ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 168-174

ตอนที่ 168 ตัวตลก

 

      “ฉันแค่จะถามเธอว่า เธอรู้จักกับเจียงรุ่ยเฉินใช่ไหม”


 


 


           หันฮุ่ยซินเดาเรื่องทั้งหมดได้ในทันทีเมื่อเธอได้ยินชื่อของเจียงรุ่ยเฉิน เมื่อครู่นี้เธอยังคิดอยู่เลยว่าเธอกับเหวินมั่นมั่นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วทำไมจู่ๆ เหวินมั่นมั่นถึงมาหาเธอได้


 


 


‘สาเหตุมันอยู่ตรงนี้นี่เอง!’ หันฮุ่ยซินเข้าใจความคิดของเหวินมั่นมั่นได้อย่างรวดเร็ว “คุณเหวินคะ ฉันรู้จักกับผู้จัดการเจียงก็จริง แต่มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”


 


 


แม้ว่าหันฮุ่ยซินพอจะคาดเดาได้ แต่เธอก็ไม่อยากปล่อยให้เหวินมั่นมั่นหยิ่งยโสหรือจองหองพองขนมากจนเกินไป ผู้หญิงคนนี้ถือสิทธิ์อะไรมาเค้นคอเธอถึงที่นี่ เหวินมั่นมั่นเป็นอะไรกับเจียงรุ่ยเฉิน? เธอมีสิทธิ์อะไร?


 


 


เหวินมั่นมั่นดูออกว่าหันฮุ่ยซินมีท่าทีเหยียดหยามเธออยู่ในใจ เธอรู้สึกหงุดหงิดไปชั่วขณะ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดสายตาดูถูกของหันฮุ่ยซินได้อย่างไร


 


 


เหวินมั่นมั่นจึงได้แต่กางหนามรอบตัว “หันฮุ่ยซิน เธอนี่เหลือเกินจริงๆ จนฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี เธอจับลั่วเซ่าเชินไม่ได้ เธอก็เลยเปลี่ยนมาให้ท่ารุ่ยเฉินของฉันใช่ไหม เธอนี่มันไร้ยางอายจริงๆ!”


 


 


หันฮุ่ยซินขึ้งโกรธจนเจ็บถึงในทรวงอก เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเหวินมั่นมั่นจะไร้การอบรมมากขนาดนี้ จนถึงขั้นต่อว่าเธอว่าเธอให้ท่าเจียงรุ่ยเฉินอย่างนั้นหรือ เรื่องปลอมๆ แบบนี้ก็ช่างกล้าเอามาอ้างเสียจริง! หากเพื่อนร่วมงานของเธอได้ยินว่าเธอเป็นคนแบบนั้น พวกเขาจะคิดอย่างไรกับเธอกันเล่า?


 


 


“คุณเหวินคะ คุณอย่ามากล่าวหากันอย่างนี้ ฉันกับผู้จัดการเจียงเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ว่าแต่คุณเป็นอะไรกับผู้จัดการเจียงหรือคะ คุณถึงได้กล้ามายุ่งเรื่องของเรา” หันฮุ่ยซินคิดว่าหัวสมองของเหวินมั่นมั่นน่าจะขึ้นสนิม เธอวิ่งโร่มาพูดเรื่องไร้สาระถึงที่นี่อย่างไร้เหตุผล เธอคิดว่าจะมากล่าวหากันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?


 


 


เหวินมั่นมั่นสะดุดไปเพราะคำพูดของหันฮุ่ยซิน แล้วเธอก็คิดอยู่นาน ก่อนจะพูดออกมาว่า “ฉันจะเป็นอะไรกับรุ่ยเฉินมันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ เธออย่าเข้าใกล้รุ่ยเฉินอีกก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นฉันจะเล่นงานเธอแน่!”


 


 


“คุณเหวินคะ ฉันว่ามันน่าขำนะที่คุณพูดแบบนี้ ฉันมีสิทธิ์ที่จะเป็นเพื่อนกับเขา เอาไว้คุณเหวินได้เป็นภรรยาของผู้จัดการเจียงเมื่อไร คุณเหวินค่อยมาพูดกับฉันใหม่ก็แล้วกันนะคะ ถึงตอนนั้นฉันจะเก็บไปพิจารณาอีกที แต่ถึงคุณจะเป็นสามีภรรยากัน คุณก็ไม่สามารถแทรกแซงสิทธิ์ในความเป็นเพื่อนของฉันกับผู้จัดการเจียงได้ จริงไหมคะ”


 


 


หันฮุ่ยซินไม่สนใจพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจแบบไร้เหตุผลของเหวินมั่นมั่นแม้แต่น้อย เธอเป็นใครหรือถึงได้มายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นแบบนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจียงรุ่ยเฉินจะยอมรับเหวินมั่นมั่นหรือไม่เลย เอาแค่เรื่องที่เหวินมั่นมั่นมาหาเรื่องเธอตรงนี้ก่อน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเหวินมั่นมั่นไม่ค่อยมีสติ


 


 


เมื่อเหวินมั่นมั่นเห็นว่าหันฮุ่ยซินพูดดักคอเธอ เธอก็ได้แต่ชี้นิ้วใส่หันฮุ่ยซินอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ดี! ดีมากเลย หันฮุ่ยซิน เธอใช้ได้เลยนี่ เธอรอฉันได้เลย!” น้ำเสียงดุดันของเหวินมั่นมั่นไม่ได้ทำให้หันฮุ่ยซินตกใจสักนิด


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอข่าวดีของคุณนะคะ คุณเหวิน เดินทางปลอดภัยค่ะ ไม่ส่งล่ะ!” เหวินมั่นมั่นเดินออกไปด้วยความโกรธและปิดประตูดัง ปัง!


 


 


เมื่อเหวินมั่นมั่นเดินออกมาจากสตูดิโอสอนเต้นของหันฮุ่ยซิน เธอถึงได้ใจเย็นลง แล้วเธอก็พบว่าเมื่อครู่นี้เธอเผลอเล่นไปตามเกมของหันฮุ่ยซิน จู่ๆ เธอก็รู้สึกโกรธไปชั่วขณะ แต่ถ้าจะให้กลับเข้าไปทะเลาะกับหันฮุ่ยซินอีกในตอนนี้ มันก็คงจะไม่ดีนัก


 


 


หันฮุ่ยซินเล่าเรื่องที่เหวินมั่นมั่นมาหาเธอให้เจียงรุ่ยเฉินฟัง และสิ่งที่เจียงรุ่ยเฉินทำก็คือไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องของเธอ หันฮุ่ยซินพานคิดไปถึงว่าหากลั่วเซ่าเชินรู้เรื่องนี้คงจะรู้สึกร้อนใจแทนเธอบ้าง แต่อีกใจก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ทำไมอาเชินถึงไม่ยอมแบ่งความรักมาให้เธอบ้างเลย?


 


 


 


 


ช่วงนี้หลินเหยาต้องปวดหัวกับการถูกรบกวนจากหลิวเหยียน เธอนึกว่าหลังจากที่หลิวเหยียนหมั้นกับสวีเฉินซีไปแล้ว เขาจะไม่กลับมาวุ่นวายกับเธออีก โชคไม่ดีที่เธอประเมินความหน้าด้านของหลิวเหยียนต่ำไป ไม่รู้เหมือนกันว่าหลายปีที่ผ่านนี้เขาไปสั่งสมความคิดพวกนี้มาจากที่ไหน


 


 


และทุกครั้งที่หลิวเหยียนมาหาเธอ หลังจากนั้นสวีเฉินซีก็จะตามมาเตือนหลินเหยาว่า ‘อย่าแม้แต่จะคิดฝัน’ หลินเหยารู้สึกอึดอัดจนพูดไม่ออกทุกครั้ง แต่เธอก็ไม่ต้องการให้สวีเฉินซีมาดูถูกเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอจึงทำได้เพียงแสดงสีหน้าเย็นชา


 


 


หลินเหยาถูกรังควานอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งต้องต่อว่าไปบ้าง แล้วพวกเขาก็หายไปเลย แต่เธอก็พบว่าจริงๆ แล้วที่เคยพูดไปทั้งหมดมันไม่ได้ผลสักนิด เพราะยังคงมีทั้งข้อความ โทรศัพท์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการที่หลิวเหยียนจะสามารถหาทางจนได้ คนคนเดียวที่ทิ้งระเบิดใส่หลินเหยานี้ ทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีกต่อไป แม้จะคุยกับหลิวเหยียนจนเข้าใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เหมือนว่าเขาจะไม่รับรู้อะไรเลย


 


 


บางครั้งหลินเหยาก็ลากถังโจวโจวออกมาฟังเธอระบาย แต่ก็ไม่สามารถลากถังโจวโจวออกมาได้ทุกครั้ง


 


 


หลินเหยาได้เห็นสายตาเย็นชาของลั่วเซ่าเชินบ่อยครั้งเข้า เธอก็คิดได้ว่าหากเธอจะชวนถังโจวโจวออกมาบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะควรมากนัก มีหลายครั้งที่หลินเหยารู้สึกว่าเธอคงจะตายเพราะสายตาเย็นชาของลั่วเซ่าเชินได้เลย


 


 


หลินเหยานั่งดื่มเหล้าอยู่ในร้านเพียงลำพัง หลังจากได้รับบทเรียนในครั้งที่แล้ว หลินเหยาก็ไม่กล้ากลับไปที่บาร์อันแสนวุ่นวายนั่นอีก เธอจึงต้องหาผับที่มีชื่อเสียงและน่าไว้ใจสักหน่อยในเมือง S เพื่อนั่งปลดปล่อยอารมณ์อยู่ที่นั่น บางครั้งแค่ได้ดื่มสักแก้วสองแก้ว เธอก็สามารถผ่อนคลายความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันได้แล้ว


 


 


หลังจากที่ได้มาสักหนสองหน หลินเหยาก็รู้สึกดีเอามากๆ เธอไม่ต้องลากถังโจวโจวออกมาระบายความอึดอัดอีกแล้ว แค่ได้นั่งอยู่เงียบๆ คนเดียว สั่งเหล้ามาดื่มสักแก้วสองแก้ว แค่นี้เธอก็สามารถฆ่าเวลาได้ทั้งคืนแล้ว


 


 


แต่น่าเสียดาย อุบัติเหตุเล็กๆ มักเกิดขึ้นได้เสมอ วันนี้หลินเหยามาที่ร้านเดิมตามปกติ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้เธอมาที่นี่ตลอดและจะอยู่จนถึงตีหนึ่งในทุกๆ วัน ไม่มีใครรอเธออยู่บ้าน หลินเหยารู้สึกว่าตัวเองผ่อนคลายได้เป็นอย่างมาก


 


 


โชคไม่ดีที่วันนี้มีคนไม่ดูตาม้าตาเรือ เมื่อหลินเหยาเดินเข้ามาในร้าน คนผู้หนึ่งก็ถือแก้วเหล้าปรี่เข้ามาใกล้เธอ ถ้าในเวลาปกติ หลินเหยาคงมีกะจิตกะใจเล่นหูเล่นตากับเขาอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่วันนี้เธอถูกหลิวเหยียนทำลายอารมณ์ดีๆ มา


 


 


“คุณครับ ให้เกียรติผมเลี้ยงเหล้าคุณสักแก้วได้ไหม” แม้ว่าจะเป็นผับที่ดูปลอดภัยแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่ไม่รู้กาละเทศะหลุดเข้ามาบ้าง มันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเสียทีเดียว เพียงแต่ถ้าคนคนนั้นเป็นคนที่มีความคิดตื้นเขิน หรือไม่ก็เป็นคนที่มีนิสัยกักขฬะ ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็คงจะน่าสมเพชน่าดู


 


 


“ไสหัวไป!” หลินเหยาไล่เขาด้วยเสียงอันดัง


 


 


ชายคนนี้ก็ไม่อดทนอีกต่อไป เธอกล้าพูดไล่เขาขนาดนี้ ทำให้เขาต้องเสียหน้าอย่างมาก “เล่นตัวนักนะ! ฉันอุตส่าห์ไว้หน้าเธอ แต่เธอกลับไม่ไว้หน้าฉัน!”


 


 


หลินเหยาไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขาเลยสักนิด ถ้าเราถูกหมากัด จำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องกัดมันกลับน่ะ? สำหรับพวกที่ไร้มารยาท การเพิกเฉยคือการตอบโต้ที่สมควรที่สุด!


 


 


เมื่อเห็นว่าหลินเหยาไม่ได้พูดอะไร ชายคนนั้นก็นึกว่าเธอกลัว เขาจึงเริ่มพูดดีๆ กับเธออีกครั้ง “ในเมื่อเธอรู้ตัวเร็วแบบนี้ ฉันก็จะลองให้อภัยเธอดูสักครั้ง ขอแค่เธอดื่มเหล้ากับฉัน ฉันก็จะไม่หาเรื่องเธออีก”


 


 


ชายคนนั้นทำเหมือนเป็นคนใจกว้าง แต่สายตาของเขากลับละลาบละล้วงเธอ ใช่ว่าหลินเหยาจะไม่เห็นสายตาหยาบคายนั้นที่เอาแต่จับจ้องมาที่หน้าอกของเธอ เธอแค่ไม่พูดมันออกมาเท่านั้น อย่างไรมันก็แค่ก้อนเนื้อสองก้อน ปล่อยเขามองไปเถอะ ก้อนเนื้อของเธอมันไม่ได้เล็กลงไปกว่านี้หรอก


 


 


แต่อย่าคิดว่าเธอโง่ก็แล้วกัน แค่พูดด้วยดีๆ สองสามคำ แล้วเธอจะใจอ่อนให้เขาอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!


 


 


เมื่อเห็นว่าหลินเหยายังคงนิ่งเฉย สีหน้าของชายคนนั้นก็แปรเปลี่ยนไปมาระหว่างขาวและดำ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากด้านข้าง ชายคนนั้นก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า นานขนาดนี้แล้วก็ยังจัดการผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สักที แล้วเขาจะกลับไปอวดเพื่อนๆ ของเขาได้อย่างไรล่ะ


 


 


เดิมทีชายคนนั้นยังมีท่าทีขี้เล่นอยู่ แต่เมื่อหลินเหยาแกล้งทำให้เขาขุ่นเคือง ตอนนี้เขาจึงเริ่มเผยธาตุแท้ออกมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไร วันนี้เขาจะต้องได้หลินเหยาให้ได้ เขาจะต้องได้ลิ้มลองว่าผู้หญิงใจแข็งคนนี้มีรสชาติอย่างไร!


 


 


ความจริงแล้วสายตาลามกจากชายคนนั้นทำให้หลินเหยารู้สึกรังเกียจมาก เธอหันหลังเดินหนีไปอีกด้านหนึ่ง นั่งดื่มเหล้าเพียงลำพัง พลางฟังเพลงเพราะๆ เบาสบายที่ผับเปิดคลออยู่


 


 


เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าหลินเหยาเมินเฉยใส่เขา หรือพูดให้ถูกก็คือ ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาหา หลินเหยาก็ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักครั้ง เขาแทบจะแบกหน้าต่อไปไม่ไหว เขาจะไม่ใช้ไม้อ่อนกับหลินเหยาอีกแล้ว เขาตรงเข้าไปออกแรงคว้ามือของหลินเหยาเอาไว้ จากนั้นก็ลากเธอเข้ามาหาตัว


 


 


หลินเหยาพยายามสลัดมือนั้นสุดชีวิต แต่กลับไม่ได้ผลเลยสักนิด “แกจะทำอะไรน่ะ? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”


 


 


ชายคนนั้นกำเริบเสิบสานมากกว่าเดิม “ร้องไปสิ! แต่ต่อให้ร้องดังแค่ไหนก็ไม่มีใครมาช่วยเธอหรอก!” หลินเหยาหันมองดูผู้คนรอบตัวเธอ เธอก็พบว่าพวกผู้ชายที่นั่งอยู่ราวกับกำลังดูเรื่องสนุก ไม่มีใครออกหน้ามาช่วยเธอเลยสักคน


 


 


และเมื่อหลินเหยาเห็นว่าเขายังไม่ยอมปล่อย เธอก็ไม่อยากจะไว้ชีวิตเขาอีกต่อไป “ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้าย แกจะปล่อยหรือไม่ปล่อย” น้ำเสียงและสีหน้าของหลินเหยาดูน่ากลัวขึ้นมาหลายส่วน จู่ๆ ชายหนุ่มคนนั้นก็รู้สึกหนาว แต่เขาก็ไม่ได้คิดไปในแง่มุมอื่น เขาแค่คิดว่ามันอาจเป็นแค่จินตนาการของเขาเท่านั้น


 


 


“โธ่ เด็กดี ไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวพอไปถึงที่ ผมจะปรนนิบัติรับใช้คุณเป็นอย่างดีเลย” ในขณะที่พูด มืออีกข้างของชายคนนั้นก็ลูบสัมผัสใบหน้าของหลินเหยา


 


 


หลินเหยาหลบไม่ทัน จึงถูกเขาสัมผัสเข้าอย่างจัง เธอได้แต่สบถอยู่ในใจ หน้าด้านจริงๆ อย่ามาโทษว่าฉันหยาบคายทีหลังก็แล้วกัน!


 


 


ในขณะที่หลินเหยากำลังคิดอยู่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรดี ทันใดนั้น ชายคนนั้นก็หยุดชะงักไป หลินเหยาเห็นท่าทางของคนตรงหน้าเป็นอย่างนั้นก็พลอยหยุดคิดไปด้วย แล้วเธอก็มองเห็นฟังหยวนมายืนอยู่ใกล้ๆ หลินเหยาค่อยๆ เบาใจลง เพราะได้เห็นคนที่คุ้นเคย


 


 


“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้!” ฟังหยวนพูดอย่างดุดัน


 


 


ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตกใจกลัว “แกเป็นใคร เรื่องของคนอื่นอย่ามายุ่ง!”


 


 


เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นไม่ทำตามที่เขาบอก จู่ๆ ฟังหยวนก็เผยรอยยิ้มงดงามออกมา และก่อนที่ชายคนนั้นจะได้ทำความเข้าใจว่ารอยยิ้มของเขาหมายถึงอะไร ฟังหยวนก็ออกหมัดใส่เขาทันที ชายคนนั้นเซไปด้านหลัง มือที่จับหลินเหยาอยู่ก็คลายออก


 


 


หลินเหยาฉวยโอกาสนี้หลบไปยืนอยู่ด้านหลังของฟังหยวน ฟังหยวนยืนขวางหน้าเธอไว้ “ต่อหน้าฉัน แกยังกล้าฉุดคนอีกเหรอ ใครให้ความกล้านี้กับแกมาไม่ทราบ”


 


 


เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าสายตาของฟังหยวนดูเย็นชามากยิ่งขึ้น เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไปกระตุกหนวดเสือเข้าแล้ว เขาจึงถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “แกเป็นใครกันแน่”


 


 


“ผู้หญิงคนนี้เป็นคนของฉัน…ฟังหยวน! ทีหน้าทีหลังก็ดูให้ดีๆ ถ้าครั้งหน้าแกยังกล้าแตะคุณหลินแม้แต่ปลายเล็บอีก แกได้ลิ้มลองวิธีจัดการของฉันแน่!”


 


 


ชายหนุ่มรีบเอ่ยขอความเมตตาในทันที “คุณชายฟัง ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนในปกครองของคุณ ครั้งหน้าผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ คุณปล่อยผมไปเถอะนะ! ครั้งหน้าผมจะหลีกเลี่ยงเธอไปให้ไกลอย่างแน่นอน ผมไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้แล้วครับ!”


 


 


หลินเหยารู้สึกขำเมื่อเห็นท่าทางของชายคนนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธออดหัวเราะอย่างเหยียดหยามออกมาไม่ได้


 


 


“คุณหัวเราะอะไรเหรอ หรือว่าคุณยังไม่อยากให้ปล่อยเขาไปง่ายๆ?” เมื่อเห็นหลินเหยาหัวเราะ ฟังหยวนก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


 


ชายคนนั้นมองดูหลินเหยาอย่างหวาดกลัว เขากลัวว่าเธอจะเล่นงานเขาอย่างหนัก เขาจึงเริ่มเอ่ยขอความเมตตาจากหลินเหยา “คุณครับ ปล่อยผมไปเถอะนะ ครั้งหน้าผมจะไม่ทำแบบนี้อีก!”


 


 


เขาขอร้องจนขาดแค่ก้มศีรษะให้กับฟังหยวนและหลินเหยาเท่านั้น หลินเหยาส่ายหน้าให้ฟังหยวน “เปล่าค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าท่าทางของเขาดูตลกดี”


 


 


ชายคนนั้นถอนใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเหยา เธอไม่มาคิดบัญชีเขาทีหลังก็พอ เธออยากจะตลกอะไรก็เชิญเถอะ ขอแค่คุณชายฟังไม่เล่นงานเขาก็ดีเท่าไรแล้ว


 


 


“เอาละ ในเมื่อคุณหลินไม่ได้ถามหาความรับผิดชอบอะไร แกก็รีบไสหัวออกไปได้แล้ว และถ้าวันหลังแกเจอเธออีก ก็เลี่ยงเธอซะ!” ฟังหยวนร่ายยาว และในที่สุดชายคนนั้นก็โล่งใจ


 


 


ก่อนจะพยักหน้าแล้วค้อมตัวพูดว่า “ครับ คุณชายฟัง ผมจะทำตามอย่างเคร่งครัด จะไม่ทำให้คุณผู้หญิงคนนี้รำคาญใจอีกต่อไป คุณชายฟังครับ ถ้าหมดธุระแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”


 


 


เมื่อเห็นฟังหยวนพยักหน้า ชายคนนั้นก็รีบหนีไปทันที 

 

 


ตอนที่ 169 หยอกล้อ

 

  หลินเหยาตบไหล่ของฟังหยวนเบาๆ เธอดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “ไม่เลวนี่! คุณชายฟัง นึกไม่ถึงเลยว่าคุณเองก็พอจะมีฝีมืออยู่เหมือนกัน” 


 


 


ฟังหยวนพูดเย้า “แต่ก็ไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดคนแบบนั้นขนาดคุณหลินหรอกครับ” 


 


 


           ใบหน้ารูปไข่ของหลินเหยาที่ฉีกยิ้มอยู่เมื่อครู่นี้ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีเทา ฟังหยวนนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จำเป็นต้องปักมีดลงกลางใจเธอด้วยหรือ! 


 


 


“เชอะ เป็นเพราะเขาไม่ดูตาม้าตาเรือเองต่างหาก ถึงได้เจอกับฉันที่อารมณ์เสียในวันนี้ หากคุณไม่เข้ามา ฉันก็มีวิธีจัดการกับเขา แต่มันดันเกิดเรื่องน้ำเน่านั้นขึ้นซะก่อน” หลินเหยารู้สึกเสียดายเมื่อนึกถึงมัน 


 


 


เมื่อครู่นี้เธอกำลังจะสั่งสอนผู้ชายคนนั้นอยู่แล้วเชียว ใครจะรู้ล่ะว่าความห้าวของเขาในตอนแรกจะอันตรธานหายไปทันทีเมื่อได้รู้ตัวตนของฟังหยวน น่าเบื่อเหลือเกิน! 


 


 


“โอ้! ดูเหมือนว่าคุณจะมีแผนการอยู่แล้วนะเนี่ย รู้อย่างนี้ผมควรจะยืนดูอยู่เฉยๆ มากกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องแหย่เท้าเข้ามาเลย” ฟังหยวนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ราวกับว่าเขาได้ทำพลาดครั้งใหญ่ไปเมื่อครู่นี้ 


 


 


“แต่ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณคุณด้วยนะคะ ที่เมื่อครู่นี้ยื่นมือเข้ามาช่วย! ดื่มด้วยกันสักแก้วไหม” เมื่อหลินเหยาเห็นว่าเจ้าคางคกหนุ่มที่จ้องจะกินเนื้อห่านฟ้าคนนั้นจากไปแล้ว เธอก็เกิดความคิดที่ว่าเธอจะไม่กลับบ้านหากเธอไม่เมา 


 


 


ฟังหยวนยิ้มพลางพูด “เอาสิ!” 


 


 


หลินเหยาเดินไปนั่งที่หน้าบาร์ จากนั้นเธอก็บอกให้บาร์เทนเดอร์รินเหล้าให้กับฟังหยวนเพิ่มอีกแก้วหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าหลินเหยากระดกดื่มในอึกเดียว และดื่มอย่างบ้าคลั่ง เขาก็กระตุกต่อมเธอว่า “นี่เจ็บมาจากความรักหรือไงครับ” 


 


 


“เอ่อ… คุณรู้ได้ยังไงคะเนี่ย” หลินเหยาส่งแก้วให้กับบาร์เทนเดอร์ ก่อนจะมองไปที่ฟังหยวนด้วยความประหลาดใจ สีหน้าของเธอชัดเจนมากขนาดนั้นเลยหรือ? 


 


 


“คุณไม่ต้องสนใจหรอก ผมก็แค่เดาไปเรื่อยน่ะ ดูจากท่าทางของคุณแล้ว ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้ โจวโจวกับคุณก็ยังดูรักกันดี ผมคิดหาสาเหตุอื่นไม่ได้จริงๆ นอกจากเรื่องความรัก” ฟังหยวนจิบวิสกี้อึกหนึ่ง ก่อนจะเขย่าแก้วเบาๆ แล้วมองดูแอลกอฮอล์ที่หมุนควงอยู่ในแก้ว 


 


 


หลินเหยาพยักหน้า “ค่ะ คุณทายถูกแล้ว แฟนเก่าของฉันเขากลับมา” หลินเหยาได้รู้จักกับฟังหยวนก็เพราะถังโจวโจว จากคำบอกเล่าของถังโจวโจว ฟังหยวนเป็นคนที่เจ้าชู้และขี้เล่น แต่เมื่อได้เห็นเขาในวันนี้แล้ว ทำให้ความคิดของหลินเหยาที่มีต่อเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป 


 


 


ตอนนี้เขาดูเป็นคนที่เอาใจใส่ผู้อื่นดี ถึงขั้นสามารถสังเกตเธอได้อย่างละเอียดแบบนี้ เธอเดาว่าเขาน่าจะมีประสบการณ์กับตัว 


 


 


จู่ๆ วันนี้หลินเหยาก็เกิดอยากจะหาคนมาระบายเรื่องที่เธออัดอั้นตันใจมานาน แล้ววันนี้เธอก็เจอกับฟังหยวนเข้าพอดี หลินเหยาจึงมองเขาเป็นถังขยะและคายสิ่งที่เธอกังวลใจออกมาทั้งหมด 


 


 


“ฉันจะเล่าให้คุณฟัง แฟนเก่าของฉันเขาชื่อหลิวเหยียน เขาเคยเป็นความทรงจำอันแสนสวยงามของฉันมาโดยตลอด จนกระทั่งวันนั้น…” 


 


 


ฟังหยวนนั่งฟังเรื่องขมขื่นของหลินเหยาอยู่เงียบๆ คอยชนแก้วกับหลินเหยาเป็นระยะ จากนั้นหลินเหยาก็เล่าเรื่องของเธอต่อไป จนกระทั่งผับใกล้จะปิด ในที่สุดหลินเหยาก็เมาและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก 


 


 


ฟังหยวนนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะนานขนาดนี้ เขาเริ่มรู้สึกปวดหัว เมื่อเห็นสภาพที่เละเป็นโจ๊กของหลินเหยา เขาก็ผลักเธอเบาๆ “หลินเหยา หลินเหยา…” 


 


 


หลินเหยาไม่สนใจ เธอนอนฟุบอยู่บนบาร์ บางครั้งเธอก็ขยับปากเล็กๆ ก่อนจะขยับแขนเล็กน้อย จากนั้นเธอก็นอนต่อ ทำเอาฟังหยวนได้แต่ยืนมองอย่างสิ้นหวัง 


 


 


ผู้คนที่อยู่ในร้านกลับกันเกือบจะหมดแล้ว พนักงานของร้านเดินเข้าไปหาฟังหยวนและหลินเหยา “คุณผู้ชายครับ ร้านของเราใกล้จะปิดแล้ว แล้วสำหรับคุณผู้หญิงจะทำอย่างไรดีครับ” เมื่อพนักงานของร้านเห็นว่าหลินเหยาเมาหลับไปแล้ว เขาก็รู้สึกลำบากใจ 


 


 


“ไม่เป็นไร ผมจะพาเธอไปเอง รบกวนคุณช่วยออกไปเรียกรถแท็กซี่ให้ผมหน่อยนะ” ฟังหยวนส่งทิปให้กับพนักงานจำนวนหนึ่ง ก่อนที่พนักงานจะรีบออกไปเรียกรถแท็กซี่ให้อย่างกระตือรือร้น 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานคนนั้นก็กลับมา “เรียกรถมาแล้วครับ คุณผู้ชาย จะให้ผมช่วยประคองคุณผู้หญิงท่านนี้ไปที่รถไหมครับ” 


 


 


“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณไปทำงานของคุณเถอะ” พนักงานคนนั้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อได้ยินฟังหยวนบอกให้เขากลับไปทำงานต่อ เขานึกว่าเขาจะได้ทิปอีกสักครั้ง ลูกค้าท่านนี้ใจดีจริงๆ ทิปให้เขาเยอะกว่าเงินค่าจ้างของเขาในคืนนี้อีก 


 


 


ฟังหยวนอุ้มหลินเหยาออกมาจากผับ เขาเห็นรถแท็กซี่คันสีน้ำเงินจอดอยู่หน้าร้าน และเมื่อเขาวางหลินเหยาไว้บนเบาะหลัง เขาก็ตามขึ้นไป “คนขับ ออกรถเลย!” 


 


 


หลินเหยาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ฟังหยวนตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้เขาควรจะพาเธอไปที่ไหน? เขาเขย่าร่างเธอเบาๆ ก่อนจะกระซิบถามว่า “หลินเหยา หลินเหยา ตื่นก่อนคุณ รีบบอกที่อยู่ของคุณมาเร็ว…” 


 


 


หลินเหยารู้สึกได้ว่าตรงข้างหูมีเสียงอะไรบางอย่างมารบกวนการนอนของเธอ เธอจึงยื่นมือไปตบต้นเหตุของเสียงนั้นดัง เพี้ยะ! เมื่อบรรยากาศโดยรอบสงบลง เธอก็นอนต่ออย่างสบายใจ 


 


 


หลังจากที่ได้รับฝ่ามือแห่งความโกรธของหลินเหยา ฟังหยวนก็ชะงักนิ่งไปนาน เขากุมหน้าและมองดูหลินเหยาด้วยความตกใจ ในขณะที่เขาอยากจะบันดาลโทสะ เขาก็เห็นว่าเธอยังหลับสนิท ไฟโกรธของเขาจึงค่อยๆ จางหายไป นี่มันเกิดอะไรขึ้น! 


 


 


ฟังหยวนทำได้แค่เพียงพูดกับคนขับรถที่กำลังยิ้มขำอยู่ด้านหน้าว่า “คนขับ ไปที่เขตวั่นฝู” 


 


 


“ครับผม!” 


 


 


คนขับรถจอดรถที่หน้าอาคารหลังหนึ่งในเขตวั่นฝู เมื่อฟังหยวนพาหลินเหยาลงมาจากรถแล้ว เขาก็จ่ายเงินค่าแท็กซี่ ก่อนจะเดินเข้าไปในอาคาร 


 


 


เมื่อออกมาจากลิฟต์ ฟังหยวนก็ให้หลินเหยายืนพิงอยู่กับกำแพง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไถลตัวจนล้มลงไป ฟังหยวนจึงต้องประคองช่วงเอวของเธอเอาไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็คลำหากุญแจเพื่อเปิดประตู 


 


 


เมื่อหลินเหยาถูกอุ้มเข้ามาในห้องรับรองแขกเรียบร้อยแล้ว เขาก็รู้สึกโล่งอก จากนั้นเขาก็ตรงเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ก่อนจะกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง 


 


 


หลินเหยาหลับยาวไปจนถึงกลางดึก เธอก็เริ่มรู้สึกคอแห้ง เธอจึงพูดเบาๆ ว่า “น้ำ… ขอน้ำ…” 


 


 


แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบรับเธอ เธอจึงต้องเปิดตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ และคลำหาทางออกไปจากห้อง ด้านนอกมีแสงอยู่เพียงเล้กน้อย และเมื่อหลินเหยาเจอกาน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ เธอก็รินออกมาแก้วหนึ่ง หลังจากดื่มจนหมดแก้วแล้วเธอก็กลับเข้าไปนอนต่อในห้อง 


 


 


เมื่อฟ้าสว่าง ฟังหยวนก็ตื่นขึ้นมาเพราะแสงด้านนอกแยงตา เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาป้องตรงเปลือกตา เขาหันมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาก็ไม่อยากจะนอนอีกต่อไป ดังนั้น เขาจึงลุกออกจากเตียง 


 


 


หลังจากชำระร่างกายเสร็จ ฟังหยวนก็พบว่าประตูห้องรับรองแขกยังคงปิดสนิทอยู่ แต่เขาก็เห็นว่าแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะนั้นไม่ได้อยู่ที่เดิม เขาจึงเดาว่าหลินเหยาน่าจะตื่นขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ฟังหยวนไม่ได้คิดอะไรมาก ก่อนจะตรงเข้าไปในห้องครัว 


 


 


เมื่อหลินเหยาตื่นขึ้นมาเต็มตา เธอก็รู้สึกได้ว่าศีรษะของเธอหนักอึ้ง ความทรงจำของเธอยังคงหยุดอยู่แค่ตอนที่เธอดื่มเหล้ากับฟังหยวนเมื่อคืนนี้ เธอนึกไม่ออกเลยว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน 


 


 


หลินเหยามองไปรอบๆ เพื่อสำรวจการตกแต่งในห้อง แล้วเธอก็พบว่ามันไม่ใช่ห้องนอนของเธอเอง มันดูสะอาดจนน่าตกใจ นอกจากเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องมีแล้ว ภายในห้องนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย 


 


 


เธอเปิดประตูเดินออกมาจากห้อง ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังอยู่ไกลๆ น่าจะเป็นใครสักคนแหละ หลินเหยาเดินไปตามทางจนพบห้องครัว แล้วเธอก็เห็นฟังหยวนซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนสีเหลืองกำลังยืนอยู่ในครัว มือของเขาขยับเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ดูเหมือนว่าเขากำลังทำอาหาร 


 


 


“คุณทำอะไรอยู่น่ะ” หลินเหยายืนพิงกรอบประตูพลางมองดูทักษะการทำอาหารของฟังหยวน เธอเดาว่าเขาน่าจะทำอาหารเป็นประจำ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าคุณชายอย่างเขาจะทำอาหารเป็นด้วย 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นว่าหลินเหยาตื่นแล้ว เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ “ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยเถอะ อุปกรณ์อาบน้ำของคุณอยู่ในห้องน้ำนะ อีกเดี๋ยวข้าวเช้าก็เสร็จแล้ว” 


 


 


หลินเหยาพยักหน้า เธอเดินไปเดินมาจนเจอห้องน้ำ เธอยืนอยู่หน้ากระจกครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าบนอ่างล้างมือนั้นมีแปรงสีฟันและผ้าขนหนูผืนใหม่วางอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าฟังหยวนจะเตรียมไว้ให้หมดแล้ว เขาคงไม่ออกไปซื้อของพวกนี้มาแต่เช้าหรอกใช่ไหม?! 


 


 


ในขณะที่หลินเหยากำลังแปรงฟัน เธอก็คิดไปด้วย และเมื่อหลินเหยาออกมาจากห้องน้ำ เธอก็เห็นว่าฟังหยวนยกอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ออกมาตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว 


 


 


สามารถเรียกว่า ‘อย่างง่ายๆ’ ได้ เพราะว่าบนโต๊ะมีแค่โจ๊กสองชาม จานที่ใส่ไข่ดาวอีกหนึ่งใบ กับผักดองเสฉวนถ้วยเล็กๆ 


 


 


“คุณมองอะไร หรือว่าอาหารเช้าแบบนี้มันง่ายมากเกินไป” ฟังหยวนถอดผ้ากันเปื้อนออก ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะอาหาร 


 


 


หลินเหยารีบส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ ดีมากเลยต่างหาก ฉันชอบมาก” เมื่อคืนเธอดื่มไปเยอะ จึงไม่ควรกินอาหารที่มันๆ ได้โจ๊กสักชามก็ดีเกินพอแล้ว 


 


 


หลินเหยาหมดเรื่องจะคุยกับฟังหยวนไปชั่วขณะ เธอกินโจ๊กที่อยู่ในชามอย่างเงียบๆ 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นหลินเหยาเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินโดยไม่พูดอะไร เขาก็หลุดยิ้มออกมาชั่วขณะ หลินเหยาเงยหน้ามาเห็นพอดีว่าเขากำลังยิ้มอย่างมีความสุข เธอก็ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดไป จนทำให้เขาหัวเราะออกมา 


 


 


“คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันสกปรกตรงไหนเหรอ” หลินเหยาเมาค้างจากเมื่อคืน เธอยังไม่ได้สติกลับคืนมา อีกทั้งตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดหัวอยู่เล็กน้อย แต่อาการปวดแบบนี้ก็เป็นอาการปวดที่เธอยังพอทนได้ 


 


 


ฟังหยวนโบกมือ “ไม่มีอะไร ทานโจ๊กเถอะ! อุบ… คุณไม่ต้องเครียดไปหรอก ผมไม่กินคน” 


 


 


หลินเหยาเห็นว่ามุมปากของเขายกขึ้นสูงอีกครั้ง กลัวคนไม่รู้หรือว่าเขาอยากจะหัวเราะ “ถ้าคุณอยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ห้ามคุณสักหน่อย แต่คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่ามันตลกตรงไหน” จากนั้นเขาก็ขำออกมาอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ทำเอาเธอปวดหัว 


 


 


ได้ยินหลินเหยาพูดแบบนี้ ในที่สุดฟังหยวนก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “คือว่า…ผมแค่รู้สึกว่าท่าทางของคุณตอนทานโจ๊ก มันค่อนข้างจะ…น่ารัก ใช่! น่ารัก” ดูเหมือนว่าฟังหยวนจะหาคำที่เหมาะสมในการอธิบายเจอแล้ว เขาพูดพลางพยักหน้าหงึกหงัก 


 


 


“คุณจะหัวเราะก็หัวเราะไปเถอะค่ะ ขอแค่อย่าสำลักก็พอ” หลินเหยาหน้ามุ่ย เธอหมดคำจะพูด 


 


 


ศีรษะของหลินเหยามีเส้นผมสีดำปกคลุมไว้ เขาบอกว่าเธอ ‘น่ารัก’ ตรงไหนของเธอหรือที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอน่ารักน่ะ แต่ตอนนี้ฟังหยวนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข เธอกลัวว่าถ้าเธอพูดอะไรออกไปแล้วมันไม่ถูกต้อง มันจะยิ่งทำให้ฟังหยวนหัวเราะมากขึ้นไปอีก 


 


 


แต่ใครจะรู้ล่ะว่าทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงไอของฟังหยวนดังขึ้นมา “แค่กๆๆ คุณนี่เดาเก่งจริงๆ” 


 


 


เมื่อเห็นฟังหยวนไอไม่หยุด หลินเหยาก็ไม่สามารถบังคับสีหน้าของเธอให้เคร่งขรึมต่อไปได้ แม้ว่าเธอจะไม่ได้หัวเราะดังเท่ากับฟังหยวน แต่ด้วยรอยยิ้มที่กลั้นไว้ตรงมุมปากของเธอทำให้ไม่สามารถหลอกสายตาคนอื่นได้ 


 


 


ฟังหยวนเห็นว่าหลินเหยาเริ่มอยากจะหัวเราะบ้างแล้ว เขาก็ได้แต่พูดอย่างจนใจว่า “โอเค ตอนนี้ผมหายแล้ว ผมจะไม่หัวเราะคุณ คุณก็อย่าหัวเราะผม” 


 


 


หลินเหยาพูดอย่างไม่ยอม “ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องเอาคืนในสิ่งที่คุณทำกับฉันด้วย ฉันถึงจะสบายใจ” 


 


 


ทั้งสองคนทำตัวราวกับเป็นเด็กสามขวบที่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศอันน่าอึดอัดก่อนหน้านี้ได้จางหายไปกับการหยอกล้อเมื่อครู่นี้แล้ว 


 


 


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ หลินเหยาก็ลุกขึ้นบอกลา ที่จริงแล้วเธอรับกลิ่นบนเสื้อผ้าของตัวเองไม่ไหว เธออยากจะรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ อย่างไรวันนี้เธอก็ยังต้องไปทำงานที่สำนักพิมพ์  

 

 


ตอนที่ 170 แฟนใหม่ของหลินเหยา

 

      ในตอนบ่าย จู่ๆ ลั่วเซ่าเชินก็โทรศัพท์มาหาถังโจวโจว เขาบอกให้เธอไปร่วมงานเลี้ยงเป็นเพื่อนเขาในตอนเย็น ถังโจวโจวรับปาก หลังจากนั้นลั่วเซ่าเชินก็ส่งหวังหวามารับถังโจวโจว และเมื่อเธอเสริมสวยและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็มาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงในเวลาประมาณหกนาฬิกาห้าสิบนาที 


 


 


           ถังโจวโจวสวมชุดราตรีสีขาวและสวมรัดเกล้าอันเล็กๆ ไว้บนศีรษะ เธอดูดีมีสง่าราศี ในขณะ เดียวกันลั่วเซ่าเชินก็อยู่ในชุดสูทสีดำขลับ และเมื่อเขาเดินคู่กับถังโจวโจวแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแต่งตัวมาให้เข้ากัน ดูเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


           หลังจากได้เป็นคู่ควงออกงานกันมาหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับบรรยากาศของงานเลี้ยง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าเหมือนกับครั้งแรก เธอรู้แล้วว่าเธอแค่ต้องหาที่หลบซ่อนและกินของโปรดของตัวเอง แล้วเวลาในงานเลี้ยงก็จะผ่านไปอย่างง่ายดาย 


 


 


           บนท่อนแขนของลั่วเซ่าเชินมีแขนของถังโจวโจวควงอยู่ พวกเขาเดินเข้าไปทักทายกับเจ้าของงานเลี้ยงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นถังโจวโจวก็กระซิบอะไรบางอย่างกับลั่วเซ่าเชิน ก่อนจะปลีกตัวเดินไปที่ซุ้มอาหาร 


 


 


“โจวโจว มาแล้วเหรอ!” เมื่อได้ยินใครบางคนเรียกเธอจากด้านหลัง ถังโจวโจวก็หันหลังกลับไปมอง แล้วเธอก็พบว่าเป็นหลินเหยา เธอจึงทักทายอย่างมีความสุขว่า “เหยาเหยา เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” 


 


 


“วันนี้ฉันมาเป็นคู่ควงของฟังหยวนน่ะ มาออกงานเป็นเพื่อนเขา งานเลี้ยงนี่น่าเบื่อชะมัด!” หลินเหยาจับมือของถังโจวโจวด้วยความดีใจ วันนี้เธอสวมชุดเดรสสีดำคอวี ชายกระโปรงยาวลากพื้นมางาน ลำคอประดับด้วยสร้อยคริสตัล นอกนั้นบนร่างกายของเธอก็ไม่มีเครื่องประดับใดๆ อีก 


 


 


“เหยาเหยา ทำไมเธอถึงมากับฟังหยวนได้” ถังโจวโจวเอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


เมื่อได้เห็นแววตาวูบไหวของหลินเหยา ถังโจวโจวก็รู้สึกแปลกๆ และเริ่มให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น พอดีกันกับที่เธอยังไม่มีที่ให้ฆ่าเวลา เหยาเหยาก็เข้ามาหาเธอพอดี 


 


 


ถังโจวโจวลากเธอไปที่มุมหนึ่ง ในมือของพวกเธอสองคนมีจานอยู่คนละใบ ซึ่งในจานต่างก็มีอาหารที่พวกเธอชอบกิน “บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เธอไปสนิทกับเขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร นี่ความรักของเธอเบ่งบานในตอนนี้ที่ฉันไม่รู้เหรอ เหยาเหยา?” 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ เธอก็ตบไหล่เรียกสติเพื่อนเบาๆ “โจวโจว พูดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ? มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดสักหน่อย! เราเป็นแค่เพื่อนกัน เธอแค่เชื่อฉันก็พอ” 


 


 


จากนั้นหลินเหยาก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในผับให้ถังโจวโจวฟัง ถังโจวโจวพูดอย่างไม่พอใจว่า “เหยาเหยา บทเรียนที่เราเจอด้วยกันเมื่อคราวก่อนนั้นยังไม่พออีกเหรอ นี่เธอไปร้านเหล้ามาอีกแล้ว?” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกเศร้าไปชั่วขณะ หลินเหยายอมไปดื่มเหล้าที่ผับเพียงคนเดียว แทนที่จะมาระบายกับเธอ เธอนี่ไม่สมกับคำว่าเพื่อนสนิทเลยจริงๆ 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าสีหน้าของถังโจวโจวสลดลง เธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจ เธอจึงพูดปลอบใจว่า “ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนี่นา! อุตส่าห์เลือกไปผับดีๆ แล้วแท้ๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น โจวโจว แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะ ต่อให้ฟังหยวนจะไม่ได้เข้ามาช่วย ฉันก็จัดการผู้ชายคนนั้นได้อยู่แล้ว” หลินเหยาตบอกและพูดอย่างมั่นใจ 


 


 


ถังโจวโจวยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เธอพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เหยาเหยา นี่เธอยอมไปดื่มคนเดียว แทนที่จะชวนฉันไปเป็นเพื่อน…” 


 


 


“ถังโจวโจว ถ้าเธอยังเป็นแบบนี้อยู่อีก ฉันจะไม่สนใจเธอแล้วนะ!” หลินเหยาอุตส่าห์พูดกับเธอดีๆ แต่เธอดันมาน้อยอกน้อยใจอย่างนี้ หลินเหยาอยากจะตีสมองหมูของถังโจวโจวเพื่อเตือนสติเสียเหลือเกิน เธอมองถังโจวโจวในแง่นั้นเสียเมื่อไร ไร้สาระจริงๆ! 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าตัวเองทำให้หลินเหยาโกรธ เธอก็รีบตัดบทในทันที “เอาละๆ เหยาเหยา เลิกพูดถึงผู้ชายคนนั้นเถอะ รีบบอกฉันมาดีกว่าว่าทำไมเธอถึงมาเป็นคู่ควงของฟังหยวนได้ เหยาเหยา ฉันขอเตือนเธอไว้อย่างนะ เธอเป็นเพื่อนกับฟังหยวนได้ แต่ถ้าจะเป็นคนรัก ต่อไปเธอจะต้องลำบากแน่ๆ!” 


 


 


“คนรักอะไรล่ะ ถังโจวโจว นี่เธอคิดอะไรอยู่ ฉันกับเขา ดีที่สุดก็เป็นได้แค่… ‘เพื่อนดื่ม’ เท่านั้นแหละ” หลินเหยาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟังหยวนในตอนนี้ได้ 


 


 


“เพื่อนดื่ม? เพื่อนดื่มเหล้าน่ะเหรอ” ถังโจวโจวเคลือบแคลงใจ 


 


 


“ใช่ เพื่อนดื่มเหล้า” หลินเหยาพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบนั้น 


 


 


ถังโจวโจวแอบหน้าม่อยคอตก เมื่อเห็นว่าไม่มีประเด็นอะไรน่าสนใจกว่านี้หลุดออกมาจากปากของหลินเหยาเลย ไม่เห็นสนุกเลยสักนิด อีกใจหนึ่งเธอก็อยากให้หลินเหยาได้พบกับฤดูใบไม้ผลิของตัวเองเสียที เธอจะได้พบเจออะไรใหม่ๆ จากความรักในครั้งนี้ ไม่ต้องยึดติดอยู่กับผู้ชายสารเลวอย่างหลิวเหยียนอีก 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้สึกว่าฟังหยวนไม่ค่อยเหมาะสมกับหลินเหยา คนที่มีลูกเล่นแพรวพราวแบบฟังหยวน เธอกลัวว่าหลินเหยาจะคุมเขาไม่อยู่ และกลัวว่าเขาจะทำให้หลินเหยาเสียใจเปล่าๆ ด้วย 


 


 


แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว อย่างน้อยฟังหยวนก็ยังดีกว่าหลิวเหยียน และด้วยคุณสมบัติของฟังหยวนก็สามารถทำให้หลิวเหยียนอึ้งจนพูดไม่ออกได้ ให้หลิวเหยียนได้รู้ว่าหลินเหยาสามารถหาผู้ชายที่ดี เพียบพร้อม และรักเธอมากๆ ได้ ปรากฏว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลยสักนิด ทำเอาถังโจวโจวเดามั่วซั่วไปหมด 


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวดูเหมือนจะเสียดายแทนเธอ หลินเหยาก็เคาะศีรษะเธอเบาๆ “เธออย่าเพิ่งคิดไปถึงไหนเลย แม้ว่าฉันอยากจะแสดงให้หลิวเหยียนเห็นว่าฉันเข้มแข็ง แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละความสุขของฉันหรอกนะ” 


 


 


“เหยาเหยา แค่จะคบหากับฟังหยวน เธอถึงกับต้องเสียสละความสุขเลยเหรอ” มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นไหม? ถังโจวโจวพร่ำบ่นในใจ ถ้าฟังหยวนรู้ว่าหลินเหยาคิดกับเขาแบบนี้ เขาจะโกรธจนอาเจียนเป็นเลือดไหมนะ? 


 


 


ในขณะที่หัวสมองของถังโจวโจวกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยู่ๆ เธอก็ตื่นเต้นจนขนลุกชัน แล้วเธอก็เร่งถามออกมาว่า “เหยาเหยา เธอรู้หรือเปล่าว่าฟังหยวนอยู่ที่ไหน เราไปหาเขากันเถอะ!” 


 


 


“ไปหาเขาทำไม” หลินเหยาหรี่ตามองถังโจวโจว เธอกำลังเพลิดเพลินอยู่กับของอร่อย เธอกินเค้กแบล็กฟอเรสต์หมดไปชิ้นหนึ่งแล้ว 


 


 


สายตาของถังโจวโจวตวัดไปทางด้านหลังของหลินเหยา “เหยาเหยา ไอ้ผู้ชายสารเลวคนนั้นเข้ามาในงานแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะพาผู้หญิงคนนั้นมาด้วย เราไปหาฟังหยวนกันเถอะ ให้เขาสยบไอ้ผู้ชายสารเลวนั่น” 


 


 


เมื่อหลินเหยาหันกลับไปมอง เธอก็พบว่าหลิวเหยียนยืนอยู่ไม่ไกลจริงๆ ด้วย สวีเฉินซีคนสวยก็ยืนอยู่ข้างๆ เขา ท่าทางของพวกเขาดูหวานชื่นกันมาก 


 


 


แต่ถ้าเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อยก็จะดูออกว่าหลิวเหยียนมักจะขมวดคิ้วให้กับอากัปกิริยาของสวีเฉินซีเป็นครั้งคราว ซึ่งทำให้รู้ว่าเขาดูไม่ค่อยมีความสุข ส่วนหลินเหยาก็เดาว่า แม้ว่าสวีเฉินซีจะรู้อย่างนั้น แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ 


 


 


เมื่อหลิวเหยียนเห็นหลินเหยา และสวีเฉินซีเองก็เห็นหลินเหยาเหมือนกัน เธอก็ส่งยิ้มให้หลินเหยาด้วย ซึ่งหลินเหยาก็ร่วมผสมโรงด้วย เธอส่งยิ้มกลับไปให้เหมือนกัน แต่เมื่อหันหน้าไปทางอื่น รอยยิ้มนั้นก็จางหายไปทันที 


 


 


หลิวเหยียนเห็นว่าหลินเหยายืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง มองทางด้านหลังนั้นแล้วค่อนข้างคุ้นตา และเมื่อเขาคิดไปคิดมา เขาก็นึกออกว่าเธอคือถังโจวโจว เพื่อนสนิทของหลินเหยาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย 


 


 


สวีเฉินซีเห็นว่าตั้งแต่หลิวเหยียนเห็นหลินเหยา เขาก็เอาแต่มองไปที่เธอ สวีเฉินซีจึงอารมณ์เสียเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม อยู่ในที่สาธารณะแบบนี้หลิวเหยียนควรเกรงใจเธอบ้าง เธอจึงเป็นฝ่ายแนะนำว่า “อาเหยียน เราไปหาเพื่อนเก่าที่อยู่ทางนั้นกันดีไหมคะ” 


 


 


หลิวเหยียนนึกไม่ถึงเลยว่าสวีเฉินซีจะเป็นคนเอ่ยชวนเอง เขาหุบยิ้มไม่ลงไปชั่วขณะ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ เฉินซี!” 


 


 


สวีเฉินซีก้มหน้าต่ำและลอบยิ้มเล็กน้อย ส่วนหลิวเหยียนก็ไม่ทันได้รู้สึกถึงไอเย็นจากรอยยิ้มร้ายกาจที่มุมปากของเธอ สวีเฉินซีรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอคนนี้ชักจะหน้าด้านเกินไปแล้ว แต่เธอก็เลือกเขาเอง ซ้ำยังหมั้นกับเขาแล้วด้วย ดังนั้น เธอจึงได้แต่เดินหน้าต่อไป ไม่ยอมละทิ้งเขาไว้กลางทาง 


 


 


ถังโจวโจวกระซิบที่ข้างหูของหลินเหยา “เหยาเหยา สองคนนั้นกำลังเดินมาหาเราแล้ว” หลินเหยาได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากทางด้านหลัง เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหลิวเหยียนจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าสวีเฉินซี หลินเหยาล่ะนับถือเขาจริงๆ 


 


 


ตัวยังไม่ทันถึง แต่เสียงก็มาก่อนแล้ว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เหยาเหยา!” 


 


 


หลินเหยาหันกลับมาพลางขยับตัวไปยืนอยู่ข้างถังโจวโจว แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ถังโจวโจวที่ยืนกลั้นลมหายใจอยู่นาน เธออยากจะตอกหน้าพวกเขาแทนหลินเหยามานานแล้ว ดังนั้น เธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มให้เสียเลย 


 


 


“อ้าว! บังเอิญจังเลยนะคะ คุณหลิว คุณสวี อ้อ! ฉันยังไม่ได้แสดงความยินดีกับงานหมั้นของพวกคุณเลย ยินดีด้วยนะคะ!” 


 


 


ใบหน้ายิ้มแย้มของหลิวเหยียนเหยียดตึงขึ้นมาฉับพลัน และเมื่อเขาเห็นว่าหลินเหยาเองก็ดูสนุกสนาน เขาก็รู้สึกโมโหไปชั่วขณะ ต่างจากสวีเฉินซีโดยสิ้นเชิง เธอกลับรู้สึกประทับใจกับคำพูดของถังโจวโจว เธอจึงยิ้มและตอบกลับไปว่า “ขอบคุณสำหรับคำอวยพรค่ะ คุณผู้หญิงลั่ว” 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของหลิวเหยียนเปลี่ยนไป ถังโจวโจวก็พอใจเป็นอย่างมาก แล้วยิ่งได้เห็นว่าฟังหยวนมองมาทางพวกเธอพอดี ซ้ำยังเดินมาทางนี้อีก ถังโจวโจวก็ยิ่งมีความสุข อีกเดี๋ยวคงจะมีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว 


 


 


“ช่วงนี้คุณหลินสบายดีใช่ไหมคะ เมื่อครู่นี้อาเหยียนบอกว่าอยากจะมาทักทายเพื่อนเก่า พอดีกับที่ฉันเองก็ไม่ได้เจอคุณหลินมานานแล้ว ฉันก็เลยตามเขามาด้วย คุณหลินคงจะไม่ถือสาอะไรใช่ไหมคะ” แม้ว่าคำพูดของสวีเฉินซีจะฟังดูสุภาพ แต่สีหน้าของเธอกลับไม่มีร่องรอยของความเป็นมิตรเลยสักนิด 


 


 


หลิวเหยียนเห็นว่าหลินเหยาเงียบเฉยอยู่นาน และตอนนี้คู่หมั้นของเขาก็คือสวีเฉินซี แม้ว่าเขาไม่อยากจะสนใจความรู้สึกของสวีเฉินซี แต่ตอนนี้เขาอยากให้บทเรียนแก่หลินเหยา ดูสิว่าเธอยังจะหลบเขาได้อีกไหม! 


 


 


“ตรงนี้คนเยอะจังเลย ดูคึกคักกันดีนะครับ!” เสียงของฟังหยวนโพล่งขึ้นมา ถังโจวโจวหันไปจ้องหน้าเขาทันที จนฟังหยวนสะดุ้งตกใจ นี่เขามาไม่ถูกเวลาอย่างนั้นหรือ? 


 


 


ถังโจวโจวพูดกับหลิวเหยียนด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหลิว คุณสวี ฉันขออนุญาตแนะนำให้พวกคุณได้รู้จักกับแฟนใหม่ของหลินเหยานะคะ เขาคือฟังหยวนค่ะ!” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกสะใจเมื่อได้เห็นสีหน้าที่ดูไม่ได้ของหลิวเหยียน มีแต่นายเหรอที่สามารถทำร้ายเหยาเหยาได้ ตัวเองเป็นคนนอกลู่นอกทางเอง ยังจะไม่ยอมให้เหยาเหยามีแฟนใหม่อีก! 


 


 


แม้ว่าฟังหยวนจะไม่เข้าใจว่าถังโจวโจวจับคู่เขากับหลินเหยาทำไม แต่เขาก็ไม่ได้หักหน้าเธอ เขาโอบเอวของหลินเหยาทันที และแสดงสีหน้าที่สงบนิ่ง เป็นธรรมชาติ “เหยาเหยา พวกเขาเป็นเพื่อนของคุณเหรอ ไม่เห็นแนะนำให้ผมรู้จักเลย” 


 


 


ฟังหยวนจงใจพูดที่ข้างหูของหลินเหยา ใบหน้าของหลินเหยาพาดด้วยสีแดงระเรื่อเพราะลมหายใจของฟังหยวนที่เข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน หลิวเหยียนยิ่งโกรธจนตาแดงก่ำไปหมดเมื่อได้เห็นท่าทีเขินอายแบบนั้นของหลินเหยา “คุณครับ คุณเป็นอะไรกับเหยาเหยา อาหารน่ะยังพอทานแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ แต่คุณจะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ไม่ได้!” 


 


 


หลิวเหยียนไม่เชื่อว่าหลินเหยาจะมีใครใหม่ได้จริงๆ สิ่งที่หลิวเหยียนภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตก็คือการได้รับความรักทั้งหมดจากหลินเหยามาโดยตลอด ในตอนนั้นเขาถูกบีบบังคับให้คบกับสวีเฉินซี และตอนนี้เขาก็รู้สึกเสียใจ หลังจากที่เขาได้รู้ว่าหลินเหยายังคงอยู่ตัวคนเดียว หลิวเหยียนก็พบว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว 


 


 


แต่จู่ๆ กลับมีผู้ชายโผล่ขึ้นมาแบบนี้ มันหมายความว่าอย่างไร? ครั้งก่อนที่หลิวเหยียนไปหาหลินเหยา ก็ไม่เห็นเธอพูดถึงเรื่องนี้เลย เธอจะมีแฟนได้อย่างไรล่ะ หลิวเหยียนจึงเชื่อว่าหลินเหยาแค่หาคนมาตบตาเขาเท่านั้น 


 


 


“แล้วคุณเป็นใครครับ ทำไมผมถึงต้องบอกคุณด้วยว่าผมเป็นอะไรกับเหยาเหยา” ฟังหยวนรีบเล่นไปตามน้ำและแสดงท่าทางว่าเขากับหลินเหยานั้นใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินเพื่อนเป็นอย่างมาก ถังโจวโจวเห็นว่าฟังหยวนแสดงละครได้ดีสมใจเธอ หากเธอไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เธอก็คงจะเชื่อไปแล้วว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันจริงๆ 


 


 


อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะฟังหยวนแสดงได้อย่างสมบทบาท ดังนั้นจึงสามารถทำให้หลิวเหยียนและสวีเฉินซีเชื่อได้ ถังโจวโจวรู้สึกว่าความคิดของตัวเองนั้นไม่เลวเลย และเมื่อเห็นว่าหลิวเหยียนโกรธจนหน้าแดง ถังโจวโจวก็รู้สึกดีขึ้นมาก  

 

 


ตอนที่ 171 ยั่วโทสะหลิวเหยียน

 

        “อาเหยียน คุณหลินได้พบกับความรักครั้งใหม่แล้ว เราก็ควรจะแสดงความยินดีกับเธอนะคะ!” สวีเฉินซียืนอยู่ข้างๆ หลิวเหยียนมาตลอด คำพูดที่เธอโพล่งออกมา ทำให้หลิวเหยียนหันไปจ้องมองเธอด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว


 


 


           หลิวเหยียนคิดว่าสวีเฉินซีไม่น่าพูดประโยคนี้ออกมาเลยจริงๆ หลินเหยาเป็นของเขา ผู้ชายคนนี้เกี่ยวอะไรด้วย หลิวเหยียนไม่ยอมรับเด็ดขาด เขาชักรู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฟังหยวนอย่างนี้


 


 


“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ คุณสวี ฉันกับอาหยวนจะต้องไปด้วยกันได้ดีอย่างแน่นอน”


 


 


หลินเหยาเห็นว่านัยน์ตาของหลิวเหยียนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจด้วย ในตอนแรกเธอก็ไม่ได้คิดว่าการกระทำของถังโจวโจวนั้นจะมีผลกระทบอะไร แต่เมื่อได้เห็นเต็มตาว่าหลิวเหยียนสนใจเรื่องนี้มากขนาดนี้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามันน่าสนุกเอาการ


 


 


ฟังหยวนเห็นว่าจู่ๆ หลินเหยาก็ให้ความร่วมมือกับเขาเช่นกัน จากนั้นเขาก็มองดูหลิวเหยียนที่โกรธจนควันออกหู อีกฝ่ายคงรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ทันใดนั้นเอง ฟังหยวนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ชักจะสนุกมากขึ้นทุกที


 


 


เขาเขยิบเข้าไปใกล้กับใบหูของหลินเหยา และเมื่อหลินเหยารู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา เธอก็พยายามจะเลี่ยงหลบ แต่ฟังหยวนนั้นล็อกเอวเธอไว้แน่น เขากระซิบที่ข้างหูเธอว่า “คราวนี้คุณติดหนี้ผมครั้งใหญ่เลย”


 


 


แม้ว่าฟังหยวนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้กับใบหูของหลินเหยา แต่เขาก็ไม่ลืมลอบสังเกตปฏิกิริยาของถังโจวโจว และเมื่อเขาเห็นว่าแววตาของเธอเปล่งประกายอย่างยินดี ฟังหยวนก็รู้สึกว่าเขาถอยไม่ได้เสียแล้ว จากนั้นเขาก็ไม่ได้มองเธออีกต่อไป ได้แต่หันกลับมาช่วยหลินเหยาจัดการกับเรื่องตรงหน้านี้ต่อ


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าทางด้านของถังโจวโจวนั้นมีคนยืนรวมตัวกันอยู่มากมาย แล้วก็ดูเหมือนว่าจะมีคนที่เขารู้จักอยู่ในกลุ่มนั้นไม่น้อยเลย หลังจากทักทายคนอื่นเสร็จ เขาก็รีบเดินตรงไปหาเธอ


 


 


แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาขวางหน้าเขาเอาไว้ “อาเชิน!”


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นหันฮุ่ยซินปรากฏตัวขึ้นในงานเลี้ยง เขาก็รู้สึกว่าเธอมีความสามารถมากขึ้นจริงๆ “ฮุ่ยซิน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”


 


 


แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะเคยพูดว่าเขาไม่อยากติดต่อกับหันฮุ่ยซินอีก แต่เมื่อเจอหน้ากันเขาก็จำต้องเอ่ยทักทายเธอ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็รู้จักกันมานาน ลั่วเซ่าเชินไม่สามารถเดินผ่านหันฮุ่ยซินราวกับว่าเป็นคนแปลกหน้าได้


 


 


“อาเชิน ฉันมากับคุณเจียงน่ะ” หันฮุ่ยซินไม่ได้ปิดบัง เดิมทีเธอก็ไม่อยากจะรับนัดของเจียงรุ่ยเฉินด้วยซ้ำ แต่เมื่อเธอได้ยินว่าลั่วเซ่าเชินน่าจะมา เธอก็คิดทบทวนดูอีกครั้ง ก่อนจะตอบตกลงในที่สุด


 


 


เมื่อได้เห็นแววตาอันแสนเย็นชาของลั่วเซ่าเชิน รอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าของหันฮุ่ยซินก็ค่อยๆ จืดจางลง ลั่วเซ่าเชินไม่ได้สังเกตเห็นการแต่งตัวที่ละเอียดลออของเธอเลยสักนิด เธอแต่งตัวมาเพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่ในสายตาของเขานะ


 


 


หันฮุ่ยซินก็ไม่ได้ตั้งใจอยากทำอะไรแบบนี้หรอก แต่เธอไม่รู้ว่าจะดึงดูดสายตาของลั่วเซ่าเชินได้อย่างไรอีกนอกจากวิธีนี้


 


 


เธออยู่ในชุดเดรสสีม่วงเอวสูง บวกกับการเลือกโทนแต่งหน้าและทรงผมที่เหมาะสม ทำให้หันฮุ่ยซินดูงดงามกว่าปกติ เธอดูสง่างามมีราศี และลำคอที่สูงระหงนั้นก็ยังบ่งบอกถึงความงามที่ไม่เป็นสองรองใคร


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดนั้นของหันฮุ่ยซิน เขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรเลย “อ้อ ก็ดี ฮุ่ยซิน ผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินปลีกตัวจากหันฮุ่ยซินไปหาถังโจวโจว เขาก็คิดไม่ถึงว่าหันฮุ่ยซินจะเดินตามเขามาด้วย ซ้ำร้ายยังมาหยุดยืนขวางหน้าเขาอีก ลั่วเซ่าเชินจึงมองเธออย่างไม่ค่อยเข้าใจ “คุณคิดจะทำอะไรน่ะ ฮุ่ยซิน?”


 


 


เขาคิดว่าระหว่างเขากับเธอไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีก ครั้งก่อนก็เคลียร์จบไปแล้วนี่? หรือว่าหันฮุ่ยซินอยากจะทะเลาะกับเขาในสถานที่แบบนี้ ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ถึงความเบื่อหน่ายที่มันล้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


 


หันฮุ่ยซินดูลนลานเมื่อสังเกตเห็นถึงความเหนื่อยหน่ายในสายตาของลั่วเซ่าเชิน เธอจึงรีบอธิบายอย่างตะกุกตะกักในทันที “อาเชิน ฉัน… ฉันไม่…ไม่ได้จะทำอะไร ฉันแค่อยากจะคุยกับคุณก็เท่านั้นเอง อาเชิน ทำไมตอนนี้คุณถึงมองฉันในแง่ร้ายตลอดเลย”


 


 


เมื่อพูดมาถึงประโยคหลัง น้ำเสียงของหันฮุ่ยซินก็เริ่มตัดพ้อ ความกลัวในตอนแรกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่ง จากนั้นยิ่งเธอพูดมากเท่าไร มันก็ยิ่งลื่นไหลมากขึ้นเท่านั้น เธออยากจะระบายความแค้นที่อยู่ในใจของเธอออกมาให้หมดเสียด้วยซ้ำ


 


 


“เปล่าเลย ฮุ่ยซิน ผมมีธุระจริงๆ ถ้าคุณมีอะไรจะคุย ไว้ครั้งหน้าเราค่อยหาเวลามาคุยกันก็แล้วกัน” ลั่วเซ่าเชินมองดูหันฮุ่ยซินที่ทำท่าจะร้องไห้ แม้ว่าเขาจะไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถให้ความหวังกับหันฮุ่ยซินได้อีกแล้ว


 


 


หันฮุ่ยซินเห็นว่าสายตาของลั่วเซ่าเชินนั้นเอาแต่จับจ้องไปทางด้านหลังของเธอ เธอรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “คุณคงอยากจะไปหาถังโจวโจวแย่แล้วใช่ไหม”


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ตอบ แต่สายตาและท่าทางของก็บอกทุกอย่างแล้ว หันฮุ่ยซินจ้องเขาอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวเปิดทางให้ เธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินค่อนข้างตกใจ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา


 


 


“ไปเถอะค่ะ ฉันรู้ดี แม้ว่าคุณจะอยู่ตรงนี้ แต่หัวใจของคุณก็ไม่ได้สนใจฉันเลย”


 


 


“ไว้ค่อยคุยกันนะ ฮุ่ยซิน” หลังจากได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดแบบนี้ แล้วเขาก็ทิ้งให้เธอยืนอยู่คนเดียว เพราะจะรีบไปหาถังโจวโจว รอยยิ้มเบิกบานที่มีอยู่เมื่อครู่นี้ของหันฮุ่ยซินก็ค่อยๆ กลายเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น


 


 


“ในเมื่อคุณไม่พอใจ คุณจะฝืนยิ้มออกมาทำไมล่ะคะ คุณหัน” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง ซึ่งเสียงนั้นทำให้น้ำตาของหันฮุ่ยซินเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


เมื่อหันฮุ่ยซินหันไปมอง เธอก็เห็นคนที่คุ้นเคย “คุณเมิ่งคะ คุณคงเข้าใจผิดแล้ว ฉันมีเรื่องอย่างอื่นต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะคะ”


 


 


“คุณหันคะ ทำไมพอฉันมาแล้วคุณก็จะไป คุณมีปัญหาอะไรกับฉันหรือเปล่า” เมิ่งชิงซีในชุดสีแดงเพลิงจนสามารถสะกดสายตาของหันฮุ่ยซินไว้ได้ แต่รอยยิ้มเย้ยหยันที่อยู่บนใบหน้าของเธอกลับทำให้หันฮุ่ยซินรู้สึกไม่พอใจ


 


 


หันฮุ่ยซินขี้เกียจจะรับมือกับเมิ่งชิงซี แต่แล้วเธอกลับถูกจับแขนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หันฮุ่ยซินทำอะไรเมิ่งชิงซีไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่เพียงกล้ำกลืนฝืนทนคุยกับเมิ่งชิงซีต่อไป


 


 


“คุณเมิ่งคะ ฉันจะไปกล้ามีปัญหากับคุณได้ยังไง”


 


 


เมิ่งชิงซีดูออกว่าหันฮุ่ยซินไม่พอใจ แต่เธอก็ยังแสร้งมองไปที่หันฮุ่ยซินอย่างไร้เดียงสา “คุณหันคะ คุณไม่รู้สึกแย่เหรอที่เซ่าเชินทำกับคุณแบบนี้ แล้วไหนจะถังโจวโจวนั่นอีก ทำไมเธอถึงได้ทุกอย่างที่เคยเป็นของคุณไปหมด”


 


 


หันฮุ่ยซินโดนเมิ่งชิงซีร่ายมนต์ใส่ไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานเธอก็เข้าใจได้ว่าเมิ่งชิงซีแค่อยากจะยั่วโมโหเธอก็เท่านั้น “คุณเมิ่งคะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของฉันหรอก คุณห่วงตัวคุณเองจะดีกว่า”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งชิงซีค่อนข้างเหยียดตึง “คุณหัน ฉันแค่รู้สึกเสียเปรียบแทนคุณก็เท่านั้นเอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจฉันผิดแบบนี้เลย?”


 


 


หันฮุ่ยซินไม่สนใจคำพูดเมิ่งชิงซี “คุณเมิ่งคะ ฉันว่าแทนที่คุณจะสนใจฉัน คุณหันไปสนใจตัวเองก่อนดีกว่าค่ะ เพราะคุณต้องการมันมากกว่าฉันอีก” เมื่อหันฮุ่ยซินพูดจบ เธอก็เหยียดยิ้มให้เมิ่งชิงซี ก่อนจะสะบัดแขนแล้วเดินเลี่ยงไปอีกด้านหนึ่ง


 


 


เมิ่งชิงซีจิกเล็บลงบนฝ่ามือตัวเองอยู่นาน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น พลางมองตามแผ่นหลังของหันฮุ่ยซินไป “เธอกำลังมองข้ามความหวังดีของคนอื่น!” เมิ่งชิงซีค่อนข้างหัวเสียที่หันฮุ่ยซินไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคิด


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินมาแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ยิ่งฉีกกว้างมากกว่าเดิม เธอรอจนลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาถึงตัวเธอ “เซ่าเชิน มาแล้วหรือคะ” ถังโจวโจวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ลั่วเซ่าเชินเข้ามาหาเธอในเวลาที่พอเหมาะพอเจาะเช่นนี้


 


 


“ผมจะมาดูคุณสักหน่อย แล้วนี่มีอะไรกัน ทำไมถึงมายืนรวมตัวกันอยู่ตรงนี้” ลั่วเซ่าเชินแปลกใจที่เห็นฟังหยวนโอบเอวหลินเหยา สองคนนี้คบกันตั้งแต่เมื่อไร? ไม่เคยได้ยินข่าวเลยสักนิด ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าบรรยากาศในตอนนี้มันค่อนข้างผิดปกติ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา


 


 


เพียงแค่ส่งสายตาให้กับถังโจวโจว ถังโจวโจวก็ส่ายหน้าเบาๆ ให้เขา ลั่วเซ่าเชินเข้าใจความหมายที่เธอจะสื่อทันที เขาจึงแสร้งทำเป็นทักทายฟังหยวนตามปกติ “อาหยวน หลินเหยา ปกติไม่ค่อยเห็นพวกนายตัวติดกันขนาดนี้เลยนี่?”


 


 


ฟังหยวนรับคำในทันที “อาเชิน ก็ฉันเห็นว่าเหยาเหยาถูกรังแกน่ะสิ ฉันก็เลยต้องทำให้ทุกคนได้รู้ว่าเหยาเหยาเธอมีเจ้าของแล้ว นายว่าอย่างนั้นไหม!”


 


 


“ใช่ ต้องทำให้ทุกคนได้รู้ว่าเธอมีเจ้าของ” ในขณะที่เขาพูดประโยคนี้ ลั่วเซ่าเชินกลับสบตามองถังโจวโจวอย่างลึกซึ้ง เขามองเสียจนถังโจวโจวใจเต้นตึกตัก


 


 


เมื่อหลิวเหยียนเห็นลั่วเซ่าเชินในระหว่างที่กำลังเดินเข้ามาร่วมวง เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเขาอยากจะสร้างความสนิทสนมกับลั่วเซ่าเชิน แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าลั่วเซ่าเชินกับพวกหลินเหยาจะรู้จักกันด้วย เขาจึงยิ้มไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความตกตะลึง “ผอ. ลั่ว พวกคุณรู้จักกันหรือครับ โจวโจวคือภรรยาของคุณ?”


 


 


เมื่อหลิวเหยียนเห็นถังโจวโจวยืนอยู่ข้างลั่วเซ่าเชิน เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ นี่ถังโจวโจวได้แต่งงานกับคนรวยขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ นี่มันเข้าข่ายคนจริงไม่ต้องพูดเยอะชัดๆ!


 


 


ลั่วเซ่าเชินหันกลับไปมองหลิวเหยียน หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น “คุณคือ?”


 


 


หลิวเหยียนรีบเอ่ยแนะนำตัวในทันที “สวัสดีครับ ท่านผอ. ลั่ว ผมคือหลิวเหยียนจากตระกูลสวี เมื่อไม่นานมานี้บริษัทของเราได้เจรจาธุรกิจร่วมกับบริษัทของท่าน อ้อ! นี่คู่หมั้นของผมครับ บุตรสาวของตระกูลสวี…สวีเฉินซี”


 


 


ในขณะที่หลิวเหยียนแนะนำตัวอยู่นั้น เขาก็หยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าและยื่นส่งให้กับลั่วเซ่าเชิน แต่ลั่วเซ่าเชินไม่ได้คิดจะรับ เมื่อหลิวเหยียนเห็นว่าลั่วเซ่าเชินไม่สนใจ เขาก็ยิ้มแห้ง ก่อนจะชักมือเก็บนามบัตรกลับไปช้าๆ


 


 


สวีเฉินซียื่นมือออกมาข้างหนึ่ง เมื่อได้ยินหลิวเหยียนกล่าวแนะนำเธอ “สวัสดีค่ะ ท่านผอ. หวังว่าตระกูลของเราจะเริ่มต้นกันได้ด้วยดีนะคะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินยื่นมือออกไปจับมือของสวีเฉินซีเบาๆ ด้วยมารยาทที่มีต่อสุภาพสตรี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาฟังความหมายของสวีเฉินซีไม่ออก “ตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัวครับ คุณสวี เราไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องงานกันที่นี่หรอกนะครับ


 


 


แล้วอีกอย่าง เรื่องภายในบริษัทย่อมต้องมีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ผมแน่ใจว่าคุณสวีก็มีความมั่นใจในทีมงานดี ผมเองก็หวังว่าเราคงจะได้ร่วมงานกันนะครับ” คำพูดเรียบเรื่อยของลั่วเซ่าเชินทำให้สวีเฉินซีไม่อาจฝืนยิ้มต่อไปได้


 


 


หลิวเหยียนรู้สึกโกรธเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินโต้ตอบพวกเขากลับมาอย่างไร้เยื่อใย แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา “ผอ. ลั่วครับ ผมกับคู่หมั้นยังมีธุระอื่นต่ออีก พวกผมไม่รบกวนพวกคุณแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”


 


 


สวีเฉินซีฉีกยิ้มให้ลั่วเซ่าเชินอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามหลิวเหยียนออกไป ถังโจวโจวนับถือหัวใจของผู้หญิงคนนี้จริงๆ เซ่าเชินเมินพวกเขาซะขนาดนั้น พวกเขาก็ยังจะยิ้มได้อยู่อีก


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าพวกเขาจากไปแล้ว เธอก็รีบกระโดดออกมาจากอ้อมแขนของฟังหยวน เธอเห็นฟังหยวนทำท่ากุมหน้าอกอย่างเจ็บปวด “เหยาเหยา คุณคงจะไม่ปั้นปึ่งใส่ผมหรอกใช่ไหม นี่พอผมหมดประโยชน์แล้ว คุณก็ทิ้งขวางผมแบบนี้เลยหรือ”


 


 


หลินเหยาหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สามารถรับมือกับลูกเล่นของฟังหยวนได้ทันท่วงที “ฟังหยวน คุณพูดอะไรน่ะ” คนที่ดูจริงจังเมื่อครู่นี้ จู่ๆ ก็เหมือนถูกปิดสวิตช์ สีหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มในทันที


 


 


ถังโจวโจวยิ้มอย่างดีอกดีใจ “เหยาเหยา เป็นยังไงล่ะ แล้วเมื่อกี้นี้ฟังหยวนช่วยเธอได้ดีมากเลยใช่ไหม”


 


 


“ยังมีหน้ามาพูดอยู่อีก ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ เธอทำอย่างนั้น ฉันจะเป็นแบบนี้ไหม”


 


 


เมื่อเธอเห็นว่าหลินเหยาตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาจักจี้เธอ ถังโจวโจวก็รีบไปหลบอยู่ด้านหลังของลั่วเซ่าเชิน “เหยาเหยา เธอจะลืมบุญคุณฉันเร็วแบบนี้ไม่ได้นะ!”


 


 


หลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวหัวเราะเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง “โจวโจว เบาเสียงลงหน่อย เธออยากให้หลิวเหยียนวกกลับมาอีกรอบหรือไง” 

 

 


ตอนที่ 172 เล่นงาน

 

           “ฉันรู้หรอกน่า ก็ถ้าเธอไม่แกล้งฉัน ฉันจะเสียงดังแบบนี้ได้ยังไง” ถังโจวโจวแก้ตัวและทำหน้าทะเล้นใส่หลินเหยา หลินเหยาทั้งโกรธทั้งขำ 


 


 


เมื่อหลินเหยาเห็นว่าถังโจวโจวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เธอก็ไม่ยอมปล่อยถังโจวโจวไปง่ายๆ “ถังโจวโจว ถ้าเธอมีความสามารถก็อย่าหลบ ดูสิว่าฉันจะสั่งสอนเธอยังไง” 


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยาเอาจริงขึ้นมาแล้ว เธอก็ไม่เสี่ยงที่จะเดินวนไปรอบตัวลั่วเซ่าเชินอีก แต่เปลี่ยนเป็นวิ่งไปหลบอยู่ด้านข้างแทน “ฉันผิดไปแล้ว เหยาเหยา เธอปล่อยฉันไปเถอะ!” เมื่อเห็นว่าลั่วเซ่าเชินและฟังหยวนเอาแต่ยืนหัวเราะ ถังโจวโจวก็ถลึงตาใส่พวกเขา 


 


 


เพียงไม่นานหลินเหยาก็จับตัวถังโจวโจวไว้ได้ ถังโจวโจวสวมรองเท้าส้นสูง เธอจึงหลบได้ไม่เร็วนัก แล้วเธอก็ไม่ได้ว่องไวเหมือนหลินเหยา ดังนั้น เธอจึงถูกจับตัวได้เร็วกว่าที่คิด 


 


 


เมื่อหลินเหยาจับตัวถังโจวโจวได้ ก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงมากนัก เธอเพียงแค่หยิบเอาทักษะการจักจี้ที่ห่างหายไปนานออกมาใช้ ทำให้ถังโจวโจวหัวเราะไม่หยุด 


 


 


“ครั้งหน้าเธอยังจะกล้าหัวเราะเยาะฉันอีกไหม” 


 


 


“ไม่กล้าแล้วจ้ะ ไม่กล้าแล้ว เธอยกโทษให้ฉันเถอะนะ!” ถังโจวโจวเอนตัวพิงกำแพงเพราะกลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นว่าเธอกำลังเล่นกับหลินเหยา เธอทำได้แค่เพียงกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ น้ำตาก็เกือบจะไหลเพราะถูกหลินเหยาแกล้ง 


 


 


“เอาละ ฉันเห็นแก่ความจริงใจของเธอ ฉันจะปล่อยเธอไป” หลินเหยารู้สึกเหนื่อยหอบอยู่เหมือนกัน ที่มาวิ่งไล่ถังโจวโจวแบบนี้ แต่เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยืนก้มหน้านิ่ง หลินเหยาก็สะกิดเธอเบาๆ “โจวโจว เธอโอเคดีใช่ไหม ฉันแค่เล่นกับเธอเบาๆ เองนะ?” 


 


 


ถังโจวโจวก้มหน้าอยู่อย่างนั้น หลินเหยามองไม่เห็นสีหน้าของเธอ จึงนึกว่าตัวเองเล่นกับเธอแรงเกินไป หลินเหยารู้สึกผิดไปชั่วขณะ 


 


 


“โจวโจว เธอเป็นอะไรไป ถ้าเธอไม่ชอบ ฉันก็จะไม่ทำแบบนี้อีก” 


 


 


“จริงเหรอ?” คำพูดที่เปล่งออกมาฉับพลันของถังโจวโจวทำให้หลินเหยาตอบสนองไม่ทัน “โธ่ เธอแค่หลอกฉันเล่นใช่ไหม” ถังโจวโจวตีเนียน 


 


 


หลินเหยารู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไร “ถังโจวโจว นี่เธอยังจะกล้าหลอกฉันอีกเหรอ ไม่กลัวฉันจักจี้เธออีกหรือไง” 


 


 


ถังโจวโจวเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฝ่ามือของหลินเหยาง้างออกมาอย่างไร้สาเหตุ ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวสะดุ้งตกใจ แต่เมื่อเธอเห็นว่าหลินเหยาไม่ได้ฟาดมือลงมาที่เธอ เธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าเธอถูกหลอก เธอจึงได้แต่ทำหน้ามุ่ย แสดงอาการว่าไม่พอใจ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินและฟังหยวนยืนอยู่ด้านข้าง พวกเขาเห็นว่าในงานเลี้ยงแบบนี้หลินเหยาและถังโจวโจวก็ยังสามารถเล่นกันอย่างสนุกสนานได้ จึงไม่รู้ว่าจะแสดงความคิดเห็นอย่างไรไปชั่วขณะ 


 


 


เมื่อหาสถานที่ได้แล้ว ทั้งสี่คนก็ยืนอยู่ด้วยกัน ถังโจวโจวและหลินเหยาสนใจกันแต่เรื่องอาหาร ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินกับฟังหยวนก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน บรรยากาศพลันดูกลมกลืนเป็นอย่างมาก 


 


 


เมิ่งไหวเซินได้เห็นหน้าถังโจวโจวอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกผิดปกติในหัวใจของเขาก็พรั่งพรูขึ้นมาอีก เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกกับถังโจวโจวแบบนี้ และเพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเอง เมิ่งไหวเซินก็ตั้งใจจะเดินเข้าไปหากลุ่มของลั่วเซ่าเชินที่อยู่ทางด้านนั้น 


 


 


เมิ่งชิงซีที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นว่าจู่ๆ คุณพ่อของเธอก็เดินตรงไปยังมุมหนึ่ง แล้วเธอก็เห็นว่าลั่วเซ่าเชินยืนอยู่ตรงนั้น เธอเริ่มสนใจขึ้นมาทันที เธอไม่สนว่าเพื่อนของเธอจะโกรธหรือไม่ เธอพูดกับเพื่อนของเธอหนึ่งคำ ก่อนจะรีบตามพ่อของเธอไป 


 


 


ก่อนที่เมิ่งไหวเซินจะเดินไปถึงลั่วเซ่าเชิน เธอก็เดินมาถึงตัวของเมิ่งไหวเซิน “คุณพ่อคะ!” 


 


 


เมื่อเมิ่งไหวเซินได้ยินเสียงของเมิ่งชิงซี เขาก็หันหน้ากลับไปมองเธอ “ชิงซี มีอะไรลูก” 


 


 


ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อของลูกสาว เมิ่งไหวเซินก็ไม่อาจปิดซ่อนความอ่อนโยนในแววตาของเขาเอาไว้ได้ เมิ่งชิงซีควงแขนของเมิ่งไหวเซิน “คุณพ่อจะไปไหนหรือคะ” 


 


 


“อ้อ พ่อเห็นพวกเซ่าเชินเขาน่ะ ก็เลยว่าจะเข้าไปคุยด้วยสักหน่อย มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าลูกอยากไปด้วย” แค่ได้เห็นท่าทางของเมิ่งชิงซี ลูกสาวตัวน้อยของเขา เมิ่งไหวเซินก็รู้แล้วว่าเธอคิดอย่างไร 


 


 


เมิ่งชิงซียิ้มอย่างเหนียมอาย “คุณพ่อรู้ใจหนูที่สุดเลย หนูไม่ได้เจอเซ่าเชินมานานแล้ว วันนี้อุตส่าห์ได้มาเจอกัน หนูก็อยากจะเข้าไปทักทายเขาสักหน่อย คุณพ่อว่าดีไหมคะ” 


 


 


มีหรือที่เมิ่งไหวเซินจะปฏิเสธคำขอของลูกสาวได้ “โอเค ลูกก็ไปด้วยกันกับพ่อนี่แหละ พ่อห้ามลูกไม่ได้อยู่แล้ว” 


 


 


เมิ่งไหวเซินรู้ว่าความลุ่มหลงของเมิ่งชิงซีที่มีต่อลั่วเซ่าเชินนั้นไม่สามารถกำจัดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ถึงตอนนี้เมิ่งชิงซีก็ยังคงชอบลั่วเซ่าเชินอยู่มาก แม้ว่าเป็นความเห็นชอบของทั้งสองตระกูลที่ให้ยุติเรื่องหมั้นหมาย และตอนนี้ลั่วเซ่าเชินก็แต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว แต่เมิ่งชิงซีกลับไม่สามารถก้าวผ่านอุปสรรคนี้ไปได้เสียที 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าอยู่ในสายตาของเขา เมิ่งชิงซีก็จะไม่ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไป เมิ่งไหวเซินจึงคิดว่าถ้ามีเขาอยู่ด้วย มันก็คงจะดีกว่าปล่อยให้เมิ่งชิงซีไปพบกับลั่วเซ่าเชินเป็นการส่วนตัว 


 


 


“คุณพ่อดีกับหนูที่สุดเลย!” เมิ่งชิงซีควงแขนของเมิ่งไหวเซินอย่างมีความสุข แววตาของเธอไม่อาจปิดบังความดีใจเอาไว้ได้ 


 


 


“เซ่าเชิน ช่วงนี้พ่อกับแม่ของหลานเป็นยังไงบ้าง” เมื่อเมิ่งไหวเซินเจอกับลั่วเซ่าเชิน เขาก็ถามถึงคุณพ่อและคุณแม่ลั่วก่อนเป็นอันดับแรก 


 


 


เดิมทีลั่วเซ่าเชินมีอะไรจะพูดกับฟังหยวน แต่เมื่อเขาเห็นเมิ่งไหวเซินเดินเข้ามา เขาก็รีบยิ้มและตอบคำถามของเมิ่งไหวเซิน “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยครับ คุณลุงเมิ่ง คุณพ่อกับคุณแม่สบายดีครับ” 


 


 


“คุณคนนี้คือ?” เมิ่งไหวเซินมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ลั่วเซ่าเชิน ดูแล้วเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วเซ่าเชินเลย เพียงแต่ทำไมถึงไม่เคยเจอเขามาก่อนเลย? เมิ่งไหวเซินเดาว่าชายหนุ่มคนนี้คงจะเป็นลูกหลานตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ และดูเหมือนว่าเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลั่วเซ่าเชิน 


 


 


“ลุงเมิ่งครับ ผมอยากจะแนะนำให้คุณลุงได้รู้จักกับเพื่อนสนิทของผม นี่คือฟังหยวนครับ ก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่ต่างประเทศ เพิ่งจะกลับมาเมื่อไม่นานมานี้” 


 


 


เพียงครู่เดียว เมิ่งไหวเซินก็นึกออกว่าฟังหยวนคือใคร “คุณชายฟังนี่เอง! นี่ลูกสาวของผม ชิงซี” เมิ่งไหวเซินจับมือกับฟังหยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาแนะนำเมิ่งชิงซี 


 


 


“ผอ. เมิ่งครับ ผมกับคุณเมิ่งเคยเจอกันมาก่อนแล้ว ผมเชื่อว่าคุณเมิ่งเธอน่าจะจำผมได้” 


 


 


“อ้าว จริงเหรอ ชิงซี ทำไมพ่อถึงไม่เคยได้ยินลูกพูดถึงคุณชายฟังมาก่อนเลย” เมิ่งไหวเซินรู้สึกประหลาดใจที่พวกเขาสองคนเคยเจอกันแล้ว 


 


 


เมิ่งชิงซีจะลืมฟังหยวนได้อย่างไร แล้วเมื่อเมิ่งไหวเซินถามเธอ เธอก็ยิ้มพลางตอบว่า “คุณพ่อคะ ก็หนูกับคุณชายฟังไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นนี่คะ แล้วหนูจะไปรู้ได้ยังไงว่าคุณพ่อจะสนใจคุณชายฟังมากขนาดนี้!” 


 


 


เมิ่งชิงซีอยากจะเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว เธอไม่ได้รู้สึกสนใจฟังหยวนเลย และในตอนนี้เธอเห็นว่าลั่วเซ่าเชินยืนอยู่ข้างถังโจวโจวมาตลอด เมิ่งชิงซีจึงเบนความสนใจทันที “เซ่าเชิน หาเวลากลับไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าบ้างสิคะ คุณป้าเป็นห่วงคุณมากเลยนะ” 


 


 


เมิ่งชิงซีมองไปที่ถังโจวโจวด้วยความรู้สึกเหนือกว่า เท่าที่เธอรู้มาตอนนี้คุณแม่ลั่วรังเกียจถังโจวโจวอย่างมาก เมิ่งชิงซีจึงอยากจะแสดงให้ถังโจวโจวเห็นว่าคุณแม่ลั่วรักเธอมากกว่า เธอจะทำให้ถังโจวโจวไม่มีทางไปอีก 


 


 


“อย่ากังวลไปเลยค่ะ คุณเมิ่ง ฉันกับเซ่าเชินจะหาเวลากลับไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่แน่นอน คุณไม่ต้องเป็นห่วงแทนเราหรอกนะคะ” ถังโจวโจวไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยสักนิด 


 


 


เมิ่งไหวเซินได้ยินน้ำเสียงประชดประชันของถังโจวโจวที่เธอพูดใส่เมิ่งชิงซี เขารู้สึกไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนัก “คุณถัง ชิงซีแค่เป็นห่วงพวกคุณ แต่น้ำเสียงของคุณกลับไม่ค่อยน่าฟังเลยนะครับ” 


 


 


น้ำเสียงของเมิ่งไหวเซินค่อนข้างนุ่มนวล เขาไม่เพียงแต่เอ่ยเตือนถังโจวโจว แต่ยังแก้ตัวแทนเมิ่งชิงซีอีกด้วย เมื่อถังโจวโจวได้ยินอย่างนั้น ก็ยิ่งตีความผิดจุดประสงค์ไปอีก 


 


 


“คุณลุงเมิ่งคะ นี่มันเป็นเรื่องในครอบครัวของฉันกับเซ่าเชิน แต่คุณเมิ่งกลับดูเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าพวกเราเสียอีก ฉันก็เลยไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย ถ้าฉันทำอะไรผิดไป โปรดยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ!” 


 


 


ถังโจวโจวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ แต่เพราะความจริงใจที่มันมากเกินไป ทำให้เมิ่งไหวเซินรับไม่ได้ เมิ่งชิงซีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเช่นกันว่า “ถังโจวโจว เธอพูดอะไรของเธอน่ะ คุณพ่อฉันแค่เตือนเธอด้วยความหวังดี ก็เพราะเธอปฏิบัติกับผู้ใหญ่แบบนี้ไง คุณป้าลั่วถึงได้…” 


 


 


ถังโจวโจวและเมิ่งชิงซีล้วนเข้าใจความหมายที่ละเว้นเอาไว้ แต่ในเมื่อเมิ่งชิงซีไม่ได้พูดมันออกมา ถังโจวโจวจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ “คุณเมิ่งคะ คุณแม่คิดยังไงกับฉันหรือคะ แล้วคุณรู้ได้ยังไงคะ” 


 


 


เมิ่งชิงซีไม่สามารถนำคำพูดส่วนตัวที่เธอคุยกับคุณแม่ลั่วออกมาพูดได้ เกิดคุณแม่ลั่วรู้เข้าคงจะต้องเอนเอียงไปหาถังโจวโจวแน่ ถึงตอนนั้นเธอยังจะมีโอกาสอะไรอีก ดังนั้น ถึงแม้ว่าเมิ่งชิงซีจะไม่เต็มใจ แต่เธอก็ต้องยอมเผาความคิดที่จะต่อกรกับถังโจวโจวไปก่อน 


 


 


ทีแรกเมิ่งไหวเซินมีความรู้สึกแปลกประหลาดกับถังโจวโจว แต่เมื่อได้เห็นถังโจวโจวกดขี่เมิ่งชิงซีแบบนี้ ความรู้สึกนั้นก็พลันหายไปใน ยิ่งได้เห็นท่าทางก้าวร้าวของเด็กคนนี้ ก็ยิ่งทำให้เมิ่งไหวเซินรู้สึกรังเกียจเธอ และไม่คิดจะทดสอบความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไป 


 


 


“เซ่าเชิน ชิงซีแค่หวังดีกับพวกหลาน แต่ในเมื่อคุณถังไม่ยอมรับน้ำใจแบบนี้ ชิงซี ต่อแต่นี้ไปลูกห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลลั่วอีก! เซ่าเชิน ลุงมีอย่างอื่นต้องไปทำ ขอตัวก่อนล่ะ” 


 


 


“ลุงเมิ่งครับ โจวโจวเธอเป็นพวกที่ปากกับใจตรงกัน คุณลุงอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลยนะครับ” 


 


 


เมิ่งไหวเซินยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่เขาจะคิดอย่างไรนั้น มันก็ไม่ใช่ธุระของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


เมื่อเห็นว่าเมิ่งชิงซีเอาแต่จ้องมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน เมิ่งไหวเซินที่เพิ่งจะก้าวเดินไปได้สองก้าวก็ต้องหยุดฝีเท้าลง “ชิงซี!” 


 


 


เมิ่งชิงซีได้ยินน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโกรธของเมิ่งไหวเซิน เธอจึงรีบตอบกลับไปอย่างกระตือรือร้นว่า “มาแล้วค่ะ คุณพ่อ” เธอควงแขนของเมิ่งไหวเซิน และยอมจากไปด้วยความจำใจ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเมิ่งไหวเซินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็หันไปมองถังโจวโจวด้วยอาการติดตลก “คุณดีใจล่ะสิ?” 


 


 


ถังโจวโจวยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก เมื่อเห็นเขาถามเหมือนจะตำหนิเธอมากกว่า “ทำไมคะ กลัวเธอเสียใจเหรอ อย่างนั้นคุณก็ตามเธอไปสิ!” หลังจากพูดประโยคนี้จบ ถังโจวโจวก็แอบรู้สึกเสียใจ เพียงแต่เธอปากแข็ง ไม่ยอมขอโทษลั่วเซ่าเชิน 


 


 


ในขณะที่ฟังหยวนกับหลินเหยาก็ยืนมองบรรยากาศอันน่าตึงเครียดของพวกเขาอยู่ด้านข้าง สายตาพากันแสร้งเบนออกไปคนละทาง เพื่อเปิดพื้นที่ว่างให้กับคนอีกสองคน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกขำที่เห็นว่าถังโจวโจวกางหนามรอบๆ ตัว “เอาละๆ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย คุณจะทำตัวเป็นเม่นทำไม!” 


 


 


เป็นลั่วเซ่าเชินที่ยอมหาทางลงให้ถังโจวโจวก่อน ถังโจวโจวหันไปเห็นสายตาล้อเลียนของลั่วเซ่าเชิน แม้ว่าจะยังมีความโกรธที่ระบายออกมาไม่ได้อยู่ แต่เมื่อผ่านไปสักพัก พวกเขาสองคนต่างก็มองท่าทางของกันและกัน ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกันในทันที “ฮ่าๆ…” 


 


 


“เอาละ ทีนี้คงจะมีความสุขแล้วสินะ” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกเบาใจ เมื่อได้เห็นถังโจวโจวกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง เขารู้สึกไม่สบายใจถ้าต้องเห็นว่าถังโจวโจวไม่มีความสุข เขาแค่อยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้เธอถูกรบกวนจิตใจจากเรื่องต่างๆ 


 


 


ถังโจวโจวฉีกยิ้มอยู่อย่างนั้น และเมื่อเธอเห็นแววตาลึกซึ้งของลั่วเซ่าเชิน ทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “เซ่าเชิน ขอโทษนะคะ เมื่อครู่นี้ฉันผิดเอง” ถังโจวโจวเป็นเด็กดีที่รู้จักผิดชอบชั่วดี เมื่อครู่นี้เธออดใจไม่ตอบโต้เมิ่งชิงซีไม่ไหวจริงๆ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ตำหนิเธอ แต่เป็นเธอที่คิดมากเกินไป ดังนั้น เธอจึงใช้คำพูดในแง่ลบเหล่านั้น จริงๆ แล้วหลังจากที่ถังโจวโจวพูดจบ เธอก็เสียใจ แล้วเธอก็รู้สึกผิด รู้สึกขอโทษที่ไม่ได้กล่าวคำขอโทษกับลั่วเซ่าเชิน 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้แล้ว เขาก็ได้แต่ลูบศีรษะของเธอ “เอาน่า คิดว่าผมไม่รู้จักคุณหรือไง ถ้าเธอไม่ได้พูดถึงคุณแม่ขึ้นมา คุณก็คงจะไม่เป็นแบบนี้” 


 


 


แน่นอนว่าลั่วเซ่าเชินดูออกว่าเมิ่งชิงซีต้องการโอ้อวด เพียงแต่น่าเสียดายที่สายตาของคุณพ่อเมิ่งเอาแต่จับจ้องไปที่ถังโจวโจว เขาจึงไม่เห็นความหมายแท้จริงที่เมิ่งชิงซีอยากจะสื่อ แล้วก็ยังพานคิดไปว่าถังโจวโจวจงใจพูดเล่นงานเมิ่งชิงซี 

 

 

 


ตอนที่ 173 หันฮุ่ยซินมาเยือน

 

 


 


           วันนี้ถังโจวโจวเป็นหวัดเล็กน้อย ลั่วเซ่าเชินจึงจัดการลางานให้เธอหยุดพักอยู่บ้านเป็นเวลาหนึ่งวัน ลั่วเซ่าเชินเห็นถังโจวโจวนอนหลับสนิท เขาช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มถังโจวโจวให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปทำงาน


 


 


           ก่อนที่เขาจะไป เขายังกำชับให้ป้าหลิวหาอะไรให้ถังโจวโจวกินเมื่อถึงเวลาด้วย จากนั้นก็ค่อยให้เธอนอนพักผ่อนต่อ


 


 


           เมื่อป้าหลิวได้ยินเสียงออดที่หน้าประตู เธอก็สงสัยว่าใครมาแต่เช้า? และเมื่อเธอเปิดประตูออกไปดู เธอก็พบว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอเคยคุ้นหน้า ป้าหลิวจำหันฮุ่ยซินได้ เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอโดดเด่นอยู่ไม่น้อย


 


 


“ขอโทษนะคะ ลั่วเซ่าเชินอยู่ไหม” ป้าหลิวรู้ว่าหันฮุ่ยซินไม่ได้มาดี แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่เธอก็ไม่อยากให้หันฮุ่ยซินเข้ามา มิเช่นนั้นหากคุณผู้หญิงเห็นเข้า อาจจะอารมณ์เสียได้


 


 


เป็นเพราะป้าหลิวคิดเช่นนั้น เธอจึงไม่ยอมให้หันฮุ่ยซินเข้ามาง่ายๆ “ขอโทษด้วยนะคะคุณ วันนี้คุณชายไม่อยู่ หากคุณมีธุระอะไรกับเขา ฉันจะช่วยบอกให้ค่ะ”


 


 


หันฮุ่ยซินตั้งใจเลือกเวลามาเช้าๆ นึกไม่ถึงเลยว่าก็ยังคงไม่เจอลั่วเซ่าเชินอยู่ดี ความโศกเศร้าบนใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นมาในทันที แม้ว่าป้าหลิวจะรู้สึกว่าเธอรูปร่างหน้าตาดี แต่เมื่อเห็นว่าเธอโลภที่จะแย่งสามีคนอื่นแบบนี้ ความงามของหันฮุ่ยซินในใจของป้าหลิวก็ไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว


 


 


“ขอโทษด้วยค่ะ รบกวนแล้ว ไว้ครั้งหน้าฉันค่อยมาใหม่” หันฮุ่ยซินตั้งท่าจะจากไป ป้าหลิวก็ไม่ได้สนใจอะไร และไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้ถังโจวโจวทราบด้วย เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องคิดมาก


 


 


ป้าหลิวทำตามที่ลั่วเซ่าเชินสั่งทุกอย่าง เธอปลุกถังโจวโจวขึ้นมากินข้าวเช้าตรงเวลา จากนั้นเธอก็ให้ถังโจวโจวกินยาแก้หวัด ก่อนจะปล่อยให้ถังโจวโจวนอนต่อไป


 


 


ช่วงกลางวัน ลั่วเซ่าเชินกลับมาดูอาการถังโจวโจว แล้วเขาก็โล่งใจเมื่อพบว่าอาการป่วยของถังโจวโจวมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และหลังจากกินมื้อกลางวันที่บ้านแล้ว เขาก็กลับไปทำงานต่อที่บริษัท


 


 


คราวนี้หันฮุ่ยซินฉลาดแล้ว เธอถือกระเช้าผลไม้มาใบหนึ่ง เธอตั้งใจมากดออดที่หน้าบ้านของลั่วเซ่าเชินก่อนที่เขาจะเลิกงาน


 


 


ป้าหลิวกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ในครัว วันนี้ถังโจวโจวนอนอยู่บนเตียงเกือบทั้งวัน เธอนอนมากเกินไปจนทำให้เธอรู้สึกเวียนหัว เธอก็เลยฉวยโอกาสนี้ลงมานั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อฆ่าเวลาก่อนมื้อเย็น


 


 


เมื่อได้ยินเสียงกริ่ง ป้าหลิวก็รีบออกมาจากห้องครัว ถังโจวโจวรีบหยัดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ป้าหลิวไปทำงานเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันออกไปเปิดประตูเอง”


 


 


เมื่อป้าหลิวได้ยินอย่างนั้น เธอก็ถอยกลับเข้าไปในครัว ถังโจวโจวเดินไปที่หน้าประตู และเมื่อเธอเห็นร่างของใครคนหนึ่งผ่านกระจก เธอก็รู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะ เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ซ้ำยังมาเวลานี้ด้วย? ถังโจวโจวคิดไปร้อยพันแปดก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้ แต่เธอก็ยังคงเปิดประตูแล้วเดินออกไป


 


 


มุมปากของหันฮุ่ยซินที่ยกยิ้มขึ้นพลันชะงักค้างไปชั่วขณะเมื่อเห็นถังโจวโจว แต่เพียงไม่นานเธอก็ตั้งสติได้ “โจวโจว เธอจะเชิญฉันเข้าไปไหม”


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้ว่าหันฮุ่ยซินมีเจตนาอื่น แต่เธอก็มาถึงหน้าบ้านแล้ว จึงไม่กล้าไล่เธอกลับไป อีกทั้งในมือของเธอยังมีกระเช้าผลไม้ขนาดใหญ่มาด้วย ถังโจวโจวจึงได้แต่ ‘เชิญ’ หันฮุ่ยซินเข้ามา


 


 


เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว หันฮุ่ยซินก็วางกระเช้าผลไม้ไว้บนโต๊ะน้ำชา แล้วเธอก็เห็นว่าโทรทัศน์เปิดอยู่ เธอคิดว่าเมื่อครู่นี้ถังโจวโจวคงจะนั่งดูโทรทัศน์อยู่ตรงนี้ ภายในบ้านค่อนข้างเงียบ มีเพียงแค่ห้องครัวเท่านั้นที่มีเสียง คงกำลังเตรียมมื้อเย็นอยู่สินะ


 


 


หันฮุ่ยซินเองก็ทำอะไรไม่ถูก เธอหาโอกาสมาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่เจอหน้าลั่วเซ่าเชินสักที เธอจึงได้แต่แบกหน้ามาหาเขาในเวลานี้ เธอคิดว่าไม่ว่าถังโจวโจวจะพูดอะไร เธอก็จะไม่ไปไหน


 


 


ถังโจวโจวรินน้ำชามาหนึ่งแก้ว “น้ำชาค่ะ” ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟา บรรยากาศเงียบเชียบไปชั่วขณะ ถังโจวโจวไม่คิดว่าตัวเองจะคุยกับหันฮุ่ยซินได้ แล้วเธอก็ยังไม่เข้าใจว่าหันฮุ่ยซินมาทำไมในวันนี้


 


 


เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินไม่ได้พูดอะไร ถังโจวโจวก็ได้แต่จดจ่ออยู่กับโทรทัศน์ เธอเหลือบมองหันฮุ่ยซินเป็นระยะๆ จนท้ายที่สุดถังโจวโจวก็อดชื่นชมความมุ่งมั่นของหันฮุ่ยซินไม่ได้


 


 


ถังโจวโจวรีบหยัดตัวขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงของรถด้านนอก เธอเห็นว่าหันฮุ่ยซินเองก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดถังโจวโจวก็เข้าใจจุดประสงค์ของเธอแล้ว


 


 


ถังโจวโจวนั่งลงที่เดิมอย่างช้าๆ และเมื่อหันฮุ่ยซินเห็นว่าถังโจวโจวไม่ได้เดินออกไปรับลั่วเซ่าเชิน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าตัวเองแสดงออกมากเกินไป เธอจึงนั่งลงตาม ถังโจวโจวเอาแต่จ้องมองเธออยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้แสดงอาการใดๆ หันฮุ่ยซินจึงเบือนหน้าหนี และมองไปที่ด้านนอกของประตู


 


 


จากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ตึกๆๆ… หันฮุ่ยซินรู้สึกว่าอัตราการเต้นของหัวใจของเธอเต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับจังหวะก้าวเดินของลั่วเซ่าเชิน


 


 


มือทั้งสองข้างกุมกันแน่น หลังจากรอคอยมานานแสนนาน ในที่สุดร่างของลั่วเซ่าเชินก็ปรากฏขึ้นในบ้าน และที่ด้านหลังของเขาก็มีร่างเล็กๆ ของลั่วอิงตามมาด้วย


 


 


เมื่อลั่วอิงเห็นว่าภายในบ้านมีคนเกินมาหนึ่งคน เธอก็มองดูอีกฝ่ายอย่างงุนงง แต่หลังจากนั้นเธอก็วิ่งเข้าไปหาถังโจวโจว “แม่โจวโจวขา คุณแม่หายดีหรือยังคะ วันนี้หนูเป็นห่วงคุณแม่ทั้งวันเลย”


 


 


“จริงเหรอคะ เด็กดีของแม่” ถังโจวโจวอุ้มลั่วอิงขึ้นมานั่งบนตัก เธอเห็นว่าลั่วอิงจ้องมองหันฮุ่ยซินด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก “ลั่วอิง หนูจำคุณน้าได้ไหมคะ รีบทักทายคุณน้าหันสิลูก”


 


 


“คุณน้าหัน” ลั่วอิงได้แต่เชื่อฟังถังโจวโจว เอ่ยปากทักทายอย่างดี


 


 


หันฮุ่ยซินรีบหยิบกล่องของขวัญเล็กๆ ออกมา “ลั่วอิงน่ารักจริงๆ เลยค่ะ อันนี้คือของขวัญจากน้าหันนะคะ”


 


 


ลั่วอิงหันมองถังโจวโจว จากนั้นก็มองไปที่ลั่วเซ่าเชิน แต่ก็ยังไม่ยอมรับของขวัญจากหันฮุ่ยซิน


 


 


ลั่วเซ่าเชินยังตกใจอยู่ที่เห็นหันฮุ่ยซินมาโผล่อยู่ตรงนี้ แต่เขาก็สามารถตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินถือของขวัญอยู่นาน และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆ แห้งเหือดลงไป เขาจึงได้แต่เปิดปากแก้สถานการณ์ว่า “ลั่วอิง ลูกยังไม่รีบขอบคุณคุณน้าหันอีก”


 


 


ลั่วอิงเอื้อมมือออกไปรับของขวัญและพูดประโยคนั้นตามคำสั่ง “ขอบคุณค่ะ น้าหัน”


 


 


“ไม่เป็นไรค่ะ” หันฮุ่ยซินหมายจะลูบศีรษะลั่วอิง แต่เธอก็กลัวว่าลั่วอิงจะไม่ชอบ ดังนั้นจึงรีบดึงมือตัวเองกลับมา


 


 


“ฮุ่ยซิน แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่”’ ลั่วเซ่าเชินนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว พลางมองไปที่หันฮุ่ยซิน


 


 


หันฮุ่ยซินจับเส้นผมที่หล่นลงมาข้างกรอบหน้าทัดกับใบหู ก่อนจะพูดว่า “อาเชิน เรื่องครั้งก่อนฉันยังไม่ได้ขอบคุณคุณดีๆ เลย วันนี้ฉันก็เลยตั้งใจมาขอบคุณคุณโดยเฉพาะ”


 


 


“ผมพูดไปแล้วนี่ว่าการช่วยเหลือคุณมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราเองก็รู้จักกันมานาน เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นผมจะไม่ช่วยคุณได้ยังไง คุณก็อย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลย” ลั่วเซ่าเชินรู้ว่าหันฮุ่ยซินกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในบาร์วันนั้น เขาแค่รู้สึกว่าหันฮุ่ยซินกำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่


 


 


หันฮุ่ยซินก้มหน้าลงอย่างเขินอาย “อาเชิน แม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของฉัน หากตอนนั้นพวกเขาได้ตัวฉันไป ฉันก็ไม่รู้ว่าฉัน…จะเป็นยังไง… ฮือ…”


 


 


เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินน้ำตาตก ลั่วเซ่าเชินก็รีบส่งกระดาษทิชชูให้เธอในทันที ลั่วอิงเบิกตาโพลงในขณะที่มองดูหันฮุ่ยซิน แล้วเห็นว่าเธอร้องไห้ออกมาจริงๆ จากนั้นลั่วอิงก็หันไปมองใบหน้าที่สงบนิ่งของถังโจวโจว แล้วก็รู้สึกได้ว่าแม่โจวโจวต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน


 


 


“น้าหันคะ คุณพ่อช่วยคุณน้าตอนไหนหรือคะ”


 


 


เมื่อเธอเห็นลั่วอิงถาม หันฮุ่ยซินก็ราวกับว่ากำลังนึกถึงเรื่องราวดีๆ พลางพูดว่า “อาเชินช่วยน้าไว้ที่บาร์เมื่อคราวก่อนค่ะ ลั่วอิงอาจจะไม่รู้ แต่น้าว่าแม่โจวโจวของหนูน่าจะรู้อยู่นะคะ”


 


 


แน่นอนว่าถังโจวโจวรู้อยู่เต็มอก คิดไปแล้วความไม่พอใจในคราวนั้นก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง “คุณหันคะ เซ่าเชินก็บอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องใส่ใจ แล้วทำไมคุณถึงต้องเกรงใจมากขนาดนี้”


 


 


เมื่อได้ยินหันฮุ่ยซินเรียก ‘อาเชิน อาเชิน’ ถังโจวโจวก็รู้สึกจุกอยู่ในลำคอ จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็ไม่ออก ทรมานเอามากๆ


 


 


“โจวโจว แม้ว่าอาเชินจะพูดแบบนั้น แต่ฉันก็อยากจะแสดงความจริงใจ วันนี้ฉันก็เลยตั้งใจซื้อผลไม้มาขอบคุณ หวังว่าพวกคุณคงจะไม่รู้สึกว่ามันเล็กน้อยเกินไป”


 


 


“คุณชาย คุณผู้หญิง ทานข้าวได้แล้วค่ะ” เมื่อป้าหลิวเดินออกมาจากครัว เธอก็พบว่าหันฮุ่ยซินมาอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่กล้าพูดอะไรมากในตอนนี้ จึงได้แต่เอ่ยเรียกพวกเขามากินข้าว


 


 


ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าป้าหลิวเตรียมอาหารเอาไว้แล้ว เขาจึงเอ่ยชวนอย่างสุภาพว่า “ฮุ่ยซิน ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ แล้วค่อยกลับ”


 


 


“ค่ะ!” หันฮุ่ยซินตอบรับอย่างรวดเร็วจนทำให้ถังโจวโจวอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอเตรียมตัวมาก่อนอยู่แล้วหรือเปล่า


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าหันฮุ่ยซินจะตกปากรับคำเร็วขนาดนี้ เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ และเชิญหันฮุ่ยซินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร


 


 


ถังโจวโจวจูงมือลั่วอิงไปนั่งที่ด้านขวามือของลั่วเซ่าเชิน ส่วนหันฮุ่ยซินก็นั่งประจันหน้ากับลั่วอิง ซึ่งนั่นก็คือทางด้านซ้ายมือของลั่วเซ่าเชิน


 


 


ระหว่างมื้ออาหาร มีแค่หันฮุ่ยซินเท่านั้นที่คิดหัวข้อสนทนาขึ้นมาเป็นครั้งคราว ถังโจวโจวไม่ได้ตอบรับอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีแต่เสียงของลั่วเซ่าเชินและหันฮุ่ยซินที่พูดคุยกัน แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าหันฮุ่ยซินตั้งใจมากน้อยแค่ไหน ที่เธอมักจะหยิบยกความทรงจำในอดีตมาพูดคุยกับลั่วเซ่าเชินเสมอ


 


 


มื้ออาหารมื้อนี้ทำให้ถังโจวโจวอึดอัดใจ เมื่อถังโจวโจวได้ยินเรื่องราวความทรงจำระหว่างหันฮุ่ยซินกับลั่วเซ่าเชินสมัยเรียน เธอก็รู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นคนนอก


 


 


แต่ถึงอย่างนั้นลั่วอิงก็มักจะแทรกแซงบทสนทนาของลั่วเซ่าเชินและหันฮุ่ยซินอยู่ตลอด เธอพยายามจะขัดขวางความทรงจำของพวกเขา แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกหันฮุ่ยซินเปลี่ยนหัวข้อหนีไปได้เรื่อยๆ


 


 


ลั่วอิงค่อยๆ เอื้อมมือที่อยู่ใต้โต๊ะไปจับมือของถังโจวโจว ก่อนจะส่งสายตาให้กำลังใจถังโจวโจว ถังโจวโจวยิ้มให้เธอ ถังโจวโจวไม่อยากให้เธอต้องมารู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย ก่อนจะรีบคีบน่องไก่ให้เธอ “ทานเร็วค่ะ ลั่วอิง ทานเยอะๆ นะคะ จะได้โตไวๆ”


 


 


“แม่โจวโจวก็ทานด้วยนะคะ” ลั่วอิงเหยียดตัวตรงและคีบน่องไก่น่องใหญ่มาให้ถังโจวโจว


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นพวกเธอทำอย่างนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกน้อยใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ลั่วอิง ทำไมไม่คีบให้พ่อบ้างล่ะลูก”


 


 


ลั่วอิงฉุกคิดนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ขยับตัว เธอเพียงแค่บ่นเบาๆ ว่า “คุณพ่อไม่ได้เสียใจซะหน่อย ทำไมหนูถึงต้องคีบให้ด้วย” จากนั้นเธอก็ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวที่อยู่ในชามของเธอ ทันใดนั้น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ตึงเครียดขึ้นมาชั่วขณะ


 


 


ถังโจวโจวลอบถอนหายใจ ก่อนจะคีบน่องไก่ไปวางไว้ในชามของลั่วเซ่าเชิน “อารมณ์ของเด็กน่ะค่ะ ปกติเธอจะคีบอาหารให้คุณตลอด วันนี้เธออาจจะไม่ค่อยสบายใจ คุณก็อย่าถือสาลูกเลยนะคะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิลั่วอิง เขาแค่รู้สึกประหลาดใจ ปกติเวลาเขาพูดอะไร ลั่วอิงก็จะทำตามโดยตลอด แต่ทำไมเมื่อครู่นี้ที่เขาบอกให้ลั่วอิงคีบอาหารให้ เธอถึงปฏิเสธเขาเสียงแข็งล่ะ?


 


 


ลั่วเซ่าเชินงุนงงไปชั่วขณะ ในขณะที่หันฮุ่ยซินเข้าใจดี เธอรู้ว่าลั่วอิงกำลังหนุนหลังถังโจวโจวอยู่ เธอก็แค่รู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้นี่ช่างเรียกร้องความสนใจเก่งจริงๆ


 


 


“อาเชิน จานนี้เป็นจานโปรดของคุณนี่ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเวลาที่คุณทานข้าวกับฉัน คุณจะต้องสั่งมันทุกที… โอ้ ขอโทษค่ะ ฉันลืมมันไม่ได้ น่าขายหน้าจริงๆ” หันฮุ่ยซินคีบกระดูกหมูให้กับลั่วเซ่าเชิน


 


 


ถังโจวโจวกำตะเกียบแน่น เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินเอาแต่พูดถึงเรื่องในอดีตของเธอกับลั่วเซ่าเชิน สีหน้าของถังโจวโจวดูซีดเซียวมากกว่าเดิม หรือว่าวันนี้เธอตั้งใจจะมาแสดงอำนาจอะไร? 

 

 


ตอนที่ 174 ตามกลับมา

 

          “คุณหันคะ จริงๆ แล้วเรื่องราวในอดีตบางเรื่อง เราก็ควรจะลืมมันไป เพราะท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่อาจย้อนกลับไปในอดีตได้ บางทีการลืมอาจจะทำให้เรามีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นก็ได้นะคะ”


 


 


           หันฮุ่ยซินชะงักนิ่งไปนานเพราะคำพูดของถังโจวโจว เธอรู้ว่าถังโจวโจวเข้าใจจุดประสงค์ของเธอในวันนี้


 


 


           แต่เมื่อเธอคิดดูอีกที เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เธอไม่อยากจะหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง “โจวโจว แต่เธอควรรู้ว่าเรื่องราวบางเรื่องมันยากที่จะลืม สำหรับฉันแล้ว ในเมื่อฉันลืมมันไม่ได้ ฉันก็จะพยายามตามมันกลับมาอีกครั้งหนึ่งให้ได้”


 


 


“แต่ถ้าสิ่งนั้นมันอยู่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะคะ คุณจะตามมันกลับมาได้ยังไง”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะพยายามให้มากที่สุดค่ะ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถตามมันกลับมาได้ แต่ฉันก็ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ฉันจะไม่เสียใจ แต่ฉันก็เชื่อว่าฉันจะสามารถตามมันกลับมาได้อย่างแน่นอน” แววตาของหันฮุ่ยซินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


 


 


“พวกคุณสองคนคุยเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ” ลั่วเซ่าเชินถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อเขาเห็นว่าพวกเธอเอาแต่พูดจาแปลกๆ ใส่กัน ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน


 


 


“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันกับคุณหันแค่คุยกันเรื่องความคิดเกี่ยวกับความทรงจำเก่าๆ” เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหัวข้อการสนทนานั้นถูกเปลี่ยนไปโดยลั่วเซ่าเชินแล้ว เธอก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนั้นต่อไปอีก เธอจึงฉีกยิ้มเพียงเล็กน้อย “รีบทานข้าวเถอะค่ะ คุณหัน อาหารใกล้จะเย็นหมดแล้ว”


 


 


“โจวโจว เธอก็ทานด้วยสิ อ้อ ฉันบอกเธอตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกฉันว่าฮุ่ยซินก็พอ เรียกคุณหันมันออกจะห่างเหินมากเกินไป!”


 


 


ราวกับว่าถังโจวโจวไม่ได้ยินคำพูดนั้น เธอก้มหน้าก้มตากินข้าวที่อยู่ในชามของเธอต่อไป


 


 


หลังจากมื้อเย็นผ่านไป หันฮุ่ยซินนั่งต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะกลับไป และเมื่อถังโจวโจวเห็นว่าในที่สุดหันฮุ่ยซินก็กลับไปเสียที เธอก็พาลั่วอิงขึ้นไปชั้นบน ลั่วเซ่าเชินยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น พลางมองดูพวกเธอที่ทิ้งเขาไว้ที่ชั้นล่าง ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าถังโจวโจวคิดอะไรอยู่? นี่เธอโกรธเขาอยู่เหรอ?


 


 


ถังโจวโจวพาลั่วอิงกลับไปอาบน้ำที่ห้อง เธอช่วยเตรียมเสื้อผ้าและเปิดน้ำร้อนให้ หลังจากนั้นเธอก็ช่วยลั่วอิงถูหลัง ลั่วอิงแช่ตัวอยู่ในน้ำร้อน และในขณะที่ลั่วอิงกำลังเล่นฟองสบู่อยู่นั้น จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า “แม่โจวโจวขา วันนี้ตอนที่คุณแม่ทานข้าว คุณแม่อารมณ์ไม่ดีใช่ไหมคะ”


 


 


“เปล่านี่คะ? ทำไมลั่วอิงถึงคิดอย่างนั้นล่ะ” ถังโจวโจวไม่อยากจะเอาเรื่องของผู้ใหญ่ไปใส่ไว้ในหัวของเด็ก ดังนั้นเธอจึงเอ่ยปฏิเสธทันที


 


 


แต่น่าเสียดายที่ลั่วอิงไม่เชื่อเธอ “แม่โจวโจวขา หนูรู้ว่าคุณแม่อารมณ์เสีย เป็นเพราะคุณน้าหันใช่ไหมคะ แล้วทำไมจู่ๆ เธอถึงมาที่นี่ล่ะคะ”


 


 


คำถามที่ลั่วอิงรัวออกมา ทำให้ถังโจวโจวอดขำไม่ได้ “หนูจะคิดมากไปทำไมคะ เด็กน้อย เธอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เธอตั้งใจมาขอบคุณคุณพ่อของหนู”


 


 


“แล้วทำไมเธอถึงชอบชวนคุณพ่อคุยล่ะคะ เธอมักจะพูดถึงในสิ่งที่เราฟังไม่เข้าใจด้วย?” ลั่วอิงรู้สึกได้ว่าถังโจวโจวไม่มีความสุข สาเหตุนั่นต้องมาจากคุณน้าหันที่จู่ๆ ก็โผล่มาแน่นอน


 


 


“นั่นเป็นเพราะว่าเธอกับคุณพ่อของหนูเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน พวกเขามีความทรงจำมากมายที่พวกเราไม่รู้ค่ะ เป็นเพราะหนูไม่ได้มีส่วนร่วม ดังนั้นหนูจึงฟังไม่เข้าใจยังไงล่ะ” ลั่วอิงอาบน้ำเสร็จแล้ว ถังโจวโจวก็กางผ้าขนหนูออก จากนั้นก็ห่อตัวลั่วอิงขึ้นมา


 


 


“เอาละ อาบเสร็จแล้ว แม่โจวโจวจะอุ้มหนูไปที่เตียงนะคะ เราจะได้สวมเสื้อผ้ากัน” ถังโจวโจวอุ้มลั่วอิงเข้ามาในห้อง ก่อนจะวางลั่วอิงลงบนเตียง จากนั้นเธอก็เดินไปหยิบชุดนอนของลั่วอิงมา เพื่อจะสวมใส่ให้ลั่วอิง


 


 


ลั่วอิงมุดเข้าไปในผ้าห่ม ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เธอยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ถังโจวโจวพูดเมื่อครู่นี้ “แม่โจวโจวขา แล้วทำไมคุณพ่อกับคุณน้าถึงเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันได้ล่ะคะ เราไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลยจริงๆ แม่โจวโจวก็ไม่รู้เลยใช่ไหมคะ”


 


 


“ใช่ค่ะ ตอนนั้นแม่โจวโจวยังไม่รู้จักกับคุณพ่อของหนูเลย ดังนั้นแม่จึงไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน และตอนนั้นหนูก็ยังไม่เกิดเลยด้วย หนูก็เลยไม่รู้ยังไงล่ะคะ เจ้าตัวแสบ ทีนี้เข้าใจหรือยัง สวมเสื้อผ้าได้หรือยังคะ”


 


 


ถังโจวโจวคลี่เสื้อผ้าออกและรอให้ลั่วอิงมาสวมใส่ ลั่วอิงโผล่ออกมาจากผ้าห่ม จากนั้นเธอก็เอ่ยถามเป็นชุดอีกครั้ง “แม่โจวโจวคะ แล้วคุณพ่อไม่ได้เล่าเรื่องระหว่างคุณพ่อกับคุณน้าหันให้คุณแม่ฟังบ้างหรือคะ ให้คุณพ่อบอกคุณแม่ให้หมด แค่นี้คุณแม่ก็รู้เรื่องของพวกเขาแล้วค่ะ”


 


 


“ไม่ค่ะ คุณพ่อไม่ได้บอกอะไรแม่ แล้วตอนนี้แม่ก็ไม่อยากรู้ด้วย… พอแล้วค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็ก คิดอะไรเยอะแยะ สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ควรจะเข้านอนนะคะ!”


 


 


เมื่อถังโจวโจวสวมชุดนอนให้ลั่วอิงเรียบร้อยแล้ว เธอก็อุ้มลั่วอิงไปวางในผ้าห่ม และเมื่อเธอเห็นว่าลั่วอิงตั้งท่าจะถามอีก เธอก็เหยียดนิ้วไปวางไว้บนริมฝีปากของลั่วอิง


 


 


“เอาละค่ะ ไม่ถามเรื่องนี้แล้วนะ แม่โจวโจวไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้แล้ว แม่จะอ่านนิทานให้หนูฟัง จากนั้นหนูจะได้เข้านอน หนูจำไม่ได้แล้วเหรอ วันพรุ่งนี้หนูต้องไปโรงเรียนนะลูก”


 


 


“แต่แม่โจวโจวขา ถ้าหนูไม่เข้าใจ หนูจะนอนไม่หลับนะ” ลั่วอิงพูดอย่างกังวล


 


 


ถังโจวโจวไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือจะขำดี “หนูเพิ่งจะกี่ขวบเองคะ หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของหนูในตอนนี้ก็คือเรียนและเล่นก็พอค่ะ ส่วนเรื่องของผู้ใหญ่ หนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก แม่โจวโจวจะบอกอะไรให้ ตอนนี้แม่ไม่เสียใจแล้วนะ หนูรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยังคะ”


 


 


ลั่วอิงฉุกคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ค่ะ”


 


 


ถังโจวโจวลูบศีรษะของลั่วอิง “แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ หนูไม่ต้องคิดอะไรมากนะ หนูเชื่อสิว่าแม่โจวโจวจัดการได้ หนูแค่เป็นเด็กดีของคุณแม่ก็พอแล้วค่ะ”


 


 


หลังจากเล่านิทานให้ลั่วอิงฟังจนจบ ถังโจวโจวก็เห็นว่าเธอหลับไปแล้ว เธอจึงเดินไปปิดไฟ ก่อนจะออกจากห้องนอนของลั่วอิงไป


 


 


เมื่อเธอชำระร่างกายเสร็จ เธอก็มานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ถังโจวโจวอ่านไม่เข้าหัวเลยสักหนึ่งตัวอักษร แค่เธอเผลอนึกถึงตอนที่หันฮุ่ยซินพร่ำเพ้อถึงความทรงจำอันแสนสวยงามระหว่างเธอกับลั่วเซ่าเชินเมื่อตอนหัวค่ำแล้ว เธอก็หมดอารมณ์จะอ่านหนังสือต่อ


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาในห้อง เขาพบว่าถังโจวโจวกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง แม้กระทั่งเขาเดินเข้ามา เธอก็ยังไม่ได้สังเกตเห็น ลั่วเซ่าเชินรู้สึกได้ว่าถังโจวโจวแปลกไปเมื่อตอนกินข้าวเย็น เขานึกว่าพอหันฮุ่ยซินกลับไปแล้ว เธอก็จะกลับมาเป็นเหมือนคนเดิม นี่เราตกอยู่ในสภาวะน่าอึดอัดนี้อีกแล้วเหรอ?


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินไปถึงข้างเตียง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ถังโจวโจว เขาเห็นว่าสายตาของเธอนั้นว่างเปล่า และหนังสือก็เปิดอยู่แค่หน้าเดียว หนังสือเล่มนี้ราวกับเป็นแค่ของประดับที่เธอถือไว้เท่านั้น


 


 


ลั่วเซ่าเชินโบกมือไปมาตรงหน้าของถังโจวโจว และเมื่อเห็นว่าในที่สุดเธอก็มีท่าทีโต้ตอบเขาแล้ว เขาจึงรีบเอ่ยถาม “โจวโจว คุณคิดอะไรอยู่”


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “อ๋อ เปล่าค่ะ คุณยังไม่ได้อาบน้ำเลย รีบไปเถอะค่ะ ฉันเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้คุณแล้ว วางอยู่ในห้องน้ำนะคะ”


 


 


ถังโจวโจวย้ายสายตากลับไปบนหน้าหนังสือต่อ เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอไม่อยากคุย เขาก็รู้ได้ทันทีว่าถังโจวโจวหดหัวกลับเข้าไปอยู่ในกระดองอีกตามเคย เขาจึงต้องเข้าไปในห้องน้ำก่อน จากนั้นก็ค่อยกลับมาคุยกับถังโจวโจวอีกครั้งหนึ่ง


 


 


เพียงไม่นาน ลั่วเซ่าเชินก็ออกมาจากห้องน้ำ เพราะหัวใจของเขามัวแต่พะวงอยู่กับเรื่องของถังโจวโจว ดังนั้น ลั่วเซ่าเชินจึงรีบอาบและออกมาให้เร็วที่สุด และเขาก็พบว่าถังโจวโจวเหม่อลอยอีกครั้งแล้ว นี่ถ้าลั่วเซ่าเชินยอมเชื่อว่าเธอไม่ได้คิดอะไรในใจ เขาก็คงเป็นผีแล้ว!


 


 


คราวนี้ลั่วเซ่าเชินนั่งลงบนเตียงและดึงหนังสือที่เป็นของตกแต่งในมือของถังโจวโจวออกมา ถังโจวโจวตกใจ เธอเงยหน้ามองลั่วเซ่าเชินที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร


 


 


“เซ่าเชิน คุณหยิบหนังสือฉันไปทำไมคะ” ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่ข้างเธอ เธอไม่รู้ว่าเขากลับมาตอนไหน ทำไมถึงไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยสักนิด


 


 


“ผมเห็นว่าคุณกำลังเหม่อ ผมถามคุณ คุณก็ไม่ตอบ ผมก็เลยดึงหนังสือของคุณมา คราวนี้คุณจะบอกผมได้หรือยัง” ลั่วเซ่าเชินวางหนังสือลงข้างๆ ก่อนจะจ้องไปที่ถังโจวโจว


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเธอหนีไม่พ้น เธอก็ได้แต่ก้มหน้าลง “ฉันไม่มีอะไรจะพูดค่ะ ในเมื่อคุณไม่คืนให้ฉัน ฉันก็จะนอนแล้ว”


 


 


ถังโจวโจวว่าพลางจะทิ้งตัวลงนอน แต่ลั่วเซ่าเชินจะปล่อยให้เธอหนีไปง่ายๆ ได้อย่างไร หากวันนี้ไม่คุยกันให้รู้เรื่อง เขาก็ไม่รู้ว่าก้อนหิมะมันจะยิ่งโตขึ้นอีกเท่าไร


 


 


“โจวโจว เราไม่ควรเปิดใจคุยกันเหรอ ถ้าคุณมัวแต่เก็บมันเอาไว้ในใจ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็จะอึดอัดใจไปตลอด”


 


 


“ฉันไม่อยากพูดค่ะ” ถังโจวโจวรู้ว่าอาการกลัดกลุ้มของตัวเองนั้นน่าเบื่อ แต่เธอก็ทนกับการกระทำของหันฮุ่ยซินไม่ไหวจริงๆ เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าหากเธอพูดมันออกมา ลั่วเซ่าเชินจะยอมรับมันไหม


 


 


“ทำไมล่ะ หรือที่คุณโกรธเป็นเพราะฮุ่ยซินใช่ไหม ผมไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้เธอจะมา” ลั่วเซ่าเชินเองก็ตกใจเหมือนกันที่เห็นว่าหันฮุ่ยซินมา “และที่ผมชวนเธอกินข้าว ผมก็แค่ชวนตามมารยาท ไม่มีเหตุผลอื่นเลย” ลั่วเซ่าเชินอธิบายให้ถังโจวโจวฟังอย่างใจเย็น เขารู้สึกว่าเขาไม่เคยอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างละเอียดขนาดนี้มาก่อนเลย


 


 


“รู้แล้วค่ะ” แน่นอนว่าถังโจวโจวรู้ว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้นัดกับหันฮุ่ยซิน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อยู่ที่นี่นานขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งใจจะอยู่กินข้าวกับลั่วเซ่าเชินที่นี่


 


 


ถังโจวโจวที่ดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็ค่อยๆ วางใจ แต่เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวยังคงเฉยเมยเช่นเดิม เขาก็คิดว่า หรือเขาพลาดอะไรบางอย่างไป? มิฉะนั้นเธอก็คงจะไม่เป็นแบบนี้อยู่


 


 


หรือว่า… “โจวโจว คุณโกรธเพราะเรื่องที่พวกผมคุยกันใช่ไหม” นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ลั่วเซ่าเชินนึกออก และที่ถังโจวโจวผิดปกติไป มันก็เริ่มจากตอนนั้น


 


 


ลั่วเซ่าเชินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเพราะเรื่องนั้น เมื่อเขามองดูปฏิกิริยาของถังโจวโจวแล้ว เขาก็พบว่าถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยอมรับ แต่รอยยิ้มที่แสนบางเบาบนใบหน้าของเธอนั้นก็ไม่อาจหลอกคนอื่นได้ ดูเหมือนว่าเขาจะทายถูกแล้ว


 


 


ลั่วเซ่าเชินแค่ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่รู้สึก หากเขารู้ว่าถังโจวโจวไม่ชอบให้เขาคุยเรื่องอดีตกับหันฮุ่ยซินเยอะเกินไป เขาก็คงจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปแล้ว เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเก็บมาโกรธเขาอยู่อย่างนี้


 


 


“โจวโจว ถ้าคุณไม่ชอบฟัง คราวหน้าผมจะไม่รับคำเธออีก” ลั่วเซ่าเชินกุมมือของถังโจวโจวไว้แน่น เขาอยากปลอบโยนเธอให้หายกลุ้มใจ ถังโจวโจวพยายามดึงมือออกจากเขา แต่เธอก็ถูกลั่วเซ่าเชินเอ็ดเบาๆ ว่า “โจวโจว อย่าดื้อสิ!”


 


 


“นี่คุณดุฉันเหรอ?!” ถังโจวโจวมองลั่วเซ่าเชินด้วยความน้อยใจ


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าแววตาของเธอเศร้าลงอีกครั้ง เขาก็ทำอะไรไม่ถูก นี่มันอะไรกัน เธอเสียใจอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไปอีกแล้วล่ะ?


 


 


“โจวโจว ผมไม่ได้ตั้งใจ” น้ำตาของถังโจวโจวนึกจะไหลก็ไหลออกมา และก่อนที่ลั่วเซ่าเชินจะตั้งสติได้ น้ำตาของเธอก็หยดซึมลงบนผ้าห่มไปแล้ว ลั่วเซ่าเชินหาวิธีโน้มน้าวเธอไม่ได้ เขาจึงได้แต่ใช้ริมฝีปากของตัวเองประกบจูบลงบนริมฝีปากของเธอ แค่นี้เขาก็ไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอแล้ว


 


 


แน่นอนว่านี่ก็คือความคิดส่วนตัวของลั่วเซ่าเชินด้วยเช่นกัน เขาอยากจะสัมผัสกับริมฝีปากของถังโจวโจวอย่างใกล้ชิด “อื้อ… เซ่าเชิน…”


 


 


เมื่อเห็นว่าถังโจวโจวตั้งท่าจะคุยกับเขาเรื่องที่เขาดุเธอเมื่อครู่นี้ มือข้างหนึ่งของลั่วเซ่าเชินก็ประคองอยู่ที่ด้านหลังศีรษะของเธอ มืออีกข้างที่เหลือก็จับอยู่ที่ช่วงเอว เขาป้อนจูบเธอและค่อยๆ เอนตัวลงไปด้านหลัง เมื่อครู่นี้ถังโจวโจวอยากจะล้มตัวลงนอน ก็ตรงกันกับสิ่งที่เขาต้องการ เพราะเขาอยากจะออกกำลังกายก่อนนอนกับถังโจวโจวพอดี

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม