วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 16.3-16.9

ตอนที่ 16-3

 

แต่ไหนแต่ไรมายามเช้าของพระราชาและพระมเหสีมักจะเป็นการไปเยี่ยมเยียนพระพันปีที่วังจางชุนเสมอ และตอนนี้ก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแค่เพิ่มการลืมตาตื่นขึ้นมาเร็วกว่าเดิมนิดหน่อยแล้วมองออกไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น 


 


 


การที่ไฟสัญญาณถูกจุดขึ้นในช่วงเวลาสงครามแบบนี้แบ่งออกได้เพียงแค่สองกรณีเท่านั้น ได้แก่แนวรบป้องกันถูกตีแตกแล้ว หรือไม่ก็เอาชนะทหารฝ่ายศัตรูได้แล้ว หลังจากได้ข่าวที่ทหารฝ่ายศัตรูยกพลขึ้นชายฝั่งทะเลแล้ว ไฟสัญญาก็ยังคงเงียบเชียบแม้จะผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม 


 


 


เหนือความสงบนิ่งที่ถูกรักษาไว้ได้อย่างหวุดหวิด รยูฮาจับหัวใจที่กระวนกระวายและมองออกไปทางตะวันออกอย่างเลื่อนลอยทุกๆ วัน 


 


 


“อย่าได้กังวลเกินไปเลย การไม่มีข่าวคราวแสดงว่ายังสุขสบายดี” 


 


 


เมื่อเป็นเรื่องของตัวเองรยูฮามักจะไม่ยินดียินร้ายยิ่งกว่าใคร แต่เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่นางรัก นางจะแสดงท่าทีต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ในเมื่อทั้งท่านพ่อและพี่ชายทั้งสามคนออกไปยังสนามรบ แล้วจะให้นางนอนหลับสบายได้อย่างไร แม้ว่าคำพูดที่ฮอนส่งไปจะไม่ใช่การปลอบใจในสายตาเขา แต่เขาก็หวังว่ามันจะช่วยปลอบใจได้ 


 


 


“ที่ฝ่าบาทตรัสถูกต้องเพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันเป็นบุคคลที่มีความสามารถ” 


 


 


“ใช่แล้ว เขาคือนักดาบอันดับหนึ่งไม่ใช่หรือ ตอนนี้น่าจะฟันพวกทหารฝ่ายศัตรูไปได้เป็นพันคนแล้วแหละ” 


 


 


แน่นอนอยู่แล้วเพคะ รยูฮาพยายามพึมพำด้วยรอยยิ้มพลางลูบท้องที่ป่องไปด้วย 


 


 


“อีกหนึ่งเดือน องค์รัชทายาทก็จะออกมาแล้วเพคะ จนถึงตอนนั้นพวกเขาจะกลับมาใช่ไหมเพคะ” 


 


 


“แน่นอนสิ ข้าจะไปห้องทรงงานเสียหน่อย เจ้าพักผ่อนเถอะ” 


 


 


ฮอนลูบไหล่รยูฮาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะออกไปจากวังจานยองด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง ไฟสัญญาณมาแล้ว เรียกว่าโชคดีได้ไหมนะที่เป็นตอนที่รยูฮากำลังนอนอยู่เมื่อห้าวันก่อน แสงไฟสีแดงที่พอเห็นได้ในระยะพันลี้แจ้งข่าวเรื่องการพ่ายแพ้ของกองทัพฝ่ายเราอย่างชัดเจน รวมถึงข่าวที่แจ้งว่าแนวรบป้องกันที่สามยังไม่ถูกตีแตกเช่นกัน 


 


 


มันคือสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เหล่าทหารเรือซึ่งอุทิศตนเพื่อต้านทานศัตรูไว้แม้จะมีอาวุธที่ด้อยกว่าถูกกำจัดไปเกือบทั้งหมด ส่วนทหารฝ่ายศัตรูก็ยกพลขึ้นฝั่งมาแล้ว แม้ว่าลูกธนูจะพุ่งมาเหนือหัวพวกเขาราวกับสายฝนจากที่ไกลๆ แต่ศัตรูก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยประหนึ่งว่าถูกเสกมาจากที่ไหนสักแห่ง และทุกครั้งที่ปืนใหญ่ยิงครั้งหนึ่ง กองทัพฝ่ายเราก็ร่วงกันระนาวราวกับใบไม้ร่วง 


 


 


“ถอยทัพ!” 


 


 


“ถอยทัพ! ถอยทัพ!” 


 


 


เสียงแตรดังขึ้นพร้อมกันกับเสียงตะโกนของท่านมหาเสนาบดี บรรดาทหารส่งสารจึงรีบแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางทหารอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งประกาศการถอยทัพ เสียงโห่ร้องของทหารฝ่ายศัตรูที่ดังกึกก้องไล่หลังพวกเขาซึ่งกำลังวิ่งหนีก็ดังเสียจนแผ่นดินสั่นสะเทือน 


 


 


“อพยพราษฎรหมดแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“ขอรับ ท่านแม่ทัพใหญ่!” 


 


 


สาเหตุที่ยังคงอดทนและไม่ถอยทัพสักทีแม้จะได้รับความเสียหายมากมายก็เพื่อเหล่าราษฎรทั้งหลาย การจะเข้ามาในผืนดินแทซากุกจากทะเลตะวันออกก็จำเป็นจะต้องผ่านทางนี้ ดังนั้นหัวเมืองใหญ่ที่ใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาตร์นี้และพัฒนาทั้งในด้านการติดต่อค้าขายและการประมงจึงตั้งอยู่ด้านหลังนี้เอง ซึ่งราษฎรในหัวเมืองนี้มีมากถึงสองหมื่นกว่าคน และยิ่งจำนวนประชากรมากเท่าไหร่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการอพยพออกไปอย่างปลอดภัยมากเท่านั้น 


 


 


เหล่าทหารตามหลังแม่ทัพใหญ่ซึ่งนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกับดาบสีนิลเข้าไปยังหัวเมืองที่ว่างเปล่า ข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกทิ้งขว้างไปทั่วต่างล้มระเนระนาดและต้อนรับพวกเขา 


 


 


“ตรงนี้คือแนวรบป้องกันสุดท้าย หากที่ตรงนี้ถูกทะลวงเข้ามาได้ แทซากุกที่มีประวัติศาสตร์ติดต่อกันมานับพันปีก็จะถูกเหยียบย่ำด้วยเท้าของพวกทหารฝ่ายศัตรู ส่วนครอบครัวของพวกเจ้าก็จะถูกลากไปเป็นเชลยศึกและทาส จงสู้! ถ้าจะอยู่ก็อยู่ที่นี่ ถ้าจะตายก็ตายที่นี่!” 


 


 


เสียงร้องตะโกนของแม่ทัพอาวุโสปลุกขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารให้มีแรงฮึดสู้ แววตาของท่านมหาเสนาบดีที่เตรียมพร้อมการสู้รบครั้งสุดท้ายจ้องมองพวกเขาราวกับจะทะลุทะลวง 


 


 


กองกำลังทหารของแทซากุกที่ทำการถอยทัพซ่อนตัวอยู่ในภูเขาซึ่งล้อมรอบหัวเมือง ส่วนทหารฝ่ายศัตรูก็ใช้หัวเมืองซึ่งว่างเปล่าหลังจากชาวบ้านที่อยู่อาศัยอพยพออกไปหมดแล้วเป็นค่ายทหาร นอกจากที่นี่จะเป็นพื้นที่แรกที่ต้องผ่านเพื่อเข้าไปยังแผ่นดินแล้ว ยังมีสิ่งของที่ชาวบ้านทิ้งไว้มากมายก่ายกองและที่สำคัญคือมีบ่อน้ำด้วย ดังนั้นจึงน่าจะเป็นตัวเลือกอย่างไม่ต้องสงสัย การเผชิญหน้าอันเงียบสงัดผ่านไปเป็นวันที่สอง เหล่าผู้บัญชาการซึ่งมารวมตัวกันที่ค่ายทหารของซอดูต่างกลืนน้ำลายที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด 


 


 


“ทั้งหมดประมาณเท่าไหร่” 


 


 


“สันนิษฐานว่าราวๆ สามหมื่นขอรับ ท่านแม่ทัพ” 


 


 


หากคิดจากทหารจำนวนห้าหมื่นนายที่บุกเข้ามาในตอนแรกก็ถือว่าลดลงไปเยอะพอสมควร ทว่าความเสียหายของทางฝั่งเราซึ่งใช้พลังที่มีทั้งหมดในการป้องกันโดยที่ไม่ถอยทัพนั้นรุนแรงยิ่งกว่า เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่กำลังทัพซึ่งไม่ถึงหมื่นจะต้องประจันหน้ากับทหารที่มีจำนวนสามหมื่นนายแทนทหารเรือซึ่งแพ้อย่างราบคาบ 


 


 


“ทหารอาสาล่ะ” 


 


 


“ทหารจำนวนหมื่นนายกำลังลงมาขอรับ แต่เนื่องจากลงมาจากอีกฝั่งของเมืองหลวงจึงใช้เวลาอีกสิบวันขอรับ” 


 


 


อย่างไรก็ตามที่โชคดีคือทหารฝ่ายศัตรูคิดว่าแทซากุกน่าจะแอบซ่อนกำลังทหารที่เยอะกว่านี้เอาไว้จึงลังเลในการไล่ตามและหยุดพักอยู่ในหัวเมือง ทว่ากว่าทหารอาสาจะมาถึงก็เหลืออีกตั้งสิบวัน หากในระหว่างนั้นฝ่ายศัตรูลองเข้าโจมตีล่ะก็คงจะแพ้อย่างราบคาบโดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้องเสี่ยงแล้ว 


 


 


“ซอกยอกซาน” 


 


 


“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” 


 


 


ซอดูเลื่อนสายตาขึ้นมามองชายคนที่อยู่ตรงหน้าตนเอง ชายเจ้าของแววตาที่เฉียบคมจนทำให้ใครบางคนนึกถึงสมัยตนเองยังเป็นหนุ่ม 


 


 


“ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการด้านกลยุทธ์ พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของเดือน จงพาพลทหารที่ถูกคัดเลือกมาจำนวนห้าร้อยนายไปจุดไฟเผาเรือของข้าศึกซะ” 


 


 


“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” 


 


 


ชายหนุ่มตอบรับคำสั่งของซอดูอย่างมั่นใจ เขารู้อยู่แล้วว่ากลยุทธ์นั้นมันอันตรายขนาดไหน ต้องฝ่าท้องทะเลยามค่ำคืนในวันสุดท้ายของเดือนซึ่งมืดสนิทเพื่อเข้าใกล้เรือของข้าศึกที่ติดอาวุธและจุดไฟเผาซะ ซึ่งซอดูก็รู้ความจริงนั้นดียิ่งกว่าใคร 


 


 


ด้วยเหตุนั้นเขาจึงส่งซอกยอกซานซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตัวเองไปยังเส้นทางที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้อีกหรือไม่ รวมถึงได้ตระหนักอย่างเจ็บปวดใจว่าอำนาจอันยิ่งใหญ่ย่อมตามมาด้วยความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่ง และพยายามที่จะไม่พูดว่าขอให้มีชีวิตรอดกลับมาออกมา 


 


 


“หากเกิดไฟไหม้ขึ้นที่เรือ พวกข้าศึกก็น่าจะออกไปจากหัวเมืองเพื่อดับไฟ และในตอนนั้นก็ยิงปืนใหญ่ไปยังที่ที่พวกนั้นรวมตัวกัน” 


 


 


เม็ดหมากล้อมสีดำและขาวขยับไปมาบนแผนที่หัวเมืองที่ถูกกางออก 


 


 


“พวกนั้นไม่รู้ว่าเรามีปืนใหญ่ เพราะฉะนั้นคงจะไม่สามารถรับมือได้อย่างแน่นอน ถ้ายิงปืนใหญ่ไปหมด…” 


 


 


ซอดูเงยหน้าขึ้นกวาดตามองบรรดาชายหนุ่มที่ยืนล้อมรอบตนเอง ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรหลานของตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ว่าใครก็ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ทั้งนั้น มันคือทักษะที่จะต้องมีไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ก็ตาม เพราะพวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องอุทิศตนเพื่อปกป้องราษฎรในภาวะฉุกเฉิน ส่วนเหล่าทหารคุ้มกันที่พวกเขาและซอดูอบรมบ่มเพาะอย่างเต็มที่ก็จะต้องรับหน้าที่ที่อันตรายที่สุด 


 


 


“แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ และแทรกซึมเข้าไปซะ เป้าหมายคือหัวของพวกผู้บัญชาการรวมถึงผู้นำฝ่ายข้าศึกด้วย กลุ่มหนึ่ง ซึ่งนำโดยรองแม่ทัพแทรกซึมเข้าไปเบิกทางก่อนเป็นกลุ่มแรก ส่วนกลุ่มสอง ให้จุดไฟเผาบ้านเปล่าเพื่อจำกัดทัศวิสัย กลุ่มสามกับกลุ่มสี่ให้ค้นหาตำแหน่งของผู้นำฝ่ายข้าศึกและกำจัดทหารฝ่ายศัตรูที่ล้อมรอบเขาทิ้งซะ และในเวลาเดียวกันกลุ่มที่ห้าก็จงโจมตีผู้นำฝ่ายข้าศึกซะ” 


 


 


“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”  

 

 


ตอนที่ 16-4

 

เป็นค่ำคืนที่แม้กระทั่งพระจันทร์ข้างแรมอันริบหรี่ก็ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ บรรดาทหารระดับหัวกะทิซึ่งนำโดยกยอกซานก้มตัวลงต่ำและแอบหลบซ่อนเข้าไปที่ริมชายหาด จากนั้นแต่ละคนก็ขึ้นไปบนเรือลำเล็กซึ่งเคยเป็นของชาวประมง แล้วขยับเข้าไปใกล้เรือของข้าศึกโดยที่ยังนอนคว่ำติดกับพื้นเรืออยู่ ก่อนจะไต่ขึ้นไปตามผนังเรือด้วยตัวเปล่า หลังจากเปลวไฟเริ่มลุกโชนขึ้น ปืนใหญ่ที่ยังไม่ทันได้เอาลงไปก็พังไปในทะเลเพลิงและจมดิ่งลงไปใต้ท้องมหาสมุทรอันเย็นยะเยือก 


 


 


“จุดปืนใหญ่หมายเลขหนึ่ง!” 


 


 


ตูม ปืนใหญ่อันแรกถูกยิงออกไปพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนทำให้เหล่าทหารที่กำลังวิ่งออกไปเพื่อดับไฟบนเรือต่างล้มกันระนาว พวกทหารฝ่ายข้าศึกซึ่งเชื่อมั่นว่าแทซากุกไม่ได้นำเข้าปืนใหญ่มาจึงได้แต่สับสนมึนงง 


 


 


“หมายเลขสอง!” 


 


 


เสียงตูมดังขึ้นอีกครั้ง ปืนใหญ่ถูกยิงออกไปอีกครั้งในระหว่างที่พวกทหารฝ่ายข้าศึกกำลังตื่นตกใจ ปืนใหญ่ค่อยๆ ยิงออกไปทุกทิศทางที่พวกเขาหนีไปจนสกัดทางหนีทีไล่ได้หมด และในขณะเดียวกันกับที่ปืนใหญ่กระบอกที่ห้าสิบยิงออกไปนั้นเอง เหล่าทหารคุ้มกันซึ่งนำโดยซอดูก็แทรกซึมเข้าท่ามกลางข้าศึกอย่างรวดเร็ว 


 


 


ในตอนที่พระราชาองค์ก่อนในอดีตสั่งให้ปราบปรามประเทศใกล้เคียงที่ชอบเข้ามารุกรานอยู่เรื่อยๆ ซอดูเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบแปดเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงได้รับสมญานามว่านักดาบมือหนึ่งจากสงครามครั้งแรกเมื่อตอนอายุสิบแปดปีเช่นกัน พระราชาทรงดีใจอย่างมากหลังจากได้รับการรายงานพร้อมกับมอบดาบสีนิลเล่มหนึ่งจากสองเล่มซึ่งเป็นสมบัติของราชวงศ์ให้แก่เขา ปีศาจแห่งสงครามผู้ถือดาบสีนิล ว่ากันว่าพวกข้าศึกต่างวิ่งหนีหางจุกตูดกันหมด เพียงแค่พยายามจะขวางเขา 


 


 


“ปะ…ปีศาจสีดำ!” 


 


 


“ปีศาจสีดำ! ปีศาจสีดำแห่งแทซากุกปรากฏตัวขึ้นแล้ว!” 


 


 


ปีศาจสีดำแห่งแทซากุกซึ่ง ณ ตอนนี้เหลือไว้เพียงตำนานที่เลือนรางหลังจากเวลาผ่านไปหลายสิบปี การกลับมาอีกครั้งของเขาจึงเป็นการสร้างความหวาดกลัวที่มากกว่าปืนใหญ่ให้แก่เหล่าทหารฝ่ายศัตรู เลือดของศัตรูหยดลงมาจากปลายหนวดสีเทา ยามที่ดาบสีนิลซึ่งอำพรางอยู่ในความมืดจนมองไม่เห็นฟันคอศัตรูทีละคน 


 


 


ส่วนเหล่าชนชั้นสูงและทหารซึ่งอาศัยช่วงอลหม่านนี้แทรกซึมเข้าไปทุกหนทุกแห่งก็กัดฟันและเหวี่ยงดาบออกไปเช่นกัน เป็นค่ำคืนที่แดงฉานด้วยเลือดแม้กระทั่งก้อนเมฆ เปลวเพลิงสีแดงซึ่งลุกโชนไปทั่วทุกที่ส่องสว่างไปยังเส้นทางนรกอย่างโหดร้าย 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


“ฝ่าบาท ทหารส่งสารจากท่านแม่ทัพใหญ่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


หลังจากที่หัวหน้าทหารองครักษ์ตะโกนขึ้นด้วยความร้อนรน ทหารที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นก็วิ่งเข้ามาที่วังจานยองทันที ท่าทางของเขาเหนื่อยล้าและมีสีหน้าที่สิ้นหวังเป็นอย่างมาก รยูฮาจึงเอามือไปเกาะแขนฮอนเอาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว หรือว่าพวกเขาเข้าใจความรู้สึกของแม่ องค์รัชทายาทที่ดิ้นกระดุกกระดิกไม่พักจนถึงเมื่อสักครู่จึงไม่ขยับเขยื้อนใดๆ 


 


 


“ถวายบังคับพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 


 


 


“ช่างเรื่องมารยาทไปก่อน เร็วๆ” 


 


 


ทหารส่งสารนำม้วนกระดาษซึ่งกอดเอาไว้อย่างหวงแหนออกมาถวายให้ ฮอนรีบรับมันมาไล่อ่าน จากนั้นจึงเกิดรอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากของเขา แต่ในไม่ช้าก็กลับไปเป็นแข็งทื่อเหมือนเดิม 


 


 


“…พระมเหสี” 


 


 


ทำไมทรงทำสีหน้าแบบนั้นเพคะ ทำไมถึงทรงเรียกด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมองเช่นนั้นเพคะ แววตาของรยูฮาสั่นไหวอย่างแรงและเต็มไปด้วยคำถามมากมาย 


 


 


“เหล่าพลทหารที่นำโดยท่านพ่อตาได้กำจัดพวกข้าศึกจนหมดสิ้นและนำพาชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาได้น่ะ” 


 


 


มันเป็นการประกาศชัยชนะที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ข่าวที่รยูฮาอยากรู้จริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องนี้ เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสิ้นหวังได้รั้งตัวฮอนเอาไว้ แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่เขาสามารถทำให้ได้ในตอนนี้ 


 


 


“แล้วท่านพ่อล่ะเพคะ ท่านพี่ของหม่อมฉันล่ะเพคะ! 


 


 


“พระมเหสี” 


 


 


รยูฮาจึงแย่งม้วนกระดาษมาจากมือของฮอนซึ่งเบือนหน้าไปทางอื่นโดยที่ไม่สามารถพูดต่อได้ ลายมืออันคุ้นเคยเป็นของฮาแบค พี่ชายคนที่สอง ลายมือที่ดูมีความสุขอยู่เสมอนั้นฉีกหัวใจที่ถูกบีบคั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับคมมีดอันเย็นเฉียบ 


 


 


 


 


 


[พวกทหารข้าศึกถูกกำจัดจนหมดสิ้นจากกลยุทธ์ของท่านแม่ทัพใหญ่และเหล่าทหารผู้กล้าหาญ กระหม่อมจะเตรียมพร้อมและพาตัวเชลยศึกขึ้นไปยังเมืองหลวงโดยเร็ว ทหารของฝ่ายข้าศึกสูญเสียไปสามหมื่นห้าพันกว่านายจากห้าหมื่นกว่านาย ส่วนกองทัพฝ่ายเราได้สูญเสียทหารเรือจำนวนสองหมื่นนายไปทั้งหมด ทหารอาสาจำนวนสามพันกว่านายจากสองหมื่นไม่บาดเจ็บก็เสียชีวิต ท่านแม่ทัพใหญ่ ซอดูและผู้บัญชาการด้านกลยุทธ์ ซอกยอกซานหายสาบสูญไประหว่างการสู้รบ จึงถูกตัดสินว่าเสียชีวิตในสนามรบแล้วพ่ะย่ะค่ะ] 


 


 


 


 


 


ม้วนกระดาษร่วงหลุดจากมือของรยูฮาดังตุบ ท่านพ่อผู้ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร ท่านพี่คนโตซึ่งรักและหวงแหนรยูฮายิ่งกว่าใคร นี่มันคือเรื่องโกหกหรือเปล่า หรือจะเป็นความฝัน แต่ลายมือของฮาแบคซึ่งมักจะนุ่มนวลและมีน้ำหนักอยู่เสมอกลับยุ่งเหยิงเป็นอย่างมากตรงที่เขียนถึงการตายของพ่อ เหมือนกับรยูฮาในตอนนี้ 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


ช่วยบอกหม่อมฉันทีเพคะว่าไม่ใช่ รยูฮาไม่สามารถแม้แต่จะพูดประโยคนั้นออกไปได้ เบื้องหน้าของนางกลายเป็นสีขาวก่อนจะจมไปในความมืดมนอีกครั้ง ร่างกายของนางซึ่งโอบกอดท้องโดยสัญชาตญาณทรุดลงไปในอ้อมแขนของฮอนอย่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


มันคือชัยชนะที่มีแต่บาดแผล ถึงแม้จะได้รับเชลยศึกนับพันคนและค่าเสียหายจำนวนมากจากประเทศแพ้สงคราม รวมถึงได้ทำข้อตกลงในการส่งเครื่องบรรณาการจำนวนมหาศาลทุกๆ ปีต่อจากนี้ก็ตาม เชลยศึกส่วนใหญ่ถูกนำตัวไปซ่อมแซมหัวเมืองกับเรือรบที่พังลง จึงมีเพียงแค่เชลยศึกซึ่งเป็นชนชั้นสูงบางส่วนเท่านั้นที่ขึ้นมาที่เมืองหลวง 


 


 


“โปรดทรงให้ทั้งหมดไปเป็นทาสและให้ทำงานที่ยากลำบากและชั้นต่ำที่สุดด้วยเถิดเพคะ รวมถึงให้พวกมันมีชีวิตติดอยู่ในนั้นไปจนชั่วชีวิต” 


 


 


นั่นคือคำตอบของรยูฮาในตอนที่ฮอนตัดสินโทษของพวกเชลยศึก ฮอนรับฟังคำขอของนางโดยที่ไม่พูดอะไร เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของเหล่าราษฎรที่ส่งไปยังวีรบุรุษสงครามผู้กล้าหาญดังลั่นมาจนถึงพระราชวัง แต่มันไม่มีความหมายอะไรเลยต่อรยูฮา เนื่องจากหาร่างของพวกเขาไม่พบจึงไม่สามารถจัดได้แม้กระทั่งงานศพ เรือนของท่านมหาเสนาบดีซึ่งมีพลทหารเฝ้าระวังอยู่อย่างแน่นหนาถูกปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจเสียยิ่งกว่างานศพ 


 


 


“พระมเหสี พระชายาทรงพาองค์ชายมาขอเข้าเฝ้าเพคะ” 


 


 


“บอกให้เข้ามา” 


 


 


รยูฮาที่นั่งเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าอันว่างเปล่าอยู่เมื่อครู่มองดูมินอาและคังซึ่งถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของนางก่อนจะส่งยิ้มให้เบาๆ ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกเศร้าเหมือนกัน แต่มินอาก็ยังพาคังเข้าวังมาเพื่อปลอบใจรยูฮาวันละครั้ง ซึ่งมันก็ผ่านไปได้หนึ่งเดือนแล้ว 


 


 


“มานี่มาคัง” 


 


 


“หนักนะเพคะ พระมเหสี” 


 


 


“ไม่เป็นไร เจ้าหนูน่ารัก มาหาป้ามา” 


 


 


คังยิ้มพลางแกว่งมือที่เหมือนกับใบต้นเมเปิลไปมาราวกับจำรยูฮาที่เอ็นดูตัวเองได้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาททั้งสองที่สงบเสงี่ยมทั้งวันก็อารมณ์ดีขึ้นเพราะเสียงนั้นเช่นกัน เพราะจู่ๆ ก็ดิ้นไปดิ้นมาอย่างวุ่นวาย 


 


 


“อ่า เจ็บจัง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดีใจที่ได้เจอลูกพี่ลูกน้องนะ” 


 


 


“ทรงเหมือนกับพระมารดาเลยนะเพคะ หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่าในตอนที่พระมเหสีทรงอยู่ในครรภ์ก็ดิ้นไปดิ้นมาแบบนี้จนท่านแม่ลำบากเป็นอย่างมากเลยเพคะ” 


 


 


“ข้าหรือ? จำไม่เห็นได้เลย ใครเป็นคนบอก” 


 


 


มินอาขำพรืดออกมาพร้อมกับรับคังมาอุ้มเหมือนเดิม 


 


 


“ท่านพ่อเพคะ ในตอนที่องค์ชายถีบอย่างแรงจนหม่อมฉันบ่นออกมาว่าเจ็บ ท่านพ่อได้บอกว่าท่านแม่ลำบากยิ่งกว่านี้เป็นเท่าตัว อย่างองค์ชายถือว่าเรียบร้อยทีเดียวเพคะ” 


 


 


หลังจากผ่านการจากลามาครั้งหนึ่ง มินอาจึงมีความเด็ดเดี่ยวกว่ารยูฮาเล็กน้อย เพราะรู้เป็นอย่างดีว่าเราไม่สามารถหลีกหนีความจริงและจมอยู่กับความเศร้าไปได้ตลอด แต่รยูฮาก็ยังรับความจริงและความทรงจำเกี่ยวกับท่านพ่อที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันไม่ได้ 


 


 


“ยังไม่ทันได้บอกให้กลับมาโดยปลอดภัยเลย” 


 


 


รยูฮาลูบท้องพลางกล่อมลูกทั้งสองสักพัก แล้วจึงพูดอย่างแผ่วเบา 


 


 


“นั่นคงจะเป็นความอกตัญญูครั้งสุดท้ายของข้าสินะ สุดท้ายข้าก็เป็นน้องสาวที่ไม่ได้เรื่องเลยสินะ” 


 


 


หลังจากที่นางพูดจบ ฝนไล่ช้างก็เริ่มตกซู่ลงมาเสียงดังลั่นทันทีราวกับนัดกันไว้ 


 


 


“ฝนจะตก…นานไหมนะ”  

 

 


ตอนที่ 16-5

 

หากในฤดูร้อนฝนตกลงมาไม่เพียงพอ ผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวได้ในฤดูใบไม้ร่วงก็จะตกต่ำ อย่างไรก็ตามในฐานะมเหสีแล้ว นางไม่ควรปรารถนาให้ฝนตกลงมาน้อยเพื่อให้ได้ค้นพบศพได้อย่างง่ายดาย แต่แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้นางเป็นเพียงแค่ลูกที่สูญเสียท่านพ่อและน้องสาวที่สูญเสียพี่ชายไปเท่านั้น รยูฮารู้สึกเกลียดท้องฟ้าที่มีฝนโปรยปรายลงมาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ รวมถึงเกลียดตัวเองที่ไม่ได้บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะซบใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง 


 


 


“พระมเหสี พระราชาเสด็จเพคะ” 


 


 


“อืม” 


 


 


ฮอนเข้ามาข้างในพร้อมกับถือของบางอย่างที่ยาวพอสมควรในมือ เมื่อสิ่งที่ถูกม้วนอย่างหนาอยู่ในผ้าไหมสีขาวดึงดูดสายตาไป รยูฮาจึงไม่ทันได้มองสีหน้าของฮอนที่หม่นหมอง 


 


 


“ฝ่าบาท นี่มัน…” 


 


 


“มันถูกฝังอยู่ในทรายตรงริมหาด และโผล่ขึ้นมาเพราะฝนที่ตกหนักนี้น่ะ” 


 


 


มินอาหลับตาและหันหน้าไปทางอื่น แล้วจึงสวมกอดคังไว้แน่น คังที่หายใจไม่ออกเพราะนางทำเช่นนั้นจึงร้องไห้ออกมาทำลายความเงียบภายในห้อง แม้เสียงร้องไห้ของคังจะดังไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงร้องไห้คร่ำครวญเพราะใจสลายได้ รยูฮาดึงดาบสีนิลซึ่งไม่กล้าแกะออกเข้ามากอดราวกับเกาะแขนของท่านพ่อซึ่งมั่นคงและแข็งแรงเสมอพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายเป็นเวลานาน 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


แม้จะโศกเศร้าเสียใจแต่เวลาก็ยังคงดำเนินไป ซานชิลชอง[1]ถูกก่อตั้งขึ้นท่ามกลางฤดูฝนอันแสนยาวนานเป็นพิเศษ หลังจากเรือนหลังหนึ่งที่ว่างเปล่าของวังจานยองถูกตกแต่งให้เป็นห้องคลอดจึงทำให้รู้สึกว่ากำหนดคลอดจวนจะใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้ท้องของนางป่องออกมาจนหายใจลำบาก รยูฮาจึงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนยกเว้นเสียแต่ไปเดินเล่นในตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน แน่นอนว่าคำแนะนำของหมอหลวงที่บอกว่าทรงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นลูกแฝดก็มีส่วนเช่นกัน ทว่าในวันนั้นรยูฮารู้สึกคิดถึงบ้านเป็นพิเศษ 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องเพคะ” 


 


 


มันเป็นช่วงเวลายามเย็นที่พระอาทิตย์ซึ่งลุกโชนราวกับจะแผดเผาทุกอย่างลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับสายลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามา แต่แล้วจู่ๆ รยูฮาที่นอนหนุนตักของฮอนก็พึมพำขึ้นมา 


 


 


“ว่ามาสิ” 


 


 


“หม่อมฉันอยากกลับไปที่บ้านครู่หนึ่งเพคะ” 


 


 


แม้ว่าฮอนจะรับฟังทุกคำขอของรยูฮา แต่การที่เขาลังเลไปสักพักหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ตำหนิไม่ได้ เพราะกำหนดคลอดใกล้เข้ามาจนไม่แปลกที่เด็กจะออกมาตอนไหนก็ได้ เมื่อเขาไม่มีคำตอบ รยูฮาจึงแหงนมองพระพักตร์ราวกับเร่งให้ตอบ 


 


 


“ฝ่าบาท” 


 


 


“เฮ้อ” 


 


 


แค่สักครู่เดียวก็คงจะไม่เป็นไร แม้ว่าฮอนจะไม่ยินดีนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากพยักหน้า 


 


 


“ให้หมอหลวงและหมอหญิงติดตามไปด้วย ข้าจะสั่งให้เตรียมพร้อมแต่เช้าตรู่ในวันพรุ่งนี้” 


 


 


“ไปค้างประมาณสามวันได้ไหมเพคะ” 


 


 


“เอาสิ เดี๋ยวข้าจะบอกเสด็จย่าเอง” 


 


 


รยูฮาจับมือเขาและเอาไปถูกับใบหน้าแทนคำขอบคุณ บ้านหลังนั้นเป็นของตระกูลซอตั้งแต่ก่อนที่รยูฮาจะเกิดเสียอีก ที่แห่งนั้นทั้งแข็งแรงและไม่ซับซ้อนวุ่นวายเหมือนกับท่านพ่อ อีกทั้งยังมีโอ้โถงและสะอาดสะอ้านอีกด้วย สาเหตุที่จู่ๆ ก็ทำให้นางคิดถึงที่นั่นจนร้องไห้คืออะไรกัน 


 


 


รยูฮาหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทั้งคืน ก่อนจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับพระจันทร์ในตอนเช้ามืดแล้วรีบเตรียมตัว เนื่องจากมีผู้ติดตามตั้งแต่ซังกุง หมอหลวง หมอหญิงและทหารองครักษ์อีกยี่สิบกว่าคนจึงเป็นขบวนที่ใหญ่ไม่ใช่เล่น แม้จะไม่ชอบการส่งเสียงดังวุ่นวายเป็นอย่างมาก แต่จะทำอย่างไรได้ นางต้องออกไปแบบนี้ฮอนถึงจะสบายใจ 


 


 


“เดินทางปลอดภัยนะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ส่งสารมา แล้วข้าจะรีบไปหาในทันที” 


 


 


ฮอนยังคงไม่หายกังวล เขาดึงรยูฮาเข้ามากอดและกระซิบกระซาบ และไม่ลืมที่จะใช้มือลูบท้องอย่างระมัดระวังราวกับสัมผัสกับเด็กน้อยและบอกลาองค์รัชทายาท 


 


 


“พ่อไม่อยู่ก็อย่าก่อเรื่องและทำตัวเรียบร้อยหน่อย เข้าใจหรือไม่” 


 


 


ตอบกลับมาว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรือเปล่านะ ฮอนยิ้มออกมาเมื่อลูกในท้องคนหนึ่งกระดุกกระดิก เขาระดมจูบบนท้องโดยไม่สนใจว่าพวกข้าราชบริพารจะมองอยู่หรือไม่ จากนั้นจึงยืดตัวขึ้นและหอมแก้มรยูฮาอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“ข้ารักเจ้านะรยูฮา” 


 


 


“หม่อมฉันเองก็เช่นกันเพคะ” 


 


 


จะมีอะไรที่พิเศษไปกว่านี้อีกหรือไม่ รยูฮายิ้มร่าพร้อมกับปรับอารมณ์ให้เข้ากันเขา หลังจากการบอกลาอันยาวนานสิ้นสุดลง รถม้าก็วิ่งฝ่าอากาศในตอนเช้าอันแสนสดชื่นตรงไปยังบ้านของนาง 


 


 


“ทรงตัวหนักขนาดนี้แล้วเสด็จมาจนถึงที่นี่ได้อย่างไรเพคะ ทรงทำให้แม่คนนี้แทบบ้านะเพคะ!” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองที่ซีดเซียวจนสะดุดตาต้อนรับนางพร้อมกับบ่นไปเรื่อย แม้ว่าปกติแล้วนางจะไม่ใช่คนที่ชอบบ่นก็ตาม รยูฮารู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปในขณะที่นางเติบโตพร้อมกับกำมือของท่านแม่เอาไว้แน่น 


 


 


“ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านแม่” 


 


 


“ทรงไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกเพคะ” 


 


 


“ที่มาจนถึงที่นี่ ก็เพื่อที่จะขอโทษที่เคยถีบท้องอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ” 


 


 


ประโยคนั้นทำให้รอยยิ้มที่มีความคิดถึงปะปนไปกับความเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนายหญิงตระกูลจองผู้แข็งแกร่ง 


 


 


“ทรงได้ยินมาจากใต้เท้าหรือเพคะ” 


 


 


“ได้ยินมาจากมินอาเพคะ มินอาบอกว่าได้ยินมาจากท่านพ่อ โอ๊ย” 


 


 


ความเจ็บปวดซึ่งรู้สึกขึ้นอย่างกะทันหันทำให้รยูฮาขมวดคิ้ว 


 


 


“แต่ดูเหมือนว่ารัชทายาททั้งสองก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกันเพคะ ได้ยินมาว่าถึงเวลาคลอดจะสงบลงนิด…โอ๊ย” 


 


 


“เสด็จเข้าด้านในเถิดเพคะพระมเหสี เดี๋ยวหม่อมฉันจะนำชามาถวายให้” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองมองดูแผ่นหลังของมินอาที่ประคองรยูฮาไปยังที่พักก่อนจะกลับหลังหัน เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะคิดถึงบ้านของพ่อแม่เมื่อตั้งครรภ์ แม้ว่านางจะไม่สามารถจัดเตรียมสำรับอาหารได้เพราะไม่มีฝีมือ แต่ก็คิดว่าจะจัดเตรียมโต๊ะน้ำชาด้วยตัวเอง 


 


 


ในขณะที่ตั้งท้องกยอกซานซึ่งเป็นลูกคนแรก นางไม่สามารถโผล่หน้าไปแถวๆ บ้านพ่อกับแม่ได้เนื่องจากเป็นลูกสาวนอกสมรส ในสมัยนั้นตัวนางเองร้องไห้หนักขนาดไหนกันนะ ส่วนคนรักของนางซึ่งเป็นนักรบวัยหนุ่มก็ลูบท้องของนางและไม่ยอมหลับยอมนอนทั้งคืนด้วยกันหลายวันเช่นกัน สุดท้ายนายหญิงตระกูลจองก็ไม่สามารถเข้าไปในครัวได้และทรุดนั่งยองๆ ลงตรงหน้านั้นราวกับใจสลาย 


 


 


“ฮึก… ฮึก ใต้เท้า ใต้เท้า” 


 


 


ชายที่ยุ่งอยู่เสมอคนนั้นทั้งนำอาหารที่ภรรยา ตามหาทุกอย่างมาให้ ทั้งจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเสาะหาวัตถุดิบที่ดีต่อการแพ้ท้องและเข้าๆ ออกๆ ห้องครัวอยู่บ่อยๆ นายหญิงตระกูลจองไม่กล้าเข้าไปในห้องครัวและกลั้นหายใจเรียกสามีของนางไปร้องไห้ไป นางเรียกหาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าจะได้ยินคำตอบนั้น 


 


 


“ใต้เท้า ท่านต้องกลับมาสิ ใต้เท้า…” 


 


 


‘ข้าไม่กลับมาแล้วล่ะ ฮูหยิน’ 


 


 


เสียงที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยพูดตอบ นายหญิงตระกูลจองจึงลุกพรวดขึ้นและมองไปรอบๆ คงจะหูแว่วไปเอง เพราะทั้งทาสจำนวนมากและสาวใช้ที่ทำงานอยู่ในครัวต่างก็ไม่มีใครรู้สึกว่ามีคนมา น่าจะเป็นเช่นนั้น นายหญิงตระกูลจองยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปในประตูอย่างเชื่องช้า แต่ในขณะนั้นเอง 


 


 


“แย่แล้ว นายหญิง!” 


 


 


เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้นมาจากตรงประตูหน้าบ้านและทะลุเข้ามาถึงห้องครัวที่อยู่ในหลืบ 


 


 


“นายหญิง นายหญิง! อยู่ไหมเจ้าคะ นายหญิง! แย่แล้ว แย่แล้วเจ้าค่ะ!” 


 


 


ทำไมถึงได้ส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวแบบนี้ พระมเหสีที่ทรงตั้งครรภ์มาประทับที่นี่ไม่ใช่หรือ นายหญิงตระกูลจองอยากตะโกนใส่พวกคนรับใช้แบบนั้นแต่ไม่สามารถทำได้ สาวใช้ที่ไม่อยู่ในห้องครัวรีบวิ่งมาอย่างลนลานก่อนจะร้องไห้คร่ำครวญแทบเท้าของนายหญิงตระกูลจองซึ่งยืนนิ่งอยู่ 


 


 


“นายหญิง นายหญิง…นายท่านมาแล้วเจ้าค่ะ มาด้วยกันกับคุณชายใหญ่ นายหญิง ฮึก…” 


 


 


มีใครจับตัวนางให้ขยับหรือเปล่านะ นายหญิงตระกูลจองเดินโซเซตรงไปยังประตูหน้าบ้านด้วยขาที่ไม่ได้เคลื่อนไหวตามที่นางต้องการ มีบางอย่างซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าสีขาววางอยู่ตรงสวนหน้าบ้าน สองอัน ไม่ใช่สิ สองคนที่เคยหวังให้กลับมาและที่เคยหวังว่าจะไม่กลับมาด้วยสภาพแบบนี้ 


 


 


“อย่ามองเลยขอรับ มันน่าจะดีกว่าขอรับ” 


 


 


 


 


 


[1] ซานชิลชอง หน่วยงานชั่วคราวในสมัยเกาหลีโบราณซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นเวลาพระมเหสีหรือพระสนมจะให้กำเนิดโอรสหรือธิดาของกษัตริย์  

 

 


ตอนที่ 16-6

 

เหล่าทหารที่แบกแคร่มาเอ่ยห้ามนายหญิงตระกูลจอง แต่นางไม่สนใจและทรุดนั่งลงบนพื้นอย่างช้าๆ ดวงตาที่พร่ามัวไม่สามารถมองศพทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนได้ ลูกชายและสามีของนางซึ่งเป็นสองคนที่นางสามารถมอบชีวิตทั้งหมดให้ได้ นางควรที่จะจดจำภาพสุดท้ายนี้เอาไว้ แต่ไม่รู้ทำไมดวงตาถึงได้มองไม่เห็นแบบนี้ ดวงตาที่ถูกขยี้ด้วยแขนเสื้อจึงเริ่มกลายเป็นสีแดง 


 


 


“ใต้เท้า ใต้เท้าหรือเจ้าคะ…?” 


 


 


ความรู้สึกที่สัมผัสได้ตรงปลายนิ้วซึ่งซีดเซียวพอๆ กันกับใบหน้าของนางนั้นไม่คุ้นชินเอาเสียเลย เมื่อนายหญิงตระกูลจองค่อยๆ เปิดผ้าสีขาวออกอย่างข้าๆ เสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้จึงดังขึ้นพร้อมกันโดยรอบทิศทาง 


 


 


“ไม่น่าเลย นายท่าน!” 


 


 


“ใต้เท้า!” 


 


 


 


 


 


นายหญิงตระกูลจองลุกพรวดขึ้นมานั่ง ด้วยเหตุนั้นเอง ผ้าห่มผืนบางที่คลุมจนถึงหน้าอกจึงหล่นลงมาบนขา นี่เราร้องไห้หนักขนาดไหนกัน หมอนที่เป็นสีขาวถึงได้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาและมีรอยเปื้อนเต็มไปหมด 


 


 


“เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่” 


 


 


มินอาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าของนายหญิงตระกูลจองด้วยความเป็นห่วง แต่ขนตาของนางก็ยังคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาที่ยังไม่แห้ง 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นหรือ” 


 


 


“จู่ๆท่านแม่ก็หมดสติอยู่ที่หน้าห้องครัวเจ้าค่ะ” 


 


 


“แล้วกยอกซานล่ะ… ใต้เท้าล่ะ?” 


 


 


“ท่านแม่คงฝันไปเจ้าค่ะ” 


 


 


มินอาถือแก้วน้ำขึ้นมาแตะตรงริมฝีปากของนายหญิงตระกูลจอง แม้จะเป็นน้ำเย็นเหมือนกับเพิ่งตักมาจากบ่อน้ำใหม่ๆ แต่นางกลับไม่รู้สึกสดชื่นเลยแม้แต่น้อย และเมื่อวางแก้วลงบนโต๊ะเสียงตะโกนลั่นจากด้านนอกก็ดังขึ้น 


 


 


“ตายจริง นายท่าน!” 


 


 


เสียงที่เคยได้ยินในความฝันนั้นทะลุกระดาษกรุประตูเข้ามา 


 


 


“มินอา ข้างนอก…” 


 


 


นายหญิงตระกูลจองพูดอย่างตะกุกตะกักในขณะที่กำลังลุกขึ้น ท่านบอกในฝันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะกลับมา ใต้เท้า จากนั้นน้ำตาที่หยุดลงได้สักพักก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้งราวกับสายฝน นางยื่นมือออกไปยังประตูที่มองเห็นเลือนราง แต่ยังไม่ทันได้เอามือไปแตะประตู ประตูนั้นก็ถูกเปิดออกเสียก่อน พร้อมกับมีชายคนหนึ่งเข้ามาข้างใน 


 


 


“ฮูหยิน” 


 


 


ชายคนนั้นดึงนายหญิงตระกูลจองเข้าไปกอดโดยไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูดอะไร หนวดที่หยาบกระด้างระต้นคอของนาง ถ้าเป็นความฝันอีกจะทำอย่างไร นายหญิงตระกูลจองกังวลเรื่องนั้นเป็นอย่างแรกสุด ได้โปรด หากนี่คือความฝันก็ขอให้ไม่ตื่นขึ้นมาอีก 


 


 


“ฮูหยิน ข้ากลับมาแล้ว” 


 


 


“ท่านแม่!” 


 


 


ชายอีกคนที่ตามเข้ามาก็โอบกอดนายหญิงตระกูลจองเช่นกัน นางสัมผัสได้ถึงความร้อนในร่างกายของทั้งสอง กลิ่นตัวที่ผสมกับกลิ่นเหงื่อและการสั่นสะเทือนของเสียง ในตอนนั้นเองนายหญิงตระกูลจองจึงเข้าใจเลยว่าทำไมในความฝันก่อนหน้านี้ นางไม่ได้กลิ่นศพที่เน่าเปื่อยเลย เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่ความฝัน น้ำตาจะไหลรินออกมาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะความโศกเศร้า 


 


 


“กยอกซาน ใต้เท้า!” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


กี่ชีวิตแล้วที่ต้องสูญสิ้นไปด้วยปลายดาบสีนิลอันหนักอึ้ง ซอดูฟันคอศัตรูแล้วแทงไปที่หัวใจทันทีที่ศัตรูใกล้เข้ามา พวกศัตรูที่เห็นเขาแล้วหลบหนีก็ถูกฟันไม่ยั้งเช่นกัน เร็วหน่อย ขอร้องล่ะ เร็วเข้า ดูจากเปลวเพลิงกำลังลุกโชนรอบทิศทาง ตอนนี้กลุ่มสองคงจะแทรกซึมได้สำเร็จแล้ว จากนั้นกลุ่มสามจึงแทรกซึมลึกเข้าไปในเส้นทางที่เหล่าทหารคุ้มกันรวมถึงเขาเป็นคนสร้างด้วยเลือด ถึงแม้ซอดูจะเป็นปีศาจสงครามซึ่งถูกเลือดสาดเข้าใส่ท่ามกลางนรก แต่เขาก็เป็นพ่อคนเช่นกัน 


 


 


“อ๊ากกก!” 


 


 


เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้นจากด้านใน ชายคนหนึ่งยกมือขึ้นสูงท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชนเป็นสีแดงฉาน เพื่อให้ทุกคนได้เห็นหัวของผู้นำฝ่ายข้าศึกที่ติดอยู่ที่ปลายดาบ ทหารฝ่ายข้าศึกจึงลดอาวุธลงแล้วคุกเข่ารอบทิศทาง แต่แทนที่จะร่วมฉลองชัยชนะ ซอดูกลับวิ่งตรงไปยังชายหาดแทน 


 


 


“กยอกซาน กยอกซาน!” 


 


 


ลมทะเลที่พัดแรงจัดพัดพาเอาเขม่าควันของเรือข้าศึกที่ยังคงลุกไหม้อยู่ปกคลุมไปทั่วชายหาดที่เต็มไปด้วยศพและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ พวกที่ยังมีชีวิตอยู่เทียวไปเทียวมาอย่างขยันขันแข็งเพื่อพาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไปรวมตัวกันในที่เดียว แต่หนึ่งในนั้นไม่มีลูกชายของเขา 


 


 


“ท่านแม่ทัพ!” 


 


 


ทหารที่จำเขาได้รีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพ 


 


 


“ซอกยอกซานเป็นอย่างไรบ้าง!” 


 


 


“หลังจากสังหารทหารที่คอยคุ้มกันเรือของข้าศึกแล้ววางเพลิง แต่ผู้บัญชาการยังไม่ทันได้ออกมาไฟก็เกิดลุกไหม้ขึ้นแล้วขอรับ ข้ามั่นใจว่าเห็นเขาโดดลงไปในทะเลแล้วแน่ๆ แต่ก็ยัง…” 


 


 


การที่เขากัดริมฝีปากและแผ่วเสียงลงก็ชัดเจนมากแล้ว อย่างไรก็ตามพ่อที่ผลักลูกเข้าสู่เส้นทางแห่งความตายจะรู้สึกเสียดายต่อชีวิตของตนเองได้อย่างไร 


 


 


“ฝั่งไหน” 


 


 


“ฝั่งนี้ขอรับแต่ว่า… ท่านแม่ทัพ! ไม่ได้นะขอรับ!” 


 


 


แม้ทหารจะห้ามปรามไว้ แต่ซอดูก็วิ่งตรงไปยังทะเลซึ่งยังคงลุกไหม้พร้อมกับขว้างดาบสีนิลทิ้งไป ในขณะที่เสื้อเกราะซึ่งถูกโยนทิ้งไปเป็นอย่างสุดท้ายทำให้เกิดระลอกคลื่นบนน้ำตื้น ตัวเขาเองก็จมดิ่งลงไปบนท้องทะเลอันเย็นยะเยือก 


 


 


หากหัวเมืองที่ถูกเผาไหม้คือเมืองนรก ทะเลก็คือทะเลนรก เกิดละอองน้ำกระจายทุกครั้งที่ชิ้นไม้ร่วงตกลงมาอย่างรุนแรงท่ามกลางศพที่ลอยไปลอยมา ซอดูอาศัยแสงไฟนั้นค้นหาใบหน้าของคนที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเล หากสามารถงมศพขึ้นมาได้ ในฐานะพ่อเขาก็จะภูมิใจในตัวลูกชายที่จากไปเสียก่อน 


 


 


สายลมนั้นจะพัดขึ้นไปถึงท้องฟ้าหรือไม่นะ หลังจากตรวจดูใบหน้าของทหารที่หมดสติอยู่บนแผ่นไม้ ซอดูก็ลากมันแล้วเริ่มว่ายเข้าฝั่งโดยไม่รีรอ แต่ว่ามันคือกระแสน้ำวน ดังนั้นไม่ว่าจะว่ายไปเท่าไหร่ ชายหาดก็มีแต่จะห่างไกลออกไปขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นซอดูก็หมดสติโดยที่ยังจับลูกชายไว้แน่น 


 


 


 


 


 


“…ขอรับ” 


 


 


“แค่ก” 


 


 


เสียงที่คล้ายกับความฝันปลุกให้ซอดูตื่นขึ้น เขาหันไปมองข้างๆ และหลับตาลงหลังจากรู้สึกว่ามือของตัวเองยังจับลูกชายไว้อยู่แม้ว่าสติจะเลือนรางก็ตาม และลืมตาอีกครั้งบนเตียงนอนที่ดูเก่าแต่สะอาดสะอ้าน 


 


 


“โอ๊ะ ฟื้นแล้ว!” 


 


 


เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเบิกตาโพลงแล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันทีที่ซอดูลืมตาขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามยันตัวขึ้นโดยไม่สนใจกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายที่คล้ายกับกำลังกรีดร้องอยู่ 


 


 


“อยู่เฉยๆ ขอรับ ตอนนี้น่าจะยังขยับตัวได้ลำบากขอรับ” 


 


 


ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงจะไปพาชายชราคนนี้มา ชายชราคนนั้นเช็ดมือกับขอบกางเกงเก่าๆ จากนั้นจึงห้ามเขาไว้พร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้ 


 


 


“ลูกชายของข้าอยู่ที่ไหน” 


 


 


ซอดูรีบถามก่อนที่จะดื่มน้ำดับกระหาย ชายชราจึงหัวเราะออกมา 


 


 


“ก็ว่าทำไมถึงได้หน้าตาคล้ายกัน ลูกชายนี่เองสินะ เขายังมีลมหายใจอยู่ เพราะฉะนั้นดื่มก่อนเถอะขอรับ” 


 


 


หลังจากดื่มน้ำหมดรวดเดียว เขาก็เก็บผ้าห่มและลงมาจากเตียงทันที ทำให้ชายชราตกตะลึงจนพูดไม่ออก พร้อมกับพึมพำว่ารู้อยู่แล้วว่าเป็นนักรบ แต่ก็ช่างน่าทึ่งเสียจริง 


 


 


“อยู่ห้องข้างๆ ขอรับ” 


 


 


พอเข้าไปในห้องข้างๆ ซอดูก็เอานิ้วจ่อตรงใต้จมูกของกยอกซานซึ่งนอนอยู่และมีใบหน้าอันซีดเซียวเหมือนกับตายแล้วทันที ลมหายใจที่เบาบางทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“กยอกซาน กยอกซาน” 


 


 


“ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถอะขอรับ เพราะว่าชีพจรมั่นคง อีกไม่กี่วันก็คงจะฟื้นขอรับ” 


 


 


ในตอนนั้นเองซอดูซึ่งเริ่มหมดแรงนั่งลงบนขอบเตียง 


 


 


“ที่นี่คือที่ไหนหรือ” 


 


 


“ทางฝั่งท่านบอกก่อนน่าจะดีกว่าไหมขอรับ” 


 


 


สายตาอันแหลมคมมองชายชราตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งเป็นสัญชาตญาณของนักรบเพื่อที่จะคัดแยกบุคคลอันตราย พอตรวจไม่เจอความมีพิษมีภัยจากเขา ซอดูจึงพูดออกมาอย่างนอบน้อม 


 


 


“ข้าซอดู มหาเสนาบดีแห่งแทซากุก ส่วนนั่นคือลูกชายของข้า ซอกยอกซาน”  

 

 


ตอนที่ 16-7

 

นายหญิงตระกูลของถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากนั่งฟังเรื่องราวอยู่เงียบๆ แม้จะเห็นว่าลูกชายและสามีนั่งอยู่ตรงหน้า แต่นางก็ยังไม่อยากจะเชื่อ รยูฮาซึ่งจับมือพ่ออยู่ข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน


 


 


“สวรรค์ช่วยไว้สินะ”


 


 


“คนช่วยต่างหากล่ะ”


 


 


นอกจากจะซูบผอมลงแล้ว แผลเป็นบนใบหน้าก็ยังยาวขึ้นด้วย แต่ท่านมหาเสนาบดีก็ยังสามารถพากยอกซานกลับมาถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย


 


 


“เขาช่วยกยอกซานกับข้าทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าคือประเทศปฏิปักษ์”


 


 


ซึ่งก็คือยอนกุก หนึ่งในประเทศเล็กๆ ที่ร่วมโจมตีแทซากุกในครั้งนี้ด้วย แม้จะสามารถทำร้ายทั้งสองคนซึ่งหมดแรงได้อย่างง่ายดาย ทว่าชายชราก็ทำแค่เพียงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรและช่วยเหลือพวกเขาต่อ อีกทั้งยังหาเรือกลับมาแทซากุกให้ด้วย


 


 


“ลูกจะส่งข่าวไปทูลฝ่าบาท ว่าให้ปล่อยเชลยศึกจากยอนกุก”


 


 


“ทรงคิดได้ดีมากพ่ะย่ะค่ะพระมเหสี”


 


 


“ไม่สิ ไปบอกด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า ตอนแรกว่าจะค้างอยู่ที่นี่สักสามวัน แต่พรุ่งนี้คงต้องกลับเข้าวังแล้วเจ้าค่ะ พร้อมท่านพ่อเลย คัง อย่าสิ”


 


 


รยูฮาดุคังด้วยเสียงหัวเราะในตอนท้าย คังในอ้อมแขนของท่านตาเริ่มมองหาอะไรเล่น ก่อนจะหัวเราะร่าพร้อมกับดึงหนวดเคราไปด้วย


 


 


“ปล่อยไปเถอะ คงจะดีใจที่ได้เจอตา”


 


 


“คงจะเป็นเช่นนั้น โอ๊ย!”


 


 


รยูฮาขมวดคิ้วแล้วจับท้องอีกครั้ง


 


 


“เด็กๆ ป่วนมาสักพักแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ปกติจะไม่เจ็บเช่นนี้บ่อยนัก”


 


 


คำพูดนั้นทำให้จิตใจนายหญิงของตระกูลสงบลง เพราะนางมีลูกมาสามคนแล้วจึงคุ้นเคยและระมัดระวังกับสถานการณ์นี้เป็นอย่างมาก


 


 


“เป็นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เสด็จมาถึงเมื่อสักครู่ใช่หรือไม่เพคะพระมเหสี”


 


 


“เจ้าค่ะท่านแม่ โอ๊ย!”


 


 


รยูฮาส่งเสียงร้องดังกว่าเมื่อครู่และบีบมือพ่อตนเองแน่นโดยไม่รู้ตัว ท่านมหาเสนาบดีเองก็ไม่ได้คุ้นชินกับสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่นัก หลังจากเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะๆ ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ ทวีคูณและถี่ขึ้นเช่นกัน นายหญิงตระกูลจองรีบลุกพรวดวิ่งออกไปข้างนอกทันที ก่อนท่านมหาเสนาบดีจะเปิดปากพูด


 


 


“ไปตามหมอหญิงมา! เร็วเข้า!”


 


 


ห้องคลอดถูกตระเตรียมขึ้นอย่างเร่งรีบเมื่อความเจ็บปวดเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยฝ่ายทำคลอดที่แต่งตั้งเพื่อพระมเหสีต่างขยับตัวอย่างไม่ได้หยุดพัก จำต้องส่งม้าเร็วไปยังพระราชวังโดยด่วน ทว่าหากผ่านทหารเฝ้าประตูทุกประตูเข้าไปก็ไม่มีเวลามากขนาดนั้น ท้ายที่สุดท่านมหาเสนาบดีจึงขึ้นหลังม้าและมุ่งตรงไปยังพระราชวังราวกับโผบินด้วยตนเอง และเมื่อเข้าถึงห้องทรงงาน พระราชวังอันกว้างขวางจึงโกลาหลวุ่นวายในชั่วพริบตา


 


 


“ฝะ ฝ่าบาท! ท่านมหาเสนาบดีซอดูมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


คนเอะอะโวยวายคนแรกสุดคือทหารเฝ้าประตู คนต่อมาคือขันทีที่ต้องเผชิญหน้ากับเขาโดยตรงหน้าห้องทำงาน เมื่อจูฮวานสูญเสียความสุขุมผิดปกติและขานบอกอย่างตะกุกตะกัก ฮอนจึงโกรธเลือดขึ้นหน้า


 


 


“เจ้า กล้าดีอย่างไรถึงเอ่ยนามของผู้ล่วงลับพล่อยๆ เช่นนี้!”


 


 


แต่ท่านมหาเสนาบดีกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ก่อนจูฮวานจะเรียกร้องความไม่เป็นธรรมให้ตนเอง


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมมหาเสนาบดีซอดูพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เรื่องจริงงั้นหรือ ความตกตะลึงเข้าทดแทนความโมโห ฮอนเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นอย่างรีบเร่ง เหล่าเสนาบดีที่จมอยู่กับกองเอกสารก็ทำพู่กันและม้วนกระดาษร่วงด้วยความลุกลี้ลุกลนเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน คนตายแล้วเมื่อเดือนก่อนปรากฏตัวในพระราชวังอย่างนั้นหรือ! ทว่าสิ่งที่มหาเสนาบดีซอดูกล่าวเป็นอย่างแรกสุดหลังจากเข้ามาห้องทรงงานกลับทำให้ทุกคนลืมว่าเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งเสียสนิท


 


 


“พระมเหสีเสด็จเยือนตระกูลซอ และทรงเจ็บท้องคลอดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”


 


 


ไม่มีเวลายินดีเรื่องพ่อตา ฮอนตะโกนสั่งให้นำม้าออกมาฉับพลัน ก่อนจะมุ่งหน้าสู่บ้านของรยูฮาด้วยชุดคลุมมังกรทอง พร้อมกับชื่นชมกับการตัดสินใจของตนเองเมื่อเช้าที่ส่งหมอหลวงและหมอหญิงติดตามมาด้วย


 


 


“เสด็จเข้าทางนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ท่ามกลางความโกลาหล ท่านมหาเสนาบดีรีบคว้าตัวฮอนที่กำลังก้าวตรงไปยังประตูใหญ่หน้าบ้านด้วยความมั่นใจ และเชิญให้เข้าทางประตูเล็กด้านหลังแทน เนื่องจากห้ามประตูหน้าบ้านตั้งแต่เริ่มเจ็บท้องคลอด จนกระทั่งผ่านยี่สิบวันวันหลังคลอดเรียบร้อยแล้ว หลังผ่านประตูเล็กนั้นเข้าตัวบ้าน ฮอนจึงเห็นว่าบ้านหลังนี้ปกคลุมด้วยความวุ่นวายอันคุ้นเคย ใช่แล้ว ความวุ่นวายที่เคยสัมผัสเมื่อครั้งมินอาคลอดคัง และขณะนั้นเขาถึงได้รู้สึกจริงๆ ว่ารยูฮากำลังจะคลอดลูกแล้ว


 


 


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”


 


 


“ไม่เป็นไร เป็นอย่างไรบ้าง พระมเหสีเล่า”


 


 


ท่าทางการวิ่งมาพร้อมดินเปรอะเปื้อนตรงชายเสื้อคลุมมังกรดูรีบร้อนอยู่ไม่น้อย ทหารองครักษ์และเหล่าข้าราชบริพารที่ยืนอยู่ตรงสวนจึงรีบเข้ามาหมอบกราบ แต่ถึงพวกเขาจะไม่เข้ามาโค้งคำนับ ฮอนก็ไม่ได้ถือความอันใด จังหวะนั้นเสียงกรีดร้องจากในห้องก็ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับการปิดกั้นมัน


 


 


“อ๊าา อุ๊บ!”


 


 


“ร้องไม่ได้เพคะ มันจะทำให้เปลืองแรงเปล่าๆ เพคะพระมเหสี!”


 


 


แค่คลอดลูกคนเดียวมินอาก็เกือบตายแล้ว ทว่ารยูฮาต้องคลอดถึงสองคน ฮอนทำได้แค่เพียงกระทืบพื้นที่ไร้ความผิดใดไปเรื่อยๆ เท่านั้น คล้ายเกลียดตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย แม้ผู้ติดตามมาทีหลังอย่างจูฮวานจะอ้อนวอนให้เสด็จรอด้านใน ก็ถูกเตะกลับมาเหมือนเดิม


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท! อ๊ากก!”


 


 


เสียงรยูฮาร้องหาตนทำให้ฮอนที่นั่งยองๆ อย่างไร้เกียรติมาสักพักลุกพรวด ทหารองครักษ์ ขันที ไปจนถึงข้าราชบริพารทั้งหมดต่างคว้าชายฉลองพระองค์ไว้เพื่อห้ามฝ่าบาทที่คิดจะวิ่งไปยังห้องคลอด อย่างไรก็ตามยังเป็นโชคดีสำหรับฮอน เพราะผู้คนเหล่านี้ไม่อาจแตะต้องตัวเขาได้


 


 


“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”


 


 


“ปล่อย! ผู้ใดไม่ปล่อย ข้าจะตัดหัวมันเสียตรงนี้!”


 


 


“ทรงตัดหัวกระหม่อมก็ได้ แต่ไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“กล้าขัดคำสั่งข้างั้นหรือ! ปล่อย! ข้าบอกให้ปล่อย!”


 


 


เขาเคยวิ่งเข้าห้องคลอดของน้องสาวพระมเหสีหรือพี่สะใภ้ของตนมาแล้ว รอบแรกก็ไม่ยาก แต่รอบสองจะต่างกันหรือไม่ เมื่อเสียงตะโกนรั้งฝ่าบาทดังขึ้นอีกครั้ง ผ้าสีดำก็ตกลงบนศีรษะของเหล่าทหารองครักษ์ที่จับดึงชายฉลองพระองค์ทันที


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ฮอนว่องไวมากจนคนรอบข้างคว้าตัวไม่ทัน หลังจากถอดเสื้อคลุมมังกรทองทิ้งและเปิดประตูห้องคลอดเข้าไปก็เกิดความชุลมุนวุ่นวายในทันที แต่เขาไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้นรีบรุดเข้าไปจับมือรยูฮา


 


 


“ข้ามาแล้ว”


 


 


“ฝ่าบาท อึก ฝ่าบาท!”


 


 


“เช่นนั้นแหละ ออกแรงอีกหน่อย!”


 


 


พอเห็นว่าฮอนมาอยู่ข้างๆ แล้ว รยูฮาจึงดึงมือออกจากการจับกุมด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล และสิ่งที่นางคว้าแทนมือก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นมวยผมของฮอนที่รวบไว้บนศีรษะอย่างเรียบร้อยนั่นเอง


 


 


“เจ้าคนเลว! เพราะเจ้า… อ๊าก!”


 


 


“พระมเหสี! อย่าเพคะ! ปล่อยเถิดเพคะ!”


 


 


“ปล่อยอะไร! อ๊าก! นี่! ข้าน่ะ! บอกให้เจ้ารับสนมเข้ามาไง! อ๊ากก!”


 


 


นางลืมความสุขของการตั้งท้องมาตั้งนานแล้วหลังเผชิญกับความเจ็บปวดถาโถมเข้าใส่ เหลือแต่เพียงความต้องการแก้แค้นฮอน ผู้เป็นสาเหตุของความเจ็บปวดเหล่านี้เท่านั้น ไม่ว่าซังกุง หมอหลวงและหมอหญิงจะห้ามปรามด้วยความตื่นตระหนกเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์


 


 


เสียงข้าราชบริพารตะโกนร้องว่าไม่ได้ เสียงกรีดร้องพร้อมคำพร่ำบ่นใส่ฮอน และเสียงของพระราชาขอให้ปล่อยผสมปนเปกัน จนทำให้ห้องคลอดที่ควรศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างอะไรกับสนามรบ


 


 


“อ๊าก! เจ้า! ฝ่าบาท! อ๊ากกก! คอยดูเถอะ!”


 


 


“พระมเหสี ปล่อยก่อน! รยูฮา! ซอรยูฮา!”


 


 


“เห็นหัวแล้วเพคะ! อีกนิดนึงเพคะพระมเหสี!”


 


 


“อ๊ากก!”


 


 


ลูกคนแรกออกมาพร้อมเสียงกรีดร้องครั้งสุดท้าย


 


 


“ยินดีด้วยเพคะ องค์ชายทรงมีพระวรกายแข็งแรงดี!”


 


 


“ยินดีด้วยเพคะฝ่าบาท!”


 


 


รยูฮาน้ำตาไหลพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้สักพัก แต่อาการเจ็บท้องคลอดกลับมาอีกรอบ ลูกอีกคนก็ร้องออกมาเสียงดัง เด็กทารกปรากฏตัวออกมาทีละคนจากด้านหลังม่านสีขาว ต่างคนต่างดิ้นไปมาทำเอาภายในห้องดังก้องด้วยเสียงร้องไห้ ประหนึ่งแข่งกันว่าใครจะเกิดมาได้แข็งแรงกว่ากัน


 


 


“อุแว้! อุแว้!”


 


 


“อุแว้! อุแว้!”


 


 


“เป็นราชธิดาเพคะฝ่าบาท! ยินดีด้วยเพคะ!”


 


 


“ยินดีด้วยเพคะฝ่าบาท!”


 


 


จากนั้นรยูฮาจึงปล่อยมวยผมของฮอนออก และเอนศีรษะชุ่มเหงื่อของตนลงบนหมอน ฮอนเองก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเช่นเดียวกัน ทว่าซังกุงก็นำมีดเงินซึ่งถูกลนไฟเก้ามารอบถวาย ขณะตนกำลังจ้องมองลูกทั้งสองคนนิ่งๆ โดยไม่สนใจจะจัดเส้นผมยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย


 


 


“โปรดทรงตัดสายสะดือด้วยเพคะฝ่าบาท”


 


 


เนื่องจากเคยทำมาแล้วหนึ่งรอบ ฮอนจึงทำได้ดีทีเดียว หลังจากค่อยๆ ตัดสายสะดืออย่างระมัดระวังเสร็จ ทารกแรกเกิดเนื้อตัวเป็นสีแดงก็โดนห่อตัวด้วยผ้าสะอาดและอุ้มมาวางบนหน้าอกของรยูฮา แม้จะเจ็บศีรษะแปลบๆ ทว่าเขาก็พึงพอใจเมื่อได้แบ่งรับความเจ็บปวดของนางแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม จุ๊บ ฮอนประทับจูบลงบนฝ่ามือที่คว้ามวยผมตนมาเขย่าเมื่อครู่


 


 


“เจ้าเก่งมาก ขอบใจนะ รยูฮา” 

 

 


ตอนที่ 16-8

 

หลังจากคลอดที่จวนบิดามารดาโดยไม่ได้ตั้งใจ รยูฮาก็ไม่สามารถออกไปที่ใดได้จนกว่าจะผ่านพ้นยี่สิบเอ็ดวัน ดังนั้นพระหมื่นปีจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยามพระราชาแอบออกนอกพระราชวังทุกค่ำคืนด้วยความเข้าพระทัย ฮอนเลยสามารถมาเจอราชโอรสและราชธิดาของตนได้ทุกวัน แต่ก็มีบางส่วนที่ทำให้เขาลำบากอยู่บ้าง


 


 


“โอ๊ยๆ เบามือหน่อย”


 


 


“โปรดทรงลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะฝ่าบาท!”


 


 


“พวกเจ้ามีกี่ชีวิตกันแน่ ถึงชอบบอกให้ข้าฆ่าทิ้งอยู่เรื่อย แค่ทำเบาๆ ก็พอแล้ว”


 


 


ขั้นตอนของการหวีและรวบเก็บเป็นมวยผมอย่างเรียบร้อย ก่อนสวมกวานทองคำทุกเช้าล้วนแล้วแต่เจ็บปวด ฮอนถึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดยามสตรีทะเลาะกัน ถึงต้องกระชากผมฝ่ายตรงข้าม ศิลปะการต่อสู้ของเหล่าบุรุษกลายเป็นกระจอกๆ ไปเลยเชียว ไม่ว่าอย่างไรดึงเส้นผมก็เจ็บที่สุดแล้ว ระหว่างค้นพบสัจธรรมไร้สาระของชีวิต เหล่านางในก็เนรมิตให้เขากลายเป็นพระราชาผู้เปี่ยมความสง่างามด้วยการสวมชุดคลุมมังกรทองและสายคาดเอว


 


 


“วันนี้?”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท รีบเสด็จเถิด”


 


 


“มีข้อความมาจากวังจางชุนงั้นหรือ”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮอนไม่ได้มุ่งหน้าไปที่วังจางชุน หรือสะสางราชกิจตอนเช้าแต่อย่างใด ทว่าวันนี้เป็นวันปล่อยตัวเชลยของประเทศข้าศึกนั่นเอง เนื่องจากผู้มีพระคุณจากยอนกุกช่วยชีวิตซอดู ผู้เป็นพ่อตา แม่ทัพและมหาเสนาบดีแห่งแทซากุก ดังนั้นเชลยศึกทั้งหมดของยอนกุกจึงได้รับการปล่อยตัว ด้วยคุณงามความดีของคนเพียงผู้เดียว


 


 


พระราชาอย่างเขาพลันได้ตระหนักว่าพลังของราษฎรผู้เดียวกลับยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ และตั้งใจว่าจะออกไปส่งคนเหล่านั้นด้วยตนเอง รวมถึงส่งทหารคุ้มกันไปด้วย พร้อมกล่าวเสริมทับอีกว่าอย่าได้ลืมบุญคุณของหมอผู้ยากจนจากหมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลเด็ดขาด


 


 


 


 


“กำหนดการวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ระหว่างขึ้นรถม้ากลับวัง ฮอนก็เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก ขันทีจึงยืนตัวตรง ดูจากภายนอกอาจจะเป็นคำถามปกติทั่วไปไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ ทว่ามันมีความหมายแฝงซ่อนอยู่อย่างชัดเจน และเป็นไปตามคาด


 


 


“หลังสำรับของว่าง…”


 


 


“ใช่ ต้องมีสำรับของว่างสินะ แต่วันนี้ข้าไม่อยากอาหารเท่าใด ทำอย่างไรดีล่ะ”


 


 


“ฝ่าบาท ไม่ได้…”


 


 


“ใช่ไหมเล่า ไม่ได้จริงๆ”


 


 


ใยครานี้พระองค์ถึงทรงเห็นด้วยง่ายดายนัก จูฮวานมีแต่ความสงสัยจึงเหลือบตามองขึ้นด้านบนแวบหนึ่ง กระทั่งขนบนแผ่นหลังลุกซู่ เพราะพระราชาทรงแย้มสรวลอย่างมีเลศนัยขณะจ้องมองตน


 


 


“ถึงอย่างไรก็ไม่ควรจะงดสำรับของว่างสินะ เช่นนั้นไปที่จวนท่านมหาเสนาบดีแล้วกัน วันนี้ข้าจะรับสำรับของว่างที่นั่น”


 


 


“ฝ่าบาท! ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์แล้วแอบออกไปยังดีเสียกว่า”


 


 


“พูดได้ดี งั้นเจ้ากลับวังแล้วเอาชุดมาให้ข้าเปลี่ยนชุดหนึ่ง ข้าจะนำสำรับของว่างล่วงหน้าไปก่อน อากาศยังร้อนอยู่แท้ๆ แต่กลับต้องมาใส่ชุดหนาๆ เช่นนี้ ร้อนเป็นบ้า”


 


 


“ฝ่าบาท!”


 


 


“เร็วสิ”


 


 


หลังจากไล่ขันทีน่ารำคาญเหมือนแมลงวันแล้ว ฮอนก็ยิ้มแฉ่งและเปลี่ยนทิศทางไปยังจวนท่านมหาเสนาบดีแทน ราษฎรจากทุกหัวมุมถนนที่เสด็จผ่านต่างหมอบกราบ พากันร้องตะโกนว่าฝ่าบาททรงพระเจริญด้วยความจริงใจ ยกย่องเขาว่าเป็นกษัตริย์ผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถอย่างแท้จริง ถึงแม้การเข้าทางประตูเล็กแทนประตูหน้าท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้อาจจะแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ ฮอนก้าวตรงเข้าไปทางเรือนด้านใน ระหว่างทางก็ได้รับการทักทายอย่างคุ้นเคยจากคนในจวน เขาเปิดประตูห้องนอนที่มีรยูฮาและลูกทั้งสองคน


 


 


“เสด็จมาแล้วหรือเพคะ”


 


 


“ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วลูกๆ ล่ะ”


 


 


“อยู่ตรงนี้เพคะ”


 


 


รยูฮายิ้มแย้มพลางเบี่ยงตัวเล็กน้อย ด้านหลังมีทารกสองคนนอนคู่กันมองเพดานด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงแม้จะเป็นใบหน้าที่เห็นอยู่ทุกวัน แต่หัวใจก็เต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้ทุกครั้งที่ได้เห็น พอรยูฮาอุ้มลูกคนหนึ่ง อีกคนก็ทำท่าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ทันที ปากเล็กๆ นั่นน่ารักขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ฮอนอมยิ้มพลางมองเข้าไปในห่อผ้า และสุดท้ายก็โดนรยูฮาเอ็ด


 


 


“อย่ามัวแต่ยิ้ม รีบอุ้มลูกสิเพคะ อุ้มแต่ชิน ยอนก็เลยอิจฉา”


 


 


“เด็กตัวเล็กๆ เช่นนี้ก็รู้จักอิจฉาแล้วหรือ”


 


 


อียอน อีชิน คือนามของบุตรทั้งสองที่เพิ่งถือกำเนิด แม้จะเป็นฝาแฝด แต่องค์ชายกลับมีความคล้ายคลึงกับรยูฮา ส่วนองค์หญิงคล้ายฮอน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่รยูฮาชอบใจเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับฮอนที่กำลังอุ้มและกล่อมลูกสาว ซึ่งเหมือนตนเป๊ะๆ อย่างชำนาญ


 


 


“พรุ่งนี้หม่อมฉันจะกลับวังแล้ว แต่พระองค์ก็ยังจะเสด็จมาอีกนะเพคะ แถมไม่ยอมเปลี่ยนฉลองพระองค์ด้วย”


 


 


“เพราะข้าคิดถึงจนทนไม่ไหวน่ะสิ ส่วนเสื้อผ้า เดี๋ยวจูฮวานเอามาให้เปลี่ยน”


 


 


แม้จะอยู่ในชุดผ้าฝ้ายและรวบปล่อยปลายผมมาด้านข้างอย่างเรียบง่าย แต่นางก็ยังงดงามจนหาที่เปรียบมิได้ ดวงตาของฮอนขณะจ้องมองรยูฮาเต็มไปด้วยความรักและยกโค้งอย่างสวยงาม


 


 


“แปลกนะเพคะ ยังมีเวลาได้เห็นลูกๆ อีกยาวนานราวกับดวงดาวบนฝากฟ้า”


 


 


“เจ้าหมายถึงอะไร ข้าพูดถึงพระมเหสีของข้าต่างหาก”


 


 


ฮอนเขยิบเข้ามาเล็กน้อยพร้อมเสียงกระซิบหวานซึ้ง ก่อนเคลื่อนใบหน้ามาหยุดตรงหน้ารยูฮา สายตากรุ้มกริ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการสิ่งใด


 


 


“ลูกมองอยู่นะเพคะฝ่าบาท”


 


 


“เช่นนั้นก็ต้องยิ่งแสดงให้ดูสิว่าพ่อแม่รักใคร่กันเพียงใด เร็วเข้า ข้าอุตส่าห์มาถึงนี่เชียวนะ”


 


 


รยูฮายิ้มเล็กน้อยพลางขยับเข้าใกล้ริมฝีปากอีกฝ่าย ทำทีเป็นไม่อาจขัดขืน ทว่าก่อนริมฝีปากของทั้งสองจะแตะสัมผัสกัน


 


 


“อุแว้! อุแว้”


 


 


“อุแว้! อุแว้”


 


 


เสียงร้องไห้กลับดังขึ้นอย่างจริงจังภายในชั่วพริบตา ทำเอาฮอนถูกหลงลืม รยูฮาไม่เหลียวแลเขาเลยสักนิดจนกระทั่งลูกๆ หยุดร้อง


 


 


* * *


 


 


 


 


“พระมเหสี ตื่นบรรทมหรือยังเพคะ”


 


 


รยูฮาตื่นจากการหลับใหลเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมารดาในยามเช้ามืด พอมองข้างตัวก็เห็นลูกน้อยทั้งสองคนนอนหลับตาหายใจฟืดฟาดอย่างน่าเอ็นดู ถึงจะอยากนอนด้วยกันสักเพียงใด แต่เมื่อกลับพระราชวังแล้วก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้อีก ร่างบางคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะก้าวลงจากเตียง เปิดประตูออกไปด้านนอกอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าลูกจะตื่น


 


 


“ท่านแม่ปลุกลูกเร็วจังเจ้าค่ะ”


 


 


“เดี๋ยวต้องเสวยสำรับเช้าแล้วเสด็จกลับวังนะเพคะ”


 


 


ทั้งสองคนเรียกซังกุงแม่นมจากห้องข้างๆ เพื่อฝากฝาแฝด จากนั้นก็พากันไปเดินเล่นในสวน การได้ออกมาข้างนอกโดยไม่ต้องอาบน้ำก่อนแบบนี้ ทำให้รยูฮาชื่นชอบในอิสระที่ไม่สามารถจินตนาการได้ยามอยู่ในพระราชวัง ทั้งยังชอบสวนสะอาดเรียบร้อยกับการมาเดินเล่นคล้องแขนกับผู้เป็นแม่ทุกเช้าอีกด้วย


 


 


“พอเสด็จกลับพระราชวัง ก็คงจะไม่ได้เจอกันสักพักเลยสินะ”


 


 


นายหญิงตระกูลจองโปรยอาหารปลาที่นำติดตัวมาด้วยลงในสระน้ำขนาดเล็ก พร้อมพูดออกมาเบาๆ ราวกับพึมพำ


 


 


“ท่านแม่ก็เข้ามาหาลูกที่วังบ่อยๆ สิเจ้าคะ”


 


 


“เรื่องนั้นคงไม่ได้หรอก”


 


 


“ถ้าท่านแม่กล่าวว่ามาหาลูกสาว ใครจะว่าอะไรได้หรือ” 

 

 


ตอนที่ 16-9

 

แม้คำพูดของรยูฮาจะมีความเข้าอกเข้าใจไม่น้อย แต่นายหญิงตระกูลจองก็ยังมีท่ามีสับสนอยู่นิดหน่อย นางหยุดมือที่กำลังโปรยอาหารปลาแล้วหันกลับไปมองบุตรสาวด้านหลัง


 


 


“ยังไม่ได้ยินหรือเพคะว่าท่านใต้เท้าลาออกจากตำแหน่งแล้ว”


 


 


“เรื่องนั้นลูกได้ยินแล้วเจ้าค่ะ แต่…”


 


 


“แม่ของท่านวางแผนจะออกไปพักผ่อนกับใต้เท้า”


 


 


อย่างนี้นี่เองสินะ ไม่ใช่เพราะรยูฮากลับวังถึงไม่ได้เจอ แต่ไม่ได้เจอก็เพราะพวกท่านตั้งใจจะเดินทางท่องเที่ยวต่างหาก


 


 


“ออกไปท่องเที่ยว?”


 


 


“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็มิผิด”


 


 


นายหญิงตระกูลจองหันหน้ากลับมาจดจ่อกับปลาไน[1]ที่พากันมารวมกันอยู่ตรงปลายนิ้วของนาง


 


 


“แต่พี่ใหญ่ยังไม่ได้แต่งงาน…”


 


 


“แม่จะขี่ม้าท่องเที่ยวสองคนกับใต้เท้าสักหน่อย ระหว่างนั้นหากพระองค์ทรงต้องการแม่คนนี้ ก็ขอให้โปรดเข้มแข็งและแก้ปัญหาด้วยองค์เองได้นะเพคะ”


 


 


ฟังจากคำพูดแล้ว คงจะตั้งใจไปท่องเที่ยวจริงๆ รยูฮาจึงลองเอ่ยห้ามอีกฝ่ายด้วยความอิจฉาครึ่ง ความเป็นห่วงครึ่งหนึ่งและผสมด้วยความเสียใจเล็กน้อยดูอีกรอบ


 


 


“ตอนนี้ท่านแม่ก็มีอายุแล้ว ขี่ม้ามันค่อนข้างเกินไปหน่อย แถมยังอันตรายด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ”


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


ลูกสาวคนเล็กจอมบุ่มบ่ามเติบโตขึ้นถึงขนาดเป็นห่วงแม่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นายหญิงตระกูลจองหวนระลึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาพลางหยิบกิ่งไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ข้างกายขึ้นมาลับกับหินอย่างหยาบๆ


 


 


“อาหารเช้าวันนี้…”


 


 


ปลาไนที่ต้องตาต้องใจนายหญิงถูกจับขึ้นมาหนึ่งตัว


 


 


เจ้าปลาไนจำไม่ได้เลยว่าตนอาศัยอยู่ในสระน้ำแห่งนี้ตั้งแต่ตอนไหน สีแดงบนตัวมันช่างงดงามราวกับผ้าไหมอันล้ำค่าจนใครๆ ก็อดอุทานไม่ได้ ขณะที่ลำตัวขนาดใหญ่และงดงามเป็นพิเศษดันปลาไนตัวอื่นออกจนแย่งกินอาหารจากสตรีที่กำลังจ้องมองมันได้เยอะที่สุด


 


 


ขณะที่เริ่มรู้ว่าสายตานั้นดูแปลก เจ้าปลาไนก็จบชีวิตอันสุขสบายอยู่บนปลายกิ่งไม้ที่สตรีผู้นั้นเสียบลงมา


 


 


“แกงปลาไนเพคะ”


 


 


นายหญิงตระกูลจองใช้สันมือทุบลงบนหัวของปลาไนที่ดิ้นพราดอยู่บนบก ก่อนจะส่งรอยยิ้มงดงามให้รยูฮา


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


เมืองหลวงเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมตั้งแต่เช้า แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัวและทำความสะอาดโรงเก็บของสำหรับฤดูเก็บเกี่ยวที่ใกล้จะมาถึง แต่ผู้คนมากมายต่างก็วางมือไว้ก่อน รยูฮาผู้เกลียดเรื่องวุ่นวายเป็นที่สุดจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองด้านหน้าพร้อมอมยิ้มด้วยความรักและเมตตาในแบบพระมเหสี อย่างเดียวที่ทำให้สบายใจคือการกลับเข้าพระราชวังพร้อมมินอาและคัง


 


 


“อุแว้! อุแว้!”


 


 


เมื่ออุ้มชินขึ้นราชรถม้าที่มีม่านสีแดงปิดบัง ยอนในอ้อมแขนของซังกุงแม่นมก็ร้องไห้จ้า โธ่ ดูสิร้องไห้อ้อนใหญ่เลย รอยยิ้มชอบอกชอบใจปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แต่รยูฮากลับรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกรอบเพราะเสียงร้องไห้นั่น


 


 


เจ้าเด็กสองคนนี้ทำไมถึงไม่ร้องทีละคน พอมีคนใดคนหนึ่งร้อง อีกคนก็ต้องร้องตามอยู่เรื่อย และเป็นอย่างที่คาด กระทั่งอยู่ในอ้อมกอดรยูฮาแล้ว ชินก็ยังเบะปากเล็กๆ นั่นออกเพื่อร้องไห้หลังได้ยินเสียงแฝดตนเอง


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ!”


 


 


ตัวต้นเหตุของการกลับวังอันแสนวุ่นวายอย่างฮอนปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผยด้วยการทรงม้าสีดำสนิท โชคดีที่การเสด็จของพระราชาทำให้เหล่าราษฎรต่างหมอบกราบหน้าติดพื้น ไม่อย่างนั้นก็คงมีใครบางคนเห็นว่ารยูฮาจ้องมองพระสวามีด้วยสายตาเยือกเย็น


 


 


“สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะพระมเหสี”


 


 


ฮอนยิ้มร่าและเปิดม่านขึ้นหลังจากขยับเข้ามาประชิดข้างรถม้า ส่งผลให้ชินที่ลืมตัวไปสักพักแล้วว่ากำลังร้องไห้ตกใจจนร้องจ้าขึ้นมาใหม่ รยูฮาหลับตาพลางเงยหน้าขึ้นถอนหายใจอย่างหมดความอดทน


 


 


นางตื่นแต่เช้ามืดและตั้งใจเตรียมตัวกลับพระราชวังอย่างเงียบๆ และสบายใจ แต่พอได้เห็นราชรถม้ากับเหล่าทหารคุ้มกันที่เข้ามากะทันหันก็โมโหมาก หากไม่ได้มินอาผู้รู้ทันรั้งเอวไว้จากด้านหลังเสียก่อน พวกทหารคุ้มกันที่โค้งคำนับอย่างนอบน้อมพร้อมกราบทูลว่ามารับเสด็จ ก็คงจะถูกนางถีบล้มไปหมดแล้ว


 


 


“เพคะฝ่าบาท กลับวังเถิด”


 


 


“ได้ ออกเดินทางจูฮวาน”


 


 


ฮอนมองชินและยอนที่แข่งกันร้องไห้ด้วยสีหน้าเอ็นดู ก่อนจะแย้มสรวลแล้วค่อยๆ ขี่ม้าเคียงข้างรถม้าอย่างช้าๆ แต่ถึงอย่างไรสายตาของเขาก็ยังวุ่นกับการแอบมองเข้าไปในม่าน ดังนั้นเมื่อรยูฮากลับไปมองด้านข้างแล้วสบตากับอีกฝ่ายพอดีถึงหลุดยิ้มออกมา


 


 


ใครเป็นคนบอกกันนะว่า หากสวามีหล่อเหลา แม้จะทะเลาะกันอยู่ก็ต้องหายโกรธและยิ้มจนได้ ช่างเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเสียจริง เพราะเพียงแค่เห็นใบหน้าของฮอนยามยิ้มตอบรอยยิ้มนาง ความหงุดหงิดก็มลายหายหมดสิ้น รถม้าเคลื่อนตัวได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าสองแฝดก็ผล็อยหลับอีกครั้งจากการแกว่งไกว รยูฮาจึงเดินทางเข้าวังได้อย่างสบายใจขึ้นมาหน่อย


 


 


“จะส่งที่วังจานยองหรือ”


 


 


“ไม่ใช่ จะพาไปที่วังจางชุนก่อน”


 


 


เสด็จย่าคงจะรอคอยด้วยความร้อนอกร้อนใจน่าดู ระหว่างที่นางพักอยู่ในจวนอย่างสบายใจ รยูฮาส่งข้าราชบริพารขนสัมภาระกลับวังจานยอง ส่วนตนเองตรงไปที่วังจางชุนทันที พระหมื่นปีกล่าวทักทายว่าตรงมาหาโดยไม่พักผ่อนเลยหรือ ด้วยใบหน้าเ**่ยวย่นทว่าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังรอคอยอยู่


 


 


“ไหนดูสิ คังของย่า มานี่มา”


 


 


แม้จะเป็นเหลนชายผู้น่ารักเช่นเดียวกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้หากจะรักและให้ความสนใจคัง ซึ่งไร้บิดามาเป็นลำดับแรก อีกทั้งตอนนี้คังก็อายุได้หนึ่งชันษาแล้วด้วย น่าจะจำหน้าผู้คนได้พอสมควรถึงหัวเราะร่าเมื่อถูกอุ้มด้วยคนที่เอ็นดูตน


 


 


ถึงจะมีเพียงรอยยิ้มบางๆ ราวกับเงาของพระจันทร์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของมินอาขณะมองลูกชาย แต่ฮอนกับรยูฮาก็รู้ว่านั่นคือสีหน้าสดใสเป็นอย่างมากถ้าเทียบในระดับของคนทั่วไป


 


 


“เหลนคนไหนยอน คนไหนชินกันล่ะเนี่ย”


 


 


“คนนี้ยอนเพคะเสด็จย่า”


 


 


หลังจากอุ้มหยอกเล่นอยู่สักพักและคืนคังให้มินอา พระหมื่นปีก็อุ้มเหลนแฝดทั้งสองให้อยู่ในอ้อมแขนอย่างยากลำบาก


 


 


“โอ้ เหลนสาวของย่าหน้าตาเหมือนฝ่าบาทตอนเด็กๆ เป๊ะเลย”


 


 


“กระหม่อมน่ารักถึงเพียงนี้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ใช่แล้ว เพราะเจ้าหน้าตาน่ารักมาก ตอนสนมยอนให้กำเนิดองค์ชาย ย่าเคยแกล้งนางด้วยว่าเหตุใดถึงพาหลานสาวมาหา”


 


 


ขณะรับฟัง ฮอนก็ใช้นิ้วแตะแก้มของยอนเบาๆ ด้วยความรัก


 


 


“ทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ เหตุผลที่กระหม่อมฝึกฝนการต่อสู้อย่างหนักหน่วง ก็เพราะไม่ชอบที่ใครๆ เห็นกระหม่อมก็เอาแต่ล้อว่าเป็นสตรี”


 


 


“แต่พระองค์มีพรสวรรค์ด้านการวาดพู่กันมากกว่าการต่อสู้มิใช่หรือ”


 


 


คำโต้ตอบของพระหมื่นปีทำให้รยูฮาหันมองฮอนด้วยความงุนงง


 


 


“ทรงวาดรูปได้ด้วยหรือเพคะฝ่าบาท”


 


 


“ใช่ แต่ก็ไม่ได้วาดมานานแล้ว”


 


 


รยูฮานึกได้ว่าฮอนมักจะวาดรูปแผนที่เหมือนมากเสมอ นางคิดแค่ว่าเขามีความสามารถในการจดจำดีมากถึงจำเส้นทางทั้งหมดได้ แต่ก็วาดรูปเก่งด้วยสินะ ถือว่าใจน้อยเกินไปหรือไม่หากจะรู้สึกเสียใจที่ตนไม่เคยได้รู้เรื่องนี้มาก่อน


 


 


“ฝ่าบาทเคยใช้นิ้วเรียวยาววาดภาพย่าคนนี้ด้วย รอประเดี๋ยว”


 


 


พระหมื่นปีระลึกความทรงจำที่เก็บใส่พระทัยขึ้นมาก่อนจะลุกขึ้นเพื่อค้นตู้ลิ้นชัก สิ่งที่ปรากฏคือภาพวาดของนางในสมัยยังเป็นพระพันปีซึ่งอ่อนเยาว์กว่าตอนนี้เล็กน้อย คงเป็นช่วงก่อนฮอนจะสูญเสียความทรงจำน่าจะอายุราวๆ เจ็ดชันษาเท่านั้น แต่ความสามารถของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าช่างเขียนภาพฝีมือเลย รยูฮามองดูภาพวาดนั้นด้วยความตกใจ จากนั้นก็หันกลับไปมองซังกุงพร้อมเอ่ยสั่งให้ไปนำกระดาษกับหมึกมา


 


 


“อย่าบอกนะว่า ตอนนี้?”


 


 


ฮอนผงะพลางขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ถึงจะมีลูกแล้ว แต่นิสัยชอบทำอะไรฉับพลันก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมสินะ ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งของรยูฮาที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างมาก


 


 


“โปรดทรงเมตตาวาดภาพเสด็จย่า พระชายาและหม่อมฉันสามคนด้วยเถิดเพคะ วันนี้หม่อมฉันเองก็อยากได้ภาพวาดจากฝ่าบาทสักภาพ”


 


 


ด้วยเหตุนั้นฮอนจึงกลายเป็นช่างเขียนภาพโดยไม่ทันตั้งตัว และนั่งอยู่ตรงหน้ากระดานวาดรูปซึ่งถูกกางออกอย่างกะทันหัน ส่วนลูกแต่ละคนก็ถูกแม่นมอุ้มออกไปก่อน พระหมื่นปีทรงประทับอยู่ตรงกลาง ข้างขวาเป็นรยูฮา และข้างซ้ายคือมินอาที่เอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่เด็ดขาดยืนนิ่งด้วยสีหน้าแข็งทื่อ หลังจากจัดองค์ประกอบภาพอย่างเอาจริงเอาจังไม่นาน ฮอนก็หยิบถือพู่กันขึ้นมาและเริ่มลากเส้นทีละเส้นด้วยความประณีต


 


 


การบรรเลงดนตรีเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายจากเหล่านักดนตรีอยู่ตรงมุมหนึ่งของวังจางชุนดังขึ้นต่อเนื่อง เสียงพู่กันลากผ่านบนภาพวาดเบาๆ และเสียงร้องของจักจั่นผสมผสานกันอย่างรื่นหู สายลมเย็นฉ่ำลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างพัดผ่านเส้นผมของฮอนที่ส่งยิ้มน้อยๆ เป็นครั้งคราว พวกเขาทุกคนต่างมีความสุขในยามบ่ายของฤดูร้อนที่กำลังจะจบลง


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


[1] ปลาไน ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของปลาคาร์ฟ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม