เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 164-170

ตอนที่ 164 ฉันไม่อยากให้คนอื่นปฏิบัติ...

 

“ฉัน..” เสียงกู้จิ้งเจ๋อเริ่มคลายความเข้มงวดลง “ฉันแค่เป็นห่วงว่าเธอจะทำเรื่องไม่ดีอะไรอีก แต่ในเมื่อเธอก็ชี้แจงชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจะเชื่อเธอ” 


 


 


น้ำเสียงของโม่ฮุ่ยหลิงเศร้าสร้อยลงถนัดหูเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม [แน่ละว่าฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วแต่คุณยังไม่รู้จักฉันอีกเหรอคะ แค่เดินเหยียบมดตายฉันยังเศร้าเสียไม่มีดี แล้วนี่ฉันจะทำเรื่องแย่ๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน] 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อวางสาย และหวังลึกๆ อยู่ในใจว่าเขาคงจะคิดมากไปเอง 


 


 


พอเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหลินเช่อ เขามักจะคิดมากเกินเหตุโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอ 


 


 


เมื่อเดินกลับออกมาพบหลินเช่อ เขาจึงพูดกับเธอว่า “ถ้าเธอยังพอจะปฏิเสธได้อยู่ก็ยกเลิกงานโฆษณานั่นเถอะ” 


 


 


หลินเช่อว่า “ช่างเถอะค่ะ ถึงยังไงฉันก็เซ็นสัญญาไปแล้ว ขืนไปยกเลิกก็คงสร้างปัญหาให้บริษัทต้องวุ่นวายเปล่าๆ อีกอย่าง แล้วคุณโม่จะทำอะไรได้ละคะ จริงมั้ย” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหลินเช่อด้วยสายตามีความหมาย ก่อนที่สุดท้ายจะพยักหน้าแต่โดยดี “อ้อ ฉันจะบอกเธอเรื่องที่โรงเรียนเธอจะมีงานฉลองวันสถาปนาโรงเรียนมะรืนนี้น่ะ เธอจะไปร่วมงานด้วยใช่มั้ย” 


 


 


“โรงเรียนอะไรคะ” 


 


 


“ก็โรงเรียนประถมของเธอน่ะสิ” 


 


 


“หือ แล้วนี่คุณไปรู้มาได้ยังไงคะ” 


 


 


“มีคนมาบอกน่ะ” 


 


 


แม้จะยังงงๆ กับสิ่งที่เขาตอบ แต่หลินเช่อก็บอกไปว่า “จากที่ฉันจำได้ ฉันคิดว่ามันเป็นงานฉลองครบรอบห้าสิบปีนะคะ แต่ฉันคงไม่ไปหรอก” 


 


 


“ทำไมล่ะ” 


 


 


“ก็พวกเขาไม่ได้เชิญฉันนี่นา แถมไปคนเดียวก็คงไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ด้วย” 


 


 


“ในเมื่อมันเป็นโรงเรียนของเธอ ฉันก็อยากแวะไปด้วยสักหน่อย” กู้จิ้งเจ๋อว่า 


 


 


หลินเช่อหันมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีประหลาดใจ “หา ทำไมล่ะคะ” 


 


 


“ก็ฉันยังไม่ค่อยรู้นี่ว่าตอนเป็นเด็กเธอเป็นยังไง เลยอยากไปดูหน่อย” 


 


 


หลินเช่อมองเขาอย่างประหลาดใจก่อนจะก้มหน้าและบิดมือบิดไม้ไปมา เอ่ยอย่างเขินๆ ว่า “ตอนเป็นเด็กประถม ฉันโง่จะตายไปค่ะ…” 


 


 


“อืม อันนั้นก็พอจะดูออกอยู่หรอก แล้วฉันก็คิดว่าเธอไม่ได้มีพัฒนาการขึ้นเท่าไหร่ด้วย” 


 


 


“…” 


 


 


หลินเช่อจำได้ไม่ชัดเจนนักว่าชีวิตในวัยประถมของเธอเป็นอย่างไร เธอจำได้เพียงบึงน้ำแสนสวยที่อยู่ข้างโรงเรียน เธอและเฉินโยวหรานมักจะไปเล่นที่นั่นกันเสมอๆ หลินเช่อยังจำต้นไม้ที่ปลูกเป็นแนวยาวสองแถวขนานกันไปและแผ่กิ่งก้านเขียวสดใสปกคลุมในช่วงฤดูร้อนได้ 


 


 


สมัยเป็นเด็กประถม หลินเช่อเรียนหนังสือไม่เก่งนัก เธอเลยไม่เป็นที่รักของคุณครูคนไหน และไม่ค่อยจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเธอเท่าไหร่ นี่เป็นสาเหตุให้เธอต้องถูกทำโทษด้วยการถูกสั่งให้ยืนหรือไม่ก็คัดลายมืออยู่เป็นประจำ 


 


 


ไม่ช้า กู้จิ้งเจ๋อก็ขับรถพาหลินเช่อมาถึงประตูโรงเรียน 


 


 


โรงเรียนประถมที่มีอายุห้าสิบปีแห่งนี้ยังคงดูเหมือนแต่เกินไม่ผิดเพี้ยน 


 


 


แต่ความจริงแล้วมันถูกทาสีใหม่ ทำให้ดูสดใสกว่าที่เคยเป็นอยู่เล็กน้อย 


 


 


เมื่อเข้ามาในโรงเรียน เธอก็ได้เห็นการตกแต่งประดับประดาเพื่อการเฉลิมฉลอง เสียงพูดคุย เสียงอึกทึกอันน่าตื่นเต้นและผู้คนมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มีศิษย์เก่าผู้ทรงเกียรติ ผู้อุปถัมภ์ และแม้กระทั่งคนสำคัญๆ มากมายจากเมือง B ก็มาร่วมงานด้วย 


 


 


ทันทีที่กู้จิ้งเจ๋อก้าวลงจากรถ ทีมงานที่รออยู่ที่ประตูทางเข้าก็รีบตรงเข้ามาต้อนรับ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้าวลงจากรถ มีหลินเช่อตามมาติดๆ 


 


 


“ยินดีต้อนรับครับคุณกู้” 


 


 


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณกู้มาร่วมงานฉลองครบรอบห้าสิบปีของโรงเรียนเรา การมาเยือนของคุณกู้ช่วยนำแสงสว่างมาสู่โรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้เป็นอย่างยิ่งนะครับ” 


 


 


“เรามีคนดังมากมายที่เคยเรียนที่นี่ รวมถึงคนสำคัญในแวดวงการมืองและธุรกิจตอนนี้ด้วย หรือแม้แต่นักแสดงภาพยนตร์และนักธุรกิจ ทุกคนล้วนแต่ช่วยนำเกียรติยศและความภาคภูมิใจมาสู่โรงเรียนของเรา” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันไปมองหลินเช่อที่ยืนอยู่ข้างตัวด้วยท่าทีอันเป็นปกติ “ใช่แล้ว หลินเช่อเองก็จบจากโรงเรียนของคุณเหมือนกัน และนั่นคือเหตุผลที่ผมอยากมาร่วมงานวันนี้เพื่อเยี่ยมชมโรงเรียนด้วย” 


 


 


เพียงเท่านี้ บรรดาบอร์ดบริหารของโรงเรียนก็สังเกตเห็นหลินเช่อที่เดินตามหลังมาเงียบๆ 


 


 


พวกเขาใช้เวลาครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะแสดงปฏิกิริยาตอบรับ พวกเขายิ้มและพูดว่า “ใช่แล้วครับ ใช่แล้ว นักเรียนหลินเช่อเป็นศิษย์เก่าที่น่ายกย่องของโรงเรียนเรา เราตั้งใจที่จะเชิญเธอมา แล้วก็แขวนป้ายชื่อเธอเอาไว้ในรายชื่อศิษย์เก่าที่ทรงเกียรติ” 


 


 


แต่หลินเช่อกลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่น่าจะจำได้ด้วยซ้ำว่าเด็กนักเรียนยากจนอย่างเธอเคยเป็นนักเรียนของโรงเรียนนี้ 


 


 


กลุ่มคนที่มาต้อนรับพากันเชื้อเชิญกู้จิ้งเจ๋อและหลินเช่อเข้าไปภายในงาน 


 


 


ศิษย์เก่าหลายคนพากันหันมามองเป็นตาเดียวกันและนึกสงสัยว่าใครกันที่เพิ่งมาถึง 


 


 


หลินลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน เธอได้รับเชิญมาร่วมงานนี้ในฐานะศิษย์เก่าผู้ทรงเกียรติ 


 


 


เพราะว่าตระกูลหลินนั้นไม่ใช่ตระกูลธรรมดา ตลอดระยะเวลาหลายปี พวกเขาบริจาคเงินจำนวนมากให้กับทางโรงเรียน ด้วยเหตุนี้เมื่อหลินลี่มาเรียนหนังสือที่นี่ ทุกคนจึงดูแลประคบประหงมเธอเป็นอย่างดี จนถึงตอนนี้ที่เธอกลายเป็นดาราดัง เธอจึงได้รับเชิญให้มาร่วมงานเพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับโรงเรียน 


 


 


อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เธอเห็นว่ามีผู้คนมากมายที่กำลังยืนห้อมล้อมทางเขางานเอาไว้และพยายามชะเง้อชะแง้ดู หญิงสาวยังคงนึกสงสัยว่าใครกันที่มาถึงงาน ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งของเธอถามขึ้นว่า “เอ๊ะ นั่นใครมาน่ะ” 


 


 


อีกคนตอบว่า “นี่เธอไม่รู้เหรอว่าวันนี้กู้จิ้งเจ๋อจะมาน่ะ” 


 


 


เมื่อหลินลี่ได้ยิน เธอก็รีบเงยหน้าขึ้นทันที ด้วยความประหลาดใจที่ผุดขึ้นมา เธอรีบเช้อมองตรงไปที่ประตูทางเข้า 


 


 


“ไม่มีทางที่คนระดับกู้จิ้งเจ๋อจะเรียนจบจากที่นี่แน่ ใช่มั้ย” 


 


 


“ไม่มีทางหรอกย่ะ เขาเรียนโฮมสคูลกับครูส่วนตัวตอนเป็นเด็ก พอโตแล้วก็ไปเรียนต่อต่างประเทศน่ะ” 


 


 


“งั้นเขามางานนี้ทำไมน่ะ” 


 


 


“ดูเหมือนเขาจะมากับหลินเช่อนะ เธอจำหลินเช่อได้รึเปล่า นักเรียนในชั้นเราที่เรียนห่วยๆ น่ะ” 


 


 


“จำได้สิ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นหลินเช่อดาราดังแล้วนะ นี่เธอไม่ดูทีวีหรือไงกันจ๊ะ” 


 


 


“อะไรนะ หล่อนกลายเป็นดาราแล้วเรอะ” 


 


 


หลินลี่ไม่อาจทนฟังต่อไปได้ หล่อนบีบมือบีบไม้ด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่จะได้เห็นหลินเช่อเดินเคียงมากับกู้จิ้งเจ๋อ ทั้งสองเดินคล้องแขนกันและตกเป็นเป้าดึงดูดสายตาทุกคู่ คณะที่เดินตามติดพวกเขามาก็มีทั้งบอดี้การ์ด พนักงานดูแลความปลอดภัยที่ล้วนแต่งกายในชุดสีดำ สร้างความรู้สึกของความเป็นผู้ทรงอำนาจให้กับทุกคนที่ได้พบเห็น 


 


 


“สมเป็นกู้จิ้งเจ๋อจริงๆ เลยนะ ไม่ว่าจะย่างกรายไปไหน ก็ต้องมีคนคอยดูแลความปลอดภัยทั่วทุกที่ ถ้าหลินเช่อคบหากับเขาจริงละก็ นับว่าเป็นแจ็กพ็อตโดยแท้เลยเชียวละ” 


 


 


“ตอนยังเป็นเด็กนี่ ไม่ยักรู้เลยนะว่าเขาจะมาได้ไกลขนาดนี้น่ะ” 


 


 


“โชคดีนะเนี่ย ที่ตอนเด็กๆ ฉันไม่เคยรังแกเขา ไม่อย่างงั้นถึงตอนนี้เราจะทำยังไงกันล่ะ” 


 


 


หลินลี่หน้าถอดสีทันที เธอชะเง้อมองไปด้วยความริษยาเต็มอก ทั้งกลอกตา และยิ้มเหยียด ก่อนที่จะเดินผละหนีออกมาเพราะทนฟังคนพูดถึงหลินเช่อต่อไปอีกไม่ไหว 


 


 


บรรดาเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนต่างพากันค้นหาข้อมูลหลินเช่อกันจ้าละหวั่น พวกเขารีบตรวจดูบันทึกรายชื่อ และก็แน่นอนว่าในบรรดานักเรียนที่เรียนจบจากที่นี่ มีชื่อของหลินเช่อด้วยจริงๆ 


 


 


คณะกรรมการของโรงเรียนหัวเสียหนักถึงขนาดดุด่าลูกน้องเสียยกใหญ่ “แล้วก่อนหน้านี้มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลินเช่อนั่นจบจากโรงเรียนเรา” 


 


 


ผู้ใต้บังคับบัญชารีบแก้ตัวกันพัลวันว่า “ตอนนั้นเธอยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังน่ะครับ ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะมาดังชั่วข้ามคืนในปีนี้นี่เองไม่ใช่หรือครับ เราก็เลยไม่ทันได้สังเกต อีกอย่าง เกรดเธอตอนที่ยังเป็นนักเรียนก็ไม่ค่อยดีนัก พูดง่ายๆ ก็คือเธอไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรให้ต้องใส่ใจน่ะครับ” 


 


 


“จะเป็นยังไงฉันไม่สน! พวกเธอทุกคนจงกลับไปหามาว่าหลินเช่อเรียนอยู่ห้องไหนสมัยประถม และใครเป็นครูผู้สอน และต่อให้ต้องยกยอปอปั้นอะไรก็ต้องช่วยกันทำให้ถึงที่สุด เพื่อให้ออกมาดูดีที่สุด” 


 


 


แน่นอนว่าในระยะเวลาไม่นาน พวกเขาก็สามารถควานหาตัวครูประจำชั้นมายืนอยู่ตรงหน้าหลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อได้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งโดยมีหลินเช่อนั่งอยู่ข้างๆ ผู้เป็นอดีตครูประจำชั้นแทบไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวงดงามที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างยิ่งตรงหน้านี้คือเด็กหญิงที่มักนั่งอยู่แถวหลังห้องเป็นประจำเมื่อครั้งอดีต 


 


 


“หลินเช่อ ฉันเป็นอดีตครูประจำชั้นของเธอไงล่ะ ครูหู ไอ้หยา ไม่ได้เจอเธอมาตั้งหลายปีแล้วนะ เธอโตเป็นสาวสวยขึ้นมากทีเดียว เมื่อก่อนฉันมักจะลงโทษเธอเป็นประจำ เธอคงจะจำได้ละมั้ง” 


 


 


แน่นอนว่าหลินเช่อจำได้ 


 


 


แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร กู้จิ้งเจ๋อก็ตวัดสายตาเย็นชาไปทางคุณครูเสียก่อนแล้ว 


 


 


นี่คือครูที่ใส่ความหลินเช่อและบังคับให้เธอต้องยืนในกองขยะอย่างนั้นหรือ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเป็นผู้ชายที่มักหาทางแก้แค้นกับเรื่องเล็กน้อยทุกเรื่อง และเขารู้สึกไม่ชอบใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะเมื่อได้คิดว่าหลินเช่อถูกรังแกมากแค่ไหนในสมัยยังเป็นเด็ก ทั้งที่ตัวเล็กขนาดนั้น หนำซ้ำยังไม่มีใครคอยช่วยอีกต่างหาก  

 

 


ตอนที่ 165 หญิงสาวผู้ปราศจากความกังวล

 

คุณครูมองดูหลินเช่อพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะจำเธอได้ เขาไม่ได้เจอเธอมาร่วมสิบปีแล้ว ทำให้เกือบจำเธอไม่ได้เลยทีเดียว


 


 


ตอนนี้เขานึกถึงหลินเช่อในวัยเด็กออกแล้ว ตอนนั้นหลินเช่อและหลินลี่ต่างก็เป็นเด็กในชั้นเรียนของเขา


 


 


แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน เขามักช่วยหลินลี่รังแกหลินเช่ออยู่เสมอ สาเหตุก็เนื่องมาจากว่าหลินเช่อไม่ใช่คนเรียนเก่ง หนำซ้ำยังเป็นเพียงลูกนอกสมรสของตระกูลหลินอีกด้วย เขาจึงไม่ชอบใจเด็กคนนี้เป็นการส่วนตัว ก็ครูคนไหนล่ะที่จะไม่ชอบเด็กที่มาจากครอบครัวดี ประวัติดี มีผลการเรียนเลิศบ้าง นักเรียนอย่างหลินเช่อนั้นไม่เคยมีพ่อแม่มาร่วมการประชุมผู้ปกครองเลยสักครั้ง แถมผลการเรียนยังรั้งท้ายอยู่เสมอจนกระทั่งเรียนจบ


 


 


แต่กระนั้นเขาก็ไม่คาดคิดเลยว่าสิบปีต่อมา หลินเช่อจะกลายเป็นดาราดังแบบนี้ได้


 


 


ความจริงที่ว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงนั่นก็น่าทึ่งมากแล้ว


 


 


และตอนนี้เขากำลังนึกเสียใจที่เคยปฏิบัติกับหลินเช่อไม่สู้ดีนักในอดีต โดยเฉพาะเมื่อเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าชีวิตคนเรานั้นสามารถผกผันขึ้นลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เด็กหญิงที่มีแต่จะโดนรุมรังแกอยู่ตลอด บัดนี้กลับมายืนอยู่เคียงข้างบุตรชายคนที่สองของตระกูลกู้ ตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ C


 


 


หลินเช่อมองหน้าครูหูอย่างไม่ใส่ใจนัก เธอไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาก็คือนิสัยเย่อหยิ่งยโสและท่าทีที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบหน้าเธอ ซึ่งในตอนนนั้นมันทำให้เด็กหญิงเยาว์วัยอย่างเธอทวีความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่ามาโดยตลอด


 


 


แต่บัดนี้เขากลับกำลังมองดูเธออย่างนอบน้อม ใบหน้าเต็มไปด้วยแววประจบสอพลอซึ่งทำให้หลินเช่อรู้สึกว่าเขาเป็นคนสองบุคลิก


 


 


เธอมองหน้าครูประจำชั้นแล้วเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “ยินดีที่ได้เจอค่ะคุณครู”


 


 


“เอ้อ อ่า ดี ดี” ครูหูรับคำตะกุกตะกัก


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อดึงแขนข้างหนึ่งของหลินเช่อไว้ หันไปมองครูหูแล้วพูดว่า “ครูหู ผมได้ยินหลินเช่อพูดถึงครูอยู่บ่อยๆ เรื่องที่ว่าเธอได้รับการ ‘ดูแลเป็นพิเศษ’ จากคุณครู”


 


 


ครูหูตัวสั่นขึ้นมาฉับพลัน เขาเห็นมุมปากของกู้จิ้งเจ๋อกระตุกขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั่นก็ส่งให้ครูหูเย็นวาบไปทั่วตัว


 


 


หลังจากนิ่งคิดไปเป็นครู่ เขาก็รีบหันไปพูดกับหลินเช่อว่า “ตอนนั้นฉันรู้ยังไงล่ะว่าอนาคตเธอจะต้องไปได้ไกลมากแน่ เพราะอย่างนี้ฉันก็เลยเข้มงวดกับเธอเป็นพิเศษ ฉันหวังว่าเธอจะสามารถสร้างอะไรให้ตัวเองได้ แล้วก็ดูสิว่าฉันคิดไม่ผิดเลย ตอนนั้นพี่สาวของเธอก็อยู่ในชั้นเรียนเดียวกันด้วย แล้วดูสิว่า ตอนนี้เขาสู้เธอได้ที่ไหน นี่แหละผลของความอุตสาหพยายามของเธอ ตอนนี้เธอมีชื่อเสียงกว่าพี่สาวแล้ว แถมยังมีความสามารถมากกว่าด้วย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉัน…”


 


 


หลินลี่พยายามจะเดินเข้ามาหาคนทั้งสาม แต่เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่ครูหูพูดถึงเธอลับหลัง หญิงสาวก็โกรธจัดอกแทบระเบิด


 


 


ตอนเป็นนักเรียนนั้น เธอปรนเปรอคุณครูประจำชั้นด้วยของขวัญสารพัด เพื่อให้เขาหาทางลงโทษหลินเช่อให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด


 


 


แต่พอมาตอนนี้ เขากลับกล้าพูดว่าเธอสู้หลินเช่อไม่ได้งั้นรึ


 


 


ถึงแม้ว่าระยะนี้หลินเช่อจะมีผลงานออกทางหน้าจอโทรทัศน์ค่อนข้างบ่อยก็เถอะ…


 


 


แต่วงการบันเทิงน่ะเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้หรอกนะ โอกาสของเธออาจจะยังมาไม่ถึง หรือใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้เธออาจจะหายไปจากวงการเลยก็ได้


 


 


หลินเช่อมองหน้าครูหูแล้วก็อดนึกอย่างกระอักกระอ่วนไม่ได้ว่าความพยายามของเธอคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความชิงชังที่เขามีให้เธอเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนอย่างแน่นอน


 


 


ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามเรียนหนักเมื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียนการแสดงให้ได้ ผลการเรียนของเธอที่นั่นเป็นผลมาจากการทุ่มเทอย่างหนักจริงๆ เพื่อที่จะทำให้ผู้คนที่ดูถูกเธอได้เห็นว่าเธอไม่ได้เป็นคนไร้ค่า


 


 


ด้วยเหตุนี้หลินเช่อจึงไม่อยากจะเอ่ยปากขอบคุณสำหรับ ‘การสนับสนุน’ ที่เขามอบให้


 


 


ครูหูรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อเอาแต่จ้องหน้าเขาไม่เลิก เขาจึงเลี่ยงด้วยการก้มหน้าลง และได้เห็นบางอย่างบนรองเท้าของหลินเช่อ เขาร้องขึ้นว่า “ไอ้หยา ดูสิ ทำไมรองเท้าเธอถึงได้เปื้อนไปหมดแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวฉันช่วยเช็ดให้นะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตาไปหาบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ไม่ห่าง


 


 


แล้วพวกเขาก็เคลื่อนตัวมาข้างหน้าโดยปราศจากเสียง


 


 


ทันใดนั้นครูหูก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียการทรงตัว โงนเงนล้มลงมาทางทิศที่หลินเช่อยืนอยู่


 


 


หลินเช่อตกใจ เธอรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่เอื้อมมาคว้าเธอเอาไว้จากทางด้านหลังและดึงร่างเธอให้ถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว หลินเช่อรู้ดีว่าเป็นมือของกู้จิ้งเจ๋อ เธอจึงไม่รู้สึกตกใจอะไร


 


 


แต่ครูหูนั้นโชคไม่ดีเท่าไหร่


 


 


เขาเกือบจะล้มลง ร้อนถึงผู้อำนวยการและคณะกรรมการของโรงเรียนต้องช่วยพยุงกันอย่างทุลักทุเล


 


 


ครูหูรีบกุลีกุจอลุกขึ้น แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับปรายตามองอย่างไม่แยแส เขาใช้มือข้างหนึ่งกันหลินเช่อเอาไว้ขณะพูดกับครูหูว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”


 


 


“ผม…ผม…” ครูหูรีบละล่ำละลักขอโทษ พลางลนลานโค้งคำนับทั้งที่หน้าแดงก่ำ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเอ่ยว่า “ผมเพียงแต่มาร่วมงานสถาปนาโรงเรียนครั้งนี้ก็เพราะหลินเช่อ เพราะว่าผมอยากเห็นว่าชีวิตของหลินเช่อที่นี่สมัยเด็กๆ เป็นยังไงกัน แต่ไม่คิดเลยว่าพวกคุณจะทำให้เธอตกใจแบบนี้”


 


 


คณะกรรมการของโรงเรียนคนหนึ่งรีบผลักครูหูไปข้างหลังและพร่ำขอโทษขอโพยกับหลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อไม่ขาดปาก “ท่านประธานกู้ครับ ท่านประธานกู้ ครูหูไม่เจตนาน่ะครับ เป็นความผิดพลาด ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เราไม่ได้ดูแลเขาให้ดีเท่าไหร่ ดูเขาสิครับ อายุตั้งสี่สิบเข้าไปแล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงด้วย…”


 


 


“ฉันไม่สนใจว่าเขาจะแก่ จะพิการ หรือจะป่วย แต่เขาทำให้หลินเช่อตกใจ!”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของคณะกรรมการโรงเรียนก็ซีดเผือดด้วยความตระหนก เขารีบหันไปสั่งการว่า “มาเอาตัวออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


และหันมาพูดกับกู้จิ้งเจ๋อว่า “เราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เด็ดขาดที่สุดเลยครับ เราจะสั่งการลงโทษเขาอย่างที่เขาสมควรได้รับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยกแขนขึ้นกันหลินเช่อเอาไว้เป็นครู่ใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเย็นชา


 


 


“ก็ได้ ในเมื่องานสถาปนาโรงเรียนเป็นวาระมงคล เราจะไม่เอาเรื่องก็แล้วกัน แต่ฉันแค่ไม่อยากจะเห็นหน้าคนแบบนี้อีกแล้วเท่านั้น”


 


 


“ครับๆ แน่นอนที่สุด แน่นอนที่สุดเลยทีเดียวครับ”


 


 


คณะกรรมการโรงเรียนรีบพูดลนลานพูดต่อ “ถ้ามองไปทางนั้น ก็จะเห็นหอประชุมของโรงเรียนเรา เมื่อก่อนนี้ หลินเช่อเองก็น่าจะเคยยืนดูการแสดงจากตรงนั้น นี่เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดของโรงเรียนเรา…”


 


 


หลังจากนั้นทุกคนก็พากันออกเดินเรียงแถวบ่ายหน้าไปยังทิศที่ตั้งของหอประชุม พลางเหลียวมองบรรยากาศโดยรอบ


 


 


ทางด้านหลัง มีคนเห็นครูหูถูกลากตัวออกไป ผู้ที่ได้เห็นเหตุการณ์จึงพากันซุบซิบกันอย่างอื้ออึงด้วยเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้น


 


 


“ครูหูสมควรโดนแล้วละ สมัยก่อนน่ะ เขาแอบรับเงินใต้โต๊ะตั้งมากมาย เป็นจอมฉ้อฉลแล้วก็ร้ายกาจที่สุด ไม่เข้าใจว่ามีคนยกย่องเขาเป็นครูดีเด่นได้ยังไงกัน”


 


 


“ที่สำคัญที่สุด เมื่อก่อนเขาเอาแค่คอยกลั่นแกล้งหลินเช่อน่าดูเลยเชียว”


 


 


“ตอนนี้หลินเช่อโชคดีขนาดหนัก ก็เลยพาผู้ชายของตัวเองกลับมาแก้แค้นน่ะสิ”


 


 


“นี่ทางโรงเรียนกลัวเขาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แค่ขมวดคิ้วทีเดียว อีตาครูหูก็ถูกลากออกไปทันทีเลย”


 


 


“ไม่เห็นต้องถามเลย เขาน่ะแค่โบกมือครั้งเดียว โรงเรียนก็ต้องปิดตัวไปเลยนะ”


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อนี่อารมณ์ร้อนเหมือนกันนะ”


 


 


“ก็ที่อารมณ์ร้อนเพราะเขามีอำนาจที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้น่ะสิ”


 


 


“จะว่าไป กู้จิ้งเจ๋อนี่ไม่ใช่คนที่ใครจะเข้าถึงได้ง่ายๆ เลยนะ ทำไมหลินเช่อถึงได้โชคดีขนาดนี้เนี่ย เธอเจอกับกู้จิ้งเจ๋อได้ยังไง สุดยอดแห่งความเฮงชะมัด”


 


 


ทุกคนพากันมองตามด้วยความริษยาเมื่อกู้จิ้งเจ๋อเดินออกไป สายตาที่มองตามและใบหน้านั้นล้วนเต็มไปด้วยความปรารถนาชื่นชม


 


 


ถึงแม้หลินเช่อจะเป็นคนหัวช้า แต่เมื่อหันไปมองกู้จิ้งเจ๋อ เธอก็เข้าใจได้แล้วว่าเจตนาของเขาที่มาร่วมงานครั้งนี้คืออะไร


 


 


เมื่อได้รับการนำชมโรงเรียนเป็นที่เพียงพอแล้ว กู้จิ้งเจ๋อก็บอกกับทุกคนว่า เขาต้องการเดินดูรอบๆ โรงเรียนกับหลินเช่อตามลำพัง


 


 


เมื่อทุกคนแยกตัวออกไป หลินเช่อก็เหลือบตามองชายหนุ่ม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้นว่า “สภาพของโรงเรียนก็ไม่เลวเลยทีเดียวนะ”


 


 


หลินเช่อหันมองตามและพยักหน้า “ใช่ค่ะ ถึงจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ที่นี่ก็เป็นโรงเรียนเก่าแก่ ดูโน่นสิคะ ฉันชอบไปเล่นน้ำตรงนั้นอยู่บ่อยๆ ละค่ะ เฉินโยวหรานกับฉันจะไปทำการบ้านด้วยกันที่นั่น แล้วก็ค่อยกลับบ้านหลังจากทำเสร็จ แล้วก็ตรงโน้นด้วย เราเคยไปที่นั่นหลังจากเรียนคาบที่สองของทุกวันเพื่อออกกำลังกาย คุณอาจจะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนละมั้ง เป็นการออกกำลังกายที่สนุกมากเลยละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมองขณะที่หลินเช่อคุยจ้อเสียงดัง ท่าทางมีความสุขเมื่อชี้ให้ดูตรงโน้นตรงนี้ พลางเล่าถึงความทรงจำที่ผ่านมา


 


 


ก่อนหน้านี้กู้จิ้งเจ๋อไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมหลินเช่อถึงได้เป็นคนที่ดูสบายอกสบายใจไร้กังวลเหลือเกิน แต่ตอนนี้เมื่อได้ลองคิดดูแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวเคยชินกับชีวิตแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน่าเศร้าแค่ไหน เธอก็จะยิ้มได้เสมอเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ยิ้มได้เมื่อเธอเล่าถึงมัน นี่วันเด็กของเธอต้องผ่านกับอะไรมาบ้างถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้กันนะ… 

 

 


ตอนที่ 166 สาวน้อยคนนี้ชักจะหึงแล้วสินะ

 

กู้จิ้งเจ๋อจับมือเธอโดยไม่พูดว่าอะไร 


 


 


หลินเช่อตัวแข็ง 


 


 


แต่เขาก็เพียงแต่จับมือเธอไว้โดยไม่ยอมปล่อย และไม่ได้หันมามองเธอ 


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกำลังมองตรงไปข้างหน้าและพูดว่า “ไปกันเถอะ เราไปดูทางด้านหน้ากันซะหน่อย” 


 


 


มือของหลินเช่อสั่นเล็กน้อย เธอก้มลงมองมือเขาที่จับมือเธอไว้ อดยิ้มออกมาไม่ได้ หญิงสาวก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นและเดินตามหลังคนตัวใหญ่กว่าไป 


 


 


หลินเช่อจำได้ถึงตอนที่เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้างสมัยยังเป็นนักเรียน 


 


 


ตอนนั้นเธอเพียงแค่เล่าให้ฟังโดยไม่ได้คิดอะไร และก็ไม่คาดหวังด้วยว่าเขาจะจำสิ่งที่เธอพูดได้ 


 


 


หลินเช่อยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดเมื่อเดินไปพร้อมๆ กับกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


จนเมื่อถึงเวลาที่จะต้องลากลับ ทางโรงเรียนก็จัดการใส่ชื่อหลินเช่อเอาไว้ในตำแหน่งสูงสุดของรายชื่อศิษย์เก่าทรงเกียรติ 


 


 


หลินลี่นั้นโกรธแทบกระอักเมื่อได้เห็นป้ายชื่ออันมหึมาของน้องสาว หนำซ้ำยังต้องมาเห็นหลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋ออยู่ด้วยกันอีกต่างหาก แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลินอวี่แล้ว หลินลี่จึงตัดสินใจที่จะไม่เดินเข้าไปหาคนทั้งคู่ 


 


 


จนกระทั่งกลับถึงบ้าน หญิงสาวจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หันไฉ่อิงฟังอย่างขุ่นแค้น 


 


 


“แม่คะ แม่ไม่ได้เห็นว่านังหลินเช่อจอมไร้ค่านั่น ตอนนี้กำลังชูคออวดความสำเร็จของตัวเองขนาดไหน” 


 


 


หันไฉ่อิงถามด้วยความใคร่รู้ “คราวนี้มันทำอะไรอีกล่ะ” 


 


 


หลินลี่ว่า “ก็วันนี้ที่งานวันสถาปนาโรงเรียนน่ะสิคะ ตอนแรกเราได้รับเชิญไปร่วมงานเลี้ยง หนูเจอหลินเช่อที่นั่น มันพากู้จิ้งเจ๋อมาด้วย แถมยังทำท่ายโสโอหังใหญ่ มันจะต้องรู้แน่เลยค่ะว่าหนูก็ได้รับเชิญไปงานนี้ด้วย มันก็เลยขอให้กู้จิ้งเจ๋อมาร่วมงานนี้พร้อมกับมัน แล้วทีนี้หนูจะทำยังไงดีละคะเนี่ย…” 


 


 


ในตอนที่กู้จิ้งเจ๋ออยู่ในงานนั้น บรรดาคณะกรรมการโรงเรียนทั้งหลายล้วนแต่ไม่มีใครชายตาดูศิษย์เก่าคนใดทั้งสิ้น และเอาแต่คอยเดินตามกู้จิ้งเจ๋อตลอดทั้งงาน 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อได้แจ้งทางโรงเรียนไปอย่างกะทันหันเพียงสองวันก่อนหน้าว่าเขาต้องการไปร่วมงานนี้และเดินชมโรงเรียน ด้วยเหตุนี้ทางโรงเรียนจึงไม่มีโอกาสได้เตรียมตัวต้อนรับมากนัก แต่ก็พยายามอย่างที่สุดที่จะมีคนมาคอยห้อมล้อมต้อนรับเขาจนเต็มงาน 


 


 


ด้วยเหตุนี้การเดินทางมาร่วมงานของทั้งหลินลี่และผู้ร่วมงานคนอื่นจึงนับว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะมีบทบาทเพียงแค่มาช่วยทำให้งานดูมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยแขกเหรื่อเท่านั้น และนั่นทำให้หลินลี่หัวเสียเป็นที่ยิ่ง 


 


 


หันไฉ่อิงนึกถึงเหตุการณ์อับอายขายหน้าที่หลินอวี่ได้รับจากการไปเยือนคฤหาสน์ตระกูลกู้แล้วก็ยังอดแค้นใจไม่ได้ 


 


 


“นังหลินเช่อนี่นะ หน็อยแน่ ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องพบจุดจบแน่ จบไม่สวยด้วย” 


 


 


หลินเช่อกลับถึงบ้าน และวันต่อมาเธอก็ต้องไปที่บริษัทเพื่อถ่ายทำโฆษณาตัวใหม่ 


 


 


ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปด้วยดี เนื่องจากอวี๋หมินหมิ่นเกรงว่าจะมีเหตุเกิดขึ้น เธอจึงคอยเฝ้าดูอยู่ด้านข้างอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้โม่ฮุ่ยหลิงเล่นตุกติกอะไรได้ 


 


 


แน่นอนว่าเมื่อตกบ่าย โม่ฮุ่ยหลิงก็เดินทางมาถึง แต่หญิงสาวก็เพียงแต่ยืนดูอยู่เงียบๆ จากอีกฝั่งหนึ่งของกองถ่ายทำนั้น นอกจากทักทายแล้ว โม่ฮุ่ยหลิงก็ไม่ได้เข้ามาพูดคุยอะไรด้วยอีกเลย 


 


 


จนกระทั่งเมื่อถ่ายทำเสร็จแล้วนั่นแหละ หล่อนจึงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ฉันเห็นท่าทางเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะจ๊ะวันนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมถึงดูอารมณ์ไม่ดีนักล่ะ” 


 


 


เป็นความจริงที่ว่า อารมณ์ของหลินเช่อเริ่มไม่เบิกบานนักเมื่อเห็นโม่ฮุ่ยหลิง แต่ความจริงแล้วเธอยังปรับอารมณ์ไม่ค่อยได้เพียงเพราะว่านี่เป็นวันแรกของการถ่ายทำเท่านั้น หลินเช่อยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับจังหวะการทำงานของผู้กำกับสักเท่าไหร่ การถ่ายโฆษณาเป็นงานที่ต่างจากการถ่ายซีรีส์โทรทัศน์อย่างมาก และเธอยังต้องการเวลาที่จะปรับตัวอีกสักหน่อย 


 


 


แต่โม่ฮุ่ยหลิงไม่ได้คิดเช่นนั้น เธอเพียงแต่นึกอย่างเยาะหยันว่าหากปราศจากการสนับสนุนของกู้จิ้งเจ๋อแล้ว หลินเช่อก็ไม่ใช่นักแสดงที่มีความสามารถอะไรเลยสักนิด 


 


 


หลินเช่อดูไร้เสน่ห์ รูปร่างหน้าตาก็งั้นๆ หนำซ้ำบุคลิกภาพยังจืดชืดไม่น่าสนใจอีกต่างหาก 


 


 


แต่ถึงกระนั้น ในฉากหน้า โม่ฮุ่ยหลิงก็ยังแสดงท่าทีเป็นมิตรเมื่อบอกว่า “หลินเช่อจ๊ะ ถ้ามีอะไรทำให้เธอไม่สบายใจละก็ บอกฉันได้เลยนะจ๊ะ” 


 


 


หลินเช่อตอบว่า “ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะคุณโม่ แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ” 


 


 


หลังเสร็จจากการถ่ายทำ หลินเช่อก็เตรียมตัวกลับบ้านทันที 


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อคล้อยหลังไป สีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรของโม่ฮุ่ยหลิงในตอนแรกก็เปลี่ยนไปทันที เธอเดินเข้าไปหาผู้กำกับและพูดว่า “เรามีปัญหาซะแล้วละ บุคลิกของหลินเช่อดูจะธรรมดาไปหน่อย เรายอมให้เธอมาถ่ายโฆษณานี้เพราะคนรู้จักของเราอยากจะช่วยเธอ แต่ดูเหมือนว่าเราจะมีปัญหาเสียแล้ว” 


 


 


ผู้กำกับซึ่งไม่ได้รู้ถึงความบาดหมางระหว่างหญิงสาวทั้งสอง เมื่อได้ยินโม่ฮุ่ยหลิงพูดเช่นนั้น เขาจึงคิดว่าโม่ฮุ่ยหลิงมาช่วยออกตัวให้หลินเช่ออย่างสุภาพ เขาจึงตอบกลับไปอย่างจริงใจว่า “ไม่เลยนะครับ ในบรรดาดาราผู้หญิงทั้งหลายนี่ ทักษะการแสดงของหลินเช่ออยู่ในขั้นดีมากทีเดียว อีกอย่างบุคลิกภาพเธอก็ดีมากด้วยเหมือนกัน อิมเมจก็เหมาะกับสินค้าของเรา ยิ่งพอจับแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วยิ่งดูแตกต่างไปจากเดิมมาก เธอไม่เหมือนพวกเน็ตไอดอลทั้งหลายที่หน้าตาเหมือนๆ กันไปหมด แล้วก็ยังให้ความร่วมมือในการทำงานเป็นอย่างดีทีเดียว อิมเมจของเธอเหมาะกับผลิตภัณฑ์ของเราอย่างมาก อีกอย่าง คอมเมนต์ที่พูดถึงเธอในอินเทอร์เน็ตก็ดีมากด้วยเหมือนกัน สบายใจได้ครับคุณโม่ คนที่คุณแนะนำมานี่เหมาะสมมากเลยทีเดียวละ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไม่ได้อยากจะฟังคำชื่นชมเหล่านี้เลยสักนิด 


 


 


เมื่อได้ยินแล้ว เธอจึงยิ่งไม่สบอารมณ์หนักขึ้นไปอีก 


 


 


นังหลินเช่อนี่เสแสร้งแสดงเก่งนักนะ เพราะแบบนี้ไงล่ะคนอื่นถึงไม่ได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของหล่อน ก็เพราะหล่อนแสดงเก่งนี่แหละ 


 


 


เมื่อหลินเช่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็นั่งลงและเริ่มอ่านบท เธอรู้ดีว่าวันนี้กู้จิ้งเจ๋อยังคงยุ่งกับงาน และคิดว่าเขาน่าจะกลับบ้านมืดหน่อย 


 


 


ในขณะที่ถ่ายโฆษณานั้น เธอก็ต้องคอยติดตามตารางการถ่ายทำของซีรีส์โทรทัศน์ที่กำลังถ่ายอยู่ด้วยไปพร้อมกัน ทำให้หลินเช่อเองก็มีงานยุ่งไม่น้อย 


 


 


ขณะที่เธอกำลังจะหยิบบทออกมาอ่านนั้นเอง สาวใช้ก็เดินเข้ามารายงานว่า “คุณผู้หญิงคะ คุณโม่รออยู่ด้านนอก บอกว่าอยากจะเข้ามาพบคุณค่ะ” 


 


 


“อะไรนะ” 


 


 


“โทรศัพท์อยู่นี่ค่ะ คุณอยากคุยหรือเปล่าคะ” 


 


 


หลินเช่อมองโทรศัพท์ในมือสาวใช้ มันเชื่อมต่อกับจุดรักษาความปลอดภัยที่อยู่ตรงทางเข้าของคฤหาสน์ 


 


 


สาวใช้อุตส่าห์เอาโทรศัพท์มายื่นให้ขนาดนี้แล้ว เธอจะปฏิเสธก็ดูจะกระไรอยู่ ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา 


 


 


อันที่จริงกู้จิ้งเจ๋อได้พยายามจัดการทุกอย่างอย่างดีที่สุดแล้ว เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้โม่ฮุ่ยหลิงเข้ามาที่นี่และสร้างปัญหาให้หลินเช่ออีก เขากำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยเอาไว้แล้วว่า ไม่อนุญาตให้โม่ฮุ่ยหลิงเข้ามาข้างในได้ต่อให้เธอมาถึงหน้าบ้านแล้วก็ตามที 


 


 


เขายกย่องหลินเช่ออย่างดีที่สุด 


 


 


หญิงสาวยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วก็ได้ยินเสียงโม่ฮุ่ยหลิงดังขึ้นว่า [หลินเช่อ ฉันมีเรื่องอยากพูดกับเธอเรื่องงานถ่ายโฆษณาหน่อยน่ะจ้ะ ให้ฉันเข้าไปหน่อยสิ] 


 


 


“งานโฆษณาหรือคะ เรื่องนี้…เอาไว้ค่อยพูดกันที่กองถ่ายไม่ได้หรือคะ” 


 


 


[เธอจะมีเวลาเหรอจ๊ะ ก็ในเมื่อเธอต้องถ่ายซีรีส์โทรทัศน์ด้วยนี่ มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าเราจะรีบถ่ายโฆษณานี่ให้เสร็จกันโดยเร็วที่สุดน่ะ ทำไมจ๊ะ เธอไม่อยากให้ฉันเข้าไปในบ้านเหรอ] 


 


 


หลินเช่อไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ ถึงอย่างไรโม่ฮุ่ยหลิงก็เคยเป็นคนของกู้จิ้งเจ๋อ 


 


 


หลินเช่อไม่อยากเข้าไปเป็นคนคั่นกลางระหว่างทั้งสอง ด้วยเหตุนี้เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงยืนกรานที่จะเข้ามา เธอก็ควรที่จะได้เข้ามา เอาไว้กู้จิ้งเจ๋อกลับมาแล้ว จะจัดการยังไงก็เป็นเรื่องของเขาก็แล้วกัน 


 


 


เมื่อได้รับอนุญาต โม่ฮุ่ยหลิงก็ตรงเข้ามาด้านในคฤหาสน์ทันที 


 


 


เธอได้เห็นว่าคฤหาสน์แห่งนี้ยังคงดูเหมือนเดิมอย่างแต่ก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็ดูจะมีบางอย่างเปลี่ยนไปด้วย 


 


 


หญิงสาวคิดอย่างเจ็บแค้นใจว่าบ้านหลังนี้เคยเป็นของเธอ และไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องกลับมาเป็นของเธออีกครั้ง 


 


 


เธอแค่ยอมให้นังหลินเช่อนั่งมาอยู่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ 


 


 


อีกไม่นาน เธอก็จะแย่งมันกลับมาได้ 


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อ โม่ฮุ่ยหลิงก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นกระตือรือร้นยินดีและเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ตอนถ่ายทำ ฉันเห็นเธอดูจะใจลอยนิดหน่อยน่ะจ้ะ ก็เลยอยากจะมาช่วยดูและพูดกับเธอ เธอควรจะอ่านบทแล้วก็ซักซ้อมให้ดีนะจ๊ะ ถ้าเธอซ้อมให้มากกว่านี้ พรุ่งนี้ถ่ายกันแค่ไม่กี่เทคก็คงจะเสร็จ แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอจ๊ะ” 


 


 


ขณะที่เธอมองหลินเช่อรับบทไปจากมือเธอ โม่ฮุ่ยหลิงก็เหลียวมองไปด้านนอก พลางนึกสงสัยว่าทำไมกู้จิ้งเจ๋อถึงยังไม่กลับมาอีก 


 


 


โชคดีที่เพียงหลังจากนั้นไม่นาน กู้จิ้งเจ๋อก็กลับมาถึงบ้าน 


 


 


เมื่อเดินเข้าบ้านมา สาวใช้ก็รีบเข้าไปรายงานว่าโม่ฮุ่ยหลิงมาที่บ้าน 


 


 


ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเข้าไปโดยเร็ว และเมื่อเขาเข้าไปข้างใน เขาก็ได้เห็นโม่ฮุ่ยหลิงที่นั่น 


 


 


เมื่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อ หญิงสาวก็ผุดลุกขึ้นทันที เธอมองมาทางชายหนุ่มด้วยดวงตาเป็นประกาย และขยับเท้าก้าวเข้าไปหา 


 


 


หลินเช่อเองก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่เมื่อเห็นโม่ฮุ่ยหลิงชิงเดินเข้าไปหาเขาเสียก่อน เธอจึงชะงักอยู่กับที่ แต่เมื่อกู้จิ้งเจ๋อมองข้ามศีรษะโม่ฮุ่ยหลิงมาหาเธอที่อีกฟากหนึ่งของห้อง หลินเช่อก็ต้องยิ้มออกมา 


 


 


เธอไม่อยากจะเป็นตัวการสร้างปัญหาระหว่างคนทั้งคู่ นั่นคือหลักการสำคัญที่เธอยึดมั่นอย่างมาก 


 


 


แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมเธอถึงอดรู้สึกปวดใจนิดๆ ไม่ได้เมื่อได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อและโม่ฮุ่ยหลิงอยู่ด้วยกันแบบนี้ล่ะ  

 

 


ตอนที่ 167 นี่เขาตบหล่อนจริงๆ นะนั่น

 

โม่ฮุ่ยหลิงไม่ได้พบหน้าชายหนุ่มมาหลายวัน และตอนนี้เธอก็กำลังมองดูเขาด้วยสายตาเต็มเปี่ยมด้วยความรัก และส่งยิ้มที่เธอคิดว่าสวยที่สุดให้เขา 


 


 


แต่ชายหนุ่มกลับหันไปมองและถามว่า “เธอมาที่นี่ทำไมน่ะ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงบุ้ยปาก “ทำไมคะ คุณไม่ต้อนรับฉันที่นี่หรอกเหรอคะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปรายสายตาลงมอง “ก็แค่เธอมาที่นี่ปุบปับโดยไม่ได้บอกฉันล่วงหน้าเท่านั้น” 


 


 


“ทำไมคะ คุณคิดว่าฉันมาที่นี่เพราะจะมาหาคุณเหรอ ฉันมาหาหลินเช่อต่างหากละคะ” โม่ฮุ่ยหลิงพ่นลมพรืด แล้วเชิดศีรษะอย่างยโส “ชีวิตฉันไม่ได้หมุนรอบคุณสักหน่อยนะคะ ฉันมาเรื่องงานต่างหากล่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหรี่ตา 


 


 


“มาหาหลินเช่อรึ” 


 


 


“ก็ใช่น่ะสิคะ วันนี้ตอนถ่ายโฆษณาท่าทางเธอดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ฉันก็เลยอยากมาช่วยซ้อมแล้วก็ปรับความเข้าใจเกี่ยวกับงานนิดหน่อย เรามีเวลาน้อยน่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าอยากจะถ่ายกันให้เสร็จภายในเทคเดียว” โม่ฮุ่ยหลิงว่า 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้า “แต่นี่เป็นงานถนัดของหลินเช่อ แล้วอันที่จริง นี่ก็เป็นเรื่องที่เธอไม่มีความรู้อะไรเลยนะ…” 


 


 


นับตั้งแต่เด็กมา โม่ฮุ่ยหลิงรู้น้อยมากในทุกเรื่อง ตำแหน่งงานในบริษัทของครอบครัวเธอก็เป็นเพียงตำแหน่งลอย หญิงสาวไม่ได้หน้าที่ใดอย่างจริงจัง ทำให้กู้จิ้งเจ๋อเชื่อว่าเธอไม่น่าจะมีความรู้ในเรื่องใดทั้งสิ้น 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตอบ “ฉันก็แค่คิดว่าอยากจะให้งานนี้ออกมาดี เพราะถึงยังไงฉันก็เป็นคนแนะนำหลินเช่อให้ได้งานนี้ เธอจะได้ไม่ทำงานแย่ๆ ออกมาซึ่งจะทำให้ฉันพลอยหน้าแตกไปด้วยน่ะค่ะ” 


 


 


ถ้อยคำของหญิงสาวทำเอากู้จิ้งเจ๋อฟังแล้วชักระคายหู เขานิ่วหน้าและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ จะให้คำแนะนำก็ได้ แต่ฉันคิดว่าหลินเช่อไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการทำงานอยู่แล้วละ” 


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ โม่ฮุ่ยหลิงจึงเดินเข้าไปหา เธอคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่ก็ค่ำแล้ว คุณได้ทานอะไรก่อนกลับมาบ้านหรือยังละคะ” 


 


 


โดยปกติกู้จิ้งเจ๋อไม่ค่อยทานข้าวนอกบ้าน มันปลอดภัยกว่าหากจะกลับมากินที่บ้าน 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี และเพราะอย่างนี้เธอจึงจงใจถามคำถามนี้ขึ้นมา 


 


 


“ยังไม่ได้กินหรอก ตอนนี้ในครัวคงกำลังเตรียมอาหารอยู่” ชายหนุ่มตอบ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงร้องขึ้น “อ้อ งั้นเหรอคะ ฉันก็มัวแต่จดจ่อคุยเรื่องงานกับหลินเช่ออยู่จนถึงป่านนี้ ยังไม่ได้ทานอะไรเลยเหมือนกัน” 


 


 


ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ งั้นกินพร้อมกันเลยก็ได้นะ” 


 


 


นี่คือสิ่งที่โม่ฮุ่ยหลิงต้องการ ใบหน้าเธอฉายชัดถึงความยินดีอย่างชัดเจนในทันที 


 


 


หลินเช่อที่อยู่ในห้องไม่รู้ว่าทั้งกู้จิ้งเจ๋อและโม่ฮุ่ยหลิงกำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร 


 


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับเธอทั้งนั้นนั่นแหละ 


 


 


หลินเช่อสูดลมหายใจเข้าลึก เธอไม่อาจเมินเฉยกับความรู้สึกอึดอัดบางอย่างที่คับแน่นอยู่ในอก เหมือนกับว่ามีอะไรหนักๆ กำลังกดทับเอาไว้ เป็นความรู้สึกที่ยากจะแบกรับยิ่งนัก 


 


 


จนกระทั่งสาวใช้มาตามให้ไปรับประทานอาหาร 


 


 


หลินเช่อจึงรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติและเดินตามออกไป 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อและโม่ฮุ่ยหลิงต่างก็นั่งรอพร้อมหน้าอยู่แล้วที่โต๊ะอาหาร โม่ฮุ่ยหลิงกระซิบบางเบาๆ พลางยิ้มแย้มแจ่มใสขณะโน้มตัวเข้าไปหาชายหนุ่ม ท่าทีดูสนิทสนมยิ่งนัก 


 


 


หลินเช่อเดินที่เพิ่งเดินเข้ามาจึงต้องนั่งลงตรงข้ามกู้จิ้งเจ๋อแทน 


 


 


เมื่อเห็นหลินเช่อเดินเข้ามา ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “มาเถอะ รีบกินเร็วเข้า นี่ตั้งกี่โมงกี่ยามแล้ว ป่านนี้เธอยังไม่ได้กินข้าวอีก” 


 


 


หลินเช่อยิ้มและหันไปมองโม่ฮุ่ยหลิง 


 


 


สาวใช้เดินเข้ามาแจ้งว่า “นายท่าน คุณผู้หญิงคะ อาหารเตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงบอก “งั้นก็กินกันเถอะ” 


 


 


จานอาหารถูกลำเลียงเข้ามา แต่เนื่องจากมีโม่ฮุ่ยหลิงมานั่งอยู่ด้วย หลินเช่อจึงรับประทานอย่างไม่สู้สบายใจนัก เนื่องจากเวลารับประทาน โม่ฮุ่ยหลิงจะรับประทานด้วยท่าทางแบบเดียวกับชายหนุ่มไม่มีผิด นั่นคือเคี้ยวอาหารช้าๆ และรับประทานอย่างไม่เร่งร้อน สบายอกสบายใจ 


 


 


ส่วนหลินเช่อนั้นตักอาหารคำใหญ่จนเต็มปาก และกินอย่างเอร็ดอร่อย 


 


 


ที่ผ่านมาหลินเช่อไม่เคยรู้สึกอะไร เพราะก็มีเพียงแค่เธอกับกู้จิ้งเจ๋อสองคนเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อเธอได้เห็นความละม้ายคล้ายคลึงกันในการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มกับโม่ฮุ่ยหลิงแล้ว หลินเช่อก็อดคิดไม่ได้ว่า ไม่แปลกใจเลยที่กู้จิ้งเจ๋อมักจะกระทบกระเทียบเธออยู่เรื่อยทว่าเป็นคนไร้มารยาทเวลาที่เขาเห็นเธอรับประทานอาหาร 


 


 


อาจเป็นเพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวรอบตัวเขาที่ไม่มีมารยาทในการกินกระมัง 


 


 


แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มออกจะชอบมองเวลาที่เธอกินอาหารเต็มปาก เขาชอบที่จะได้เห็นเธอกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยในทุกๆ วัน มันทำให้เขารู้สึกว่าอาหารนั้นโอชะขึ้นกว่าเดิมจนทำให้เขาเองพลอยรับประทานมากขึ้นไปด้วย 


 


 


ชายหนุ่มหันมามองหลินเช่อ แม้ว่าสีหน้าของเธอจะว่างเปล่าขณะที่กำลังตักอาหารใส่ปาก แต่เธอก็ยังคงกินได้เร็วและน่าอร่อยเหมือนเดิม 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเผลอยิ้มออกมา เขาใช้ตะเกียบคีบซี่โครงหมูให้เธอ “วันนี้เรามีซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานของโปรดเธอด้วยนะ ทำไมถึงไม่กินเลยล่ะ” 


 


 


หลินเช่อเริ่มรู้สึกตัวและรีบพยักหน้า เธอคีบอาหารขึ้นรับประทาน 


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงเห็นกู้จิ้งเจ๋อกระตือรือร้นคีบอาหารวางลงในจานให้หลินเช่อ มือของเธอที่จับตะเกียบอยู่ก็เริ่มที่จะกำแน่นเข้าและแน่นเข้าทุกที 


 


 


เธอเฝ้าบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า ต้องอดทนไว้และอย่าได้พูดอะไรออกไป 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเป็นคนที่ทำอะไรตามครรลอง เขารู้สึกว่าหลินเช่อคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาจึงต้องแสดงบทบาทของสามีที่ดีให้สาวใช้ซึ่งเป็นคนนอกได้เห็นก็เท่านั้นเอง 


 


 


แต่เมื่อชายหนุ่มได้เห็นซอสเปรี้ยวหวานเลอะเปรอะเต็มจมูกของหลินเช่อไปหมด ชายหนุ่มก็ต้องยิ้มออกมา และหยิบผ้าเช็ดปากจากตระกร้าด้านข้าง ยกขึ้นเช็ดจมูกให้ราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา 


 


 


คราวนี้ไฟในใจของโม่ฮุ่ยหลิงจึงยิ่งโหมลุกโชนอย่างหนัก 


 


 


เธอตวัดสายตามองหลินเช่อพลางขบฟันแน่น เธอตัดสินใจยกชามซุปขึ้นและเดินเข้าไปหาหลินเช่อพลางพูดว่า “หลินเช่อจ๊ะ วันนี้ทำงานเหนื่อยสินะ กินอีกหน่อยสิ แต่จะว่าไป เธอก็ไม่ควรจะกินของมันๆ ในมื้อเย็นแบบนี้นะจ๊ะ กินซุปนี่น่าจะดีกว่า” 


 


 


ขณะพูด เธอก็ยกชามซุปยื่นให้ 


 


 


เมื่อหลินเช่อเห็นก็รีบบอกว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณหนูโม่ เดี๋ยวฉันกินเองได้” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มและขยับใกล้เข้าไปอีก “นี่เธอยังเรียกฉันว่าคุณหนูโม่อยู่อีกเหรอจ๊ะ อย่าพูดจาอะไรกันเป็นทางการแบบนั้นเลย ฉันเองก็สนิทกับกู้จิ้งเจ๋อ เธอก็เป็นภรรยาเขา เธอเรียกฉันว่าฮุ่ยหลิงเหมือนเขาก็ได้จ้ะ มาเถอะ กินซุปหน่อยนะ” 


 


 


หลินเช่อไม่อยากดื่มจริง เธอจึงลุกขึ้นและทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้เห็นโม่ฮุ่ยหลิงที่เดินตรงเข้ามาด้วยสายตาเย็นชาและประสงค์ร้ายเมื่อถือชามซุปตรงเข้ามาหา หลินเช่อรีบยกมือป้องโดยสัญชาตญาณทันที 


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่ได้แตะต้องชามซุปนั่น แต่มันกลับหกกระเซ็นใส่แขนเธออย่างจัง 


 


 


ก่อนที่หลินเช่อจะทันได้ขยับตัว โม่ฮุ่ยหลิงก็ส่งเสียงร้องดังลั่นออกมา 


 


 


“นี่เธอทำอะไรน่ะหลินเช่อ ทำไมถึงได้ยกมือขึ้นมาขวางไว้แบบนี้ตอนที่ฉันกำลังยื่นชามซุปให้ ฉันไม่ได้ใส่ยาพิษซักหน่อยนะ” 


 


 


หลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อผุดลุกขึ้นพร้อมกันทันที 


 


 


ชายหนุ่มเหลือบมองข้อมือหลินเช่อ และได้เห็นฝ่ามือของหญิงสาวเป็นรอยแดงด้วยถูกซุปร้อนๆ กระเซ็นมาลวกทั่วร่าง สายตาดุดันของเขาดูจะยิ่งถมึงทึงกว่าเก่าหลายเท่าเมื่อหันไปหาโม่ฮุ่ยหลิง และทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นและฟาดลงไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย เสียงเพียะดังสนั่น เขาตบหน้าโม่ฮุ่ยหลิงเข้าอย่างจัง 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงตัวแข็งทื่อ 


 


 


นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อและเธอไม่อาจจะเชื่อได้ 


 


 


หญิงสาวยกมือขึ้นกุมหน้าฝั่งที่ถูกตก และมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อด้วยสายตาเจ็บแค้น 


 


 


นี่เขา…เขากล้าตบเธองั้นเหรอ 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงจ้องมองหน้าชายหนุ่ม แล้วน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นเต็มสองตา ไหลหลั่งพรั่งพรูลงอาบแก้ม 


 


 


หลินเช่อยืนนิ่ง เธอเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกด้วยเช่นกัน เธอยืนมองโม่ฮุ่ยหลิงและคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป 


 


 


“คุณตบฉัน…” ใบหน้าของโม่ฮุ่ยหลิงเริ่มเหยเกเมื่อมองชายหนุ่ม กัดริมฝีปากและเริ่มต่อว่าเขา “คุณตบฉันจริงๆ เพราะผู้หญิงคนนี้ คุณถึงตบฉัน!” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองโม่ฮุ่ยหลิงด้วยสายตาอันบึ้งตึง  

 

 


ตอนที่ 168 หลินเช่อ เพื่อเธอแล้ว ฉัน...

 

กู้จิ้งเจ๋อมองมือของตัวเองนิ่งนาน บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะตบหน้าโม่ฮุ่ยหลิงได้


 


 


เขาเพียงแต่รู้สึกโกรธจัดราวกับมีลูกไฟโหมไหม้แผดเผาอยู่ในใจ จนทำให้ร่างกายเขาพลอยโกรธเกรี้ยวไปด้วย


 


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงตบหน้าโม่ฮุ่ยหลิงไปโดยไม่ลังเล


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงกัดริมฝีปาก ตวัดสายตามองมาที่เขา “กู้จิ้งเจ๋อ ฉันอยู่กับคุณมาก็ตั้งหลายปีนะคะ คุณกล้าดียังไงมาตบฉันเพราะผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ เมื่อก่อนคุณทนเห็นฉันเจ็บแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ แค่ฉันโดนอะไรเข้านิดหน่อย คุณก็เจ็บแทนเสียแทบแย่ แล้วมาตอนนี้ คุณกลับตบฉัน…”


 


 


เมื่อโม่ฮุ่ยหลิงพูดจบ เธอก็ผลุนผลันเดินฝ่าคนทั้งสองออกไป กู้จิ้งเจ๋อยืนนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ส่วนหลินเช่อเองก็ได้แต่รู้สึกกระอักกระอ่วน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี


 


 


เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องระหว่างกู้จิ้งเจ๋อกับโม่ฮุ่ยหลิง แต่ทว่ามันก็เกิดขึ้นเพราะมีเธอเป็นต้นเหตุอยู่ดี


 


 


หญิงสาวหันมองกู้จิ้งเจ๋อก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปหา เธอยกมือขึ้นลูบผมตัวเองอย่างทำใจลำบากและถามออกไปว่า “กู้จิ้งเจ๋อ คุณโอเครึเปล่าคะ ขอโทษด้วยนะคะ ฉัน…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกตัวทันทีที่ได้ยินเสียงของหลินเช่อ เขาก้มลงและรีบคว้ามือเธอขึ้นมาดู โชคดีที่ซุปนั่นไม่ได้ร้อนเท่าไหร่ มือของหลินเช่อจึงแค่เป็นรอยแดงเล็กน้อยเท่านั้น


 


 


“ไปทายาน้ำร้อนลวกเสียก่อนดีกว่านะ”


 


 


หลินเช่ออยากจะบอกว่าเธอไม่เป็นไรและไม่ได้รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย จะมีก็แต่เพียงความอับอายเท่านั้น


 


 


แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าหม่นหมองของชายหนุ่มแล้ว เธอก็พูดอะไรไม่ออก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้า จับมือเธอขึ้นมา และบรรจงทายาให้อย่างระมัดระวัง


 


 


“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”


 


 


นั่นแหละหลินเช่อจึงนึกขึ้นได้ว่า เสื้อผ้าของเธอสกปรกเปรอะเปื้อนเพราะถูกซุป


 


 


เธอจึงพยักหน้าและเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อกลับออกมา ก็ได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อกำลังนั่งรับประทานอาหารค่ำต่ออยู่เงียบๆ


 


 


แต่บรรยากาศรื่นรมย์ในห้องอาหารดูจะดิ่งฮวบลงภายในช่วงเวลาอันสั้น จนทำให้หลินเช่อรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


 


 


หลินเช่อเดินเข้ามาหาเขา เธอก้มหน้าลงและพูดกับเขาว่า “กู้จิ้งเจ๋อคะ ฉันขอโทษ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นและตอบว่า “มันไม่เกี่ยวกับเธอหรอก”


 


 


“แต่ว่า…”


 


 


“ฉันเป็นคนที่รับมือกับสถานการณ์นี้ได้ไม่ดีเองนั่นแหละ ไม่ใช่ความผิดเธอหรอกนะ” ชายหนุ่มวางตะเกียบลง “อันที่จริงสิ่งที่ฮุ่ยหลิงทำก็ผิดอยู่ ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ไม่ควรทำแบบนั้น แต่ฉันเองก็ไม่ควรจะตบเขาด้วยเหมือนกัน ฉันโกรธมากไปหน่อยน่ะ ปกติแล้วฉันไม่ใช่คนที่จะใช้กำลังกับใครแบบนี้เลย ฉันหุนหันไปหน่อย แล้วก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลและควบคุมตัวเองไม่ดึ้ถงขนาดนี้ แต่เมื่อเขาได้เห็นซุปในมือโม่ฮุ่ยหลิงสาดรดตัวหลินเช่อเข้าเมื่อกี้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง อะไรที่ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วมันก็เป็นการยากสำหรับเขาที่จะยอมรับเสียด้วย


 


 


เขาไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน อย่าว่าแต่ตบตีผู้หญิงเลย แล้วก็อย่าว่าแต่โม่ฮุ่ยหลิงเลยด้วยซ้ำ แม้เขาจะไม่ใช่นักบุญ แต่ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำให้เขาต้องใช้กำลังกับคนอื่น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้น “ฉันต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษน่ะ เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย”


 


 


หลินเช่อยกมือลูบเนื้อตัว “ไม่เป็นไรเลค่ะ”


 


 


ชายหนุ่มพยักหน้าและเดินขึ้นบันไดไป


 


 


เบียงที่ชั้นสามของบ้านนั้นกว้างขวางมาก ต้นไม้งามด้วยได้รับการตกแต่งดูแลเป็นอย่างดีโดยคนสวน


 


 


หลินเช่อเดินตามเขาขึ้นไป แล้วเธอก็ได้เห็นเขากำลังยืนอยู่ที่ระเบียงด้านนอกหลังราวลูกกรง


 


 


เธอรู้ว่าชายหนุ่มกำลังอารมณ์ไม่สู้ดีนัก และนั่นก็ยิ่งทำให้อารมณ์เธอพลอยดิ่งเหวตามไปด้วย หญิงสาวก็เดินเข้าไปเขา พลางพร่ำบอกตัวเองในใจว่า หากไม่ได้เป็นเพราะเธอแล้ว กู้จิ้งเจ๋อก็คงไม่ต้องมาทะเลาะทุ่มเถียงกับโม่ฮุ่ยหลิงแบบนี้


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อคะ คุณ…” หลินเช่อเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้น “ขอฉันถามคำถามคณิตศาสตร์ง่ายๆ กับคุณหน่อยนะคะ”


 


 


เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ยอมหันหน้ามา หลินเช่อก็พูดต่อไปว่า “นี่เป็นโจทย์คณิตศาสตร์ระดับประถมนะคะ คำถามก็คือถ้าผู้ชายใช้เวลาอาบน้ำห้านาที และผู้หญิงใช้เวลาอาบน้ำครึ่งชั่วโมง แล้วพวกเขาจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถ้าต้องอาบน้ำด้วยกัน”


 


 


ไหล่ของกู้จิ้งเจ๋อเกร็งขึ้นทันที แต่เขายังคงไม่ยอมหันมา


 


 


หลินเช่อหัวเราะเสียงดังออกมา “เสี่ยวหมิงตอบว่า ‘ยัยโง่ ก็ต้องครึ่งชั่วโมงสิ ก็เวลาที่เขาใช้อาบน้ำมันเหลื่อมซ้อนกันอยู่’ แต่เสี่ยวหมิงบอกว่า ‘ยัยโง่ ระยะเวลาที่พวกเขาอาบน้ำก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าผู้ชายน่ะอึดแค่ไหนต่างหากล่ะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขำพรวดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เขาหันหน้ามาหาหลินเช่อ และเห็นเธอยืนยิ้มเผล่พร้อมใบหน้าแดงระเรื่อ


 


 


เมื่อเข้าใจความแฝงของเรื่องตลกที่เล่ามาแล้ว ชายหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่าหลินเช่อนี่ช่างไร้เดียงสาเสียจริง


 


 


เขาดึงเธอเข้ามาหาในทันที “มาเถอะ มาตรงนี้”


 


 


หลินเช่อตัวแข็ง เมื่อรู้สึกได้ว่าเขาคว้าข้อมือเธอและดึงเข้าสู่อ้อมอก


 


 


ศีรษะของเธอวางซบบนไหล่เขา มือใหญ่ยกขึ้นโอบทาบแผ่นหลังเธออย่างนุ่มนวล เขาก้มหน้าลงมา หลับตา และสูดกลิ่นหอมที่เรือนผมของเธอ หลินเช่ออยากจะขยับหนี แต่กลับได้ยินเสียงเขากระซิบแผ่วเบาขึ้นว่า “อย่าขยับนะ ให้ฉันกอดเธอสักพักเถอะ”


 


 


หลินเช่อไม่กล้าขยับตัว ตัวเธอแข็งทื่อเมื่อถูกเขากอดตระกองเอาไว้แบบนั้น เธอยังรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่โลมไล้อยู่บนแผ่นหลังอย่างเบามือ ไอร้อนจากฝ่ามือนั้นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาโดยไม่ได้เจือด้วยความปรารถนายั่วเย้าแต่อย่างใด แต่อ้อมกอดนี้กลับทำให้เธอรู้สึกดีเหลือเกิน ราวกับว่าเวลาหยุดเดินและทำให้เธอไม่อยากแยกห่างจากเขา…


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อสวมกอดหลินเช่อ เขารู้สึกราวกับได้รับยาขนานเอก เพียงไม่นานหัวใจของเขาก็เริ่มเยียวยาและกลับมาสงบลงอีกครั้ง เขาไม่รู้สึกหงุดหงิดขุ่นข้องใดๆ อีกต่อไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากกอดเธออยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ราวกับว่าเขาปรารถนาที่จะได้สูดกลิ่นของเธอ กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้าลงและสูดหายใจเข้าลึก ยิ่งสูดเข้าไปแต่ละครั้ง เขาก็ยิ่งเสพติดมัน และไม่อยากที่จะยอมปล่อยเธอไป


 


 


หลินเช่อรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มกอดเธอนิ่งนาน จนเธอคิดว่าเขาคงจะกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างที่สุด เธอจึงถอนหายใจและเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมว่า “ถ้าคุณเป็นห่วงเธอละก็ โทรไปหาเธอสิคะ แล้วถามเธอว่าเป็นยังไงบ้าง อันที่จริงคุณควรจะตามไปดูเธอตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ปล่อยให้เธอผลุนผลันออกไปแบบนั้นมันออกจะอันตราย อีกอย่างตอนนี้เธอโกรธมาก แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็แค่อยากจะให้มีใครตามมางอนง้อเพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้นกันทั้งนั้นแหละค่ะ ทั้งหมดนี่มันก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณแล้วละนะคะ ผู้หญิงทุกคนต่างก็มีหัวใจที่อ่อนไหวด้วยกันทั้งนั้น”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคลายอ้อมกอดและก้มลงมองหลินเช่อด้วยสีหน้าจริงจัง


 


 


“นี่เธอให้คำแนะนำเรื่องความรักกับฉันงั้นเหรอ” ชายหนุ่มถามด้วยความพิศวง


 


 


“ก็ใช่น่ะสิคะ” เธอไม่อยากเห็นเขาอารมณ์เสีย


 


 


ชายหนุ่มตอบว่า “เธอนี่ซื่อบื้ออะไรอย่างนี้นะ”


 


 


เขาเคาะหน้าผากเธอเบาๆ “โง่จริง อันที่จริงฉันไม่ได้อารมณ์เสียเพราะทำให้โม่ฮุ่ยหลิงโกรธสักหน่อย”


 


 


“อะไรนะคะ” ก็ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ถ้างั้นเขาโกรธเพราะเรื่องไหนล่ะ หลินเช่อมองเขาด้วยความงุนงง


 


 


เขาตอบว่า “ฉันหงุดหงิดก็เพราะฉันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ฉันเป็นฝ่ายผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ฉันควรที่จะควบคุมตัวเองได้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน อันที่จริงมันเป็นเพราะสาเหตุนี้ต่างหาก…”


 


 


หลินเช่อยิ่งงงหนัก “หมายความว่ายังไงคะ เพราะสาเหตุนี้…”


 


 


ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ ขณะมองดูเธอ เขาก็รู้ได้ว่าที่เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ก็เป็นเพราะหลินเช่อนี่แหละ


 


 


เขาโมโหจนขาดสติกับสิ่งที่โม่ฮุ่ยหลิงทำก็เพราะหลินเช่อ…


 


 


เขาคิดว่ามันออกจะเป็น เรื่องเหลือเชื่อ แต่เมื่อเขาจ้องมองใบหน้าเล็กๆ นั่นนิ่งนาน เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “หลินเช่อ ฉันคิดว่า เพื่อเธอแล้ว ฉัน…” 

 

 


ตอนที่ 169 แล้วปัญหายุ่งยากก็ตามมา

 

มารดาของโม่ฮุ่ยหลิงส่งเสียงกรีดร้องมาตามสายโทรศัพท์ [กู้จิ้งเจ๋อ ฮุ่ยหลิงของเราไปทำอะไรให้เธอ ทำไมเธอถึงกล้าทำแบบนี้กับฮุ่ยหลิงได้! ฮุ่ยหลิงรักเธอจากใจมาตั้งหลายปีทีเดียวนะ! ทำไมถึงกล้าดีมาทำแบบนี้กับเธอ ตอนนี้เธอคดีใจละสิ ที่ฮุ่ยหลิงฆ่าตัวตายน่ะ!] 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตัวแข็งทื่อ 


 


 


หลังจากวางโทรศัพท์ หลินเช่อก็มองเห็นได้ว่าท่าทางของชายหนุ่มดูไม่สู้ดีนัก จึงรีบถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” 


 


 


ชายหนุ่มรีบเร่งลงบันไดมาอย่างร้อนใจขณะตอบว่า “ฮุ่ยหลิงกินยานอนหลับเข้าไปทั้งกำ ตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตรายน่ะ” 


 


 


“อะไรนะคะ” หลินเช่อมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีตกใจเป็นที่สุด 


 


 


“โม่ฮุ่ยหลิงฆ่าตัวตายงั้นหรือคะ” หลินเช่อไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น 


 


 


หล่อนฆ่าตัวตายเพียงเพราะโดนตบแค่นี้เองน่ะรึ 


 


 


ทำไมถึงไม่เห็นความสำคัญของชีวิตเลยนะ 


 


 


หลินเช่อรีบตามหลังเขาไป 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อร้องสั่งสาวใช้ คว้าเสื้อโค้ทและรองเท้ามาสวมอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันจะตามไปดูหน่อย” 


 


 


“โอ้ โอเคค่ะ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่พูดอะไรอีก และรีบเปิดประตูออกไปทันที 


 


 


หลินเช่อได้แต่ยืนมองบานประตูที่ปิดลงอยู่ตรงนั้น ขณะคิดถึงโม่ฮุ่ยหลิง หญิงสาวก็ยืนตะลึงงันและตัวสั่นไปพร้อมกัน 


 


 


นี่โม่ฮุ่ยหลิงรักกู้จิ้งเจ๋อมากถึงเพียงนี้เลยหรือนี่ 


 


 


คนเราจะต้องรักเขามากแค่ไหนถึงจะกล้าฆ่าตัวตายเพียงเพราะถูกเขาตบแบบนี้นะ 


 


 


ดูเหมือนว่าคืนนี้กู้จิ้งเจ๋อคงจะไม่ได้กลับบ้าน หลินเช่อคิด 


 


 


 


 


 


ที่โรงพยาบาล เมื่อกู้จิ้งเจ๋อมาถึงก็ได้พบกับสมาชิกของตระกูลโม่ที่นั่นกันอย่างพร้อมหน้า 


 


 


เมื่อเฉินหันอิ๋น มารดาของโม่ฮุ่ยหลิงหันมาเห็นชายหนุ่มเข้า เธอก็ตรงเข้ามาเล่นงานเขาในทันที “เธอมันคนไร้หัวใจ ดูสิว่าฮุ่ยหลิงต้องทำร้ายตัวเองเพราะว่าเธอขนาดนี้ ผู้หญิงอย่างฮุ่ยหลิงจะหาผู้ชายจากไหนก็ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะอยู่กับเธอ ตอนนี้ฮุ่ยหลิงอยากตายขึ้นมา ถ้าฮุ่ยหลิงตายไปจริงๆ ละก็ ฉันจะสู้สุดชีวิต ไม่ว่าจะหมดเงินหมดทองมากแค่ไหนก็เถอะ” 


 


 


แต่ถึงกระนั้น โม่ไคฮุ่ย บิดาของโม่ฮุ่ยหลิงกลับพยายามห้ามภรรยาที่กำลังโกรธจัด 


 


 


เมื่อมีคนเข้ามาใกล้กู้จิ้งเจ๋อ บรรดาบอดี้การ์ดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีทางด้านหลังก็เริ่มที่จะขยับตัวเตรียมปกป้องเต็มที่ โม่ไคฮุ่ยถอนหายใจและหันไปมองชายหนุ่ม เขาตำหนิกู้จิ้งเจ๋อว่า “ตอนที่เธอกับโม่ฮุ่ยหลิงคบกัน พวกเราก็ไม่อยากให้พวกเธอแต่งงานกันนักหรอก แต่ฮุ่ยหลิงชอบเธอมาก เหลือเพียงอย่างเดียวที่ฮุ่ยหลิงยังไม่ได้ทำก็คือควักหัวใจออกมายื่นให้เธอนั่นแหละ แต่เป็นเพราะอาการป่วยของเธอ เราก็เลยไม่อยากให้ฮุ่ยหลิงต้องมากลายเป็นสาวทึนทึกไปตลอดชีวิต แต่เขาก็ไม่สนอยู่ดีนั่นเอง เขาต่อต้านครอบครัวก็เพื่อเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น จนถึงอายุขนาดนี้ บรรดาพี่น้องของเขาก็แต่งงานกันไปนานมากแล้ว ฮุ่ยหลิงก็ยังเลือกที่จะยังอยู่ข้างเธอ แต่ว่า…” 


 


 


สีหน้ากู้จิ้งเจ๋อสลดลง เขารอจนกระทั่งทุกคนพูดจบ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ฮุ่ยหลิงเป็นยังไงบ้างครับ” 


 


 


เมื่อหมอเห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อถามเขา จึงรีบตอบโดยเร็วว่า “คุณโม่กินยานอนหลับเข้าไปหลายเม็ด ถึงแม้ว่าเราจะล้างท้องและใช้วิธีต่างๆ แล้ว การที่เธอจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ก็…ขึ้นอยู่กับแรงใจของเธอที่เหลือนับจากนี้นั่นแหละครับ” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น มารดาของโม่ฮุ่ยหลิงก็เริ่มโศกเศร้าขึ้นมาอีกรอบ เฝ้าแต่พร่ำพูดว่า “ฮุ่ยหลิง ฮุ่ยหลิง ทำไมถึงต้องทุ่มเทให้ผู้ชายใจร้ายแถมยังไร้ศีลธรรมขนาดนี้ด้วยนะ ลูกคิดว่าเขาจะสนใจเหรอถ้าลูกตายไปน่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นละก็ เราไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ จะสู้ให้ยิบตาเลยทีเดียว ตระกูลกู้จะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนกันเชียวต่อให้ตาย ฉันก็จะขอฝังเขาด้วยมือฉันเอง…” 


 


 


เมื่อโม่ไคฮุ่ยได้ยินภรรยาพร่ำเพ้อคร่ำครวญเช่นนั้น ก็อยากจะปิดปากอีกฝ่ายเป็นกำลัง 


 


 


ภรรยาของเขาเอาแต่พูดในสิ่งที่อยากพูดโดยไม่คิดถึงความเป็นจริงเลย ตระกูลโม่จะเอาอะไรไปสู้รบปรบมือกับตระกูลกู้ได้ล่ะ ถ้าจะต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง ก็คงเป็นพวกเขานี่แหละที่จะต้องตาย ไม่มีทางอยู่แล้วที่ตระกูลกู้จะเป็นอะไรไปได้ 


 


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันหน้ามามอง กู้จิ้งเจ๋อก็มีท่าทีร้อนใจอยู่เช่นกัน โม่ไคฮุ่ยจึงคิดว่า กู้จิ้งเจ๋อนั้นน่าจะพอมีใจให้ลูกสาวเขาอยู่บ้าง เมื่อคิดดังนั้นโม่ไคฮุ่ยจึงถอนหายใจยาวออกมา 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อได้แต่มองเข้าไปข้างในห้องด้วยแววตาห่วงใย โดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว 


 


 


 


 


 


ข้างนอก 


 


 


หลินเช่ออยู่กับเฉินโยวหราน 


 


 


เฉินโยวหรานพูดอย่างเซ็งในอารมณ์ว่า “ผู้หญิงคนนี้ใจเด็ดเป็นบ้า หล่อนถึงกับอยากฆ่าตัวตายเลยเชียวหรือนี่” หลินเช่อว่า “ใช่ บางทีเขาอาจจะรักกู้จิ้งเจ๋อมากก็ได้นะ” 


 


 


หลินเช่อเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากนัก เธอมาที่นี่เพียงเพราะว่าทนอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้เท่านั้น 


 


 


“ว่าแต่ว่า แล้วเรื่องงานที่บริษัทของกู้จิ้งเจ๋อล่ะ” 


 


 


เฉินโยวหรานตอบ “บริษัทชื่อดังก็สมเป็นบริษัทชื่อดังนั่นแหละ ทุกอย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว ก็มีหลายคนไม่ชอบใจอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆ ฉันก็โผล่เข้ามาได้งานที่นั่นเลย…แต่ฉันไม่กล้าบอกหรอกนะว่าฉันไม่ได้อยู่ๆ ก็ได้งานที่นั่นด้วยตัวเอง แต่เพราะการแนะนำของซีอีโอน่ะ” 


 


 


หลินเช่อเหลือบมองโดยไม่พูดอะไร แต่แล้วเธอก็เห็นใครบางคนเดินเข้ามาจากด้านนอก 


 


 


“ทำไมเธอถึงได้อวดขนาดนี้ ทั้งที่เธอไม่ได้งานนี้จากความสามารถของตัวเองนะ เฉินโยวหราน เธอนี่ตลกเป็นบ้า” 


 


 


คนที่เดินเข้ามาก็คือเฉินอวี่เฉิงนั่นเอง 


 


 


หลินเช่อมองนายแพทย์ด้วยความแปลกใจ “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ” 


 


 


เธอเอียงคอถามและมองหน้าเฉินอวี่เฉิง ก่อนที่จะหันไปมองเฉินโยวหราน เริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติบางอย่าง 


 


 


หลินเช่อรู้สึกว่าสองคนนี้เริ่มที่จะสนิทสนมคุ้นเคยกันมากกว่าปกติ 


 


 


เฉินโยวหรานตอบ “พอทีเถอะ ไม่ต้องพูดหรอก ฉันคิดว่าเขาน่าจะสะกดรอยตามฉันมา ตอนที่ไปถึงบริษัท ฉันได้รับคำสั่งให้ช่วยหาข้อมูลให้ออฟฟิศของเขา” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงเลิกคิ้ว ตวัดสายตามองอีกฝ่ายและพูดว่า “กู้อินดัสทรี่กำลังช่วยเรารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังทำการศึกษาวิจัยน่ะ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะหาเงินทุนและทรัพยากรจากทั่วโลกมาได้ยังไงกันล่ะ” 


 


 


เฉินโยวหรานถลึงตาใส่นายแพทย์หนุ่ม 


 


 


หลินเช่อว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่าตอนนี้คุณหมอเฉินเป็นหัวหน้าเธอน่ะสิ” 


 


 


เฉินโยวหรานพยักหน้า “ก็คงงั้นแหละ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงว่า “ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเธอนะ ไม่อย่างนั้นฉันเกรงว่า ด้วยระดับสติปัญญาอย่างเธอคงจะทำงานที่กู้ อินดัสทรีไม่ไหวแน่ ที่ออฟฟิศฉัน ต่อให้เธองุ่มง่ามอยู่สักหน่อย ก็ยังพอจะไหวอยู่ ฉันไม่ถือสาหรอก เพราะถึงยังไงเธอก็เป็นเพื่อนของคุณนายกู้นี่นะ” 


 


 


“โถ ฉันเนี่ยนะต้องพึ่งคุณ ถามจริงๆ เถอะ ฉันเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้สบายหรอกย่ะ ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเลยซักนิด” 


 


 


“พูดให้มันจริงเถอะ” 


 


 


ขณะที่มองสองคนโต้เถียงกันไปมา หลินเช่อก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ หญิงสาวยกเครื่องดื่มขึ้นจิบและพูดว่า “ทำไมพวกคุณสองคนไม่ไปหาที่เงียบๆ ทะเลาะกันล่ะคะ หรือไม่งั้นฉันจะหลบไปเอง พวกคุณจะได้อยู่เถียงกันต่อ” 


 


 


“อย่าทำแบบนั้นนะ” เฉินโยวหรานว่า “ว่าแต่ว่า ดูเหมือนบรรดาพนักงานที่บริษัทจะยังไม่รู้ว่ากู้จิ้งเจ๋อแต่งงานแล้วนี่นา” 


 


 


หลินเช่อพยักหน้า “ใช่ เราแต่งกันแบบลับๆ น่ะ ว่าแต่เธอก็รู้ใช่ไหมว่าเราสองคนไม่ได้…” 


 


 


เฉินโยวหรานรีบใช้เท้ากระทุ้งเพื่อนเพื่อเตือนว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย 


 


 


เฉินอวี่เฉิงจึงรีบบอกว่า “นี่ ผมอยู่กับกู้จิ้งเจ๋อมาสิบกว่าปีแล้ว พวกคุณคิดว่าเขามีความลับอะไรที่ผมไม่รู้ด้วยงั้นรึ” 


 


 


เมื่อลองคิดแบบนั้น เฉินโยวหรานก็ยอมเชื่อในสิ่งที่นายแพทย์หนุ่มพูด เธอจึงถามต่อว่า “ถ้างั้นบอกฉันหน่อยสิว่า ยัยโม่ฮุ่ยหลิงนั่นมันยังไงกัน ทำไมหล่อนถึงได้ฆ่าตัวตายแค่เพราะทะเลาะกันธรรมดาๆ แบบนั้นล่ะ” 


 


 


“เรื่องนี้…” 


 


 


“ทำไมเราถึงกลับมาพูดเรื่องนี้กันอีกล่ะ ฉันก็บอกไปแล้วไง ว่าบางทีอาจเป็นเพราะเขารักกู้จิ้งเจ๋อมากก็ได้น่ะ” 


 


 


เฉินโยวหรานเถียงว่า “ไม่จริงหรอก ฉันบอกได้เลยว่าแม่นั่นเป็นลูกคนรวย หล่อนไม่เคยต้องเผชิญกับปัญหาอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นหล่อนถึงรู้สึกว่าการถูกตบเป็นเรื่องใหญ่เสียเต็มประดา แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับผู้หญิงอย่างเราละก็ สบายมากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมล่ะ ลองดูเธอเป็นตัวอย่างสิ หลินเช่อ มีอะไรที่เธอยังไม่เคยเจออีกบ้าง เธอเองก็น่าจะเคยโดนตบมาแล้วครั้งหรือสองครั้งใช่ไหมล่ะ เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ดีนี่” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงมองดูหญิงสาวทั้งสองตรงหน้า เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็เริ่มคิดว่ามันเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นทีเดียว 


 


 


นี่เขากำลังหลงเชื่อสิ่งที่ยัยผู้หญิงคนนี้พูดล้างสมองเขางั้นหรือนี่ 


 


 


แบบนี้แล้วเขายังจะเรียกตัวเองว่าเป็นหมอมืออาชีพได้ยังไงกันล่ะ  

 

 


ตอนที่ 170 ดูเหมือนว่าเขาจะยังรักฉันม...

 

เมื่อทั้งสามเตรียมตัวจะกลับ หลินเช่อก็พูดออกมาตรงๆ ว่า “เดี๋ยวจะมีคนจากบ้านตระกูลกู้มารับฉันนะคะคุณหมอเฉิน ฉันคงไม่สะดวกไปส่งเฉินโยวหรานกลับบ้าน คุณช่วยไปส่งเธอแทนหน่อยได้มั้ยคะ” 


 


 


“เอ่อ ไม่มีทาง…” เฉินโยวหรานบอกได้ทันทีว่าหลินเช่อกำลังจะทิ้งเธอ หญิงสาวจึงรีบคว้าแขนเพื่อไว้โดยเร็ว 


 


 


หลินเช่อยิ้มกับเพื่อนและก้มลงกระซิบว่า “เธอเองก็โตป่านนี้แล้วนะ คุณหมอเฉินก็ท่าทางดีออกจะตาย ทำไมไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ล่ะ เดี๋ยวพออยู่กันสองคนแล้ว เธอก็รีบเสนอตัวให้เขานะ ฮิๆ ฉันจะไปก่อนละ” 


 


 


“เฮ้ๆ นี่เธอ…” แต่หลินเช่อกลับวิ่งหนีไปเสียแล้วจนเธอคว้าตัวไม่ทัน เฉินโยวหรานจึงหันมาหาเฉินอวี่เฉิงที่ยืนอยู่ริมถนน ในตอนแรกหญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายแพทย์หนุ่มผู้นี้ แต่พอโดนหลินเช่อกระเซ้าเข้าหน่อย เธอก็ชักจะนึกอายๆ อยู่เหมือนกัน 


 


 


จนกระทั่งเฉินอวี่เฉิงร้องเรียกขึ้นว่า “ไม่มาหรือไง คุณนายกู้ไปแล้ว วิ่งไล่ตามเธอไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก สบายใจได้น่า วันนี้ฉันไม่ใช้เธอไปซื้อกาแฟหรือส่งเธอไปทำธุระที่ไหนหรอก แค่นั่งฟังเฉยๆ แล้วก็อย่าส่งเสียงก็พอ” 


 


 


นี่เขาเกลียดเวลาที่เธอพูดมากงั้นเหรอ” 


 


 


ความขัดเขินในตอนแรกหายวับไปเพราะคำพูดของอีกฝ่าย เฉินโยวหรานได้แต่ทำตาเขียวใส่เขาก่อนจะก้าวขึ้นรถ 


 


 


เมื่อมาถึงที่พักของเฉินโยวหราน ปรากฏว่าเฉินอวี่เฉิงไม่สามารถกลับรถออกไปได้สะดวกนัก จึงติดอยู่ตรงนั้น ขยับไปไหนไม่ได้ 


 


 


เฉินโยวหรานพูดขึ้นว่า “ถ้ารู้มาก่อนฉันจะไม่ให้คุณขับเข้ามาส่งหรอกค่ะ” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงบ่นพึมพำ “น่าขันที่เธอยังอยู่ที่นี่ ตึกแถวนี้อายุกี่ปีแล้วเนี่ย” 


 


 


“ทำไมคะ ครอบครัวฉันจะจนไม่ได้หรือไงกัน” 


 


 


ขณะที่พูด เฉินโยวหรานก็ลงจากรถ พร้อมๆ กันกับที่น้องสาวของเธอวิ่งตรงเข้ามาหา 


 


 


“เจ๊ เจ๊ ใครกันน่ะ รถนั่นสวยเป็นบ้าเลย” 


 


 


เฉินอวี่เฉิงขมวดคิ้วอยู่ในรถเมื่อได้ยิน 


 


 


เฉินโยวหลันบังเอิญมองเห็นชายหนุ่มได้ผ่านทางหน้าต่างรถ ทำให้เด็กสาวตกตะลึงจนร้องตะโกนออกมาว่า “เจ๊ นี่เจ๊มีแฟนเหรอเนี่ย ทำไมถึงไม่บอกพวกเราล่ะ” 


 


 


เฉินโยวหรานรีบยกมือปิดปากน้องสาว “หุบปากเลยนะ แฟนเฟินอะไรกันล่ะ นั่นเจ้านายฉันต่างหาก” 


 


 


“หา งั้นเขาก็เป็นผู้บริหารอยู่ที่กู้อิสดัสทรีน่ะสิ แล้วทำไมเจ้านายถึงขับรถมาส่งพี่ที่บ้านได้ล่ะ” 


 


 


“เขามาส่งก็เพราะฉันต้องเอาเอกสารให้เท่านั้นแหละ ทำไมถึงถามซอกแซกจัง ไป ไป กลับเข้าบ้านกันได้แล้ว” 


 


 


เฉินโยวหรานจัดการลากน้องสาวกลับเข้าบ้านได้อย่างยากลำบาก 


 


 


เมื่อทั้งคู่กลับเข้าไป เฉินโยวหลันก็ยังพูดเสียงดังด้วยความตื่นเต้นอยู่นั่นเองว่า “เจ๊ นี่เจ๊ทำอะไรเนี่ย ถ้านั่นไม่ใช่แฟนเจ๊ เจ๊ก็ควรจะแนะนำให้รู้จักฉันสิ” 


 


 


“พอที” เฉินโยวหรานแว้ด “ดูสารรูปตัวเองเสียบ้าง คิดได้ไงว่าเขาจะสนใจน่ะ” 


 


 


“ฉันไม่ดีตรงไหน มีอะไรไม่น่ามองตรงไหนกัน ฉันว่าฉันสวยกว่าพี่อีกเหอะ พี่น่ะอิจฉาที่ฉันสวยกว่าก็เลยไม่อยากให้ฉันได้เจอผู้ชายดีๆ ใช่ไหมล่ะ เชอะ” พูดจบ ผู้เป็นน้องสาวก็เดินกระแทกเท้าปึงปังเข้าบ้านไป เฉินโยวหรานได้แต่มองโดยไม่พูดอะไร น้องสาวสไตล์แกล [1] ของเธอนี่แต่งตัวราวกับสาวพังก์ตกยุคแต่ยังคิดว่าตัวเองดูดีอีกงั้นรึ 


 


 


 


 


 


ระหว่างทางกลับบ้าน หลินเช่อเห็นรายการในโทรทัศน์กำลังนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ 


 


 


ใกล้คริสต์มาสแล้วสินะ 


 


 


ทว่าเมื่อกลับมาถึงบ้าน กู้จิ้งเจ๋อก็ยังคงไม่กลับมา 


 


 


เมื่อเธอคิดว่าพวกเขาอาจจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดระหว่างความเป็นและความตาย ซึ่งเธอเองไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่จะไปร่วมกังวลใจกับพวกเขาด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเธอก็มองเห็นว่ากู้จิ้งอวี่ส่งข้อความมาในโทรศัพท์ [มีงานอีเวนต์คริสต์มาสแน่ะ ถึงตอนนั้นแล้วมางานด้วยกันสิ] 


 


 


หลังจากส่งข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ไม่กี่ครั้ง หลินเช่อก็ได้พบว่าใกล้เวลารุ่งสางแล้ว 


 


 


กู้จิ้งอวี่นี่เป็นมนุษย์ราตรีขนานแท้จริงๆ เชียว 


 


 


 


 


 


ที่โรงพยาบาล 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเฝ้าดูบรรดาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่วนเวียนกันเข้าไปให้การรักษาฉุกเฉิน โดยไม่มีใครได้นอนเลยตลอดทั้งคืน 


 


 


ช่วงครึ่งคืนหลัง ทุกครั้งที่มีใครยกอุปกรณ์ฉุกเฉินเข้าไปในห้องคนไข้ มารดาของโม่ฮุ่ยหลิงก็จะกรีดร้องโหยหวนเสียงดัง 


 


 


ส่วนกู้จิ้งเจ๋อเองได้แต่นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา 


 


 


เช้าวันต่อมา 


 


 


หมอแจ้งว่าโม่ฮุ่ยหลิงพ้นขีดอันตรายแล้ว 


 


 


พ่อแม่ของเธอรีบรุดเข้าไปดูอาการของบุตรสาวในห้องก่อนใคร กู้จิ้งเจ๋อปล่อยให้พวกเขาได้มีเวลาส่วนตัวกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเปิดประตูและเดินตามเข้าไป 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงฟื้นแล้ว หน้าตาของเธอซีดเซียวและดูอ่อนเพลียอย่างมาก 


 


 


เมื่อเธอหันมาเห็นกู้จิ้งเจ๋อ หญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง กัดริมฝีปากด้วยความโศกเศร้าและออกปากไล่เขาว่า “ไป ไปซะ มาทำไมกันล่ะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้าไปข้างเตียงด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ฮุ่ยหลิง ดูตัวเองสิ นี่เธอทำอะไรลงไป” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงกัดริมฝีปากล่าง “คุณตบฉัน คุณตบฉันจริงๆ เพราะผู้หญิงคนนั้น คุณตบฉัน!” 


 


 


“ใช่ ฉันผิดเองที่ตบเธอ ฉันขอโทษสำหรับเรื่องนั้น” คิ้วของเขาขมวดอย่างเป็นทุกข์ “แต่การที่เธอฆ่าตัวตายเพียงเพราะว่าฉันตบเธอ เธอกินยานอนหลับเพื่อให้ตัวเองตาย ฮุ่ยหลิง…เธอ เธอทำไมถึงไร้เหตุผลอย่างนี้นะ” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเงยหน้ามองเขาด้วยความช็อก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะตำหนิเธอทั้งที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหญิงสาว “เธอคิดแต่จะตายเพราะฉัน เธอเคยคิดถึงพ่อแม่ ครอบครัว เพื่อนสนิทของเธอบ้างหรือเปล่า ว่าพวกเขาจะเป็นยังไง ตอนที่เธอนอนอาการสาหัสอยู่อย่างนี้ เธอรู้มั้ยว่าพวกเขาเฝ้าเป็นห่วงมากแค่ไหนอยู่ข้างนอกนั่นน่ะ” 


 


 


“ฉัน…” 


 


 


“แค่เพราะโดนตบแค่นี้ เธอถึงขนาดทำร้ายตัวเองโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลย เธอไม่คิดว่ามันเป็นการกระทำที่งี่เง่าไปหน่อยหรือไง เธอทำร้ายตัวเองเพียงเพราะเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงยิ่งร้องไห้หนักเมื่อหันไปมองเขา “ก็ใครทำให้ฉันต้องทำแบบนี้ละคะ ฉันทำแบบนี้ก็เพราะคุณไงล่ะ!” 


 


 


“นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉันยิ่งโกรธ ฉันเป็นแค่บุคคลชั่วคราวในชีวิตเธอ พ่อแม่เธอต่างหากที่จะอยู่ในชีวิตเธอตลอดไป เธอจะมีชีวิตอยู่โดยไม่คิดถึงตัวเองแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ” 


 


 


ท่าทางของกู้จิ้งเจ๋อโกรธจัดทีเดียว 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงดื้อรั้นถึงจุดที่เกินกว่าจะรับได้อีกแล้ว บางทีตัวเธอเองอาจไม่ทันได้คิดว่าผลที่ตามมาจะเลวร้ายขนาดนี้ก็ได้ จึงทำลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร 


 


 


ชายหนุ่มตำหนิตัวเองที่ลงมือกับเธอ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็โกรธมากที่เธอทำกับชีวิตราวกับเป็นสิ่งไร้ค่าเพราะเรื่องแค่นี้ 


 


 


มันขาดความยั้งคิดจนเกินรับได้ 


 


 


เขาไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังผิดหวังในตัวโม่ฮุ่ยหลิงมากขึ้นทุกทีด้วยเหตุผลบางอย่าง 


 


 


เมื่อก่อนนี้เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่เปราะบางและอ่อนแอจนไม่รู้คิดขนาดนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว เธอเป็นขั้วตรงข้ามของหลินเช่อโดยแท้ 


 


 


“ทำไมเธอถึงอยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมาล่ะ เพื่อจะให้ฉันต้องรู้สึกผิดและเสียจนไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อถาม 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงได้แต่ร้องไห้และตอบว่า “เปล่านะคะ ฉันแค่เสียใจมาก จะให้ฉันทนฟังคุณตำหนิแล้วก็ดุด่าว่ากล่าวได้ยังไงล่ะ…ฉันทำไปเพียงเพราะว่าฉันแค่ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง…” 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตามองอีกฝ่ายพลางสูดหายใจเข้าลึก “เอาละ พักซะเถอะ ฉันหวังว่าคราวหน้าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เธอไม่ใช่เด็กแล้วนะฮุ่ยหลิง หัดคิดถึงสิ่งที่จะตามมาก่อนจะลงมือทำอะไรด้วย” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงร่ำไห้พลางพยักหน้ารับ ในใจของเธอคิดว่า การที่กู้จิ้งเจ๋อดุด่าว่ากล่าวเธอเช่นนี้ ก็เพื่อเอาชนะความกลัวในใจของตัวเขาเอง 


 


 


เมื่อชายหนุ่มได้พูดในสิ่งที่ควรพูดแล้ว เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังอ่อนเพลียอย่างมาก เขาจึงได้เพียงแค่ส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันยังมีเรื่องต้องไปจัดการอีก” 


 


 


“นี่คุณจะไม่อยู่เป็นเพื่อนฉันหรือคะ” โม่ฮุ่ยหลิงท้วง 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ฮุ่ยหลิง ตอนนี้เธอควรจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของเธอมากกว่านะ พวกเขาคือคนที่คอยเป็นห่วงเธอตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ไม่ใช่ฉัน เอาไว้ฉันจะกลับมาเยี่ยมวันหลัง” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงหันไปมองบิดาและมารดาของเธอแล้ว ก็ได้แต่เพียงพยักหน้ารับคำ 


 


 


เมื่อโม่ไค่ฮุยเห็นกู้จิ้งเจ๋อกลับออกไปแล้ว เขาก็ชี้นิ้วมาที่ลูกสาวและพูดขึ้นว่า “ดูเข้าสิ ดูตัวเองเข้าสิ เธออยู่หรือตายเพื่อผู้ชายคนนี้ แต่เขากลับเอาแต่ดุด่าแก” 


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงพ่นลมพรืด “แล้วยังไงละคะ เขาก็คอยอยู่ข้างๆ หนูตลอดทั้งคืนไม่ใช่หรือไงล่ะ ก็เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้เอง กู้จิ้งเจ๋อเป็นคนทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เขาจะต้องตำหนิหนูก่อนเพราะเขาคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่เขาก็ยังรักหนูอย่างสุดหัวใจอยู่ดีนั่นแหละ” 


 


 


“พอทีเถอะ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเขารักแก ผู้ชายน่ะใจดำกันทั้งนั้น แล้วตอนนี้เขามีผู้หญิงใหม่ แม่หลินเช่ออะไรนั่น เขาเลิกสนใจแกไปแล้ว” 


 


 


“พ่อ…นั่นไม่สำคัญหรอกค่ะ ต่อให้หนูตาย หนูก็จะไม่ยอมให้นังแพศยานั่นคว้ากู้จิ้งเจ๋อไปได้แน่ ฮึ ทำไมมันถึงไม่ตายๆ ไปซะทีนะ อะไรๆ คงดีกว่านี้!” 


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อกลับถึงบ้าน เขาก็ได้พบว่าหลินเช่อออกจากบ้านไปเสียแล้ว 


 


 


ชายหนุ่มถามสาวใช้และก็ได้คำตอบว่า “คุณผู้หญิงออกไปตั้งแต่เช้าพร้อมกระเป๋าเดินทางน่ะค่ะ บอกว่าจะต้องเดินทางไปร่วมงานอีเวนต์” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] แกล (Gyaru – ギャル หรือ Gal) เป็นแฟชั่นรูปแบบหนึ่งในญี่ปุ่น ที่ถือกำเนิดในช่วงยุค 90 ผิวสีแทนเข้ม ผมและลิปสติกสีสว่าง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม