ลิขิตกลกาล 162-171

ตอนที่ 162 จุดที่เหมาะสม

 

“อย่างนั้นเมื่อคืนวานนี้คุณหนู…” หยาเอ่อร์ผู้ที่มีท่าทีตกตะลึงที่สุด เวลานี้ก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเรื่องราวทั้งหมด “เมื่อคืนวานคุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”


 


 


“คงจะไม่เป็นไรกระมัง” หลานเย่ว์กำหมัดแน่นแล้วเอ่ยอย่างสงบ “หากมีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ คุณหนูใหญ่คงจะตะโกนเรียกสุดเสียงไปแล้ว แต่เมื่อวานคุณหนูไม่ได้…ก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระมัง…อีกอย่างก็แค่องครักษ์มา! เจ้านายของเขา…ไม่จำเป็นต้องมาด้วย…” เมื่อเอ่ยจนจบ แม้แต่ตัวหลานเย่ว์เองก็ฟังออกถึงความไม่มั่นใจในน้ำเสียงของตัวเอง


 


 


เนื่องจากในใจของเขาตอนนี้ก็มีคำตอบที่กระจ่างชัด พวกเขาตั้งใจใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำเช่นนั้น…หากบอกว่าต้วนเฉินเซวียนไม่มาด้วย?


 


 


นั่นจะเป็นไปได้หรือ


 


 


“เช่นนั้นคุณหนูใหญ่ทำอย่างไรเล่า!” ตอนนั้นเองที่หยาเอ่อร์เริ่มร้อนใจขึ้นมาจนแทบจะร้องไห้ “คุณชายต้วนผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ คุณหนูของพวกเรา คงจะไม่ คงจะไม่…” คำพูดต่อจากนี้หยาเอ่อร์ได้แต่กลืนน้ำลายลงไปและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก


 


 


ทว่าการไม่พูดออกมาไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำให้พวกเขาจินตานาการไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด…


 


 


“คุณหนูใหญ่ไม่เป็นไร” เมื่อหลีมู่เห็นท่าทางของพวกเขาก็ทนไม่ได้จึงรีบอธิบายออกไป “เมื่อคืนนี้คุณหนูใหญ่จะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน! ข้า วันนี้ตอนข้าไปเก็บกวาดห้องให้คุณหนู ข้าไม่เห็นว่ามีร่องรอยอะไรเกิดขึ้น!


 


 


“อีกอย่างคุณหนูใหญ่ของพวกเราวรยุทธ์ก็ไม่ได้แย่อะไร…หากต้องต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ก็คงยากจะรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายชนะ?”


 


 


“ถูกต้อง จะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน” ผูหลิวพยักหน้า “อีกอย่างวันนี้ตอนคุณหนูตื่นขึ้นมาตอนเช้าสีหน้าก็เป็นปกติดี ทั้งตัวข้าเองก็มีความรู้ด้านการแพทย์…ข้ามองออกได้!”


 


 


อีกอย่างวันนั้นตอนที่ต้วนเฉินเซวียนมา ผูหลิวก็พอมองออกว่าคุณชายต้วนผู้นั้น…อันที่จริงแล้วก็มีใจชอบคุณหนูอยู่เหมือนกัน เพียงแค่ไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้นกระมัง?


 


 


 


 


ผูหลิวเชื่อว่า การชอบคนผู้หนึ่ง อย่างน้อยที่สุดเราก็คงจะลงมือทำร้ายคนผู้นั้นไม่ได้ ดังนั้นซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้…ผูหลิวคิดว่านางแค่เจ็บปวดทางใจค่อนข้างมากเท่านั้น แต่ร่างกายภายนอกคงจะไม่มีปัญหาใหญ่อะไร


 


 


“เชื่อข้าเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ผูหลิวหัวเราะและปลอบทุกคน “คำพูดของคุณหนูในตอนนั้น ข้าเชื่อว่าทุกคนคงได้ยินกันหมดแล้ว คุณหนูใหญ่เป็นคนจิตใจดี ไม่ได้สอบสวนอะไรพวกเรา แต่เรื่องนี้เป็นความเลินเล่อของพวกเรา ดังนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าหวังว่าไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน พวกเราต้องคอยเฝ้าคุณหนูให้ดี


 


 


“อีกอย่างคุณหนูไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเราก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน แต่หากใครยังอยากจะปากมากอยู่อีก…พวกเราแยกย้ายกันตรงนี้กันเถิด มาจากไหนก็กลับไปตรงนั้น ดีหรือไม่?”


 


 


“พวกเรารู้จักแบ่งแยกเรื่องใดสำคัญเรื่องใดไม่สำคัญ” สีหน้าของอวี่ซางไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาอาจจะไม่ค่อยชอบซูเหลียนอวิ้นเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้กลับพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “คืนนี้ให้เป็นเวรข้ากับอั้นอิ่งเฝ้าห้องคุณหนูก็แล้วกัน”


 


 


“อื้ม” อั้นอิ่งพยักหน้า “พี่หลานเย่ว์ ข้ากับอวี่ซางจะเฝ้าห้องของคุณหนูเอง พวกเจ้าสามคนไปคอยเฝ้ารอบลานบ้านก็แล้วกัน ส่วนผูหลิวเจ้าไปนอนเป็นเพื่อนคุณหนูที่ห้อง พวกเจ้าว่าแผนนี้ดีหรือไม่?”


 


 


“ข้าไม่มีปัญหา”


 


 


“ข้าก็เหมือนกัน”


 


 


“ข้าก็ด้วย”


 


 


“พวกเจ้าตกลงกันดีแล้วก็ตามนั้น” หลีมู่ถอนใจ “ข้า ช่วงนี้ข้าจะนอนกับเนี่ยนเอ๋อร์ก็แล้วกัน เนี่ยนเอ๋อร์ยังเด็ก เรื่องราวที่ทำให้วุ่นวายใจพวกนี้มิต้องให้นางรับรู้หรอก ทั้งตัวข้าเองก็ไม่มีวรยุทธ์ใดๆ ดังนั้นจึงไม่ขอเป็นภาระให้แก่พวกเจ้า”


 


 


“ได้ อย่างนั้นคืนนี้เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้หากมีเรื่องอื่นเกิดขึ้น ถึงเวลานั้นค่อยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาก็ได้”


 


 


ณ จวนจิ้งอันโหว


 


 


“นายท่านขอรับ! นายท่าน! ” สุดท้ายหลิวจือก็กลับมาถึงเรือนของต้วนเฉินเซวียน ตอนนั้นหลิวจือไม่ได้คิดหน้าคิดหลังอะไรมากมายจึงแหกปากตะโกนขึ้นมา “นายท่าน บ่าวกลับมาแล้ว! “


 


 


“เจ้ายังรู้จักกลับมาอีกหรือ” ต้วนเฉินเซวียนยกมือขึ้นมาเช็ดจมูกแล้วผลักหลิวจือให้ออกไปห่างๆ ตน “ข้านึกว่าเจ้าจะอยู่ที่เรือนของซูเหลียนอวิ้นไปตลอดเสียแล้ว”


 


 


“เหตุใดนายท่านถึงพูดอย่างนี้กับข้า! ” หลิวจือสะบัดดินที่อยู่ตามเนื้อตัวทิ้ง “บ่าวถูกจับตัวขอรับ! “


 


 


“ถูกจับ? ” ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้ว “และก็โดนทำร้ายด้วยกระมัง”


 


 


“อ่า…”


 


 


“หลิวจือเจ้าทำให้ข้าขายหน้ายิ่ง! แล้วซูเหลียนอวิ้นรู้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใคร” ต้วนเฉินเซวียนเอามือนวดหว่างคิ้วตัวเองแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างเหลือทน การมีบ่าวที่น่าขายหน้าเช่นนี้…มันช่าง!


 


 


ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนหวังว่าภาพลักษณ์ของเขาในความคิดซูเหลียนอวิ้น นางคงจะไม่ได้ตัดสินที่หลิวจือเพียงอย่างเดียวกระมัง!


 


 


แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนายกับบ่าวกัน แต่หลิวจือก็คือหลิวจือ พวกเขาสองคนไม่เหมือนกัน! ตนโง่ขนาดนั้นเสียที่ไหน ถูกจับได้ก็แย่แล้ว แต่ยังโดนทำแบบนี้เข้าอีก?


 


 


“ซูเหลียนอวิ้นมีผู้มีวรยุทธ์สูงข้างกายถึงห้าคน!” หลิวจืออดแก้ตัวแทนตัวเองไม่ได้ “ห้าคน! บ่าวทำเต็มที่แล้วนะขอรับ!”


 


 


“เอาล่ะๆ” ต้วนเฉินเซวียนโบกมือ “สภาพแบบนี้ของเจ้าข้าเห็นแล้วปวดหัวยิ่ง หลิวจือเจ้ารีบกลับไปใส่ยาให้ตัวเองเถิด สภาพเช่นนี้คงต้องพักผ่อนให้เต็มที่ เฮ้อ จะว่าไปเมื่อวานเจ้าก็เหนื่อยมากแล้วเช่นกัน!”


 


 


เมื่อนึกถึงรสสัมผัสนุ่มนวลเมื่อวาน…ดังนั้นแม้ว่าสภาพของหลิวจือจะเป็นเช่นนี้แต่ต้วนเฉินเซวียนกลับยังรู้สึกว่าไม่ขัดหูขัดตามากเท่าไหร่นัก! เพราะคุณงามความดีที่หลิวจือได้ทำไว้ถือว่าไม่อาจมองข้ามได้!


 


 


“นายท่านจำบ่าวได้ก็พอแล้ว…” ตอนนั้นหลิวจือรู้สึกซาบซึ้งมาก “อย่างนั้นบ่าวไปก่อนนะขอรับ”


 


 


“ไปเถอะ”


 


 


“ใช่สิ นายท่าน บ่าวยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรเอ่ยกับท่านดีหรือไม่…” เดิมทีหลิวจือเดินไปครึ่งทางแล้ว จู่ๆ เขาพลันนึกถึงสายตาของซูเหลียนอวิ้นที่ใช้มองตนครานั้น ดังนั้นจึงรีบเลี้ยวกลับมาทันที


 


 


นั่นเป็นเพราะสายตาของนางนั้นอาฆาตแรงมาก! ตอนนี้พอมาคิดย้อนดู หลิวจือรู้สึกว่าใจของตนเริ่มสั่นรัวขึ้นมาเบาๆ เสียแล้ว!


 


 


“ยังมีเรื่องอีกรึ” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด เพราะตั้งแต่ที่เยียลี่ว์เยี่ยนเดินทางมาถึงต้าชั่ว เรื่องราวในหัวของเขาก็เพิ่มขึ้นในพริบตา ไหนจะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตระกูลหยางเรื่องนั้นอีก แม้ว่าเขาอาจจะไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนักแต่เขาก็ยังคงต้องดำเนินการขั้นต่อไป


 


 


“ยังมีเรื่องขอรับ” หลิวจือพยักหน้างึกงัก “เกี่ยวข้องกับคุณหนูซูด้วย”


 


 


มือของต้วนเฉินเซวียนที่พลิกของไปมาอยู่ชะงักลง “ว่ามา”


 


 


“ดูเหมือนว่าคุณหนูซูจะเจอกับเรื่องอะไรบางอย่างเข้าแล้ว! อารมณ์เลวร้ายมาก!”


 


 


“อย่างนั้นหรือ” ต้วนเฉินเซวียนทำท่าเหมือนได้ยินเรื่องราวน่าสนใจอะไรบางอย่างเข้า เขานึกว่าหลิวจือจะพูดเรื่องอะไร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องนี้ การที่ซูเหลียนอวิ้นจะโกรธ…เขาก็พอรู้และเข้าใจได้ เพราะเมื่อวานเขาจูบนางโดยที่นางไม่ยินยอม ทว่าเรื่องนี้…ช่างเถอะ บางทีโดนจูบหลายๆ ครั้งซูเหลียนอวิ้นอาจจะอาการดีขึ้นกระมัง?


 


 


ฝึกบ่อยเข้าก็จะชำนาญไปเอง พอผ่านไปหลายๆ ครั้งเข้าก็คงจะเริ่มชินไปโดยปริยาย?


 


 


“นายท่าน?” หลิวจือลองเรียกหยั่งเชิงดู เนื่องจากเมื่อเห็นอาการของเจ้านายตัวเองที่ไม่เพียงแค่ไม่ร้อนรนแต่ยังดูเชื่องช้าขึ้นอีก? นี่…นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน


 


 


“หลิวจือเจ้ามิต้องกังวลเรื่องนี้หรอก” พักใหญ่เมื่อต้วนเฉินเซวียนครุ่นคิดเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้ารู้จุดที่เหมาะสม วางใจเถิด” 

 

 

 


ตอนที่ 163 ซีดเซียว

 

“น้องหญิง” ซูมั่วเยี่ยเคาะที่ประตูเบาๆ สองที “สะดวกให้พี่เข้าไปหรือไม่”


 


 


“ท่านพี่เองหรือ ไม่เป็นไร เข้ามาเลยเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวลุกขึ้นจากที่นอนอย่างอ่อนล้า จากนั้นจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง สีหน้าของนางยังไม่ดีเท่าไหร่นัก


 


 


“น้องหญิง สีหน้าของเจ้าไม่ค่อยดีเลย” เมื่อซูมั่วเยี่ยเข้ามา ภาพแรกที่เขาเห็นคือสีหน้าซีดเซียวของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงขมวดคิ้ว “ช่วงนี้พักผ่อนไม่พอหรือ สีหน้าถึงซีดเซียวเช่นนี้


 


 


“หรือว่ามีเรื่องกลุ้มใจอะไร”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นอ้าปากตั้งท่าจะพูดว่าตนไม่เป็นไร ทว่าหลังจากเปิดปากขึ้นแล้ว นางกลับพบว่า สำหรับนางตอนนี้คำว่าไม่เป็นไรนั้นคล้ายเป็นคำที่หนักหนาราวพันชั่ง ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถพูดสามคำนั้นออกมาอย่างขอไปทีได้


 


 


“ดูท่าคงจะมีเรื่องเข้าจริงๆ” ซูมั่วเยี่ยเริ่มร้อนรน “เกี่ยวกับองค์หญิงเยียลี่ว์นั่นหรือไม่ นางพูดอะไรกับเจ้ากันแน่!” เขาได้ยินคนรับใช้เล่าให้ฟังแล้วว่าไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆ องค์หญิงเยียลี่ว์ถึงอยากได้มาที่จวนของพวกเขา แค่มาที่จวนยังไม่เท่าไหร่แต่นี่ยังอยากจะคุยกับอวิ้นเอ๋อร์ตามลำพังอีก


 


 


บทสนทนาที่คุยกันย่อมไม่มีผู้อื่นรู้ แต่เมื่อพูดคุยกันจบ สีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเป็นอย่างไร พวกเขาทุกคนล้วนเห็นกันทั้งนั้น


 


 


ตอนนั้นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นซีดเผือดจนแทบไม่เหลือเลือดฝาดบนหน้า เพียงดูก็รู้ว่านางได้เจอเรื่องบางอย่างเข้าให้แล้ว เรื่องนี้ทำให้ซูมั่วเยี่ยตกใจจนต้องรีบกลับมาที่จวนทันที ตอนนี้เมื่อได้เห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นเข้าจริง…ก็พบว่าเป็นอย่างที่คิดไว้ คำพูดที่คนเหล่านั้นพูดกันไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย


 


 


“ท่านพี่…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วถอนใจ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงองค์นั้น สาเหตุทั้งหมดเกิดจากร่างกายของข้าเอง…ท่านพี่วางใจเถิด ข้าไม่เป็นไร”


 


 


“ได้” ซูมั่วเยี่ยพยายามปิดบังความกังวลใจอย่างมากที่อยู่ในแววตาของตัวเอง “แต่หากน้องหญิงมีเรื่องราวอะไรจำไว้ว่าห้ามเก็บเอาไว้ในใจคนเดียวอย่างเด็ดขาด! พี่อยู่เคียงข้างเจ้าตลอด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นองค์หญิงหรือจวิ้นจู่หรือใครก็ตาม ในใจของพี่ไม่มีใครสำคัญเท่าเจ้า”


 


 


“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ากลับมา ไม่นานนักรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ น้องเข้าใจแล้ว”


 


 


“อย่างนั้นน้องหญิงพักผ่อนให้มากๆ เถิด หากเจ้ามีอะไรที่อยากกินบอกพี่คำเดียวก็พอ” ซูมั่วเยี่ยเดิมทีก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องการเลือกใช้คำพูดอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนว่าก้นของตัวเองเปรียบเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟที่ไม่สามารถทนนั่งต่อไปได้อีก


 


 


เนื่องจากตอนนี้เขาเริ่มอยากรู้ให้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่! ถึงได้ทำให้น้องสาวสุดที่รักของเขาเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ภายในหนึ่งคืน ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร เขาไม่มีทางออมมือให้อย่างเด็ดขาด…


 


 


“ท่านพี่เดินระวังด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


“อือ น้องหญิงไม่ต้องส่งพี่หรอก นอนพักผ่อนต่อเถิด”


 


 


……


 


 


“ท่านแม่?”


 


 


อันเพ่ยอิงกำลังมองดอกไม้เหล่านั้นที่นางเป็นคนปลูกอย่างตั้งใจ ดังนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีผู้ใดอยู่ด้านหลัง


 


 


“เยี่ยเอ๋อร์!” อันเพ่ยอิงอุทานคำหนึ่ง “ทำไมเดินมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง! เดินมาถึงด้านหลังแล้วถึงจะส่งเสียง! เจ้าตั้งใจทำให้แม่ตกใจใช่หรือไม่!”


 


 


“ท่านแม่!” ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยไม่มีอารมณ์ฟังอันเพ่ยอิงบ่นอะไรใดๆ จึงรีบพูดเข้าประเด็นว่า “ท่านแม่ขอรับ วันนี้องค์หญิงผู้นั้นคุยอะไรกับอวิ้นเอ๋อร์”


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงถามคำถามนี้ขึ้นมา?” อันเพ่ยอิงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าข้องใจ


 


 


เพราะคนรับใช้ที่นี่มิใช่พวกปากมากเหมือนกันเสียทั้งหมด ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นมีสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็ไม่มีใครนำเรื่องนี้มารายงานอันเพ่ยอิง เพราะว่า…หากเจ้านายอยากรู้เรื่อง เจ้าค่อยเริ่มรายงานก็ได้


 


 


หากเจ้านายไม่ได้ถามเล่า? ก็ต้องปิดปากให้สนิทไว้ก่อน! เพราะหากคุณหนูใหญ่แค่ไม่สบายล่ะ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมีการไล่ตามสืบดูแล้วจนรู้ว่าอาการปากมากของพวกตนทำให้เรื่องบานปลายสุดท้ายพวกเขาก็จะมีความผิด


 


 


“อวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้บอกแม่ว่าคุยเรื่องอะไรกัน ตอนนั้นองค์หญิงผู้นั้นขอไปคุยกันที่ห้องของอวิ้นเอ๋อร์ แม่รู้ดีว่าอวิ้นเอ๋อร์คงไม่ชอบใจ แม่เลยบอกว่าแม่จะเป็นฝ่ายออกไปเอง พวกนางจึงคุยกันตามลำพังเพียงสองคนที่นี่”


 


 


“หลังจากที่ทั้งสองคนคุยกันเสร็จ อวิ้นเอ๋อร์จึงมาหาแม่ที่นี่ แม่เองก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ทำไมหรือ คงมิได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง”


 


 


ซูมั่วเยี่ยเม้มปาก เขาไม่รู้จะเอ่ยเรื่องนี้กับอันเพ่ยอิงอย่างไรดี เพราะจากนิสัยของอันเพ่ยอิงแล้ว…หากรู้ว่าสภาพของอวิ้นเอ๋อร์ตอนนี้เป็นอย่างไร นางคงจะไม่ปล่อยเยียลี่ว์เยียนแน่นอน อีกอย่างคงจะรู้สึกละอายใจเป็นอย่างมากเพราะตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ดูเหมือนว่า…จะมีความเกี่ยวข้องกับนางด้วย


 


 


“ไม่มีอะไร…” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ลูกแค่อยากรู้เท่านั้น หากเอ่ยตามเหตุตามผลแล้วพวกเราเพิ่งจะเคยเจอองค์หญิงผู้นั้นเป็นครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้จักกัน เหตุใดนางถึงต้องอยากพูดคุยกับอวิ้นเอ๋อร์ด้วย เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยวางใจนัก”


 


 


“ตอนที่ลูกไปหาอวิ้นเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์หลับอยู่ ลูกเลยกลับออกมาโดยที่ไม่ได้ปลุกนาง และมาขอร้องท่านแม่ที่นี่ โดยลูกเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าท่านแม่ไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน”


 


 


“หากอวิ้นเอ๋อร์อยากพูดก็คงจะพูดกับพวกเราไปแล้ว” อันเพ่ยอิงยื่นมือออกไปนวดตรงหว่างคิ้วของซูมั่วเยี่ยแล้วยิ้มบางๆ ให้ “มิต้องขมวดคิ้วแล้ว ดูหน้าเจ้าสิย่นซะจนไม่น่าดูแล้ว! เจ้ากับน้องสาวของเจ้าเหมือนกันไม่มีผิด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มักจะเก็บงำเอาไว้ในใจเพียงคนเดียว หากคนรอบข้างบังคับให้เจ้าพูดพวกเจ้าก็จะยิ่งไม่พูด”


 


 


“ดังนั้นตอนนี้ เมื่ออวิ้นเอ๋อร์ไม่ยินดีที่จะเป็นฝ่ายพูดกับพวกเราก่อน…พวกเราก็อย่าบังคับนางอีกเลย ให้นางทบทวนก่อน หลังจากที่นางทบทวนทุกอย่างดีแล้ว แม่เชื่อว่าอวิ้นเอ๋อร์จะต้องเอ่ยปากเรื่องนี้กับพวกเราเอง”


 


 


“ขอรับ” ซูมั่วเยี่ยพยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้ว อย่างนั้นลูกไม่วุ่นวายท่านแม่แล้ว ลูกขอตัวก่อน”


 


 


“กลับเถิด” อันเพ่ยอิงมองซูมั่วเยี่ยที่สุดท้ายเลิกขมวดคิ้วและยิ้มออกมาได้ “ทว่าช่วงนี้ร่างกายของอวิ้นเอ๋อร์ไม่ค่อยแข็งแรงนัก หากเจ้าไปหาน้องอีกอย่าลืมนำของบำรุงร่างกายไปให้ด้วย แล้วกำชับน้องให้น้องกินให้หมด”


 


 


“ขอรับ ลูกเข้าใจแล้ว”


 


 


_


 


 


ซูมั่วเยี่ยเดินกลับไปที่ห้องหนังสือของตัวเองแล้วผิวปากด้วยเสียงดังพร้อมเอ่ยว่า “หลานเย่ว์มหาข้าหน่อย”


 


 


“ขอรับ” ในห้องมีเสียงเบาๆ ดังขึ้น แต่เพียงชั่วครู่ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


 


“คุณชายใหญ่เรียกข้าหรือ” หลานเย่ว์มองไปยังซูมั่วเยี่ยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือพลางใช้มือนวดขมับตัวเอง ตอนนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี เพราะการที่ซูมั่วเยี่ยเรียกเขามาจะมีเรื่องอะไรได้อีก? ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับซูเหลียนอวิ้น


 


 


ทว่าเรื่องราวของซูเหลียนอวิ้น…หลานเย่ว์ในตอนนี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี หรือว่าจะเริ่มจากตรงไหน…


 


 


“ช่วงนี้อวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“คุณหนูใหญ่…ก็ดีขอรับ” หลานเย่ว์พิจารณาครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงเลือกใช้คำนี้ เพราะหากไม่คำนึงสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นตอนกลับมาในตอนเช้าวันนี้ ช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นถือว่ามีท่าทางไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 164 จีบผู้ชาย

 

“ก็ดี?” ซูมั่วเยี่ยฟังออกถึงความลังเลในน้ำเสียงของหลานเย่ว์จึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นั่นแสดงว่าบางครั้งก็ไม่ดีใช่หรือไม่” 


 


 


“ก็มิถูกขอรับ” หลานเย่ว์ส่ายหน้า “คุณหนูใหญ่…คือบ่าวเป็นบุรุษ ดังนั้น…บ่าวได้แต่คอยสังเกต ทว่ามองไม่ค่อยออกเท่าไหร่ขอรับ” หลานเย่ว์ครุ่นคิดแล้วตัดสินใจปิดบังเรื่องที่ต้วนเฉินเซวียนบุกรุกเข้ามาในห้องซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ 


 


 


เพราะ…หลานเย่ว์รู้สึกว่าซูเหลียนอวิ้นคงไม่เต็มใจที่จะให้คนอื่นนำเรื่องของนางไปพูดต่อโดยที่นางไม่ได้อนุญาต 


 


 


“ช่างเถิด เจ้ากลับไปได้แล้ว” ซูมั่วเยี่ยถอนหายใจ “ช่วงนี้คอยจับตาดูอวิ้นเอ๋อร์มากหน่อยก็แล้วกัน ในเมื่อนางไม่อยากพูด พวกเราคงต้องคอยเฝ้าสังเกตนางเอาเอง” 


 


 


“ขอรับ คุณชายใหญ่” 


 


 


ซูมั่วเยี่ยกดลงบริเวณหว่างคิ้วตัวเอง ซึ่งยิ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บมากยิ่งขึ้น “จู๋ที่” 


 


 


“คุณชายใหญ่” คนผู้หนึ่งตอบรับแล้วปรากฏตัวออกมายืนตัวตรง “คุณชายใหญ่มีอะไรให้บ่าวทำหรือขอรับ” 


 


 


“ไปสืบมาทีว่าองค์หญิงเยียลี่ว์ผู้นั้นต้องการจะทำอะไรกันแน่ และก็เรื่อง…ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างในจวน รวมทั้งข่าวคราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงด้วย” ระยะนี้เขาต้องติดตามซูปั๋วชวนเพื่อคอยสะสางเรื่องตระกูลหยางและวุ่นวายอยู่กับเรื่องราวในค่ายทหาร ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ใส่ใจและจับตาดูเรื่องราวทางด้านนี้สักเท่าไหร่ 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


เฮ้อ สุดท้ายก็ละเลยอีกจนได้ ซูมั่วเยี่ยถอนใจ ไม่ว่ากิจของบ้านเมืองสำคัญเพียงใด แต่สำหรับเขาแล้วไม่มีทางสำคัญไปกว่าเรื่องราวในครอบครัวอย่างแน่นอน 


 


 


…… 


 


 


“เยียนเอ๋อร์ วันนี้เจ้าออกไปข้างนอกมาหรือ” ภายในโรงเตี๊ยม เมื่อเยียลี่ว์เยี่ยนเห็นเยียลี่ว์เยียนแต่งตัวสวยงามผิดหูผิดตาพลันขมวดคิ้ว ทว่าหลังจากที่เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วเขากลับยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ “เจ้าไปไหนมา กลิ่นที่ติดตัวเจ้าเป็นกลิ่นอะไรกัน รีบไปล้างออกเดี๋ยวนี้! “ 


 


 


“ท่านพี่ ไม่หอมหรือเจ้าคะ” เยียลี่ว์เยียนหันตัวมาแล้วลองดมตามเสื้อผ้าของตัวเองดู “หอมจะตาย! ” วันนี้ตอนที่นางออกมาจากจวนของซูเหลียนอวิ้น นางเห็นว่าฟ้ายังไม่มืดมากเท่าไหร่เลยตั้งใจไปที่ร้านเครื่องสำอางที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองต้าชั่วเพื่อเดินเล่นก่อน 


 


 


การไปเดินเล่นครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าสำหรับนางมากนัก เพราะมีสิ่งของหลายๆ อย่างที่ตรงกับรสนิยมของนาง นางจึงซื้อของกลับมามากมายและใช้เงินไปไม่น้อย ตอนนี้กลิ่นที่ติดอยู่บนตัวนางเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ขายดีที่สุดชนิดหนึ่งของเมืองต้าชั่ว 


 


 


“หอมอะไรกันเล่า! ไปล้างออกเดี๋ยวนี้! ” เยียลี่ว์เยี่ยนถอยหลังออกไปสองสามก้าว “เจ้าไปเรียนรู้พฤติกรรมเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ของจำพวกนี้เหม็นจะแย่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมพวกเจ้าถึงเอามันมาฉีดบนร่างกายของตัวเองได้” 


 


 


“อ้อ…ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านพี่ ข้าจะไปล้างออกเดี๋ยวนี้” แน่นอนว่าเยียลี่ว์เยียนไม่กล้าขัดคำสั่งของเยียลี่ว์เยี่ยน ดังนั้นตอนนี้นางจึงรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจที่จะทำสักเท่าไหร่นัก ทว่าเมื่อมองเห็นสายตารังเกียจอย่างรุนแรงของเยียลี่ว์เยี่ยน นางก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับแล้วรีบออกไปล้างกลิ่นที่ติดอยู่ตามตัวของตนออก 


 


 


“รีบไปล้างซะ เมื่อกลับมาข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจ้า” เยียลี่ว์เยี่ยนสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ 


 


 


“เจ้าค่ะ เยียนเอ๋อร์จะไปเดี๋ยวนี้เลย” 


 


 


หลังจากที่เยียลี่ว์เยียนเดินออกไปแล้ว เยียลี่ว์เยี่ยนก็รีบเดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออกเพื่อระบายกลิ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในห้อง เวลาผ่านไปพักใหญ่จนเยียลี่ว์เยี่ยนรู้สึกว่าไม่มีกลิ่นหลงเหลืออยู่แล้ว เขาก็ลดมือซ้ายที่ปิดจมูกของตัวเองลงแล้วลองสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง 


 


 


บริเวณนอกโรงเตี๊ยมด้านล่างมีแผงค้าเล็กๆ กำลังตะโกนร้องขายขนมแป้งนึ่งกลิ่นดอกสาลี่อยู่ กลิ่นของขนมแป้งนึ่งดอกสาลี่ลอยตามลมขึ้นมาช้าๆ จนไปเตะจมูกของเยียลี่ว์เยี่ยนเข้า 


 


 


เยียลี่ว์เยี่ยนสูดกลิ่นอยู่พักใหญ่ ตอนนั้นในหัวของเขาพลันปรากฏภาพของบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมา 


 


 


บนตัวของคนผู้นั้นไม่มีกลิ่นสารพัดกลิ่น แต่มีเพียงกลิ่นหอมของดอกไม้บางๆ เท่านั้น แม้ว่าจะเป็นกลิ่นหอมเช่นกันทว่ากลับหอมน่าดมกว่ามาก พอนึกถึงตรงนี้ริมฝีปากของเยียลี่ว์เยี่ยนก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น 


 


 


วันนั้นแม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะอยู่ในอาการตระหนกตกใจ ทว่ากลับไม่ลืมที่จะมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดที่ทำให้เยียลี่ว์เยี่ยนเกิดความรู้สึกอยากจะเย้าแหย่นางขึ้นมา ดังนั้นวันนั้นที่เขาเอ่ยปากออกไปเช่นนั้นไม่ได้เป็นเพราะเขาต้องการจะลองใจเพียงเท่านั้น แต่เขายังหมายความตามนั้นจริงๆ เสียด้วย? 


 


 


‘ของเล่นชิ้นน้อยที่น่ารักเช่นนี้ หากต้วนเฉินเซวียนชอบเขาเองก็พอจะเข้าใจได้’ 


 


 


“ท่านพี่ เยียนเอ๋อร์ เยียนเอ๋อร์ล้างออกหมดแล้ว! ” เยียลี่ว์เยียนใช้ความกล้าตะโกนขึ้นเบาๆ เพราะจากท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนตอนนี้คล้ายว่าเขากำลังคิดเรื่องราวบางอย่างอยู่? ดังนั้นนางจึงลังเลอยู่ว่าควรจะตะโกนขัดดีหรือไม่ เพราะสิ่งที่เยียลี่ว์เยี่ยนเกลียดมากที่สุดก็คือการที่เขาโดนขัดจังหวะขึ้นอย่างกะทันหันในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดบางเรื่องอยู่ 


 


 


ทว่าเนื่องจากเยียลี่ว์เยียนอยากจะล้างออกให้เสร็จโดยเร็วเพื่อรีบมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเยียลี่ว์เยี่ยน นี่จึงทำให้ตอนนี้ผมของนางยังคงมีหยดน้ำใสๆ ที่ยังเช็ดไม่แห้งหยดติ๊งๆ ลงมาตามเส้นผมจนทำให้เสื้อผ้าของนางเปียกชื้น! ความรู้สึกเปียกชื้นนั้นทำเอานางรู้สึกไม่สบายตัวเอาเสียเลย! 


 


 


“อืม คราวนี้กลิ่นหายไปหมดแล้ว” เยียลี่ว์เยี่ยนเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ตอนนี้แม้ว่าจะมีคนขัดจังหวะความคิดของเขา แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกโมโหมากนัก เนื่องจาก…เรื่องที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมากนักและไม่มีคุณค่าอะไรให้ต้องเอ่ยถึง 


 


 


“วันนี้เยียนเอ๋อร์ไปที่จวนตระกูลแม่ทัพซูมาเจ้าค่ะ! ” เยียลี่ว์เยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง มือทั้งสองของนางวางอยู่บนหัวเข่า ท่าทางของนางในตอนนี้ดูฝืนเกร็ง 


 


 


“ไปจวนแม่ทัพตระกูลซูรึ” เยียลี่ว์เยี่ยนหรี่ตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ใครใช้ให้เจ้าไป! “ 


 


 


“ข้า…” เยียลี่ว์เยียนตกใจเสียงทุ้มลึกของเยียลี่ว์เยี่ยนจนตัวสั่น แต่ก็ยังพยายามบังคับตัวเองให้สงบลงแล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านพี่มิได้บอกน้องหรือว่าอนุญาตให้เยียนเอ๋อร์แต่งงานกับต้วนเฉินเซวียนได้…แต่ข่าวลือในเมืองหลวงกลับบอกว่า…ดังนั้นเยียนเอ๋อร์ก็เลยตัดสินใจไปพบซูเหลียนอวิ้นโดยพลการ 


 


 


“อย่างนั้นการเดินทางหนนี้ของเจ้าได้ผลอะไรกลับมาบ้าง” 


 


 


“ผลที่ได้มาก็คือรู้ว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นคนโง่คนหนึ่งเท่านั้น” เมื่อเยียลี่ว์เยียนเอ่ยถึงตรงนี้ ความเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นในสายตาของนาง “อีกอย่างยังเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรัก ไม่ควรค่าให้พวกเราสนใจ” 


 


 


“เอ๊ะ? ” เยียลี่ว์เยี่ยนมองสายตาเหยียดหยามของน้องสาวตัวเองอย่างขบขัน “เหตุใดจึงคิดเช่นนี้” 


 


 


“โดยรวมแล้วไม่ต่างจากที่เยียนเอ๋อร์เดาไว้เท่าไหร่นัก คุณหนูซูผู้นี้เป็นฝ่ายไปตามจีบคนอื่นก่อนจริงๆ ข้าแค่ลองหยั่งเชิงดูแค่เพียงไม่กี่คำ นางก็พูดออกมาหมดเปลือกเสียแล้ว” 


 


 


“นางพูดว่าอะไร” 


 


 


“ก็ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ นางเพียงบอกน้องว่า นางชอบองค์ชายต้วนผู้นั้นได้อย่างไรแล้วนางได้ทำอะไรเพื่อเขาบ้าง อีกอย่างตอนนี้เพื่อให้ตนได้แต่งงานกับต้วนเฉินเซวียน นางถึงกับยอมทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเสื่อมเสีย และทำให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงวิจารณ์ว่านางกับคุณชายต้วนชอบพอกันและกัน” พอพูดถึงตรงนี้เยียลี่ว์เยียนก็ทนไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา “นางคงมิได้เป็นโรคขาดผู้ชายไม่ได้กระมัง ชอบพอกันและกัน? น่าขำยิ่งนัก แต่ว่าก็ยังดีที่สุดท้ายนางก็เข้าใจว่ายิ่งนางลงมือทำมากเท่าไหร่ก็มีแต่จะทำให้เขายิ่งรังเกียจนางมากขึ้นเท่านั้น” 


 


 


นางในตอนนั้นเมื่อได้ยินวิธีการเหล่านั้นของซูเหลียนอวิ้นก็ต้องฝืนพยายามไม่ให้ตัวเองหัวเราะออกมา ตามจีบผู้ชายจนถึงขั้นนี้ แถมยังใช้วิธีที่ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อีก? ช่างเป็นคนที่…โง่เง่าอย่างยิ่ง!  

 

 

 


ตอนที่ 165 ซื้อม้า

 

“เจ้ากำลังบอกว่า ข่าวลือที่แพร่อยู่ในเมืองหลวงช่วงนี้ ซูเหลียนอวิ้นเป็นคนปล่อยออกมาเองงั้นหรือ” เยียลี่ว์เยียนขมวดคิ้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถามซ้ำอีกรอบหนึ่ง


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ” เยียลี่ว์เยียนพยักหน้าโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ “นางทำเพื่อบีบบังคับให้คุณชายต้วนมาสู่ขอนาง แต่ใครเลยจะคิดว่านางจะทำเรื่องราวให้พังมากยิ่งขึ้น! เพราะเขายิ่งไม่สนใจนางเข้าไปใหญ่” นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้สตรีไร้ราคา


 


 


เยียลี่ว์เยียนหัวเราะเยาะในใจ การจะเชื่อมสัมพันธ์กับบุรุษ ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ยุคสมัย การทำตัวให้ได้มาอย่างอยากลำบากต่างหากถึงจะเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด! การเป็นฝ่ายเสนอตัวเองถึงหน้าประตูเกรงว่าจะเป็นวิธีที่ได้ผลลัพธ์แย่ที่สุด!


 


 


“เป็นเช่นนี้เอง…? ” เยียลี่ว์เยี่ยนก้มหน้า ในหัวของเขาตอนนี้เริ่มเชื่อมโยงปัญหาต่างๆ เข้าด้วยกัน


 


 


ตอนแรกเขากลับเข้าใจว่าต้วนเฉินเซวียนกับซูเหลียนอวิ้นต่างฝ่ายต่างชอบกันมาเนิ่นนานแล้ว หรืออาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งคือต้วนเฉินเซวียนเป็นฝ่ายชอบซูเหลียนอวิ้นก่อน? เนื่องจาก…ในความคิดของเขา การใช้คำวิจารณ์ของมวลชนมาบีบบังคับให้ผู้อื่นยอมก้มหัวยอมแพ้เช่นนี้คล้ายจะเป็นวิธีการในแบบของต้วนเฉินเซวียนเสียมากกว่า


 


 


แต่ผลสุดท้ายกลับเป็นวิธีการที่ซูเหลียนอวิ้นเลือกลงมือ? แต่ตั้งแต่ที่เขามาถึงที่นี่ เหตุใดข่าวลือพวกนั้นกลับอันตรธานหายไป


 


 


เรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ หากบอกว่าต้วนเฉินเซวียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เขาต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน!


 


 


“ท่านพี่ เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ! ” เมื่อเยียลีว์เยียนเห็นเยียลี่ว์เยี่ยนขมวดคิ้วและทำท่าทางครุ่นคิดอย่างไม่พอใจ นางกลับคิดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดที่ตนพูดจึงอดไม่ได้ที่จะอธิบายต่อว่า “ท่านพี่ เรื่องซูเหลียนอวิ้นวิ่งตามจีบต้วนเฉินเซวียนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่อะไรของคนต้าชั่วนะเจ้าคะ! แค่ส่งคนออกไปสืบข่าวนิดหน่อยก็ได้ข่าวเช่นนี้มาแล้ว”


 


 


“อืม พี่รู้แล้วเยียนเอ๋อร์” เยียลี่ว์เยี่ยนเก็บซ่อนสีหน้าของตัวเองแล้วกลับมายิ้มด้วยรอยยิ้มจอมปลอมเช่นเคย “พี่ขอคิดอะไรคนเดียวสักพัก เจ้ากลับไปก่อนเถิด หากยังมีเรื่องอื่นอีก พี่จะเรียกเจ้ามาเอง”


 


 


“เจ้าค่ะ…” เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นทันที เพราะการที่ต้องเผชิญหน้าพี่ชายที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเช่นนี้ หากนางสามารถอยู่ให้ห่างๆ ได้ เยียลี่ว์เยียนก็อยากจะอยู่ให้ห่างๆ เอาไว้!


 


 


“ต้วนเฉินเซวียน…” เมื่อรอบกายไร้ผู้คน เยียลี่ว์เยี่ยนจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยสามคำนี้ออกมาอย่างโกรธแค้น


 


 


เขากับต้วนเฉินเซวียนมีความข้องเกี่ยวกันเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้มาแล้ว เขาในตอนนั้นได้รับภารกิจแรกจากบิดาของตนเอง โดยให้เขาไปที่เผ่าม้าศึกเพื่อซื้อม้าศึกตัวใหม่ที่สุดมาจำนวนหนึ่ง


 


 


ม้าศึกของชนเผ่าม้าศึกในหนึ่งปีจะมีม้าออกมาขายเพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น แม้ว่าจำนวนจะน้อย แต่ม้าเหล่านั้นกลับเป็นม้าล้ำค่าที่สามารถเดินทางได้เป็นพันลี้ได้ในวันเดียว! ดังนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาที่ชนเผ่าม้าศึกขายม้าก็จะดึงดูดคนจากต่างบ้านต่างเมืองเพื่อมาขอซื้อม้า โดยหวังว่าจะสามารถซื้อได้สักตัวก็เพียงพอแล้ว


 


 


เมืองเยียลี่ว์ต้องการซื้อม้า เมืองต้าชั่วเองก็ไม่ต่างกัน ครั้งนั้นคนที่เมืองต้าชั่วส่งตัวให้มาเจรจาซื้อม้าก็ต้วนเฉินเซวียน


 


 


เยียลี่ว์เยี่ยนเป็นฝ่ายมาถึงก่อนล่วงหน้าจึงได้เจรจาราคาม้าชั้นยอดไปเป็นจำนวนสิบตัวเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การเจรจาซื้อขายที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นกลับถูกการปรากฏตัวของต้วนเฉินเซวียนที่มาทีหลังทำทุกอย่างจนเสียเรื่อง


 


 


คนของเผ่าม้าศึกบอกเขาว่าไม่ขายแล้ว หากจะขายก็คงขายให้เขาได้เพียงหนึ่งตัว ดังนั้นหากจะซื้อสิบตัว? เขาคงต้องขอโทษด้วยที่เขาไม่เหลือขายให้ได้มากขนาดนั้น


 


 


ตอนนั้นเยียลี่ว์เยี่ยนเดือดดาลอย่างที่สุด แต่ด้วยนิสัยของเขาที่ถูกฟูมฟักมาอย่างดีในหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาจึงสามารถข่มอารมณ์ลงได้และเอ่ยปากถามคนของเผ่าม้าศึกอย่างสุภาพว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจู่ๆ ถึงไม่ยอมขายให้เขาแล้ว เพราะราคาที่เขาเสนอจะซื้อนั้นก็ถือว่าสูงมากทีเดียว


 


 


คนของเผ่าม้าศึกให้ความสำคัญกับการรักษาสัญญามาโดยตลอด ดังนั้นในใจจึงรู้สึกละอายต่อการกระทำที่ไม่รักษาสัญญาของตัวเองต่อเยียลี่ว์เยี่ยนเป็นอย่างมาก ดังนั้นตอนนี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ถูกบอกยกเลิกข้อตกลงแต่ยังถามอย่างสุภาพถึงสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเช่นนี้จึงตัดสินใจบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่เยียลี่ว์เยี่ยน


 


 


สรุปแล้วตอนที่ต้วนเฉินเซวียนเดินทางมาถึงนั้นได้เลยช่วงเวลาการเจรจาซื้อขายที่ดีที่สุดไปแล้ว ดังนั้นลูกค้าคนอื่นๆ เมื่อทำการซื้อขายเสร็จต่างก็จูงม้าของตัวเองกลับกันไปหมดแล้ว


 


 


ดังนั้นตอนนี้ม้าชั้นยอดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในดินแดนนี้ก็มีเพียงม้าชั้นยอดสิบตัวนี้ที่เยียลี่ว์เยี่ยนจองไว้แต่ยังไม่ได้นำกลับไปเท่านั้น ดังนั้น…ต้วนเฉินเซวียนจึงสนใจในม้าทั้งสิบตัวนี้


 


 


เมื่อคนของเผ่าม้าศึกเอ่ยถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็ปรากฏความละอายใจ เดิมทีเขาไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้ซื้อ แต่ต้วนเฉินเซวียนในตอนนั้นไม่เพียงแต่หว่านล้อมและแนะนำเขาอย่างสุภาพเท่านั้น แต่เขายังมอบเหล้าชั้นยอด ของล้ำค่า…หรือแม้กระทั่งสาวงามให้อีกด้วย


 


 


เดิมทีเขาไม่อยากรับสาวงามไว้เท่าไหร่นัก เพราะเมียที่บ้านของเขานั้นขี้หึง แถมตัวเขาเองนั้นยังเป็นคนกลัวเมียอีกด้วย แต่เขาก็ต้านทานการหว่านล้อมของต้วนเฉินเซวียนไม่ไหว อีกอย่างด้วยการหลอกล่อ สาวงามจึงตกมาอยู่ในมือของตน สุดท้ายเขาจึงทนไม่ไหวและรับสาวงามคนนั้นเอาไว้


 


 


เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าเรื่องนี้ประสบความสำเร็จก็รีบดำเนินแผนการโจมตีขั้นสุดท้าย โดยการยืนยันว่าเขาต้องการม้าสิบตัว มิเช่นนั้น…ต้วนเฉินเซวียนจะส่งคนไปรายงาน


 


 


เรื่องที่ตนนอนกับสาวงามนางนี้ให้เมียของตนรู้


 


 


ได้ยินเช่นนั้นจะทนได้อย่างไร คนเผ่าม้าศึกผู้นั้นเริ่มกลัวขึ้นมา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ถูกข่มขู่เช่นนี้จึงครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจขายม้าให้ต้วนเฉินเซวียนเก้าตัว ส่วนม้าอีกตัวที่เขาหักเอาไว้ก็เพื่อขายให้เยียลี่ว์เยี่ยนเพื่อเป็นการขอโทษ


 


 


เนื่องจาก…คำพูดของต้วนเฉินเซวียนในตอนนั้นยังคงดังวนเวียนอยู่ในหูของเขา


 


 


ม้าพวกนี้ขายให้ใครก็เหมือนกันมิใช่หรือ อีกอย่างราคาที่ต้วนเฉินเซวียนเสนอให้เขาก็ไม่ต่ำ อีกอย่างหากยังไม่ได้นำม้ากลับไป ขั้นตอนการซื้อขายนี้ก็ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์!


 


 


อีกอย่าง…ตอนสุดท้ายต้วนเฉินเซวียนผู้นี้ยังข่มขู่เขาอีกว่า “หากไม่ขายม้าพวกนี้ให้เขา เขาจำเป็นต้องเก็บเอาบรรดาทรัพย์สินเงินทอง เหล้าชั้นยอดและสาวงามกลับไป เพราะถือว่าการซื้อขายไม่สำเร็จ


 


 


ทว่าเขาได้ชิมเหล้าชั้นยอดไปแล้ว ถือได้ว่าเป็นเหล้าชั้นดีที่หาได้ยากยิ่ง! แต่เขาเพิ่งจะได้ชิมไปเพียงหนึ่งเหยือกเท่านั้น ซึ่งนั่นถือเป็นการเรียกน้ำย่อยของเขาอย่างรุนแรง ส่วนที่เหลือเขายังไม่ทันได้ดื่มก็จะนำกลับไปหมดเลยหรืออีกอย่างเขาได้ลิ้มรสชาติของสาวงามนางนี้ไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้จะให้เขาที่ได้ลิ้มรสไปแล้วต้องปล่อยวางหรือ เขาทำไม่ลงจริงๆ!


 


 


เมื่อได้ยินคนเผ่าม้าศึกผู้นี้อธิบายเหตุผลจนจบอย่างปวดใจ ตอนนั้นเยียลี่ว์เยี่ยนโกรธเสียจนแทบจะหน้ามืดไปแล้ว! เพราะเขาปฏิบัติกับคนเผ่าม้าศึกนี้อย่างมีมารยาทมาตั้งนาน สุดท้ายกลับแพ้กลวิธีต่ำช้าของต้วนเฉินเซวียนเช่นนี้? นี่ทำให้เขามิอาจยอมรับได้อย่างยิ่ง!


 


 


ยิ่งกว่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่เสด็จพ่อของเขาส่งเขาออกมาทำภารกิจและยังเป็นเพียงภารกิจซื้อม้าเท่านั้น…แต่เขากลับทำพังเสียอีก? อีกอย่างหากเขาทำพังเช่นนี้จริงๆ เยียลี่ว์เยี่ยนไม่ต้องหลับตาก็พอจินตนาการออกว่าบรรดาพี่ชายและน้องชายของเขา พอถึงตอนนั้นจะพูดจาใส่สีตีไข่ว่าเขาทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จเพราะอะไรบ้าง!


 


 


ทว่าเรื่องราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงปัญหาในตอนนั้นอีก ดังนั้นสุดท้ายสิ่งที่เยียลี่ว์เยี่ยนสามารถทำได้ก็คือใช้เงินของตัวเองซื้อม้าต่อจากคนขายรายอื่น โดยให้เงินมากกว่าถึงสามเท่าเพื่อซื้อม้าอีกเก้าตัวที่ขาดไป


 


 


ทว่าคนอย่างเยียลี่ว์เยี่ยนทนรับความอับอายเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ดังนั้นในครั้งนี้จึงถือว่าความบาดหมางของเขากับต้วนเฉินเซวียนดำเนินมาถึงขั้นที่เป็นศัตรูกันอย่างแท้จริงแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 166 เต้นรำ

 

ดังนั้นการเดินทางมาเยือนเมืองต้าชั่วครั้งนี้ไม่ได้เพียงต้องการที่จะจับเยียลี่ว์เยียนแต่งงานเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างสองเมืองเท่านั้นแต่อีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดของเยียลี่ว์เยี่ยนที่เดินทางมาต้าชั่วอย่างยากลำบากนั้นก็คือการสร้างความวุ่นวายให้ชีวิตของต้วนเฉินเซวียน


 


 


เนื่องจาก…แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะจบไปแล้วหลายปี แต่คนที่กล้าทำให้เยียลี่ว์เยี่ยนขาดทุนนั้น สำหรับเขาแล้วคงไม่ผิดอะไรหากเขาจะจดจำไปตลอด อีกอย่างหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาอยู่กันคนละเมืองดังนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสลงมือแม้แต่ครั้งเดียว


 


 


เมื่อนึกถึงตรงนี้สายตาของเยียลี่ว์เยี่ยนก็ปรากฏแววแห่งความดุร้ายเคลื่อนผ่านคราวนี้ไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะต้องทำให้ต้วนเฉินเซวียนผู้นี้ได้เจ็บตัวเสียบ้าง


 


 


……


 


 


“น้องหญิง ช่วงนี้สีหน้าของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยปากขึ้นเมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นกำลังฝึกวิชาต่อสู้อยู่เพียงลำพังในลานบ้าน”แบบนี้ค่อยดูดีหน่อย เริ่มอ้วนขึ้นมาบ้างแล้ว เป็นสตรีต้องมีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะน่ารัก”


 


 


เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า เขาได้ไปสืบข่าวมาแล้ว แม้ว่าเรื่องราวบางอย่างจะเป็นความลับและถูกลบร่องรอยออกไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีร่องรอยที่พอหลงเหลือให้ตามสืบได้อยู่บ้าง อีกอย่างในวันนั้นหลิวจือนำของพวกนั้นมาถึงจวนตระกูลซูอย่างอุกอาจ เรื่องนี้ต่อให้คนนอกไม่รู้แต่คนในจวนซู…ไม่มีทางที่จะไม่มีผู้ใดไม่รู้


 


 


เมื่อนึกถึงหน้าต้วนเฉินเซวียนขึ้นมา มือของซูมั่วเยี่ยก็ค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น


 


 


น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาเพิ่งจะมีอายุได้เท่าไหร่เองเป็นหญิงสาวที่เพิ่งจะผ่านพิธีปักปิ่นมาหมาดๆ เท่านั้น! แต่กลับมีคนไม่กลัวตายกล้ามาจีบนางแล้วหรืออีกอย่างตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะมีอายุได้สิบห้าปี และต่อให้นางอายุยี่สิบห้าปี ในสายตาของซูมั่วเยี่ยนางก็ยังคงเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบที่ชอบกอดเขาเพื่อออเซาะออดอ้อนเท่านั้น


 


 


ดังนั้นหากผู้ใดต้องการจะสู่ขอน้องสาวของเขา? ก็คงต้องถามความเห็นของเขาก่อนกระมัง


 


 


แน่นอนว่าการมอบของขวัญให้นั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะคงแค่อยากจะเอาใจพวกตนและน้องหญิงเท่านั้น เรื่องนี้ซูมั่วเยี่ยพอเข้าใจได้ เพราะน้องสาวของเขาดีขนาดนี้ ย่อมต้องมีคนมากหน้าหลายตามาชอบอย่างแน่นอน!


 


 


แต่ต้วนเฉินเซวียนเพิ่งจะถูกน้องสาวของตนปฏิเสธไปแท้ๆ ยังไม่ทันจะพ้นหนึ่งเดือนเลยกระมัง? เขากลับหาคนใหม่มาแทนที่แล้วแถมยังให้คนใหม่มาตบหน้าพวกเราถึงที่จวนด้วย!


 


 


นี่ถือว่ารังแกกันมากเกินไปหน่อยแล้ว!


 


 


เมื่อเขานึกถึงสีหน้าท่าทางอันซูบเซียวของซูเหลียนอวิ้นในวันนั้น ซูมั่วเยี่ยแทบอยากจะยกดาบไปฟันต้วนเฉินเซวียนเสียให้ได้! แต่พอมานึกๆ ดูแล้ว จนถึงตอนนี้น้องสาวของเขาเองยังคงเก็บเรื่องทุกอย่างเอาไว้ในใจและไม่ยอมบอกเล่าให้พวกเขาฟัง


 


 


คงจะเป็นเพราะน้องหญิงไม่ต้องการให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาซูมั่วเยี่ยจึงต้องสงบอารมณ์ของตัวเองอยู่ในห้องหนังสือของเขาตามลำพังอยู่หลายวัน ถึงจะระงับความพุ่งพล่านนั้นลงได้จากนั้นจึงรีบมาเยี่ยมน้องสาวของตนทันที


 


 


ยังดีที่ตอนนี้น้องสาวของเขาอาการดีขึ้นแล้ว หากนางยังคงมีสีหน้าเช่นเดียวกับวันนั้นอยู่อีก ซูมั่วเยี่ยคิดว่าเขาคงทนไม่ได้อีก!


 


 


“ท่านพี่ว่าน้องอ้วนหรือ! ” เดิมทีซูเหลียนอวิ้นไม่อยากหยุดฝึกกลางคันเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินซูมั่วเยี่ยพูดขึ้นมาว่าตัวเองอ้วนขึ้นจิตใจของนางพลันว้าวุ่นขึ้นแล้วเอามือลูบคลำที่ใบหน้าของตัวเอง “ท่านพี่ น้องอ้วนขึ้นมากหรือไม่เห็นชัดเลยหรือเจ้าคะแม้แต่ท่านพี่ก็ยังมองออกเลยหรือ! “


 


 


โธ่สวรรค์! ไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดเรื่อง…นางเลยระบายอารมณ์ไปกับการกิน แต่นางกินมากกว่าเดิมไม่เยอะเท่าไหร่นัก…นั่นจะทำให้นางอ้วนขึ้นเลยรึ!


 


 


อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า! เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ในวังมีงานเลี้ยงแล้ว…นางจะต้องเจอกับต้วนเฉินเซวียนและองค์หญิงเยียลี่ว์เยียนอะไรนั่นแล้ว! ถ้าหาก ถ้าหากนางไปร่วมงานด้วยสารรูปที่อวบอ้วนเช่นนี้…


 


 


ช่างมันเถิด! นางไม่อยากไปแล้ว! แน่นอนว่าหากยังยืนยันว่าจะไปอยู่ล่ะก็…ก็น่าจะยังพอมีวิธี ภายในระยะเวลาที่เหลือไม่กี่วันนี้ นางจะต้องรีบลดความอ้วนลงให้ได้นี่ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งเช่นกัน!


 


 


แต่เวลาจะอ้วนขึ้นนั้นไม่ยาก ตอนทำให้ผอมต่างหากที่ยาก! ทำอย่างไรดี…!


 


 


“ไม่ใช่ๆ! ” ซูมั่วเยี่ยรีบโบกมือปฏิเสธเมื่อเขาเห็นสายตากระวนกระวายของน้องหญิงซูมั่วเยี่ยก็รู้ตัวแล้วว่าตนคงพูดอะไรผิดไป เนื่องจากน้องหญิงเป็นสตรี ดูเหมือนว่าสตรีทุกคนจะให้ความสำคัญกับรูปร่างของตัวเองเป็นอย่างมาก!


 


 


“รูปร่างของน้องหญิงตอนนี้ไม่ถือว่าอ้วนเลย! ดีมากอยู่แล้ว! ” ซูมั่วเยี่ยเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วแกะมือที่กำลังลูบคลำใบหน้าตัวเองของน้องสาวให้วางลง”ตอนนี้น้องหญิงดูดีมากอยู่แล้วแก้มนุ่มลื่นแดงระเรื่อ เวลาที่สวยที่สุดของเจ้าคือตอนยิ้ม” เวลาที่นางสีหน้าซีดเซียวแม้ว่านางจะผอมก็จริง แต่ความผอมนั้นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ!


 


 


“ท่านพี่ปลอบคนเก่งยิ่งนัก…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้า น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเศร้าใจ “อีกไม่นานน้องต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนั่นแล้ว…แต่สภาพน้องตอนนี้ จะให้ไปเพื่ออะไรเล่า! อีกอย่างชุดที่น้องสั่งตัดไปจะยังใส่ได้อยู่หรือ! ” ตอนที่นางลูบหน้าของตัวเองเมื่อครู่นี้ เมื่อลองย้อนนึกเปรียบเทียบดูแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าแก้มของนาง…คล้ายว่าจะกลมขึ้นมาหน่อยหนึ่ง!


 


 


“หากน้องหญิงไม่เต็มใจที่จะไปก็ไม่ต้องไป” เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นท่าทางเศร้าสลดใจของซูเหลียนอวิ้น เขาจึงเริ่มกระแอมลำคอ จากนั้นจึงให้คำแนะนำต่อ “ที่ผ่านมางานเลี้ยงในวังถือเป็นเรื่องน่าเบื่อ หากน้องหญิงไม่เต็มใจที่จะไป พอถึงวันงานน้องหญิงก็ทำเป็นป่วยซะก็สิ้นเรื่อง? ” เพราะที่งานเลี้ยงนั้นนางจะต้องพบต้วนเฉินเซวียนกับองค์หญิงเยียลี่ว์นั่นอย่างแน่นอน! เขาไม่อยากให้น้องสาวของตนต้องไปเห็นภาพบาดตาบาดใจและนึกย้อนถึงเรื่องที่ทำให้จิตใจว้าวุ่นอีก


 


 


“ท่านพี่น้องเพียงพลั้งปากพูดไปก็เท่านั้น” ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ามาทางซูมั่วเยี่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างงานเลี้ยงครั้งนี้ น้องได้ยินท่านแม่บอกว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับคนจากเมืองเยียลี่ว์? งานใหญ่ขนาดนี้…หากน้องป่วยและไม่ยอมเข้าร่วมงาน นั่นคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนั้นคนทุกคนจะต้องมาเข้าร่วม หากขาดน้องไปเพียงคนเดียว…คงจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดไปหน่อย”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้ารับแสงแล้วค่อยๆ หลับตาลงเบาๆ หากนางไม่ไปร่วมงาน นั่นไม่เท่ากับเป็นการยอมรับว่าตัวเองรับการโจมตีของเยียลี่ว์เยียนไม่ไหวจนท้อถอยไปเองหรอกหรือ


 


 


แต่การยอมแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สู้ไม่ใช่นิสัยของซูเหลียนอวิ้นตลอดมาคนอย่างซูเหลียนอวิ้นหากไม่สู้หัวชนฝาก็จะไม่มีทางหันหลังกลับ!


 


 


ซูเหลียนอวิ้นลืมตาขึ้นแววตาของนางปรากฏความโมโห เยียลี่ว์เยียนอยากเห็นนางเป็นตัวตลกมิใช่หรือถึงเวลานั้นก็ลองดูแล้วกันว่าใครกันแน่ที่จะกลายเป็นตัวตลก!


 


 


การมาเยี่ยมเยียนทางการฑูตระหว่างสองเมืองเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องเลือกคนของเมืองตัวเองมาทำการประลองกันไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตาม ไม่ว่าการประลองความสามารถจะเป็นอะไร ก็ต้องประลองเพื่อหาคนแพ้ชนะ เพื่อแบ่งแยกว่าใครเหนือกว่าใคร


 


 


วันนั้นที่เยียลี่ว์เยียนมาที่จวนของนาง ซูเหลียนอวิ้นมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคนอย่างเยียลี่ว์เยียนเปรียบเสมือนดอกนกยูงที่อยากจะแสดงความสามารถของตัวเองทุกที่ทุกเวลา เพื่อให้ภาพความโดดเด่นของตนเป็นที่สนใจของทุกคนถึงจะสมใจของนาง


 


 


ดังนั้นงานเลี้ยงในวังครั้งนี้…หากไม่มีเยียลี่ว์เยียนคงจะเป็นไปไม่ได้! อีกอย่างซูเหลียนอวิ้นก็พอจะมีความทรงจำหลงเหลืออยู่บ้างจากเมื่อชาติก่อน แม้ว่าตอนนั้นตนจะไม่ค่อยใส่ใจองค์หญิงเยียลี่ว์เท่าไหร่นักแต่ตนก็ยังพอจำได้ว่าวันนั้นเยียลี่ว์เยียนนำการเต้นรำชนิดหนึ่งมาใช้เป็นการประลอง?


 


 


ก็แค่เต้นรำเองมิใช่รึซูเหลียนอวิ้นแค่นยิ้ม ตัวนางเองก็ไม่ค่อยได้ขยับแข้งขยับขามานานแล้วเช่นกัน!

 

 

 


ตอนที่ 167 น้องชาย

 

“น้องหญิง วันนี้….เจ้าอย่าไปเลยดีหรือไม่” ซูมั่วเยี่ยมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่ตอนนี้กำลังส่องกระจกแต่งตัว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “น้องหญิง งานเลี้ยงของวังหลวงเป็นเรื่องไร้สาระ! ต้องนั่งเฉยๆ ตั้งหลายชั่วยาม น้องหญิงอย่าไปเลย…”


 


 


“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงทรงผมของตัวเองแล้วค่อยๆ หันหน้ามามองซูมั่วเยี่ย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แต่ทำไมครั้งนี้ท่านพี่ถึงยืนกรานที่จะขัดขวางไม่ให้น้องไปร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงเช่นนี้ หรือว่าท่านพี่จะมีจุดประสงค์อื่น ที่ผ่านมาท่านพี่ไม่สนใจเรื่องราวเช่นนี้เป็นที่สุด”


 


 


นางกับซูมั่วเยี่ยเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ดังนั้นในใจของซูมั่วเยี่ยคิดอะไรอยู่ นางย่อมรู้ความคิดนั้นดีที่สุด แต่เป็นเพราะว่ารู้ดีเกินไปจึงทำให้มีบางคำพูดที่ไม่อาจพูดออกไปตามตรงได้


 


 


“ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนแล้วเกาะแขนของซูมั่วเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อยมือราวกับตอนที่นางยังเป็นเด็กเมื่อหลายปีก่อนแล้วพูดอย่างออดอ้อนขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าองค์ชายเยียลี่ว์ผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลา ท่านพี่จึงกลัวว่าน้องจะชอบเขาขึ้นมาใช่หรือไม่


 


 


“แต่ขอท่านพี่โปรดวางใจ เพราะในใจของอวิ้นเอ๋อร์ ท่านพี่คือคนที่หล่อที่สุดแล้ว! อีกอย่างอวิ้นเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ อย่างมากเขาก็ทำได้แค่มองเท่านั้น เรื่องการแต่งงานอะไรนั่น…ข้ายังอยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ ท่านแม่และท่านพี่ให้นานกว่านี้ ดังนั้นข้าไม่มีทางรีบแต่งงานอย่างแน่นอน! ” น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นน่ารักสดใสราวกับเด็กเล็กๆ กำลังเจรจา


 


 


เพราะตัวนางเองรู้ดีว่าพี่ชายของนางกำลังกังวลว่าหากนางเจอหน้าต้วนเฉินเซวียนจะทำให้นางคิดเรื่องไร้สาระต่างๆ ขึ้นมาอีก แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับคิดว่าพี่ชายของตนกำลังคิดมากเกินไป!


 


 


ตอนแรกที่นางได้ยินเยียลี่ว์เยียนบอกว่านางจะแต่งงานกับต้วนเฉินเซวียนนั้น แน่นอนว่านางรู้สึกเศร้าและเจ็บใจ ทว่าเวลาคือยารักษาแผลที่ดีที่สุด ดังนั้นนางในตอนนี้พอย้อนนึกกลับไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น นางเพียงรู้สึกเสียดายเท่านั้น เสียดายที่วันนั้นตัวเองพูดคำพูดเช่นนั้นออกไป!


 


 


อะไรคือการที่บอกไปว่าตัวเองเป็นคนปล่อยข่าวลือพวกนั้น ไม่ใช่สักนิด!


 


 


ช่างเถิด เสียดายไปก็เปล่าประโยชน์ ซูเหลียนอวิ้นแอบถอนใจ เพราะยิ่งนางคิดซ้ำไปซ้ำมามากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้น ดังนั้นตอนนี้จึงต้องตั้งสติอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าจะดีกว่า! “ไร้สาระอย่างยิ่ง! ” ซูมั่วเยี่ยมองไปยังมือที่เกาะกุมแขนของตัวเองเอาไว้พลันรู้สึกว่าน่าขัน “พอเริ่มโตหน่อย วันๆ เจ้าก็เอาแต่คิดว่าจะแต่งงานอย่างไรแล้วรึ! ” ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอวิ้นเอ๋อร์ ซูมั่วเยี่ยย่อมฟังออก ดูท่แล้วอวิ้นเอ๋อร์คงจะไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับต้วนเฉินเซวียนจริงๆ


 


 


อย่างนั้นก็ดี ถึงอย่างไรคนที่ไม่ชอบน้องสาวของเขาต่างหากคือฝ่ายที่สูญเสียเอง


 


 


……


 


 


“เหลียนอวิ้น! นั่งๆ ….นั่งตรงนี้มา…” หลินเหวินเสี่ยวเรียกเบาๆ พลางโบกมือส่งสัญญาณให้ซูเหลียนอวิ้น เนื่องจากครอบครัวของพวกนางล่วงหน้ามารอที่งานเลี้ยงก่อน ดังนั้นจึงมีโอกาสก่อนในการเลือกที่นั่งดีๆ ดังนั้นตอนที่มองลงไปเห็นซูเหลียนอวิ้น หลินเหวินเสี่ยวจึงรีบโบกมือไหวๆ เป็นการส่งสัญญาน


 


 


“ท่านแม่เราไปนั่งตรงนั้นกันเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นดึงแขนเสื้อของอันเพ่ยอิงเบาๆ แล้วชี้ไปยังทิศทางที่หลินเหวินเสี่ยวนั่งอยู่ จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้หลินเหวินเสี่ยวเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณบอกนางว่าตนเห็นนางแล้ว เพราะนางรู้สึกว่า หากนางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับหลินเหวินเสี่ยวเลย มือของหลินเหวินเสี่ยวคงโบกให้นางไปเรื่อยๆ จนกว่านางจะเดินไปถึงที่นั่ง!


 


 


“แล้วแต่เจ้า” อันเพ่ยอิงยิ้ม “นั่งตรงไหนก็เหมือนกันเพราะวันนี้พวกเราเป็นเพียงแขกที่มาร่วมงานเท่านั้น แต่พอเห็นท่าทางของเพื่อนเจ้าตอนนี้คงรอไม่ไหวเต็มทีแล้วกระมัง พวกเราคงต้องรีบไปกันหน่อยแล้ว”


 


 


หลังจากที่นั่งเรียบร้อยแล้ว หลิวเหวินเสี่ยวก็รีบมากระซิบข้างๆ หูทันที “ทำไมพี่ชายของเจ้าถึงมานั่งกับพวกเราด้วยเล่า”


 


 


“นี่เป็นเรื่องปกติมิใช่หรอกหรือ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินหลินเหวินเสี่ยวเอ่ยเช่นนี้พลันรู้สึกขบขัน “คนครอบครัวเดียวกันจะให้แบ่งนั่งสองโต๊ะเลยหรือ อีกอย่างนี่เป็นงานเลี้ยงของวังหลวง มิใช่งานเลี้ยงส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่ต้องแบ่งโต๊ะชายหญิงหรอก สรุปคือพี่ชายของข้าย่อมต้องนั่งโต๊ะเดียวกับพวกเราอยู่แล้ว”


 


 


“อ้อ” หลินเหวินเสี่ยวหรี่ตามองซูมั่วเยี่ยสองสามครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าซูมั่วเยี่ยไม่ได้สังเกตมาที่พวกนางจึงเอ่ยขึ้นอย่างเบาใจว่า “ข้ามักจะรู้สึกว่าพี่ชายของเจ้าดุไปเสียหน่อย…ข้าออกจะกลัวเขา! “


 


 


“หากได้สัมผัสไปนานเข้าก็จะเข้าใจพี่ชายของข้าเอง” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือของตนตบไปที่มือของหลินเหวินเสี่ยวเบาๆ แล้วพูดปลอบใจว่า “ปกติแล้วพี่ชายของข้ามีลักษณะเป็นเช่นนั้น เพราะท่านพี่มักจะอยู่แต่ในค่ายทหารกระมัง เวลาท่านพี่อยู่ที่เรือนก็ไม่ค่อยชอบยิ้มเท่าไหร่ แต่พี่ชายของข้าถือเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนผู้หนึ่ง! “


 


 


“อืม…” หลินเหวินเสี่ยวเองก็รู้ว่าตัวเองอาจจะแสดงอาการเกินจริงไปหน่อย เพราะจะว่าไปแล้วตัวนางเองก็ถือว่าเกิดมาจากตระกูลนักรบเช่นกัน ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคยกับบรรดาแม่ทัพนายกองพอสมควร ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เวลาที่นางเห็นซูมั่วเยี่ย นางจะเริ่มระมัดระวังตัวขึ้นมาและเริ่มรู้สึกกลัวเขา


 


 


“อาจจะเป็นเพราะคนในครอบครัวข้าไม่มีใครมีลักษณะเช่น…พี่ชายเจ้า? ” หลินเหวินเสี่ยวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงได้ข้อสรุปนี้ออกมา จากนั้นจึงยื่นมือออกไปดึงเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ นางมาตั้งแต่ต้นแล้วเอ่ยว่า “เหลียนอวิ้น เจ้าดูนี่สิ นี่คือน้องชายของข้า หลินจือถัง”


 


 


“เอ่อ สวัสดี” เด็กชายที่นั่งตัวตรงอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เมื่อถูกหลิวเหวินเสี่ยวคว้าตัวมาอย่างกะทันหันเช่นนี้จึงมีท่าทางปรับตัวไม่ค่อยได้ ด้วยเหตุนี้จึงติดอ่างอยู่ครู่หนึ่งถึงจะเริ่มแนะนำตัวเอง “สวัสดีพี่เหลียนอวิ้น ข้ามักจะได้ยินพี่สาวของข้าพูดถึงท่านอยู่บ่อยๆ ข้าเป็นน้องห้าของพี่สาวข้า ข้ามีนามว่าหลินจือถัง”


 


 


“สวัสดี…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลินจือถังมองมาที่ตนด้วยท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้ ตอนนั้นนางจึงรู้สึกเกร็งขึ้นมา “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบหน้าเจ้า…”


 


 


“เจ้าพบหน้าเขาครั้งแรกเสียที่ไหนเล่า! ” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้น “ครั้งที่แล้วในงานพิธีปักปิ่นของเจ้า มิได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งแล้วหรือ”


 


 


ใช่หรือ ทำไมถึงไม่มีอยู่ในความทรงจำของนางเลย…


 


 


“อย่างนั้นเองหรือ…” ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า เนื่องจากคนประเภทนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ขี้อาย! ทว่าสำหรับคนประเภทนี้…โดยปกติแล้วนางจะจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่!


 


 


“เอาล่ะ จือถังเมื่อกี้ข้าเพียงลากเจ้าให้มาทักทายเหลียนอวิ้นเท่านั้น ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าแล้ว หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าเอง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมองมาทางนี้แล้ว! ” เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นท่าทางประหม่าของซูเหลียนอวิ้น ตอนนั้นนางจึงรีบผลักน้องชายของตัวเองกลับไปอย่างสมน้ำหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้าดึงน้องชายข้ามาก็เพียงเพราะต้องการบอกว่าครอบครัวของข้าก็มีผู้ชายเช่นกัน! แต่ไม่รู้ทำไมตามที่เจ้าบอกก็เขาก็เติบโตมาคล้ายๆ กัน แต่เพราะเหตุใดถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้? “

 

 

 


ตอนที่ 168 ปกป้อง

 

หลินเหวินเสี่ยวมองไปยังคนด้านหลังซูเหลียนอวิ้นที่นั่งอยู่ตามปกติ แต่มีรัศมีอำมหิตแผ่ออกมาอย่างซูมั่วเยี่ย เมื่อนางนำมาเปรียบเทียบกับน้องชายของตนที่เจอสตรีเมื่อใดจะพูดจาติดขัดแล้วนางก็ได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น!


 


 


“ดังนั้นนะเหลียนอวิ้นที่ข้าบอกว่า ข้ารู้สึกตาขาวเมื่อเจอพี่ชายเจ้า ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียที่ไหน!” ระหว่างที่พูดหลินเหวินเสี่ยวก็ถอนใจ เพราะตั้งแต่เล็กเป็นต้นมา เด็กชายที่ใกล้ชิดกับหลินเหวินเสี่ยวมากที่สุดก็มีเพียงหลินจือถังน้องชายของนางเท่านั้น


 


 


แต่ระหว่างหลินจือถังกับซูมั่วเยี่ย? คล้ายว่า…จะไม่ต้องเปรียบเทียบอะไรนัก เพราะเพียงกวาดตาดูสองคนนี้ปราดเดียวก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้สองคนนี้ไม่เพียงแต่มีความคิดที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ต้องพูดว่าคนละชั้นกันเลยเสียมากกว่า!


 


 


“เหวินเสี่ยว” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหลินจือถังไม่ได้สนใจพวกนางอีกแล้วตอนนั้นนางจึงไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไปจึงพูดต่อไปว่า “อันที่จริงแล้วข้าก็แปลกใจอยู่เช่นกันเหวินเสี่ยวนี่คือน้องของเจ้าจริงหรือใช่…แม่เดียวกันหรือไม่”


 


 


นั่นเป็นเพราะแม้ว่าหลินเหวินเสี่ยวจะไม่ได้มีนิสัยแบบที่เรียกว่าจัดจ้านแต่ก็นับว่าเป็นสตรีที่ใจกว้างและห้าวหาญ การดำเนินชีวิตของนางล้วนร่าเริงและเรียบง่าย แต่น้องชายของนางผู้นี้…? เขาเพิ่งจะคุยกับตนเพียงไม่กี่คำเท่านั้นแต่หูกลับแดงไปหมด! แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่นิสัยต่างกันมากเกินไปกระมัง


 


 


“แน่นอนว่าเราทั้งคู่…ไม่ได้มีแม่คนเดียวกัน” หลินเหวินเสี่ยวหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไร้ความกังวล “แต่นี่มันเกี่ยวอะไรด้วย ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ความจริงข้อนี้ไม่มีทางเปลี่ยน! ดังนั้นเรื่องราวอื่นๆ ข้าคร้านจะสนใจ”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางของหลินเหวินเสี่ยวเป็นเช่นนี้ นางก็เริ่มเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถามอะไรต่อไปดีจึงได้แต่เพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็พออธิบายได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นเหมือนอย่างแม่ของเจ้า น้องชายของเจ้าก็เป็นอย่างแม่ของเขา ดังนั้นจึงมีนิสัยที่แตกต่างกัน”


 


 


“อันที่จริงแล้วความจริงไม่ใช่เช่นนั้น” หลินเหวินเสี่ยวเอามือเท้าศีรษะไว้พลางเอ่ยปากต่อช้าๆ “แม่ของข้าแม้ว่าจะเป็นภรรยาหลวง ทว่ากลับมีนิสัยอ่อนแอเสียยิ่งกว่าอนุภรรยาคนที่อ่อนแอที่สุดส่วนแม่ของจือถังแม้ว่าจะเป็นอนุภรรยา แต่กลับเป็นอนุภรรยาที่มีนิสัยจัดจ้านที่สุดในจวน


 


 


“แน่นอนว่า นางเพียงมีนิสัยจัดจ้านเท่านั้น แต่นิสัยด้านอื่นๆ ไม่เลวเลย มิเช่นนั้นข้าคงไม่ดีกับจือถังเช่นนี้มีบางครั้งที่แม่ของจือถังลากข้าไปพูดคุยกันเล่นๆ ว่าคนนิสัยจัดจ้านอย่างนาง เหตุใดนางถึงให้กำเนิดลูกชายที่นุ่นนิ่มดุจกระต่ายน้อยเช่นนี้ได้แต่คนขี้ขลาดอย่างแม่ข้ากลับให้กำเนิดลูกสาวเอะอะโผงผางเช่นข้า”


 


 


“ก็ดีแล้วมิใช่หรือ” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองคนก็ถือเสียว่าเติมเต็มนิสัยของอีกฝ่าย หากพวกเจ้ามีนิสัยเหมือนกันเวลาที่ต้องพูดคุยกันคิดดูว่าจะวุ่นวายเพียงใด”


 


 


“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น! แต่พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ตระกูลของพวกเราก็เริ่มเป็นกังวล”


 


 


“กังวลอะไรก็แค่ขี้อายเองมิใช่หรือ ต่อไปก็คงดีขึ้นเอง”


 


 


“เหลียนอวิ้นเจ้ามิได้สังเกตเห็นถึงประเด็นสำคัญของเรื่องนี้” หลินเหวินเสี่ยวส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ คนในตระกูลของพวกเราทั้งหมดกังวลเรื่องนิสัยของน้องชายข้า ต่อไปเมื่อถึงเวลาที่ต้องแต่งงานจะทำอย่างไรเล่า!”


 


 


“พรืดดดด” ซูเหลียนอวิ้นวางถ้วยน้ำชาในมือของตัวเองลง พลางคิดว่ายังดีที่นางเพิ่งจะกลืนน้ำลงไป มิเช่นนั้นแล้วคงจะน่าอายมากทีเดียว!


 


 


แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็ถูก การที่หลินจือถังเป็นเช่นนี้…การแต่งงานคงถือว่าเป็นเรื่องยากมากทีเดียว


 


 


“เจ้าคงคิดว่าก็ให้เขาแต่งงานกับผู้ที่มีนิสัยอ่อนแอแทน เช่นนั้นคู่นี้คงจะเป็นคู่ขี้ขลาดตาขาวด้วยกันทั้งคู่ วันข้างหน้าหากโดนรังแก ทั้งสองคนนี้ผู้ใดจะเป็นฝ่ายกล้าลงมือเล่า! แต่หากเขาแต่งงานกับผู้ที่มีนิสัยเข้มแข็งหน่อย? หากเป็นเช่นนั้นน้องชายของข้าคงจะเป็นฝ่ายถูกรังแกอย่างแน่นอน!”


 


 


“ก็ใช่…” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิด อืม…ประเด็นนี้ถือว่าถูก!


 


 


“เหลียนอวิ้น พอข้าเห็นพี่ชายของเจ้าก็นึกเรื่องเรื่องหนึ่งออกเลยอยากจะขอร้องให้เจ้าช่วยสักเรื่องได้หรือไม่” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆ สายตาที่นางใช้มองซูเหลียนอวิ้นเต็มไปด้วยความจริงใจ


 


 


“เจ้าว่ามาก่อนเถิด หากข้าช่วยได้ก็จะช่วย”


 


 


“เรื่องๆ นั้นก็คือช่วยเอาน้องชายของข้าส่งไปอยู่กับพี่ชายของเจ้าที่ค่ายทหารสักสองสามวันได้หรือไม่เผื่อจะปลุกเขาให้มีสัญชาตญานขึ้นมาบ้าง!” หลินเหวินเสี่ยวถอนใจ “เหลียนอวิ้นเจ้าคงไม่รู้ว่าเขาโตขนาดนี้แล้ว แต่หลายครั้งที่เขาสู้ข้าไม่ได้มักจะร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล! ข้าแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ข้าหวังว่าจะมีใครสักคนช่วยรักษานิสัยเสียเช่นนี้ของน้องข้าได้เร็วๆ เสียที”


 


 


ซูเหลียนอวิ้น “…”


 


 


บุรุษที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ซ้ำยังโตขนาดนี้…เฮ้อ ใต้เท้าหลินน่าเห็นใจมากทีเดียว!


 


 


“ท่านพี่ พี่เหลียนอวิ้น พวกท่านทั้งสองไม่ต้องพูดแล้ว!” หลินจือถังหันหน้ากลับมาหน้าของเขาแดงระเรื่อ “ข้า ข้าจะไม่ไปที่ค่ายทหาร!” มีครั้งหนึ่งที่เขาแย่งของกับพี่สาวของเขา และของสิ่งนั้นก็คือเครื่องหอมจากแดนซีอวี้ที่มีกลิ่นเตะจมูกสุดท้ายในระหว่างที่กำลังแก่งแย่งกันอยู่นั้น ฝาของของสิ่งนั้นก็หลุดออกมาเป็นเหตุให้เขาร้องไห้


 


 


เป็นเหตุการณ์ครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว! ทำไมเวลาที่พี่สาวของเขาพูดถึงต้องพูดราวกับว่าเขาชอบร้องไห้บ่อยๆ อย่างนั้นด้วย


 


 


อีกอย่างเขาคิดว่านิสัยของเขาดีขึ้นมากแล้วด้วยซ้ำ? มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่เขาต้องสนทนากับสตรีตัวเป็นๆ ถึงจะรู้สึกตื่นเต้นไม่เป็นตัวของตัวเอง


 


 


“น้องชายเจ้าน่ารักทีเดียว” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลินจือถังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อันที่จริงเขาไม่เลวเลย แต่หากเทียบกับนิสัยของเจ้าแล้ว น้องชายของเจ้าอาจจะดูอ่อนแอมากกว่าเท่านั้นอันที่จริงก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ น้องชายของเจ้าแค่ไม่เก่งการเจรจาเท่านั้นกระมัง”


 


 


เนื่องจากทั้งสองชาติที่ผ่านมาของนาง นางเป็นผู้ที่อาวุโสน้อยที่สุดในบ้าน เป็นคนที่ได้รับการทะนุถนอมเอาใจจากทุกคนในครอบครัว ด้วยเหตุนี้เมื่อนางเห็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่านางแถมยังเป็นคนที่น่าทะนุถนอมด้วยเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่านางอยากจะปกป้องเขาขึ้นมา!


 


 


“อย่างไรข้าก็รู้สึกว่าเขาน่ารัก เหวินเสี่ยวเจ้าก็อย่าเข้มงวดกับเขานักแลย”


 


 


หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้ทำเสียอย่างกับว่าข้ารังแกเขา…”


 


 


“เพราะว่าเจ้ารังแกเขาจริงนี่ น้องชายของเจ้าน่ารักขนาดนี้ เจ้าอย่ามัวบ่นว่าเขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เลย!” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกมาเตรียมจะสัมผัสหลินจือถังเพื่อเป็นการปลอบประโลม แต่เมื่อนางยื่นมือออกไปกลับรู้สึกถึงสายตาเย็นชาอย่างรุนแรงจับจ้องมาที่นาง ทำเอานางตกใจจนมือที่ยื่นออกไปได้เพียงครึ่งเดียวต้องหยุดชะงัก


 


 


ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ากลับไปอีกทาง ทว่าทุกคนต่างพูดคุยอยู่ตามปกติ ไม่มีผู้ใดมองมาที่นางตอนนั้นเองที่นางเริ่มสับสน นางรู้สึกไปเองงั้นหรือเมื่อครู่นี้มีคนมองมาที่นางอยู่ชัดๆ


 


 


“เหลียนอวิ้นเจ้าเป็นอะไรไป” เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นก็ไม่เข้าใจเท่าใดนัก “เจ้ากำลังหาคนอยู่หรือ”


 


 


“เปล่า” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “เมื่อกี้นี้ข้าเพียงรู้สึกว่ามีคนจ้องข้าอยู่!”


 


 


หลินเหวินเสี่ยวมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างแปลกใจ “เหลียนอวิ้นเจ้าคิดไปเองกระมังข้านั่งอยู่กับเจ้าแท้ๆ ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกอะไร”


 


 


“แต่อันที่จริง ข้าก็เริ่มรู้สึกแล้ว…” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยปากเบาๆ จากด้านข้าง “เมื่อครู่นี้ข้าเองก็รู้สึกเช่นกันว่ามีคนจ้องข้าอยู่…ตอนนั้นข้าเข้าใจว่าตัวเองจินตนาการไปเองเสียอีก…”

 

 

 


ตอนที่ 169 เข้าข้าง

 

 


 


“นี่ใช่ต้วนเฉินเซวียนหรือไม่! ไม่ได้เจอกันนานทีเดียว” อีกด้านหนึ่งเมื่อมีคนๆ หนึ่งเห็นต้วนเฉินเซวียนมาถึงก็รีบลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นเพื่อเอาอกเอาใจ


 


 


“จริงสิ ไม่ได้เจอกันนานเลย” ต้วนเฉินเซวียนเหลือบตาขึ้นมองแล้วหัวเราะเบาๆ เล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มหัวเราะดังขึ้น ทว่าแม้จะเป็นเพียงการทักทายแต่คนผู้นั้นก็ดูออกว่าต้วนเฉินเซวียนไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่นักแถมจิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีก


 


 


“ดูท่าทางแล้วคุณชาย…คงอารมณ์ไม่ดี? ” คนผู้นั้นกังวลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าค่อนข้างกังวล


 


 


นั่นเป็นเพราะว่าทุกคนต่างรู้นิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของต้วนเฉินเซวียน แม้ว่าการปากมากไปแม้แต่ประโยคเดียวอาจนำภัยมาสู่ตัวเองได้แต่บางครั้งการไม่เกรงกลัวอาจจะเป็นการช่วยส่งเสริมตัวเองก็ได้


 


 


“ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้ทำไมเจ้าคิดว่าหากข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วข้าจะอารมณ์ดีขึ้นงั้นรึ” ต้วนเฉินเซวียนเหลือบมองคนผู้นั้นคราหนึ่งแล้วเลิกคิ้วถาม


 


 


“เหอะๆ …” ดูท่าคงเข้าผิดจังหวะเสียแล้ว คนผู้นั้นแอบครุ่นคิด “พวกเราคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อคุณชายอารมณ์ไม่ดี พวกเราขอไม่อยู่ให้เกะกะลูกตาดีกว่า”


 


 


ต้วนเฉินเซวียนหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ไม่อยากที่จะสนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป จากนั้นเขาจึงก้มหน้าทำราวกับว่าตนกำลังหลับตาอยู่ ทว่าสายตาที่แท้จริงของเขากลับพุ่งตรงไปที่ซูเหลียนอวิ้น


 


 


ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังพูดจาเย้าแหย่กับหลินจือถังอยู่ ราวกับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่ามีคนจ้องนางจนตัวแทบจะทะลุอยู่แล้ว


 


 


ต้วนเฉินเซวียนกำลังจ้องมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นที่กำลังพูดจากับคนอื่นๆ กันอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็เริ่มบังเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา


 


 


เขานั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน! ซูเหลียนอวิ้นไม่เพียงไม่มองมาทางเขา แต่กลับหันไปพูดคุยกับเจ้ากระต่ายน้อยนั่นอย่างสนุกสนาน? ดูแล้วอ่อนแออย่างกับอะไรดี ท่าทางเช่นนี้โดนเขาต่อยเพียงครั้งเดียวก็หัวทิ่มแล้วกระมัง? มีอะไรน่าคุยกับคนเช่นนี้กัน?


 


 


หากเป็นเมื่อก่อนเมื่อซูเหลียนอวิ้นสบโอกาสที่จะได้เจอเขาซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ นางจะต้อง…


 


 


ช่างเถอะ…ต้วนเฉินเซวียนฝืนยิ้ม ในหัวเขามัวแต่คิดวุ่นวายเรื่องอะไรอยู่ ซูเหลียนอวิ้นแบบตอนนั้น…ถูกเขาทำให้ เฮ้อ…


 


 


“ฮ่องเต้ ฮองเฮาเสด็จ!” เสียงเล็กแหลมอันคุ้นเคยของขันทีดังขึ้น ต้วนเฉินเซวียนส่ายศีรษะตัวเองแล้วถอนหายใจยาวพยายามไม่ให้ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวพวกนั้น


 


 


หนทางยังอีกยาวไกล รอดูก็แล้วกัน!


 


 


“ราชฑูตของเมืองเยียลี่ว์มาถึงแล้ว!”


 


 


ผู้คนโดยรอบต่างลุกขึ้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆ จากทางประตูพระราชวัง


 


 


“คนนั้นคือองค์ชายเยียลี่ว์รึข่าวลือที่ว่ากันมิได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย!” หลังจากที่หลินเหวินเสี่ยวจ้องไปที่เยียลี่ว์เยี่ยนครู่หนึ่งก็ค่อยๆ หันกลับมาแล้วสะกิดไปที่แขนเสื้อของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยต่อไปว่า “แต่ดวงตาของเขาแปลกประหลาดยิ่งทำไมถึงเป็นสีฟ้าได้และทำไมข้าถึงรู้สึกว่าดูดีเสียด้วย!”


 


 


“มีอะไรน่าแปลกใจตรงไหน” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเล็กน้อย “ได้ยินมาว่ามารดาของเยียลี่ว์เยี่ยนเป็นสาวงามที่มีดวงตาสีฟ้า ดังนั้นเขาก็ย่อมเป็นเหมือนอย่างมารดาของเขา”


 


 


เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นการก้าวเดินอย่างหนักแน่นแต่ละก้าวของเยียลี่ว์เยี่ยน จิตใจของนางกลับมิได้สงบอย่างที่นางแสดงออกมาให้เห็นภายนอก เพราะเยียลี่ว์เยี่ยนที่ผ่านการแต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างพิถีพิถัน เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ที่นางกวาดตามองผ่านๆ อย่างรีบร้อนเมื่อคืนนั้นแล้ว ถือเป็นภาพลักษณ์ที่ทำให้ดูแตกต่างไปจากคนทั่วๆ ไปมากยิ่งขึ้น


 


 


หากกล่าวว่าซูเหลียนอวิ้นไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดดียว? นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอนแต่ก็ต้องหยุดคิดไว้เพียงเท่านี้ เพราะว่า…เยียลี่ว์เยียนที่อยู่ด้านหลังเยียลี่ว์เยี่ยนต่างหากถึงจะเป็นคนที่ดึงดูดสายตานางอย่างแท้จริง!


 


 


“มีแขกมาเยือนจากแดนไกล ข้าย่อมปลื้มปิติยินดี” ลี่หยวนตี้ชูจอกเหล้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นแล้วตรัสออกมา “ในฐานะที่ข้าเป็นฮ่องเต้ของดินแดนต้าชั่ว ขอยินดีต้อนรับการมาเยือนของพวกเจ้าเชิญนั่งลงเถิด”


 


 


“เช่นนั้นกระหม่อมต้องขอขอบพระคุณในพระเมตตาของฮ่องเต้แห่งต้าชั่วแล้วพะย่ะค่ะ” เยียลี่ว์เยี่ยนก้มตัวทำความเคารพในแบบของเมืองเยียลี่ว์ จากนั้นจึงพาเยียลี่ว์เยียนนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดวางไว้เป็นพิเศษสำหรับพวกเขา มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มพร้อมมองสำรวจไปรอบด้าน


 


 


เมื่อทุกคนกินอาหารกันจนอิ่มไปครึ่งท้องและดื่มเหล้ากันไปพอประมาณแล้ว การแสดงสำคัญของงานเลี้ยงถึงจะเริ่มขึ้น


 


 


“เริ่มร้องรำทำเพลงกันเถิด” เสียงของลี่หยวนตี้ดังก้องทั่วทั้งโถง ทุกคนต่างทยอยกันวางจอกสุราลง เพื่อรอคอยการปรากฏตัวของนางรำ เพราะในช่วงเวลาเช่นนี้หากยังดื่มกินโดยไม่ยอมวางตะเกียบในมือลง จะไม่ใช่เป็นเพียงการไม่ให้เกียรติลี่หยวนตี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการไม่ให้เกียรตินักร้องและนางรำเหล่านี้ด้วย!


 


 


อย่าได้ดูถูกพวกนางอย่างเด็ดขาด หากหนึ่งในพวกนางมีใครสนิทสนมกับลี่หยวนตี้ขึ้นมาเล่า? พวกนางเพียงแค่พูดเป่าหูเขาตอนนอนอยู่บนหมอนเดียวกันเท่านั้นก็เพียงพอจะจัดการพวกเขาได้แล้ว!


 


 


“ได้ยินมาว่าการร้องรำทำเพลงของต้าชั่วนั้น จัดได้ว่าโดดเด่นเหนือกว่านานาประเทศมาโดยตลอดใช่หรือไม่” นางรำออกมายังห้องโถงช้าๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มเต้น ภายในห้องโถงกลับมีเสียงของเยียลี่ว์เยี่ยนดังลอยขึ้นมาแต่ไกลๆ


 


 


การเคลื่อนไหวของหัวหน้าคณะนางรำหยุดชะงักราวกับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี พวกนางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองลี่หยวนตี้เพื่อรอคำสั่งต่อไปของเขา


 


 


“องค์ชายเยียลี่ว์ล้อเล่นแล้ว” ลี่หยวนตี้ทรงพระสรวลเล็กน้อย “ทั้งหมดเป็นแค่การยกยอตัวเองทั้งนั้น แน่นอนหากมีคนกล่าวเช่นนี้ ข้าก็คงจะดีใจมาก เพราะอย่างไรก็ถือว่าโดดเด่นที่สุด”


 


 


น้ำเสียงของลี่หยวนตี้อ่อนโยนรอยยิ้มของเขากลับยิ่งอ่อนโยนกว่าทว่าเขากลับกัดครอบฟันเอาไว้แน่นตอนที่เขาเอ่ยสองคำสุดท้าย


 


 


“อ้อ…” เยียลี่ว์เยี่ยนเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูแล้วผ่อนคลายราวกับกำลังมึนเมา “อันที่จริงน้องสาวของกระหม่อมโดดเด่นในด้านการเต้นรำในแบบของเมืองเยียลี่ว์มาก ทว่าการมาครั้งนี้พวกเราก็มาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวจึงไม่รู้ว่าการเต้นรำของน้องสาวกระหม่อมเมื่อเทียบกับชาวต้าชั่วแล้ว ผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ?”


 


 


คำพูดเช่นนี้เมื่อพูดออกมาแล้วแฝงความหมายของการยุแหย่อย่างไม่ได้เจตนา ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนในตอนนี้ ก็แน่ใจได้เลยว่าเขาเมาอย่างแน่นอนดังนั้นตอนนี้หากพวกเขายึดเอาความคิดของตนแล้วตอบโต้กับเยียลี่ว์เยี่ยนล่ะก็ พอถึงพรุ่งนี้เกรงว่าเยียลี่ว์เยี่ยนคงจะกัดตัวเองตายเพียงเพราะคำพูดเหลวไหลของตัวเองในตอนท้ายกระมังข


 


 


แต่นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจคับแคบของพวกเขา ที่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กๆ เช่นนี้!


 


 


ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับรู้ดีว่า แม้ว่าท่าทางของเยียลี่ว์เยี่ยนในตอนนี้จะดูคล้ายเมาจริง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น…? เยียลี่ว์เยี่ยนผู้นี้มีความสามารถดื่มสุราพันแก้วไม่เมา ดังนั้นการดื่มสุราผลไม้ไปเพียงสองจอกแล้วทำให้เขาเมาหนักได้เช่นนี้นั้นถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระเกินไป? นี่เขาคิดจะหลอกใครอยู่รึ!


 


 


“ท่านพี่เมาแล้วกระมัง!” เมื่อเยียลี่ว์เยียนได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ การเต้นรำของข้าจะนำไปเปรียบเทียบกับของชาวต้าชั่วได้อย่างไร! อีกอย่างเยียนเอ๋อร์…หากให้เยียนเอ๋อร์ต้องแข่งขันจริงๆ ข้าจะต้องแพ้แน่ๆ …เพราะว่าที่นี่…คือที่ต้าชั่วนะเพคะ…”


 


 


เสียงของเยียลี่ว์เยียนเมื่อพูดจนถึงตอนสุดท้ายค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ส่วนท่าทางของผู้คนรอบด้านเป็นอย่างไรหรือทุกคนแทบจะยกหูของตัวเองเพื่อฟังสองประโยคนั้นให้ชัดๆ ขึ้น! ดังนั้นแม้ว่าน้ำเสียงของเยียลี่ว์เยียนจะเบาเพียงใดทว่าภายใต้สถานการณ์ที่แม้นมีเพียงเสียงแมลงร้องขึ้นเบาๆ ก็ยังได้ยินเช่นนี้…


 


 


ตอนนี้ภายในใจของทุกคนล้วนขุ่นเคือง! เพราะความหมายที่แท้จริงของเยียลี่ว์เยียนนั้นหมายถึงอะไรเล่า


 


 


จะต้องแพ้แน่ๆ ?


 


 


นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องช่วยกันเข้าข้างคนของตนเองกระมังไม่อย่างนั้นนางคงจะเป็นฝ่ายชนะ?

 

 

 


ตอนที่ 170 อุบัติเหตุ

 

 


 


“ข้ามองคนผิดไปเสียแล้ว!” หลินเหวินเสี่ยวลดเสียงลงแล้วหันข้างไปพูดกับซูเหลียนอวิ้น “ข้าเห็นว่าองค์หญิงเยียลี่ว์มีรูปโฉมงดงาม จึงคิดว่าน่าเป็นคนที่ใช้ได้! แต่สุดท้ายนางกลับพูดออกมาเช่นนี้ความหมายคือหากนางแพ้ขึ้นมานั่นจะเป็นเพราะว่าพวกเราเข้าข้างคนต้าชั่วกันเองหรือนางเอาความก้าวร้าวเช่นนี้มาจากไหนกัน!”


 


 


คนที่อยู่ในเหตุการณ์รอบๆ ตอนนี้ต่างแอบซุบซิบกัน ดังนั้นเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เอะอะวุ่นวายเช่นนี้คำพูดเหล่านี้ของหลินเหวินเสี่ยวกลับมิได้เป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดอะไร


 


 


ซูเหลียนอวิ้นไร้วาจา สายตาของนางตอนนี้กำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างกายสะโอดสะองของเยียลี่ว์เยียนสักครู่จึงเอ่ยขึ้นว่า “เหวินเสี่ยว ข้าขอถามเรื่องหนึ่ง เจ้าว่าตอนนี้ข้าอ้วนหรือไม่”


 


 


“เอ๊ะ” หลินเหวินเสี่ยวเอียงคอมองซูเหลียนอวิ้นด้วยความประหลาดใจแล้วเอ่ยว่า “เหลียนอวิ้น ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงถามคำถามเช่นนี้”


 


 


“เจ้าบอกมาเถอะว่าข้าอ้วนหรือไม่อ้วน!”


 


 


“ไม่อ้วนหรอก!” หลินเหวินเสี่ยวส่ายหัว “รูปร่างของเจ้ากำลังพอดีเลย ใบหน้ารูปไข่กำลังพอเหมาะกับเจ้าทีเดียว”


 


 


“อ้อ อย่างนั้นก็ดี” ซูเหลียนอวิ้นขยับคอไปมา “ต่อให้ช่วงนี้ข้าซ้อมหนัก แต่ข้าก็เพิ่งจะซ้อมได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ตอนนี้เลยผอมลงไปได้ไม่เท่าไหร่”


 


 


“เหลียนอวิ้นเจ้าว่าอะไรนะ…?” หลินเหวินเสี่ยวพยายามฟังซูเหลียนอวิ้นที่กำลังพูดอู้อี้อยู่ นางรู้สึกว่าตนไม่ค่อยเข้าใจนัก


 


 


“ไม่มีอะไร ดูการเต้นรำกันเถิด” ซูเหลียนอวิ้นเชิดคางขึ้น สายตาของนางจ้องมองไปข้างหน้า “กำลังจะเริ่มแล้ว”


 


 


แม้ว่าลี่หยวนตี้จะไม่พอใจการกระทำอันไร้มารยาทของเยียลี่ว์เยี่ยน แต่เนื่องจากเขามาในฐานะแขกบ้านแขกเมือง จึงไม่อยากทำให้ความสัมพันธ์เสียหาย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่าขอให้เยียลี่ว์เยียนวางใจได้เพราะคนของต้าชั่วปฏิบัติกับแขกอย่างเป็นมิตรตลอดมา หากแขกชนะก็ย่อมต้องแสดงความยินดีอย่างจริงใจ แต่หากแพ้เล่า…แน่นอนว่าย่อมไม่มีการพูดจาถากถางกัน ในทางตรงกันข้ามกลับจะให้นางรำของต้าชั่วถ่ายทอดวิธีการเต้นรำให้เยียลี่ว์เยียนด้วยซ้ำไปเพราะเยียลี่ว์เยียนเองก็เป็นผู้ที่หัวไวเรียนรู้ได้เร็ว


 


 


ทว่าองค์หญิงของเมืองเมืองหนึ่งต้องมาขอเป็นลูกศิษย์ของนางรำ แถมยังเป็นนางรำต่างบ้านต่างเมือง? เรื่องนี้หากแพร่ออกไป…ก็มากพอที่จะทำให้ขายหน้าได้!


 


 


“ชู่ ไม่ต้องพูดแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปาก “การเต้นรำของเยียลี่ว์เยียนใช่ว่าจะหาดูกันได้ง่ายๆ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งกว่านางจะมาแสดงให้พวกเราดู พวกเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องอื่นกันเลยตั้งใจดูกันดีกว่า”


 


 


ผู้ที่เป็นฝ่ายเริ่มเต้นรำก่อนคือนางรำของต้าชั่ว เนื่องจากเยียลี่ว์เยียนยังไม่ได้เปลี่ยนชุดเต้นรำ แต่ทางฝั่งของต้าชั่วนั้นเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว


 


 


เสียงดนตรีดังขึ้น การแสดงครั้งนี้คือการเต้นรำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของต้าชั่ว นั่นคือระบำนกเฟิ่งหวง


 


 


ผู้ชมในงานต่างจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนกายเต้นรำอันอ่อนช้อยงดงามที่กำลังดำเนินอยู่บนเวทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งเพราะหากเอ่ยถึงการเต้นรำแล้วชาวต้าชั่วถือว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด!


 


 


เยียลวี่เยี่ยนไม่สนใจสิ่งยั่วเย้าต่างๆ รอบกาย เขามองไปรอบด้านด้วยสายตาเปื้อนรอยยิ้มราวกับกำลังดูละครตลก สายตาเปื้อนรอยยิ้มของเขาจ้องมองไปที่บรรดานางรำที่กำลังหมุนตัวไปมาราวกับกำลังรอคอยบางอย่าง


 


 


“อ๊ะ!” ทันใดนั้นเอง เสียงร้องเล็กแหลมก็ดังขึ้น


 


 


นางรำผู้ที่กำลังจับมือร่ายรำอยู่กับอีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นขาของนางพลันอ่อนเปรี้ยและหลุดออกจากมือของนางรำอีกคน และท่าทางการล้มลงของนางนั้น…ไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย


 


 


จริงอย่างที่นางคิดไว้…ซูเหลียนอวิ้นหลับตาลงเพื่อไม่ให้ตัวเองเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบนเวที


 


 


อุบัติเหตุครั้งนี้…เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกตกใจอะไรมากนัก แต่เพราะเหตุใดนางถึงไม่ยับยั้งโศกนาฏกรรมครั้งนี้? ซูเหลียนอวิ้นคงต้องบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถของนาง! นางทำไม่ได้อย่างแน่นอน!


 


 


เพราะว่าการแต่งกายของนางรำไม่ต่างกันมากนัก รูปแบบการแต่งหน้าก็ไม่ต่างกัน หากต้องแยกแยะ…ก็ถือว่าเป็นงานยากเกินไปสำหรับซูเหลียนอวิ้น! อีกอย่างเรื่องราวนี้ตอนที่เกิดขึ้นเมื่อชาติก่อนนางเองก็จดจำอะไรไม่ได้ ดังนั้นนางจึงจำได้เพียงมีเรื่องราวนี้เกิดขึ้นเท่านั้น


 


 


ดังนั้นรายละเอียดว่านางรำคนไหนหกล้มและหกล้มมาจากนางรำคนไหนนั้น? ขออภัยจริงๆ ที่นางจำไม่ได้เลย!


 


 


หากจะกล่าวอีกแง่หนึ่งคือต่อให้นางจำได้แล้วนางอยากจะหยุดยั้งเรื่องราวนี้ นางก็ต้องแจ้งเรื่องเข้าไปที่วังหลวงแต่จะให้นางแจ้งอย่างไรเล่า


 


 


เพราะเหล่านางรำพวกนี้…เดิมทีก็ไม่ได้มีอะไรข้องเกี่ยวกับนาง! หากอยากจะยับยั้งและเมื่อถึงเวลาสามารถยับยั้งเรื่องนี้ได้จริง หลังจากนั้นจะให้จัดการอย่างไรต่อไป? หากลี่หยวนตี้ถามนางว่าเพราะเหตุใดนางถึงรู้เรื่องราวนี้ได้จะให้นางตอบว่ามีตาทิพย์งั้นหรือ


 


 


นางไม่อยากมีเรื่องราวแตกต่างจากผู้อื่น! เพราะความแตกต่างเหล่านี้…อาจทำให้นางถูกจับไปเพราะถูกมองว่าเป็นภูตผีปีศาจ ถึงตอนนั้นจะให้นางทำอย่างไรเล่า!


 


 


แน่นอนว่าการที่ซูเหลียนอวิ้นไม่ยับยั้ง นั่นเป็นเพราะว่านางยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่หากนางรำคนนี้ไม่ล้มลง ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น แล้วจะถึงคราวที่นางต้องออกหน้าในเหตุการณ์ต่อจากนี้ได้อย่างไร


 


 


“ท่านพี่ เยียนเอ๋อร์เปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เวลานั้นเองเยียลี่ว์เยียนที่สวมใส่ชุดขนนกยูงเลิกม่านและปรากฏตัวออกมาพร้อมเดินเข้ามาอย่างช้าๆ การมาถึงของนางถือเป็นการทำลายบรรยากาศความเงียบอันผิดปกติที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ลง


 


 


ทว่าเมื่อนางเห็นนางรำที่กำลังร้องโอดครวญเบาๆ อยู่กลางเวที สีหน้าของเยียลี่ว์เยียนก็ปรากฏแววของความประหลาดใจ “นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น”


 


 


“ไม่มีอะไร เป็นเรื่องขบขันให้องค์หญิงเยียลี่ว์ดูเท่านั้น” รอยยิ้มของลี่หยวนตี้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง “เกิดอุบัติเหตุเล็กๆ ขึ้น ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”


 


 


เวลานั้นเองมีขันทีหลายๆ คนทยอยกันออกมาจากด้านข้างเพื่อพยุงนางรำที่เพิ่งจะหกล้มออกไป ส่วนนางรำที่เหลือที่ยังที่ไม่ได้รับบาดเจ็บและยังสามารถเดินได้ด้วยตัวเองเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบวิ่งตามหลังกันออกไป ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว


 


 


“นั่นเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เดี๋ยวสถานการณ์คงจะเข้าที่เข้าทางเองกระมัง” มุมปากของเยียลี่ว์เยียนปรากฏรอยยิ้มพลางกระพริบตาปริบๆ “เช่นนั้นตอนนี้ถึงตาหม่อมฉันแสดงแล้วใช่หรือไม่เพคะเพราะหม่อมฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว…”


 


 


ซูเหลียนอวิ้นพิจารณาชุดขนสัตว์ที่อยู่บนตัวเยียลี่ว์เยียน แล้วเบะปากอย่างรังเกียจโดยพลัน แสร้งทำเป็นจำใจต้องลงสนามโดยที่ไม่ได้เตรียมการ! ชุดขนนกยูงเช่นนี้ที่พระราชวังของต้าชั่วไม่สามารถหาได้อย่างแน่นอนแค่ดูก็รู้แล้วว่าเตรียมชุดมาเอง ยังจะมาเสแสร้งอะไรอีก! คิดว่าพวกเขาตาบอดหรืออย่างไร!


 


 


“เริ่มเลยเถิด” ลี่หยวนตี้ยิ้มแย้ม ใบหน้าของเขายังคงสดใสราวกับว่าเรื่องราวเมื่อครู่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


 


 


ทว่าในสายตาของคนที่รู้จักและคุ้นเคยกับลี่หยวนตี้ดี จะมองออกว่าท่าทางของลี่หยวนตี้ในตอนนี้ต่างหากที่น่ากลัวอย่างยิ่ง! โมโหจนแยกเขี้ยวยิ้ม…? ภาพที่เห็นหมายความเช่นนี้มากกว่า


 


 


เสียงดนตรีดังขึ้น เยียลี่ว์เยียนเริ่มเคลื่อนไหวร่างกาย ร่างกายของนางพลิ้วไหวราวกับงูที่กำลังเลื้อยคด เมื่อเห็นแววตาของนางแล้วก็จะยิ่งรู้สึกถึงเสน่ห์บางประการการเต้นระบำนกยูงนั้นให้ความรู้สึกสูงส่งเหนือคนธรรมดาและการเคลื่อนไหวที่ยากจะจับต้อง


 


 


ฝีมือการร่ายรำของเยียลี่ว์เยียนมีทักษะที่สูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นผู้ชมที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะนี้ แม้ว่าในใจจะฉุนเฉียวอยากจับความผิดพลาดออกมาให้ได้ ทว่าการแสดงสมบูรณ์ไร้ที่ติตรงหน้าเช่นนี้ การพยายามหาข้อบกพร่องใดๆ ….กลายเป็นเพียงแค่การหากระดูกในไข่ไก่[1]เพื่อตั้งใจจะให้มีเรื่องเท่านั้น


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] การหากระดูกในไข่ไก่หมายความว่า การพยายามหาข้อบกพร่อง

 

 

 


ตอนที่ 171 ถ่อมตัว

 

“เป็นอย่างไรบ้างเต้นดีเลยใช่ไหมเล่า” เมื่อการเต้นรำสิ้นสุด ซูเหลียนอวิ้นยิ้มเย้าแหย่หลินเหวินเสี่ยวที่โมโหจนแก้มกระตุกตั้งแต่ตอนที่เยียลี่ว์เยียนเริ่มเต้น


 


 


“เจ้า! ” หลินเหวินเสี่ยวตีไปยังมือที่กำลังเกาะแกะอยู่ตรงเอวของตนแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้ายังมีกระจิตกระใจยิ้มได้อีกหรือ! พวกเราใกล้จะ…เหลียนอวิ้นเจ้าช่างน่าโมโหยิ่ง! “


 


 


“ใครบอกว่าพวกเราชาวต้าชั่วจะแพ้กันเล่า” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเยาะ “พวกเราแข่งกันอีกสักสนามหนึ่งก็ได้นี่”


 


 


“แข่งอีกสนาม? แต่…” หลินเหวินเสี่ยวฟังความผิดปกติบางอย่างในน้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นออก ตอนนั้นเองนางจึงเริ่มเกิดสนใจขึ้นมา “แต่เมื่อครู่นางรำคนนั้นคงกลับมาเต้นอีกไม่ได้แล้วล้มลงแรงขนาดนั้นอีกอย่างนางยังเป็นคนสำคัญของการแสดง หากขาดนางไปคนหนึ่ง คนผู้อื่นก็คงทำได้เพียงเป็นตัวประกอบเท่านั้น! “


 


 


“เปลี่ยนคนเต้นก็ได้มิใช่รึ”


 


 


“อย่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นผู้ใด”


 


 


“เปลี่ยนเป็นข้าดีหรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะคิกคักพลางชี้ปลายนิ้วมายังตัวเอง “เจ้าว่า ข้าเป็นอย่างไร”


 


 


“เหลียนอวิ้นเจ้าเต้นรำเป็นหรือ” หลินเหวินเสี่ยวตกตะลึง “ไม่เคยได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย! “


 


 


ทว่าเพียงครู่เดียวหลินเหวินเสี่ยวก็เริ่มรับความจริงในข้อนี้ได้ “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้น่าแปลกใจ เพราะตอนแรกพวกเราทุกคนก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าเล่นหมากล้อมเป็นแถมเจ้ายังเล่นได้ดีเสียขนาดนั้น! ดังนั้นตอนนี้พอได้ยินเจ้าบอกว่าเจ้าเต้นรำเป็น…? ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้! “


 


 


“ข้าเต้นได้นิดหน่อยเท่านั้น…” ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบจมูก นางอยากจะขอร้องว่าอย่าพูดถึงการชนะหมากล้อมโดยบังเอิญของนางในวันนั้นอีกได้หรือไม่! เพราะนางบังเอิญชนะจริงๆ! ตอนนี้นางกลัวอย่างเดียวว่าต่อไปจะมีคนมาขอประลองหมากล้อมอีก…เพราะความสามารถเพียงผิวเผินของนางคงแข่งชนะได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!


 


 


“งั้นก็ช่างมันเถิด” หลินเหวินเสี่ยวกรอกตา “ข้าจะคิดว่าเจ้าเต้นรำได้ดีมากก็แล้วกัน! แต่หากตัวเจ้าไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น พวกเราก็คงต้องอดทนไว้ก่อน อย่าไปออกหน้าอะไรเลย! ” เพราะการร่ายรำของเยียลี่ว์เยียนเมื่อครู่นี้ทุกคนล้วนประจักษ์แก่สายตาแล้ว นางร่ายรำที่แสดงให้เห็นถึงความสง่างามคล่องแคล่วเช่นนั้นหากมีผู้ใดยังจะอยากจะแข่งกับนางอีกมีแต่จะทำให้ตนขายขี้หน้าเปล่า!


 


 


“ข้าลองหาวิธีการใหม่ๆ ก็สิ้นเรื่องแล้ว เจ้าวางใจได้ข้ามิเคยทำอะไรโดยไม่เตรียมตัว! “ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


 


 


เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นรู้มาก่อนอยู่แล้วว่าการร่ายรำของเยียลี่ว์เยียนในวันนี้เป็นระบำนกยูงอย่างไรเล่า! เมื่อชาติก่อนนางก็เต้นระบำนี้เพราะเป็นระบำที่นางร่ายรำได้ดีที่สุด!


 


 


ทว่าการแสดงระบำนกยูงของเยียลี่ว์เยียนโดยหลักแล้วเป็นการแสดงถึงความอ่อนช้อยและสวยงามของร่างกายซึ่งเป็นการแสดงที่ขายจุดเด่นเพียงสองอย่างนี้ส่วนด้านอื่นๆ ของการแสดงนั้น…เยียลี่ว์เยียนยังทำได้ไม่ดีนัก


 


 


ดังนั้นการร่ายรำที่ซูเหลียนอวิ้นเตรียมไว้เรียกได้ว่าห่างไกลจากของเยียลี่ว์เยียนมาก ไม่มีความอ่อนโยนอ่อนช้อยใดๆ แม้แต่น้อยเพราะนางไม่อยากแสดงในสิ่งที่เยียลี่ว์เยียนชำนาญ! ดังนั้นสิ่งที่นางเตรียมเอาไว้ก็คือระบำดาบ


 


 


ความเป็นเอกลักษณ์ของระบำดาบคือความสง่างามองอาจ หากบุรุษผู้ใดแสดงออกมาได้ไม่ดีก็จะถูกวิจารณ์ได้ว่าไม่มีความห้าวหาญมากพอ ทว่าซูเหลียนอวิ้นเป็นสตรี นางจึงสามารถใช้เหตุผลนี้อ้างได้หากจะเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของร่างกายกันขึ้นมาจริงๆ


 


 


อีกอย่างเนื่องจากนางเป็นสตรีดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการระบำดาบของนางจะมีความอ่อนช้อยมากกว่าและนี่ก็เป็นข้อดีอีกด้วยหยินหยางรวมเข้าด้วยกันเกิดจึงจะเกิดเป็นความแปลกใหม่ขึ้นมา


 


 


แต่อย่างไรนางก็ไม่อยากใช้ไม้แข็งชนกับไม้แข็งนางหวังเพียงว่าการแสดงนี้จะสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกตระการตาได้บ้างก็พอแล้ว เพราะอะไรที่อ่อนหวานนุ่มนวลแม้ว่าจะดี แต่ก็อาจจะไม่มีสิ่งใหม่ๆ มาดึงดูดผู้ชมได้


 


 


“เหลียนอวิ้นเจ้าวางแผนไว้แล้วหรือไม่ว่าจะปรากฏตัวอย่างไรจะให้ข้าช่วยเจ้าก็ได้นะ! ” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างได้ใจ “ถือเป็นการโยนอิฐเพื่อแลกหยก[1]อย่างไรเล่าเมื่อครู่นี้องค์ชายเยียลี่ว์อะไรนั่นพูดอะไรไปบ้างข้าก็จะเป็นหน้าม้าให้เจ้าเช่นนั้น! ดูซิว่าหากเจ้าเป็นฝ่ายชนะสีหน้าร่าเริงได้ใจของเขาจะไม่แหกเลยรึ! “


 


 


“อือๆ ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า เพราะนางเองก็คิดเช่นนั้น! เพราะหากให้นางเสนอตัวเองว่าอยากจะประลองกับเยียลี่ว์เยียนล่ะก็…ถึงตายอย่างไรนางคงไม่สามารถพูดคำพูดเหล่านั้นออกไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้คนมากมายเช่นนั้น!


 


 


ดังนั้นสิ่งที่นางขาดในตอนนี้ก็คือการที่มีคนเปิดโอกาสให้นาง! และหลินเหวินเสี่ยวเป็นฝ่ายเต็มใจที่จะยื่นโอกาสนั้นให้ตน? นี่ทำให้นางสมความปรารถนายิ่งนัก!


 


 


“เยียนเอ๋อร์แสดงเสร็จแล้วหรือ” เยียลี่ว์เยี่ยนเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เต้นได้ไม่เลวเลย”


 


 


เต้นได้ไม่เลว…คำสั้นๆ สี่คำนี้แม้ว่าเยียลี่ว์เยี่ยนจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาอีกหลังจากนั้นและไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำสี่คำนี้คล้ายกำลังตบอย่างแรงลงไปบนใบหน้าของผู้ชม


 


 


ที่ทุกคนไม่เอ่ยถึงประเด็นเมื่อครู่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ว่าลืม แต่ทุกคนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรค่าต่อการพูดถึง


 


 


“ที่ไหนกันเล่าเพคะท่านพี่” เยียลี่ว์เยียนนั่งบิดเขินอายอยู่บนเก้าอี้แล้วเอ่ยออกมาพลางก้มหน้า “หากเมื่อครู่นี้พี่สาวพวกนั้นไม่ได้…เอ่อบางทีพวกนางคงกลัวว่าหากข้าแพ้แล้วข้าจะขายหน้ากระมังข้าคิดว่าพวกนางคงตั้งใจยอมถอยให้เยียนเอ๋อร์เท่านั้น”


 


 


“เช่นนั้นต้องขอขอบคุณพวกนางที่อุตส่าห์คิดแทนพวกเรา” เยียลี่ว์เยี่ยนลุกขึ้นแล้วรินสุราหนึ่งจอก “ลี่หยวนตี้ น้องสาวกระหม่อมดื้อรั้น แต่แผ่นดินต้าชั่วกลับถ้อยทีถ้อยอาศัยกับพวกเราเช่นนี้ตลอดมา ทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสยิ่งนัก” เมื่อเอ่ยจบ เยียลี่ว์เยี่ยนก็กระดกสุราชั้นยอดในมือของตัวเองลงไปรวดเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้ลี่หยวนตี้ได้ทันเอ่ยปาก


 


 


ตอนนี้สีพระพักตร์ของลี่หยวนตี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่กลับยังไม่ได้ตรัสอะไรออกมา เนื่องจาก…หากไม่ยอมรับว่าพวกตนเป็นฝ่ายยอมแพ้เองก็จะเท่ากับว่ายอมรับว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้?


 


 


ทว่าการแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาจึงไม่น่ากลัวนัก แต่เรื่องเสียชื่อนั้น แพ้แล้วยังโดนผู้อื่นทำให้ขายหน้าเช่นนี้! แถมยังเป็นเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งเช่นนี้อีกที่เยาะเย้ย!


 


 


ตอนนี้ในอกของลี่หยวนตี้รู้สึกโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว เพราะหากตอนนี้คนที่พูดเป็นบิดาของเยียลี่ว์เยี่ยน คำพูดของเจ้าแผ่นดินเยียลี่ว์อาจทำให้ลี่หยวนตี้รู้สึกดีกว่านี้ เพราะจะดีจะร้ายอย่างไรก็ถือว่ามีศักดิ์และศรีเสมอกัน


 


 


แต่นี่เป็นเยียลี่ว์เยี่ยน? เป็นผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าและยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังค์ก็เท่านั้นถึงกับกล้าหยาบคายได้เช่นนี้เชียวหรือช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว!


 


 


“แน่นอนว่าพวกเรายอมให้” ในห้องโถง เสียงของหลินเหวินเสี่ยวดังก้องขึ้น


 


 


หลินเหวินเสี่ยวลุกขึ้นยืน หลังจากที่ยกจอกสุราคารวะลี่หยวนตี้แล้วจึงหันไปทางเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วเอ่ยว่า “การถ่อมตัวให้ถือเป็นวัฒนธรรมของชาวต้าชั่ว ดังนั้นเมื่อมีแขกมาจากแดนไกล พวกเราก็ต้องยั้งมือเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้วหากทำให้แขกไม่พอใจและเสียหน้า พวกเราก็คงรู้สึก…ไม่สบายใจอย่างแน่นอน”


 


 


แม้ว่าลี่หยวนตี้จะทรงแปลกใจที่จู่ๆ หลินเหวินเสี่ยวลุกขึ้นแล้วกล่าวโพล่งออกมาเช่นนี้ ทว่าลึกๆ แล้วกลับมิได้โกรธแต่อย่างใด ในทางกลับกันกลับรู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำไป!


 


 


เพราะว่าช่วงเวลาเนิ่นนานเมื่อครู่นี้ บรรดาขุนนางใหญ่ที่ชอบปากว่าตาขยิบและชอบโต้เถียงกันให้วุ่นวายจนทำให้เขาต้องปวดหัวทุกครั้งเวลาที่ต้องว่าราชการถึงตอนนี้กลับทำราวกับนัดกันไว้แล้วว่าจะไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว แถมยังเอาแต่ก้มหัวจ้องพื้นอย่างกับพื้นจะมีดอกไม้งอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น!


 


 


“อ้อ? ถ่อมตัวรึ” เยียลี่ว์เยี่ยนมองไปยังใบหน้าแข็งข้อของหลินเหวินเสี่ยวด้วยความขบขัน “อันที่จริงไม่ต้องถ่อมตัวก็ได้ เพราความจริงต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดใช่หรือไม่”


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] ใช้สิ่งที่ตนไม่ถนัดแลกสิ่งที่ดีกว่ากลับมา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม