ระบบร้านค้าออนไลน์ 168-174
TB:บทที่ 168 สกุลหวัง
“นายคือเฉินหลง” ในตอนนี้หวังเจียนมองเฉินหลง
ชื่อของเฉินหลงย้อนกลับมาในความจำเขา เขาเคยได้ยินจากตระกูลมาว่าคนคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ควรไปท้าทายด้วย
อย่างไรก็ตามแต่ เมื่อเขาเห็นเฉินหลง หวังเจียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉือเฮยหู และถึงแม้จะไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างเขาสองคนเลย
“ใช่แล้ว ผมคือเฉินหลง” เฉินหลงยิ้มและพยักหน้า
หวังเจียนมองเฉินหลงพักหนึ่ง เขากล่าวต่อไป “จากที่ฟังที่บ้านมา พลังนายแข็งแกร่งมากนี่ จริงหรือไม่ ถ้าจริงฉันจะท้านายสู้ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะชนะก็ได้”
หวังเจียนเป็นพลทหารของตระกูลเขา และแม้ครอบครับเขาจะบอกไว้แล้วว่าอย่าไปท้าทายเฉินหลง แต่ด้วยความกระหายการต่อสู้ของเขาเป็นปัจจัยที่ไม่ว่าจะเตือนเท่าไหร่ก็ไม่อาจทำตาม ตอนที่เขากล่าวไป เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากสู้รบ
หวังเฉียนจินที่เห็นหวังเจียนท้าเฉินหลงสู้แล้วได้แต่อ้าปาก หวังเฉียนจินปวดหัวขึ้นมา
เขากล่าวทันทีว่า “พี่จอมสับ พี่ฉือเฮยหูเป็นเพื่อนของอาจารย์เฉิน หากจะท้าทุกคนที่เห็นหน้าแบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่นะครับ”
“เพราะเป็นเพื่อนกับฉือเฮยหู เลยไม่ต้องสนที่ท้าไปก็ได้ แล้วหลังจากที่ฉันชนะฉือเฮยหู ฉันจะมาท้านายใหม่อีกรอบ” หวังเจียนว่า แล้วจิตสังหายเขาก็หายไป “จะว่าไป ฉือเฮยหูไปไหนแล้วละ”
หวังเฉียนจินได้ยินที่หวังเจียนกล่าว เขาทำได้เพียงมองเฉินหลงอย่างช่วยไม่ได้ แต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มไม่ถือสาของเฉินหลงแล้ว เขาจึงวางใจ
“ฉือเฮยหูมาส่งนายเมื่อวานแล้วเขาก็ไปสะสางธุระเขาน่ะ” เฉินหลงว่าพร้อมรอยยิ้ม
ได้ฟังว่าฉือเฮยหูไปแล้ว หวังเจียนแสดงสีหน้าเสียดายออกมา “ตอนแรกฉันอยากจะไปดื่มไวน์กับเขาอีก เห็นทีว่าต้องเป็นครั้งหน้าแล้ว”
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เฉินหลงและพวกหวังก็ออกจากวิลล่าไปบ้านของสกุลหวัง
ในเวลาเดียวกัน เฉินหลงได้บอกฮัวหมิงเหรินเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะไปบ้านสกุลหวัง
หวังเฉียนจินมาที่นี่ด้วยรถยนต์ ส่วนเฉินหลงใช้บีเอมดับเบิ้ลยูของเขา
ที่แห่งนี้เป็นที่ที่ตระกูลสูงศักดิ์อยู่อาศัยและยังเป็นบ้านที่ดัดแปลงมาจากปราสาทราชวงศ์ชิงอีกด้วย
บริเวณที่ดินของสกุลนี้เล็กกว่าของสกุลซ่งเล็กน้อย
เมื่อได้เห็นคฤหาสน์ของสกุลหวังที่ดัดแปลงมาจากปราสาทอีกหลังแล้ว เฉินหลงกล่าวในใจว่าดูเหมือนพวกสกุลเก่าแก่พวกนี้จะชอบรูปแบบเช่นนี้
ตอนที่หวังเฟ่ยหลงรู้ว่าเฉินหลงจะมา เขาจึงออกมาพบเฉินหลงด้วยตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญต่อตัวเขา
“อาจารย์เฉินครับ นี่คือหวังเฟ่ยหลง หัวหน้าของตระกูลหวัง ส่วนนี่คือ….” เมื่อเห็นว่าหวังเฟ่ยหลงออกมาเจอเขา หวังเฉียนจินรีบแนะนำให้เฉินหลงรู้จัก และเพราะเฉินหลงบอกว่าสามารถรักษาน้องของเขาได้ หวังเฉียนจินจึงเรียกเฉินหลงว่าเป็นอาจารย์มากกว่าจะเรียกนำหน้าว่าคุณ
แต่อย่างไรเสีย ก่อนที่เขาได้พูดจบ หวังเฟ่ยหลงได้พูดขัดขึ้นมาก่อน
“อาจารย์เฉิน คงไม่ต้องแนะนำตัวในเมืองหลวงแห่งนี้หรอกครับ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณหรอก” หวังเฟ่ยหลงกล่าวอย่างกล้าจะพูด
“ช่างเป็นน้ำใจจริงๆ ท่านหวัง” เฉินหลงตอบกลับหวังเฟ่ยหลงอย่างสุภาพ
“ฟังจากที่เฉียนจินว่า อาจารย์เฉินมาที่นี่เพื่อรักษาโรคของน้องชายเขาตามที่เรียนมาสินะครับ โปรดตามผมมา ว่าตามจริงแล้วการเรียนรู้จากวรรณกรรมนี่ก็เป็นเด็กที่ขยันนะครับ ตอนแรกความสามารถเขาเยี่ยมยิ่งกว่าเด็กเป็นพันคนเสียอีก ผมไม่คิดว่าจะต้องเป็นโรคแบบนี้ซะได้” หวังเฟ่ยหลงส่ายหัวและถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“คุณหวัง โปรดรอก่อนครับ ผมต้องการจะรอใครสักคน” เฉินหลงหยุดหวังเฟ่ยหลงไว้
หวังเฟ่ยหลงพยักหน้า ในตอนนี้เฉินหลงคือโอกาสของสกุลหวังของเขาที่จะยิ่งใหญ่ ว่าตามนี้แล้วเขาต้องพึ่งพาเฉินหลง
จากนั้นไม่นานฮัวหมิงเหรินรีบมายังที่นั่น ตอนที่เขาเห็นเฉินหลง เขารีบเรียกออกมาว่า “อาจารย์ครับ” ด้วยสีหน้าเคารพนับถือ เขาไม่ได้สนใจอย่างอื่น อีกอย่างข้างๆเฉินหลงมีพวกสกุลหวังล้อมรอบอยู่
ที่มาด้วยกันกับฮัวหมิงเหรินคือ หลานของฮิวหมิงเหริน ฮัวเทียน เขาตามปู่เขามาทันทีที่อาจารย์เฉินหลงเรียก
เฉินหลงพยักหน้าและหัวเราะ แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
ฮัวหมิงเหรินเดินมายืนข้างหลังเฉินหลงทันที ในขณะเดียวกันก็มีฮัวเทียนที่ตามฮัมหมิงเหรินมาด้วย
และแม้หวังเฟ่ยหลงจะเคยได้ยินเรื่องที่ฮัวหมิงเหรินนับถือเฉินหลงเป็นอาจารย์เขาแล้วก็ตาม แต่เขายังคงอึ้งอยู่เมื่อได้มาเห็นด้วยตาตนเอง จากนั้นสักครู่ เขาตอบกลับไป “หมอฮัว นี่คุณ…”
“ท่านหวัง ไม่รู้หรือว่าเฉินหลงเป็นอาจารย์ของผม คุณนี่ตกข่าวไม่ทันพวกตระกูลอื่น” ฮัวหมิงเหรินว่าด้วยสีหน้าภูมิใจ
จากนั้นเขาได้กระซิบอย่างนับถือกับเฉินหลงว่า “ท่านอาจารย์ จะมีปัญหาใดหรือไม่หากครั้งนี้ลูกศิษย์คุณนำหลานมาด้วย อีกอย่างหนึ่งผมได้สอนเขาเรื่องการฝังเข็มที่คุณเคยสอนให้ผมเองแล้วด้วย หากคุณต้องการจะลงโทษผม โปรดลงโทษเขาด้วย”
ความสามรถทางการแพทย์ของหลานของเขายอดเยี่ยมไม่เลว ดังนั้นฮัวหมิงเหรินจึงสอนการฝังเข็มให้
“คุณเป็นศิษย์ผม และเขาคือหลานคุณ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันหมดครับ ทำไมต้องลงโทษคุณด้วยเล่า” ตราบใดที่ฮัวเหรินไม่ไปสอนเทคนิคการฝังเข็มไปทั่ว เฉินหลงก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “เอาล่ะไปหาหวังซือเหวินและดูว่าฝีมือการฝังเข็มที่มีจะพอไหม”
“ครับ อาจารย์ อาจารย์นี่สำหรับตรวจสอบผล” ฮัวหมิงเหรินว่าอย่างตื่นเต้น
จากนั้น หวังเฟ่ยหลงได้นำพวกเฉินหลงไปหาชายหนุ่มเงียบขรึมที่นั่งบนรถวีลแชร์และอ่านหนังสือ
เมื่อปรายตามองไป จะเห็นได้ว่ามือและเท้าของชายหนุ่มคนนี้ต่างจากคนปกติทั่วไป พวกมันช่างบอบบาง
เมื่อเห็นหวังเฉียนจินและหวังเฟ่ยหลงมาหาแล้ว ใบหน้าชายหนุ่มฉายรอยยิ้มสดใสและเรียกออกไป
“พี่ ท่านนายใหญ่ของบ้าน” ด้วยเสียงแหบ
สิ้นคำ ชายหนุ่มวางหนังสือไว้บนตักและขยับวีลแชร์ไปข้างหน้า
“น้องชาย วันนี้ฉันเชิญหมอฮัวและอาจารย์เฉินมาที่นี่ นายจะหายจากโรคนี้” หวังเฉียนจินเดินไปหาหวังซือเหวินและกล่าว
หวังซือเหวินมองฮัวหมิงเหรินและเฉินหลงแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณอาจารย์ทั้งสองครับ”
จากนั้นพวกเขาไปยังห้องของหวังซือเหวิน
“ทุกคนครับ โปรดออกไปก่อนและทิ้งให้ผม ลูกศิษย์ผมและหลานชายเขาอยู่ที่นี่ก่อน” เฉินหลงกล่าว หลังจากนั้น เขานำตัวหวังซือเหวินไปนอนบนเตียงของตน
เมื่อได้ยินที่เฉินหลงว่า หวังเฟ่ยหลงออกไปจากห้องพร้อมผู้ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลาย
หวังซือเหวินประหลาดใจที่ได้ยินว่าฮัวหมิงเหรินเป็นศิษย์ของเฉินหลง เขารู้สึกไม่ชอบ
“ไหนดูก่อนสิ บอกผลให้ผมฟังหน่อย” จบคำ เฉินหลงนั่งลงที่ข้างหนึ่งของเก้าอี้
ฮัวหมิงเหรินและฮัวเทียนรีบตรวจอาการหวังซือเหมินทันที
สิบนาทีต่อมา คนทั้งสองกล่าวผลของส่วนกล้ามเนื้อที่หดของหวังซือเหวินทีละคน
“แน่ใจไหมครับว่าคุณรักษาเขาได้” ได้ยินผลตรวจแล้ว เฉินหลงจึงถามต่อ
ฮัวหมิงเหรินส่ายหน้า เวลาที่เขาได้เรียนรู้การฝังเข็มมีน้อยเกินไป เขายังไม่มั่นใจพอ
เฉินหลงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรต่อ สุดท้ายแล้วเวลาที่ฮัวหมิงเหรินได้เรียนการฝังเข็มสั้นไปจริงๆ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่มั่นใจ
“หมอฮัว ไม่เป็นไรครับ ผมป่วยแบบนี้มานานกว่าสิบปี และไม่น่าจะมีทางรักษาหายด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ตอนนี้” แม้ฮัวหมิงเหรินจะไม่รู้วิธีการรักษาตัวเขา แต่หวังซือเหวินยังคงอ่านหนังสือต่อด้วยอารมณ์ดี หลังอ่านหนังสือมาหลายต่อหลายปี เขาได้รู้แล้วว่าทางรักษาโรคเขามันสิ้นหวัง
TB: บทที่ 169 มนต์ตราผูกมัดหยิน
“น้องหวัง นี่ไม่ได้หมายความว่าการแพทย์แผนจีนจะรักษาโรคนี้ไม่ได้นะ ปู่และตัวผมเลยไม่ได้เรียนรู้วิธีรักษาโรคของนายมา หากปู่ได้เรียนรู้แล้ว การรักษาโรคนี้คงไม่เป็นปัญหา” ฮัวเทียนว่า
หากเขาได้ฝึกเทคนิคการฝังเข็มดีพอ เขาคงมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นว่าจะช่วยรักษาโรคของหวังซือเหวินได้ด้วยเทคนิคฝังเข็ม และคงไม่ต้องถึงมือเฉินหลง
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ฮัวเทียนจึงตัดสินใจได้ว่าหลังเขากลับไปแล้วเขาคงฝึกหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่า
เฉินหลงตบบ่าฮัวเทียนและไม่ได้กล่าวอะไร จากนั้นเขาจึงเดินไปข้างเตียงและกล่าว “ไม่ต้องกังวลไป นายจะมีอนาคตที่สดใสแน่นอน”
เมื่อเขาได้เห็นสายตาของเฉินหลง หวังซือเหวิน ที่ตอนแรกอยากกล่าวอะไรอยู่ พลันมีความเชื่อมั่นก่อขึ้นมาว่าเขาจะหาย ความเชื่อมั่นที่ว่ามาจากคำพูดของเฉินหลงในตอนนี้
หลังจากหวังซือเหวินรู้สึกวางใจแล้ว เฉินหลงใช้เครื่องตรวจสอบเพื่อดูค่าข้อมูลของเขา
อย่างไรเสีย เมื่อเฉินหลงตรวจค่าต่างๆในร่างกายหวังซือเหวินแล้ว เขารู้สึกประหลาดใจและขมวดคิ้วแน่น
เรื่องน่าแปลกใจที่ว่าคือค่าต่างๆของหวังซือเหวินที่มีมากถึงระดับกำเนิดทว่าติดอยู่ในสถานะติดผนึก
“เกิดอะไรขึ้นกัน” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินหลงเห็นพลังในสถานะติดผนึก
เขานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วเฉินหลงก็เริ่มใช้เข็มกับหวังซือเหวิน แล้วก๊าซทางการแพทย์จำนวนเท่าหยิบมือก็เข้าสู่ร่างกายของเขา
ตอนที่ก๊าซทางการแพทย์จำนวนเล็กน้อยได้เข้าไปในร่างของหวังซือเหวินแล้ว เฉินหลงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างของเขาได้อย่างชัดเจน
เส้นทางเดินพลังและโลหิตของหวังซือเหวินไม่ได้เสื่อมลงตามธรรมชาติ แต่กลับถูกพันธนาการไว้ด้วยพลังงานที่แปลกประหลาด และนั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้เส้นทางเดินพลังและโลหิตในร่างของหวังซือเหวินฝ่อลงไป
และเมื่อก๊าซทางการแพทย์จะเข้าไปในร่างหวังซือเหวินอีกพลังงานนั้นก็เข้ามาขวางทันที
“นี่มันอะไรกันแน่” ก๊าซทางการแพทย์ของเขาพลันถูกพลังที่ไม่รู้ที่มาละลายไป สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เฉินหลงรู้สึกถึงความผิดปกติ
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ เฉินหลงเลิกใช้ยารักษาโดยตรงไป เนื่องจากนี่ไม่ใช่โรคร้ายอีกแล้ว เขาจะลองใช้พลังของเขาแทน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฉินหลงใช้พลังจากร่างของเขาที่เป็นระดับขอยเขตกำเนิดกับร่างของหวังซือเหวิน
พลังของเฉินหลงพุ่งเข้าสู่เส้นทางพลังและโลหิตได้ไม่ยาก แต่พลังงานประหลาดพวกนั้นก็โจมตีกลับไปในทันที พลังฉีของเฉินหลงมีเพียงฉีระดับสรวงสรรค์และพสุธาเท่านั้น หลังจากฝืนพลังไปสักพัก พลังที่ผูกมัดเหล่านั้นก็เริ่มจะสลายไปได้ด้วยพลังฉีของเฉินหลงทีละน้อย
ต่อมาพลังงานของเฉินหลงลดลงไปเล็กน้อยในขณะที่พลังงานของหวังซือเหวินลดลงไปอย่างมาก
“มีอะไรกันแน่” เฉินหลงแปลกใจ จิตสังหารเขาปะทุขึ้น แล้วพลังที่ผูกมัดอยู่ก็ฝืนกลับมา
หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหลงจึงคิดจะใช้พลังต่อ ตอนแรกเฉินหลงไม่อยากจะใช้วิธีนี้แต่ในเมื่อพลังที่ผูกมัดอยู่น่าหงุดหงิดขนาดนี้ เฉินหลงคิดจะทำลายให้สิ้นซาก
พลังจอวเฉินหลงเป็นไฟระดับกำเนิด
ไฟประเภทนี้สามารถจุดแทบทุกพลังงานบนโลกให้ติดไฟได้ และนี่เองคือผลของการที่เฉินหลงพัฒนาผ่านไปถึงระดับกำเนิดได้ และไฟของพระเจ้านี้ยังผ่านพ้นระดับหกในทันทีอีกด้วย
“หวังซือเหวิน รอก่อนนะ นายอาจจะรู้สึกเจ็บ นายต้องทนนะ” เฉินหลงเตือนหวังซือเหวิน
หวังซือเหวินตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้ต่างไปจากตอนแรก “ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บมาหลายปีแล้ว หากผมจะรู้สึกเจ็บได้สักครั้ง ไม่ใช่ว่าเป็นความรื่นเริงหรือ เอาเถอะครับ”
“เพลิงปะทุ”
เฉินหลงท่องประโยคนี้ในใจ
ร่างของเฉินหลงเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ พร้อมด้วยไฟจากพลัง ทำให้เฉินหลงจุด “ไฟดั้งเดิม” และ “ไฟกำเนิด” ติดทันทีในร่างหวังซือเหวิน
“ไฟดั้งเดิม” นี้ ละลายไปในทันใดที่โดนกับพลังที่ผูกมัดอยู่
ตอนที่ “ไฟกำเนิด” กำลังโชติช่วงอยู่นั้น ในที่สุดแล้วหวังซือเหวินได้รู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกที่เขาไม่ได้รับรู้มาเป็นเวลานาน แต่ความเจ็บนี้สาหัสเกินไป ราวกำว่าเส้นพลังและโลหิตของเขากำลังติดไฟ หวังซือเหวินกัดฟันและพยายามฝืนไม่ให้ร้องออกมา
อีกสิ่งหนึ่งคือพลังผูกมัดมีผลกับศูนย์กลางพลังงานของหวังซือเหวิน พลังที่ผูกมัดร่างทั้งร่างของเขาไว้ แผดเผาในทันที
และพลังในศูนย์กลางพลังงานคล้ายกับว่าจะรับรู้ได้ถึงพลังของ “ไฟกำเนิด” และกลัวว่าจะสลายไปด้วย
การที่เขาได้เห็นพลังของศูนย์กลางพลังงานของหวังซือเหวินที่ยังคงไม่สลายไป เฉินหลงจึงคิดได้ว่าเขาจะดับ “ไฟกำเนิด” ไปเสีย
และหลังเฉินหลงดับ “ไฟกำเนิด” ไปแล้ว พลังในศูนย์กลางพลังงานของหวังซือเหวินเริ่มที่จะกลับมาอีกครั้ง
เฉินหลงเตรียมใจไว้แล้ว แต่มีความคิดวาบหนึ่งขึ้นมา เมื่อ “ไฟกำเนิด” ปรากฏขึ้นและเผาผลาญพลังที่ผูกมัดไว้ทำให้ศูนย์กลางพลังงานเกิดขึ้นมาด้วย และไฟก็ลามไปสู่ศูนย์พลังงาน
ตอนที่พลังงานในศูนย์พลังงานมอดไหม้ไปแล้ว เฉินหลงก็มองได้อย่างชัดเจนว่านี่คือมนต์ประเภทใด
หลังจากที่เผาพลังของมนต์สะกดไปหมดแล้ว เฉินหลงรีบดับ “ไฟกำเนิด” ด้วย เพราะศูนย์พลังงานของหวังซือเหวินอาจทน “ไฟกำเนิด” นี่ไม่ได้
และตอนที่ “ไฟกำเนิด” ดับไปแล้ว สีหน้าของหวังซือเหวินพลันผ่อนคลายลง
ในขณะเดียวกันความรู้สึกสงบเงียบที่หายไปนานก็กลับมา และพลังของเขาเองได้ค่อยๆฟื้นคืน
“ไม่ต้องกังวลไป นอนไว้สักพัก ฉันจะรีดเค้นเส้นพลังและโลหิตของนาย” เฉินหลงยังไม่ปล่อยหวังซือเหวิน หวังซือเหวินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขากะจะลุกขึ้นทันที เฉินหลงได้ส่งยาแห่งพลังฉีไปเพื่อกระตุ้นเส้นพลังและโลหิตของเขา
ในครั้งนี้หวังซือเหวินตื่นเต้นเกินกว่าจะกล่าวอะไร
หลังเฉินหลงเผาไหม้มนต์ตราไปแล้ว หญิงคนหนึ่งที่อายุราวสี่สิบปี ที่อยู่ในกลุ่มแปลกประหลาดกลางภูเขาลึก จู่ๆเธอก็สำรอกออกมาเป็นเลือด
“นายแม่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน” ทันทีที่หญิงที่คนนั้นสำรอกเป็นเลือด ผู้คุ้มกันสองคนที่ข้างเธอก็สำรอกออกมาเช่นกัน หญิงสาวพร้อมรอยสักบนหน้ามีสายตาหวาดหวั่น
หญิงคนนั้นหน้าซีดขาว พลังฉีเธออ่อนแอลง “ใครมันทำลายคำสาปผูกมัดหยินกัน”
แม้เสียงของหญิงคนนั้นจะอ่อนล้านิดหน่อย แต่ก็เต็มไปด้วยความอาฆาต
ผู้คุ้มกันสองคนได้ยินดังนั้นแล้วจึงมองหน้ากัน ใครกันที่นายแม่ใช้ “มนต์ผูกมัดหยิน” ด้วย อีกอย่างมนต์นี่เชื่อมกับหัวใจและชีพจรของเธอ อีกคำถามคือใครกันที่ทำลาย“มนต์ผูกมัดหยิน”ได้
“ฉันคงต้องพักฟื้นสักเดือน หลังจากหนึ่งเดือนแล้ว ฉันจะออกไปจากภูเขานี่และตามหาไอ้คนที่ทำลาย “มนต์ผูกมัดหยิน” ของฉัน” เมื่อหญิงคนนั้นกล่าวจบ เธอหลับตาและเริ่มหายใจแปลกไปทั่วหัวและเท้า
“ขอรับ นายแม่”
หลังเฉินหลงรีดเค้นเส้นพลังงานและโลหิตของหวังซือเหวินแล้ว เขาดึงเข็มเงินออกจากร่างเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านอาจารย์” เมื่อเห็นเฉินหลงดึงเข็มเงินออก ฮัวหมิงเหรินรีบถามเขา
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีคำตอบจากเฉินหลง แต่แล้วเขาก็เห็นหวังซือเหวินที่สั่นเทาบนเตียง เขารู้ได้ว่าเฉินหลงรักษาหวังซือเหวินได้แล้ว
TB:บทที่ 170 มิใช่ศัตรู
ตอนที่หวังเฉียนจินและพ่อแม่เขาเห็นหวังซือเหวินยืนขึ้นได้เองแล้ว ความตื่นเต้นบนสีหน้าของพวกเขาช่างไร้คำบรรยาย แม่ของหวังเฉียนจินตื่นเต้นมากจนน้ำตาล้นเอ่อดวงตาของเธอ เขาช่างเป็นเด็กดีแล้วจู่ๆก็เป็นโรคประหลาด เขาป่วยมามากกว่าสิบปี เธอจึงคิดว่าเด็กคนนี้คงไม่มีทางหายจากโรคนั้นได้ไปตลอดชีวิตของเธอ แต่ตอนนี้เขาใช้กำลังของตนลุกขึ้นได้แล้ว เธอจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกันเล่า แม้แต่พ่อของหวังเฉียนจินยังตาแดงเล็กน้อยเลย
“อาจารย์เฉิน ขอบคุณมากจริงๆครับ” หวังเฉียนจินที่ใจเย็นกว่าพ่อแม่เขากล่าว แม้เขาจะตื่นเต้นแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเฉินหลงและฮัวหมิงเหริน
ฮัวหมิงเหรินโบกมือปฏิเสธและกล่าวว่า “ไม่ใช่ฉันหรอก อาจารย์เฉินมากกว่า ที่ทำให้น้องชายนายดีขึ้น ดังนั้นคำว่า “หมอวิเศษ” น่ะไม่ต้องเรียกอีกแล้ว ผมอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผม ใครจะกล้าโดนเรียกว่าหมอวิเศษกัน”
ตามตำนานแล้วฮัวหมิงเหรินเป็นเทพเจ้าแห่งการแพทย์
“อย่าไปฟังคำพูดเรื่อยเปื่อย น้องชายนายต้องพักมากๆแล้วตอนนี้ ตอนเขาดีขึ้น นายจะต้องประหลาดใจ” เฉินหลงบอกไปไม่หมด
พลังของหวังซือเหรินไปถึง “ระดับกำเนิด” แต่ในตอนนี้ร่างกายเขายังอ่อนแอไป หลังจากที่ฟื้นฟูแล้ว พลังของเขาจะพุ่งไปสู่ระดับกำเนิด เรื่องนี้เป็นน่าตื่นเต้นนัก
หวังเฉียนจินรีบพยักหน้าตอบ
และหลังจากเฉินหลงเตรียมตัวจะออกจากบ้านของสกุลหวังนั้น เฉินหลงได้มาพบคนอื่นในสกุลหวังเสียก่อน หวังเฟ่ยหลงไม่ต้องการให้เขาไป เขาอยากสานสัมพันธ์กับเฉินหลง
“อาจารย์เฉิน คุณช่างทำเรื่องยิ่งใหญ่ให้เราเหลือเกิน อย่างน้อยคุณควรกินข้าวสักมื้อหนึ่ง” เมื่องหวังเฟ่ยหลงเห็นเฉินหลงกำลังจะออกไปแล้ว เขารีบขอให้เฉินหลงอยู่ต่อ
หวังเฉียนจินยังกล่าวอีกว่า “ใช่ครับ อาจารย์เฉิน คุณช่างมีบุญคุณอย่างมากต่อครอบครัวเรา เราไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรหมด เพราะฉะนั้นแล้วคุณช่วยอยู่ต่อเพื่อกินข้าวสักมื้อแล้วพูดคุยและส่งผ่านความรู้สึกกันนะครับ”
สกุลหวังช่างใจดีจนเฉินหลงปฏิเสธไม่ลง ในตอนเดียวกันเขาก็มีสิ่งอื่นจะกล่าวกับพ่อของหวังเฉียนจินด้วย เขาจึงตกลงจะอยู่ต่อ
เขาเห็นว่าเฉินหลงตกลงแล้ว หวังเฟ่ยหลงจึงรีบส่งคนไปเตรียมอาหารค่ำอันหรูหรา
ในตอนเดียวกัน หวังเจียนรู้สึกสงสัยอย่างมากในตัวเฉินหลง ตอนเขากลับมาครอบครัวเขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเฉินหลง ตอนแรกหวังเจียนก็เชื่ออยู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีพลังรักษาอาการป่วยของหวังซือเหวินได้ จากหลายๆคนที่เขาเจอมา เฉินหลงมีความสามารถทางการรักษาที่ไม่มีใครเทียบเคียง
แต่อย่างไรก็ตาม เฉินหลงไม่รู้ว่าหวังเจียนคิดอะไรอยู่ เขาดึงพ่อของหวังเฉียนจินมาข้างๆเพื่อถามคำถาม
พ่อของหวังเฉียนจิน ชื่อหวังเฟ่ยหยิง อายุประมาณสี่สิบปี เขาเป็นคุณลุงที่มีความเป็นผู้ใหญ่แบบชายวัยกลางคน และเพราะเฉินหลงช่วยลูกเขาไว้ได้ เขาจึงซาบซึ้งในตัวเฉินหลงมาก
“อาจารย์เฉิน มีอะไรให้ผมช่วยหรือ”
เฉินหลงขมวดคิ้วและกล่าว “ลุงหวังครับ คุณมีศัตรูที่อาฆาตแค้นมาก่อนไหมครับ”
มนต์ที่ใช้กับหวังซือเหวินมาจากคนที่มีฝีมือ หากเขาไม่ได้เป็น “วิชาโฮวเฉิงจื่อ” ระดับหกแล้วจึงสามารถควบคุมไฟตามที่สั่งได้ เขาคงไม่สามารถจะใช้พลังช่วยได้ ผู้ร่ายมนต์ฉลาดเฉลียวเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ คงไม่ใช่ใครๆก็ทำได้
“ศัตรูหรือ” หวังเฟ่ยหยิงคิดเรื่องนี้ก่อนจะส่ายหัว
ถึงคุณสมบัติของหวังเฟ่ยหยิงจะไม่ได้เป็นแบบลูกทั้งคู่ของเขา แต่ด้วยอายุเท่าเขาและพลังที่อยู่ในระดับ”ปรมาจารย์” เขาจะไปกล้าท้าทายศัตรูที่มีพลังเวทย์อันแข็งกล้าได้อย่างไร
“หากว่าคุณไม่ได้ไปท้าศัตรูที่แข็งแกร่งมา แล้วเวทย์ที่ใช้สะกดลูกชายคุณมาได้อย่างไรกัน” เฉินหลงมองหวังเฟ่ยหยิง
“มนต์สะกดหรือ” หวังเฟ่ยหยิงตาโตขึ้น
หมอพวกนั้นไม่ได้บอกหรือว่าหวังซือเหวินเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยตั้งแต่กำเนิด แล้วจะมีใครมาร่ายมนต์ใส่ได้อย่างไรกัน
เฉินหลงพยักหน้า “ครับ เป็นมนต์สะกดครับ ลูกของคุณไม่ได้เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแต่กำเนิดแต่เป็นเพราะมนต์อันร้ายกาจ สิ่งที่มนต์นี้ทำก็คือผูกมัดเส้นพลังและโลหิตและทำให้เหมือนกับว่าลูกชายคุณป่วย”
มนต์แบบนี้ช่างทรงพลังและเลวร้าย ในการกำจัด จำต้องพึ่งฝีมือแพทย์ชั้นเยี่ยม หากเฉินหลงไม่ได้เก่งกาจในระดับนี้แล้ว เขาคงทำลายมนต์นี้ไม่ได้
“ทำไมมีใครมาทำเรื่องแบบนี้กับลูกชายฉันกัน ฉันไม่ได้ยุ่งกับใครเลย และถ้าใครจะท้าทายฉันจริงๆ ทำไมไม่ทำแค่ฉัน ทำไมต้องใช้สิ่งเลวร้ายเช่นนี้กับลูกชายฉัน ลูกไม่ได้ผิดอะไรเลย” เมื่อได้ยินว่าลูกชายเขาโดนอะไรมาแล้ว หวังเฟ่ยหยิงไม่อาจรับได้
แต่ได้ยินดังนั้นแล้ว หวังเฟ่ยหยิงก็จำไม่ได้ว่าเขาไปลบหลู่ผู้ทรงพลังมาหรือไม่ เฉินหลงทำได้เพียงเตือนเขาว่า “ลุงหวัง คุณต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ หากคนคนนี้ สามารถใช้มนต์กับลูกคุณได้โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลย การจะทำร้ายคุณก็ไม่ใช่ปัญหา ครั้งนี้ผมทำลายมนต์ไปแล้ว คนที่ร่ายมนต์นี้คงจะหาทางกลับมาอีกแน่ คุณต้องระวังมากกว่านี้”
หลังจากเตือนหวังเฟ่ยหยินแล้ว เฉินหลงเดินไปหาฮัวหมิงเหริน
และเมื่อเฉินหลงไป หวังเฟ่ยหยินยังคงยืนอยู่อย่างเหม่อลอย หากเป็นอย่างที่เฉินหลงว่า เขาจะทำอย่างไรดี แม้แต่ศัตรูเขายังไม่รู้ว่าเป็นใครเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องยากจะป้องกัน และเพราะมันมักจะโจมตีมากที่สุดตอนที่วางใจ
เมื่อเห็นหวังเฟ่ยหยินยืนอยู่ตรงนั้น ภรรยาเขา ตู้ชาน เดินมาหาและถามว่า “เฟ่ยหยิน คุณเป็นอะไรหรือ ลูกคุณก็หายดีแล้ว คุณควรมีความสุขสิ ทำไมจึงดูสับสนอยู่ที่นี่”
ก่อนนี้หวังเฟ่ยหยินยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแล้วหวังเฟ่ยหยินเป็นเช่นนี้มาพักหนึ่งได้อย่างไร
หลังครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว หวังเฟ่ยหยินเล่าสิ่งที่เฉินหลงเพิ่งกล่าวให้ภรรยาเขาฟัง “ชาน อาจารย์เฉินเพิ่งบอกว่าลูกเราไม่ได้ป่วย แต่เขาถูกสาป ร่างเขาทั้งตัวโดนพันธนาการไว้ตั้งแต่ยังเด็ก ลูกเราจึงโดนทำลายเวลาไปตั้งสิบเจ็ดปี ผมคิดอยู่ว่าใครกันที่จะทำเรื่องชั่วร้ายกับเด็กสองขวบได้”
สิ้นคำ ใบหน้าของหวังเฟ่ยหยินแสดงความเคียดแค้นออกมา
“อะไรนะ ลูกเราโดนทำร้ายอย่างนั้นหรือ” เธอได้ยินว่าลูกชายเธอโดนทำร้าย ใบหน้าของตู้ชานตกใจในตอนแรก จากนั้นกลับเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างที่สุด
หวังเฟ่ยหยินพยักหน้า
“ใคร ใครกัน ใครที่มันทำร้ายลูกชายฉัน” น้ำตาแห่งความเศร้าโศกเอ่อล้นในตาของตู้ชาน
ความเกลียดชังมากเพียงไหนกันที่มากพอให้ทำเด็กคนหนึ่งพิการมาสิบเจ็ดปี เธอเกลียดมันเหลือเกิน และสงสารลูกชายเธอเป็นที่สุด
หวังเฟ่ยหยินส่ายหน้าและกล่าว “ผมไม่รู้ ผมนึกถึงคนเยอะมากตอนนี้ แต่ไม่มีใครเป็นแบบที่อาจารย์เฉินว่า”
พลังของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่ง วงล้อมที่รู้จักไม่กว้างนัก มีศัตรูไม่มาก ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติอย่างที่เฉินหลงว่า
“หรือจะ ไม่ใช่ศัตรู” ตู้ชานคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง
TB:บทที่ 171 ลูกพี่ลูกน้องยืมเงิน
หลังจากได้ยินคำพูดของตู้ชาน หวังเฟยหยินก็มีปฏิกิริยาทันที เฉินหลงบอกกับเขาว่าอาจเป็นศัตรู คู่แค้น
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเฟยหยินก็นึกถึงความเป็นไปได้และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“หวังเฟยหยิน คิดอะไรอยู่” เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเฟยหยินเปลี่ยนไป ตู้ชานก็ถามขึ้นมา
“ชานคุณจำได้ไหมว่าครั้งหนึ่งเราเคยช่วยสาวชาวเขาที่ถูกวางยาพิษ เธอมีความสามารถในการใช้คาถาของเธอ และในช่วงพระจันทร์เต็มดวงเธอกลับมาที่บ้าน และศึกษาเรื่องเหล่านี้ หวังเฟยหยินพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่ง
“ เธองั้นหรอ เราช่วยชีวิตเธอแล้วเธอมีเหตุผลอะไรถึงทำร้ายลูกของเรา” เมื่อได้ยินหวังเฟยหยินพูด ตู้ชานก็ทำหน้าแบบไม่อยากจะเชื่อ
“ใครจะไปรู้ คาถามีมากมาย อย่างบางทีเธออาจจะอยากได้อะไรบางอย่างจากพวกเรา อาจารย์เฉินบอกว่าคำสาปถูกทำลายแล้วคนทำต้องมีความรู้สึกหลังจากนั้นไม่นานถ้าเธอปรากฏตัวก็ต้องเป็นเธอ” หวังเฟยหยินยืนยันความคิดของเขา
หลังจากนั้นหวังเฟยหยินก็ไปบอกกับหวังเฟยหลงเกี่ยวกับเรื่องนี้
“หวังเฟยหยิน หยุดเรื่องนี้ก่อน ตอนนี้ปรมาจารย์เฉินอยู่ที่นี่ ขอต้อนรับพวกเขาก่อน” ในหัวใจของหวังเฟยหลง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบันคือการรักษามิตรภาพกับเฉินหลงให้ดี และผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่ปรากฏตัว ดังนั้นเราควรใส่ใจเฉินหลงและฮัวหมิงเหรินก่อน
หวังเฟยหยินยังรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการสร้างความบันเทิงให้กับเฉินหลง เขาพยักหน้าและไปหาลูกชาย
ความเข้มแข็งของครอบครัวชนชั้นสูงสามารถมองเห็นได้เมื่อเตรียมงานเลี้ยง
ในสองชั่วโมงอาหารหลายสิบจานถูกวางบนโต๊ะ
มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าร่วมงานเลี้ยง พวกเขาเป็นสมาชิกคนสำคัญของตระกูลหวังหลายคนรวมถึงหวังเฟยหลง หวังเฟยหู หวังเฟยเป่ง หวังเฟยเซียง หวังเจียนและหวังเฟยหยิน หวังซือเหวินยังยืนยันที่จะไปร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับเฉินหลง
“ อาจารย์เฉินหลงเพราะเวลาสั้นไปหน่อยมี แต่ทำอาหารพวกนี้โปรดอย่ารังเกียจพวกเขา” หลังจากเข้านั่งหวังเฟยหลงขอโทษเฉินหลง
แต่เดิมแขกอย่างเฉินหลงน่าจะมีอาหารรสเริสเต็มโต๊ะ แต่เวลามีน้อยไป และอาหารบางอย่างต้องใช้เวลาในการเตรียมมากกว่าสิบชั่วโมงดังนั้นพวกเขาจึงทำเพียงบางอย่างที่สามารถใช้เวลาน้อยนิดในการเตรียมได้
เห็นโต๊ะจานใหญ่แบบนี้เฉินหลงอยากจะบอกว่าพอแล้ว แต่ฮัวหมิงเหรินพูดก่อน
“ดีมากที่สามารถทำอาหารได้มากมายในเวลาอันสั้น” ฮัวหมิงเหรินเป็นคนที่เคยเห็นแต่อาหารหรูๆ ก็เลยไม่ตกใจเท่าไร
ในเวลาเดียวกันเขาก็เห็นด้วยว่าอาจารย์ของเขาต้องไม่เคยเห็นอาหารจานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
หลังจากฟังคำพูดของฮัวหมิงเหริน เฉินหลงไม่พูดอะไรอีกต่อไป แต่พยักหน้าเล็กน้อย
“ อาจารย์เฉินหลง คราวนี้หลานชายของฉันเรียนวรรณคดีและมีทักษะขั้นเทพ ครอบครัวฉันช่างโชคดีจริงๆ ฉันอยากจะให้มาทานอาหารร่วมกัน ฉลองที่หลานชายหายจากโรคร้าย” หวังเฟยหลงยืนขึ้นและดื่มไวน์แก้วเล็ก ๆ เพื่อดื่มให้กับเฉินหลง
เฉินหลงยิ้ม และกล่าวว่า“ ครั้งนี้ฉันก็มาดื่มให้พี่ชายฉัน ฉันหวังว่าพี่ชายทั้งสองจะรักกันและความเป็นพี่น้องจะดีเหมือนเดิมตลอดไป”
จากนั้นเฉินหลงจึงหยิบไวน์ออกมา
“มาเถอะ เพื่อพี่น้อง จากนั้นก็รินไวน์ให้ตัวเองหนึ่งแก้วยกแก้วขึ้นแล้วกล่าว
จากนั้นหวังเฟยหู หวังเจียน และตระกูลหวังต่างก็ยกแก้วขึ้นชนกัน
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยและดื่ม
อาหารบนโต๊ะนี้ทำโดยเชฟชั้นยอด รสชาติดี แถมเฉินหลงยังติดใจรสชาติอาหารมาก
ระหว่างรับประทานอาหารเฉินหลงได้แต่ขอโทษในใจ อาหารไม่ได้อร่อยเลย เขาได้แต่คิดว่า คราวหน้าจะทำอาหารเต็มโต๊ะให้พวกเขากินแทน
หลังจากรับประทานอาหารแล้วเฉินหลงก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหวัง
หลังจากนั้นหวังเฟยหลงขอให้หวังเฉียนจินที่คุ้นเคยกับเฉินหลงที่สุดให้ส่งเฉินหลงกลับไป
ถึงแม้ว่าหวังเจียนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินหลง แต่เขาก็ไม่สู้หวังเฉียนจิน ดังนั้นคนที่เหมาสมจะเป็นหวังเฉียนจิน
คราวนี้รถของหวังเฉียนจินไม่ใช่ BMW แต่เป็น โรสลอยด์ มิราจด์ II ที่ใหญ่ขึ้น
หลังจากกลับบ้านเฉินหลงนั่งลงบนโซฟาพลางเพลิดเพลินไปกับความสวยงาม
ก่อนหน้านี้เฉินหลงคิดว่านี่เป็นนักรบที่เก่งกาจและมีอำนาจมากในโลก เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคำสาปที่ทรงพลังขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะ “ไฟโดยกำเนิด” ของเขาคราวนี้เขาคงไมาสามารถแก้ไขสถานการได้ เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้คนในโลกก่อนหน้านี้เลยจริงๆ
หลังจากนั้นเฉินหลงก็นึกถึงคนที่ถูกส่งมา เมื่อฟังที่ไป๋ชิงเหวินพูด เฉินหลงมั่นใจได้ว่ามีคนแปดคนที่ถูกส่งมา เขาได้พบกับไป๋ชิงเหวิน หลินหยู จางเฟิงหยาน และหลานรีเย่ พวกเขาแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวเองส่วนที่เหลือเป็นคนแบบไหนเป็นคนแบบไหนมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง
ขณะที่เฉินหลงกำลังคิดถึงคนเหล่านี้ จู่ๆโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เฉินหลงหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและเห็นว่ามันเป็นเบอร์แปลก ๆ แต่เป็นหมายเลขท้องถิ่นของปักกิ่ง
“ใครครับ?” เฉินหลงถามว่า
“หลงตี้เหรอ?” อีกฝ่ายพูดภาษาถิ่นของหนานซี และฟังดูเป็นมิตรมาก
มีญาติเพียงไม่กี่คนที่เรียกเขาแบบนั้น
ในไม่ช้า เฉินหลงรู้ว่าอีกฝ่ายคือ เฉิน เซิน ลูกชายคนที่สองของลุง
“เฉินเซิน ตอนนี้อยู่ที่ไหน? เฉินหลงถามด้วยความตื่นเต้น
ได้ยินว่าเฉิน เซิน ทำงานในเมืองหลวงมาก่อน แต่ไม่ได้ติดต่อเขาตลอดเวลา ไม่คาดคิดมาก่อนว่าวันนี้เขาโทรมาหาตัวเอง
“เฉินหลง ขอยืมเงินหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงของเฉินเซินมีความวิตกกังวลเล็กน้อย
“ได้เลย ต้องการเท่าไหร่” เฉินหลงถาม
พี่น้องของพวกเขาดีมากตราบใดที่พวกเขาพูดเฉินหลงจะไม่มีวันปฏิเสธ ทำให้เฉินหลงยังคงร่ำรวยในตอนนี้
“ ห้า…ห้าแสน” น้ำเสียงของเฉินเซินฟังดูลำบากใจเล็กน้อย
“ไม่มีปัญหา ฉันเห็นหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคุณ ตอนนี้คุณอยู่ในเมืองหลวง และฉันก็อยู่ในเมืองหลวงด้วยฉันจะเอาไปให้ เราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ดังนั้นเราควรจะเจอกัน ”
เฉินหลงรู้ดีว่าเฉินเซินจะต้องตกที่นั่งลำบาก แน่ๆ เพราะเขาไม่เคยยืมเงินก้อนที่เกินตัวเขา ที่เขาไม่สามารถจ่ายได้ ถ้าถามเหตุผลเขาตรงๆ เขาจะไม่พูดอย่างแน่นอน เฉินหลงจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินเซินกันแน่
TB:บทที่ 172 นำของมาอย่างหนึ่ง
“อาหลง ตอนนี้ยังไม่ค่อยสะดวก แค่เอาเงินมาให้ก็พอ” เฉินเซินกล่าว
จู่ๆ เฉินหลงก็ได้ยินคนอื่นพูดคุยกันทางฝั่งของเฉินเซิน ว่าพวกเขาต้องการเงินสดหรืออะไรสักอย่าง แต่เสียงนั้นแผ่วเบาเกินไปและเขาก็ได้ยินไม่ค่อยชัด
“อาหลง ถ้าได้ก็เอาเงินมาให้หน่อยนะ”
เฉินเซินบอกที่อยู่ให้ โดยที่อยู่นี้ คือ ที่จอดรถของห้างสรรพสินค้า ดงเฉิน แห่งใหม่
“ตกลง เดี๋ยวจะไปที่นั่นนะ” เฉินวางสายโทรศัพท์ไว้นานและขับรถเฟอร์รารี 458 จากโรงรถไปยังห้างสรรพสินค้า ดงเฉินแห่งใหม่
หลังจากที่เฉินเซินวางสายโทรศัพท์ เขาก็พูดกับผู้ชายห้าคนในวัยราวๆยี่สิบกว่า ที่จับผู้หญิงไว้อยู่”
น้องชายของฉันสัญญาว่าจะเอาเงินมาให้ ปล่อยแฟนฉันไปได้แล้วนะ”
เฉินเซินอายุมากกว่าเฉินหลงสองปี เขาไม่สูงมาก เขาสูงประมาณหนึ่งเมตรเจ็ด และเป็นคนดูใจดี
และแฟนของเขาไม่สูงเท่าไหร่ ราวๆ หนึ่งเมตรหกสิบเซ็นต์ หน้าตาหวาน เป็นผู้หญิงที่สวย
เพื่อนของเฉินเซินยังอิจฉาเขาที่ได้มีแฟนสวยๆขนาดนี้
“ถ้าบอกว่าน้องชายมีเงิน แล้วเอาเงินมาให้ได้ ก็รอจนกว่าเขาจะมาแล้วกัน แต่แฟนแกก็สวยจริงๆนะ เป็นเหมือนดอกไม้งามเลยล่ะ ชายคนหนึ่งจับคางแฟนของเฉินเซิน และมองด้วยหางตา”
“ปล่อยแฟนฉันนะ น้องชายของฉันรวยมากรถทั้งหมดของเขาคือ แลนด์โรเวอร์ เขาจะเอาเงินมาให้เขา 500000 หยวน” เมื่อเห็นแฟนสาวของเขาถูกชายคนนี้แทะโลม เฉินเซินจึงรีบวิ่งเข้าใส่
อย่างไรก็ตามเฉินเซินเป็นคนซื่อสัตย์ไม่เคยต่อสู้เลย เขาก็ล้มลงกับพื้นสองครั้ง
“แกเป็นคนที่ขับมอเตอร์ไซค์ชน BMW ยังจะกล้าสู้กับฉันหรือ สงสัยแกจะเบื่อโลกแล้วล่ะ” ผู้ชายที่จับแฟนของเฉินเซินไว้ เอาเท้าเหยียบบนหน้าเฉินเซิน
“ปล่อยแฟนฉันนะ” แฟนของเฉินเซินร้องบอกเมื่อเห็นเฉินเซินถูกทำร้ายอยู่
“ไม่ต้องห่วงเซียวเหมยฉันสบายดี” เฉินเซินนอนอยู่บนพื้นพยายามที่จะยิ้มให้แฟนสาวของเขา
คำพูดของเฉินเซินทำให้ผู้ชายคนนั้นเหยียบเฉินเซินหนักขึ้น
อย่างไรก็ตามเฉินเซินยังคงยิ้มให้แฟนสาวของเขาแม้ว่าใบหน้าของเขาจะเจ็บปวดมากก็ตาม
“ พี่กวง อย่าทำร้ายเขาเลย เดี๋ยวก็ไม่ได้เงินจากญาติของเขาหรอก” เพื่อนของเพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่า
เขาครุ่นคิดแล้วก็เอาเท้าออกจากหน้าของเฉินเซินอย่างไม่เต็มใจ
เฉินเซินลุกขึ้นจากพื้นและยิ้มให้เซียวเหมย
อย่างไรก็ตามดวงตาของ เซียวเหมยรื้นไปด้วยน้ำตา เธอรู้ดีว่าแฟนหนุ่มของเธอยิ้มให้ตัวเองเพื่อที่จะไม่ต้องกังวลกับตัวเองแม้ว่าจะเจ็บปวดก็ตาม เธอสะเทือนใจมาก ผู้ชายคนนี้มีค่ากับชีวิตของเธอและเธอก็เลือกคนที่ใช่
ชายคนนั้นเตะไปที่หลังของเฉินเซินแล้วพูดว่า “เมื่อไรน้องแกจะมาเนี่ย”
“เขาบอกว่าจะมาเร็วๆนี้” เฉินเซินกล่าว
หลังจากที่เฉินเซินพูดจบเฟอร์รารี่ 458 สีแดงก็ขับเข้ามาในลานจอดรถ
กวงเกอมองไปที่เฟอร์รารีด้วยสายตาอิจฉา
เฉินหลงจอดรถแล้วเดินลงมา
หลังจากเห็นเฉินหลงลงมา กวงก็อดอิจฉาไม่ได้ที่เขาขับรถหรูขนาดนี้
“อาหลงหรอ” เฉินเซินมองเฉินหลงอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
เฉินหลงเปลี่ยนไปมากเกินไป เฉินเซินจำเขาไม่ได้จริงๆ
“เฉินเซิน ใครทำนาย” เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของเฉินเซิน ใบหน้าของเฉินหลงก็เปลี่ยนสี
“นี่แก เอาเงินมารึเปล่า” พี่กวงมองเฉินหลงอย่างหยิ่งผยอง
ทีขับเฟอร์รารี่ยังขับได้เลย
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ” เฉินหลงมองไปยังเฉินเซิน แล้วถาม
จากนั้นเฉินเซินก็บอกเฉินหลงว่าเกิดอะไรขึ้น
แน่นอน ตอนนั้น เฉินเซินและแฟนสาวมาที่ห้างสรรพสินค้า ขับมอเตอร์ไซค์มา ตอนที่กำลังจะขึ้นมอเตอร์ไซค์ จู่ๆ BMW 5 Series ก็ออกมาก็พุ่งเข้าชนพวกเขา
หลังจากนั้นพวกเขาก็ลงจากรถและคว้าเฉินเซินและบอกให้จ่าย มิฉะนั้นจะต้องชดใช้
หากมีเพียงเฉินเซินอยู่คนเดียวเฉินเซินก็ไม่จ่ายอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็เอาเซียวเหมยไปด้วยซึ่งทำให้เฉินเซินต้องยอมทำตาม
โชคดีที่เขารู้ว่าเฉินหลงอยู่แถวนี้ เลยโทรหาให้มาช่วย
“แค่รอยข่วนนี่ ต้องจ่ายครึ่งล้านหยวนเลยหรอ มันไม่มากไปหน่อยหรอ” เฉินหลงได้ฟังที่เฉินเซินเล่าแล้ว จากนั้นก็ชี้ไปที่รอยขีดข่วนที่ประตูและพูดจาดูถูก
พี่กวงไม่ต้องการคุยเรื่องไร้สาระกับเฉินหลงอีกต่อไป เขาพูดตรงๆว่า “ไม่สนหรอกว่ารอยนั่นจะถึง 500000 หยวนหรือไม่ แค่จ่ายมา 500000 หยวน ก็จะปล่อยคนของแกไป หากไม่ปล่อย ก็จะเอาผู้หญิงไปแล้วเล่นสนุกจนกว่าจะพอใจ ชัดเจนไหม”
เมื่อได้ยินคำพูดของพี่กวง เฉินเซินมองไปที่เฉินหลงอย่างไม่สบายใจ
เฉินหลงแสดงสีหน้ามั่นใจกับเขาแล้วพูดกับกวงว่า “ไม่ได้พกเงินมาน่ะ แต่มีอย่างหนึ่งที่พกมา อยากดูไหมล่ะ”
เมื่อนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินหลง
“ ไม่มีเงิน ก็เอารถแกมาซะ” เมื่อรู้ว่าเฉินหลงไม่ได้นำเงินมา กวงเกอจึงคิดจะเอาเฟอร์รารี 458 ของเฉินหลง
เมื่อเห็นว่ากวงเกอต้องการเฟอร์รารีของตัวเอง เฉินหลงก็อดหัวเราะไม่ได้ “หะ รอยข่วนเล็กๆนั่น จะเอาเฟอร์รารี่เลยหรอ”
“ใช่” บราเดอร์กวงกล่าว
“ ไม่ให้” เฉินหลงกล่าว
“งั้นจะเอาผู้หญิงคนนี้ละกัน เอาไปเล่นสนุกหลายๆวันหน่อย” กวงดึงเซียวเหม่ยขึ้นและมองด้วยสายตาชั่วร้าย
“เหรอ ไม่คิดว่าคุณจะพาไปได้หรอกนะ” เฉินหลงเล็งปืนพกไปที่กวงเกอ
ปืนนี้เป็นปืนที่เฉินหลงขอจาก เกาเฟิงเสี่ยว ครั้งที่แล้ว เพื่อเอามาใช้งาน
เมื่อเห็นปืนพกของเฉินหลงที่ปากกระบอกปืนเล็งมาที่ตัวเอง กวงเกอก็มือไม้อ่อน ขาสั่นจนควบคุมไม่ได้
“พี่ใหญ่อย่ายิงอย่าฆ่าฉัน ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดเอง ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว” กวงเกอคุกเข่ากับพื้น กล่าวซ้ำๆกับเฉินหลง
ไม่ว่าใคร หากถูกจ่อด้วยปืน ก็คงจะเข่าอ่อนกันหมด
เฉินหลงยิ้มและเล็งปืนไปที่คนอื่น ๆ
สหายทั้งสี่ของกวงคุกเข่าลงเพื่อขอความเมตตาจากเฉินหลงและบอกเขาว่าอย่าฆ่าพวกเขา
ในเวลานี้ไม่มีใครจับเซียวเหมยไว้แล้ว เธอจึงพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเฉินเซิน
เฉินหลงหยิบปืนและเดินไปที่กลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น ผู้ชายคนนั้นทำร้ายเฉินเซิน และเฉินหลงต้องการแก้แค้นให้เฉินเซิน
TB:บทที่ 173 ไอโอยู
“นาย นาย ฉันผิดไปแล้ว ฉันรู้ว่าฉันทำผิด โปรดอย่าฆ่าฉันเลย เมื่อเขาเห็นเฉินหลงมาหาเขาด้วยปืนเขากลัวจนแทบฉี่ราด ร้องขอความเมตตา เขาคิดว่าเฉินหลงจะ เข้ามาและยิงเขาในระยะใกล้
ในเวลานี้เขาหวังว่าตำรวจจะมา
เมื่อเห็นเฉินหลงถือปืนไปทางกวงเกอ เฉินเซินก็กลัวว่าเขาจะฆ่ากวงเกอด้วยปืนนัดเดียว เขาจึงตะโกนทันที “อาหลงใจเย็น ๆ ฉันโอเค”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะยังไม่ฆ่าเขา แต่ถ้าเขากล้าที่จะกวนประสาทฉัน ฉันจะเจาะกระโหลกเข้าแน่ๆ” เฉินหลงยิ้มให้เฉินเซิน
อย่างไรก็ตามรอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินหลงเหมือนกับรอยยิ้มของปีศาจในสายตาของกวงเกอ
หลังจากนั้นเฉินหลงก็ไปคุกเข่าต่อหน้าคนห้าคนพร้อมกับปืนมองมาที่เขาและพูดว่า “ตอนนี้ก็บอกได้แล้วสิ ใครทำพี่ชายฉันก่อน”
เมื่อเห็นการแสดงออกของ เฉินหลง ในการชำระบัญชี ท้องไส้ของกวงเกอก็ปั่นป่วน เอาเลยพี่ชาย ยิงมาเลยสิ
“ใช่เป็นพี่กวง” ผู้ชายคนหนึ่งชี้ไปที่พี่กวงและพูดตะกุกตะกัก
ส่วนที่เหลืออีกสามคนก็ชี้ไปที่พี่กวงอย่างรวดเร็ว
ถ้าเฉินหลงไม่มีปืน บางทีพวกเขาอาจยอมเจ็บไปพร้อมกับพี่กวง แต่กระสุนนั้นไม่มีตา เพื่อชีวิตของเขาเอง เขาไม่ควรทำเท่ตอนนี้
เฉินหลงมองไปที่กวงเกอด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “พูดออกไปแล้ว จะแก้ตัวยังไงล่ะ”
เมื่อเฉินจ่อปืนไว้ที่หน้าผากของกวงเกอนาน ๆ เป้ากางเกงเขาก็เริ่มเปียก เขากลั้นฉี่ไว้แทบไม่ได้
“พี่ใหญ่ อย่ายิงฉันเลย ฉันรู้ทำผิด โปรดปล่อยฉันไป เขากลัวมากจนไม่ได้ยินถึงคำพูดของเฉินหลงเลยเขาแค่ขอร้อง เพื่อความเมตตา
เมื่อเห็นสภาพจิตใจของกวงเกอ เฉินหลงก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ กวงเกอหวาดกลัวเกินไป เขาขยับปืนออกจากหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงฉันจะไม่ยิงหรอก ทีนี้แกจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร”
หลังจากได้ยินเฉินหลงบอกว่าเขาจะไม่ยิง กวงเกอก็สงบลงเล็กน้อย
“ฉันขอโทษ ฉันจะชดใช้ให้ทุกอย่าง ขอเพียงอย่าฆ่าฉัน”
กวงเกอต้องการรอด ดังนั้น ต่อให้เขาจะอึราดกางเกง เขาก็ยอม เพื่อให้เขารอด
ถ้าแค่พูดแบบนั้น มันก็ง่ายไป งั้นก็ขอโทษพี่ชายของฉันแล้วจ่ายเงินหนึ่งล้านหยวน” เฉินหลงกล่าว
รถของกวงเกอมี แต่รอยขีดข่วน เฉินเซินจะต้องจ่าย 500000 หยวน หากเฉินเซินถูกทุบตี เขาจะต้องจ่ายเงินเป็นล้านหยวน
เมื่อได้ยินเฉินหลงพูดเป็นเวลาหนึ่งล้านหยวน กวงเกอก็ตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็พยักหน้าทันที “ได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินมากหรือฉันสามารถช่วยคุณได้”
“เก็บเรื่องเงินไว้ก่อนก็ได้ ขอโทษก่อนสิ” เฉินหลงอยากจะเอาปืนจ่อหัวเขาอีกครั้ง แต่เมื่อคิดว่าแค่นี้ก็กลัวแทบฉี่ราดแล้ว ก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป
กวงเกอพยักหน้าอย่างรวดเร็วและเดินไปหาเฉินเซินและกล่าวว่า “ฉันขอโทษมันเป็นความผิดของฉันก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้เป็นอะไรโปรดยกโทษให้ฉันด้วย”
“ จริงใจหน่อย”
เฉินหลงเตือนฉันในด้านหลัง
พี่กวงนึกถึงเรื่องนี้และตบหน้าตัวเองสองครั้งกล่าวว่า “ฉันขอโทษ มันเป็นความผิดของเอง โปรดยกโทษให้ฉัน ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก”
เฉินรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทับอกอยู่ เลยไม่อยากแสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆในตอนนี้
“เฉินหลง ตกลงไปกันเถอะ” เฉินเซินผู้ซื่อสัตย์กล่าวในเวลานี้
เฉินหลงถือปืนพกไว้ในมือ ถ้าเจอตำรวจจับเข้าคุกแน่นอน เฉินเซินไม่ต้องการให้เฉินหลงติดคุกเพราะตัวเขาเอง
“ เดี๋ยวก่อนครับพี่” เฉินหลงพูดกับพี่กวง “ตอนนี้พี่ชายฉันโอเคแล้วเรื่องการขอโทษ เรามาพูดเรื่องค่าใช้จ่ายกันดีกว่า”
พี่กวงพยักหน้าซ้ำ ๆ และไม่กล้าแสดงความไม่พอใจใด ๆ
“ตอนนี้ยังไม่มีเงินล้านให้ แต่เอาเงินออกไปเลย แล้วทำไอโอยูมา บอกบัตรประชาชนและที่อยู่บ้านมาซะ และให้เวลาอีกหนึ่งวันในการเตรียมเงิน หากไม่พร้อม ฉันจะไปหาแกที่บ้านแน่ เฉินหลงพูดกับพี่กวง
หลังจากเฉินหลงพูดจบ พี่กวงก็รีบหยิบเงินของเขาออกมา
เมื่อเห็นเงินที่พี่กวงงมอบให้เฉินหลงก็อดไม่ได้ที่จะดูถูกเขา
ขับรถราคาหลายแสน แต่เงินมีไม่ถึงพันหยวน โห น่าสมเพศ
เฉินหลงดูหมิ่นพี่กวง เขาทำได้แค่ยิ้ม
“ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าเป็นคนน่าสงสาร เพราะหยิ่งมาก ทำไมหยิ่งได้ขนาดนี้ ?” เฉินหลงหยิบเงินและตบหน้ากวงเกอ
แม้กวงเกอจะถูกตบหน้า แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าที่ไม่พอใจ เขายังคงยิ้มและพยักหน้า
กวงเกอไม่กล้าทำอะไร ได้แต่เพียงยิ้มอย่างเดียว
“หัวเราะอะไร รีบเขียน ไอโอยู เร็ว ๆ ” เฉินหลงมองไปที่กวงเกอด้วยความรังเกียจและกล่าวว่าเขา
พี่กวงรีบหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาและเขียนไอโอยูบนหนังสือเล่มนั้น
หลังจากทำไอโอยูเสร็จ นั่นหมายความว่า กวงเกอเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลของเฉินอยู่ล้านหยวนซึ่งจะต้องจ่ายให้หมดภายในวันพรุ่งนี้
หลังจากนั้นเฉินหลงได้กยึดบัตรประชาชนของกวงเกอและถามว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน
จากนั้นพวกเขาก็จากไปด้วยสีหน้าแปลก ๆ ทิ้งกวงเกอที่ฉี่รดกางเกงไว้กับสหายทั้งสี่ของเขา ที่ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ที่นั่น
“พี่กวงเราจะทำยังไงต่อดี?” หนึ่งในสหายของกวงเกอกล่าว
“ออกไปจากที่นี่ซะพวกแก พวกแกมันไม่ดี ฉันทำดีกับพวกแก อยู่กับพวกแก ให้ความสนุกกับพวกแก แต่พอเกิดปัญหา แกกลับทิ้งฉัน” กวงเกอมองไปที่ทั้งสี่อย่างโกรธมาก
“พี่กวงก็เห็น ชายคนนั้นมีปืนอยู่ในมือ เราช่วยไม่ได้และถึงเขาจะไม่มี พี่ชายก็จะบอกว่าอย่าโทษเราเลย”
“ใช่ พี่กวง ในกรณีนั้นแม้ว่าเราจะช่วยก็ตามกล่าวคือเราควรจะตายด้วยกันเป็นการดีกว่าที่จะปกป้องร่างกายที่เป็นประโยชน์ของเราและล้างแค้นให้พี่ชาย”
“แกดูทีวีมากเกินไปแล้ว แถมสมองก็ไม่มี หากไม่แก้แค้นก็หุบปากไปซะ”
……
เมื่อมองไปที่สหายของเขา กวงเกอก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนไล่พวกเขาว่า “ออกไปให้หมดซะ”
อยากจะเตะพวกนั้นซะจริงๆ
หลังจากทุกคนออกไปแล้ว กวงเกอก็ขึ้นรถและขับออกไป
TB:บทที่ 174 ทำได้แล้ว
เมื่อเฉินหลงและเฉินเซินจากไป เฉินเซินยังคงต้องการขี่มอเตอร์ไซค์ ในขณะที่แฟนสาวของเขายังคงนั่งอยู่ที่เบาะหลังของมอเตอร์ไซค์ของเฉินเซิน
เมื่อเห็นเสี่ยวเหม่ย นั่งอยู่ข้างหลังเฉินเซิน เฉินหลงก็มีความสุขมาก ด้วยว่า ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้พบกับผู้หญิงที่รักเขาจริงๆ
เฉินเซินเดินตามเฉินไปที่บ้านพักของเขาด้วยมอเตอร์ไซค์
“น้องชายของคุณเป็นใคร?” เมื่อเดินทางไปบ้านพักของเฉินหลง เธอคิดถึงตอนที่เขาจะหยิบปืนออกมา เสี่ยวเหม่ยถามเบา ๆ
“อันที่จริงฉันไม่รู้น้องชายของฉันเปลี่ยนไปมากจนฉันแทบจำเขาไม่ได้เมื่อฉันพบเขาครั้งแรก” เฉินเซินยังกล่าวด้วยเสียงต่ำ
เฉินหลงเติบโตขึ้น แต่รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก สาเหตุหลักคือนิสัยใจคอของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ในอดีตเฉินหลงเป็นคนขี้แพ้ แต่ตอนนี้มั่นใจมาก โดยธรรมชาติแล้วเขาดูเหมือนมีสองคนในตัวเอง
จำน้องตัวเองไม่ได้เลยหรอ
เฉินเซินอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น เป็นเรื่องจริงที่เฉินหลงเปลี่ยนไปมากจนจำไม่ได้ เขาไม่โทษตัวเอง
“พี่กับพี่สะใภ้ เข้ามาสิ” เมื่อเห็นเฉินเซินจอดรถมอเตอร์ไซค์ของเขาที่ด้านนอกประตูเฉินหลงก็รีบกวักมือเรียกเฉินเซินและเสี่ยวเหม่ยให้เข้าไป
เฉินเซินและเสี่ยวเหม่ยลงจากรถมอเตอร์ไซค์และพร้อมที่จะเข้าไปในวิลล่า
เฉินเซินอยากมาที่นี่ แต่มอเตอร์ไซค์คันเก่าของเขาไม่เข้ากับวิลล่าเลย เขาจึงอายเกินไปที่จะขับรถเข้าไป
“พี่ครับขับรถด้วยครับ” สำหรับเฉินหลง ไม่ว่าจะมีมอเตอร์ไซค์หรือวิลล่าแบบไหน ในใจของเขาครอบครัวคือสิ่งที่มีค่าที่สุด
เมื่อเห็นเฉินหลง หัวใจของเฉินเซินเต็มไปด้วยความอบอุ่น
หลังจากที่เฉินเซินและเฉินหลงเข้าไปในวิลล่า เฉินเซินก็นั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น มองไปทางซ้ายและขวาแล้วพูดว่า “อาหลง วิลล่านี้เป็นของนายจริงๆหรือ”
เมื่อไม่นานมานี้เฉินหลงทำเหมือนตัวเองเป็นคนหาเงิน ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในวิลล่าหลังใหญ่ในปักกิ่งได้อย่างไร หลังจากอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี เฉินเซินก็ยังคงรู้ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวง แน่นอนว่าราคาหลายสิบล้าน
“แน่นอนมันเป็นของฉัน ไม่งั้นคงไม่กล้าเข้าหรอก เพราะถือว่าบุกรุกแน่นอน” เฉินหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำพูดของเฉินหลงปล่อยให้เฉินเซินและเสี่ยวเหม่ยยืนงง มีปืนมีวิลล่าของตัวเองนี่นะ
เมื่อเห็นการแสดงออกของเฉินเซิน เฉินหลงจึงบอกว่า “อันที่จริงแล้ววิลล่าหลังนี้ไม่ได้เป็นของฉันมาก่อนเพื่อนให้มาน่ะ ฉันมีเอกสารการโอนเงินอยู่ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปนะ”
“เพื่อนแบบไหนที่ให้วิลล่า?” เสี่ยวเหมยถามอย่างสงสัย
ให้วิลล่าราคาหลายสิบล้านเนี่ยนะ นี่มันเรื่องใหญ่จริงๆ เสี่ยวเหมยสงสัยว่าเฉินหลงมีไว้เพื่ออะไร
เฉินเซินก็ยังอยากรู้อยากเห็น
“ เพื่อนของฉันเป็นคนรวยมาก ฉันเบื่อที่จะเล่นในเมืองหลวงเมื่อเร็ว ๆ นี้เขาต้องการเปลี่ยนสถานที่เพราะฉันช่วยเขาสองสามครั้งเขาจึงส่งบางอย่างมาให้ฉัน” เฉินหลงอธิบายสั้น ๆ
หลังจากฟังคำอธิบายง่ายๆของเฉินหลง เฉินเซินและเสี่ยวเหม่ยต่างก็มองเฉินหลงด้วยสายตาแปลกๆ เฉินหลงดีขนาดที่เขายกวิลล่าให้เลยหรอ
เฉินเซินและเฉินหลงไม่ต้องการที่จะพูดต่อในเรื่องนี้ ก็เลยตัดบทไปว่า
“พี่ชาย ที่โรงงานตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ ไม่เป็นไร พี่สะใภ้ของนายทำเงินได้มากกว่า 10,000 หยวนต่อเดือนนอกจากค่าเช่าและค่าน้ำค่าไฟแล้วเธอยังสามารถประหยัดเงินได้ 10,000 หยวนต่อเดือน ซึ่งถือว่าไม่เลวเลย” เฉินเซินมองไปที่เสี่ยวเหม่ย
เมื่อได้ยินเฉินเซินพูดว่าเธอเป็นพี่สะใภ้ของเฉินหลง เสี่ยวเหมยหน้าแดงมาก
“พี่ชาย คุณจะทำงานที่นี่ในเมืองหลวงหรือคุณจะกลับบ้าน?” เฉินหลงถามคำถามที่หลายคนที่หลงทางในเมืองหลวงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
เฉินเซินยังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เขามองไปที่เสี่ยวเหม่ยและพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่รู้ฉันอยากทำงานที่นี่ในเมืองหลวงอีกสักสองสามปีและเก็บเงินไว้บ้าง”
เสี่ยวเหมยมองไปที่เฉินเซินด้วยการแสดงออกว่า “ฉันเป็นผู้หญิงของคุณ ฉันจะฟังคุณ”
เมื่อเห็นเฉินเซินและเสี่ยวเหม่ยเป็นแบบนั้น เฉินหลงก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
อย่างไรก็ตามโชคดีที่พวกเขามีแฟน ไม่งั้นคงจะแกล้งกันหนักแน่ๆ
“พี่อยากเปลี่ยนไปทำงานที่เงินเดือนสูง แต่งานเบา ๆไหม เราลองไปหาอะไรกินด้วยกันไหม” เฉินปล่อยให้คนสองคนแกล้งกันสักพัก เขาหันหน้าไปทางเฉินเซิน
เฉินเซินเป็นคนซื่อสัตย์และเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ไม่ว่าในกรณีใด บริษัท ของเขามีบุคคลสำคัญ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แต่เขาก็สามารถบริหารจัดการและบริหารงานบุคคลได้ โดยธรรมชาติแล้ว บริษัท ของเขาจะมีความลับหน่อยๆ
ดวงตาของเฉินเซินสว่างขึ้น และเขาก็รีบถามว่า “น้องชายนายมีงานที่ดีจริงๆหรือ อย่าโกหกนะ?”
แม้ว่าเขาจะทำงานได้ดีในโรงงานเดิม แต่เขาก็ยังเข้าใจความจริงนี้แม้ว่าเขาจะซื่อสัตย์ก็ตาม นอกจากนี้เขายังต้องประหยัดเงินเพื่อแต่งงาน ถ้าเขามีงานที่ดีขึ้น แน่นอนว่าเขาจะเปลี่ยนแน่ๆ
“ฉันไปกับเขาได้ไหม” เสี่ยวเหม่ยถามอย่างรีบร้อน เธอไม่ต้องการแยกจากเฉินเซินตอนนี้
“แน่นอน” เฉินหลงตอบ
ฉันเป็นผู้ดูแลบริษัทนี้ อีกไม่นานฉันจะกลายเป็น บริษัท เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก ถ้าฉันไม่สามารถจัดคนสักคนหรือสองคนได้ฉันคงต้องขายบริษัท ให้กับต่างประเทศ
เฉินเซินถามอย่างรวดเร็วและตื่นเต้น “น้องชายคุณหมายถึงโรงงานแบบไหน?”
เฉินเซินยังคิดว่าเฉินหลงกำลังจะไปแนะนำตัวกับโรงงานแห่งหนึ่ง
“มันไม่ใช่โรงงาน มันเป็นบริษัทเทคโนโลยีของ เว่ยหลง ฉันจะให้นายอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล เงินเดือนเดือนละ 100000 ถึงแม้ว่าจะน้อยไปหน่อย แต่ดูที่ผลประกอบการของ บริษัท ก็ดี เฉินหลงกล่าว
“ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเดือนละแสน”
เฉินเซินตกใจกลัวกับสิ่งที่เฉินหลงพูด
“น้องชาย นายจะปล่อยให้ฉันทำงานในไร่และทำงานด้วยตนเองฉันไม่มีปัญหา แต่ถ้าให้ฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล ฉันจะต้องทำยังไง จะอยู่ที่ไหน?” เฉินเซินกล่าวด้วยใบหน้าเศร้า
เฉินเซินทำงานหนักมาก ตอนนี้จะมาให้เขาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล เขาไม่มีความมั่นใจเลย
“เดี๋ยวจะให้คนสอนว่าจะทำยังไง คนเราไม่ได้เกิดมาพร้อมความสามารถนี้ แต่เราก็เรียนรู้ได้ ถ้าไม่ทำก็มีคนอื่นที่อยากทำ” เฉินหลงให้กำลังใจเฉินเซินด้วยเงินในเวลาเดียวกัน
เฉินเซินมองไปที่เสี่ยวเหม่ยและคิดว่าถ้าเงินเดือนของเขาอยู่ที่ 100,000 หยวนเขาสามารถทำให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เขาถามคำถามทันทีว่า “น้องชาย ฉันจะทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลคน”
“ตกลงพรุ่งนี้จะไปทำงาน” เฉินหลงตบไหล่เฉินเซิน
“ แล้วคุณจะให้ฉันทำงานอะไร” เมื่อเสี่ยวเหม่ยมีความสุขกับเฉินเซิน เธอก็ถามว่าจะทำตำแหน่งอะไร
“ฉันคิดว่าเป็นผู้อำนวยการของสำนักงานด้วยเงินเดือนละ 60000” เฉินหลงจัดงานให้เสี่ยวเหม่ยอีก
“เยี่ยมจริงๆ” เมื่อได้ยินว่าเธอมีรายได้ 60000 ต่อเดือน เสี่ยวเหมยก็กอดเฉินเซินด้วยความดีใจทันที
“อาหลงอยู่ตำแหน่งอะไรใน บริษัท ทำไมมีอำนาจมากขนาดนี้” เฉินเซินถาม
เฉินหลงตอบด้วยรอยยิ้ม “เพราะฉันเป็นเจ้าของบริษัทนี้น่ะสิ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น