและขยายขอบเขตในการก่อแก่นขุมพลังของเจ้าได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้ารู้สึกว่าผู้อาวุโสในฝ่ายของเจ้าจะให้การสนับสนุนเจ้าเพียงพอและเจ้าจะไม่มีปัญหาในการก่อแก่นขุมพลังของเจ้า ข้าก็สามารถให้รางวัลเจ้าด้วยอาวุธเวทที่เยี่ยมยอดหรือคู่มือลับของอดีตโรงเรียนเสวียนจีที่เรียกว่าหนังสือม่านพลังเสวียนจีแก่เจ้าได้ แล้วเจ้าจะเลือกสิ่งใด”
ยาไร้ธุลี อาวุธเวทที่เยี่ยมยอด หรือหนังสือม่านพลังเสวียนจี! ไม่ว่าจะสิ่งใดก็แล้วแต่ล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่งนัก ระหว่างพวกมันทั้งหมด ถึงแม้ว่ายาไร้ธุลีจะไม่ได้มีค่าเท่ากับยาอายุวัฒนะ แต่พวกมันล้วนเป็นประโยชน์ที่สุดต่อผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานผู้ซึ่งจะต้องเผชิญกับความยากในการก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างพวกเขา สำหรับอาวุธเวทที่ยอดเยี่ยม ในเมื่อผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่เรียกมันว่ายอดเยี่ยมแล้วมันก็คงจะต้องแตกต่างจากอาวุธเวททั่วๆ ไป มันน่าจะเป็นอาวุธเวทที่แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ก็ยังต้องการ สุดท้ายคือหนังสือม่านพลังเสวียนจี กฎของม่านพลังนั้นทั้งกว้างขวางและล้ำลึก หนังสือม่านพลังที่ซับซ้อนนั้นประเมินค่าไม่ได้ แต่… ผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปคงไม่มีแรงที่แม้แต่จะศึกษาและทำได้แค่เพียงแลกเปลี่ยนมันกับศิลาวิญญาณ ดังนั้นมันจึงเป็นของที่ไร้ประโยชน์ที่สุดจากทั้งสามอย่าง
อย่างไรก็ตาม สำหรับโม่เทียนเกอ
“ศิษย์พี่ ศิษย์น้องต้องการหนังสือม่านพลังเสวียนจี”
“โอ้” เสียงของนักเดินทางจื่อเวยดูประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่านางจะเลือกสิ่งนั้น
โม่เทียนเกอพูด “สำหรับศิษย์น้องถึงแม้ว่ายาไร้ธุลีและอาวุธเวทจะเป็นของที่หาค่าเทียบไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ของที่ศิษย์น้องไม่สามารถหามาครอบครองได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับหนังสือม่านพลังเสวียนจีเล่มนี้ถือว่าเป็นของที่หาได้ยากยิ่งนัก”
“… ไม่เลว เจ้าคือศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง แต่ระดับการฝึกตนของเจ้าได้ก้าวเข้ามาสู่ถึงจุดนี้แล้วในขณะที่อายุยังน้อยนัก แสดงว่าเจ้าจะต้องเป็นศิษย์ระดับหัวกะทิทีเดียว คาดว่าเจ้าคงไม่มีปัญหาในการที่จะครอบครองยาวิเศษและอาวุธเวท อย่างไรก็ตาม เจ้ายังต้องคิดดูให้ดีอีกครั้ง ยาวิเศษและอาวุธเวทของข้าไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป มันเป็นของที่ล้ำลึกและหาได้ยากยิ่งนักแม้กระทั่งสำหรับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็ตาม!”
จากวิธีที่เขาพูด เห็นได้ชัดว่านักเดินทางจื่อเวยปฏิบัติต่ออาจารย์ของนางเหมือนกับเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังทั่วไปเท่านั้นเอง!
โม่เทียนเกอรู้ว่าผู้ฝึกตนสายกระบี่ที่เยี่ยมยอดไร้เทียมทานอย่างนักเดินทางจื่อเวยนั้นจะต้องมีทรัพย์สมบัติที่ดีมากมายยิ่งกว่าอาจารย์ของนาง อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาสำหรับนางในการก่อแก่นขุ่มพลัง ประมุขเต๋าจิงเหอจะต้องให้ยาไร้ธุลีกับนางอย่างแน่นอน สำหรับอาวุธเวทชั้นเยี่ยมที่ว่านั้นอาจจะไม่มีความจำเป็นต่อประมุขเต๋าจิงเหอเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกันหนังสือม่านพลังเสวียนจีเล่มนั้น… ในเมื่อมันคือคู่มือลับของโรงเรียนเสวียนจี มันจะต้องพิเศษอย่างแน่นอน ถ้านางเลือกที่จะมองข้ามมันไปในตอนนี้ นางอาจจะต้องลำบากในการที่จะหามาครอบครองได้ในอนาคต
อีกอย่างโม่เทียนเกอมีอีกหนึ่งเหตุผลในการเลือก เสี่ยวจื่อหลานเป็นท่านผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของโรงเรียนเสวียนจี หลุมศพของนางจะต้องครอบคลุมไปด้วยกลไกป้องกันมากมายถูกต้องไหม ด้วยหนังสือม่านพลังเสวียนจีเล่มนี้ นางอาจจะเผชิญหน้ากับอันตรายต่างๆ ได้น้อยลง
“ศิษย์น้องคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว” โม่เทียนเกอหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ศิษย์พี่ สหายนักพรตฟางเจิ้งเองนั้นไม่ได้มีช่วงเวลาของชีวิตหลงเหลืออีกมากนัก แต่ท่านกลับให้ยาอายุวัฒนะแก่เขา นอกจากเขาจะก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เขาก็จะไม่ล้มเหลวถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหากระดูกได้ในอีกสองร้อยปีข้างหน้า สำหรับข้าในทางกลับกัน ข้ายังคงมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายร้อยปีถึงแม้ข้าจะไม่อาจผ่านเข้าสู่ดินแดนได้ มันจะเป็นเรื่องที่ดีหากข้าสามารถหาศพภรรยาของท่านพบ แต่ถ้าข้าไม่สามารถหาได้ นี่จะไม่ถือว่าข้าเสียเปรียบอย่างนั้นหรือ ข้อตกลงนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับข้านัก!”
โม่เทียนเกอโกรธเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก นางมีอนาคตที่สดใสรออยู่ภายหน้า ทว่าใครบางคนจำกัดสองร้อยปีของนางเอาไว้อย่างไร้เหตุผล และหากนางทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ นางก็จะต้องเสียชีวิต แล้วนางจะรู้สึกดีไปกับเรื่องต่างๆ ทั้งหมดนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง นางเริ่มต้นฝึกตนเพราะนางต้องการอิสระ แต่ตอนนี้นางกลับถูกควบคุมโดยใครคนอื่น นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรดีใจแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อวิธีการทำสิ่งต่างๆ ของนักเดินทางจื่อเวยนั้นจะไม่ปกติแต่เขาก็ดูมีความสามารถในการต่อรองเช่นกัน โม่เทียนเกอจึงยินดีที่จะระงับความโกรธลง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความโกรธของนาง นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะพร้อมพูด “เด็กน้อย เจ้าไม่ยินดีที่จะอดทนต่อการสูญเสียแม้แต่น้อย! ตกลง แล้วถ้าข้าให้หินสุริยันในของรางวัลที่จะให้เจ้าด้วยล่ะ มันมีทั้งยาวิเศษและสมบัติอีกมากมายบนโต๊ะนี้ เจ้าทั้งสองคนสามารถแบ่งกันเองได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการนำกระดูกของจื่อหลานกลับมาได้ภายในสองร้อยปี ข้าจะนำรอยประทับภายในทะเลแห่งความรู้ของเจ้าออกให้ เพราะฉะนั้นก่อนที่เจ้าจะจากไป เจ้าจะต้องจำเอาไว้ว่าเจ้าจะต้องกลับมาเพื่อตรวจสอบ ใครคนใดคนหนึ่งอาจจะประสบความสำเร็จไปแล้วก็เป็นได้ ฮ่าๆๆ …”
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขาอยู่คนเดียวมานานเป็นเวลาหลายพันปี แต่นักเดินทางจื่อเวยผู้นี้มีนิสัยที่มีความสุขจากการทรมานผู้อื่นเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงล้อเลียนพวกนางอย่างจงใจ
โม่เทียนเกอสูดหายใจลึก บังคับตัวเองให้อยู่ในความสงบ นางจะต้องไม่โกรธเขาในตอนนี้
“ตกลง ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องจะตอบรับมัน แต่สองร้อยปี… ศิษย์น้องสงสัยเล็กน้อย ในเมื่อกำแพงอาคมในการรักษาจิตสัมผัสของศิษย์พี่ได้ถูกเปิดออกแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจิตสัมผัสของศิษย์พี่จะสามารถคงอยู่ได้ถึงสองร้อยปีเชียวหรือ”
นักเดินทางจื่อเวยส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างทะนงตัว “เด็กน้อย เจ้าอาจจะมาจากกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ และเป็นที่เคารพนับถือเป็นแน่ แต่ประสบการณ์และความรู้ของเจ้านั้นยังคงแค่ผิวเผินเท่านั้น! ข้าเป็นคนคิดวิธีในการรักษาไว้ซึ่งจิตสัมผัสของข้าเอง ไม่ต้องพูดถึงสองร้อยปีหรอก แต่ข้าพนันได้เลยว่าจิตสัมผัสของข้านั้นจะยังคงอยู่แม้กระทั่งตอนที่เจ้าทั้งสองคนตายจากไป”
“…” นักเดินทางจื่อเวยผู้นี้ไม่สามารถประเมินได้จากสัญชาตญาณ เขาเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่แต่เขามีความเชี่ยวชาญทางด้านม่านพลังและกลไก เขายังสามารถปรุงยาอายุวัฒนะและคิดคาถาต่างๆ หลายประเภท และเขาอาจจะสามารถชำระล้างเครื่องมือเล่นๆ ได้ เขาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่เก่งหลายอย่าง เพราะสิ่งนี้ การที่สามารถสร้างวิชาจิตสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ
“หากเป็นเช่นนั้น แล้วเจ้าล่ะ” เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรอีก นักเดินทางจื่อเวยจึงหันไปถามที่นักพรตฟางเจิ้ง
พร้อมกับการโค้งคำนับ นักพรตฟางเจิ้งตอบ “หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์น้องก็ขอตอบรับภารกิจขอรับ”
“ตกลง!” หลังจากที่นักเดินทางจื่อเวยพูดจบ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าพลังงานทางจิตวิญญาณที่ถูกสกัดไว้ของตัวเองได้ถูกปลดปล่อย ทันใดนั้น นางก็สามารถกลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองและขยับได้อีกครั้ง
นางถอนใจอย่างโล่งอก ระหว่างที่ขยับร่างกายของนาง นางก็ค้นพบว่าพลังงานทางจิตวิญญาณของนางสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มือของนางไม่ได้รู้สึกหนักห้าพันจินอีกแล้วตอนที่นางยกขึ้นมา
“ถ้าพวกเจ้ายังคงมีคำถามอีกก็จงถามมา เมื่อเจ้าออกไปจากถ้ำเซียนนี้ ระยะเวลาสองร้อยปีของเจ้าจะเริ่มนับถอยหลังทันที เมื่อครบกำหนดสองร้อยปี ไม่ว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม เจ้าจะต้องกลับมาและพบข้า! ถ้าข้าอารมณ์ดี บางทีข้าอาจจะให้เวลาเจ้าเพิ่มขึ้น ถ้าข้ากำลังอารมณ์เสีย ฮึ่ม!”
สองร้อยปี… นอกจากนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอรู้สึกว่าภายในระยะเวลานั้นนางคงจะต้องพบข่าวบางอย่างเกี่ยวกับจื่อหลานแน่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางมีคำถามอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่ตอนที่นางก้าวเข้ามาสู่หุบเขานี้ สมองของนางก็ล้วนเต็มไปด้วยคำถาม มันเหมือนกับว่านางคอยก้าวเข้าสู่สถานการณ์อันตรายเรื่อยๆ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหาคำตอบได้ ตอนนี้ที่นักเดินทางจื่อเวยพูดมา นางจึงรีบถาม “ศิษย์น้องมีคำถามมากมายนัก ศิษย์พี่ยินดีที่จะอธิบายหรือไม่”
นักเดินทางจื่อเวยพูด “บอกคำถามของเจ้ามาก่อน”
โม่เทียนเกอคิดครู่หนึ่งและพูดออกไปอย่างช้าๆ ว่า “คำถามแรกของข้าเกี่ยวกับลมพายุและอากาศพิษที่เราเจอตอนลงมายังหุบเขานี้ สิ่งเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับม่านพลังที่ศิษย์พี่วางไว้หรือไม่ ถ้าใช่ แล้วทำไมข้าถึงสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดายตอนที่ข้ามาถึงที่หุบเขา คำถามต่อไปของข้าเกี่ยวกับรูปปั้นหินและแท่นบูชาตรงทางเข้าของถ้ำเซียนศิษย์พี่ พวกมันเกี่ยวข้องกับอะไร และ…”
“เจ้านี่ช่างเป็นศิษย์น้องที่จู้จี้เสียจริง!” นักเดินทางจื่อเวยตัดบทนางอย่างไร้ความอดทน “ข้าจะอธิบายเจ้าตั้งแต่ต้น พอใจไหม!”
ตอนที่ 169-2 หนังสือม่านพลังเสวียนจี
“ลมพายุและอากาศพิษเหนือหุบเขาเกิดขึ้นจากม่านพลังที่ข้าวางไว้แน่นอน อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพราะความโชคดีของเจ้าที่สามารถทำลายมันลงได้โดยง่าย คำตอบของคำถามข้อถัดไปก็เหมือนกัน ตอนที่ข้าใช้ชีวิตสันโดษก่อนหน้านี้ ข้าเคยช่วยมนุษย์ผู้ลี้ภัยสงครามหลายร้อยคน เพราะข้าสงสารพวกเขา ข้าพาพวกเขามาที่หุบเขา พวกเขามองว่าข้าเป็นดั่งพระเจ้าและรูปปั้นหินกับแท่นบูชานั้นพวกเขาก็เป็นคนจัดการ ข้าแค่เปลี่ยนมันให้เป็นทางเข้าของถ้ำข้าแค่นั้น”
“รูปปั้นหินนั้นเป็นรูปของภรรยาข้าจื่อหลาน เหตุผลที่ข้าช่วยชีวิตมนุษย์เหล่านั้นไว้เพราะข้าคิดว่าจื่อหลานไม่ชอบในนิสัยรุนแรงและกระหายเลือดของข้า ข้าจึงแสดงให้เห็นถึงความใจดีบ้างในบางครั้ง และเพราะสิ่งนั้น ตอนที่พวกเขาต้องการที่จะสร้างรูปปั้นพระเจ้า ข้าให้พวกเขาสร้างมันในรูปร่างของจื่อหลาน ด้วยวิธีนั้น เวลาที่ข้าออกไปจากถ้ำเซียนในบางโอกาส ข้าก็จะมองเห็นนาง”
“ก่อนข้าจะตายจากไป มนุษย์เหล่านั้นอาศัยอยู่ในหุบเขานี้มากกว่าพันปี ผ่านไปรุ่นสู่รุ่น ผู้ฝึกตนปรากฏขึ้นบ้างในคนกลุ่มนั้น แต่น่าเสียดายที่รากวิญญาณของพวกเขาไม่ดีนัก ตอนที่ข้าสัมผัสได้ว่าอายุขัยของข้าใกล้หมดลง ข้าสั่งให้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นย้ายมนุษย์ออกไปจากหุบเขา มันมีเส้นเลือดวิญญาณที่นี่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อข้าจากไป ข้าก็ใช้เส้นเลือดวิญญาณเหล่านี้ในการวางม่านพลังมายา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ที่นี่จึงไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ที่จะอาศัยอยู่อีกต่อไป มันเป็นเพราะว่าไม่มีใครอยู่ป้องกันม่านพลัง เจ้าจึงสามารถทำลายมันลงได้อย่างง่ายดาย”
“… อย่างนั้นเอง แสดงว่าม่านพลังมายาที่ศิษย์พี่วางในห้องโถงก็ใช้เส้นเลือดวิญญาณนี้เช่นกันอย่างนั้นหรือ ทำไมถึงบาดเจ็บจริงในขณะที่ทุกอย่างล้วนเป็นของปลอม แล้วพวกเราทำลายม่านพลังลงได้อย่างไร”
“ฮึ่ม!” นักเดินทางจื่อเวยส่งเสียง “ฮึ่ม” อย่างเยือกเย็นพร้อมพูด “นั่นเกี่ยวข้องกับหลากหลายวิธีที่ซับซ้อน แต่ข้ารวมทั้งหมดนั้นไว้ในหนังสือม่านพลังเสวียนจีหมดแล้ว ถ้าเจ้าศึกษามันจนหมด เจ้าจะเข้าใจทั้งหมดได้เอง สำหรับการทำลายม่านพลัง ระหว่างพวกเจ้าทั้งหมดเก้าคน บางคนขาดเลือดไปจนหมด บางคนอ่อนแอเกินไป ในขณะที่บางคนมีจิตใจที่แข็งแกร่งเพียงพอและไม่ได้ถูกล่อลวงโดยม่านพลังมายาอีก ม่านพลังมายาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่อีกต่อไป”
“ฮะๆ ความจริงแล้วข้าคิดว่าข้าใจดีมากแล้วนะที่ใช้ม่านพลังนี้ในการทดสอบจิตใจของเจ้า หากไม่อย่างนั้นไม่ว่าเจ้าจะอยู่ด้านในนานแค่ไหน เจ้าก็จะไม่สามารถออกมาได้ ‘วันนี้ชีวิตนิรันดร์’ ชีวิตนี้คือชั่วนิรันดร์และนิรันดรก็เป็นเพียงแค่หนึ่งวัน เมื่อม่านพลังนี้เริ่มทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงหลังจากหนึ่งวันผ่านไป ถ้าเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และถูกชักจูงโดยม่านพลัง เจ้าจะถูกดูดกลืนเลือดไปเรื่อยๆ จนตาย ถ้าเจ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ถึงแม้เจ้าจะมีชีวิตรอด ช่วงชีวิตของเจ้าก็จะดูเหมือนยาวนานนิรันดร์ เวลาของเจ้าจะไร้ซึ่งขอบเขตและสุดท้ายเจ้าก็จะบ้าจนตาย เพราะสิ่งนั้น เจ้าจะตายถ้าไม่สามารถทำลายม่านพลังได้!”
โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างหวาดกลัว ช่างเป็นม่านพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก… ถึงแม้ว่ามันจะเป็นม่านพลังมายา มันก็น่ากลัวกว่าม่านพลังสังหารเสียอีก! ในขณะนั้นนักพรตฟางเจิ้งเริ่มรู้สึกเสียใจ ทำไมหนังสือม่านพลังเสวียนจีไม่ได้ถูกมอบให้เขา
“ดังนั้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นตามลำดับนี้ก็เพียงเพราะศิษย์พี่ต้องการทดสอบพวกข้า”
“ถูกต้องแล้ว” น้ำเสียงเฉยเมยของนักเดินทางจื่อเวยนั้นเต็มไปด้วยความอำมหิต “ถ้าเจ้าไม่สามารถแม้กระทั่งรับมือกับลมพายุและอากาศพิษตรงทางเข้าของหุบเขา เจ้าก็ไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกันกับม่านพลังมายา สร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบจิตใจและนิสัยของเจ้า หากเจ้าไม่สามารถผ่านมาได้ ข้าถือว่าเจ้าก็คงไม่มีความอดทนมากพอที่จะตามหากระดูกของจื่อหลาน ช่องทางเดินหินที่เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์ก็เพื่อดูว่าเจ้าโลภมากเกินไปหรือไม่ และเจ้านั้นสงบนิ่งได้มากพอหรือเปล่า ถ้าเจ้าถูกสมบัติพวกนั้นครอบงำอย่างง่ายดาย เจ้าก็มีแนวโน้มว่าจะผิดคำสัญญาต่อข้า สุดท้ายหุ่นเชิดหินที่นี่ ถ้าเจ้าไม่สามารถจัดการหุ่นเชิดทั้งห้าได้ นั่นก็หมายความว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป! และแน่นอน สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังคงมีวิธีการที่จะวัดความสามารถของพวกเจ้าด้วยตัวข้าเอง หากเจ้าโง่เกินไป ข้าจะต่อกรกับพวกเจ้าด้วยตัวเอง ทั้งหมดนั้นพวกเจ้าทั้งสองคนค่อนข้างเก่ง และผ่านทุกอุปสรรคมาได้”
“…” ระหว่างที่ได้ยินคำอธิบาย โม่เทียนเกอรู้สึงถึงความโกรธที่เพิ่มขึ้นของตัวเองอยู่ภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้แต่สุดท้ายแล้วนางก็พยายามที่จะสะกดกลั้นเอาไว้ นักเดินทางจื่อเวยผู้นี้เห็นแก่ตัวเองและไร้จิตสำนึกอย่างที่สุด! เขาตั้งอุปสรรคต่างๆ มากมายโดยไม่ได้คำนึงถึงชีวิตของคนที่เข้ามาสู่หุบเขาแม้แต่น้อย ถ้าเสี่ยวจื่อหลานไม่ชอบความขัดแย้งอย่างที่เขาพูดจริง นางก็คงจะรักเขามากจริงๆ ที่สามารถทนอยู่กับการแต่งงานกับเขามาได้ถึงสองร้อยปี!
“อะไร เด็กน้อย เจ้ามีปัญหาหรือ”
โม่เทียนเกอพูดด้วยความโกรธอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่ ท่านใช้วิชาอ่านใจอีกแล้วหรือ!”
นักเดินทางจื่อเวยหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง “เจ้าไม่ควรก้าวร้าวใส่ข้า อาจารย์เจ้าไม่ได้สอนว่าต้องปฏิบัติต่อศิษย์พี่ด้วยความเคารพอย่างนั้นหรือ”
“…” ข้าจะต้องทำได้! อีกครั้งที่โม่เทียนเกอสูดหายใจลึกและหยุดพูด นางปรับตัวเข้ากับประมุขเต๋าจิงเหอได้แล้ว วิธีที่นางปฏิบัติกับศิษย์พี่นั้นไม่ได้แสดงถึงความเคารพมากพอ อย่างไรก็ตาม นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์พี่ผู้นั้นคือใคร ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ นางพอจะรู้ได้คร่าวๆ ถึงนิสัยของนักเดินทางจื่อเวยคนนี้
ศิษย์พี่คนนี้… ไม่ว่าคนที่ไม่สามารถทำตามข้อกำหนดของเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ตาม เขาก็ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ถ้าผ่านบททดสอบของเขา เขาก็ไม่ได้ตระหนี่ในของรางวัลของเขาเลย ถึงแม้ว่านางจะแสดงอารมณ์ออกมาบ้าง แต่บางทีเขาอาจจะแค่รู้สึกว่านางถูกใจเขามากกว่าเดิม
“ศิษย์น้องยังมีอีกเรื่องที่อยากจะถาม ศิษย์พี่… ดูเหมือนท่านจะเข้าใจศาสตร์แห่งการช่าง”
“โอ้!” นักเดินทางจื่อเวยรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามของนาง “ศิษย์น้อง เจ้ารู้จักศาสตร์แห่งการช่างด้วยอย่างนั้นหรือ หาได้ยากนัก! ศาสตร์แห่งการช่างนั้นหายสาบสูญไปนานมากแล้ว และไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับมันเท่าไรนัก”
“… ดังนั้นหมายความว่า… ศิษย์พี่เข้าใจศาสตร์แห่งการช่างจริงๆ”
“ฮึ่ม!” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างหยิ่งผยอง “เข้าใจเล็กน้อย… อะไร เจ้าต้องการให้พระเจ้าคนนี้สอนศาสตร์แห่งการช่างให้อย่างนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอรีบตอบ “ถ้าศิษย์พี่ยินดีที่จะส่งต่อความรู้ของท่าน ศิษย์น้องจะตั้งใจหากระดูกของภรรยาท่านอย่างเต็มที่ที่สุด”
“เจ้าทำอย่างเต็มใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ อย่าลืมไปเสียล่ะ ว่าชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือข้า” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างขี้เกียจ
“…”
“ฮ่าๆ! เด็กน้อย เจ้านี่น่าสนใจยิ่งนัก” ระหว่างที่เห็นท่าทางของโม่เทียนเกอ นักเดินทางจื่อเวยก็หัวเราะอย่างยินดี เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณหมุนวนรอบตัวนางในทันที “เอาละ เพื่อบอกความจริงกับเจ้า มันไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับข้าที่จะส่งต่อศาสตร์แห่งการช่างให้เจ้า แต่… ค่อยพูดถึงมันหลังจากที่เจ้ารักษาสัญญาณได้ก่อนแล้วกัน ถ้าข้าสอนสิ่งที่เจ้าต้องการทั้งหมดในครั้งเดียว นั่นมันจะไม่น่าเบื่อแย่หรือ”
โม่เทียนเกอมีท่าทีที่สงบลง นักเดินทางจื่อเวยพูดถูก การขอให้เขาสอนนางในสิ่งที่นางต้องการเรียนรู้ ผลประโยชน์เหล่านี้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร
“โอ้! ว่าแต่…” นักเดินทางจื่อเวยเปลี่ยนหัวข้อทันที “เจ้านำหุ่นเชิดเหล่านั้นไปใช่หรือไม่”
“… ใช่” โม่เทียนเกอตอบอย่างซื่อตรงหลังจากนั้นจึงถามอย่างระแวดระวัง “ศิษย์พี่ต้องการพวกมันคืนหรือ”
“ใช่… มันคงเป็นเรื่องลำบากสำหรับข้าที่จะจัดการสิ่งต่างๆ โดยปราศจากหุ่นเชิดเหล่านั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าสามารถเอาหุ่นเชิดไปได้สองตัว แต่ทิ้งสี่ตัวที่เหลือไว้ให้ข้า เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าจะซ่อมมันและให้วิชาในการควบคุมพวกมัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
โม่เทียนเกอดีใจสุดขีดเมื่อได้ยินในสิ่งที่นักเดินทางจื่อเวยพูด “ศิษย์พี่ ท่านจะไม่คืนคำของท่านใช่ไหม”
นักเดินทางจื่อเวยส่งเสียงอย่างเยือกเย็น “ฮึ่ม” พร้อมพูดว่า “ด้วยเหตุอันใดที่ข้าจะต้องโกหกศิษย์น้องระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานด้วยเล่า ข้าจะลดตัวไปได้อย่างไร!”
ยิ่งฉลาดมากแค่ไหน ก็ยิ่งหยิ่งทะนงมากเท่านั้น โม่เทียนเกอควบคุมตัวเองหลังจากนั้นจึงหยิบรูปปั้นหินสลักหกตัวออกมาทีละตัว โชคดี นางหยิบพวกมันมาและใส่ไว้ในกระเป๋าเอกภพหลังจากที่ชนะพวกมันได้แล้ว หากไม่อย่างนั้น นางก็คงจะไม่ได้ครอบครองผลประโยชน์นี้
นักพรตฟางเจิ้งผู้ซึ่งฟังบทสนทนาของพวกเขาหน้าเขียวด้วยความอิจฉา เขายกรูปปั้นหินสลักเหล่านั้นให้เพราะมันไร้ประโยชน์หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนทำมันพังไปแล้วและสามารถทำได้เพียงแค่แลกเป็นศิลาวิญญาณเท่านั้น เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าของสถานที่นี้จะปรากฏตัวออกมาและมอบข้อเสนอเช่นนี้ให้ ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาจะให้มันทั้งหมดได้อย่างไร ทั้งหมดนั่นคือหุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้าย! ถ้าเขาสามารถควบคุมพวกมันได้ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะทวีคูณ! หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ เขาก็ทำได้เพียงแค่โทษตัวเองที่โชคร้าย อั้ย!
“ศิษย์พี่…” ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่เส้นใยพลังงานวิญญาณกำลังซ่อมหุ่นเชิด นักพรตฟางเจิ้งถามด้วยความเคารพ “ได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้ถาม… พวกข้าขอนำสมบัติที่อยู่บริเวณเส้นทางเดินหินจันทราเวทมนตร์ด้านนอกไปได้หรือไม่”
“ถ้าเจ้าสามารถ เจ้าก็เอามันไปได้เลย”
“…” นักพรตฟางเจิ้งนิ่งเงียบ เขาถามเรื่องนั้นเพราะเขาหวังว่าศิษย์พี่จะบอกพวกเขาถึงวิธีที่จะต่อต้านพลังของหินจันทราเวทมนตร์ แต่คำตอบของเขากลับ…
“เจ้าไม่ควรมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งของตรงทางเดินนั่นนะ อย่าดูถูกทางเดินนั่นเด็ดขาด หินจันทราเวทมนตร์เหล่านั้นสามารถก่อม่านพลังได้เช่นกัน ถ้าเจ้าเอามันออกไป ม่านพลังจะเริ่มทำงานในทันทีและเมื่อถึงจุดนั้น ถ้ำเซียนแห่งนี้ทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นม่านพลังสังหาร”
พลังงานทางจิตวิญญาณพุ่งแทงทะลุออกจากหูของหุ่นเชิดรูปปั้นหินสลักพร้อมกับเสียงดัง “แคร๊ก” หลังจากนั้นไม่นาน หุ่นเชิดก็ยืนขึ้นทีละตัวหลังจากนั้นก็ยืนนิ่งถือกระบี่ไว้ในมือ แรงผลักดันของพวกมันแผ่กระจาย
หลังจากที่เขาซ่อมหุ่นเชิดเสร็จ นักเดินทางจื่อเวยพูด “ต้องอย่างนี้สิ มันไม่ใช่ว่าของเหล่านั้นจะดีมากมาย เจ้าจะรู้สึกโชคร้ายได้อย่างไร เด็กน้อย ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีที่จะควบคุมหุ่นเชิดพวกนี้ตอนนี้เลย”
หลังจากนั้นไม่นาน โม่เทียนเกอก็รู้สึกเจ็บที่ศีรษะอีกครัง ทันใดนั้น ข้อมูลบางอย่างก็ไหลเข้าสู่สมองนาง
หลายปีก่อนหน้านี้ ตอนที่โม่เหยาชิงส่งต่อศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ให้นาง จิตสัมผัสของโม่เหยาชิงก็ได้สลักวิถีแห่งศาสตร์ลงในสมองของนางโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น นางเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา แต่ในตอนนี้ นางเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานและนางก็ตั้งใจที่จะฝึกจิตสัมผัสของนาง อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้ากับส่วนของจิตสัมผัสที่ถูกทิ้งไว้จากผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ นางยังคงไม่มีความสามารถในการต้านทานได้แม้แต่น้อย
การเดินทางของนางในเส้นทางของการฝึกตนยังอีกยาวไกล…
“ในเมื่อเจ้าถามคำถามของเจ้าหมดแล้ว หยิบของเหล่านั้นแล้วออกไปจากหุบเขานี้เสีย”
“… ศิษย์พี่” โม่เทียนเกอพูดอย่างรีบเร่ง “ท่านยังไม่ได้บอกพวกเราเกี่ยวกับภรรยาท่าน! โรงเรียนเสวียนจีได้ถูกทำลายไปนานแล้ว และพวกเราก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร พวกเราควรจะไปมองหากระดูกของภรรยาท่านได้จากที่ไหนกัน”
“ข้าได้เตรียมทางออกให้กับสภาวะนี้ไว้นานแล้ว” นักเดินทางจื่อเวยพูดอย่างสบายๆ “มันมีตู้เล็กๆ อยู่ใต้โต๊ะซึ่งมีหยกบันทึกหลายแผ่นอยู่ข้างใน พวกเจ้าสามารถเอาไปได้คนละหนึ่งแผ่น ข้าบันทึกข้อมูลทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการอยู่ในแผ่นหยกบันทึกนั่น ถ้าเจ้ายังคงไม่สามารถหากระดูกของนางได้แม้จะมีแผ่นหยกบันทึกแล้ว ก็คิดเสียว่าพวกเจ้าโชคร้ายแล้วกัน!”
“เอาละ ทุกสิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ดังนั้นพระเจ้าผู้นี้จะพักผ่อนแล้ว หลังจากที่เจ้าหยิบของต่างๆ เจ้าก็เพียงแค่ต้องใช้หยกบันทึกในการเปิดทางออกแล้วเจ้าก็ไปได้ จำเอาไว้หลังจากสองร้อยปี พวกเจ้าจะต้องกลับมา!”
เมื่อเขาพูดจบ เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณที่อยู่กลางห้องหินก็ค่อยๆ กระจายหายไป
ตอนที่ 170-1 เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด
หลังจากพลังงานทางจิตวิญญาณสลายไป นักเดินทางจื่อเวยก็หายไปด้วย คาดว่าเขาคงกำลังพักผ่อนโดยใช้วิชาลับๆ สักอย่างและกำลังรอคอยที่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในอีกสองร้อยปีโดยพวกเขาหรือบางทีอาจจะโดยคนอื่นๆ ที่บุกเข้ามาในถ้ำเซียนของเขา
ทันทีหลังจากที่พลังงานทางจิตวิญญาณสลายไปจนหมด สิ่งของหลากหลายอย่างตกลงมาจากกลางอากาศ ของบางอย่างตกลงสู่มือพวกเขา
โม่เทียนเกอได้รับหยกบันทึกและหินสุริยัน หลังจากใส่จิตสัมผัสของนางเข้าไปในหยกบันทึก คำสี่คำ “หนังสือม่านพลังเสวียนจี” เข้ามาฝังอยู่ในจิตใจของนางทันที เมื่อนางมองที่นักพรตฟางเจิ้ง เขากำลังเปิดขวดหยกเพื่อตรวจดูของข้างใน ไม่นานหลังจากนั้น สีหน้าดีใจสุดขีดปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เห็นได้ชัดว่ามันคือยาอายุวัฒนะที่นักเดินทางจื่อเวยสัญญากับเขาไว้
ถึงแม้พวกเขาจะเดินออกมาจากสถานที่แห่งนี้พร้อมกับของแค่ไม่กี่อย่าง แต่พวกเขาก็ถือว่าโชคหล่นทับแล้ว มูลค่าของยาอายุวัฒนะนั้นไม่ต้องสงสัยเลย หากนักพรตฟางเจิ้งไม่ใช้กับตัวเอง เขาก็สามารถเอามันไปขายได้และศิลาวิญญาณที่เขาจะได้รับคงจะเพียงพอที่จะเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นยาไร้ธุลีได้แน่นอน นางสงสัยว่านักพรตฟางเจิ้งจะตัดสินใจอย่างไร…
สำหรับตัวโม่เทียนเกอเอง มูลค่าของหินสุริยันนั้นนักพรตฟางเจิ้งได้อธิบายไว้แล้วตอนก่อนหน้านี้ ถึงแม้พวกมันจะไม่เลอค่าเท่ากับยาอายุวัฒนะ แต่นางก็ยังมีหนังสือม่านพลังเสวียนจีอีก มูลค่าของสองสิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าสูงเกินกว่ายาอายุวัฒนะ อีกอย่างนางยังได้รับหุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายมาอีกด้วย
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอขณะที่นางคิดถึงเรื่องนั้น นางมองที่หุ่นเชิดทั้งสองตัวต่อหน้านางและวิชาที่ใช้ในการควบคุมพวกมันก็ล่องลอยอยู่ในจิตใจของนางทันที ไม่นานหลังจากนั้น นางทำท่ามุทราด้วยมือทั้งสองข้างแล้วจึงชี้ไปที่พื้นที่ตรงหว่างคิ้ว ดึงเอาจิตสัมผัสของนางออกมาช้าๆ จากนั้นสอดมันเข้าไปในตัวหุ่นเชิดผ่านทางหูของพวกมัน
สำหรับการทำให้หุ่นเชิดพวกนี้รู้จักใครสักคนในฐานะเจ้าของของมัน จำเป็นต้องใช้แค่เศษเสี้ยวจิตสัมผัสของคนผู้นั้นเท่านั้น และมีเพียงคนที่ดินแดนการฝึกตนสูงกว่าตัวเจ้าของมากเท่านั้นจึงจะสามารถลบจิตสัมผัสของตัวเจ้าของได้โดยใช้กำลัง หรือพูดอีกอย่างก็คือ หลังจากนางทำให้หุ่นเชิดทั้งสองตัวนี้รู้ว่านางเป็นเจ้าของของมัน มีเพียงผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถลบจิตสัมผัสของนางออกจากพวกมันได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาต้องการให้หุ่นเชิดรู้จักพวกเขาในฐานะเจ้าของ พวกเขาจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่น หากไม่รู้วิธีการนั้น หุ่นเชิดสองตัวนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากขยะเท่านั้น
เมื่อนักเดินทางจื่อเวยซ่อมหุ่นเชิด เขาถอนจิตสัมผัสของเขาออกจากตัวพวกมัน ดังนั้นตอนนี้โม่เทียนเกอก็แค่ต้องทำตามขั้นตอนเพื่อทำให้พวกมันจำนางได้ในฐานะเจ้าของ
หลังจากจิตสัมผัสของนางเข้าสู่หูของหุ่นเชิดทั้งสองตัวที่ยืนอยู่ข้างนาง เสียง แก๊ก! ดังขึ้นสองครั้งและหุ่นเชิดทั้งสองตัวก็เริ่มขยับและเหวี่ยงกระบี่หินของพวกมันเบาๆ
โม่เทียนเกอรู้สึกดีใจ ตอนนี้นางสามารถควบคุมมันได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม จิตสัมผัสของนางยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่เหมือนกับวิธีที่หุ่นเชิดปฏิบัติตัวภายใต้การควบคุมของนักเดินทางจื่อเวย แม้แต่ตอนที่เขาหลับ หุ่นเชิดของเขาก็สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้และเพียงแค่ต้องถูกควบคุมด้วยความนึกคิดเล็กน้อยเท่านั้น
“สหาย… นักพรตเยี่ย” นักพรตฟางเจิ้งผู้ที่ดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดในที่สุดก็เรียกออกมาหลังจากลังเลมาครู่หนึ่ง เขาได้ยินนางบอกนักเดินทางจื่อเวยเกี่ยวกับท่านอาจารย์และฝ่ายของนาง เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้ว่าชื่อ “เยี่ยเสี่ยวเทียน” นี้เป็นชื่อปลอม ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วท้องฟ้า เขาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวที่เอ้อระเหยอยู่ในโลกมนุษย์มาหลายร้อยปี ดังนั้นเขาจึงเคยเห็นศิษย์ที่หยิ่งยโสจากกลุ่มการฝึกตนมามากมาย บัดนี้เมื่อเขาล่วงรู้ถึงพื้นเพของโม่เทียนเกอ เขาจึงรักษาระยะห่างระหว่างกันตามสัญชาตญาณ
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ต่อให้นางรู้ นางก็คงไม่สนใจแน่นอน นางเพิ่งพบกับนักพรตฟางเจิ้งโดยบังเอิญ ถึงแม้เขาจะค่อนข้างคล้ายกับท่านอาที่สองของนาง แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากคนแปลกหน้า หลังจากพวกเขาออกจากสถานที่แห่งนี้ พวกเขาก็จะต้องแยกกันไปตามทางของตัวเองซึ่งอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้
“โอ้ สหายนักพรตฟางเจิ้ง” เมื่อได้ยินเสียงของนักพรตฟางเจิ้ง สิ่งแรกที่โม่เทียนเกอทำคือเก็บหุ่นเชิดเข้ากระเป๋าเอกภพของนาง นางรู้ว่าในโลกแห่งการฝึกตน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางที่มีหุ่นเชิดการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายสองตัวอยู่ในครอบครองจะทำให้คนมากมายอิจฉา ดังนั้นนางจึงคิดว่านางจะไม่เอาพวกมันออกมานอกเสียจากว่าจำเป็นเท่านั้น
นักพรตฟางเจิ้งอิจฉาไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อนักเดินทางจื่อเวยห้ามพวกเขาไม่ให้ทำร้ายกันเอง เขาจึงต้องปล่อยความตั้งใจอะไรก็ตามที่เขามีเกี่ยวกับหุ่นเชิดพวกนั้นไป เขากำลังชี้ไปที่โต๊ะหินขณะที่เขาพูดกับโม่เทียนเกออย่างสุภาพว่า “ในเมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว เราควรจะแบ่งของพวกนี้กันเสียเลยตอนนี้”
นักเดินทางจื่อเวยพูดแล้วว่าพวกเขาสามารถแบ่งของบนโต๊ะกันได้ โม่เทียนเกอจึงตกลงด้วย “เอาสิ”
แต่ถึงอย่างนั้นนักพรตฟางเจิ้งก็ไม่ขยับและแค่จ้องมองมาที่โม่เทียนเกออย่างประหม่าเล็กน้อย “สหายนักพรตเยี่ย เจ้าสัญญากับข้าไว้ก่อนหน้านี้ว่าถ้าเราเจออะไรอย่างอื่น เจ้าจะปล่อยให้ข้าเป็นฝ่ายเลือกก่อน คำสัญญานั้นยังมีผลอยู่หรือไม่” ถึงแม้โม่เทียนเกอจะมีวิชาที่เหนือกว่าพวกผู้ฝึกตนในดินแดนเดียวกันกับนาง แต่นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกว่าเขาไม่ได้ด้อยกว่านางมากนักในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งได้รับหุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายสองตัว ถ้านางถอนคำสัญญาของนาง นักพรตฟางเจิ้งคิดว่าเขาคงไม่สามารถเอาชนะนางได้แน่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้นเขาทำได้แค่ต้องยอมรับการตัดสินใจของนางเท่านั้น
โม่เทียนเกอหัวเราะ “แน่นอนสิมันยังมีผลอยู่ สหายนักพรตเชิญเลือกก่อนได้ มี… ของห้าอย่างที่นี่ ถ้าอย่างนั้นเจ้าเอาไปสามและข้าเอาไปสองดีไหมล่ะ”
นักพรตฟางเจิ้งดีใจสุดขีด หลังจากเขาประสานมือแสดงความขอบคุณให้โม่เทียนเกอ เขาก้าวยาวๆ ไปทางโต๊ะหินแล้วจึงเริ่มครุ่นคิดถึงสมบัติที่เขาต้องการอย่างช้าๆ
โม่เทียนเกอเพียงแค่ส่ายหน้าจากนั้นจึงย้ายไปด้านข้าง ค่อยๆ ศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจี
นางไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ฝึกตนจากคุนอู๋ ดังนั้นนางจึงไม่เคยแสดงนิสัยทรยศหักหลังเพียงเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ ท่านแม่ของนางก็เป็นมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาที่ซื่อสัตย์และมีจิตใจดีเช่นกัน ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงถูกสอนมาเกี่ยวกับความภักดี ความกตัญญู และความเมตตาตั้งแต่นางยังเด็ก เมื่อนางมาถึงที่คุนอู๋และติดสอยห้อยตามท่านอาที่สองไป นางเรียนรู้ที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในโลกแห่งการฝึกตนและเรียนรู้ว่าจะวางแผนเพื่อตัวเองอย่างไร แต่กระนั้นนางก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเป็นคนประเภทที่ท่านแม่ของนางไม่ชอบ
อีกอย่างนางก็ไม่ใช่พวกผู้ฝึกตนที่ไม่มองการณ์ไกล ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการก่อขุมพลังหรือการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนาง นางก็จะต้องเผชิญกับมารภายในจิตใจ ดังนั้นการทำตัวชั่วร้ายโดยไม่ยั้งคิดจะยิ่งเป็นภาระต่อตัวนางเองในภายหลัง เมื่อถึงจุดนั้น ถ้านางถูกมารภายในจิตใจรังควานและไม่สามารถบรรลุผ่านดินแดนได้ มันคงจะสายเกินไปที่จะร้องไห้เสียใจเป็นแน่
“สหายนักพรตเยี่ย ข้าเลือกได้แล้ว ดูสิ” นักพรตฟางเจิ้งพูดอย่างมีความสุข
โม่เทียนเกอถอนจิตสัมผัสของนางออกและเดินไปทางโต๊ะ
มีของหลากหลายอย่างอยู่บนโต๊ะ กระดิ่งเล็กๆ รองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่ง ยาวิเศษขวดหนึ่ง สินแร่ที่ไม่รู้จักก้อนหนึ่ง และพืชวิญญาณซึ่งอยู่ในกล่องหยกใบเล็ก
กระดิ่งเล็กและรองเท้าหุ้มข้อล้วนเป็นอาวุธเวททั้งคู่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกนั้นไม่ใช่สินค้าธรรมดาทั่วไปเพราะมันควรค่าแก่การเป็นของสะสมของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตาม รองเท้าหุ้มข้อสั้นมากและมีลายดอกกล้วยไม้วาดไว้อยู่ด้านข้าง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรองเท้าหุ้มข้อของผู้หญิง นอกจากนี้ นางยังรู้จักพืชวิญญาณชนิดนั้น มันคือหญ้าฟื้นคืนชีพ เมื่อท่านอาที่สองของนางบาดเจ็บระหว่างหนีจากเขาอวิ๋นอู้ นางเห็นว่าฉินซีหยิบมันออกมาเพื่อใช้ทำให้อาการของท่านอาที่สองทรงตัวชั่วคราว ว่ากันว่ายาวิเศษที่ปรุงมาจากพืชวิญญาณชนิดนี้มีฤทธิ์ในการฟื้นฟูที่มหัศจรรย์มาก อีกอย่างพวกมันยังมีฤทธิ์ในการรักษาที่ยอดเยี่ยมถึงแม้จะไม่ได้เอาไปทำเป็นยาวิเศษก็ตาม นางไม่รู้จักสินแร่ก้อนนั้นและไม่ได้เปิดขวดยาวิเศษเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ในเมื่อมันอยู่ท่ามกลางของตรงนั้น มันก็คงเป็นสมบัติเหมือนกันหมด
นักพรตฟางเจิ้งเลือกของสามอย่างคือกระดิ่งเล็ก พืชวิญญาณ และขวดยาวิเศษ พอตอนนี้ที่เขาเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอเขาก็พูดว่า “สหายนักพรตเยี่ย เราคุยกันได้ถ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการ”
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรและแค่ส่ายหน้า
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอเอารองเท้าหุ้มข้อและสินแร่ไปโดยไม่บ่น นักพรตฟางเจิ้งจึงแอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ จากของทั้งสามชิ้นที่เขาเลือก กระดิ่งเล็กเป็นอาวุธเวทที่ใช้รุกขณะที่รองเท้าหุ้มข้อเป็นอาวุธเวทที่ใช้ตั้งรับ อาวุธเวทเชิงรุกมีค่ามากกว่าเชิงรับเล็กน้อย แต่รองเท้าหุ้มข้อเป็นรองเท้าผู้หญิงดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น ส่วนพืชวิญญาณและยาวิเศษนั้นทั้งคู่มีค่ามากกว่าสินแร่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงค่อนข้างกังวลว่าเขาจะโลภเกินไปหรือเปล่าที่เอาของดีๆ บนโต๊ะนั้นมาหมด
ที่จริงแล้วผลที่ออกมาก็เหมาะกับโม่เทียนเกอ นางไม่ได้ขาดทั้งพืชวิญญาณหรือยาวิเศษ ถึงแม้ว่าจะไม่มีหญ้าฟื้นคืนชีพอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง แต่นางก็มีพืชวิญญาณที่ดีกว่านี้และก็ล้วนเก่าแก่กว่าพืชวิญญาณชนิดนี้ทั้งสิ้น ในเมื่อนางมีพืชวิญญาณแล้ว นางจึงไม่ขาดแคลนยาวิเศษเป็นธรรมดา โดยสรุปแล้วคงจะโง่มากถ้านางเลือกของสองอย่างนั้น ส่วนสำหรับอาวุธเวทและของอื่นๆ กระสวยอัปสราของนางเป็นเครื่องมือเวทชั้นยอดซึ่งนางคิดว่าใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนมันสำหรับตอนนี้ เมื่อนางก่อขุมพลังได้ นางคงต้องเริ่มขัดเกลาอาวุธเวทโดยกำเนิดของนาง เพราะฉะนั้นสำหรับนางแล้ว อาวุธเวทเชิงรุกจึงไม่ได้มีประโยชน์มากในตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้น รองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน มันดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณและนักเดินทางจื่อเวยรวมมันอยู่ในทรัพย์สินของเขา ดังนั้นมันคงจะต้องเป็นอาวุธเวทระดับสูงแน่ หลังจากนางหยิบข้าวของขึ้นมาและตรวจดู นางก็พบว่าคำว่า “รองเท้าย่ำเมฆา” ถูกปักไว้ที่ส้นรองเท้า ย่ำเมฆา… บางทีมันอาจจะเพิ่มความเร็วในการบินของนางได้
“สหายนักพรตเยี่ย ยังมีสิ่งนี้อีก” นักพรตฟางเจิ้งก้มลงและหยิบหยกบันทึกสองแผ่นออกมาจากตู้ลับใต้โต๊ะจากนั้นจึงโยนแผ่นหนึ่งมาให้นาง
โม่เทียนเกอชำเลืองมองที่ตู้และพบว่ามีหยกบันทึกที่เหมือนกันอยู่อีกหลายแผ่นข้างใน คาดว่าของพวกนี้คงเตรียมการไว้โดยนักเดินทางจื่อเวยก่อนเขาตายแต่เขาไม่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้จำนวนมากแค่ไหน
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองคนเก็บของๆ ตัวเองแล้วจึงเริ่มศึกษาแผ่นหยกบันทึกเพื่อมองหาทางออก
ตามคำแนะนำที่อยู่ในหยกบันทึก มีม่านพลังเคลื่อนย้ายอยู่ในห้องหินนี้ที่สามารถส่งพวกเขาออกไปได้โดยตรง
เมื่อนึกได้ว่าซางหรูหว่านยังคงอยู่บนแท่นหินของม่านพลังมายาด้านนอก โม่เทียนเกอลังเลว่านางควรจะพานางออกไปข้างนอกหรือไม่ แต่หลังจากนางอ่านหยกบันทึกจนจบ นางก็พบว่าไม่มีทางที่จะเปิดประตูหินจากด้านในได้โดยตรง ท้ายที่สุดแล้วนางรู้สึกอับจนหนทางและต้องยอมล้มเลิก ถึงแม้นางจะมีความประทับใจที่ดีกับซางหรูหว่าน แต่การบุกเข้าไปในถ้ำอีกครั้งเพื่อนางนั้นไม่คุ้มค่ากัน นางทำได้แค่หวังว่าซางหรูหว่านจะโชคดีและสามารถฟื้นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ด้วยสภาวะอารมณ์ของซางหรูหว่าน นางน่าจะสามารถผ่านการทดสอบและหนีอุปสรรคทั้งหมดนี้ไปได้อย่างแน่นอน
เมื่อพวกเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งเริ่มเปิดม่านพลังเคลื่อนย้ายและฝังศิลาวิญญาณลงไปในม่านพลังตามคำสั่งภายในหยกบันทึก ทันทีหลังจากนั้น แสงสว่างจ้าจนแสบตาก็ระเบิดออกจากม่านพลังและภาพทิวทัศน์รอบๆ ตัวพวกเขาก็เปลี่ยนไป
แสงค่อยๆ จางลงทีละนิด โม่เทียนเกอลืมตาแล้วจึงมองไปรอบๆ รู้สึกงงงวยเป็นที่สุด
ลมหนาวดังหวีดหวิวอยู่ในหูของนาง เบื้องหน้านางคือธารน้ำแข็งสูงตระหง่านและเหนือหัวนางคือเกล็ดหิมะพัดหมุนอย่างหนักหน่วง
พวกเขากำลังยืนอยู่บนเขตธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน!
ข้างๆ นาง นักพรตฟางเจิ้งอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ๊ะ!”
โม่เทียนเกอรีบถามทันที “สหายนักพรตฟางเจิ้ง เจ้ารู้จักสถานที่นี้หรือ”
นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า เขาพูดพร้อมกับจ้องนาง “ที่นี่คือเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด! ”
เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด! โม่เทียนเกอประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนี้ ในขั้วท้องฟ้า ในทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้คือแนวเทือกเขาคุนอู๋ที่สูงตระหง่าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งแค่แยกออกมาจากสำนักเทียนเต้าด้วยภูเขาหนึ่งลูกเท่านั้นคือที่ซึ่งฝ่ายอธรรมเติบโต ในทิศตะวันตกคือทะเลทรายรกร้างไร้ผู้อยู่อาศัย และทางทิศเหนือสุดคือเขตธารน้ำแข็ง
ถ้ำเซียนของนักเดินทางจื่อเวยตั้งอยู่ในหุบเขามรสุมในภูเขาเก้าวิญญาณแห่งแคว้นจิ้นตรงใจกลางของขั้วท้องฟ้าพอดี นี่มันกี่พันลี้จากตรงนั้นกัน ม่านพลังเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเคลื่อนย้ายพวกเขามายังสถานที่ห่างไกลขนาดนี้ได้จริงๆ!
โม่เทียนเกอค้นหาในหยกบันทึกแต่นางก็พบว่าจุดหมายปลายทางของม่านพลังเคลื่อนย้ายไม่ได้เขียนเอาไว้ข้างใน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจุดหมายนั้นเป็นการสุ่มเอา อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะได้รับคำตอบก็ต่อเมื่อหลังจากพวกเขาทำภารกิจที่นักเดินทางจื่อเวยฝากฝังเอาไว้ได้สำเร็จและกลับไปยังหุบเขามรสุม
ตอนที่ 170-2 เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด
ขณะที่ทั้งสองคนยืนอยู่บนยอดของธารน้ำแข็งและเผชิญกับลมหนาวและหิมะตกหนัก พวกเขารู้สึกหนาวนิดหน่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อผู้ฝึกตนสร้างฐานแห่งพลังงานของเขา ไม่ว่าความหนาวเย็นหรือความร้อนก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นลมหนาวนี้กลับทำให้ผู้ฝึกตนขั้นกลางของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งสองคนนี้รู้สึกหนาวได้อย่างไม่คาดคิด! เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ลมธรรมดาแน่
โม่เทียนเกอประกบมือจากนั้นใช้พลังงานทางจิตวิญญาณเพื่อไล่ความเย็นภายในร่างกายของนางออกไป ทันทีหลังจากนั้นนางหันไปหานักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ในเมื่อตอนนี้เราอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ามีแผนหรือไม่”
พอได้ยินคำถามของนาง นักพรตฟางเจิ้งเงียบไปเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะตอบว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากำลังจะกลับไปที่คุนอู๋ ข้าอยู่ในโลกมนุษย์แค่เพื่อตามหาพืชวิญญาณและยาสรรพโรควิญญาณ เนื่องจากตอนนี้ทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว ข้าควรจะไปตามทางของข้าก่อน” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงถามโม่เทียนเกอกลับ “แล้วสหายนักพรตเยี่ยล่ะ เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับภารกิจนี้”
โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ด้วยความสามารถของเราในปัจจุบัน ภารกิจนี้ยากเกินจะรับมือ ข้อมูลทั้งหมดที่ศิษย์พี่จื่อเวยทิ้งไว้ให้เราล้าสมัยไปมากกว่าห้าพันปี มันคงจะยากสำหรับเราที่จะออกตามหาตามข้อมูลนั้นในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ฝังศพของศิษย์พี่เสี่ยวต้องอันตรายมากแน่ ถ้านางเสียชีวิตอยู่ภายในโรงเรียน… โรงเรียนเสวียนจีของพวกเขาเชี่ยวชาญในปรัชญาแห่งม่านพลัง ดังนั้นสถานที่ฝังศพของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ของพวกเขาจะต้องเต็มไปด้วยกับดักนับไม่ถ้วนแน่นอน อย่างไรก็ตาม ถ้านางตายไปในขณะที่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตที่ไหนสักแห่งนอกโรงเรียน นั่นก็จะยิ่งเสี่ยงตายสำหรับพวกเรา สถานที่ซึ่งผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ประสบกับภัยอันตรายถึงตาย… มันจะไม่เป็นการรนหาที่ตายถ้าเราไปที่นั่นหรือ อีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเราจะหานางพบหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี”
นักพรตฟางเจิ้งจมอยู่ในความเงียบยาวนาน “… ข้าก็คิดเหมือนกัน สหายนักพรตเยี่ย พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าไม่ได้วางแผนจะออกตามหานางในตอนนี้”
“สำหรับตอนนี้น่ะ ข้าจะพยายามหาข้อมูลเพิ่มก่อน ข้าจะตัดสินใจหลังจากข้าได้ข้อมูลที่แน่นอนมา”
หลังจากได้ยินสิ่งที่นางพูด นักพรตฟางเจิ้งแสดงความอิจฉาบนใบหน้า เขากล่าว “สหายนักพรตเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของโรงเรียนชื่อดัง การรอรับข่าวก็คงจะง่ายสำหรับเจ้ามากกว่าผู้ฝึกตนเดี่ยวอย่างข้าเป็นแน่”
โม่เทียนเกอเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
นางอยู่ในจุดที่ได้เปรียบมากกว่าในภารกิจนี้ นักพรตฟางเจิ้งคงอยากจะร่วมมือกับนางในตอนแรกแต่ไม่อาจพูดออกมาดังๆ ได้ในท้ายที่สุด แต่นางเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ อย่างไรเสีย นางก็หาข่าวคราวได้ง่ายกว่ามากและนางสามารถหาผู้ฝึกตนระดับสูงให้ไปเป็นเพื่อนนางได้อย่างง่ายดาย แต่เขา ในทางกลับกัน จะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้รับข่าวคราว ต่อให้การถามไถ่ของเขาได้ผลอะไรมาบ้าง แต่เขาก็ยังคงหาคนที่จะผจญความอันตรายไปกับเขาได้อย่างยากลำบากอยู่ดี ในเมื่อนางน่าจะสามารถทำภารกิจนี้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง ทำไมนางจะต้องแบ่งทรัพย์สมบัติกับเขาด้วย เพราะฉะนั้นนักพรตฟางเจิ้งจึงกล้ำกลืนคำขอร้องเดิมของเขา เขาคิดในแง่ดีว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วง แต่เขาก็คงไม่ล้มเหลว
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมโม่เทียนเกอจึงไม่ขอให้เขาร่วมมือกับนางเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านางมีโอกาสสูงมากในการได้รับทรัพย์สมบัติทั้งหมด เพราะฉะนั้นทำไมนางถึงต้องแบ่งกับเขา ถึงแม้นางจะไม่ได้โลภมาก แต่นางก็ไม่ได้ใจดีถึงขนาดอยากจะแบ่งของของนางให้กับคนอื่น
เมื่อเข้าใจตรงกันไปโดยปริยาย ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะเลิกคุยกันเรื่องนี้และเปลี่ยนเรื่องไปปรึกษากันถึงสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ “สหายนักพรตฟางเจิ้ง งั้นเจ้าก็อยากจะออกจากที่นี่ทันทีและกลับไปยังคุนอู๋งั้นหรือ”
“อืม แล้วสหายนักพรตเยี่ยเล่า”
“ข้าไม่รีบกลับไป ข้าไม่คิดว่าเป็นความคิดที่เลวร้ายนักหากจะลองเดินดูรอบๆ สถานที่นี้”
พอได้ยินคำตอบของโม่เทียนเกอ นักพรตฟางเจิ้งเดาว่านางคงเป็นศิษย์ของกลุ่มที่มีชื่อเสียงที่ต้องการหาประสบการณ์ภาคสนามบ้าง
ทั้งสองคนเพ่งมองที่เขตธารน้ำแข็งที่ลมแรงและเต็มไปด้วยหิมะซึ่งแผ่ขยายออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา จากนั้นจึงพูดขึ้นพร้อมกัน “ถ้างั้นเราคงต้องลากันที่นี่…”
ถึงตอนนี้พวกเขายิ้มให้แก่กัน โม่เทียนเกอประกบมือเป็นการอำลา “ถ้าเช่นนั้น สหายนักพรตฟางเจิ้ง ข้าคงต้องขอลา”
นักพรตฟางเจิ้งก็ประกบมือกลับเช่นกันและพูดว่า “ข้าจะมุ่งหน้าไปทางใต้ สหายนักพรตเยี่ย สำนักเจิ้งฝ่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เจ้าสามารถเดินไปทางเหนือเพื่อไปถึงที่นั่น”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
หลังจากร่ำลากันแล้ว ทั้งสองคนก็หยุดพูดคุย คนหนึ่งไปทางทิศเหนือ อีกคนหนึ่งไปทางทิศใต้
ท่ามกลางพายุหิมะ โม่เทียนเกอพึมพำอย่างลังเลอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมา หลังจากนั้นนางจึงเหาะไปทางเหนือ
ในหมู่กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดในขั้วท้องฟ้า สำนักเจิ้งฝ่าเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในคุนอู๋ มันตั้งอยู่ในแถบธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดและมุ่งความสนใจไปที่ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณธาตุน้ำผู้ที่ฝึกเวทคาถาที่มีองค์ประกอบของน้ำแข็ง ไม่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใด แต่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้ทั้งหมดที่ครอบครองรากวิญญาณล้วนมีรากวิญญาณธาตุน้ำกันเป็นส่วนใหญ่ ผลก็คือสำนักเจิ้งฝ่าจึงกลายเป็นอิสระมากและมีอิทธิพลมากในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด มากเสียจนพวกเขาสามารถยืนหยัดได้อยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่หลายๆ กลุ่มในคุนอู๋
กระนั้นก็ตาม ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ไม่ปกติของพวกเขาก็มีข้อเสียเปรียบเช่นกัน
เขตธารน้ำแข็งนั้นหนาวเย็นอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงไม่มีมนุษย์ธรรมดาอยู่ที่นั่นมากนัก มนุษย์เป็นรากฐานสำหรับผู้ฝึกตน สำนักเจิ้งฝ่าจึงไม่สามารถพัฒนาต่อได้ ถูกบีบบังคับให้ต้องตั้งสาขาในคุนอู๋ แต่ถึงอย่างนั้น เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดก็เป็นสถานที่ที่ได้เปรียบที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนที่ฝึกเวทคาถาน้ำแข็ง ดังนั้นสำนักใหญ่ของพวกเขาจึงต้องปักหลักอยู่ที่นั่น
เหตุผลเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ ไม่มีผู้ฝึกตนในขั้วท้องฟ้าคนไหนกล้าดูถูกสำนักเจิ้งฝ่า แต่ก็ไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของพวกเขาเหมือนกัน เพราะจุดอ่อนและจุดแข็งของพวกเขาผูกอยู่ด้วยกัน พวกเขาไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้แต่ก็ไม่ง่ายที่จะทำลายเช่นกัน
ในเมื่อนางมาถึงที่นี่แม้ว่าจะโดยบังเอิญก็ตาม โม่เทียนเกอคิดว่านางน่าจะลองหาประสบการณ์ที่นี่ดู
เนื่องจากสำนักเจิ้งฝ่าสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้วท้องฟ้าได้ด้วยการพึ่งพาวิชาการฝึกตนที่มุ่งเน้นกับธาตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีเอกลักษณ์ของตัวเอง การเรียนรู้อะไรบางอย่างไปจากที่นี่จะต้องเป็นประโยชน์กับนางแน่
ในโลกแห่งการฝึกตนปัจจุบัน นอกเหนือจากมารผู้ฝึกตน ผู้ฝึกตนสายกระบี่ ผู้ฝึกตนสายเครื่องราง ผู้ฝึกตนนักสู้ และผู้ฝึกตนสายแพทย์ที่ว่านั้นทั้งหมดล้วนฝึกหลักเต๋า หลักเต๋าทั้งกว้างครอบคลุมและลึกซึ้ง นอกจากว่าคนคนหนึ่งจะได้เห็น ได้ยิน คิด พูดคุย และประสบกับหลายสิ่ง คนคนนั้นไม่มีทางเติบโตได้ เพราะฉะนั้นหลังจากสภาวะจิตของคนเข้าถึงระดับหนึ่ง คนคนนั้นจะต้องไม่พยายามทำการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอย่างไร้ประโยชน์เพื่อบรรลุผ่านดินแดนจากดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไปจนสุดถึงดินแดนจิตวิญญาณใหม่ การฝึกตนไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับการฝึกตนเท่านั้น
ยิ่งนางเหาะไปทางเหนือมากเท่าไร แรงกดดันจากลมหนาวก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น หลังจากเหาะมาครึ่งวัน โม่เทียนเกอรู้ตัวว่าทั้งร่างของนางแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ โม่เทียนเกอรู้สึกงุนงง ระดับการฝึกตนของนางอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว แต่นางกลับไม่สามารถต้านทานลมหนาวนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แล้วผู้ฝึกตนระดับต่ำของสำนักเจิ้งฝ่าล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาไม่เคยออกจากสำนัก หรือบางทีอาจจะมีแต่นางที่ไม่รู้ความลับของสถานการณ์นี้
ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ โม่เทียนเกอส่ายหน้าแล้วจึงมองหารอยแยกในภูเขาน้ำแข็งที่ซึ่งนางสามารถหลบภัยก่อน นางพบช่องแคบๆ ระหว่างภูเขาน้ำแข็งสองลูก โชคดีที่นางมีรูปร่างเล็กกะทัดรัด นางจึงสามารถซุกเข้าไปในช่องนั้นได้
ตอนนี้เมื่อนางไม่ถูกลมหนาวจู่โจมอีกต่อไป โม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่กลับคืนสู่ร่างนางได้ทันที ทั้งน้ำแข็งหรืออากาศเย็นไม่ได้มีผลกระทบต่อนางอย่างแท้จริง แค่ลมหนาวนั้นที่เป็นปัญหา ดูเหมือนว่ามันจะพัดพาเวทมนตร์ของผู้ฝึกตนให้หายไป ตอนนี้โม่เทียนเกอค่อนข้างเสียใจที่ไม่ได้ถามนักพรตฟางเจิ้งถึงสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากเขาเคยมาที่นี่มาก่อน เขาก็น่าจะรู้เกี่ยวกับลมหนาวนี้
ภายในรอยแยกระหว่างภูเขา โม่เทียนเกอกำลังนั่งขัดสมาธิและโคจรพลังงานทางจิตวิญญาณภายในร่างกายนาง หลังจากเคลื่อนมันไปรอบๆ วงโคจรจุลจักรวาล โม่เทียนเกอรู้สึกว่าทั้งร่างของนางอุ่นขึ้น บางที… นางไม่ควรจะหยุดเคลื่อนพลังงานทางจิตวิญญาณของนาง
ด้วยความคิดเช่นนั้นในใจ โม่เทียนเกอยืนขึ้น พร้อมที่จะบินต่อ เมื่อนางยืนขึ้น อย่างไรก็ตาม นางพบว่ารองเท้าของนางเปียกไปหมดแล้วตอนนี้
ก่อนที่นางจะออกมา นางทำเสื้อผ้าสองชุดใหม่เป็นพิเศษที่ไม่ได้มีการบ่งบอกว่านางเป็นสมาชิกของโรงเรียนเสวียนชิงแต่ทำมาจากวัสดุเดียวกัน หลังจากมันผ่านการทำให้บริสุทธิ์ด้วยไฟสวรรค์แท้ ตอนนี้มันก็จัดได้ว่าเป็นเครื่องมือวิญญาณและไม่ได้รับผลกระทบจากลมหนาวแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้น นางกลับลืมทำรองเท้าหุ้มข้อคู่ใหม่และเพิ่งมารู้ตัวว่ามันมีสัญลักษณ์ของโรงเรียนเสวียนชิงและเมฆมงคลรูปทรงไท่จี๋อยู่บนนั้นหลังจากนางออกมาแล้ว เพราะเหตุนั้น เมื่อตอนที่นางอยู่กับตระกูลเยี่ย นางจึงเปลี่ยนไปใส่รองเท้าหุ้มข้อคู่ใหม่อย่างสบายๆ
ขณะที่นางกำลังจะเปลี่ยนรองเท้า นางก็หยุดกะทันหัน นางเพิ่งจะบังเอิญได้รับรองเท้าคู่ใหม่มาจากในถ้ำเซียนของนักเดินทางจื่อเวยไม่ใช่หรือ
หลังจากคิดสักพัก โม่เทียนเกอเอารองเท้าย่ำเมฆาออกมาใส่ ทันทีที่นางใส่ โม่เทียนเกอรู้สึกว่ารองเท้าดูเหมือนจะปรับขนาดด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติตามขนาดเท้าของนางจนกระทั่งมันใส่ได้พอดี ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มควันพลังงานทางจิตวิญญาณแผ่ออกมาจากรองเท้าและรวมกันอยู่บนเท้านาง นางเหยียบลงไปบนพื้นด้วยรองเท้าคู่ใหม่แต่เท้าของนางดูเหมือนจะลอยอยู่เท่านั้น ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในจิตใจนาง นางอาจจะสามารถลอยขึ้นในอากาศได้โดยไม่ต้องมีผ้าเช็ดหน้าไหมขาว! แล้วจู่ๆ ทันใดนั้นนางก็กำลังเหาะห่างออกไปอีกหลายร้อยจั้ง!
โม่เทียนเกอทั้งตกใจและดีใจที่ค้นพบถึงเรื่องนี้ ตอนแรกนางคาดว่ารองเท้าจะสามารถเพิ่มความเร็วในการบินของนาง แต่นางก็ต้องประหลาดใจ ที่จริงแล้วมันคืออาวุธเวทบินได้! ด้วยวิธีนี้นางก็จะสามารถบินได้โดยไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวในอนาคต
ถึงแม้หนึ่งในคุณสมบัติของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวคือการบิน แต่จงมู่หลิงบอกว่าตอนแรกมันคืออาวุธเวทป้องกันตัว คุณสมบัติการบินของมันเพิ่งเพิ่มเข้ามาภายหลังเมื่อเขาดัดแปลงมัน ดังนั้นมันจึงด้อยกว่าอาวุธเวทที่สร้างมาเป็นอาวุธเวทบินได้โดยเฉพาะ แน่นอนว่านั่นคือจากมุมมองของเขาในฐานะเทพผู้ฝึกตน แต่จากมุมมองของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือจิตวิญญาณใหม่ ความเร็วในการบินของผ้าเช็ดหน้าไหมขาวไม่เลวเลยทีเดียว
ในทางกลับกัน รองเท้าย่ำเมฆานี้เป็นของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขั้นสูงสุดและมันก็เป็นอาวุธเวทบินได้ที่ปรับตามผู้ใช้เช่นกัน คาดว่ามันคงไม่น่าจะด้อยกว่าผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ในอดีตนางต้องการใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเพื่อทั้งบินและป้องกันตัวเองไปด้วย ดังนั้นบางครั้งนางจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่จัดการได้ยาก ด้วยรองเท้าคู่นี้ นางก็จะต่อสู้ด้วยพลังเวทง่ายดายขึ้นไม่ใช่หรือ
ด้วยความคิดเหล่านี้ โม่เทียนเกอรู้สึกมีความสุขขึ้น นางใช้รองเท้าย่ำเมฆาทันทีพร้อมกับบินไปข้างหน้าด้วยพละกำลังเต็มแรง
ตอนนี้หากใครมองขึ้นมา พวกเขาจะเห็นแสงเหินสีขาวข้ามผ่านฟากฟ้า ถึงแม้แรงเคลื่อนไหวของมันจะไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น แต่ความเร็วของมันเหนือกว่าความเร็วของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานไปมากโข และเกือบจะเทียบเท่าได้กับความเร็วของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเลยทีเดียว!
ตอนที่ 171-1 คนเก็บดอกบัว
ขณะที่นางเหาะเหินเผชิญกับพายุหิมะ โม่เทียนเกอก็ยังได้เคลื่อนพลังวิญญาณภายในร่างกายของนางอีกด้วย แน่นอนว่านางไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นอีกแล้ว
โม่เทียนเกอคิดกับตัวเอง หากเป็นเช่นนั้น หรือนี่หมายความว่าผู้ฝึกตนในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดจำเป็นต้องเคลื่อนพลังวิญญาณของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา จากมุมมองหนึ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าเวลาการฝึกฝนของพวกเขาจะยาวนานกว่าผู้ฝึกตนธรรมดาหรือ ไม่น่าจะใช่ ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณไม่สามารถต้านทานลมหนาวนี้ได้แน่นอน พวกเขาต้องมีวิชาลับอะไรสักอย่างแน่
ขณะที่นางกำลังหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตัวเอง ทันใดนั้นจิตสัมผัสของนางจับร่องรอยของสิ่งมีชีวิตได้ โม่เทียนเกอหยุดแล้วจึงเปลี่ยนทิศทางและรีบมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
จิตสัมผัสของนางจับอยู่ที่แหล่งที่มาของร่องรอยเหล่านั้น หลังจากเหาะมาแค่ระยะเวลาหนึ่ง นางก็เห็นกลุ่มคนเดินกำลังเร่ร่อนอยู่บนธารน้ำแข็ง ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาคือมนุษย์ธรรมดา!
รอยย่นปรากฏขึ้นที่คิ้วนาง ด้วยการโบกแขนเสื้อหนึ่งที นางจึงเริ่มร่อนลง
พลังที่แผ่ออกมาโดยผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทำให้พวกมนุษย์ตกใจ เมื่อพวกเขาเห็นนาง ก็หมอบลงกับพื้นทีละคนเพื่อทำความเคารพนาง “ด้วยความเคารพท่านเทพเซียน! ด้วยความเคารพท่านเทพเซียน!”
ขณะที่พวกเขากำลังบูชานาง โม่เทียนเกอเหาะลงที่พื้นน้ำแข็ง นางถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร”
ในหมู่พวกมนุษย์ ชายวัยกลางคนหนวดเฟิ้มที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดเงยหน้าขึ้นมาแล้วจึงพูดอย่างนอบน้อมว่า “ปรากฏว่าเป็นท่านเทพธิดานี่เอง พวกเราคงจะตาบอดแน่ที่ไม่รู้ว่าเป็นท่านเทพธิดา ขอท่านเทพธิดาโปรดอภัยให้พวกเราด้วย” ท่าทางของเขาสุภาพอย่างยิ่ง ทว่าเขาอ่อนน้อมจนเกินเหตุ
โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้ว “ไม่จำเป็นต้องทำตัวเช่นนี้ ยืนขึ้นพูดเถอะ”
“ขอรับๆ” ชายคนนั้นพูดตอบซ้ำๆ พร้อมลุกขึ้นจากพื้น จากนั้นเขาตะโกนดังๆ ให้กับพวกคนที่อยู่ด้านหลังเขาได้ยิน “ท่านเทพธิดาบอกว่าให้เรายืนขึ้นได้ ทุกคน ยืนขึ้น ยืนขึ้น!”
คนพวกนั้นลุกขึ้นในกลุ่มสองคนและสามคน โม่เทียนเกอสังเกตว่ามีทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่ยังเป็นหนุ่มสาวทั้งหมดและพวกเขาก็ดูค่อนข้างแข็งแรงทีเดียว
“ท่านเทพธิดา พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าสิงโตทะเล พวกนี้คือดอกบัวหิมะที่เราเก็บมาในครั้งนี้ ท่านเทพธิดาเชิญดูสิขอรับ” ขณะที่พูดเขาก็หยิบเอากล่องหยกขนาดเล็กออกมาจากในชุดคลุมและเสนอกล่องนั้นให้กับนางด้วยทั้งสองมือ
โม่เทียนเกอตะลึง กล่องหยกนี้เป็นประเภทที่โดยปกติผู้ฝึกตนมักจะใช้เพื่อเก็บพืชวิญญาณ และดอกบัวหิมะข้างในก็เป็นพืชวิญญาณด้วย พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่
“เจ้าจำคนผิดหรือเปล่า”
ครั้นสังเกตเห็นว่านางไม่รับกล่องหยกไป ชายผู้นั้นมองนางอย่างมีเลศนัย ทันใดนั้นเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างและพูดว่า “ท่านเทพธิดา หรือว่าบางทีท่านอาจจะมาจากทางใต้”
“… ใช่” โม่เทียนเกอมองที่ชายคนนั้นพร้อมเลิกคิ้ว “ถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ชายคนนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มใจดี “เช่นนั้นท่านเทพธิดาก็มาจากทางใต้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจที่ท่านเทพธิดาไม่รู้ธรรมเนียมทางภาคเหนือของเรา พวกเราคือคนเก็บดอกบัว ทุกครั้งที่ท่านเทพเซียนในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดเจอพวกเราคนเก็บดอกบัว พวกเขามักจะแลกเปลี่ยนศิลาวิญญาณของพวกเขากับดอกบัวหิมะของเรา ดังนั้น…”
“เข้าใจละ…” เขตทิศเหนือสุดนี้และคุนอู๋ต่างกันราวกลางคืนกับกลางวัน ไม่นานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอก็จำได้ว่านางต้องการถามพวกเขาว่าอะไร “เจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา แล้วเจ้าสามารถทนกับลมหนาวและหิมะได้อย่างไรกัน พายุหิมะที่นี่ไม่ปกติ!”
“อ้า! ท่านเทพธิดาไม่รู้หรือ” ชายคนนั้นพูดด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านเทพธิดาไม่ได้มาผ่านทางเมืองต้าอัน”
“เมืองต้าอัน” โม่เทียนเกอหยุดครู่หนึ่ง นางจำได้ว่าหยกบันทึกที่ตระกูลเยี่ยให้นางไว้บอกว่าทั้งผู้ฝึกตนและมนุษย์ที่ต้องการไปแถบทิศเหนือสุดจำเป็นต้องผ่านเมืองต้าอัน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เมืองสุดท้ายในใจกลางของขั้วท้องฟ้าและจะนำทางไปสู่แถบทิศเหนือสุด การเติมข้าวของหรือถามข่าวคราวเป็นเรื่องสะดวกสบายมากในเมืองนั้น ดังนั้นมันจึงกลายมาเป็นเส้นทางบังคับที่ต้องผ่านไปสำหรับใครก็ตามที่ต้องการจะไปยังเขตทิศเหนือสุด
“หากท่านเทพธิดาผ่านมาทางเมืองต้าอันก็คงจะมีคนคอยบอกท่านเทพธิดาเกี่ยวกับธรรมเนียมทางแถบทิศเหนือสุดของเราเมื่อท่านเติมข้าวของของท่าน”
โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ข้ามาที่นี่โดยตรงจากดินแดนใจกลาง ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ผ่านเมืองต้าอัน เอาเป็นว่าเจ้าบอกข้ามาว่าที่นี่เป็นอย่างไรดีไหมล่ะ ถ้าเจ้าบอกรายละเอียดข้าได้ ข้าจะตกรางวัลให้”
พอได้ยินส่วนสุดท้ายของประโยค รอยยิ้มกว้างเบ่งบานบนใบหน้าชายคนนั้น เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ขอรับๆ ข้าจะอธิบายให้ท่านเทพธิดาฟังอย่างแน่นอน…”
ปรากฏว่าพวกมนุษย์ในเขตทิศเหนือสุดและมนุษย์ในดินแดนใจกลางและคุนอู๋ล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีทั้งแคว้นหรือเมือง ผู้อยู่อาศัยแค่ถูกแบ่งออกเป็นเผ่าและขนาดของแต่ละเผ่าก็แตกต่างกัน เผ่าที่ใหญ่ที่สุดมีคนมากกว่าหมื่นคน ส่วนเผ่าที่เล็กที่สุดมีเพียงแค่ประมาณหลายสิบคน เผ่าที่ขนาดแตกต่างกันนับพันเผ่าต่างอาศัยอยู่ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดที่กว้างขวางนี้ จำนวนคนรวมทั้งหมดเทียบได้กับจำนวนคนในแคว้นใหญ่ๆ ในดินแดนใจกลางเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกเผ่าจะเป็นมิตรต่อกัน บางเผ่าแต่งงานเกี่ยวดองกันแต่บางเผ่าก็เกลียดกัน ก่อนที่สำนักเจิ้งฝ่าจะก่อตั้งขึ้น แต่ละเผ่าต่างมีผู้ฝึกตนของตัวเองที่รู้จักกันในฐานะคนทรง ส่วนใหญ่แล้วคนทรงของเผ่าก็เป็นหัวหน้าเผ่าด้วยเช่นกัน ในกรณีที่เผ่าไม่มีคนทรง พวกเขาก็จะต้องเสนอเครื่องบรรณาการให้กับเผ่าอื่นที่มี คนทรง… เคยเป็นเหมือนเทพเจ้าของเผ่าที่อาศัยอยู่ในแถบทิศเหนือสุด
ที่จริงแล้วคนทรงพวกนี้เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับต่ำเท่านั้น แม้แต่คนทรงในเผ่าใหญ่ๆ ก็มีระดับการฝึกตนแค่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน นี่คือสิ่งที่นางสรุปได้จากสิ่งที่ชายคนนั้นบอกนาง
เมื่อผู้ฝึกตนจากคุนอู๋มาที่แถบทิศเหนือสุดและก่อตั้งสำนักเจิ้งฝ่าขึ้น พวกเขาสยบคนทรงจากเผ่าใหญ่ๆ และบีบบังคับเปลี่ยนพวกคนทรงของทุกเผ่าให้กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนักเจิ้งฝ่า และเพื่อตอบแทน สำนักเจิ้งฝ่าก็จะรับเผ่าของพวกเขาเข้ามาอยู่ภายใต้ความดูแล
ในตอนแรกพวกเผ่าไม่ได้ยินดีจะยอมจำนนเลยสักนิดเพราะพวกเขารู้สึกว่าสำนักเจิ้งฝ่าทำลายประเพณีของพวกเขา อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ประจักษ์กับวิธีที่สำนักเจิ้งฝ่าทำสิ่งต่างๆ พวกเขาก็ตระหนักว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ดีกว่าก่อนหน้านี้ด้วยความคุ้มครองสำนักเจิ้งฝ่า ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ ยอมรับ และด้วยเหตุนั้นสำนักเจิ้งฝ่าจึงกลายมาเป็นเทพเจ้าองค์ใหม่ของพวกเขา
เวลาหลายพันปีได้ผ่านไปและสำนักเจิ้งฝ่าก็ได้หยั่งรากลึกในเขตทิศเหนือสุดแล้วในตอนนี้ ทำให้พวกเผ่าที่นั่นละทิ้งประเพณีของตัวเอง พวกเขาไม่เรียกผู้ฝึกตนของตัวเองว่าคนทรงอีกต่อไป พวกเขากลับทำตามคนในดินแดนใจกลางและคุนอู๋และเรียกผู้ฝึกตนเหล่านั้นว่าท่านเทพเซียนหรือท่านเทพธิดาแทน คนทรงเดิมของพวกเขาบัดนี้ใส่ชุดของชาวลัทธิเต๋าและทำผมมวยสูงแบบชาวลัทธิเต๋า ภาษาเฉพาะของพวกเขาไม่ได้ใช้เป็นภาษาหลักอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาพูดแบบเดียวกับคนในดินแดนใจกลางและคุนอู๋ แม้แต่วิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตตอนนี้ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิธีที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตมาเมื่อหลายพันปีก่อน
ก่อนหน้านี้เผ่าหาเลี้ยงชีพด้วยการหาปลาหรือล่าสัตว์อื่นๆ ที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็งซึ่งยากลำบากมากและเสี่ยงตายสูง หลังจากการเกิดขึ้นของสำนักเจิ้งฝ่า อย่างไรก็ตาม แต่ละเผ่าภายใต้ความคุ้มครองของพวกเขาจะได้รับเครื่องมือวิญญาณที่สามารถช่วยพวกเขาจับสัตว์ได้ แต่จำเป็นต้องมีศิลาวิญญาณเพื่อใช้เครื่องมือวิญญาณนี้ ดังนั้นพวกเขาเลยตั้งกลุ่มคนเก็บดอกบัวขึ้นมา บนเขตธารน้ำแข็งที่ไร้ขอบเขตนี้ พวกเขาเก็บดอกบัวหิมะเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณ ถึงแม้ว่าการเก็บดอกบัวหิมะจะยากเข็ญเช่นกัน แต่มันก็อันตรายน้อยกว่าการจับสัตว์มากนัก
เพราะพละกำลังที่น่าเกรงขามของสำนักเจิ้งฝ่า พวกมนุษย์ในเผ่าทางแถบทิศเหนือสุดจึงให้ความเคารพต่อผู้ฝึกตนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่มีผู้ฝึกตนผ่านมา พวกเขาจะต้อนรับอย่างกระตือรือร้นและแสดงให้เห็นว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร ถ้าโชคดี พวกมนุษย์ก็จะได้รับศิลาวิญญาณเล็กน้อยเป็นรางวัลตอบแทน
กลุ่มที่โม่เทียนเกอบังเอิญเจอเป็นกลุ่มของคนเก็บดอกบัวจากเผ่าใกล้เคียงที่รู้จักกันในนามเผ่าสิงโตทะเล พวกเขาคิดว่านางเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักเจิ้งฝ่า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเสนอดอกบัวหิมะให้กับนาง
โม่เทียนเกอได้ยินดังนั้นก็เพียงแค่พยักหน้าและถามอีกคำถาม “เจ้าเป็นมนุษย์ ทำไมเจ้าถึงไม่ได้รับผลกระทบจากลมหนาวที่นี่ทั้งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนยังทนได้อย่างลำบาก”
ชายคนที่เป็นผู้นำกลุ่มอธิบายว่า “บางทีท่านเทพธิดาอาจจะไม่รู้ แต่นี่คือจุดประสงค์ของดอกบัวหิมะ พวกเราคนที่อาศัยอยู่ในแถบทิศเหนือสุดต้มดอกบัวหิมะและใช้น้ำเพื่อชำระล้างร่างกายของเราตลอดทั้งปี เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่เกรงกลัวต่อลมหนาว”
“โอ้” โม่เทียนเกอดูดอกบัวหิมะภายในกล่องหยก รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าพืชวิญญาณเหล่านี้จะไม่เก่าแก่มากขนาดนั้นแต่มันก็เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนที่นี่เขายินดีที่จะให้พวกมนุษย์ใช้มันจริงๆ หรือ”
“ข้าขออนุญาตตอบคำถามของท่านเทพธิดาขอรับ ที่นี่มีดอกบัวหิมะธรรมดาอยู่มากมาย ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีค่ามากเท่าไร อย่างไรก็ตาม ดอกบัวหิมะที่เสนอให้กับท่านเทพเซียนล้วนแล้วแต่เป็นสายพันธุ์หายากและไม่ได้หาได้ง่ายนัก”
“อ้อ ข้าเข้าใจล่ะ…”
“ท่านเทพธิดา…” หลังจากชายคนนั้นพูดจบ เขาเงยหน้าอีกครั้งและมองโม่เทียนเกออย่างร้อนใจ “บางทีท่านเทพธิดาอาจจะสนใจในดอกบัวหิมะนี้หรือขอรับ”
สิ่งที่เขาพูดทำให้นางรู้สึกงุนงง “เจ้าไม่ได้จะเสนอให้กับผู้ฝึกตนจากสำนักเจิ้งฝ่าหรือ เจ้าได้รับอนุญาตให้มอบให้กับคนนอกด้วยหรือ”
ด้วยรอยยิ้มนอบน้อม ชายคนนั้นกล่าว “ท่านเทพธิดาคงไม่รู้สินะขอรับ สำนักเจิ้งฝ่าไม่เคยคาดหวังให้เราหาดอกบัวหิมะให้แค่กับพวกเขาเท่านั้น ถ้ามีผู้ฝึกตนทางจากใต้มา เราก็สามารถแลกดอกบัวหิมะเป็นศิลาวิญญาณกับพวกเขาได้ ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินท่านเทพเซียนของเผ่าข้าพูดว่าดอกบัวหิมะสามารถใช้ปรุงยาวิเศษชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์แค่กับผู้ฝึกตนที่สามารถฝึกเวทมนตร์ธาตุน้ำได้ ดังนั้นผู้ฝึกตนทางใต้จะได้ไม่มาแย่งพวกมันไปจากเรา อย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะซื้อบางส่วนไปจากเราเพื่อใช้เองส่วนตัวซึ่งไม่ได้มีผลกระทบต่อสำนักเจิ้งฝ่า”
“…” ไม่น่าแปลกใจที่สำนักเจิ้งฝ่ากลายเป็นอำนาจที่ปกครองที่นี่ พวกเขาสร้างตัวขึ้นจากรากฐานของรากวิญญาณและเวทมนตร์พิเศษเฉพาะตัว พวกเขาใช้อำนาจขัดขวางพวกมนุษย์และยังให้ความกรุณาต่อพวกเขาด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกมนุษย์ก็ไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยวิธีรุนแรง ดังนั้นหลังจากเวลาผ่านไปนาน พวกมนุษย์จึงเคารพสำนักเจิ้งฝ่าไปโดยปริยายและบูชาพวกเขาเหมือนเป็นเทพเจ้าด้วยความจริงใจ
ด้วยความคิดนั้นในใจ โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปเพื่อรับดอกบัวหิมะในกล่องหยก นางตรวจดูมันสักพักแล้วจึงถามว่า “เจ้าต้องการศิลาวิญญาณเท่าไรเพื่อแลกกับดอกบัวหิมะดอกนี้”
ตอนที่ 171-2 คนเก็บดอกบัว
หลังจากได้ยินคำถามของนาง ชายคนนั้นโค้งทันที “ศิลาวิญญาณจำนวนเท่าไรก็ตามที่ท่านเทพธิดายินดีให้เราก็ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับเราแล้วขอรับ”
โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้หลังจากนางได้ยินเช่นนั้น ทุกคนชอบการถูกพูดยกยอด้วยความเคารพทั้งนั้น ถึงแม้เขาอาจจะไม่ได้พูดอย่างจริงใจ แต่คำพูดของเขาก็ยังน่าฟัง อีกอย่างชายคนนี้ก็ดูจริงจังและไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาแค่ทำแบบขอไปที สำนักเจิ้งฝ่าถือว่าประสบความสำเร็จในแถบทิศเหนือสุดนี้จริงๆ พวกเขาสามารถเลี้ยงดูพวกมนุษย์จนเคารพผู้ฝึกตนได้อย่างจริงใจเช่นนี้ได้
โม่เทียนเกอควานหาในกระเป๋าเอกภพ นางหยิบเอาศิลาวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาจากนั้นจึงยื่นให้กับชายคนนั้น “ส่วนเกินก็ถือว่าเป็นรางวัลของเจ้าสำหรับการตอบคำถามข้าแล้วกัน” ดอกบัวหิมะดอกนี้อายุน่าจะประมาณสิบปี ดังนั้นมันจึงไม่ถือว่ามีค่ามากนักต่อผู้ฝึกตน นางคาดคะเนคร่าวๆ โดยดูจากราคาของพืชวิญญาณในคุนอู๋ ดังนั้นดอกบัวหิมะดอกนี้ก็น่าจะมีราคาประมาณสิบศิลาวิญญาณ
ครั้นเห็นศิลาวิญญาณหลากสีสิบสองอันที่นางยื่นมาให้ ชายผู้นั้นก็ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ เขายิ้มกว้างจนตาหยี เขาพยักหน้าซ้ำๆ และพูดว่า “ขอบพระคุณท่านเทพธิดามากสำหรับรางวัลขอรับ” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขาและกลุ่มของเขาก็คุกเข่าลงอีกครั้งและก้มหัวคำนับให้นาง
โม่เทียนเกอสะบัดแขนเสื้อและจู่ๆ เส้นใยพลังวิญญาณก็ฉุดพวกเขาให้ลุกขึ้นและหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขา คนพวกนี้คุกเข่าทันทีโดยไม่มีเหตุผล นางทนไม่ได้จริงๆ!
“เจ้าพูดว่า… น้ำจากการต้มดอกบัวหิมะนี้จะทำให้ข้าต้านทานลมหนาวได้ ผู้ฝึกตนจากสำนักเจิ้งฝ่าก็ใช้วิธีนี้เหมือนกันหรือ”
ตอนนี้พอเขาได้รับศิลาวิญญาณจากโม่เทียนเกอ ชายคนนั้นยิ่งนอบน้อมกับนางเข้าไปใหญ่ ขณะที่โค้งคำนับเขาตอบว่า “พวกเราชาวมนุษย์ใช้วิธีนี้ อย่างไรก็ตาม ตามคำของท่านเทพเซียนของเผ่าข้า มีอีกวิธีในสำนักเจิ้งฝ่าที่พวกผู้ฝึกตนใช้กัน ไม่เพียงแต่มันจะช่วยให้พวกเขาต้านทานลมหนาวได้แล้ว แต่มันยังสามารถเพิ่มพลังวิญญาณภายในร่างกายของผู้ใช้ได้อีกด้วย”
“โอ้” ความสนใจของโม่เทียนเกอถูกกระตุ้น “วิธีนั้นอนุญาตให้บอกต่อกับคนนอกได้หรือไม่”
“นี่… ข้าก็ไม่แน่ใจ” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขารีบเสริม “ถ้าท่านเทพธิดาไม่ได้รีบ ท่านสามารถมาที่เผ่าและเป็นแขกของเราได้ ที่จริงแล้วท่านเทพเซียนของเราเพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองขอรับ”
โม่เทียนเกอไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้นางก็ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไร ดังนั้นการไปที่เผ่านี้เพื่อดูให้ทั่วสักหน่อยคงไม่น่าเป็นปัญหา มันคงจะดียิ่งขึ้นไปอีกถ้านางมีความเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับแถบทิศเหนือสุดนี้จากท่านเทพเซียนของพวกเขา
ด้วยความคิดนี้สั่งสมอยู่ในใจ โม่เทียนเกอยิ้มแย้มเมื่อนางพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น ข้าคงต้องรบกวนเจ้าด้วย”
การตอบตกลงข้อเสนอนี้ทำให้เขาประหลาดใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกยินดีและตอบกลับคำพูดสุภาพของนางทันทีด้วยความเคารพ “ไม่เป็นการรบกวนเลยขอรับ เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ท่านเทพธิดามาเป็นแขกของเผ่าเรา ท่านเทพธิดา เชิญทางนี้ขอรับ”
โม่เทียนเกอมองพายุหิมะที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งและจึงพูดว่า “ให้ข้าพาพวกเจ้าไปเถิด” ขณะที่นางพูด นางยกมือขึ้นเพื่อเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมา จากนั้นนางใช้ศาสตร์หนึ่งและในชั่วพริบตา ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ตามมาด้วยการสะบัดแขนเสื้อ พลังวิญญาณไหลทะลักออกมาและรวบมนุษย์มากกว่าสิบสองคนขึ้นไปบนนั้น
เห็นได้ชัดว่าเป็นครั้งแรกของพวกมนุษย์ที่ได้มีประสบการณ์นี้ ชายคนที่นำกลุ่มตัวสั่นด้วยทั้งความตกใจและความตื่นเต้นขณะที่เขายืนอยู่บนผ้าเช็ดหน้าไหมขาว “ท่านเทพธิดา นี่…”
“มีอะไรหรือ เจ้าไม่อยากเหาะรึ”
ชายคนนั้นรีบส่ายหน้า “แน่นอนว่าเราอยากขอรับ เราจะปลอดภัยกว่ามากที่ท่านเทพธิดาพาเรากลับไป ต้องขอบพระคุณท่านเทพธิดาอย่างสูง” พูดเช่นนั้นแล้ว เขาก็ทำท่าจะคุกเข่าอีกครั้ง
โม่เทียนเกอรู้สึกช่วยไม่ได้ คนพวกนี้ให้ความเคารพต่อผู้ฝึกตนมากเกินพอดี พวกเขาคุกเข่าแทบจะทุกครั้งที่มีโอกาส!
นางยกมือขึ้นเพื่อหยุดท่าทีของพวกเขา “ยืนขึ้นเถอะ เจ้า มาบอกทางข้าหน่อย”
“ขอรับๆ ท่านเทพธิดา เผ่าของเราอยู่ทางนั้น…”
เผ่าสิงโตทะเลอยู่ไม่ไกลมากนัก ถึงแม้โม่เทียนเกอจะไม่กล้าเหาะเร็วเกินไปเพราะนางพาคนพวกนี้มาด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็สามารถมองเห็นหลังคาบ้านแออัดและขาวโพลนอยู่เบื้องล่าง
กลายเป็นว่าแถบทิศเหนือสุดขาดวัตถุต่างๆ สิ่งเดียวที่พวกเขาไม่ขาดคือน้ำแข็ง ดังนั้นพวกมนุษย์ที่นี่จึงใช้น้ำแข็งในการสร้างบ้าน อุณหภูมิในแถบทิศเหนือสุดนั้นต่ำมาก ต่ำเสียจนแม้แต่หยดน้ำก็ยังกลายเป็นน้ำแข็งได้ บ้านที่สร้างจากน้ำแข็งของพวกเขาสามารถกันลมได้ เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่รู้สึกหนาว แต่พวกเขายังรู้สึกอบอุ่นด้วยซ้ำไป
โม่เทียนเกอรู้เรื่องทั้งหมดนี้เมื่อชายคนนั้นแนะนำเผ่าของเขาให้นางฟัง ชายคนที่เป็นผู้นำของกลุ่มคนเก็บดอกบัวคือหัวหน้าเผ่าของเผ่าสิงโตทะเล ไห่ปั๋ว คนของแถบทิศเหนือสุดไม่มีแซ่ในตอนแรกเริ่ม แต่หลังจากที่สำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งขึ้นแล้วเท่านั้นพวกเขาจึงเริ่มใช้แซ่กัน ชนเผ่าทุกคนในเผ่าสิงโตทะเลใช้ “ไห่” เป็นแซ่ของพวกเขา
จากด้านบน บ้านน้ำแข็งกลุ่มใหญ่ดูเหมือนจะกำลังส่องประกายวิบวับและโปร่งแสง กระจายอยู่ท่ามกลางพายุหิมะรุนแรงในอากาศ ดูสวยงามอย่างที่สุด
“ท่านเทพธิดา ตรงนั้นขอรับ”
ตามที่ไห่ปั๋วชี้บอก โม่เทียนเกอร่อนลงจอดที่พื้นที่โล่งระหว่างบ้าน
มีคนอยู่มากมายบนพื้นที่โล่งตรงนั้น แต่ละคนกำลังวุ่นวายอยู่กับธุระของตัวเอง พวกผู้หญิงหากไม่กำลังเย็บปักถักร้อยก็กำลังตากของให้แห้งภายใต้แสงอาทิตย์ พวกผู้ชายกำลังซ่อมเครื่องมือแทบทุกชนิดหรือไม่ก็จัดการกับซากสัตว์ต่างๆ พอเห็นพวกเขาลงมาจากบนฟ้า คนพวกนั้นก็เริ่มรวมตัวเข้ามาล้อมรอบพวกเขา
เมื่อพวกเขาลงถึงที่พื้น โม่เทียนเกอเก็บผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ในวินาทีถัดมา นางก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนที่กำลังคุกเข่าอยู่อีกครั้ง!
ครั้นรู้สึกทำอะไรไม่ถูก นางก็หันไปหาไห่ปั๋ว พูดว่า “ข้าไม่ชอบพฤติกรรมเช่นนี้ บอกพวกเขาให้หยุดคุกเข่าที”
ไห่ปั๋วพยักหน้า ก้าวไปข้างหน้าแล้วจึงพูดอย่างดัง “ทุกคนยืนขึ้น ท่านเทพธิดาไม่ชอบให้คนคุกเข่าให้นาง ไปจัดการธุระของตัวเองได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินหัวหน้าเผ่า ในที่สุดพวกเขาจึงยืนขึ้นทีละคน บางคนกลับไปทำงานของตัวเองขณะที่บางคนเข้ามาเพื่อพูดคุยกับครอบครัวของพวกเขา
ไห่ปั๋วหันมาพูดกับโม่เทียนเกอ “ท่านเทพธิดา ทางนี้ขอรับ ท่านเทพเซียนของเราอยู่ที่นี่”
โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วจึงตามไห่ปั๋วไปทางบ้านน้ำแข็งหลังที่สูงที่สุดท่ามกลางบ้านที่อยู่กันเป็นกระจุก
ขณะที่พวกเขาเดินอยู่ ไห่ปั๋วอธิบาย “ท่านเทพเซียนของเราเป็นศิษย์ทางการของสำนักเจิ้งฝ่า ถ้าท่านมีอะไรต้องการถาม เขาจะรู้คำตอบอย่างแน่นอน! มา มา! ท่านเทพธิดา ตรงนี้ขอรับ” เขายกม่านหนังสัตว์ที่ทำหน้าที่เสมือนประตูเข้าไปสู่บ้านน้ำแข็งเปิดออกและจึงเชิญโม่เทียนเกอเข้ามาข้างใน
ด้วยรอยยิ้ม โม่เทียนเกอรับคำเชิญและเข้าไป ตอนที่นางกำลังเหาะอยู่เหนือเผ่าของพวกเขา นางก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ตอนนั้นนางไม่เคยคิดว่าเผ่าที่มีคนแค่หลายร้อยคนจะมีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย
ด้านในคือห้องนั่งเล่นเล็กๆ แต่วิธีตกแต่งนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับห้องในดินแดนใจกลางและคุนอู๋ ความแตกต่างอยู่ในวัตถุที่ใช้ เครื่องเรือนส่วมใหญ่ทำจากน้ำแข็ง แม้ว่าผ้าม่านจะทำจากหนังสัตว์ ยังมีถ้วยชาและของอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนทำมาจากไม้แกะสลักอีกด้วย
เมื่อพวกเขาเข้ามาในห้องนั่งเล่น ไห่ปั๋วไปยืนอยู่ด้านหน้าประตูผ้าม่านอีกบานหนึ่ง เขาส่งเสียงเรียกดังๆ “ท่านเทพเซียน ไห๋ป๋อขออนุญาตเข้าพบขอรับ!” ทันทีหลังจากนั้น เขายืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้นและรอคอย
หลังจากชั่วขณะ เสียงหนึ่งดังออกมาจากข้างใน “เกิดอะไรขึ้น”
ไห่ปั๋วตอบด้วยความเคารพ “ท่านเทพธิดาต้องการพบกับท่านเทพเซียนขอรับ”
เมื่อไห่ปั๋วพูดจบ โม่เทียนเกอปล่อยแรงเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานของนางออกไปเล็กน้อย แน่นอนว่าเสียงของใครบางคนที่กำลังเคลื่อนไหวดังออกมาจากด้านใน และในไม่ช้า ใครคนหนึ่งก็ยกม่านขึ้นเปิดและเดินออกมา
นั่นคือชายหนุ่มร่างสูงผอมที่มีเครื่องหน้าชัดเจนซึ่งส่วมใส่ชุดคลุมลัทธิเต๋าของสำนักเจิ้งฝ่า
โม่เทียนเกอยกมือขึ้นเตรียมพร้อมจะทักทายเขา แต่หลังจากมองคนผู้นั้นให้ชัด นางก็ต้องตกตะลึงถึงที่สุด “ท่านนี่เอง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น