ลำนำสตรียอดเซียน 162.1-167

ตอนที่ 162-1 อยู่ด้วยกันในความเป็นและ...

 

ซางหรูหว่านจ้องมองโม่เทียนเกออย่างเหม่อลอย นางไม่เข้าใจว่าโม่เทียนเกอหมายความว่าอะไร 


 


 


โม่เทียนเกอที่ยังจ้องมองร่างที่กำลังลอยอยู่ของเหยาจื่อซิวอย่างไม่วางตาพูดช้าๆ ว่า “ ‘วันนี้ชีวิตนิรันดร์’ ชีวิตนี้คือชั่วนิรันดร์และนิรันดรก็เป็นเพียงแค่หนึ่งวัน ในสถานที่แห่งนี้ไม่ว่าเจ้าปรารถนาอะไร ก็จะเป็นจริงได้นอกจากการออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องการที่หลบภัยแสนสงบสุข สถานที่นี้ก็ให้ที่หลบภัยแสนสงบแก่เจ้า เขาอยากจะมีเกียรติเชิดหน้าชูตา สถานที่นี้ก็ปล่อยให้เขาได้เชิดหน้าชูตา” โม่เทียนเกอลดสายตาลงมองที่ซางหรูหว่าน ในสายตาของนางมีทั้งความสงสารและความเศร้า “เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเป็นของจริง สามปีที่ผ่านมาที่เจ้าเจอก็ไม่ใช่เรื่องจริง และการก่อขุมพลังของเขาก็ไม่ใช่เรื่องจริง”  


 


 


ซางหรูหว่านดูอกสั่นขวัญแขวนและยังคงมึนงงอยู่เป็นเวลานาน 


 


 


โม่เทียนเกอพูดต่อ “ม่านพลังมายานี้จะแสดงให้เห็นความปรารถนาอะไรก็ตามที่อยู่ลึกในจิตใจของเรา พี่ใหญ่ สิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุดคือชีวิตสงบสุขสำหรับทั้งสองคนและสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือ…”  


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้จบประโยคในสิ่งที่นางอยากจะพูด แต่ซางหรูหว่านก็เข้าใจได้แล้วว่านางหมายถึงอะไร หลังจากจ้องอย่างเหม่อลอยอยู่นาน ในที่สุดซางหรูหว่านก็ถามว่า “ถ้าเช่นนั้น… จะเกิดอะไรขึ้นในท้ายที่สุด”  


 


 


ครั้นเห็นสีหน้าซางหรูหว่านไม่สู้ดี โม่เทียนเกอก็ไม่มีแก่ใจจะบอกคำตอบกับนางแต่นางก็ไม่มีทางเลือก “… สหายนักพรตเหยียนตายแล้ว เรารู้ว่านางเข้าสู่กับดักและถูกภาพลวงตาทำให้หน้ามืดตามัว นางตายเพราะเลือดนางเหือดแห้งจนหมดสิ้น…”  


 


 


ซางหรูหว่านตกใจ นางดูเหมือนจะสูญเสียความสามารถในการพูดไปและแค่จ้องอย่างโง่เง่าไปที่สามีของนางผู้ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับหมอกดำหมุนวนอยู่รอบตัวเขา 


 


 


ตาย… สิ่งที่เขาต้องการที่สุด… 


 


 


… 


 


 


ความทรงจำของครั้งแรกที่นางได้พบกับศิษย์ที่พ่อนางรับเข้ามาใหม่เมื่อเก้าสิบปีก่อนแล่นเข้ามาสู่จิตใจ 


 


 


“ชื่อของเจ้าคือเหยาจื่อซิวหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”  


 


 


ถึงแม้เด็กหนุ่มตัวน้อยคนนั้นจะมีความหยิ่งยโสแรงกล้าในสายตาเขา แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่านางเป็นแค่เด็กที่เล่นไปเรื่อย เขากลับโค้งคำนับนางอย่างระมัดระวัง “ขอคารวะศิษย์พี่”  


 


 


ตัวนางที่ยังเยาว์วัยอยู่เหมือนกันยิ้มอย่างพอใจ ส่งเสียงกระแอมปลอมๆ หลายครั้งและพยักหน้า “อื้อ เจ้ามีมารยาทดี!”  


 


 


ศิษย์พี่คนที่โตสุดมองอยู่จากด้านข้างและพูดล้อเลียน “ศิษย์น้อง เจ้ายังแก่กว่าศิษย์น้องผู้หญิงคนนี้นิดหน่อยนะ เจ้าควรจะเรียกนางว่าศิษย์น้องสิ”  


 


 


“นี่…” เด็กหนุ่มมองที่นางแล้วจึงพูดอย่างจริงจัง “ข้าเข้ากลุ่มมาช้ากว่าศิษย์พี่ ดังนั้นข้าก็ควรจะเรียกนางว่าศิษย์พี่…”  


 


 


ซางหรูหว่านมีความสุขมาก นางจึงรีบเข้าไปหาศิษย์พี่คนโตสุดและตะโกนว่า “ข้าคือศิษย์พี่! ศิษย์พี่!” จากนั้นนางหันไปมองที่เด็กหนุ่มคนนั้นและตบหน้าอกของนาง “ศิษย์น้อง ข้าจะปกป้องเจ้าเองนับจากนี้ต่อไป!”  


 


 


นางจำได้ถึงตอนที่นางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน 


 


 


“เด็กนั่นมันมีอะไรดี! จงเชื่อฟังและฟังคำพ่อ แต่งงานกับพี่ใหญ่หนีซะ!”  


 


 


นางกำลังคุกเข่าไม่ไหวติงอยู่หน้าท่านพ่อของนาง นางชูคอแสดงให้เห็นว่านางไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน 


 


 


“ลูกทรพี!” พ่อนางระเบิดอารมณ์ ฝ่ามือเขาเหวี่ยงมาทางนาง 


 


 


พ่อของนางที่อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสูงสุดตบอย่างไม่ปรานี นางกระอักเลือดออกมาและเส้นลมปราณของนางก็ได้รับความเสียหายรุนแรง ถึงกระนั้นนางก็ยังคงกัดฟันไม่ยอมอ่อนข้อ 


 


 


แม่ของนางร้องไห้อยู่ข้างๆ พวกเขา “หว่านเอ๋อร์ เชื่อฟังพ่อของเจ้าเถอะ!”  


 


 


เชื่อฟัง ไม่! นางกระเสือกกระสนเพื่อคลานขึ้นไป ใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อคุกเข่าต่อหน้าพ่อของนางและพูดทีละคำ “ถ้าท่านพ่อบังคับข้า ข้าจะฆ่าตัวตาย!”  


 


 


ไม่มีใครเคยกล้าขัดคำสั่งพ่อของนางเช่นนี้มาก่อนรวมถึงตัวนางเองด้วย แต่ครั้งนี้นางไม่เสียใจเลยสักนิด 


 


 


นางจำได้ถึงหกสิบปีก่อนเมื่อในที่สุดเขาก็สร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้ 


 


 


“ท่านพ่อ ศิษย์น้องสร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้แล้ว!” นางวิ่งอย่างดีใจเข้าไปในโถง 


 


 


ไม่มีแม้แต่ความสุขใจเพียงนิดอยู่บนใบหน้าของพ่อนาง เขาพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่แอบเอายาสร้างฐานแห่งพลังที่เจ้าเก็บซ่อนไว้ไปให้เขา แล้วเขาจะมีปัญญาสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างไร”  


 


 


นางตกตะลึง สับสนว่าทำไมพ่อของนางคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ถึงได้เฉยเมยนัก 


 


 


“ท่านพ่อ ศิษย์น้องไม่ได้เป็นศิษย์ที่ท่านรับเข้ามาด้วยตัวเองหรือไง ทำไมท่านถึง…”  


 


 


“ฮึ่ม! หากมิใช่เพราะในตระกูลเขามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและข้าคิดว่าตระกูลเขามีทรัพย์สมบัติอะไรบางอย่าง ทำไมข้าจะต้องรับเขาเข้ามาเป็นศิษย์ของข้าด้วย ดูจากต้นทุนของเขาเช่นนั้นหรือ” นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าพ่อของนางจะพูดเช่นนั้นออกมา 


 


 


“ท่านพ่อ!” นางตะโกนออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ท่าน… ท่านหลอกใช้ศิษย์น้อง!”  


 


 


“เจ้าหมายความอย่างไรที่ว่าหลอกใช้!” พ่อนางดูเมินเฉย “หากข้าไม่รับเขาเข้ามาเป็นศิษย์ แล้วเขาจะมีช่วงชีวิตดีๆ หลายสิบปีที่เขาได้เพลิดเพลินอย่างตอนนี้ได้อย่างไรกัน เขาจะสร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้อย่างไรกัน หว่านเอ๋อร์ พี่ใหญ่หนีของเจ้ายังคงรักเจ้าอยู่เต็มหัวใจและเขาสร้างฐานแห่งพลังงานได้ตั้งนานแล้ว ด้วยต้นทุนของเขา คงไม่ยากสำหรับเขาที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นกลางภายในอีกราวๆ สิบปี เจ้าควรจะเปลี่ยนใจซะ!”  


 


 


“ท่านพ่อ ท่าน… ไหนท่านสัญญากับข้าไม่ใช่หรือว่าท่านจะไม่บังคับข้าแต่งงานกับพี่ใหญ่หนี”  


 


 


“วันนี้ไม่ใช่เมื่อวาน ตอนนี้ไม่มีที่สำหรับความดื้อดึงของเจ้าอีกแล้ว!” สีหน้าของพ่อนางเต็มไปด้วยความพอใจและเจือด้วยความไม่แยแส “ค่าสินสอดที่ลุงหนีของเจ้าเสนอให้คือยาไร้ธุลี ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อตามหามานานหลายปี! ด้วยยาไร้ธุลีนั้น พ่ออาจเข้าถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ในครั้งเดียว! หว่านเอ๋อร์ เส้นทางไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของพ่ออยู่ในมือเจ้า!”  


 


 


นางจำคืนนั้นได้ 


 


 


“ศิษย์น้อง ไปเถอะ! ไปเร็ว!” นางพูดทั้งน้ำตาขณะที่คว้ามือของเขา 


 


 


เด็กหนุ่มตัวน้อยในตอนนั้นได้กลายมาเป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยนและจริงจัง เขาจับมือนางด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น”  


 


 


นางพูดพลางร้องไห้ “จะสายเกินไปหากเราไม่ไปตอนนี้! ท่านพ่อยังคงอยากให้ข้าแต่งงานกับพี่ใหญ่หนี และตระกูลหนีก็ได้ประกาศแล้วว่าต่อให้ข้าตาย พวกเขาก็จะพาข้าเข้าครอบครัวพวกเขาให้ได้!”  


 


 


เขาหยุดนิ่งตัวแข็ง สีหน้าของเขาซีดเผือดไปด้วยความหวาดกลัว 


 


 


“ศิษย์น้อง มันจะสายเกินไปถ้าเราไม่ไปตอนนี้! ท่านแม่ของข้าเป็นคนใจอ่อน นางจึงปล่อยให้ข้าออกมา เรามีเวลาแค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้… พรุ่งนี้ข้า…”  


 


 


“นี่…” เขาดูสองจิตสองใจ แต่หลังจากผ่านไปนานในที่สุดเขาก็กัดฟัน “ตกลง! ศิษย์พี่ ไปกัน! เราจะไปที่ไกลๆ เพื่อพวกเขาจะได้ไม่เจอตัวพวกเราอีกเลย!”  


 


 


นางจำได้ถึงวันที่พวกเขาแต่งงานกัน 


 


 


ไม่มีแขกเหรื่อ ไม่มีชุดแต่งงาน มีเพียงแสงจันทร์เยือกเย็นและเงาสองเงาที่แสนโดดเดี่ยว 


 


 


“สวรรค์และโลกเป็นพยาน พระจันทร์สุกสว่างเป็นสื่อ ข้า ซางหรูหว่าน ยินดีจะแต่งงานกับเหยาจื่อซิวและเป็นภรรยาของเขา ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ทอดทิ้งหรือไปจากเขา”  


 


 


เขาก็พูดคำสาบานของเขาเช่นกัน “สวรรค์และโลกเป็นพยาน พระจันทร์สุกสว่างเป็นสื่อ ข้า เหยาจื่อซิว ยินดีรับซางหรูหว่านเป็นภรรยาข้า ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะอยู่กับนางทั้งในความเป็นและความตาย”  


 


 


ลมเย็นเยือกยามค่ำคืนพัดผ่าน และไม่ไกลจากพวกเขาฝูงหมาป่าส่งเสียงเห่าหอน อย่างไรก็ตาม ในหัวใจนางรู้สึกถึงแค่ความสุขเท่านั้น 


 


 


“ศิษย์พี่…”  


 


 


“เจ้ายังอยากจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่อีกหรือตอนนี้”  


 


 


เขาตกใจแต่ไม่ช้ารอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนหน้า “… เดิมทีเจ้าก็เด็กกว่าข้า เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องหว่านตั้งแต่นี้ไป ดีไหม”  


 


 


นางยิ้มเช่นกันและพูดอย่างแผ่วเบา “พี่ซิว”  


 


 


… 


 


 


ผ่านมาหกสิบปีแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีที่พักอาศัยถาวรและไม่ก้าวหน้ามากนักในการฝึกตน แต่นางก็รู้สึกพึงพอใจเสมอ ความหวังของนางนั้นยากจะทำให้สมหวังได้ นอกจากเขาก็ไม่มีใครที่สามารถทำให้นางมีความสุขได้อีก ในขณะเดียวกัน ความหวังของนางก็ง่ายจะทำให้สมหวังได้เช่นกัน ตราบใดที่นางอยู่กับเขานางก็รู้สึกมีความสุข 


 


 


น้ำตาของนางไหลริน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักว่าความสุขนั้นช่างห่างไกล ไกลออกไปเหลือเกิน 


 


 


“ระวังด้วย!” โม่เทียนเกอคว้าตัวซางหรูหว่านและรีบดึงนางกลับ 


 


 


กลุ่มก้อนหมอกดำลอยอยู่ในอากาศจู่ๆ ก็ระเบิดออก เหยาจื่อซิวลืมตาขึ้น แรงเคลื่อนไหวของเขาหนักอึ้งมากขึ้น 


 


 


ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นอะไร แต่เหยาจื่อซิวคนปัจจุบันอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างไม่ต้องสงสัย! ภายในม่านพลังมายานี้ ภาพลวงตาจะหายไปถ้าความคิดของคนคนนั้นเปลี่ยน มิเช่นนั้นภาพลวงตาก็จะไม่ต่างอะไรกับความจริง!  


 


 


โม่เทียนเกอหันไปมองคนอื่นๆ ฟางเจิ้ง ลู่เซี่ยงซิน และหวังเซี่ยงจื้อ ทุกคนล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเขาได้สตินึกคิดอีกครั้ง ฟางเจิ้งส่งสายตาให้พวกเขาแล้วจึงประกาศด้วยเสียงกระซิบว่า “ไปเถอะ!”  


 


 


ทั้งห้าคนรวมถึงซางหรูหว่านผู้ที่ถูกโม่เทียนเกอดึงออกมา เหาะไปยังที่ไกลออกไป 


 


 


อย่างไรก็ตาม ในวินาทีถัดมา แรงเคลื่อนไหวมหึมาด้านหลังพวกเขาอยู่ๆ ก็ทะยานสูงขึ้น 


 


 


“อ๊าก–” เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองสองเสียงลอดผ่านมา ลู่และหวังผู้ที่ตามอยู่ด้านหลังถูกแรงระเบิด คนหนึ่งกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้ขณะที่อีกคนหนึ่งตกลงบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า ทั้งคู่กระอักเลือด ไม่แน่ชัดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ 


 


 


“หยุด!” เหยาจื่อซิวคำราม 


 


 


โม่เทียนเกอหันไปดูทันที ด้านหลังที่ไม่ไกลจากนางนัก นักพรตฟางเจิ้งก็หยุดและหันไปเช่นกัน 


 


 


บัดนี้ดวงตาของเหยาจื่อซิวเป็นสีแดงราวกับมันกำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความเดือดดาล ชุดคลุมบนร่างเขาพลิ้วไหวทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดอยู่แถวนี้ แรงเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังพรั่งพรูออกมาจากตัวเขา 


 


 


เหยาจื่อซิวกวาดสายตาเย่อหยิ่งไร้ความปรานีของเขาทั่วตัวทุกคน มันรู้สึกเหมือนกับเขากำลังมองดูมดหลายๆ ตัว 


 


 


จนเมื่อในที่สุดสายตาเขามาจับที่ร่างของซางหรูหว่านถึงได้มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในตัวตนที่น่ากลัวของเขา 


 


 


เขาพูด “น้องหว่าน เรากลับไปได้ ข้าพาเจ้ากลับไปได้! ฮ่าๆๆๆ …” ท้ายที่สุดเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาฟังดูโอหังและบ้าคลั่งอย่างมาก 


 


 


ซางหรูหว่านค่อยๆ สะบัดโม่เทียนเกอออกช้าๆ แล้วจึงเดินไปข้างหน้าทีละก้าว  

 

 


ตอนที่ 162-2 อยู่ด้วยกันในความเป็นและ...

 

“พี่ซาง!” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะต้องร้องเรียกนาง นางเห็นได้ว่าถึงแม้เหยาจื่อซิวจะไม่ได้ถูกมารเข้าสิงในระหว่างการฝึกตน ทว่าสภาวะจิตของเขาตอนนี้ก็ถูกมารเข้าครอบงำอยู่ เขายังสามารถจำซางหรูหว่านได้ในตอนนี้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเขาจะยังครองสติอยู่ได้ในวินาทีต่อไปหรือไม่


 


 


ซางหรูหว่านหยุดครู่หนึ่งจากนั้นจึงหันมายิ้มให้นาง โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกว่าซางหรูหว่านยิ่งดูสิ้นหวังตอนนางยิ้มมากว่าตอนนางร้องไห้เสียอีก ซางหรูหว่านพูดแผ่วเบา “น้องเยี่ย เจ้าใจดีมาก ขอบคุณนะ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเจ้า รอสักครู่… แล้วเจ้าค่อยไป”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึง คำพูดของซางหรูหว่านหมายความว่า…


 


 


แต่ซางหรูหว่านหันกลับไปแล้วและเหาะไปหาเหยาจื่อซิว


 


 


เหยาจื่อซิวเอื้อมมือออกมา รับนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างพอใจ “น้องหว่าน เจ้ามีความสุขไหม”


 


 


ซางหรูหว่านส่ายหน้า “ข้าไม่มีความสุข” นางพูดทื่อๆ


 


 


รอยย่นน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่คิ้วของเหยาจื่อซิว เขาถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ ตลอดหลายปีมานี้มันเป็นความหวังของเจ้ามาตลอดไม่ใช่หรือที่จะกลับบ้าน ตอนนี้เราสามารถกลับไปได้แบบเหมาะสมและเปิดเผย พ่อของเจ้าจะไม่สามารถพูดว่าอะไรเราได้อีก!”


 


 


“จริงหรือ” มีความเย็นชาที่น่าขนลุกในสายตาของซางหรูหว่าน “พี่ซิว ระดับการฝึกตนของเจ้าตอนนี้เป็นของจริงหรือ”


 


 


เหยาจื่อซิวตกใจแต่ไม่นานนักเขาก็พูดด้วยความขุ่นเคือง “น้องหว่าน! เจ้าหมายความว่าอย่างไร ระดับการฝึกตนของข้าเป็นของจริงแท้แน่นอน! มาดูสิ” เขาดึงมือซางหรูหว่านไปราวกับเขาร้อนรนที่จะพิสูจน์ตัวเอง “นี่คือวิชาการฝึกตนที่ข้าเพิ่งได้มา กลายเป็นว่าที่นี่มีชะตาลิขิตจริงๆ เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ หลังจากเขาตายจากไป วิชาการฝึกตนของเขาก็ถูกปิดผนึกไว้ในนี้และข้าบังเอิญได้รับมันมา…”


 


 


ซางหรูหว่านมองใบหน้าภูมิใจของเขาอย่างเฉยเมย มีแค่ความเศร้าโศกหยั่งลึกในจิตใจของนางเท่านั้น ในที่สุดนางก็ได้เห็นธาตุแท้คนผู้นี้อย่างชัดเจน คนที่นางรักที่สุด ที่แท้การฝึกตนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในใจของเขามาโดยตลอด ปรากฏว่านี่คือผลลัพธ์ที่เขาปรารถนามาโดยตลอด


 


 


ซางหรูหว่านรับหยกบันทึกในมือของเหยาจื่อซิวมาแล้วจึงใส่จิตสัมผัสของนางเข้าไป ไม่นานหลังจากนั้นนางก็หัวเราะเยาะขณะที่นางโยนมันกลับไปให้เขา “พี่ซิว ดูตัวเองเถอะ นี่มันของอะไรกัน”


 


 


เหยาจื่อซิวรับหยกบันทึกกลับมาด้วยความสงสัย ทันทีหลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นางพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ชะตาลิขิตที่ว่านั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจินตนาการเพ้อฝันของเหยาจื่อซิว ดังนั้นจึงไม่มีวิชาการฝึกตนเช่นนั้นอยู่ในหยกบันทึก มันน่าจะว่างเปล่าหรือไม่ก็เต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ เมื่อเหยาจื่อซิวเห็น เขาก็รู้ตัวว่ามีอะไรผิดปกติ


 


 


“เป็นไปไม่ได้! มันคือของจริง! มันคือของจริง!” ตอนแรกเหยาจื่อซิวแค่พึมพำกับตัวเอง แต่สุดท้ายสีหน้าโหดเ**้ยมก็ปรากฏขึ้นบนหน้าเขา เขาหันกลับมาและจ้องถมึงทึงใส่โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งอย่างโกรธๆ “เจ้าสองคนขโมยมันไปใช่ไหม!”


 


 


“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านตะโกนขณะที่นางคว้าแขนเสื้อเขา “คนอื่นๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ นี่คือม่านพลังมายา มันเลยทำให้เจ้าเห็นภาพลวงตา!”


 


 


“ม่านพลังมายา ภาพลวงตา ไม่ เจ้าโกหกข้า เจ้ากำลังโกหกข้า!” แรงเคลื่อนไหวของเหยาจื่อซิวกระเพื่อมขึ้นลง เขาสะบัดซางหรูหว่านออกจากแขน ทำให้นางร้องออกมาด้วยความกลัวขณะที่นางตกลงจากกลางอากาศ


 


 


ภายใต้การจ้องมองของเหยาจื่อซิว โม่เทียนเกอไม่กล้าขยับเขยื้อน นางทำได้เพียงมองอย่างอับจนหนทางขณะที่ซางหรูหว่านถูกเหวี่ยงออกไป


 


 


ไม่ว่าก่อนหน้านี้เหยาจื่อซิวจะอ่อนแอสักเพียงไร เขาก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างแท้จริงภายในม่านพลังมายานี้ ต่อให้โม่เทียนเกอจะทะนงตน แต่นางก็ไม่เคยคิดว่านางจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ หากนางสู้กับเขา นางคงไม่สามารถเอาชนะเขาได้ หากนางหนี หุบเขานี้ก็มีขนาดจำกัด นางคงไม่สามารถหนีจากเขาได้แน่ เช่นนั้นนางควรเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนดีหรือไม่ แต่เพื่อจะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางต้องร่ายคาถาซึ่งนางต้องการเวลาอย่างน้อยประมาณสามวินาที ถึงอย่างนั้นเหยาจื่อซิวก็กำลังมองพวกเขาอยู่ตอนนี้ ถ้าเขาเห็นพวกเขาเคลื่อนไหว เขาอาจจู่โจมและฆ่าพวกเขาทันที นางไม่มีเวลาแม้แต่วินาทีเดียวด้วยซ้ำ


 


 


“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัดแต่นางก็ยังพยายามอย่างหนักที่จะคลานขึ้น “พี่ซิว อย่า! อย่านะ! เจ้าจะถูกมารเข้าครอบงำ!”


 


 


“น้องหว่าน เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ” ดวงตาของเหยาจื่อซิวแดงก่ำทำให้เขายิ่งดูเหมือนปีศาจมากขึ้น “ปีนั้น พ่อเจ้ารับข้าเข้ามาเป็นศิษย์ของเขาก็แค่เพราะเขาหลงใหลในความร่ำรวยที่สั่งสมมาของตระกูลเหยาของข้า! เพื่อที่จะโน้มน้าวใจให้เขายอมให้เจ้าแต่งงานกับข้า ข้าให้วิชาลับของบรรพบุรุษตระกูลเหยาไปเป็นของขวัญ แต่พ่อเจ้าทำอะไรน่ะรึ เขายังต้องการให้เจ้าไปแต่งงานกับคนอื่น! ยิ่งไปกว่านั้น พอข้าไร้ประโยชน์ต่อเขา เขาถึงขนาดตั้งใจจะฆ่าข้าด้วย!”


 


 


“อะไรนะ” ซางหรูหว่านตะลึง “ท่านพ่อข้า เขา…”


 


 


“เจ้าคงไม่รู้ละสิ ใช่ไหม” เหยาจื่อซิวแสยะยิ้ม ท่าทางสงบนิ่งและอ่อนโยนของเขาหายไปจนสิ้น ใบหน้าชั่วร้ายของเขาดูยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น “ปีนั้น… ปีนั้น ไม่ใช่เพราะเขารักเจ้า ลูกสาวของเขาหรอก แต่เป็นเพราะข้าเสนอทรัพย์สินที่สั่งสมมาจนร่ำรวยของตระกูลเหยาให้กับเขา! แต่ขนาดหลังจากข้าเสนอมันให้กับเขา เขาก็ปล่อยเราไปแค่สิบปีเท่านั้น! วันที่เจ้าออกมาตามหาข้า ข้าก็ได้ข่าวมาแล้วว่าเขาต้องการฆ่าข้า! เดิมทีข้าอยากจะหนีไปด้วยตัวเองแต่เจ้าออกมาตามหาข้า… ขะ ข้าตัดใจจากเจ้าไม่ได้…”


 


 


“…” ซางหรูหว่านพูดไม่ออก ริมฝีปากของนางสั่น เช่นนั้นนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น! ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาถึงกระตือรือร้นที่จะฝึกตนนัก ไม่น่าแปลกใจที่เขา… เขาคงอยากจะแก้แค้นหลังจากเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ใช่ไหม


 


 


จู่ๆ นางก็ร้องไห้ออกมาทันที กลายเป็นว่าไม่มีทางแก้ปัญหาทั้งหมดนี้… ไม่มีทางแก้เลย! นางคิดว่ามันคงจะเพียงพอแล้วถ้านางโน้มน้าวใจเขาได้ แต่โดยไม่คาดคิด เขากลับมีแรงจูงใจแบบนั้น! ต่อให้เขายอมออกจากม่านพลังมายานี้ หัวใจของเขาก็ยังมีเจตนาแก้แค้นอยู่ตลอดอยู่ดี


 


 


“น้องหว่าน” เหยาจื่อซิวเปลี่ยนกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง “อย่ากังวลไปเลย เพื่อเจ้า ข้าจะไม่ฆ่าเขา ตราบใดที่ข้าทำลายการฝึกตนของเขาก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว! ฮึ่ม! ตลอดหลายปีมานี้ ข้าคอยถามไถ่ไปทั่วถึงข่าวคราวเกี่ยวกับเขา พ่อเจ้ายังก่อขุมพลังของเขาไม่สำเร็จ กรรมสนอง นี่ต้องเป็นกรรมสนองแน่! ฮ่าๆๆๆ …”


 


 


เมื่อเขาหัวเราะจนพอใจ เขาหันเหสายตามาทางโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้ง เขาพูดอย่างสบายๆ “เอาละ ข้าจะเริ่มจากพวกเจ้า มาสิ ขอข้าดูฝีมือหน่อย!”


 


 


สีหน้าของโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งซึมลง ทั้งคู่คว้าเครื่องมือเวทหรืออาวุธเวทของตัวเอง


 


 


เหยาจื่อซิวดูเหมือนแมวที่กำลังเล่นกับหนู เขาไม่โจมตีทันทีแต่กลับดูเหมือนเขากำลังรอจะดูฝีมือของพวกเขาอยู่จริงๆ แทน


 


 


หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบ โม่เทียนเกอพูดว่า “สหายนักพรตเหยา เจ้าไม่เชื่อว่านี่คือม่านพลังมายาเช่นนั้นหรือ”


 


 


“ข้าเชื่อ!” เหยาจื่อซิวเชิดหน้าและพูดว่า “อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของข้าไม่ใช่ภาพลวงตา ถ้ามันเป็นแค่ภาพลวงตา ข้าก็คงไม่มีความรู้สึกชัดแจ้งเช่นนี้หรอก ความรู้สึกว่าข้าแข็งแกร่งขึ้นมาจริง…”


 


 


เขายังคงคิดอยู่ แต่โม่เทียนเกอหัวเราะ “ถูกต้อง! มันคือความรู้สึก แต่ความรู้สึกก็สามารถเข้าใจผิดกันได้”


 


 


“เจ้า–” การที่ความเชื่อของเขาถูกปฏิเสธอย่างต่อเนื่องทำให้ความโกรธพลุ่งพล่านในสายตาของเขา เขายกมือขึ้น พลังงานทางจิตวิญญาณค่อยๆ มารวมกันอยู่ที่ฝ่ามือและเกิดเป็นวงแหวน


 


 


โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังสามารถทำให้พลังงานทางจิตวิญญาณเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ วงแหวนพลังงานทางจิตวิญญาณแบบนี้ไม่ใช่การโจมตีที่พวกผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างพวกเขาจะสามารถต้านทานได้แน่นอน!


 


 


“พี่ซิว!” ซางหรูหว่านตะโกน “พี่ซิว ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ขอร้องล่ะ! ถ้าเจ้าอยากแก้แค้น พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวด้วย…”


 


 


“หุบปาก!” เหยาจื่อซิวคำราม “ในโลกแห่งการฝึกตน การฆ่าคนแค่สองสามคนมันไม่มีค่าอะไรเลย เจ้าใจอ่อนเกินไป!”


 


 


“ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะถูกมารเข้าครอบงำ…”


 


 


“มารเข้าครอบงำ ถ้าข้าถูกมารเข้าครอบงำแล้วมันจะทำไม” เหยาจื่อซิวเยาะเย้ยอย่างดูถูก “ถ้าข้าสามารถครอบครองพลังที่น่าเกรงขาม ข้าก็จะยอมให้มารเข้ามาครอบงำด้วยความยินดี! อีกอย่าง โดนมารเข้าครอบงำมันแย่ตรงไหน อาจารย์ซงเฟิงผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้ายแต่เขาก็ชอบสังหารคนบริสุทธิ์เหมือนกันไม่ใช่รึ เราไม่เคยเห็นระดับการฝึกตนของเขาได้รับผลกระทบจากการโดนมารเข้าครอบงำเลยนี่ มารภายในจิตใจ ผิดศีลธรรม ทุกอย่างมันจอมปลอม ปลอม!”


 


 


ซางหรูหว่านไม่สามารถจูงใจเขาได้อีกต่อไป นางมองอย่างเหม่อลอยไปที่เหยาจื่อซิวผู้ที่ความโอหังยิ่งเพิ่มมากขึ้น น้ำตาของนางยังคงไหลอย่างต่อเนื่องขณะที่นางพูดเศร้าๆ “แล้วข้าล่ะ เจ้าจะทำอย่างไรกับข้า ถ้าเจ้าถูกมารเข้าสิง แล้วข้าต้องทำอย่างไร”


 


 


“…” เหยาจื่อซิวนิ่งเงียบ สีหน้าของเขาอ่อนลงเล็กน้อย ราวกับว่าคำพูดของนางโดนเข้าที่จุดอ่อนในใจของเขา


 


 


ขณะนั้นเอง โม่เทียนเกอส่งสายตามีนัยยะให้กับนักพรตฟางเจิ้ง ทั้งคู่เข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องพูดและเตรียมตัวอย่างลับๆ


 


 


“พี่ซิว เจ้าจำคำสาบานที่เราสาบานกันวันนั้นได้ไหม ข้า ซางหรูหว่าน ยินดีจะแต่งงานกับเหยาจื่อซิวและเป็นภรรยาของเขา ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ทอดทิ้งหรือไปจากเขา…”


 


 


ซางหรูหว่านเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของนาง จากนั้นนางเหาะขึ้นอย่างโงนเงนและยื่นมือของนางไปหาเขา “พี่ซิว อย่าทิ้งข้าไป…”


 


 


เหยาจื่อซิวอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปคว้าตัวนาง เสียงของเขาอ่อนโยนลงเช่นกัน “ข้า เหยาจื่อซิว ยินดีรับซางหรูหว่านเป็นภรรยาข้า ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะอยู่กับนางทั้งในความเป็นและความตาย…”


 


 


ในที่สุดซางหรูหว่านก็เผยรอยยิ้มให้เห็นขณะที่นางโน้มตัวเข้าไปหาเขา


 


 


พวกเขาเห็นเหยาจื่อซิวดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดตามสัญชาตญาณ


 


 


เครื่องมือเวทจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นทันใดและแทงเข้าหัวใจของเหยาจื่อซิวอย่างโหดเ**้ยม


 


 


“อ๊าก!!!” ที่จริงแล้วเป็นเสียงร้องน่าสลดของซางหรูหว่าน


 


 


เครื่องมือเวทรูปร่างเหมือนกริชบัดนี้ฝังลึกลงที่หัวใจของเหยาจื่อซิว เหยาจื่อซิวคว้าด้ามจับและดึงอย่างแรง ดึงกริชออกจากอกของเขา ทำให้เลือดไหลทะลักออกมาจากแผล ถึงแม้เขาจะโซเซอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เขาก็สามารถทรงตัวยืนอยู่ได้


 


 


เขามองที่ซางหรูหว่านที่ตกลงไปบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าหลังจากเขาเหวี่ยงนางออกไปด้วยการโบกมือ โมโหจัด เขาตะโกนโดยไม่สนใจบาดแผล “เจ้า… เจ้าอยากฆ่าข้าจริงๆ เช่นนั้นรึ!”


 


 


ซางหรูหว่านที่ตกลงบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้าไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิ้วเดียว อย่างไรก็ตาม ในสายตาของนางมีรอยยิ้ม “พี่ซิว ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ทอดทิ้งหรือไปจากเจ้า… ถ้าเช่นนั้น เรา… ก็น่าจะตายไปพร้อมกัน…”


 


 


ด้วยแต่ละคำที่นางพูดออกมา เลือดไหลทะลักออกมาจากปากนาง ดังนั้นพอถึงเวลาที่นางพูดจบ นางก็โชกไปด้วยเลือด


 


 


โม่เทียนเกอไม่อาจทนมองพวกเขาต่อไปได้ จู่ๆ นางก็รู้สึกเสียใจ เหตุใดนางต้องบอกซางหรูหว่านด้วยว่าความตายคือผลของการถูกหลอกที่นี่ ในเมื่อเหยาจื่อซิวไม่ยอมทิ้งภาพลวงตาของเขา สุดท้ายเขาก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นซางหรูหว่านจึง…


 


 


อยู่ด้วยกันในความเป็นและความตาย อยู่ด้วยกันในความเป็นและความตาย… นางไม่เคยคิดว่าคำรักหวานๆ พวกนั้นระหว่างคนรักในโลกมนุษย์จะสามารถเข้าใจได้ในโลกแห่งการฝึกตน แต่ตอนนี้…


 


 


“น้องหว่าน…” เหยาจื่อซิวตะลึง เขาลอยอยู่กลางอากาศในความมึนงง เลือดไหลจากหัวใจของเขาไม่หยุด แต่เขาก็ไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


“การก่อเกิดแก่นขุมพลัง การก่อเกิดแก่นขุมพลัง…” เขาพึมพำขึ้นมากะทันหัน “ข้าพัฒนาถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง แต่น้องหว่าน…”


 


 


ทันใดนั้นเขาดูเหมือนว่าจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขารีบเข้าไปและโถมตัวเข้าหาซางหรูหว่านจากนั้นดึงตัวนางขึ้นมาพร้อมตะโกนเสียงดัง “น้องหว่าน! น้องหว่าน!”


 


 


ซางหรูหว่านยิ้มถึงแม้นางจะไม่สามารถขยับได้อีก โม่เทียนเกอเห็นได้ว่านาง… กำลังจะตาย


 


 


“น้องหว่าน เจ้า…”


 


 


แต่ซางหรูหว่านไม่พูดอะไรกับเขาอีกต่อไป นางหลับตาลงเงียบๆ ลมหายใจของนางค่อยๆ ช้าลงทีละนิด


 


 


“น้องหว่าน!” เหยาจื่อซิวร้องเรียก ทั้งน้ำตาและเลือดไหลทะลักออกจากตัวเขา


 


 


จากนั้นพวกเขาเห็นสีผิวของเหยาจื่อซิวค่อยๆ ซีดจางลง ราวกับว่าเขากำลังค่อยๆ เน่าเปื่อยไปทีละน้อยอย่างช้าๆ … เขากลายเป็นโครงกระดูกที่ใส่ชุดคลุมยาว


 


 


ทว่าโครงกระดูกนั้นยังคงกอดศพของซางหรูหว่านไว้อย่างแนบแน่ 

 

 


ตอนที่ 163 ทำลายม่านพลัง

 

ทุกสิ่งเงียบสงัด


 


 


หลังจากผ่านไปนาน ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอจึงถอนหายใจออกมา


 


 


นี่คือความเป็นและความตายของคนอื่น แต่การต้องมองดูอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่สิ่งต่างๆ เปิดเผยออกมาต่อหน้านาง ยังคงทำให้นางรู้สึกขมขื่น ตอนจบอันขมขื่นเช่นนั้นเกิดขึ้นก็เพียงเพราะคนทั้งสองมีความรักต้องห้ามสำหรับผู้ฝึกตน


 


 


เมื่อรู้ตัวว่าสภาวะจิตของนางเริ่มจะเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น นางก็รีบสงบสติอารมณ์และพลังงานทางจิตวิญญาณ นักพรตย่อมลืมอารมณ์ความรู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่ไม่รู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกคือการแยกตัวออกมาและไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นถูกลืม คำพูดคงอยู่ได้เพราะความหมาย เมื่อคนเข้าใจถึงความหมาย คำพูดก็สามารถถูกลืมได้…


 


 


ไม่ควรโทษการมีอารมณ์ความรู้สึกและไม่ควรโทษความรัก สิ่งที่ควรโทษที่นี่คือความจริงที่ว่ามีหลายต่อหลายสิ่งผสมปนเปอยู่ในความรู้สึกของเหยาจื่อซิว มีทั้งความทะเยอทะยาน ความขมขื่น และความเกลียดชัง เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้เหยาจื่อซิวไม่สามารถคิดหาทางออกได้ ไม่สามารถเพลิดเพลินกับความสุขและความยินดีได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกทรมานอยู่เรื่อยมา


 


 


สิ่งที่ต้องโทษไม่ใช่อารมณ์ แต่คือวิธีที่เขาควบคุมตนเอง


 


 


ขณะนั้นเอง นางได้ยินเสียงนักพรตฟางเจิ้งตะโกน “สหายนักพรตเยี่ย ดูนั่น!”


 


 


โม่เทียนเกอเพ่งสายตามองไปทางเหยาจื่อซิวและซางหรูหว่าน และดวงตาของนางก็เบิกกว้างทันที


 


 


ลำแสงสีขาวขุ่นปรากฏขึ้นบนศพของพวกเขา ลำแสงนั้นสว่างยิ่งๆ ขึ้นจนตาไม่สามารถทนมองได้และทันใดนั้นลำแสงก็ระเบิดออก พลังงานทางจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้นทำให้ลมปราณของพวกเขาไม่มั่นคงทันที พวกเขาจึงใช้พลังงานทางจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อต้านทานมันไว้ ทว่าไม่เป็นผล ในชั่วพริบตาลำแสงนั้นก็แผ่ขยายจนกลืนพวกเขาให้จมลงอยู่ภายใน


 


 



 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก่อนที่นางจะรู้สึกพลังงานทางจิตวิญญาณค่อยๆ ลดลงทีละนิดในท้ายที่สุด


 


 


นางลืมตาขึ้นแต่พอเห็นภาพเบื้องหน้านาง นางก็รู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด


 


 


สิ่งที่นางเห็นตอนนี้คือแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่พวกเขายืนอยู่เมื่อตอนแรกเริ่ม! เพราะฉะนั้นนี่ก็หมายความว่า… ม่านพลังถูกทำลายแล้วเช่นนั้นหรือ


 


 


รู้สึกดีใจสุดขีด นางหันไปเพื่อสำรวจสภาพรอบตัว อย่างไรก็ตาม นางต้องประหลาดใจอีกครั้ง


 


 


คนอื่นๆ อยู่บนแท่นอีกสี่แท่น บางคนกำลังนั่งและบางคนกำลังนอนอยู่ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนักพรตฟางเจิ้ง ไม่มีใครรู้สึกตัวตื่นอยู่เลย!


 


 


นักพรตฟางเจิ้งที่ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกันเปลี่ยนความสนใจของเขามาที่นาง “สหายนักพรตเยี่ย…”


 


 


ทั้งสองคนเต็มไปด้วยความงุนงงถึงที่สุด เกิดอะไรขึ้นที่นี่


 


 


ทันใดนั้น แท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่พวกเขากำลังยืนอยู่เปล่งแสงวูบวาบออกมาแล้วจึงค่อยๆ เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปที่กลางห้องโถง


 


 


ชั่วครู่ต่อมา ห้าแท่นแห่งธาตุทั้งห้าเริ่มจะรวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวพร้อมกับส่งเสียงดังกึกก้อง ลำแสงสว่างส่องแสงวาบและแท่นต่างๆ กลายเป็นแท่นหินขนาดใหญ่หนึ่งแท่น สีทอง สีเขียว สีฟ้า สีแดง และสีเหลือง แต่ละสีรวมกันเกิดเป็นวงกลมทำให้แท่นหินนั้นดูเหมือนกับแท่นแห่งธาตุทั้งห้าภายในม่านพลังมายา ความแตกต่างเดียวก็คือขนาดของแท่นนี้นั้นใหญ่มหึมา


 


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่” นักพรตฟางเจิ้งถามขณะมองมาที่นาง


 


 


แทนการตอบ โม่เทียนเกอกลับมองลงไปเพื่อสำรวจดูคนอื่นที่อยู่บนพื้น นอกเหนือจากนางและนักพรตฟางเจิ้ง อีกเจ็ดคนก็อยู่บนแท่นหินเช่นกัน รวมถึงเหยียนรั่วซูที่ศพของนางถูกโม่เทียนเกอเก็บไว้ในกระเป๋าเอกภพเมื่อตอนพวกเขาอยู่ภายในม่านพลังมายา


 


 


นอกจากสีผิวซีดเผือด พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่หายใจ


 


 


โม่เทียนเกอยื่นมือไปเพื่อจับชีพจรของเหยียนรั่วซูจากนั้นจึงตรวจดูคนอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดไม่มีสัญญาณชีพและนางก็ไม่สามารถถ่ายทอดพลังงานทางจิตวิญญาณของนางเข้าไปสู่ร่างของพวกเขาได้


 


 


นางพูดพร้อมถอนใจ “พวกเขาตายแล้ว”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งที่กำลังตรวจดูลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อก็ส่ายหน้าเช่นกัน “สายเกินไป”


 


 


ทั้งสองคนต่างมองกัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกงุนงง


 


 


ความจริงที่ศพของเหยียนรั่วซูอยู่ที่นี่แสดงให้เห็นว่าม่านพลังมายาทั้งหมดเป็นของปลอมโดยสิ้นเชิง สิ่งที่พวกเขาเห็นและได้ยินภายในม่านพลังมายาล้วนปลอมทั้งหมด ตัวจริงๆ ของพวกเขาน่าจะอยู่บนแท่นพวกนี้มาโดยตลอดและไม่เคยเคลื่อนย้ายไปไหน


 


 


แต่คนอื่นๆ ก็ยังลงเอยด้วยการตาย ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อถูกฆ่าโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเหยาจื่อซิว เหยียนรั่วซูหน้ามืดตามัวเพราะภาพลวงตาภายในม่านพลังมายาและตายเพราะเลือดของนางเหือดแห้งจนหมด ส่วนสำหรับผู้หญิงทั้งสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิว ถึงแม้โม่เทียนเกอจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง แต่พวกนางก็ไม่ได้มีอำนาจจิตที่แข็งแกร่งนักและยังบาดหมางกันเอง เป็นไปได้ว่าพวกนางอาจจะเข้าสู่กับดักพร้อมกันในท้ายที่สุด เหยาจื่อซิวต้องทุกข์จากมารภายในจิตใจของตัวเองและถูกภาพลวงตาหลอก ขณะที่ซางหรูหว่านถือได้ว่าถูกฆ่าโดยเหยาจื่อซิว


 


 


โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความรู้สึกสยองขณะที่นางทบทวนถึงความตายของพวกเขาในจิตใจ ม่านพลังมายานี้น่ากลัวมากจริงๆ ทุกสิ่งเป็นของปลอมแต่ความตายและบาดแผลที่เกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องจริง!


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย!” นักพรตฟางเจิ้งเรียกนางอย่างกะทันหัน เขากำลังตรวจดูศพของเหยาจื่อซิวเมื่อครู่นี้แต่ตอนนี้เขากำลังชี้ไปที่ซางหรูหว่าน


 


 


“มีอะไรหรือ”


 


 


“นาง… ดูเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่” นักพรตฟางเจิ้งกล่าวขณะที่เขามองไปยังซางหรูหว่าน


 


 


รู้สึกตกใจ โม่เทียนเกอเดินไปหาซางหรูหว่านจากนั้นวางมือของนางบนอกของซางหรูหว่าน แน่นอนว่ายังมีความอบอุ่นเล็กน้อยอยู่ตรงนั้น นางรีบหยิบเอายาเขียวขยายกำลังออกมามากมายและป้อนให้กับซางหรูหว่านพร้อมกับถ่ายทอดพลังงานทางจิตวิญญาณของนางเข้าไปร่างของซางหรูหว่านด้วยเช่นกัน


 


 


หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดซางหรูหว่านก็ร้องครางออกมาและเริ่มได้สติอีกครั้ง


 


 


“พี่ซาง!” โม่เทียนเกอเรียกอย่างอ่อนโยน


 


 


ซางหรูหว่านค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอ นางดูสับสนเล็กน้อย “น้อง… น้องเยี่ย ข้า…”


 


 


“เจ้ายังไม่ควรพูดนะ อาการบาดเจ็บของเจ้ารุนแรงมาก เจ้าควรปรับลมปราณและฟื้นตัวเสียก่อน”


 


 


ซางหรูหว่านไม่ทำตามสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด แต่พยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนางจำได้ถึงสิ่งที่นางประสบมาในม่านพลังมายา จู่ๆ สีหน้านางก็เปลี่ยนไปและนางมองไปรอบๆ ทันที เมื่อพบว่าเหยาจื่อซิวกำลังนอนอยู่ข้างนางพร้อมกับดวงตาปิดสนิท นางก็โถมตัวเข้าหาร่างของเขาทันที “พี่ซิว! พี่ซิว!”


 


 


เหยาจื่อซิวไม่ตอบสนอง นักพรตฟางเจิ้งเพิ่งตรวจดูเขาเมื่อครู่นี้และเหยาจื่อซิวก็ตายแล้วจริงๆ เขาตายแบบเดียวกับเหยียนรั่วซูภายในม่านพลังมายา เขาตายเพราะเลือดเหือดแห้งไปจนหมดกาย คาดว่าเลือดของเขาหมดไปเพราะเขาหมกมุ่นกับภาพลวงตาของเขามากเกินไป


 


 


แต่กระนั้นโม่เทียนเกอก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมซางหรูหว่านถึงรอดชีวิต ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อก็ถูกโจมตีจนตายโดยเหยาจื่อซิวเหมือนกันและพวกเขาตายอย่างแท้จริง มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ซางหรูหว่านสามารถรอดชีวิตมาได้


 


 


“พี่ซิว…” เมื่อนางตระหนักได้ถึงความจริงเรื่องการตายของเหยาจื่อซิว ซางหรูหว่านก็อยู่ในสภาวะงงงวยและไม่ขยับเขยื้อนอีกเป็นเวลานาน


 


 


โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าซางหรูหว่านกำลังคิดถึงอะไรอยู่ แต่นางรู้ว่าอาการบาดเจ็บของซางหรูหว่านนั้นร้ายแรงเกินไป ถ้าซางหรูหว่านไม่รีบฟื้นตัว อีกไม่นานนางคงต้องเสี่ยงกับการตายจริงๆ เป็นแน่


 


 


“พี่ซาง!” โม่เทียนเกอเรียกอย่างอ่อนโยน อย่างไรก็ตาม ซางหรูหว่านไม่ตอบสนองใดๆ


 


 


เห็นสภาพปัจจุบันของซางหรูหว่านทำให้โม่เทียนเกอทอดถอนใจ นางยกมือขึ้นจากนั้นส่งพลังงานทางจิตวิญญาณของนางอย่างแผ่วเบาไปทางซางหรูหว่านผู้ซึ่งหมดสติไปทันทีหลังจากนั้น


 


 


นักพรตฟางเจิ้งตกใจ


 


 


โม่เทียนเกอแค่อุ้มซางหรูหว่านไปทางด้านข้างและวางนางให้นอนลง จากนั้นนางพูดว่า “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคนแล้ว ตามความเห็นของเจ้า เราควรทำอย่างไรต่อไป”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งดูขัดแย้งเล็กน้อย เขากวาดสายตามองทั่วศพทุกคนแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อสหายนักพรตเหล่านี้ตายไปแล้ว เราควรจะจัดการกับศพของพวกเขาก่อน”


 


 


โม่เทียนเกอเข้าใจว่า “จัดการกับศพพวกเขาก่อน” ของเขาหมายความว่าอะไร มีกฎที่ไม่ต้องพูดกันอยู่ระหว่างพวกผู้ฝึกตน หากผู้ฝึกตนเดินทางมาด้วยกันและมีคนในกลุ่มตาย ข้าวของที่คนพวกนั้นเหลือทิ้งไว้จะถูกแบ่งและถูกคนอื่นๆ เอาไป โม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ แต่เพราะนางไม่ได้ขาดทั้งยาวิเศษหรือศิลาวิญญาณ นางจึงไม่ได้กระตือรือร้นกับเรื่องนี้เช่นกัน


 


 


ดังนั้นนางจึงแค่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย


 


 


หากเขาอยู่กับคนอื่น นักพรตฟางเจิ้งอาจจะไม่พูดอะไร คงจะฉวยเอากระเป๋าเอกภพของคนพวกนั้นไปอย่างมั่นใจ แต่อย่างไรก็ตาม เขาเห็นวิธีที่โม่เทียนเกอจัดการกับเรื่องต่างๆ เห็นได้ชัดว่านางมีกิริยาท่าทางของศิษย์หัวกะทิจากกลุ่มการฝึกตนและนางก็ไม่เหมือนผู้ฝึกตนเดี่ยวทั่วไปที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือทุกสิ่ง นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกเกรงกลัวพละกำลังของนาง ดังนั้นเขาจึงเพลาๆ กับพฤติกรรมของตัวเองลง


 


 


ความจริงนี่เป็นแค่ความรอบคอบมากเกินไปของนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอเองก็เคยเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวมาก่อนเหมือนกัน นางไม่ใช่หนึ่งในพวกแม่นางผู้ทรงอำนาจที่เกิดมาในกลุ่มการฝึกตน ดังนั้นจึงเป็นปกติที่นางจะเคยชินกับเรื่องนี้และไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะคัดค้านอะไร


 


 


นักพรตฟางเจิ้งหยิบกระเป๋าเอกภพทั้งหมดหกใบออกมาทีละใบ จากนั้นขณะที่เขากำลังจะเผาศพคนพวกนั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงโม่เทียนเกอและทำให้เขาหยุดกะทันหัน


 


 


โม่เทียนเกอพูด “เอาของของเหยาจื่อซิวมาให้ข้า ตอนนี้อย่าเพิ่งเผาศพเขา”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า เคลื่อนย้ายศพของเหยาจื่อซิวไปด้านข้างและส่งกระเป๋าเอกภพของเหยาจื่อซิวไปให้ จากนั้นเขาถามว่า “สหายนักพรตเยี่ย เราควรจะแบ่งของพวกนี้กันอย่างไรดี”


 


 


“เราจะแบ่งกันคนละครึ่ง” โม่เทียนเกอพูดอย่างเฉยเมยขณะที่นางวางกระเป๋าเอกภพของเหยาจื่อซิวไว้บนอกของซางหรูหว่าน


 


 


การได้ยินคำตอบของโม่เทียนเกอทำให้นักพรตฟางเจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากโม่เทียนเกอบอกว่านางไม่ต้องการของเหล่านั้น เขาคงจะเป็นกังวล เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่านางไร้เดียงสาเกินไปหรืออารมณ์ของนางแข็งกระด้างเกินไป การเดินทางของพวกเขาบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้านี้ยังไม่จบลง ไม่ว่าความเป็นไปได้เหล่านั้นอันไหนจะเป็นจริง จะต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ถ้าพวกเขายังคงร่วมมือกันต่อไป


 


 


เมื่อทั้งสองคนแบ่งข้าวของกันและเผาศพเสร็จ นักพรตฟางเจิ้งลังเลขึ้นมาอีกครั้งแต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังถามว่า “สหายนักพรตเยี่ย เราจะนำตัวแม่นางเหยาไปกับเราด้วยหรือ”


 


 


โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ ถ้านางอยู่ตัวคนเดียว คงพาซางหรูหว่านไปกับนางด้วยแน่ ไม่ใช่ว่านางเป็นคนใจบุญอะไร นางแค่มีความประทับใจที่ดีต่อซางหรูหว่าน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางอยู่กับคนอื่นและนางก็เห็นได้ว่านักพรตฟางเจิ้งไม่อยากพาซางหรูหว่านไปด้วย ผู้ฝึกตนบาดเจ็บหนักซึ่งไร้ประโยชน์ก็มีแต่จะเป็นภาระต่อพวกเขาเท่านั้น


 


 


โม่เทียนเกอใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อคิดแต่สุดท้ายนางก็ส่ายหัว “เราควรจะคิดว่าเราจะออกจากที่นี่ได้อย่างไรก่อนดีกว่า”


 


 


เนื่องจากม่านพลังมายาถูกทำลายลงแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถใช้ความคิดเพื่อเคลื่อนย้านแท่นได้อย่างที่เคยทำก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไม่รู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาออกจากแท่นหินนี้


 


 


“โอ้! สหายนักพรตเยี่ย ดูสิ! เร็วเข้า!” นักพรตฟางเจิ้งตะโกนพร้อมกับชี้ไปที่ส่วนด้านในสุดของห้องโถง


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอหันเหสายตาไปในทางที่เขาชี้ นางก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที


 


 


สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนห้องโถงแต่ไม่มีพื้น มีเพียงแค่แท่นหินลอยได้ขนาดใหญ่อันนี้เท่านั้นและข้างใต้ก็คือเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งพวกเขายังรู้สึกไม่มั่นใจนัก ประตูเดียวในโถงนี้คือประตูที่พวกเขาผ่านเข้ามา ก่อนที่ม่านพลังมายาจะเริ่มทำงาน ดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถควบคุมแท่นต่างๆ ได้ด้วยความคิดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม แท่นทั้งห้าเหล่านั้นบัดนี้ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและม่านพลังมายาก็ถูกทำลายลงแล้ว ความคิดของพวกเขาจึงใช้ไม่ได้ในตอนนี้


 


 


แต่อย่างไรก็ตาม ประตูก็ปรากฏขึ้นจริงบนที่ที่เดิมเคยเป็นกำแพงในส่วนด้านในสุดของห้องโถง! ทางเข้าไปสู่ส่วนด้านในสุดของถ้ำเซียนมีแนวโน้มว่าจะเปิดออกเมื่อม่านพลังมายาถูกทำลายลง


 


 


หลังจากช่วงเวลาของความดีใจ โม่เทียนเกอรีบสงบสติกลับมาโดยเร็ว


 


 


“สหายนักพรตฟางเจิ้ง แค่ม่านพลังมายานี้อย่างเดียวก็ซับซ้อนมากอยู่แล้ว หากต้องการไปต่อ เราต้องยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้าซ้ำๆ ความตื่นเต้นบนใบหน้าเขาเห็นได้ชัดเจน สำหรับเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชะตาลิขิต ระหว่างช่วงเวลาที่น่าหนักใจในม่านพลังมายา ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่มีใครได้รับประโยชน์อะไรสักอย่าง กระนั้นพวกเขาก็แน่ใจว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาหาเจอจะต้องน่าทึ่งมากแน่นอนดูจากความท้าทายของม่านพลังมายานี้! ในเมื่อเขามาถึงจุดนี้แล้ว คงไม่มีเหตุผลแน่ถ้าเขาจะหันหลังกลับ


 


 


โม่เทียนเกอไม่กระหายเท่ากับนักพรตฟางเจิ้งในการได้ครอบครองสมบัติ แต่นางก็ไม่มีเหตุผลจะต้องถอยเช่นกัน แม้แต่คนอย่างฉินโส่วจิ้งที่มีบรรพบุรุษระดับจิตวิญญาณใหม่ยังต้องเดินบนเส้นทางการฝึกตนด้วยตัวเขาเอง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหวังพึ่งผู้อาวุโสของตัวเองไปเสียทุกอย่าง ถ้าคนเราไม่มีประสบการณ์อะไรเลยและมักจะอยู่ใต้การคุ้มครองของผู้อาวุโส พวกเขาก็ไม่มีทางเติบโตขึ้นได้


 


 


“แต่เราจะไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร” ใต้แท่นคือเหวลึกไร้จุดสิ้นสุดซึ่งพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ถ้าเกิดนี่เป็นม่านพลังสังหารขึ้นมา วินาทีที่พวกเขาไปกระตุ้นอะไรเข้า…


 


 


นักพรตฟางเจิ้งขมวดคิ้ว ในหมู่คนทั้งเก้าที่เริ่มจากที่นี่ หกคนตายแล้วและอีกหนึ่งคนบาดเจ็บหนัก พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพียงพวกเดียวที่ยังไม่มีอันตราย นักพรตฟางเจิ้งไม่มีเวลาเหลือในช่วงอายุขัยของเขามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการชะตาลิขิตอย่างแรง อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันมันก็ยิ่งทำให้เขารักและเห็นค่าชีวิตตัวเองมากขึ้น


 


 


หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตฟางเจิ้งก็ถอนใจแล้วจึงเปิดถุงกระเป๋าสัตว์วิเศษที่มัดอยู่ที่เอวเขา ปล่อยสัตว์วิเศษออกมาซึ่งเมื่อตรวจดูให้ชัดก็พบว่าเป็นนกระดับหนึ่ง


 


 


นักพรตฟางเจิ้งลูบหัวมันก่อนจะปล่อยมันจากมือและสั่งให้มันบินไปทางส่วนด้านในสุดของห้องโถง


 


 


ด้วยเสียงร้องจิ๊บๆ นกตัวนั้นเริ่มจะกระพือปีก บินขึ้นสูงในอากาศจากนั้นจึงบินไปทางที่เขาชี้ไป


 


 


ทั้งสองคนมองด้วยความหวาดหวั่น พวกเขามองนกตัวนั้นบินอย่างราบรื่นไปที่สุดห้องโถงและพุ่งไปหาประตู


 


 


ในเวลาต่อมา นกตัวนั้นพุ่งผ่านประตูอีกครั้งและบินกลับมาหาพวกเขา


 


 


นักพรตฟางเจิ้งดีใจสุดขีด “มันปลอดภัยจริงๆ! สหายนักพรตเยี่ย ไปกันเถอะ!” ว่าแล้วเขาก็เป็นคนนำหน้าเหาะไปในอากาศแล้ว


 


 


สายตาโม่เทียนเกอยังคอยเหลือบไปมองซางหรูหว่านผู้ที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น สุดท้ายนางก็ถอนใจ หยิบเอาขวดยาออกมาและวางไว้บนอกของซางหรูหว่าน เมื่อนางทำเสร็จ ก็เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาแล้วจึงเหาะตามนักพรตฟางเจิ้งไป​​​​ 

 

 


ตอนที่ 164 หินจันทราเวทมนตร์

 

หลังจากที่โม่เทียนเกอผ่านพ้นประตูซึ่งอยู่ลึกสุดของห้องโถงบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของนาง นางก็มองไปรอบๆ นี่เป็นช่องหินแคบๆ อีกซอกหนึ่งที่คล้ายกับที่พวกนางผ่านมาตอนมาถึงที่นี่ อย่างไรก็ตาม กำแพงที่นี่มีหินจันทราฝังรวมอยู่ด้วย ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องจุดไฟอย่างที่นางเคยทำตอนที่เข้ามาในสถานที่นี้


 


 


ความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องค่อนข้างแปลก หินจันทรานั้นแทบจะไม่สามารถคงอยู่ได้นานกว่าหลายพันปี ด้วยเหตุผลนั้นถ้ำเซียนจากเมื่อหลายพันปีก่อนจึงมักจะมืดสนิท เช่นเดียวกับเส้นทางที่พวกนางผ่านเข้ามาในช่วงแรก หินจันทรายังคงทำงานอยู่ในสถานที่นี้ได้อย่างไร


 


 


นักพรตฟางเจิ้งคิดเช่นเดียวกันกับนาง ทั้งสองคนยืนหันหน้าเข้าทางกำแพง แต่ละคนงัดหินจันทราออกมา


 


 


“นี่…” หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด นักพรตฟางเจิ้งก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าจะเป็นราชินีหินจันทรา!”


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงงัน


 


 


นักพรตฟางเจิ้งพิจารณามันต่ออีกครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วเข้าจึงพยักหน้าพร้อมพูด “จริงด้วย! ที่นี่คือเหมืองหินจันทรา และทั้งหมดนี้คือราชินีหินจันทรา นี่คือเหตุผลที่พวกมันคงอยู่มาได้นานเช่นนี้”


 


 


เมื่อเกี่ยวเนื่องกับประสบการณ์ นักพรตฟางเจิ้งนั้นได้ท่องอยู่ทั้งโลกแห่งการฝึกตนและโลกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ดังนั้นประสบการณ์ของเขาจึงค่อนข้างกว้างขวาง นางโยนราชินีหินจันทราเข้าไปในกระเป๋าเอกภพและเดินต่อไป


 


 


ถึงแม้ว่าเหมืองหินจันทรานั้นจะหาได้ยาก กระนั้นหินจันทราเองนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกเสียจากการให้แสงสว่างในโลกแห่งการฝึกตน ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีค่าอะไรนัก


 


 


ทั้งสองคนก้าวย่างไปตามเส้นทางก้อนหินอย่างระมัดระวังในขณะที่พวกเขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้า


 


 


ตั้งแต่ที่โม่เทียนเกอมาคุนอู๋ นางได้เผชิญกับสถานการณ์อันตรายหลากหลายจนนับไม่ถ้วน ดังนั้นนางจึงคอยระมัดระวังในทุกอย่างที่นางทำ สำหรับนักพรตฟางเจิ้ง จากสิ่งที่โม่เทียนเกอเห็น พฤติกรรมของเขาดูคล้ายกับท่านอาที่สองของนาง วิถีที่นางจัดการสิ่งต่างๆ นั้นพัฒนาขึ้นมาจากการติดตามท่านอาที่สอง ดังนั้นนางและนักพรตฟางเจิ้งจึงสามารถเข้าขากันได้ดี


 


 


ครั้งนี้ นักพรตฟางเจิ้งปล่อยนกสัตว์วิเศษระดับแรกของเขาให้บินนำไปด้านหน้าเพื่อหาเส้นทางให้พวกเขา ในขณะที่พวกเขาเดินทางเข้าไปเรื่อยๆ พวกเขาก็พบเจอกับอันตรายต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บตัว พวกเขาเดินเข้าไปเจอกับดักต่างๆ ระหว่างทาง แต่หลายพันปีที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นเวลาที่นานมาก ดังนั้นพลังงานทางจิตวิญญาณที่คงอยู่ในกับดักนั้นจึงอ่อนกำลังลง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีนกคอยนำทางอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถหลบเลี่ยงกับดักต่างๆ ได้เรื่อยๆ


 


 


อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้พบซากศพคนอยู่บนพื้นด้วย


 


 


ซากศพเหล่านั้นเกาะเกี่ยวกันอยู่ เหลือเพียงแค่โครงกระดูก เสื้อผ้าล้วนย่อยสลายไปหมดสิ้น มีเพียงแค่เครื่องมือเวทที่เสียหายและกระเป๋าเอกภพที่ยังใช้งานได้ปกติถูกทิ้งไว้เบื้องหลังซึ่งมีสมบัติอยู่บ้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือเวทกระจัดกระจายอยู่ระหว่างกองกระดูกเหล่านั้น


 


 


ชั่วขณะที่นักพรตฟางเจิ้งเห็นดังนั้น เขาก็ก้มลงต่ำและเริ่มเก็บของเหล่านั้นด้วยท่าทางยินดีบนใบหน้า


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอเห็นสิ่งที่เขาทำ นางรีบตะโกนออกไปในทันที “สหายนักพรตฟางเจิ้งรอก่อน!”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองที่นางด้วยท่าทางระแวงในสายตา แก่ชราขนาดนี้ เขาผ่านการผจญภัยมามากมายและเห็นมิตรสหายแตกคอกันเองและต่อสู้กันเพื่อสิ่งต่างๆ มานับไม่ถ้วน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินโม่เทียนเกอตะโกนหมายจะหยุดเขา เขาจึงระมัดระวังตัวขึ้นมาในทันที


 


 


โม่เทียนเกอจะไม่รู้ถึงความคิดของเขาได้อย่างไรเมื่อนางเห็นท่าทางของเขา อย่างไรก็ตาม นางเพียงแค่พูดอย่างเฉยเมย “มีโครงกระดูกหลายกองที่นี่… แสดงว่าไม่ได้มีแค่คนกลุ่มเดียว แต่ทั้งหมดต่างตายอยู่ที่นี่ บางทีสถานที่นี้อาจจะมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็นก็เป็นได้”


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด นักพรตฟางเจิ้งจึงคลายความตึงเครียดลงบ้างและเริ่มที่จะมองไปโดยรอบด้วยความระมัดระวังมากขึ้น


 


 


แน่นอนว่าซอกทางเดินนี้ยาวมากกว่าแค่สิบจั้ง แต่ก็มีซากศพคนประมาณยี่สิบคนที่นี่ โครงกระดูกเหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่ใกล้กัน แทบจะไม่มีพื้นที่ว่างเลยแม้แต่น้อย ท่าทางของพวกเขายังแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นพัวพันกันอยู่ในกลุ่มไม่สองก็สามคน มันเหมือนกับพวกเขาดึงกันและกันเพื่อตายไปพร้อมๆ กัน


 


 


นักพรตฟางเจิ้งตื่นกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อเขารับรู้ถึงสิ่งนี้จนทั้งร่างของเขานั้นเย็นชุ่มไปด้วยเหงื่อ จากท่าทางของกองกระดูกนั้น คนเหล่านี้ตายเพราะต่อสู้กันเอง อีกอย่างโครงกระดูกเหล่านี้น่าจะอยู่ที่นี่มานานพอสมควร โครงกระดูกที่ใหม่ที่สุดยังคงขาวดั่งหิมะในขณะที่โครงกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว


 


 


ร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นไร้ซึ่งสิ่งสกปรกเจือปน ดังนั้นแทนที่จะย่อยสลาย พวกมันจะเปลี่ยนเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณและกระจายหายไปเมื่อพวกเขาตาย อย่างไรก็ตาม กระดูกที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังสามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน และสีของมันนั้นสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาได้ว่าผู้ฝึกตนผู้นั้นตายมานานแค่ไหนแล้ว


 


 


โครงกระดูกด้านหน้าพวกเขานั้นมีมากมายแตกต่างกันไป ในกลุ่มนั้น กระดูกที่ดำที่สุดได้กลายเป็นกองขี้เถ้าสีดำ บ่งบอกได้ว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นได้ตายมาเป็นเวลาหลายพันปีก่อนแล้ว ทว่ายังคงมีโครงกระดูกสีขาวดั่งหิมะอยู่ท่ามกลางพวกมัน ผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะต้องตายมาน้อยกว่าพันปีก่อนอย่างแน่นอน


 


 


ทั้งสองคนต่างเคยประสบกับตัวเองแล้วว่าม่านพลังมายาภายนอกนั้นน่ากลัวอย่างไร จากคนเก้าคน พวกเขานั้นเป็นเพียงสองคนที่เก่งพอที่มาจนถึงสถานที่นี้ ยิ่งไปกว่านั้น คงเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่การผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณภายนอกหุบเขานี้จะอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงต้องเคยได้ยินถึงมันมาก่อน ในทางกลับกัน ไม่ได้มีคนมากมายนักที่มาที่นี่ในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา แต่จำนวนของอาวุธเวท เครื่องมือเวทและสิ่งของมีค่ามากมายด้านหน้าพวกเขาบ่งบอกว่าไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาจะหยิบสมบัติเหล่านี้ไปได้ตามใจชอบได้อย่างไร


 


 


เมื่อเขาเข้าใจในจุดนี้ นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกละอายในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนแรก เขาไม่ได้เคารพโม่เทียนเกอมากนัก เขารู้สึกว่านางไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนผู้ซึ่งออกจากกลุ่มเพื่อเดินทางท่องไปเรื่อยเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของนางค่อนข้างสูง แต่ความสามารถของนางก็คงจะไม่มีอะไรที่พิเศษนัก เหมือนกับสองคนที่แซ่ลู่และแซ่หวังจากโรงเรียนกุ่ยกู่ เขาไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะตาสว่างจากเพียงแค่คำพูดประโยคเดียวของนางภายในม่านพลังมายานั้น และนางก็ยังคงใจเย็นมากกว่าเขาในตอนนี้อีก เมื่อนึกไปถึงสองเรื่องนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะประเมินนางต่ำอีกต่อไป


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย ตามที่ท่านพูด นี่คือ…”


 


 


“เส้นทางนี้มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ” โม่เทียนเกอพูดอย่างช้าๆ “เหมือนกับ… มันสามารถล่อลวงจิตใจคนได้” ในตอนที่นางอยู่ในม่านพลังมายา จี้ซ่อนวิญญาณของนางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเพราะแทนที่จะกัดกินจิตใต้สำนึกของผู้คน ม่านพลังมายากลับเพียงแค่ทดสอบนิสัยและความต้องการของคนที่เข้าไปอยู่ข้างในนั้น เมื่อนางเข้ามาสู่เส้นทางนี้ อย่างไรก็ตามจี้ซ่อนวิญญาณของนางกลับเย็นเฉียบในทันใดเมื่อกับว่ามันกำลังเตือนนางถึงบางสิ่งบางอย่าง


 


 


นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ การที่สามารถเข้ามาถึงพื้นที่นี้ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกตนได้ผ่านม่านพลังมายาที่อยู่บนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า เมื่อดูถึงหลักเหตุผล พวกเขานั้นดูเหมือนเป็นผู้ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ นอกเหนือไปจากปัญหาเกี่ยวกับอำนาจจิตของพวกเขา จะมีอะไรอีกบ้างที่อาจทำให้พวกเขาตัดสินใจอย่างไร้เหตุผลที่จะตายไปด้วยกันเมื่อพวกเขาเป็นคนที่เข้าใจว่าต้องมีชีวิตอยู่รอดเพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น


 


 


“สหายนักพรตรู้ได้อย่างไร”


 


 


โม่เทียนเกอพูดอย่างแผ่วเบา “ข้ามีเครื่องมือเวทที่สามารถตรวจสอบสิ่งที่ส่งผลต่อจิตใจ” นางเพียงแค่ให้คำตอบพอเป็นพิธีและไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม การมีสมบัติที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพูดรายละเอียดเกี่ยวกับมันมากนัก


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเป็นคนที่ฉลาดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ถามต่อ


 


 


ทั้งสองคนสำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวังเพื่อสังเกตสิ่งที่ผิดปกติ


 


 


ทางเดินหินนี้ไม่ได้แตกต่างจากทางเดินแรกมากนัก ทั้งสองเป็นทางที่ตัดลึกเขาไปในภูเขา มีข้อแตกต่างเดียวนั่นคือทางนี้ดูมีระดับมากกว่าและกำแพงหินนั้นมีหินจันทราฝังอยู่ในนั้น


 


 


“โอ้!” ชั่วขณะที่นางเข้ามาใกล้กำแพงหิน ความรู้สึกเย็นของจี้ซ่อนวิญญาณของนางก็ยิ่งมีมากขึ้น บางทีอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติในกำแพงหินนี้


 


 


โม่เทียนเกอคิดครู่หนึ่ง หลังจากนั้นนางจึงหยิบกระบี่บินได้ออกมาและงัดหินจันทราออกมาจากกำแพงหินก้อนหนึ่ง


 


 


ก้อนหินนั้นส่องแสงวิบวับสีขาว เฉกเช่นหินจันทราก่อนหน้านี้ ทว่าพลังงานทางจิตวิญญาณเจือจางที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยกับนาง


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย!” นักพรตฟางเจิ้งตะโกนออกมาในทันที “พวกนี้ไม่ใช่หินจันทรา!” หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น เขารีบหยิบเครื่องรางสงบจิตใจออกมาแปะลงบนตัวเองและให้โม่เทียนเกออีกหนึ่งชิ้น


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย ภายในม่านพลังมายา มันเป็นที่จิตใจของนางเองที่ไม่มั่นคง ดังนั้นจี้ซ่อนวิญญาณของนางจึงไร้ประโยชน์ แต่ที่นี่ นางเผชิญกับปัจจัยภายนอก โชคดีที่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถส่งผลกระทบต่อนางได้เพราะจี้ซ่อนวิญญาณ


 


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดอย่างรอบคอบ นางก็รับเครื่องรางสงบจิตใจมาและแปะลงบนตัวของนาง นางยกหินจันทราขึ้นมาและถาม “สหายนักพรตบอกว่านี่ไม่ใช่หินจันทรา? หากเป็นเช่นนั้นแล้วมันคืออะไร”


 


 


“นี่คือหินจันทราเวทมนตร์” นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้ดูผ่อนคลายเท่านาง หลังจากที่เขาบังคับจิตใจตัวเองให้สงบลงได้เขาจึงพูดต่อ “เหมืองหินจันทราจะให้กำเนิดหินจันทราเวทมนตร์ นี่ส่งผลให้คนเกิดภาพหลอน และเป็นวัสดุที่เยี่ยมยอดในการสร้างม่านพลังมายา แต่ถึงแม้ว่าเหมืองหินจันทราจะไม่ได้หายากนัก แต่หินจันทราเวทมนตร์นั้นหาได้ยากยิ่ง มีคนไม่กี่คนที่จะรู้ว่ายังคงหลงเหลืออยู่ สำหรับตัวข้าเองเคยบังเอิญได้เจออยู่ก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งในร้านลับๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน หินก้อนเล็กๆ ก้อนนั้นได้ขายออกไปที่ราคากว่าหนึ่งพันศิลาวิญญาณในงานประมูล!” จุดนี้ ใบหน้านักพรตฟางเจิ้งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าของถ้ำเซียนนี้กลับสามารถหาหินจันทราเวทมนตร์มาได้มากมายเช่นนี้ ถ้าพวกเราสามารถเอาออกไปได้หมด…”


 


 


ในขณะที่โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงพลังงานทางจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาเล็กน้อยจากหินจันทราเวทมนตร์ ความคิดชั่วครู่ก็โผล่เข้ามาในจิตใจของนาง นางนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับสิ่งนี้ นางยื่นมือของนางออกไปและค้นกระเป๋าเอกภพจนกระจุยกระจายไปทั่ว หยิบส่วนหนึ่งของหินหยกที่แตกหลังจากนั้นจึงเปรียบเทียบมันกับหินจันทราเวทมนตร์ เป็นที่แน่นอน พวกมันทำมาจากวัสดุเดียวกัน เพียงแค่เศษหินหยกนั้นมีพลังงานทางจิตวิญญาณที่อ่อนและแตกกระจายไปหมดแล้ว


 


 


ตอนที่นางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว เว่ยจยาซือกับนางบังเอิญเผชิญเข้ากับปีศาจสองโสมมในช่วงการจลาจลสัตว์ปีศาจ ปีศาจหมาป่าขาสั้นนั้นมีปัญญาที่เฉียบแหลมแต่กำเนิด ดังนั้นมันจึงสามารถสร้างม่านพลังมายาซึ่งเกือบทำให้ทั้งสองคนต้องฆ่ากันเอง เศษของหินหยกชิ้นนี้นางเป็นคนที่หยิบขึ้นมาหลังจากชนะการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจนั้น ในตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเศษหินนี้คือหินจันทราเวทมนตร์จริงๆ


 


 


ตอนนี้เมื่อนางรู้ถึงสิ่งนี้ โม่เทียนเกอก็รู้สึกกลัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นกำแพงเหล่านี้เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์


 


 


ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น แค่ม่านพลังที่มีเศษเล็กน้อยของหินจันทราเวทมนตร์ก็ได้ล่อลวงนางและเว่ยจยาซือผู้ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งคู่ได้แล้ว ในตอนนี้ มันมีหินจันทราเวทมนตร์อยู่มากมายที่นี่ หากทั้งหมดใช้ในการวางม่านพลัง ม่านพลังนั้นจะไม่มีพลังมากพอจนแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ยังหลุดจากมันได้อย่างยากลำบากหรือ


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอนึกมาถึงจุดนี้ สายตาของนางก็เปล่งประกายเหมือนกันกับนักพรตฟางเจิ้ง


 


 


ทั้งสองคนหยุดคุยในทันที พวกเขาหยิบกระบี่บินได้ของตัวเองออกมาและงัดหินจันทราเวทมนตร์ออกมาจากกำแพงหินอย่างระมัดระวัง


 


 


อย่างไรก็ตาม หากทางแก้ไขในสถานการณ์ปัจจุบันของทั้งสองคนจะง่ายดายขนาดนี้ พวกผู้ฝึกตนก็คงไม่ได้ทิ้งชีวิตของพวกเขาเอาไว้ที่นี่ หลังจากที่งัดแงะหินจันทราเวทมนตร์อยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง โม่เทียนเกอก็รู้สึกตัวว่าจิตใจของนางนั้นเริ่มไม่ชัดเจน โชคดีที่นางมีจี้ซ่อนวิญญาณ ดังนั้นนางจึงสามารถรับรู้และรีบออกห่างจากมัน


 


 


นางต้องการที่จะเตือนนักพรตฟางเจิ้ง ทว่าในชั่วขณะที่นางหันไปทางเขา นางก็ต้องเจอเข้ากับแสงของกระบี่ นักพรตฟางเจิ้งนั้นแทงกระบี่บินได้ของเขาที่ใช้งัดหินจันทราเข้าหานาง! สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยแววตาที่มีแต่ความมุ่งร้าย


 


 


โม่เทียนเกอยกมือขึ้น สร้างกำแพงพลังงานทางจิตวิญญาณเพื่อป้องกันการโจมตีของเขา หลังจากนั้นนางจึงดึงกลับและยกมือขึ้นอีกครั้งเพื่อปล่อยกระสวยอัปสราออกไป


 


 


ไร้ซึ่งคำพูด นักพรตฟางเจิ้งเก็บกระบี่บินได้เล่มเล็กของเขากลับไปหลังจากนั้นจึงหยิบแส้หางม้าออกมาแทน ด้วยการปัดแส้นั้นทำให้เข็มเล็กๆ ที่ดูเหมือนทำจากเหล็กจำนวนมากพุ่งเข้าหานาง


 


 


ถึงแม้ว่าคุณภาพเครื่องมือเวทที่มีรูปร่างเหมือนแส้หางม้าจะด้อยกว่ากระสวยอัปสราของนาง แต่โม่เทียนเกอก็ไม่กล้าปรามาส พลังงานทางจิตวิญญาณของนักพรตฟางเจิ้งนั้นมีมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าเครื่องมือเวทของเขาจะไม่ได้ดีมากมายนัก แต่พลังของมันก็ไม่ใช่เล่นๆ นางสะบัดแขนเสื้อ เขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกไปซึ่งมันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นกำแพงและป้องกันการโจมตีของเขา


 


 


ใช้ความได้เปรียบจากการเริ่มนี้ โม่เทียนเกอตะโกน “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ตื่นได้แล้ว!”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ และยังคงพุ่งตรงเข้าหานางอย่างหน้ามืด


 


 


ไร้ซึ่งทางเลือก โม่เทียนเกอล่าถอยในขณะที่ใช้กระสวยอัปสราเพื่อหยุดเขา


 


 


นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้อ่อนแอ แต่เมื่อเทียบกับศิษย์ระดับหัวกะทิจากโรงเรียนเสวียนชิง เขาไม่สามารถเทียบได้ โม่เทียนเกอเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะทำให้เขาบาดเจ็บ ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็เป็นผู้ร่วมเดินทางเพียงคนเดียวที่นางยังคงมีเหลืออยู่ และเจ้าของสถานที่นี้ก็เป็นผู้ที่เก่งในเรื่องของวิชามายา ใครจะรู้ว่านางจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไปอีก? การที่มีใครสักคนเป็นสหายร่วมเดินทางที่สามารถทำให้นางอยู่กับร่องกับรอยไปได้ตลอดก็ย่อมดีกว่าการที่ต้องอยู่คนเดียว


 


 


แต่นักพรตฟางเจิ้งในตอนนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่จะตื่นขึ้นเลยและยังคงโจมตีนางอย่างไม่ปรานี


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกไร้หนทางช่วยเหลือ นางเพียงแค่ล่าถอยและปัดป้องการโจมตีของเขา


 


 


สุดท้ายแล้วพวกนางยังคงอยู่ใกล้กับหินจันทราเวทมนตร์มากเกินไป ถ้าพวกนางสามารถถอยห่างออกไปจากมันได้อีกนิด บางทีผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะอ่อนลงบ้างเล็กน้อย


 


 


นางค่อยๆ ล่าถอยอย่างช้าๆ เมื่อนางถอยออกมาได้ประมาณสิบจั้ง สายตานักพรตฟางเจิ้งก็เริ่มกลับคืนสู่ความกระจ่างขึ้น เขาหยุดการโจมตีและพูดอย่างประหลาดใจ “สหายนักพรตเยี่ย นี่…”


 


 


โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเขากลับคืนสู่สติ “ดีแล้วที่ท่านสหายนักพรตตื่นขึ้น แต่เจ้าหินจันทราเวทมนตร์เหล่านี้นั้นช่างน่ากลัวเสียจริงๆ …” 

 

 


ตอนที่ 165 รูปปั้นหินสลัก

 

​​​​​​​นักพรตฟางเจิ้งอาจจะกลับมาได้สติอีกครั้งแต่พวกเขาก็ยังคงไม่ได้แก้ปัญหาสำคัญ


 


 


พวกเขายังคงอยู่ที่ทางเข้าของทางเดินหินนี้แต่จิตใจนักพรตฟางเจิ้งก็ได้รับผลกระทบเสียแล้วถึงแม้จะมีเครื่องรางสงบจิตใจอยู่กับตัวก็ตาม ถ้าพวกเขาเข้าไปลึกกว่านี้ โม่เทียนเกอไม่มั่นใจว่าตัวนางจะสามารถไปต่อได้หรือไม่เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงอับจนหนทาง ทั้งสองคนปรึกษากันหลายทางเลือกแต่ก็ยังไม่สามารถหาทางแก้ได้


 


 


ด้วยความสามารถปัจจุบัน พวกเขาไม่สามารถฝ่าผ่านหินจันทราเวทมนตร์มากมายเพียงนี้ไปได้


 


 


“เราควรทำอย่างไรกันดี” นักพรตฟางเจิ้งถามขณะที่เขามองโม่เทียนเกอ หลังจากถูกโม่เทียนเกอเตือนซ้ำๆ หลายครั้ง ตอนนี้เขาก็ชินกับการถามความเห็นของศิษย์น้องคนนี้ก่อนแล้ว


 


 


ชั่วขณะหนึ่ง โม่เทียนเกอไม่อาจคิดหาวิธีแก้ที่เหมาะสมได้แต่เมื่อนางคิดพิจารณาถึงการหันหลังกลับ นางก็รู้สึกลังเล หลังจากอุปสรรคที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ หกคนจากเก้าคนตายไปแล้วและอีกหนึ่งคนกำลังจะตาย พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพียงพวกเดียวที่ยังเหลืออยู่เป็นปกติ พวกเขาเสียอะไรไปตั้งมากและตอนนี้พวกเขาเข้ามาได้ถึงจุดนี้ แล้วนางจะหันหลังกลับได้อย่างไร


 


 


แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่มีพละกำลังมากพอ ซึ่งนั่นก็หมายความตามจริงว่านางไม่มีพละกำลังมากพอ บางทีเจ้าของของสถานที่แห่งนี้อาจจะสร้างทางเดินนี้มาเพื่อหยุดผู้ฝึกตนที่อยู่ต่ำกว่าดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก็เป็นได้ ถ้าพวกเขายังคงพยายามฝ่าเข้าไป พวกเขาจะไม่ต้องแลกด้วยชีวิตหรอกหรือ


 


 


โม่เทียนเกอใคร่ครวญถึงทางเลือกของนางอยู่พักหนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดนางก็กัดฟันพูดว่า “เราไม่อาจผ่านทางเดินนี้ไปได้ สหายนักพรตฟางเจิ้ง เราหาทางอื่นกันเถอะ”


 


 


“นี่…” เห็นได้ชัดว่านักพรตฟางเจิ้งไม่ยินดี เขาดูไม่สู้เต็มใจ สายตาเขาคอยแต่จะเหลือบไปทางหินจันทราเวทมนตร์


 


 


โม่เทียนเกอพูดว่า “ด้วยความสามารถตอนนี้ของเรา เราไม่สามารถผ่านตรงนี้ไปได้แน่ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะมาทิ้งชีวิตที่นี่หรอกนะ”


 


 


สิ่งที่นางพูดทำให้นักพรตฟางเจิ้งลังเล เขาเข้าใจว่าโม่เทียนเกอไม่เหมือนเขา ดูจากทรัพย์สมบัติมากมายที่นางมี นางน่าจะเป็นศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ ตอนนี้นางยังอายุน้อยมากแต่นางกลับมีระดับการฝึกตนสูงขนาดนี้ สำหรับนาง การยอมเสี่ยงครั้งนี้คงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก


 


 


หากนางเป็นเช่นเขา พวกเขาคงกัดฟันรีบเข้าไปด้านในเหมือนอย่างพวกผู้ฝึกตนที่ตายไปทำ ทว่าเมื่อไม่มีใครไปกับเขา เขาก็ไม่สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อฝ่าเข้าไปด้วยตัวเองคนเดียวได้


 


 


สติของคนได้รับผลกระทบจากวัตถุที่มีผลทางจิตอย่างเช่นของเหล่านี้ ถ้าไม่มีสหายร่วมทางก็หมายความว่าเขาคงไม่ลงเอยในสถานการณ์ที่เขากับสหายจะพยายามฆ่ากันเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นสติ เขาอาจจะกลายเป็นบ้าและลงเอยด้วยการทำร้ายตัวเองต่อให้ไม่มีใครคนอื่นอยู่ด้วยก็ตาม


 


 


“ตกลง เช่นนั้นก็ทำตามที่สหายนักพรตเยี่ยพูดเถอะ” นักพรตฟางเจิ้งตัดสินใจได้ในท้ายที่สุด ถึงแม้เขาจะไม่มีเวลาเหลือมากแล้วในช่วงอายุขัยแต่เขาก็ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่เหลือความหวังไปเสียหมด เขาก็ไม่อยากจะตายที่นี่เช่นกัน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “แต่เราไม่ควรมองหาบริเวณอื่นๆ ด้วยหรือ”


 


 


ไม่ต้องพูดถึงนักพรตฟางเจิ้งหรอก แต่ลึกๆ แล้วแม้แต่ตัวโม่เทียนเกอเองก็รู้สึกไม่อยากจะออกไปเช่นกัน เมื่อพวกเขาลงมาในหุบเขา พวกเขาเกือบจะต้องสูญเสียชีวิต ในม่านพลังมายาพวกเขาต้องมองดูคนอื่นๆ ตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดพวกเขาก็มาถึงอุปสรรคที่ไม่สามารถผ่านไปได้ แล้วนางจะอยากยอมแพ้ได้อย่างไรกัน


 


 


“ตกลง แต่นักพรตฟางเจิ้ง ถ้าเราไม่เจออะไร เราควรจะออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”


 


 


“แน่นอน!” นักพรตฟางเจิ้งรีบเห็นดีเห็นงามด้วย ทุกส่วนของทางเดินนี้นั้นอันตราย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะอยู่ตรงนี้นานเกินไป


 


 


โม่เทียนเกอมองนักพรตฟางเจิ้งเคาะไปตามทางเดินสั้นๆ และสำรวจดูทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง แต่นางก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว นางกำลังสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันมีอะไรไม่ถูกต้องกันแน่


 


 


อย่างแรก การผันผวนของพลังงานทางจิตวิญญาณที่แพร่กระจายออกมาจากหุบเขานั้นบริสุทธิ์ แต่ไม่เด่นสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย หากผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าผ่านบริเวณนี้ พวกเขาอาจจะไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาลงมาในหุบเขา ก็แทบจะไม่สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้ด้วยระดับการฝึกตนปัจจุบันของตัวเอง ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณถูกกีดกันจากการเข้าหุบเขานี้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังคงจะสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างสบายๆ และอย่างสุดท้าย มีม่านพลังมายาอยู่ ผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ผ่านการเอาชนะอุปสรรคที่รู้จักกันว่าเป็นมารภายในจิตใจของพวกเขาในระหว่างการก่อขุมพลังมาแล้ว ดังนั้นต่อให้พวกเขาไม่สามารถทำลายม่านพลังลงได้ ก็คงจะแค่ต้องเผชิญประสบการณ์เลวร้ายโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ คงไม่ได้เจอผลลัพธ์สุดสลดเหมือนอย่างเช่นพวกเขาแน่ที่มีคนตายหกคนและบาดเจ็บหนึ่งคน


 


 


ประเด็นเหล่านี้ส่งผลให้สรุปได้อย่างเดียว ถึงแม้เจ้าของหุบเขาแห่งนี้จะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร แต่ทุกแง่มุมของหุบเขานี้ถูกเล็งเป้ามาที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ทางเดินนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งกีดขวางสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ไม่ว่าโม่เทียนเกอจะคิดถึงมันอย่างไร แต่ทางเดินนี้กลับไม่เข้ากับการคาดคะเนของนางเลย


 


 


หากเป็นเช่นนั้น… ถ้าไม่ใช่ว่าทางเดินนี้เป็นของปลอมและมีอีกเส้นทางหนึ่งที่จะพาพวกเขาไปสู่ขั้นต่อไปได้ ก็คงเป็นเพราะเจ้าของของสถานที่แห่งนี้จิตวิปริตเกินไปและจงใจสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา


 


 


พอถึงเวลาที่โม่เทียนเกอคิดมาถึงประเด็นนี้ อีกความคิดหนึ่งก็วาบผ่านจิตใจนางเช่นกัน หุบเขานี้เป็นสถานที่แบบไหนกัน ดูจากม่านพลังมายาในหุบเขาและโครงสร้างของทางเดินนี้ที่เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์ เจ้าของสถานที่นี้ต้องมีระดับการฝึกตนสูงมากอย่างเห็นได้ชัด ตามการคาดการณ์ของนาง คนผู้นั้นน่าจะอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่เป็นอย่างต่ำ ถ้ำเซียนที่ถูกทิ้งไว้โดยผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่โดยปกติแล้วมักจะน่าดึงดูดสำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นๆ ด้วยกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าของสถานที่นี้ดูเหมือนว่าจะจงใจดึงดูดผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานอย่างแน่นอน


 


 


โม่เทียนเกออดรู้สึกกลัวไม่ได้ขณะที่นางคิด ถ้ำเซียนนี้เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน ตามหลักเหตุผลแล้วไม่ควรจะมีจุดประสงค์มุ่งร้ายใดๆ เหลืออยู่ที่นี่อีก แต่จะอธิบายการกระทำของเจ้าของสถานที่นี้ได้ว่าอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับพวกผู้ฝึกตนที่ตายจากฤทธิ์ของหินจันทราเวทมนตร์ จงใจดึงดูดผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานมาแล้วจากนั้นก็บีบให้พวกเขาต้องตายที่นี่ เจ้าของสถานที่นี้จะได้อะไรจากการทำเช่นนี้หรือ หรือพวกเขาแค่จิตวิปริตจริงๆ


 


 


ความสนใจวิปริตที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตมนุษย์มันโหดร้ายเกินไป!


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย!” จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดีใจของนักพรตฟางเจิ้ง


 


 


โม่เทียนเกอหันไปหานักพรตฟางเจิ้งและเห็นเขากำลังชี้ไปที่จุดหนึ่งบนกำแพงหิน เขาพูดว่า “ดูสิ มีประตูอยู่ตรงนี้”


 


 


โม่เทียนเกอก้าวไปหาเขาจากนั้นจึงตรวจสอบกำแพงดูอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่ามีรอยแตกอย่างประณีตที่ดูเหมือนจะทำให้เกิดประตูบนกำแพง


 


 


“ขอข้าลองหน่อย” นักพรตฟางเจิ้งพูดก่อนจะถอยไปสองสามก้าว ด้วยการโบกแส้หางม้าของเขา เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณเส้นเล็กๆ กระเพื่อมไปด้านหน้าและชนเข้ากับประตูอย่างแรง


 


 


เสียงสะท้อนหนักๆ ดังขึ้น ประตูถูกผลักเปิดออกได้อย่างง่ายดาย


 


 


โม่เทียนเกอตกตะลึง นี่… ดูจะง่ายเกินไปหน่อย


 


 


ทั้งสองคนมองข้างในอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องหินขนาดเล็กกว่าห้องโถงแต่ใหญ่กว่าห้องหินในถ้ำเซียนทั่วไปเล็กน้อย มันดูเหมือนกับห้องโถงเล็กๆ ไม่มีอะไรอยู่ภายในนอกจากรูปปั้นหินสลักหลายชิ้นและที่ห้อยอยู่บนเพดานคือหินทรงกลมก้อนใหญ่หลายก้อนที่ส่องแสงให้ทั่วทั้งห้อง


 


 


“หินสุริยัน!” นักพรตฟางเจิ้งอุทาน


 


 


“หินสุริยัน” โม่เทียนเกอพูดตามด้วยความงุนงง


 


 


“ถูกต้อง!” รอยยิ้มกว้างเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าของนักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตเยี่ย ด้วยหินสุริยันพวกนี้ การเดินทางครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วแม้เราจะหันหลังกลับตอนนี้ก็เถอะ”


 


 


“เช่นนั้นหรือ”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งอธิบาย “สำหรับพวกเราผู้ฝึกตน หินจันทราแค่ทำหน้าที่เสมือนแสงสว่าง เหมือนอย่างแสงสว่างในโลกมนุษย์ อย่างไรก็ตาม หินสุริยันสามารถผลิตสิ่งที่เทียบเท่าได้กับแสงอาทิตย์และถึงขนาดผลิตไฟสุริยันได้ด้วยซ้ำ!”


 


 


สิ่งที่เทียบเท่าได้กับแสงอาทิตย์! ไฟสุริยัน!


 


 


โม่เทียนเกอแค่ต้องคิดนิดหน่อยก็เข้าใจได้ว่าหินสุริยันพวกนี้มีค่ามากขนาดไหน ไฟสุริยันคือหนึ่งในไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามที่ใช้ในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือ ในโลกแห่งการฝึกตน ไฟที่ใช้ในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือจะถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถัน ผู้ฝึกตนสามารถใช้ไฟตานเถียนได้ แต่การทำเช่นนั้นจำเป็นต้องใช้พลังงานทางจิตวิญญาณมากเกินไป แม้แต่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็คงรู้สึกอ่อนแรงถ้าพวกเขาใช้ไฟตานเถียนเป็นเวลานาน สืบเนื่องจากเรื่องนี้ ตราบใดที่ผู้ฝึกตนมีวิธีการ พวกเขาก็จะใช้แหล่งกำเนิดไฟจากภายนอกอย่างแน่นอน


 


 


แหล่งกำเนิดไฟจากภายนอกที่ว่านี้รวมถึงไฟสวรรค์และไฟโลกีย์ ไฟสวรรค์คือไฟจากดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม การใช้ไฟจากดวงอาทิตย์เกี่ยวข้องกับม่านพลังและเครื่องมือที่ค่อนข้างซับซ้อน สำหรับไฟโลกีย์นั้น อดีตภูเขาเทียนหั่วของโรงเรียนตานติ่งคือตัวอย่างของไฟโลกีย์ ไฟสวรรค์ที่ดีที่สุดคือไฟสุริยันขณะที่ไฟโลกีย์ที่ดีที่สุดคือไฟขั้วโลก นอกจากนี้ยังมีไฟสมาธิซึ่งเป็นไฟที่ดีที่สุดและเหนือกว่าไฟอีกสองประเภท ไฟทั้งสามประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันในนามไฟแท้ที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม


 


 


ไฟสมาธิมีปรากฏอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น เป็นเวลาหลายปีแล้วตั้งแต่ที่มีคนเห็นครั้งส่าสุด และแม้แต่วิธีที่ใช้มันก็สูญหายไปด้วย เพราะฉะนั้นไฟภายนอกที่ดีที่สุดในการปรุงยาวิเศษและขัดเกลาเครื่องมือจึงมีเพียงแค่ไฟสุริยันและไฟขั้วโลกเท่านั้น


 


 


หากหินสุริยันพวกนี้สามารถผลิตไฟสุริยันได้จริง มูลค่าของมันก็เทียบเท่ากับเส้นเลือดไฟโลกีย์ขนาดเล็กได้อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้านำออกขายในตลาด ราคาของมันมีแนวโน้มว่าจะมากกว่าหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณต่อก้อน!


 


 


ถ้าเป็นเช่นนั้น การเดินทางของพวกเขาจะถือว่าแค่ “คุ้มค่า” กับหินสุริยันเหล่านี้ในมือได้อย่างไร นี่มันโชคหล่นทับพวกเขาชัดๆ!


 


 


อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอไม่คิดว่าพวกเขาจะขโมยหินสุริยันพวกนี้ไปได้อย่างง่ายดายนัก ดูจากอุปสรรคที่พวกเขาเผชิญมาก่อน มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรงมากมายในครั้งนี้


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับนาง ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปต่อด้วยความระมัดระวังขั้นสุด ขั้นแรกพวกเขาปล่อยนกออกไปเพื่อให้ช่วยพวกเขาหาเส้นทางที่ปลอดภัย เพียงหลังจากที่พวกเขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรพวกเขาถึงเข้าไปในห้องหิน


 


 


แต่ทันทีที่กำลังจะเริ่มตรวจดูแผ่นหินที่ทางเข้าห้อง จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังกึกก้อง ในชั่ววินาที ประตูหินด้านหลังพวกเขาตกลงมาและปิดลงเอง ทั้งสองคนไม่มีเวลาทันจะตอบสนองและถูกขังอยู่ภายในห้อง ณ ตอนนี้


 


 


หลังจากตกใจในตอนแรก โม่เทียนเกอสงบสติอารมณ์ลงทันที มันคงจะทะแม่งๆ อยู่เหมือนกันถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย พวกเขาเผชิญกับอันตรายมามากในการเดินทางครั้งนี้ ถ้ามีทรัพย์สมบัติอะไรอยู่ข้างหน้าและปล่อยให้พวกเขาเอาออกไปได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะก็ มันก็คงจะมีกับดักที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าอยู่เบื้องหลังแน่นอน


 


 


ขณะที่ทั้งสองคนยืนนิ่ง โม่เทียนเกอถามขึ้น “สหายนักพรตฟางเจิ้ง เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่”


 


 


นักพรตฟางเจิ้งลูบเคราของเขา “เราเผชิญกับอากาศพิษ ลมพายุ ม่านพลังมายา หินจันทราเวทมนตร์ และแต่ละอย่างก็ล้วนแล้วแต่อันตรายถึงตาย ข้าเกรงว่าอุปสรรคนี้จะพิชิตได้ไม่ง่ายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราวิเคราะห์มันให้ถี่ถ้วนขึ้น อากาศพิษและลมพายุมีไว้เพื่อทดสอบทักษะการป้องกันตัวของเรา ม่านพลังมายามีไว้เพื่อทดสอบนิสัยและอำนาจจิตของเรา และทางเดินที่เต็มไปด้วยหินจันทราเวทมนตร์มีไว้เพื่อดูว่าเราสามารถรับมือกับความเย้ายวนของทรัพย์สมบัติได้หรือไม่ และเราสามารถควบคุมตนเองโดยไม่เสียสติไปได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีอุปสรรคไหนเลยที่ทดสอบความสามารถในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของเรา ข้าคิดว่า… มีโอกาสสูงมากที่–”


 


 


ก่อนเขาจะทันพูดจบ จู่ๆ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูเหมือนภูเขากำลังแตกสลาย ประหนึ่งว่ามีบางอย่างกำลังกระแทกกับกำแพงหินอย่างแรง


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอมองกลับไป นางก็พบแหล่งที่มาของเสียง รอยย่นปรากฏขึ้นที่คิ้วนาง


 


 


รูปปั้นหินสลักรูปแรกที่พิงอยู่กับกำแพงของห้องหินนี้จู่ๆ ก็ก้าวมาข้างหน้าทันทีและเริ่มเดินเข้ามาหาพวกเขา


 


 


นักพรตฟางเจิ้งที่เห็นเหมือนกันถึงกับอ้าปากค้าง


 


 


พวกเขาไม่ได้สนใจรูปปั้นหินสลักมากนัก ย้อนไปเมื่อตอนแรกที่พวกเขาเห็นมัน พวกเขาแค่คิดว่ามันเป็นแค่ของตกแต่งเหมือนอย่างภาพจิตรกรรมบนฝาผนัง แต่ในชั่วพริบตามันก็เคลื่อนไหวได้จริงราวกับมันเป็นสิ่งมีชีวิต!


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย นี่มัน…”


 


 


โม่เทียนเกอเริ่มใช้พลังงานวิญญาณป้องกันร่างกายและเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาพร้อมกับกระสวยอัปสรา


 


 


คำตอบของสิ่งที่อุปสรรคนี้จะทดสอบได้ปรากฏขึ้นแล้ว เป็นไปตามที่นักพรตฟางเจิ้งเดาไว้ ความสามารถในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของพวกเขาจะต้องถูกทดสอบในครั้งนี้!


 


 


รูปปั้นหินสลักนี้มีขนาดสูงกว่าห้าจั้งซึ่งสูงกว่าคนธรรมดาถึงสองเท่า ลักษณะหน้าตาของมันแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน มันมีรูปลักษณ์ของนักสู้ศิลปะป้องกันตัว แต่ละส่วนของเกราะป้องกันบนร่างกายพรรณนาออกมาให้เห็นได้ชัดเจนและแม้แต่รูปแบบลายเส้นที่แกะสลักอยู่บนกระบี่หินในมือของมันก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อครู่นี้มันยังไม่มีพลังงานทางจิตวิญญาณแม้แต่นิดเดียว แต่บัดนี้ อย่างไรก็ตาม มันกลับเปี่ยมล้นไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณซึ่งทำให้มันดูเหมือนผู้ฝึกตนในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน


 


 


สมองโม่เทียนเกอคิดด้วยความเร็วแสง นางและนักพรตฟางเจิ้งอยู่ในขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งคู่ ถึงแม้ว่ารูปปั้นหินสลักนี้จะเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสูงสุด แต่อย่างไรเสียมันก็ตายแล้วและร่างของมันก็หนัก คาดว่าคงไม่น่าจะยากเกินไปในการเอาชนะมัน อย่างไรก็ตาม ทุกย่างก้าวที่รูปปั้นหินสลักตัวนี้เดินก่อให้เกิดเสียงดังครึกโครม เพราะฉะนั้นมันจึงน่าจะค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว นางต้องระวังตัวไม่สู้กับมันด้วยแรงกาย


 


 


ขณะที่นางกำลังใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง รูปปั้นหินสลักตัวนั้นก็ได้เคลื่อนเข้ามาทีละก้าวจนกระทั่งมาถึงตรงหน้าพวกเขา มันยกมือขึ้นและจากนั้นกระบี่หินของมันก็ถูกเหวี่ยงมาที่พวกเขาอย่างไม่ปรานี 

 

 


ตอนที่ 166 ศาสตร์แห่งการช่าง

 

ทั้งสองคนไม่มีใครกล้าที่จะสู้กับกระบี่หินเล่มนั้นซึ่งๆ หน้า จังหวะที่รูปปั้นหินสลักแกว่งมันมาทางพวกเขา ทั้งโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งต่างหลบออกข้างทาง ก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้องและแผ่นหินบนพื้นบริเวณนั้นแตกกระจาย 


 


 


ท่าทางของโม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งเปลี่ยนไป พวกเขารู้ว่าวัสดุในถ้ำเซียนของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่รูปปั้นหินสลักนี้สามารถเจาะทะลุได้อย่างง่ายดายด้วยการโจมตีที่ดูเหมือนจะไม่มีพลังอะไรมากนักในครั้งเดียว พวกเขาสงสัยว่าเขาจะสามารถทำได้ด้วยเช่นกันหรือไม่ แต่คำตอบก็ชัดเจนว่าพวกเขาไม่สามารถทำได้ 


 


 


กระนั้นพวกเขาไม่มีเวลาคิดใคร่ครวญมากนักเพราะรูปปั้นหินสลักกวัดแกว่งกระบี่ของมันอีกครั้ง เหมือนกับครั้งแรก พลังในการโจมตีนั้นสูงมากทีเดียว 


 


 


แต่ก็อย่างที่พวกนางคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ถึงแม้ว่ามันจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง แต่การเคลื่อนไหวของรูปปั้นหินสลักนี้ก็ช้ามากเนื่องมาจากรูปร่างที่หนัก ในขณะที่ความเร็วนั้นเป็นจุดแข็งของโม่เทียนเกอ!  


 


 


โม่เทียนเกอก้าวขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและเหาะขึ้น หลบเลี่ยงรูปปั้นหินสลักได้อย่างสิ้นเชิง 


 


 


ในเสี้ยววินาที นักพรตฟางเจิ้งตัดสินสถานการณ์ของพวกเขาในปัจจุบันอย่างเร็ว หลังจากที่เขาหลบการโจมตีครั้งที่สองของรูปปั้นหินสลัก เขากวัดแกว่งแส้หางม้าในมือของเขา เส้นขนในแส้เปลี่ยนเป็นเส้นไหมยาวจำนวนมากทิ่มแทงเข้าสู่รูปปั้นหินสลักนั้น 


 


 


จากสิ่งที่โม่เทียนเกอเห็น แส้หางม้าของนักพรตฟางเจิ้งไม่ได้เป็นเครื่องมือเวทที่อยู่ในระดับสูงนัก นางไม่รู้ว่านักพรตฟางเจิ้งทำให้มันศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แต่ถือว่าทรงพลังมาก เส้นไหมที่แปรเปลี่ยนจากขนหางม้านั้นคล้ายกับเข็มบินได้ของโม่เทียนเกอที่ใช้ในการซุ่มโจมตีอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม เข็มบินได้ของนางคือวัตถุที่เป็นรูปธรรมในขณะที่เส้นขนของแส้นั้นเป็นนามธรรม ความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่การระเบิดออกของพลังงานทางจิตวิญญาณ 


 


 


เส้นไหมจากแส้จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว มันช้าเกินไปสำหรับรูปปั้นหินสลักที่จะหลบหรือบางทีก็ไม่ได้คิดที่จะหลบอยู่แล้วแม้แต่น้อย ดังนั้นทั้งร่างของมันจึงล้มลงอยู่ในระยะเส้นไหมนั้น 


 


 


พลังงานทางจิตวิญญาณกระเพื่อมขึ้นลง ฝุ่นหนาทึบฟุ้งกระจาย โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งตกใจแต่ทั้งสองคนก็ล่าถอยไปด้านหลัง พวกเขากลั้นใจพร้อมสะบัดแขนเสื้อพวกเขาไปมา ถ้ำเซียนนี้ถูกปิดมาเป็นระยะเวลานานหลายปี ดังนั้นรูปปั้นหินสลักจึงถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นมาช่วงเวลาหนึ่ง การโจมตีของนักพรตฟางเจิ้งส่งผลให้ฝุ่นเหล่านั้นฟุ้งกระจายในอากาศไปทั่ว!  


 


 


ทั้งสองคนรู้สึกทั้งอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปในเวลาเดียวกัน พวกเขาพลาดในการโจมตีครั้งแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองที่รูปปั้นหินสลัก ท่าทางของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง มันไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย!  


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย!” สีหน้านักพรตฟางเจิ้งดูขรึมลง “การป้องกันของเจ้าสิ่งนี้นับว่าเยี่ยมยอด การโจมตีของพวกเราคงไร้ประโยชน์” ในขณะที่โม่เทียนเกอไม่รู้ นักพรตฟางเจิ้งได้อุตสาหะฝึกวิชาแส้หางม้าของเขาจนเชี่ยวชาญมามากกว่าร้อยปี ถ้ามันปะทะเข้ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้าย มันน่าจะทำลายเกราะป้องกันออกไปได้ แต่น่าแปลกใจที่รูปปั้นหินสลักกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย!  


 


 


หลังจากที่นักพรตฟางเจิ้งพูดจบ รูปปั้นหินสลักก็หยุดไปครู่หนึ่งเสมือนว่ามันกำลังฟังพวกเขา วินาทีถัดมา มันก็เปลี่ยนเส้นทาง แกว่งกระบี่ไปที่นักพรตฟางเจิ้งทันที 


 


 


การโจมตีของกระบี่นี้ทรงพลังอย่างมาก นักพรตฟางเจิ้งหลบการโจมตีแต่เขาก็ยังคงบาดเจ็บจากพลังของกระบี่ซึ่งส่งผลให้เขาส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด 


 


 


โม่เทียนเกอลงมืออย่างไม่รอช้า กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นรังสีสีทองมากมายซึ่งเคลื่อนไปยังรูปปั้นหินสลักเพื่อมัดมันจากข้างใต้ 


 


 


มีเสียงดังฉ่าออกมาเล็กน้อย สีหน้าโม่เทียนเกอหม่นหมอง รังสีสีทองของกระสวยอัปสราไม่ได้ทิ้งร่องรอยบนรูปปั้นหินสลักแม้แต่น้อย!  


 


 


ตั้งแต่ที่นางได้รับกระสวยอัปสรามา นางพึ่งพาเครื่องมือเวทนี้อย่างเต็มที่ ภายหลัง นางได้ยินจากประมุขเต๋าจิ้งเหอว่าส่วนประกอบหลักของเครื่องมือนั้นคือทองคำเข้มข้นอายุกว่าพันปีซึ่งแทรกซึมอยู่ในศิลาสวรรค์ เพื่อที่มันจะได้ใช้ในการต่อสู้กับอาวุธเวท มันคือเครื่องมือเวทที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นสำหรับฉินโส่วจิ้งในตอนที่เขาเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานได้ โดยปกติแล้วเมื่อทองคำเข้มข้นพันปีถูกใช้ในการสร้างกระบี่บินได้ มันจะช่วยทำให้กระบี่นั้นคมมากขึ้น และเพราะสิ่งนั้น ถึงแม้ว่ากระสวยอัปสราจะไม่ได้มีคมดาบ แต่ก็ยังคงแหลมคม จนถึงตอนนี้โม่เทียนเกอยังไม่เคยเผชิญกับสิ่งที่รังสีสีทองไม่สามารถตัดออกได้เลย 


 


 


แต่การเผชิญกับรูปปั้นหินสลักนี้ กระสวยอัปสรากลับไร้ประโยชน์อย่างไม่คาดคิด!  


 


 


ท่าทางของโม่เทียนเกอดูมืดมน ชั่วขณะหนึ่งนางไร้ซึ่งหนทางว่าจะต้องทำอะไร อย่างไรก็ตามนักพรตฟางเจิ้งผู้ซึ่งกำลังดิ้นรนจากการโจมตีของรูปปั้นหินสลักตะโกนออกมา “ใช้คาถา! ใช้คาถาโจมตีมัน!”  


 


 


โม่เทียนเกอตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาตะโกนบอก แต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา นางก็ตอบสนอง นางเรียกกระสวยอัปสรากลับหลังจากนั้นจึงประกบมือเพื่อเสกคาถาวายุเยือกแข็ง 


 


 


ก้อนหินมาจากดิน ไม้เป็นส่วนหนึ่งของดิน ลมมาจากไม้ น้ำให้ความชุ่มชื่นแก่ไม้ 


 


 


คาถาวายุเยือกแข็งนี้เป็นคาถาที่ซับซ้อนของธาตุทั้งห้า มันรวมธาตุน้ำและธาตุไม้เข้าด้วยกัน น้ำช่วยกักเก็บและไม้เป็นส่วนหนึ่งของดิน ความเร็วของรูปปั้นหินสลักนี้ค่อนข้างช้าและคาถาวายุเยือกแข็งนี้ได้แทงทะลุเข้าตรงจุดอ่อนของมัน 


 


 


เมื่อคาถาวายุเยือกแข็งกระทบเข้า รูปปั้นหินสลักก็กลายเป็นเฉื่อยชา ความเร็วช้าลงกว่าเก่าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งและพลังของกระบี่นั้นจะน่าประหลาดใจแค่ไหน ความเร็วของมันก็ยังช้าเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่สามารถโจมตีพวกนางได้อีกต่อไป อย่างน้อยนักพรตฟางเจิ้งก็สามารถหลบมันพ้น 


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย” นักพรตฟางเจิ้งหายใจอย่างหนักหน่วง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นสาหัส “ดินข่มน้ำ พวกเราจะต้องใช้คาถาเลื้อยมัดแห่งธาตุไม้โดยตรงและรัดมันไว้! ข้าลองมาก่อนแล้ว พลังของกระบี่จะพุ่งมาในทางตรงเท่านั้น พวกเราจะไม่เป็นไรตราบใดที่หลบพ้น”  


 


 


เมื่อได้ยินสิ่งที่นักพรตฟางเจิ้งพูด โม่เทียนเกอยังคงนิ่งเงียบและพยักหน้า นางหยุดใช้คาถาวายุเยือกแข็ง นางประกบมือลดพลังงานทางจิตวิญญาณลงและเริ่มใช้คาถาแห่งธาตุไม้ระดับสูง–เสียงแห่งไม้ร่วงหล่น 


 


 


ใบไม้แห้งนับไม่ถ้วนลอยขึ้นพร้อมกับลมหวีดหวิวที่พัดเข้ามา เถาวัลย์มากมายงอกออกมาจากพื้นเกี่ยวพันที่รูปปั้นหินสลัก พลังงานทางจิตวิญญาณแห่งธาตุไม้ถูกปล่อยใส่มันอย่างโหดเ**้ยม 


 


 


ภายใต้ลำแสงสีเขียวที่ท่วมท้นอยู่ รูปปั้นหินสลักถูกมัดจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ มันอยากจะกวัดแกว่งกระบี่ของตัวเอง แต่เถาวัลย์ขดม้วนไปที่มือข้างที่ใช้สำหรับกวัดแกว่งกระบี่และหยุดการเคลื่อนไหวของมันโดยตรง รูปปั้นหินสลักซึ่งไม่ว่าจะเป็นแส้หางม้าหรือกระสวยอัปสราก็ไม่สามารถแตะต้องมันได้ ในที่สุดก็ถูกทำให้อ่อนกำลังลงด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณแห่งธาตุไม้ 


 


 


แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ถึงแม้ว่ารูปปั้นหินสลักจะถูกทำให้อ่อนกำลังลงจากการใช้พลังงานทางจิตวิญญาณแห่งธาตุไม้ แต่ระดับการฝึกตนของโม่เทียนเกอก็ยังไม่ได้สูงมากพอ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทำให้มันล้มลงได้ในทันที รูปปั้นหินสลักนี้ครอบครองพละกำลังที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะถูกมัดอยู่ โม่เทียนเกอก็ยังจะต้องใช้พลังมากมายทีเดียว 


 


 


“สหายนักพรตฟางเจิ้ง!” โม่เทียนเกอผู้ซึ่งสัมผัสได้ว่าพลังงานทางจิตวิญญาณของนางลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเหนือไปจากขมวดคิ้วแน่น “คาถานี้ใช้พลังงานทางจิตวิญญาณมากมายเหลือเกิน ข้าไม่สามารถที่จะทำให้มันคงอยู่ได้นานนัก!”  


 


 


นักพรตฟางเจิ้งทำตามโดยประกบมือของเขาและร่ายคาถาแห่งธาตุไม้ 


 


 


ตอนนี้นางได้ความช่วยเหลือจากนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอรู้สึกว่าทุกอย่างง่ายขึ้นเล็กน้อย นางไม่เคยเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่พึ่งพาพละกำลังที่ยากจะจัดการได้เช่นนี้มาก่อน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่รูปปั้นหินสลักซึ่งไม่ได้มีความฉลาดเฉลียวอะไร มันก็ยังคงยากอย่างที่สุดที่จะต่อกรด้วย ตอนที่นางต้องเผชิญเข้ากับอินทรีสองหัวระดับห้าในช่วงเวลาของการจลาจลสัตว์ปีศาจ ระดับการฝึกตนของนางต่ำกว่านี้แต่นางก็ยังไม่ได้รู้สึกไร้ทางสู้เช่นในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยที่คนจากอดีตกาลมักจะพูดว่า “ทุกทักษะล้วนไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งไร้ขอบเขต วิชายากที่สุดที่จะจัดการได้คือการไร้ซึ่งวิชา”  


 


 


ฉาบไปด้วยแสงสีเขียว รูปปั้นหินสลักหันกลับอีกครั้งและหยุดฟัง ดูเหมือนกับว่ามันกำลังพิจารณาว่าพลังงานทางจิตวิญญาณนั้นมาจากที่ไหน 


 


 


บางสิ่งบางอย่างแวบเข้ามาที่จิตใจของโม่เทียนเกอ นางยกมือขึ้นแล้วเขวี้ยงกระสวยอัปสราออกไปอีกครั้ง มันเปลี่ยนเป็นเส้นไหมยาวสีทองอีกครั้งและพุ่งแทงเข้าไปที่หูของรูปปั้นหินสลักอย่างไม่คาดคิด!  


 


 


ครั้งนี้ เส้นไหมทองไร้ซึ่งการขัดขวาง มันแทงเข้าไปที่หูของรูปปั้นหินสลักจากฝั่งหนึ่งทะลุออกไปยังอีกด้านหนึ่ง เกิดเป็นเสียงดังแก๊ก! เบาๆ รูปปั้นหินสลักดูเหมือนจะลำบากมากกว่าเก่า และการเคลื่อนไหวของมันก็หยุดลง โม่เทียนเกอหยุดท่องคาถาและมุ่งไปที่การควบคุมกระสวยอัปสรา 


 


 


เสียง ปัง! สะท้อนก้องอยู่ในหูของพวกเขา ไม่นานนักแรงเคลื่อนไหวของรูปปั้นหินสลักก็หายไปและในที่สุดมันก็หยุดเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตาม มันปล่อยเส้นใยของพลังงานทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาดออกมา 


 


 


นักพรตฟางเจิ้งถอนใจอย่างโล่งอก “สหายนักพรตเยี่ย ท่านรู้ได้อย่างไรว่าจุดอ่อนของมันอยู่ที่หู”  


 


 


ในขณะที่เช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าออก โม่เทียนเกอตอบ “สหายนักพรตไม่รู้หรือ… ทุกครั้งที่มันเคลื่อนไหว มันจะต้องคอยฟังเสียงของพวกเราก่อนเสมอ”  


 


 


“… เข้าใจแล้ว…” นักพรตฟางเจิ้งนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาคิด “แน่นอนอยู่แล้ว ผู้หญิงย่อมพิถีพิถันกว่า” ถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่ามีบางสิ่งบางผิดปกติ แต่เขาเองก็ไม่นึกว่าหูจะเป็นจุดอ่อนของมันเช่นกัน 


 


 


หลังจากที่เก็บกระสวยอัปสราและผ้าเช็ดหน้าไหมขาว โม่เทียนเกอมองที่นักพรตฟางเจิ้ง “สหายนักพรตฟางเจิ้ง อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


นักพรตฟางเจิ้งรีบกลืนยาวิเศษพร้อมส่ายหัว “อย่าได้สนใจข้า มันไม่ได้สาหัสนัก”  


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้ถามต่อ นางเดินไปทางรูปปั้นหินสลักหลังจากนั้นจึงก้มลงเพื่อพิจารณามัน 


 


 


ตอนที่นางใช้กระสวยอัปสรา นางสัมผัสได้ว่าภายในรูปปั้นหินสลักนี้ไม่ใช่หิน อย่างไรก็ตาม… เห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายนอกของมันเป็นหินชิ้นเดียว มันไม่มีรอยเปิดแม้แต่น้อย 


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเดินมาอยู่ด้วยเช่นกันเมื่อเขากินยาวิเศษของเขาเสร็จ เขาพูด “แปลก… รูปปั้นหินสลักนี้แข็งเป็นอย่างมาก เราจะเปิดมันออกได้อย่างไร”  


 


 


โม่เทียนเกอเอียงหัวในขณะที่นางครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากนั้นนางจึงเริ่มคลำไปรอบๆ หัวของรูปปั้นหินสลัก 


 


 


ไม่มีรอยต่อที่แสดงให้เห็นถึงข้อต่อแม้แต่น้อย แต่มันมีร่องรอยของการหล่อ ในทางกลับกัน รูปปั้นหินสลักนี้อาจจะถูกหลอมมา นางสงสัยว่าไฟอันแท้จริงประเภทไหนที่จะใช้ในการหลอมหินที่แข็งเช่นนี้ 


 


 


“นี่สามารถเป็นศาสตร์แห่งการช่างได้หรือไม่” โม่เทียนเกอบ่นพึมพำ 


 


 


ในโลกแห่งการฝึกตนปัจจุบันนี้ ศาสตร์แห่งการช่างหายไปนานมากแล้ว มีเพียงแค่เสียงกระซิบที่บอกว่าบางคนสามารถสร้างหุ่นเชิดในระดับการหลอมรวมพลังงานทางจิตวิญญาณได้ หุ่นเชิดเหล่านั้นใช้เพื่อให้คอยดูแลที่พักอาศัยหรือยกน้ำชาให้กับแขก แต่ความสามารถในการต่อสู้นั้นค่อนข้างอ่อนแอ 


 


 


เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปปั้นหินด้านหน้าของพวกเขาไม่ได้คงอยู่ด้วยพลังงานทางจิตววิญญาณจากภายนอก แต่ระดับการฝึกตนของมันอยู่ในขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ถ้ามันคือศาสตร์แห่งการช่างมันน่าจะสูญหายไปนานแล้วไม่ใช่หรือ 


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย ท่านรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่างด้วยหรือ” นักพรตฟางเจิ้งผู้ซึ่งได้ยินนางรำพึงถามด้วยความสงสัย 


 


 


โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมองที่เขา “ข้าอ่านพบในหนังสือ บางทีท่านสหายนักพรตฟางเจิ้งน่าจะเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์นี้”  


 


 


นักพรตฟางเจิ้งยิ้มอย่างบูดเบี้ยว “ข้าจะไปทราบได้อย่างไร ศาสตร์แห่งการช่างหายสาบสูญไปนานมากแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนเดี่ยว จะไปเรียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าก็เป็นเพียงคนแก่คนหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่มานานแล้วดังนั้นข้าจึงได้ยินอะไรมามากมาย ข้าเองก็เคยได้ยินมาบ้างเล็กน้อยเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่างนี่”  


 


 


“โอ้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านสหายนักพรตคิดอย่างไรเกี่ยวกับรูปปั้นหินสลักนี้ มันทำจากศาสตร์แห่งการช่างหรือไม่”  


 


 


“เป็นไปได้มาก” นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า “ผู้ฝึกตนสามารถใชัพลังงานทางจิตวิญญาณของตัวเองควบคุมหุ่นเชิดได้เช่นกัน นั่นไม่ใช่ศาสตร์แห่งการช่าง อย่างไรก็ตามเจ้าสิ่งนี้สามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลแม้กระทั่งไม่มีคนควบคุม นี่จะต้องเป็นศาสตร์แห่งการช่างแน่นอน”  


 


 


โม่เทียนเกอคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นก็หมายความว่า… เจ้าของสถานที่แห่งนี้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในศาสตร์แห่งการช่างงั้นหรือ 


 


 


หลังจากจ้องมองอยู่ที่รูปปั้นหินสลักเป็นเวลานาน โม่เทียนเกอจึงพูดขึ้น “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ข้าอยากจะเก็บสิ่งนี้ไว้ ถ้ามีสิ่งของใดต่อไป ท่านสามารถเลือกได้ก่อน จะได้หรือไม่”  


 


 


“ก็…” นักพรตฟางเจิ้งลังเล เขาก็อยากจะได้รูปปั้นหินสลักนี้เช่นกัน ถ้ามันถูกนำออกไปข้างนอก เขาก็จะสามารถขายมันให้กับกลุ่มหรือตระกูลผู้ฝึกตน สำหรับคนที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการช่าง หุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสูงสุดน่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยหลายพันศิลาวิญญาณจริงไหม อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอดูตั้งใจจริงเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้ต้องการทำให้นางขุ่นเคืองและอีกอย่าง นางก็ได้ให้สัญญากับเขาถึงผลประโยชน์บางอย่าง ในเมื่อเขาจะสูญเสียเพียงแค่ศิลาวิญญาณเท่านั้น เขาจึงพยักหน้า “ตกลง นี่ก็คงจะไม่ได้มีค่าอะไรนักสำหรับข้า ดังนั้นหากสหายนักพรตต้องการมัน สหายนักพรตจงเก็บไว้เถิด”  


 


 


รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ นางเก็บรูปปั้นหินสลักใส่ในกระเป๋าเอกภพและพูด “ขอบคุณท่านมาก ข้าจะรักษาสัญญา หากข้างหน้ามีสมบัติอันใด สหายนักพรตเอาไปได้เลย”  


 


 


นักพรตฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ เขากำลังคิดว่าจะพูดบางสิ่งบางอย่างที่สุภาพกลับไป แต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บางสิ่งบางอย่างเบื้องหลังนาง “สหายนักพรตเยี่ย ดูนั่น!”  


 


 


หลังจากที่ได้ยินนักพรตฟางเจิ้งร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก โม่เทียนเกอรีบหันกลับไปมอง ทันทีที่นางทำเช่นนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป!  


 


 


รูปปั้นหินสลักหลายตัวเริ่มเคลื่อนไหว!  


 


 


หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า รูปปั้นหินสลักห้าตัว!  


 


 


ทั้งสองคนหน้าซีดเผือด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ถึงจุดอ่อนของพวกมัน แต่พวกมันมีมากกว่าพวกเขาในตอนนี้!  


 


 


พวกเขาไม่มีเวลาที่จะคิดมากนัก โม่เทียนเกอบินขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศ กระสวยอัปสราเปลี่ยนเป็นรังสีสีทองซึ่งพุ่งเข้าสู่หูของหนึ่งในรูปปั้นหินสลักทันที 


 


 


รูปปั้นหินสลักตัวนั้นหยุดและยกกระบี่ของมันขึ้น พลังงานของกระบี่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ป้องกันรังสีสีทองของนางได้อย่างเต็มรูปแบบ 


 


 


โม่เทียนเกอกัดฟันแน่น ตอนที่รูปปั้นหินสลักตัวแรกติดกับจากคาถาแห่งธาตุไม้ของนางในขณะที่นางใช้กระสวยอัปสรา มันไม่สามารถตอบโต้ได้ทันที แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน! รูปปั้นหินสลักเหล่านี้อาจจะเคลื่อนไหวตอบสนองช้า แต่พลังงานของกระบี่พวกมันนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก มันสามารถป้องกันการโจมตีของนางได้ด้วยการแกว่งเพียงครั้งเดียว 


 


 


นางควรทำอย่างไร ความคิดนางหมุนอย่างรวดเร็ว กระนั้นนางก็ยังไม่สามารถคิดหาทางออกได้  

 

 


ตอนที่ 167 นักเดินทางจื่อเวย

 

มีรูปปั้นหินสลักทั้งหมดห้าตัวและระดับการฝึกตนของพวกมันล้วนอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั้งหมด 


 


 


โม่เทียนเกอมองพวกมันอย่างเร็วๆ ทีหนึ่งและทำการคำนวณอยู่ในใจ ในเมื่อประตูปิดแล้ว ตอนนี้ห้องก็ถูกปิดตาย พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาชนะรูปปั้นหินสลักพวกนี้ให้ได้ 


 


 


พวกเขารู้จุดอ่อนของรูปปั้นหินสลักพวกนี้อยู่แล้ว แต่ปัญหาตอนนี้คือการรับมือกับพลังกระบี่ของพวกมัน รูปปั้นหินสลักทั้งห้าแต่ละตัวมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเกินธรรมดา เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกมันเหวี่ยงกระบี่ พลังกระบี่ที่ครอบงำอยู่ของมันจะถักทอรวมกันขึ้นเป็นตาข่ายกระบี่ ถึงแม้พวกมันจะเชื่องช้าแต่กระสวยอัปสราของนางก็ยังไม่สามารถโค่นพวกมันลงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะรูปปั้นหินสลักพวกนี้ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง สิ่งของที่ส่งผลทางจิตอย่างตะเกียงเสน่ห์จึงไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก 


 


 


พวกเขาจะสามารถแยกกันทำลายแต่ละตัวได้ด้วยตัวเองไหม ความคิดนั้นผุดขึ้นในจิตใจโม่เทียนเกอกะทันหันและนางก็มองนักพรตฟางเจิ้งทันที “สหายนักพรต ข้าจะล่อพวกมันสี่ตัวให้ไขว้เขว เจ้าจัดการตัวสุดท้ายนะ”  


 


 


นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้าทันที “ตกลง!” ถ้านี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวคงไม่ยากนักในการทำลายพวกมันต่อให้ระดับการฝึกตนของเขาจะด้อยกว่าเล็กน้อยแต่เพราะเขารู้จุดอ่อนของพวกมันอยู่แล้ว”  


 


 


หลังจากเห็นพ้องต้องกันกับนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอบินขึ้นและลอยอยู่กลางอากาศ นางหยิบเอาเครื่องรางหลากหลายอันออกมาจากในกระเป๋าเอกภพพร้อมถอนหายใจ 


 


 


ในฐานะศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ นางจะขาดแคลนสมบัติไปได้อย่างไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้ประมุขเต๋าจิงเหอจะไม่ได้สั่งสอนนางในเรื่องการฝึกตน แต่เขาไม่เคยงกกับนางในเรื่องอื่นๆ เนื่องจากนางต้องออกจากเขารอบนี้ เขาก็ได้ให้สิ่งของที่ช่วยชีวิตไว้มากมาย แต่ก็แค่ก่อนหน้าช่วงเวลานี้นางมักจะคิดว่ามันคงจะดีที่สุดถ้านางจะรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วการพึ่งพาสิ่งของที่เขามอบให้มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาตนของนาง 


 


 


อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้นางกำลังปกป้องชีวิตตัวเองอย่างยากลำบาก ดังนั้นนางจึงต้องใช้วิธีการอะไรก็ได้ที่นางมีอยู่เป็นธรรมดา มิเช่นนั้นหากนางตายไป คงไม่ได้รับของตอบแทนอะไรอีกเป็นแน่!  


 


 


โม่เทียนเกอถือเครื่องรางอยู่ในมือ หลับตา จากนั้นพูดร่ายคาถาพึมพำ 


 


 


พร้อมกับการร่ายคาถา ทั้งร่างของนางเริ่มจะเปล่งแสงวิญญาณสีขาวราวหมอก แสงวิญญาณนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงการรวบรวมพลังงานทางจิตวิญญาณ ยิ่งพลังงานทางจิตวิญญาณเข้มข้นมากเท่าไหร่ แสงวิญญาณก็จะยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น เมื่อการร่ายคาถาของนางจบลง นางลืมตาทันทีและตะโกนว่า “ไปได้!”  


 


 


เครื่องรางระเบิดออกเป็นเปลวไฟจากนั้นเปลี่ยนรูปร่างเป็นไฟสี่แถวซึ่งกวาดไปทั่วรูปปั้นหินสลักทั้งสี่ตัวในทันที 


 


 


รูปปั้นหินสลักเหวี่ยงกระบี่ราวกับพวกมันต้องการจะฟันแถวของไฟ อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้การกระทำของมันไร้ผล ไฟสี่แถวไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด มันทะลวงผ่านพลังกระบี่ของรูปปั้นหินสลักในชั่วพริบตาและโอบล้อมตัวของรูปปั้นหินสลักเอาไว้ 


 


 


รูปปั้นหินสลักทั้งสี่ไร้การเคลื่อนไหว ยังคงประจำที่เหมือนเมื่อตอนพวกมันเงื้อกระบี่ขึ้น 


 


 


โม่เทียนเกอตะโกน “สหายนักพรตฟางเจิ้ง เร็วเข้า! ข้าทำแบบนี้ได้แค่ระยะเวลาหนึ่งก้านธูปเท่านั้น!”  


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอใช้กลเม็ดนี้ ทั้งห้องหินปกคลุมไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณทันที นักพรตฟางเจิ้งถึงกับตกตะลึงที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงนางตะโกนเรียก ราวกับคนที่ตื่นจากฝัน เขารีบจู่โจมเข้าใส่รูปปั้นหินสลักตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ 


 


 


นักพรตฟางเจิ้งโบกมือ ขว้างเครื่องรางไปข้างหน้าซึ่งที่จริงแล้วคือเครื่องรางธาตุไม้ ปฐพีหนาทึบถมธรณี 


 


 


ทันใดนั้นพื้นข้างใต้รูปปั้นหินสลักเปลี่ยนเป็นโคลนซึ่งพวยพุ่งขึ้นมาและกักขังมันไว้ 


 


 


รูปปั้นหินสลักแกว่งกระบี่ของมันอย่างมืดบอด อย่างไรก็ตาม มันจะฟันโคลนที่อยู่ใต้เขาได้อย่างไร นักพรตฟางเจิ้งฉวยโอกาสนี้ เขายกแส้หางม้าขึ้นทำให้ขนของแส้จำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นไปเหนือตัวรูปปั้นหินสลักและกักขังมันไว้อยู่ข้างใต้ 


 


 


ครั้งนี้รูปปั้นหินสลักแกว่งกระบี่ของมันเพื่อปัดขนออกและมันก็ทำสำเร็จ 


 


 


นักพรตฟางเจิ้งเรียกคืนขนแส้ทันที ไม่นานหลังจากนั้น เขาขว้างเครื่องรางมากมายออกไป 


 


 


เครื่องรางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแตกต่างจากของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ต่อให้คนคนนั้นจะร่ำรวยแต่พวกเขาก็ยังหาซื้อได้อย่างยากลำบาก แค่ท่านี้ท่าเดียวทำให้นักพรตฟางเจิ้งแทบจะหมดตัวแล้ว 


 


 


จากการโจมตีของเครื่อรางระดับสูงหลายอัน รูปปั้นหินสลักค่อยๆ เริ่มไม่สามารถยกกระบี่ของมันได้ ขนของแส้จำนวนมหาศาลพุ่งออกไปอีกครั้ง ขนสองเส้นทะลุเข้าไปในหูของรูปปั้นหินสลักโดยตรง หลังจากเสียงแตกกะเทาะไม่กี่ครั้ง รูปปั้นหินสลักก็หยุดนิ่งไม่ขยับในที่สุด 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางขว้างเครื่องรางไปอีกอันและร่ายคาถากักขังรูปปั้นหินสลักทั้งสี่ตัวอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษากันมากแล้วรอบนี้ นักพรตฟางเจิ้งเหวี่ยงแส้หางม้าของเขาเพื่อแทงเข้าที่หูของรูปปั้นหินสลัก 


 


 


รูปปั้นหินสลักทั้งสี่ตัวล้มลงไปตามๆ กัน 


 


 


โม่เทียนเกอถอนหายใจยาว นางไม่สามารถทนต่อได้อีกและล้มลงที่พื้น ขาไม่เหลือเรี่ยวแรงดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่นั่งลง 


 


 


เครื่องรางสองอันนี้โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานทั่วไปจะไม่ใช้กันเนื่องจากมันเป็นเครื่องรางชั้นดีที่สุด ที่จริงแล้วเครื่องรางชั้นดีที่สุดที่ว่านี้ก็เหมือนกับอาวุธเวท มันไม่ได้ถูกแบ่งประเภทเป็นระดับชั้น เครื่องรางประเภทนี้วาดขึ้นมาได้ด้วยผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าเท่านั้น เศษเสี้ยวของพละกำลังอาวุธเวทถูกผนึกไว้อยู่ภายในเครื่องรางและมีพลังรุนแรงเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นมันจึงเหมือนกับอาวุธเวทของจริงไม่มีผิด 


 


 


เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วไปว่าผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณและระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานสามารถใช้อาวุธเวทได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาวุธเวทจะแสดงพละกำลังจริงๆ ของมันได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วนหรือหนึ่งในพันส่วน เมื่ออยู่ในมือพวกนั้น มันไม่อาจเทียบได้กับอาวุธเวทที่ถือครองโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับจิตวิญญาณใหม่ แต่เครื่องรางเวทพวกนี้ไม่เหมือนกัน พละกำลังของอาวุธเวทที่แท้จริงถูกผนึกอยู่ภายในเครื่องราง ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นประโยชน์เมื่อใช้กับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ แต่มันก็สามารถใช้เพื่อสู้กับผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้! เพียงแค่เครื่องรางเวทพวกนี้สามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น 


 


 


ถึงอย่างนั้น การใช้เครื่องรางนี้ก็ทำให้โม่เทียนเกอต้องเสียพลังงานทางจิตวิญญาณไปมหาศาล โม่เทียนเกอรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด 


 


 


แต่ตอนนี้นางมีใครคนอื่นอยู่กับนางดังนั้นนางจึงไม่กล้าจะพักนานเกิน นางกลืนยาครอบจักรวาลมากมายและปรับลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง ในไม่ช้านางก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง 


 


 


“สหายนักพรตฟางเจิ้ง เจออะไรไหม”  


 


 


หลังจากพักไปชั่วครู่ นักพรตฟางเจิ้งยืนขึ้นแล้วจึงสำรวจรอบๆ ตัว ตอนนี้เขากำลังตรวจดูสิ่งที่อยู่ด้านหลังรูปปั้นหินสลักอย่างระมัดระวัง 


 


 


เมื่อได้ยินคำถามของนาง นักพรตฟางเจิ้งไม่ได้หยุดมองไปรอบๆ และแค่หันตัวไปด้านข้าง “สหายนักพรตเยี่ย มาดูนี่เร็ว!”  


 


 


จากน้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนเขาเจออะไรบางอย่าง โม่เทียนเกอจึงเดินเข้าไปหาเขา 


 


 


นักพรตฟางเจิ้งชี้ไปที่กำแพงหิน “สหายนักพรตเยี่ย ดูดีๆ สิ”  


 


 


ทันทีหลังจากที่โม่เทียนเกอก้าวไปข้างหน้า นางก็ตะลึงอย่างที่สุด บนกำแพงหินคือจิตรกรรม ที่อัดแน่น รูปวาดพวกนี้ถูกแกะสลักไว้อย่างประณีตแต่เนื้อหากลับยุ่งเหยิงอย่างน่าประหลาด เหมือนกับว่าใครบางคนวาดอะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมาในจิตใจไปตามสัญชาตญาณ บางรูปเป็นรูปคน บางรูปเป็นพืชพันธุ์และสัตว์แปลกๆ และบ้างเป็นงานเขียนเกี่ยวกับวิชาหรือกฎต่างๆ ขณะที่โม่เทียนเกอสำรวจดูรูปต่างๆ ทีละนิด ความประหลาดใจและความยินดีก็เอ่อล้นอยู่ภายใน 


 


 


เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นอัจฉริยะโดยแท้ วิชาลับที่เขาเขียนไว้เป็นวิชาที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน!  


 


 


ตัวอย่างเช่น มีวิชาการเดินทางทันทีประเภทหนึ่งที่รู้จักกันในนามพายุชั่วอึดใจ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้เดินทางไปได้หลายจั้งแค่ในชั่วอึดใจเดียว ถ้าฝึกอย่างเต็มกำลัง การเดินทางหลายร้อยจั้งก็ไม่เป็นปัญหา วิชาการเดินทางทันทีส่วนใหญ่ที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ไม่สมกับกิตติศัพท์ของมัน มันแค่ทำให้ผู้ใช้เคลื่อนไหวเร็วมากจึงดูเหมือนพวกเขาเดินทางได้ในชั่วพริบตา วิชาการเดินทางทันทีที่แท้จริงไม่ได้พบเจอได้บ่อยๆ โดยปกติมันจะถูกถ่ายทอดต่อกันแค่ภายในกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ เท่านั้น โรงเรียนเสวียนชิงก็มีวิชาหนึ่งเหมือนกัน แต่มีเพียงผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนสูงกว่าที่สามารถฝึกได้ 


 


 


นอกจากนี้ยังมีบางวิชาและกฎที่ไม่สมบูรณ์เขียนหวัดๆ ไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ โม่เทียนเกอค่อนข้างผิดหวัง นางหวังว่านางจะสามารถหาบันทึกเกี่ยวกับเครื่องจักรกลท่ามกลางรูปวาดเหล่านี้ได้แต่ก็ไม่มีอย่างน่าเสียดาย 


 


 


เมื่อโม่เทียนเกอไปถึงรูปวาดสุดท้าย จู่ๆ นางก็พบอีกวรรคหนึ่งตรงมุม 


 


 


“ชื่อของข้าคือสวีจื้อเวย ศิษย์ภายใต้หลวงพ่อนักกระบี่เสวียนซู่แห่งสำนักกู่เจี้ยน ตอนอายุร้อยปี ข้าได้เข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ตอนอายุสามร้อยปี ข้าได้ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่ ตอนอายุสี่ร้อยปี ข้าต่อต้านสำนักกู่เจี้ยนและซ่อนตัวอยู่ในหุบเขามรสุมในภูเขาเก้าวิญญาณ ณ แคว้นจิ้นแห่งโลกมนุษย์ จากนั้นเป็นต้นมาข้าได้กลายเป็นนักเดินทางจื่อเวย”  


 


 


“ข้าใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่ที่นี่มาพันปีและไม่มีสักครั้งเดียวที่ข้าจะกลับเข้าสู่คุนอู๋อีกครั้ง ข้าคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงครึ่งแรกในช่วงชีวิตข้า ความทุกข์ทรมาน… ความเสียดาย… หากข้าไม่ได้เจอจื่อหลานก่อนข้าตายจากไป ความเสียดายของข้าก็จะ…”  


 


 


ส่วนสุดท้ายถูกสลักไว้อย่างยุ่งเหยิง หลังจากพยายามจะแยกแยะคำอย่างระมัดระวัง โม่เทียนเกอก็พบว่าคำว่า “จื่อหลาน” ถูกเขียนไว้ซ้ำๆ  


 


 


“จื่อหลาน” คำนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นชื่อคน ฟังดูเหมือนเป็นชื่อผู้หญิง นักเดินทางจื่อเวยไม่เคยเอ่ยถึงชื่อนี้ในส่วนอื่นของรูปวาดแต่เขากลับพูดถึงมันซ้ำๆ ในวรรคนี้ ดูจากน้ำเสียงของผู้ชายในวรรคนี้ เขาดูเหมือนจะคิดถึงคนผู้นี้อย่างมากแต่เขาไม่กล้าจะเอ่ยถึง จนเมื่อเขาใกล้จะตายเท่านั้นเขาจึงไม่สามารถยั้งไว้ได้อีกและถ่ายทอดความรู้สึกออกมาอย่างพรั่งพรู 


 


 


ขณะที่โม่เทียนเกอดูวรรคนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงง 


 


 


ในเมื่อนักเดินทางจื่อเวยเป็นสมาชิกของสำนักกู่เจี้ยนและถึงขนาดสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาได้เมื่ออายุยังน้อย ทำไมเขาถึงต้องการต่อต้านสำนัก ในกลุ่มการฝึกตนใหญ่เช่นสำนักกู่เจี้ยน การต่อต้านกลุ่มเป็นเรื่องที่จริงจังมาก ต่อให้มีความขัดแย้งบางอย่างระหว่างเขาและสำนัก แต่เขาก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่แล้ว เขาสามารถใช้ตำแหน่ง “ผู้อาวุโส” และออกไปอยู่ห่างไกลจากอารามก็ได้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องต่อต้านสำนัก 


 


 


อีกอย่าง หลังจากเขาทรยศสำนักของเขา เขาใช้ชีวิตปลีกวิเวกอยู่ในโลกมนุษย์ มันเหมือนกับว่าเขาไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นเช่นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่างตัวเขากับสำนัก แต่ถ้ามันไม่ใช่เช่นนั้นล่ะ ทำไมเขาจะต้องต่อต้านสำนักของเขาด้วย 


 


 


เขายังบอกอีกว่าเขามักจะคิดถึงความทุกข์ทรมานและความเสียดายอยู่บ่อยๆ ในครึ่งแรกของช่วงชีวิต สำหรับผู้ฝึกตนจากกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ผู้ที่สร้างจิตวิญญาณใหม่สำเร็จตอนอายุยังน้อยขนาดนั้น มีส่วนไหนที่ต้องทุกข์ทรมานหรือ มีส่วนไหนที่จะทำให้เขารู้สึกเสียดายจนวันตายหรือ ถ้าประเด็นพวกนี้เชื่อมโยงกัน… เพราะความเสียดายเขาจึงต่อต้านท่านอาจารย์ของเขาและใช้ชีวิตปลีกวิเวก… เรื่องนั้นมันจะร้ายแรงสักแค่ไหนกัน 


 


 


ยังมี “จื่อหลาน” ในตอนท้ายอีก สำหรับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ มีเหตุผลอะไรด้วยหรือว่าทำไมเขาจึงไม่สามารถพบคนที่อยากพบได้ คนผู้นั้นต้องหายตัวไปหรือไม่ก็เป็นตัวเขาเองที่ไม่กล้าไปเจอนาง มันคงไม่สำคัญนักหากคนผู้นั้นหายไป แต่ถ้านางไม่ได้หายไปล่ะ มีเรื่องอะไรที่ร้ายแรงมากเสียจนทำให้เขาไม่กล้าเจอนาง หรือว่าบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขารู้สึกเสียดาย 


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกว่ามันช่างน่าสับสนและอธิบายยาก 


 


 


นักพรตฟางเจิ้งก็มาอ่านวรรคนี้เช่นกัน เขาพูดด้วยความประหลาดใจ “สำนักกู่เจี้ยนหรือ” เจ้าของสถานที่นี้แท้จริงแล้วเป็นผู้อาวุโสจากสำนักกู่เจี้ยน! ถ้างั้นเขาจะเชี่ยวชาญในม่านพลังมายาและศาสตร์แห่งการช่างมากขนาดนี้ได้อย่างไร นั่นมันไม่ใช่แบบฉบับของผู้ฝึกตนสายกระบี่ทั่วไป!”  


 


 


โม่เทียนเกอรู้สึกอึ้ง จริงด้วย นั่นควรจะเป็นประเด็นที่น่าสงสัยที่สุด สำนักกู่เจี้ยนเป็นสำนักแห่งผู้ฝึกตนสายกระบี่ ดังนั้นว่ากันตามเหตุผล นักเดินทางจื่อเวยก็ควรจะเป็นผู้ฝึกตนสายกระบี่ด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น จากรูปแบบของเขาในการทำสิ่งต่างๆ พวกเขายังไม่เห็นความคล้ายคลึงกับผู้ฝึกตนสายกระบี่เลยตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อพวกเขาลงมาในหุบเขา ลมพายุและอากาศพิษถูกทำให้เกิดขึ้นด้วยม่านพลัง ในตอนหลังพวกเขาเข้าสู่ม่านพลังมายา ใครจะวางม่านพลังได้นอกไปจากผู้ที่เชี่ยวชาญมากๆ และยังมีแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่ลอยได้พวกนั้นอีกที่เกือบทำให้พวกเขาเดาว่าเจ้าของสถานที่นี้ต้องเป็นผู้อาวุโสจากโรงเรียนเทียนเหลียง สุดท้ายก็มีห้องหินห้องนี้ หุ่นเชิดขั้นสูงสุดของระดับการสร้างฐานแห่งพลังงาน ศาสตร์แห่งการช่าง!  


 


 


ประเภทผู้ฝึกตนที่เป็นประเพณีนิยมที่สุดรวมถึงประเภทที่มีจำนวนมากที่สุดคือผู้ฝึกตนสายธรรม ผู้ฝึกตนประเภทนี้จะก้าวหน้าบนเส้นทางแห่งการฝึกตนไปทีละขั้นตอนและมักพึ่งพาคาถาอาคม อาวุธเวท และเครื่องรางเป็นหลัก ประเภทอื่นๆ อย่างผู้ฝึกตนสายกระบี่ ผู้ฝึกตนสายเครื่องราง ผู้ฝึกตนสายแพทย์ และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่หาได้ยากกว่า ในหมู่พวกนั้น เพราะผู้ฝึกตนสายกระบี่โดยปกติมักจะแข็งแกร่งกว่าในการต่อสู้ด้วยพลังเวท พวกเขาจึงมีจำนวนมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ฝึกตนสายธรรม จำนวนผู้ฝึกตนสายกระบี่ก็มีแค่ในหนึ่งร้อยส่วนเท่านั้น 


 


 


เหตุผลว่าทำไมผู้ฝึกตนสายธรรมจึงมีจำนวนมากที่สุดก็เพราะพวกเขาฝึกฝนในวิธีตามประเพณีและสามารถลองใช้วิธีการอื่นอย่างไม่ต้องจริงจังมากได้ ดังนั้นโอกาสในการบรรลุผ่านดินแดนของพวกเขาจึงสูง ผู้ฝึกตนสายกระบี่แกร่งในการต่อสู้ด้วยพลังเวท แต่ท้ายที่สุดพวกเขาฝึกกระบี่โดยใช้ร่างกายมาตลอดชีวิต ดังนั้นโอกาสในการบรรลุผ่านดินแดนจึงค่อนข้างต่ำ เพราะเหตุนั้น ผู้ฝึกตนสายกระบี่โดยทั่วไปจึงมุ่งความสนใจอยู่กับการฝึกกระบี่และแทบจะไม่เคยเรียนรู้ด้านอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นทุกสิ่งในสถานที่นี้ก็ล้มล้างแนวคิดนี้ไปจนหมด!  


 


 


ผู้ฝึกตนสายกระบี่ผู้ที่เชี่ยวชาญในม่านพลังและศาสตร์แห่งการช่างและยังมีความรู้มากเหลือเชื่อ… น่ากลัวเกินไปแล้ว!  


 


 


โม่เทียนเกอแน่ใจอย่างยิ่งว่าเจ้าของสถานที่นี้ต้องเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งอย่างแน่นอน 


 


 


“สหายนักพรตเยี่ย ตอนนี้เราควรจะลืมทุกอย่างไปเสียก่อน เราเก็บหินสุริยันกันก่อนดีกว่า” หลังจากเขาสำรวจดูรูปวาดเสร็จ นักพรตฟางเจิ้งกังวลกับหินพวกนั้น แต่ก็ไม่แปลก ท้ายที่สุดแล้วของพวกนั้นก็เป็นของที่มีค่ามากที่สุดที่นี่ 


 


 


โม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้าน “ตกลง ข้าสัญญากับสหายนักพรตไว้แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้สหายนักพรตเลือกได้ก่อนเลยและสหายนักพรตจะเอาไปเพิ่มก็ได้ถ้าต้องการ”  


 


 


นักพรตฟางเจิ้งตื่นเต้นดีใจและเหาะขึ้นไปทันที อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะเก็บเอาหินสุริยันที่อยู่สูงที่สุด ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงกึกก้อง เส้นใยพลังงานทางจิตวิญญาณจากที่ไหนไม่รู้จู่ๆ ก็พวยพุ่งออกมาทันทีและจู่โจมเข้าใส่นักพรตฟางเจิ้งจนร่วงลงที่พื้น 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม