จอมใจจ้าวพิษ 168-175
ตอนที่ 168 กฎเกณฑ์
เค่ออี้กับพวกเห็นท่าทีฮว่าเหยียนเช่นนี้จึงนัดหมายเวลากับนาง แล้วจากไปชั่วคราวก่อน เมื่อคนเหล่านั้นจากไป ฮว่าเหยียนจึงดึงตัวถังเฉียนมา สำรวจดูนางอย่างละเอียดจึงคลายความกังวลลงแล้วพูดว่า
“”ยังดีที่ข้ากลับมาเร็ว ไม่เช่นนั้นเจ้าจะตายอย่างไรแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ รู้หรือไม่ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่เช่นไร เจ้าจะผลีผลามไปได้หรือ ข้อแรกฝ่ายนั้นไม่ถือว่าเจ้าเป็นสะใภ้ที่ถูกต้อง ข้อสองเจ้าไม่ยังเข้าใจกฎเกณฑ์ ไม่ถึงสามวันก็จะถูกคนอื่นมองฐานะเจ้าออก”
ถังเฉียนได้ยินที่นางพูดก็รู้ว่าตนเองวู่วามเกินไป นางกำชายกระโปรงแน่น ไม่กล้าปริปากพูด
“ไม่ต้องใจร้อน ไปกลับอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามวัน สามวันนี้ข้าจะช่วยสอนกฎเกณฑ์ของเผ่าให้เจ้ารู้”
“ตกลง…”
เสียงพูดของนางเบามากจนตัวเองเกือบจะไม่ได้ยิน แต่ฮว่าเหยียนได้ยินชัดเจน นางยิ้มแล้วว่า
“ว่าอย่างไร ไม่กลัวว่าข้าจะคิดร้ายต่อเจ้าแล้วหรือ”
ถังเฉียนสั่นศีรษะ
“ข้ารู้ว่าถ้าตัวเองไปในลักษณะนี้ เมื่อย่าทวดถามว่าบ้านอยู่ที่ใด ข้าก็คงตอบไม่ถูก ไม่ต้องถึงสามวัน ข้าก็ถูกเปิดโปงแล้ว ข้ารู้ว่าข้าต้องจดจำมากมายหลายสิ่ง ที่ข้าไปรับปากเร็วเช่นนี้ เพราะพวกนั้นบอกว่าเถิงเฟิงไม่สบาย นอนสลบไม่ฟื้น เป็นเพราะช่วยข้า”
คำพูดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย พอพูดถึงตอนท้ายนางเม้มปากแน่น เพื่อไม่อยากทำให้ตัวเองดูตื่นตระหนกเกินไป
“ยิ่งเป็นอย่างนี้เจ้าก็ต้องยิ่งตั้งสติ หากไม่มีเถิงเฟิงคอยคุ้มครอง เจ้าไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะยิ่งถูกผู้อื่นข่มเหง ดังนั้นข้าจึงต้องไปกับเจ้าด้วย”
ถังเฉียนฟังแล้วรู้สึกว่ามีเหตุผล ต่อเรื่องนี้นางจึงนิ่งเงียบซึ่งเท่ากับยอมรับกลายๆ เค่ออี้กับพวกไปแล้ว คนเผ่าพีส่าในหล่งชวนจะมาเยี่ยมคารวะถังเฉียนทุกเช้า ยังมอบผลไม้สดและของขวัญให้แก่นาง ฮว่าเหยียนบอกว่าให้นางเลือกรับเพียงชิ้นเดียว ที่เหลือบมอบให้พวกเขา นี่เรียกว่าประทานพรให้
ถังเฉียนรู้สึกว่าองุ่นวันแรกนั้นอร่อยมาก วันที่สองจึงจะเลือกเอาองุ่นอีก แต่ฮว่าเหยียนส่งเสียงกระแอม ถังเฉียนจึงรีบเปลี่ยนเป็นลูกท้อ จากนั้นก็เห็นนางพยักหน้า ต่อมาถังเฉียนจึงรู้ว่านี่เรียกว่าไม่เกินหนึ่งครั้ง
ไม่ว่าจะเลือกของสิ่งใดต้องไม่อาจเกินหนึ่งครั้ง มิฉะนั้นจะทำให้คนอื่นเดาออกว่านางชอบสิ่งใด ภายหลังก็จะประจบประแจงได้ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอย่างเผ่าพีส่าจะมีกฎเกณฑ์มากมายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ได้ฟังจากเถิงเฟิงที่บอกว่าไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย
เดิมทีนางรู้สึกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพีส่าจะต้องเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก เวลานี้ดูแล้วยังเป็นที่ที่มีกฎเกณฑ์อันหนักหน่วง เทียบได้กับวังหลวงที่มีผู้สูงศักดิ์มากมาย แต่ทุกฝีก้าวเต็มไปด้วยอันตราย ตอนนั้นนางก็สะเพร่าเกินไปจริงๆ
ดูเหมือนฮว่าเหยียนจะรู้เรื่องราวทุกอย่าง ทั้งเล่าเรื่องของตระกูลฮว่าให้นางรู้อย่างชัดเจน ยังบอกให้รู้จักญาติพี่น้องอย่างละเอียด รวมทั้งยังรู้กฎเกณฑ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี ยังย้ำให้นางต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
เวลาผ่านไปสี่วันก็ถึงเวลาออกเดินทาง แต่ก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน จู่ๆ จินซิวอ๋องก็บอกว่าเขาจะเดินทางไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์กับพวกนางด้วย จุดมุ่งหมายก็เพื่อรักษาอาการป่วยของตนและซูซินเหลียน
เหตุผลที่ดูภายนอกจะน่าเชื่อถือ ถ้าบอกว่าคนอื่นเชื่อก็แล้วไป แต่ดูเหมือนตัวฉู่จิ่งเหยาเองก็เชื่อ
“ท่านอ๋อง เรายังต้องเดินทางเช่นนี้อีกหลายวัน ท่านไม่จำเป็นต้องมองข้าเช่นนี้ทุกวันหรอก”
ฉู่จิ่งเหยานั่งรถม้าคันเดียวกับถังเฉียน เขาเอาแต่จ้องมองนาง ไม่ก็คอยพูดว่าตนเจ็บหน้าอก โรคนี้ถังเฉียนรักษาไม่ได้ ฮว่าเหยียนเองก็จนปัญญา คงต้องยอมทนนั่งในรถม้ากันสองคนตลอดทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 169 มือสังหาร
เพียงแต่ถังเฉียนรู้สึกว่าฉู่จิ่งเหยามีท่าทางแปลกๆ เค่ออี้เห็นสายตานางกับฉู่จิ่งเหยาก็รู้สึกสงสัยและคาดเดาไม่ถูก ถึง นางจะไร้เดียงสาเช่นไรก็ยังรู้สึกได้ว่าคนอื่นต่างคาดเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฉู่จิ่งเหยา
นางรู้ดีว่าก่อนไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์นางควรเลี่ยงข้อครหานี้ จึงดึงตัวซูซินเหลียนมานั่งในรถม้าด้วย บรรยากาศในรถจึงแปลกมาก
“เจ้าเป็นอ๋อง เป็นสามีข้า แต่กลับนั่งรถม้าคันเดียวกับนาง หรือว่าเจ้าคือชู้รักตัวร้าย”
ซูซินเหลียนชี้มาที่ถังเฉียนพร้อมกับพูดจาแปลกๆ ถังเฉียนฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร ชู้รักตัวร้ายคือสิ่งใด ที่ผ่านมานางเป็นเด็กที่ซื่อๆ เมื่อไม่เข้าใจก็จะถาม ซูซินเหลียนเห็นท่าทีนางเช่นนี้ก็ร้องหึ แล้วพูดว่า
“ที่แท้ก็เป็นบัวขาวที่กำลังผลิบาน โธ่เอ๊ย สงสารแต่เจ้าของร่างเดิมของข้าที่ยังคงคิดว่าเจ้าเป็นคนดี”
ถังเฉียนฟังที่นางพูดก็รู้สึกว่าไม่ใช่คำพูดที่น่าฟังสักเท่าใด แต่นางไม่อาจถือสาคนป่วย จึงทำเหมือนว่าไม่ได้ยินอะไร นั่งหลับตาในรถทำเป็นว่าไม่มีเรื่องอะไร แล้วเริ่มทำสมาธิดูดรับไอทิพย์
“นี่ อย่าทำเป็นไม่ยอมรับสิ พ่อคุณ เห็นว่าเจ้าหน้าตาไม่เลว ข้ายอมให้เจ้าชอบข้า อย่างไรเสียเราก็เป็นคู่ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายเจ้าก็ต้องชอบข้า”
ฉู่จิ่งเหยามองดูซูซินเหลียนตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะ คนอย่างซูซินเหลียนถ้าไม่พูดให้คนขวัญผวาเป็นไม่ยอมเลิก ที่พูดเมื่อครู่ล้วนทำให้ทุกคนบนรถรู้สึกกระอักกระอ่วน แล้วเปลี่ยนเรื่องพูดอย่างรวดเร็ว
“แต่พอตัวเอกออกจากบ้าน โดยเฉพาะครั้งแรก ยังพามือที่สามมาด้วย จะไม่ให้มีมือสังหารได้อย่างไร”
มือสังหาร? คำพูดนี้ทำให้ถังเฉียนขนลุกซู่ แต่เมื่อมองดูฉู่จิ่งเหยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงบนิ่งราวกับเข็มวิเศษตรึงสมุทร แล้วมองดูซูซินเหลียนที่กวาดตามองรอบๆ อย่างระแวง ถังเฉียนจึงพูดปลอบอย่างอ่อนโยนว่า
“เจ้าไม่ต้องวิตก ท่านอ๋องเป็นเทพสงครามไม่มีใครกล้ามาย่างกราย อีกอย่างที่นี่เป็นเผ่าม้งยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครกล้าปล้นกองคาราวานม้าของเขาศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ยกเว้น…”
ถังเฉียนยังไม่ทันพูดว่ายกเว้นอะไร ก็ได้ยินเสียงม้ากู่ร้องยาวที่ด้านนอก คนขับรถรั้งม้าให้หยุด
“มีมือสังหาร!”
เค่ออี้ตะโกน อาห่าวกระโดดพรวดขึ้นบนรถม้าทันที แล้วมาหลบอยู่ข้างๆ ถังเฉียนซูซินเหลียนยิ้มอย่างสะใจแล้วว่า
“ดูสิ ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่”
ถังเฉียนดึงตัวซูซินเหลียน กดนางไว้บนตัว ทั้งสองคนนั่งยองๆ บนรถม้า ลูกธนูสองดอกพุ่งผ่านหลังของทั้งสองเข้ามา ซูซินเหลียนแหงนมอง หางลูกธนูที่ปักติดผนังรถม้ายังสั่นไหวอยู่ ถังเฉียนเงยหน้ามองฉู่จิ่งเหยาที่มุมปากเขามีรอยยิ้มอย่างเย็นชา
“ไม่เลว หลายวันมานี้ที่ร่ำเรียนวิชาไม่เสียเปล่า”
ถังเฉียนจึงฉุกคิดขึ้นได้ เดิมตนเองไม่มีวรยุทธ์ แต่เมื่อครู่รู้สึกว่าได้ยินเสียงธนูพุ่งมาที่ด้านหลังของซูซินเหลียน ดูแล้วระยะนี้ที่ตนทุ่มเทฝึกอย่างยากเย็นยังเห็นผลบ้าง
ฉู่จิ่งเหยายื่นสองนิ้วออกไปเลิกม่านรถขึ้น มองดูสภาพภายนอก กลับไม่มีเสียงหอกดาบปะทะกัน มีเพียงวัตถุสีดำพุ่งใส่กลุ่มคนไปทั่ว เพียงครู่เดียวทหารชุดเกราะของจวนอ๋องล้มลงระเนระนาด ถังเฉียนรู้สึกว่าของสิ่งนี้คล้ายกับสิ่งที่เถิงเฟิงเคยสยบ แต่มันคือสิ่งใดกันแน่ ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือปีศาจ ทำให้ผู้คนหวาดผวา
“มือผี เจ้าบังอาจเล่นงานฮูหยินหัวหน้าผู้บวงสรวงในอนาคต ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่ ตั้งค่ายกล!”
ในมือเค่ออี้เป็นด้ายแดงกับกระบี่เงิน ทั้งห้าคนยืนตั้งค่ายกลขวางอยู่ข้างหน้าถังเฉียน
รอบๆ เงาผีมีคนห้าคนซึ่งสวมชุดดำทั้งหมด นอกจากคนในรถม้าที่ห้าคนของเขาศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันอยู่แล้ว คนที่เหลือต่างนอนหมดสติแน่นิ่งอยู่บนพื้น
ตอนที่ 170 รังสีของนางเอก
“คุณหนูอาหรูน่า พวกมันท่าทางร้ายกาจมาก บังอาจบุกปล้นพวกเรา จะต้องมีผู้ใดอยู่เบื้องหลังแน่ พวกข้าส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือแล้ว หากพวกข้าเกิดต้านทานไม่อยู่ ขอให้ท่านรีบขอร้องให้คุณชายเถิงเฟิงรีบมาช่วยพวกข้า”
ถังเฉียนฟังแล้วก็รู้สึกวิตกมาก นาง…นางจะกล้าขอให้เถิงเฟิงมาช่วยหรือ ถังเฉียนหันมา รู้สึกร้อนใจอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าพูดตามอำเภอใจ รู้สึกเครียดจึงกำชายเสื้อไว้แน่น
“ไม่ต้องกล้ว แค่ผีน้อยสองตัว ใต้เท้าเค่ออี้ใช้นิ้วเดียวก็รับมือได้แล้ว ต่อหน้าอาหรูน่าโปรดอย่าถ่อมตัวเกินไป”
อาห่าวที่นิ่งเงียบมาตลอดจู่ๆ ก็พูดขึ้น
“ท่านอ๋อง ท่านไม่รู้หรอก ฝีมือของมือผีสามารถสยบท่านเคออี้ได้ ไม่เช่นนั้นพวกมันไม่กล้าเหิมเกริมเช่นนี้หรอก เมื่อครู่พวกข้าส่งข่าวออกไปแล้ว แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีกองหนุนมาช่วย เกรงว่า…”
พอซูซินเหลียนได้ฟังเช่นนี้ก็หัวเราะเสียงดัง แล้วพูดว่า
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก ข้าเป็นคนที่มีรังสีของนางเอก ช่วยส่องพวกเจ้า วางใจเถอะ จะต้องมีแม่ทัพสวรรค์ลงมาช่วยพวกเรา ไม่อย่างนั้น ท่านอ๋องก็ต้องวางทหารซุ่มไว้แล้ว”
ถังเฉียนหันมามองฉู่จิ่งเหยา เขาส่ายหน้าช้าๆ แล้วว่า
“พระชายารองเชื่อมั่นอ๋องอย่างข้าเกินไปแล้ว เดินทางมากับคณะรถม้าของเผ่าพีส่า ใครจะคิดว่ามีคนกล้าปล้นรถ ข้าเองก็เป็นคนนอกสำหรับที่นี่”
แม้ฉู่จิ่งเหยาจะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็นั่งพิงพนักเก้าอี้ ไม่มีท่าทางหวั่นวิตก
ถังเฉียนโผล่หัวออกมาดูสภาพข้างนอก เห็นเค่ออี้สะกดมือผีไว้กลางค่ายกล เจิ้งจยาเฉิงร้อนใจเมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ ส่วนรถม้าของฮว่าเหยียนพังเสียหาย นางยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างนอก แล้วเดินมาข้างตัวเจิ้งจยาเฉิง ยื่นมือไปกุมดาบของเขา พลันชักดาบออกมากรีดที่แขนของตนเอง ดาบเล่มนั้นอาบเลือดฮว่าเหยียน แล้วเลือดก็พลันเปลี่ยนเป็นลายงูสีเขียว
“บุก เจ้าสามารถฟันพวกมันได้แล้ว”
ถังเฉียนนึกไม่ถึงว่าฮว่าเหยียนจะเก่งกาจเช่นนี้ จึงนึกเคารพยำเกรงนางมากขึ้น
“ท่านหมอฮว่าเหยียน ไม่ธรรมดาเลยนะ”
ซูซินเหลียนเห็นเช่นนี้ก็บอกว่า
“รอดูเถอะ ไม่จบง่ายๆ เช่นนี้หรอก”
นางยังพูดไม่ทันจบก็เห็นเจิ้งจยาเฉิงใช้ดาบฟันร่างหมอกสีดำของมือผี แต่เขาก็ถูกแรงสะท้อนจากพลังทิพย์สีดำที่ระเบิดออกจนล้มลงหมดสติ แม้แต่ค่ายกลสยบวิญญาณของเค่ออี้ก็ถูกแรงสะเทือนของหมอกดำจนได้รับบาดเจ็บ
“เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่”
รูม่านตาฉู่จิ่งเหยาหดเข้าหากัน เขาจ้องมองข้างนอกไม่วางตา กำหมัดแน่น เขาปรารถนาให้ตนเองที่จะยืนอยู่นอกรถม้า ไม่ใช่นั่งอยู่ข้างในเช่นนี้
“เลิกพูดเถอะ ตอนนี้สถานการณ์น่าห่วงมาก ถ้าเจ้ามีวิธีอะไรก็ขอให้บอกมา”
ซูซินเหลียนมองถังเฉียนด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดว่า
“เราเป็นศัตรูหัวใจกัน เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าด้วยเล่า อีกอย่างข้าจะมีวิธีอะไร”
ถังเฉียนถอนหายใจ นางก็ไม่ควรมีความคาดหวังอะไรต่อซูซินเหลียนตั้งแต่แรก นางจำได้ว่าเถิงเฟิงเคยบอกนางว่านับจากวินาทีที่นางได้รับพรศักดิ์สิทธิ์บรรดาภูตผีปีศาจจะหวาดกลัวนาง ถังเฉียนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรจึงจะขอร้องให้เถิงเฟิงมาช่วยพวกเขาได้ แต่เฉพาะหน้านี้อย่างน้อยต้องเป็นฝ่ายนำคนเหล่านี้ช่วยเหลือตัวเองก่อน ถังเฉียนเลิกม่านรถขึ้นแล้วกระโจนลงจากรถ มายืนอยู่ข้างๆ เค่ออี้
“ผีร้ายอะไรกัน ก็แค่สิ่งที่ไม่กล้าเผชิญหน้าคน เถิงเฟิงเคยบอกว่าข้าไม่ถูกครอบงำด้วยเวทย์มนต์และอาถรรพ์ทั้งหลาย เลือดข้าอาจจะมีประโยชน์”
ตอนที่ 171 ต่อสู้อย่างดุเดือด
ถังเฉียนหยดเลือดตัวเองลงบนด้ายแดงที่เป็นค่ายกล ถังเฉียนจำได้ว่าเถิงเฟิงใช้วิธีนี้สยบเงาผีได้ ขณะนี้แม้จะเป็นแค่การทำเลียนแบบ แต่นางก็หวังว่าจะได้ผลบ้าง
“อ้า! นางคนชั่ว เหตุใดเจ้าถึงมีเลือดของคนเผ่าพีส่า”
ถังเฉียนหันมามองเค่ออี้ ได้ยินเขาพูดว่า
“พรศักดิ์สิทธิ์เป็นการยอมรับให้นางมีเลือดของเผ่าพีส่า พูดก็พูดเถอะ ไอ้สารเลวนี่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง บังอาจโจมตีรถม้าเรา พี่น้อง ออกแรงหน่อย ทำให้ดวงวิญญาณมันสูญสลายไปเสีย”
ถังเฉียนถอยหลังมาเล็กน้อย ไม่ไปรบกวนค่ายกลของพวกเขา ทั้งห้าคนล้วงกระจกเงาอันเล็กออกมา กัดปลายนิ้วตัวเองแล้วหยดเลือดลงบนกระจก จากนั้นก็สอดด้ายแดงในมือตนเข้าที่หลังกระจก แล้วจัดขบวนค่ายกลใหม่ จากนั้นก็ส่องกระจกไปที่กลางค่ายกล หน้ากระจกกลายเป็นค่ายกลอีกชั้นหนึ่ง ทำให้พลังทิพย์ของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว คราวนี้ก็สามารถตรึงมือผีไว้ได้อย่างมั่นคงแล้ว
“พวกเจ้าคิดว่าทำเช่นนี้ก็จะสยบข้าได้หรือ เพ้อฝันสิ้นดี!”
การที่หมอกดำสามารถพูดได้นั้นเป็นเรื่องที่แปลกมาก ทันใดนั้นเองก็มีมือสิบสองข้างยื่นออกมาจากกลุ่มหมอกดำ แยกกระจายออกจากร่างของมันไปในทิศทางต่างๆ เค่ออี้เห็นเช่นนั้นก็ตะโกนบอกทันที
“หลับตาให้แน่น อย่าให้มือผีควักหัวใจเด็ดขาด”
ถังเฉียนได้ยินก็หลับตาทันที แล้วได้ยินเสียงลมเย็นพัดผ่านข้างหูไปนางรู้สึกตื่นกลัว เมื่อนางกลัวก็มักชอบกำชายเสื้อ ทั้งยังกำนิ้วมือแน่น
“ว๊าย! ท่านอ๋อง ข้าเจ็บที่หัวใจ…”
ถังเฉียนได้ยินเสียงร้องของซูซินเหลียน นางหันกลับมาหมายจะช่วยนาง แล้วคาดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาที่นางลืมตาขึ้น ก็มีมือผีข้างหนึ่งคว้าคอนางไว้
“ปล่อยนะ ปล่อย…”
ร่างทั้งร่างของถังเฉียนถูกมือผีจับยกลอยขึ้นเหนือพื้นดิน ถังเฉียนค่อยๆ ล้วงมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อ กรีดที่ข้อมือ แล้วใช้มีดเปื้อนเลือดฟันมือผีขาดออก จากนั้นก็เลิกม่านรถขึ้น มองเห็นมือผีราวกับคว้าจับหัวใจซูซินเหลียนไว้ เหมือนจะกระชากออกมาจากร่างของนางทั้งเป็น
“หยุดนะ!”
ถังเฉียนกวัดแกว่งมีดแทงใส่มือผี มือผีกลายเป็นควันสลายไปทันที แต่ซูซินเหลียนมองเห็นเพียงถังเฉียนที่ถือมีดเปื้อนเลือดอยู่กับทรวงอกตัวเองที่ถูกมือผีจับไว้
“เจ้า? เจ้าจะทำสิ่งใดกับข้า ที่แท้ก็หญิงชั่วร้ายคนหนึ่ง ทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้อยู่เรื่อย”
ถังเฉียนมองดูนางก่นด่าตนเอง แต่นางยิ่งด่าว่า เปลือกตาถังเฉียนก็ยิ่งหนักอึ้ง จากนั้นก็ล้มลงหมดสติอยู่ในรถม้า เค่ออี้กับพวกรวบรวมมือผีที่บาดเจ็บผนึกไว้ในน้ำเต้า เมื่อเข้ามาดูก็เห็นถังเฉียนนอนหมดสติอยู่ในอ้อมกอดฉู่จิ่งเหยา ซูซินเหลียนก็สลบอยู่ในนั้น
ฮว่าเหยียนรับร่างถังเฉียนจากมือฉู่จิ่งเหยา พร้อมกับกล่าวขอบคุณเขา แล้วอุ้มถังเฉียนมาที่รถของตน แล้วป้อนยาให้นางกิน ถังเฉียนจึงฟื้นขึ้น
“มือผีตายหรือยัง”
ถังเฉียนถามคำถามแรก ฮว่าเหยียนสั่นหัว แล้วตอบอย่างไม่เลี่ยงว่า
“ใต้เท้าเค่ออี้บอกว่านี่เป็นเพียงดวงจิตลอยของมือผีเท่านั้น ในช่วงวิกฤตมันทิ้งร่างส่วนหนึ่งหนีไป พวกเขาไม่มีฝีมือเท่าคุณชายเถิงเฟิงที่สามารถจับมือผีทั้งตัวได้”
ถังเฉียนถอนหายใจยาว เค่ออี้คุกเข่าลงตรงหน้านาง พูดรับผิดว่า
“คุณหนูอาหรูน่า โปรดลงโทษที่เราไร้ความสามารถ”
ถังเฉียนมองดูบาดแผลตัวเองที่พันแผล แล้วเห็นฮว่าเหยียนพยักหน้าให้ตน ก็พูดอย่างอ่อนโยนว่า
“เจ้าทำดีมากแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อย่าโทษตัวเองเลย”
ตอนที่ 172 สามคำถามใต้แสงจันทร์
ผ่านเหตุการณ์ลอบสังหารเมื่อกลางวัน ทหารของจวนจินซิวอ๋องบาดเจ็บล้มตายหลายนาย คนของเขาศักดิ์สิทธิ์ของเค่ออี้ก็บาดเจ็บไม่น้อย ถือโอกาสตอนกลางคืนสามารถพักในเมือง จวนจินซิวอ๋องมีการโยกย้ายกำลังพล ทางเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ฟื้นฟูกำลัง ทิ้งให้คนที่อยู่ว่างอย่างถังเฉียนและฉู่จิ่งเหยาเฝ้ายาม
ฉู่จิ่งเหยาชวนถังเฉียนขึ้นไปบนหลังคา เมื่อถึงสารทฤดูจึงทำให้ไอพิษสลายไปบ้างแล้ว บางครั้งก็ยังสามารถเห็นดวงดาวเกลื่อนฟ้า
“น่าเสียดายจริงๆ ที่นี่มองไม่เห็นดาวเต็มท้องฟ้า ไม่เห็นทางช้างเผือกระยิบระยับ”
ถังเฉียนขยับตัวอย่างระมัดระวัง แผ่นกระเบื้องใต้เท้าส่งเสียงแกรกกราก นางมีฝีมือไม่เท่าฉู่จิ่งเหยา คราวก่อนที่ปีนกำแพงก็เกือบจะคร่าชีวิตนาง เวลานี้ยังรู้สึกใจสั่นอยู่ จึงไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเรื่องดวงดาวอย่างเขา
“ท่านอ๋อง เราคงไม่ตกลงไปหรอกนะ”
หัวใจดวงน้อยของถังเฉียนไม่อาจทนต่อการความตื่นเต้นเช่นนี้ สายตานางจับจ้องที่กระเบื้องสองสามแผ่นข้างตัว กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะเหยียบมันแตกแล้วร่วงลงไปด้านล่าง ถังเฉียนมีสีหน้าเหมือนพร้อมที่จะตาย ทำให้ฉู่จิ่งเหยารู้สึกน่าขำ แล้วได้ยินเขาพูดว่า
“เป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าหน้าตาข้าน่ากลัวอย่างนั้นหรือ”
ถังเฉียนสั่นศีรษะ ฉู่จิ่งเหยาล้วงขลุ่ยออกมาจากอกเสื้อ มองหน้านาง ยิ้มแล้วว่า
“ข้ามีคำถามสามข้ออยากถามเจ้า คืนนี้เจ้าตอบได้หรือไม่”
นางคาดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฉู่จิ่งเหยาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที จึงหันมาจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ
“ท่านอ๋องมีเรื่องสำคัญสิ่งใดจึงต้องถามเช่นนี้ หากท่านถาม อาหรูน่าย่อมต้องตอบ”
ฉู่จิ่งเหยายกขลุ่ยขึ้น เป่าทำนองเพลงยามราตรี ถังเฉียนมองดูจนดวงตาทอประกายเจิดจ้า พลางเม้นริมปากแน่น ไม่กล้าพูดโดยพลการ เขาเห็นท่าทางเครียดของนาง ก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วเก็บขลุ่ยลง
“เจ้าว่าเพลงนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
ถังเฉียนแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ที่บอกอย่างขึงขังว่าจะถามคำถามสามข้อ นี่นับเป็นข้อแรกหรือไม่ นางคิดเช่นนี้ สีหน้าก็แสดงความรู้สึกออกมา ฉู่จิ่งเหยาย่อมคาดเดาความรู้สึกในใจของนางได้
“นี่เป็นคำถามแรก”
ถังเฉียนยิ้มแล้วบอกว่า
“เพลงแม่น้ำชุนเจียงยามราตรี หากบนท้องนภาดาษดื่นไปด้วยดวงดารา ข้างหน้ามีเรือแล่นบนสายน้ำคลื่นสีคราม ก็จะเป็นทัศนียภาพที่ตรงกับเพลง หากไม่ได้ฟังเพลงนี้ เมื่อหลับตาก็จะมี ท่านอ๋องเป่าขลุ่ยเพลงนี้ได้ดีเลิศ เหมือนแม่ข้า…”
ถังเฉียนพูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ชะงัก แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า
“เหมือนแม่น้ำชุนเจียงในจินตนาการของข้า”
ทั้งๆ ที่ฉู่จิ่งเหยาได้ยินคำพูดประโยคนั้น แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ฟังน้ำเสียงนางแฝงด้วยความเศร้า จึงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขามองดูท้องฟ้าแล้วถามอีก
“อาหรูน่า เจ้าเป็นชาวเซวียนกั๋วใช่หรือไม่”
ถังเฉียนได้ยินคำถามนี้ก็รู้สึกเครียดทันที นางจับชายเสื้อไว้ เผยอปากเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ค่อยไว้ใจฉู่จิ่งเหยานัก เพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบว่า
“ท่านอ๋อง ข้าเป็นชาวหนานเจียง…”
ฉู่จิ่งเหยายิ้ม
“ชาวหนานเจียง ไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นชาวหนานเจียง คืนนี้เจ้าติดค้างคำถามข้าข้อหนึ่ง ข้าจะยังไม่ถามคำถามนี้ รอให้ไปถึงเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วค่อยถามเจ้า”
จู่ๆ ถังเฉียนก็คิดทบทวนคำพูดนี้ได้ความรู้สึกที่ต่างออกไป นางก้มหน้าลง ไม่พูดแก้ตัว บางทีในใจฉู่จิ่งเหยาอาจจะมองทะลุฐานะนางไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่นางเองไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองต้องยืนกรานฐานะของตนต่อหน้าฉู่จิ่งเหยา
ถังเฉียนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของฉู่จิ่งเหยา เขากำลังมองดูดวงจันทร์ซึ่งไม่สว่างนัก มุมปากโค้งเล็กน้อย ราวกับวันที่นางเห็นเขาครั้งแรกที่ประตูเมือง
ตอนที่ 173 เม็ดบัวต้ม
“ท่านอ๋อง ข้าทำขนมหวานเสร็จแล้ว ท่านอ๋องอยากชิมหรือไม่”
ถังเฉียนกำลังจะเอ่ยปากพูดกับฉู่จิ่งเหยา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงที่อ่อนหวานของผู้หญิงดังมาจากด้านล่าง ซูซินเหลียนนั่งบนรั้วไม้แหงนมองคนทั้งสอง การกระทำของนางเช่นนี้สำหรับผู้หญิงชาวเซวียนกั๋วแล้วถือว่าไม่น่าดู ผิดแผกจากแบบแผน มีเพียงนางคณิกาเท่านั้นจึงจะกระทำเช่นนี้ แต่นางสวมชุดแบบชาวม้งบนศีรษะประดับปิ่นเงินเล่มเดียว พอดูแล้วกลับรู้สึกว่าไร้เดียงสา
“ดี เดี๋ยวข้าลงไป”
ฉู่จิ่งเหยาพูดแล้วก็พาถังเฉียนกระโดดลงมา ถังเฉียนค้อมคารวะซูเซียนเหลียนเล็กน้อย ซูซินเหลียนพยุงนางขึ้น แล้วพูดว่า
“ท่านหมอ เหลียนเอ๋อร์ต้มเม็ดบัว รู้ว่าท่านหมอเหนื่อยแล้ว ขอเชิญท่านหมอชิมด้วยกัน ปกติข้าไม่ค่อยได้เข้าครัวนัก ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือไม่ สรุปแล้วอย่ารังเกียจก็แล้วกัน”
ถังเฉียนมองแววตานางที่วาบผ่านไป รู้สึกหวั่นใจทันที แล้วมองดูฉู่จิ่งเหยา จากนั้นจึงพูดว่า
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจในความมีน้ำใจของพระชายารอง”
ซูซินเหลียนเหลือบมองนาง แล้วพูดว่า
“นี่เท่ากับท่านหมอรังเกียจฝีมือการทำอาหารของข้า หรือท่านหมอคิดว่าควรให้ท่านอ๋องเป็นคนเชิญ ท่านจึงจะยอมกิน”
ฮุ่ยฮุ่ยยกชามเม็ดบัวต้มยืนอยู่ข้างหลังซูซินเหลียน พอเงยหน้าขึ้นเห็นถังเฉียนก็มือสั่น ฉู่จิ่งเหยาหรี่ตาแล้วถามว่า
“เด็กคนนี้มาจากที่ใด เหตุใดถึงไม่มีมารยาทเช่นนี้”
ถ้าเป็นนิสัยซูซินเหลียนเมื่อก่อน นางคงตกใจแทบแย่ แต่เวลานี้นางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ท่านอ๋องคงยังไม่รู้สินะเพคะ นี่เป็นเด็กที่จื่อเย่ว์ส่งมาคอยรับใช้ข้า เซ่อซ่าเล็กน้อย แต่ปกติข้าเป็นคนไม่เรื่องมาก จึงไม่ได้คาดหวังให้นางทำอะไร ใครใช้ให้คนที่ข้าพามาจากบ้านไปสร้างความเดือดร้อนให้ท่านหมอ ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร หายไปนานแล้ว”
ฉู่จิ่งเหยาได้ฟังก็กระแอม แล้วพูดว่า
“รอให้กลับจวนอ๋องก่อน ข้าจะสั่งเพิ่มสาวใช้ให้เจ้าอีกสองคน ถ้าเจ้าดูแล้วไม่พอใจนาง ให้นางไปใช้แรงงานก็แล้วกัน ในเมื่อเป็นชายารองของข้า ก็ต้องดูแลให้ดีหน่อย ไม่เช่นนั้นกลับไปเจาหยาง องค์กุ้ยเฟยกับท่านมหาเสนาบดีจะหาว่าอ๋องอย่างข้ารังแกเจ้า”
ถังเฉียนรู้สึกว่าขณะนี้ตนไม่ควรอยู่ที่นี่ คิดอยากจะไปแต่ก็พูดแทรกขึ้นไม่ได้ นางกำลังจะเอ่ยปากเตรียมจะผละไป ซูซินเหลียนก็ยกชามเม็ดบัวต้มมาไว้ตรงหน้านางแล้ว
“ท่านหมอลองชิมสักคำ ท่านอ๋องก็ช่วยออกความเห็นหน่อย ได้หรือไม่เพคะ”
ฉู่จิ่งเหยาดูท่าทางซูซินเหลียน เขาโบกมือเล็กน้อย ให้นางขยับออกไปจากตรงหน้าตนเอง เห็นรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนผุดขึ้นที่มุมปากหญิงทั้งสอง ถังเฉียนไม่อาจปฏิเสธ จึงตักขึ้นมาชิมหนึ่งช้อน รสชาติไม่ได้พิเศษอะไร
“แค่กแค่ก…”
ถังเฉียนชิมรสชาติเท่านั้น เห็นถังเวยที่หลบอยู่ข้างๆ ไอไม่หยุด นางจึงรู้สึกแปลกใจ ปกตินางกลัวตนมากที่สุดไม่ใช่หรือ หรือว่าเวลานี้จะมีปัญหาอื่นด้วย
“ฮุ่ยฮุ่ย เป็นอะไรหรือ”
ถังเฉียนถามด้วยความห่วงใย แต่สายตาซูซินเหลียนจ้องที่ชามในมือฉู่จิ่งเหยา แล้วพูดขึ้นว่า
“ใครจะรู้ว่าเด็กบ้าคนนี้เป็นอะไรไป บางทีอาจเพราะตกใจกับเหตุการณ์ลอบสังหารในวันนี้ หรือไม่ก็นางอาจจะเซ่อซ่าอยู่แล้ว”
ถังเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ วางชามเม็ดบัวต้มลง หยิบผ้าแพรออกมาเช็ดปากแล้วพูดว่า
“เม็ดบัวต้มถ้าจะทำให้อร่อย ไม่ต้องเติมน้ำตาล แต่ต้มด้วยไฟอ่อนเคี่ยวนานๆ จึงจะต้มความอร่อยออกมาได้ พระชายารองยังอายุน้อย ถ้าอายุเท่าแม่ข้าก็จะรู้สึกถึงความสุขที่ได้ต้มเม็ดบัวให้คนในครอบครัวได้กิน กินแล้วจึงจะรู้สึกว่าอร่อยจริงๆ”
ปกติถังเฉียนไม่จู้จี้และไม่เอาใจใส่ขนาดนี้ นางวางชามลง ค้อมคารวะเตรียมผละไป นางกลัวว่าถ้าตนเองยังอยู่ที่เดิม อาจอดไม่ได้ที่จะปกป้องน้องสาวจนเผยพิรุธออกมา
ตอนที่ 174 ทำนายอนาคต
ถังเฉียนจะจากไป แต่คนที่รั้งนางไว้ไม่ใช่ฉู่จิ่งเหยา กลับเป็นซูซินเหลียน นางซึ่งฟื้นขึ้นครั้งนี้แตกต่างจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง ในร่างนางเหมือนมีวิญญาณสองดวง คนหนึ่งนิสัยอ่อนโยนขี้ขลาด แต่อีกคนดูเหมือนจะมาจากสถานที่ที่ไกลแสนไกล เข้ากับโลกแห่งนี้ไม่ได้
“ท่านหมอ ถึงท่านจะบอกว่าข้าต้มเม็ดบัวไม่อร่อยก็ตาม แต่ข้ายังต้องขอบใจเจ้าที่วันนี้แสดงฝีมือช่วยชีวิตเราทุกคน เก่งจริงๆ”
ถังเฉียนฟังที่นางพูด แต่สายตามองที่ปลายเท้าตนเอง ไม่ใส่ใจคำพูดประจบประแจงของนาง แล้วเดินผละไป จากนั้นได้ยินฉู่จิ่งเหยาพูดว่า
“วันนี้พระชายารองรู้ได้อย่างไรว่าจะมีคนลอบสังหาร”
ซูซินเหลียนมองดูชามในมือฉู่จิ่งเหยา เห็นว่ากินเม็ดบัวต้มไปคำใหญ่ ก็มีรอยยิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก แล้วพูดว่า
“ท่านอ๋องและท่านหมอคงแปลกใจมาก ข้าไม่กลัวที่จะบอกพวกท่าน ข้าสามารถทำนายอนาคตได้”
“อนาคต”
ถังเฉียนรู้สึกว่าคำพูดนางไม่น่าจะเป็นความจริง โดยเฉพาะที่นางพูดวันนี้ดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลนัก แม้นางจะคิดเช่นนี้ แต่ตอนนั้นที่ซูซินเหลียนบอกว่านางมาจากโลกอื่น ถังเฉียนดูเหมือนจะเชื่อบ้างแต่ฉู่จิ่งเหยาพูดว่า
“นี่เป็นความสามารถที่หาได้ยากนัก รอให้ไปถึงเขาศักดิ์สิทธิ์ก่อน ข้าจะลองถามท่านอาวุโสดู”
ถังเฉียนเพียงยิ้มครู่เดียวและผละไป คืนนี้ช่างยาวนานมาก นางเดินเข้าไปในห้องฮว่าเหยียน ยังดีที่นางยังไม่ได้นอน พอเห็นสีหน้าถังเฉียนก็พูดขึ้นว่า
“เจ้าต้องระวังตัว จินซิวอ๋องไม่ใช่คนธรรมดา ระวังจะถูกเขาจับพิรุธได้”
ถังเฉียนเงยหน้าขึ้นมองฮว่าเหยียน แล้วถามหยั่งดูว่า
“ฮว่าเหยียน เจ้าเป็นชาวหนานเจียงตลอดมาหรือ”
“หือ ชาวหนานเจียง?”
ฮว่าเหยียนถอดหน้ากากออก เหลือบมองนางอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า
“พวกเราไม่ใช่ชาวหนานเจียง นั่นเป็นเรื่องที่กษัตริย์แห่งเซวียนกั๋วทำให้พวกเรากลายเป็นข้าทาส เดิมเราคือแคว้นหนานจ้าว แต่เมื่อห้าสิบปีก่อนเกิดแพ้สงคราม ดินแดนจึงตกเป็นของเซวียนกั๋ว ต่อจากนั้นเราก็ไม่มีการเรียกชื่อกษัตริย์ มีเพียงหัวหน้าผู้บวงสรวงเท่านั้น ซึ่งก็คือหัวหน้าเผ่าของเผ่าพีส่า”
ถังเฉียนตกตะลึงเมื่อได้ฟังเช่นนี้ ถ้าหากพูดเช่นนี้ เถิงเฟิงก็คือองค์ชายแห่งแคว้นหนานจ้าวอย่างนั้นหรือ
“ถ้าเช่นนั้นเราจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร”
แม้แววตาฮว่าเหยียนจะดูหม่นหมองมาก แต่พอเห็นท่าทางของถังเฉียนก็ยิ้มหยันแล้วพูดว่า
“ท่านอ๋องถามเจ้าเช่นนี้ คงตอบไม่ได้สิ กลับต้องโทษข้าเอง คิดแต่จะรับมือกับคนบนเขา จนลืมคนข้างตัว”
ถังเฉียนนิ่งเงียบ หลายวันมานี้ฮว่าเหยียนสอนเรื่องราวมากมายที่นางไม่รู้ แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่ปิดบังอีกมากมาย แต่เวลานี้ก็ถือว่านางเป็นชาวหนานจ้าวครึ่งตัวแล้ว
“เผ่าหมอผีเรา รวมทั้งเผ่าอินทรีเงินและเผ่าพีส่าเป็นชนชั้นสูงของแคว้นหนานจ้าวตลอดมา ที่ผ่านมาเผ่าหมอผีคอยต่อต้านภัยธรรมชาติให้หนานจ้าว ส่วนเผ่าอินทรีเงินคอยต่อต้านภัยจากคน ขณะที่เผ่าพีส่ารับมือกับภูตผี สามเผ่ารวมกันทำให้ทุกอย่างราบรื่น เมื่อห้าสิบปีก่อน ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่าหมอผีและผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่าอินทรีเงินถูกลอบสังหาร ส่วนเวลานั้นท่านอาวุโสแห่งเผ่าพีส่าอาศัยชัยภูมิที่อันตรายหลบภัยครั้งนี้ได้ ช่วยรักษาเชื้อไฟให้อีกสองเผ่า ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติ หนานจ้าวไร้กำลังที่จะสู้รบต่อ จึงต้องยอมจำนน”
เรื่องนี้ฮว่าเหยียนเคยเล่าให้นางฟัง เวลานี้เอ่ยขึ้นอีก เกรงว่าคงต้องการให้รู้ถึงความน่าอัปยศอดสูของแคว้นเซวียนกั๋ว เพราะนางกลัวว่าไม่ว่าจะอย่างไรถังเฉียนย่อมนึกถึงฐานะความเป็นชาวเซวียนกั๋วของตัวเอง
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เมื่อขึ้นไปบนเขาศักดิ์สิทธิ์ก็บอกเพียงว่าตัวเองเป็นคนตระกูลฮว่า อย่าได้เอ่ยถึงไม่ว่าหนานจ้าวหรือหนานเจียงเด็ดขาด หากเกิดถามขึ้นมาจริงๆ เจ้าจะพูดเช่นไรก็ล้วนผิดทั้งสิ้น หากท่านอ๋องถาม เจ้าบอกว่าเป็นชาวหนานเจียงก็ไม่ผิด เพราะอย่างไรเจ้าก็เกิดในสมัยหนานเจียง”
ตอนที่ 175 แผนสังหาร
แม้ถังเฉียนจะแปลกใจมากว่าที่ซูซินเหลียนบอกว่าทำนายอนาคตได้นั้นเป็นความสามารถอย่างไรกันแน่ แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องสอบถามให้ชัดเจน ทุกเรื่อง เหมือนที่ตัวนางเองนั้นก็มีความลับเช่นกัน
สำหรับฮว่าเหยียนนั้นถังเฉียนก็ไม่ได้ไว้ใจเต็มที่ ดังนั้นในปัญหาความน่าเชื่อถือ นางจึงยังคงมีความคิดความเห็นของตนเอง
ซูซินเหลียนอยากพูดให้ชัดเจน นางเองก็ไม่มีอะไรปิดบัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถังเฉียนดูซูซินเหลียนที่เป็นเช่นนี้ก็เกิดมีความรู้สึกหวาดกลัว นางเพิ่งสอบถามฮว่าเหยียนเรื่องเกี่ยวกับเผ่าม้งนับว่าทำให้เปิดหูเปิดตา แต่ค่ำคืนที่แสนยาวนาน นางกลับนอนพลิกไปมา รู้สึกกระสับกระส่าย แต่…
ถังเฉียนไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย ร่างกายอ่อนล้า แล้วคิดว่าฉู่จิ่งเหยายังคงคุยติดพันอยู่กับซูซินเหลียน อย่างไรก็ไม่ควรให้เขาเฝ้ายามอยู่คนเดียว ถังเฉียนจึงออกมานั่งที่หน้าประตู มองดูรอบๆ แล้วรู้สึกหนักหัวขึ้นทุกที นางพยายามจะฝืน แต่ก็ไม่อาจเอาชนะความง่วงได้
ก๊อกก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูทำให้ถังเฉียนสะดุ้งตื่น นางไม่รู้ตัวว่าเหตุใดตนเองจึงนอนกอดกระบี่อยู่ในห้องนอน พอนึกถึงหน้าที่ของตนก็ลุกพรวดขึ้นมา เมื่อเปิดประตูกลับเห็นท่าทางเหมือนจะกินคนของเจิ้งจยาเฉิง
“คุมตัวคนร้ายเอาไว้!”
ถังเฉียนได้ยินเรียกนางเช่นนี้ก็ตะลึงงัน แต่ดูท่าทางเจิ้งจยาเฉิงแล้วไม่ได้ล้อเล่นเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้น…คืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ใต้เท้าเจิ้ง บอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เจิ้งจยาเฉิงสีหน้ากร้าวหรืออาจพูดได้ว่าสีหน้าหยาบกระด้างตลอดมา
“ข้าผิดจริงๆ ที่ไว้ใจเจ้า เจ้าบังอาจเป็นพวกเดียวกับซูซินเหลียน ทำร้ายท่านอ๋อง เวลานี้ท่านยังนอนสลบอยู่ เจ้ามีอะไรจะสารภาพหรือไม่”
ถังเฉียนเข้าใจแล้ว เมื่อครู่มีคนเห็นที่พวกตนยืนคุยกัน เมื่อเกิดเรื่องกับท่านอ๋อง นางย่อมหนีไม่พ้น แต่นางเป็นห่วงอาการฉู่จิ่งเหยามากกว่า
เจิ้งจยาเฉิงไม่มีความอดทนต่อนาง เมื่อมาถึงก็จะลงมือ นางไม่ได้ขัดขืน แต่เค่ออี้เข้ามาขวางตรงหน้าถังเฉียน แล้วพูดว่า
“บังอาจ ใครกล้าลงมือกับนาง เว้นเสียแต่ว่าจวนจินซิวอ๋องต้องการประกาศสงครามกับเขาศักดิ์สิทธิ์เรา”
ถังเฉียนมองดูเค่ออี้ซึ่งยืนขวางหน้าตนไว้ แม้จะบอกว่าท่าทางหยิ่งผยองของเขาจะไม่ช่วยอะไรในการเจรจา แต่ก็ถือว่าให้โอกาสนางได้สอบถาม
“จู่ๆ ท่านอ๋องล้มป่วย เหตุใดพวกเจ้าจึงมั่นใจว่าข้าเป็นคนทำ ที่ใต้เท้าเจิ้งมีความไม่พอในตัวข้าใจข้ามานาน ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่เจ้าลองไตร่ตรองดูด้วยเหตุผล หากข้าต้องการสังหารท่านอ๋อง ตั้งแต่เขาเริ่มให้ข้ารักษา ข้ามีโอกาสมากมาย หรือถ้าไปถึงเขาศักดิ์สิทธิ์ข้าก็ยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น เหตุใดต้องลงมือที่นี่เล่า”
คราวนี้เจิ้งจยาเฉิงไม่ยอมอ่อนข้อ เขากวักมือเรียก แล้วเห็นหวังหลงคุมตัวถังเวยมา กดนางลงกับพื้น แล้วถาม
“ฮุ่ยฮุ่ย เจ้าเห็นใครเป็นคนใส่ยาพิษท่านอ๋อง”
ฮุ่ยฮุ่ยมองดูถังเฉียน เม้มปากแน่น ตัวสั่นเทิ้ม แล้วชี้นิ้วออกไป นางนึกถึงถังเฉียน แต่ถัดมาก็เห็นชุดยาวสีดำบนตัวถังเฉียน ก็ก้มหัวและหดนิ้วทันที
“นาง นางเป็นคนเลว คนเลว นาง…”
ฮุ่ยฮุ่ยพูดจาสับสน เค่ออี้เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ชูแส้ขึ้นทำท่าจะฟาดใส่
“ไปเอาคนบ้ามาจากไหน ถึงได้พูดจาเหลวไหลใส่ร้ายคุณหนูอาหรูน่า ข้าเค่ออี้ขอเอาเกียรติยศเป็นประกันว่าคุณหนูอาหรูน่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอเพียงเค่ออี้ยังมีลมหายใจอยู่ พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะแตะต้องแม้แต่เส้นผมสักเส้นเดียวของนาง”
ถังเฉียนมองดูแผ่นหลังของเค่ออี้ พลอยรู้สึกมั่นใจขึ้นมาก
“เรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด หากพวกเจ้าไม่เชื่อใจข้า ก็ให้ฮว่าเหยียนไปตรวจดูอาการป่วยของท่านอ๋อง ถ้านางยังรักษาไม่ได้ เราก็รีบเดินทางไปเขาศักดิ์สิทธิ์ทันที ข้าจะเชิญให้อาจารย์ข้ามาช่วยรักษา”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น