วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 16.10-16.11

ตอนที่ 16-10

 

“ข้าจะตายอยู่แล้ว ช่วยพาท่านพ่อตากลับมาให้หน่อยได้หรือไม่”


 


 


ฮอนทรุดลงบนเตียงทันทีที่เข้ามาในวังจานยอง มองรยูฮาพลางเอ่ยอ้อนวอน หลังจากพ่อตากลับมามีชีวิตใหม่ก็ยื่นลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งครั้งนี้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป สุดท้ายจึงต้องดำเนินการให้ความต้องการ แต่ปัญหาอยู่ที่ผู้สืบทอดตำแหน่ง แม้จะแค่เลือกใครสักคนมาแต่งตั้ง ทว่าด้วยการทำงานร่วมกับซอดูมานาน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเตะตาเขาเลย


 


 


ท้ายที่สุดทุกปัญหาที่ต้องผ่านการตัดสินใจของท่านมหาเสนาบดีจึงตกมาอยู่ที่ฮอนทั้งหมด อย่างเช่นวันนี้กว่าจะได้ออกจากห้องทรงงานก็ดึกดื่นแล้ว


 


 


“หลังหม่อมฉันกลับวัง ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ออกเดินทางท่องเที่ยวเพคะ เห็นบอกว่าจะวนรอบแทซากุกหนึ่งรอบ แวะฮเยกุก แล้วถึงจะไปทะเล”


 


 


“ฟังดูดีเชียว”


 


 


เมื่อฮอนแสดงความอิจฉาอย่างจริงจัง รยูฮาเองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน พอลองคิดคำนวณช่วงเวลาให้โอรสเติบโตพอจนสามารถมอบหมายราชการแผ่นดินแทน ให้ตนออกท่องเที่ยวกับฮอนบ้าง นางก็ถอนหายใจออกมาทันที


 


 


“หม่อมฉันสั่งให้เตรียมห้องอาบน้ำแล้ว ต้องบรรทมแต่หัวค่ำเพื่อทรงงานต่อในวันรุ่งขึ้นนะเพคะ”


 


 


“อ้อ ข้ากะจะแวะวังซึงกอนครู่หนึ่ง”


 


 


ช่วงนี้มินอาอาศัยอยู่ที่วังซึงกอนกับคัง นางเข้าวังด้วยความเต็มใจพร้อมบอกว่าอยากอยู่ใกล้ๆ รยูฮาจนกว่าท่านพ่อท่านแม่จะกลับมา แน่นอนว่าผู้ที่ดีใจที่สุดกับการตัดสินใจนี้ก็ต้องเป็นพระหมื่นปี


 


 


“แล้วจะทิ้งหม่อมฉันไว้หรือเพคะ”


 


 


“ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่สะใภ้เท่านั้น”


 


 


ฮอนจงใจลดเสียงเบา และเมื่อสบตากับรยูฮาก็ส่งยิ้มให้


 


 


“ไปแค่ครู่เดียว เจ้าก็รอข้าก่อน แล้วอย่าใส่เสื้อผ้ามากชิ้นเกินไปนักล่ะ”


 


 


เอ่ยหยอกเย้าก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอก แม้จูฮวานจะถือโคมไฟตามมาอย่างรีบเร่งแล้วทักท้วงว่าให้นั่งเกี้ยวไป แต่เขาตอบกลับว่าอยากเดินสักหน่อย หลังจากรยูฮาย้ายเข้าวังจานยองแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนวังซึงกอน ผู้คนระหว่างทางต่างพากันก้มคำนับ


 


 


“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท”


 


 


เหล่านางในรีบโค้งเมื่อบังเอิญฝ่าบาทในเวลาและสถานที่ที่คาดไม่ถึง


 


 


“พระชายาแห่งมูยองวังเข้าบรรทมแล้วหรือยัง”


 


 


“ยังเพคะ หมู่นี้องค์ชายทรงบ่นพึมพำตลอดทั้งคืนเลย พระชายาจึงบรรทมไม่ค่อยได้เพคะ”


 


 


“แล้วไม่นำไปฝากกับซังกุงแม่นมหรือ”


 


 


“พวกหม่อมฉันเองก็ทูลเช่นนั้นเพคะ แต่ว่า…”


 


 


อืม ก็พอจะเดาได้ ฮอนพยักหน้าและสั่งให้พวกนางในรออยู่ด้านนอก จากนั้นก็เดินผ่านโถงทางเดินเข้ามาโดยมีจูฮวานติดตามเพียงผู้เดียว ห้องนอนด้านในสุดซึ่งรยูฮาเคยใช้มาก่อนมีแสงไฟจุดสว่าง ส่วนภายในก็มีเสียงงอแงของคังกับเสียงมินอากล่อมลูกชายดังออกมา


 


 


“เก่งมากองค์ชายของแม่ แม่ร้องเพลงให้ฟังเอาไหม”


 


 


เขาหยุดยืนเงี่ยหูฟังสักพักแล้วก็ต้องยิ้มออกมา การพูดการจาแสนอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับไม่ใช่มินอา แต่มันเป็นเสียงของนางไม่ผิดแน่นอน พลันตระหนกได้ว่ามินอาเองก็เป็นสตรีนางหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป


 


 


“เสด็จเข้ามาในห้องนอนของสตรีออกเรือนแล้วกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ”


 


 


น้ำเสียงกระแทกกระทั้นพุ่งตรงใส่เขาทันทีเหมือนน้ำเสียงอ่อนโยนปลอบองค์ชายเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น มินอากำลังนั่งอยู่บนเตียงพลางกล่อมคังในอ้อมแขน


 


 


“ข้ามาเพราะมีของจะให้”


 


 


“รีบให้แล้วรีบเสด็จกลับเถิดเพคะ”


 


 


ทำท่าทางแบบนั้นอีกแล้ว ฮอนขมวดคิ้วพร้อมคิดว่าหรือจะเปลี่ยนใจไม่ให้ดี แต่เมื่อเห็นหลานชายส่งยิ้มให้ เขาก็สบายใจขึ้น แน่นอนว่าลูกๆ ทั้งสองของตนก็น่ารักน่าเอ็นดูโดยไม่ต้องอธิบายอันใดอยู่แล้ว แต่สำหรับหลานผู้นี้มันกลับมีความรักบางอย่างที่แตกต่างเอ่อล้นออกมา


 


 


“จูฮวาน”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”


 


 


จูฮวานนำกระดาษม้วนที่กอดแนบอกอย่างทะนุถนอมยื่นส่งให้ฮอน ถ้าเทียบกับกระดาษม้วนธรรมดาแล้วมันมีขนาดค่อนข้างใหญ่ประมาณแผ่นภาพประดับผนัง มินอามองฮอนคล้ายต้องการถามว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามเป็นคำพูดออกมาตรงๆ


 


 


“รับไว้สิ”


 


 


กำลังเหนื่อยๆ เพราะไม่ได้นอน แต่ก็ยังมาหาถึงที่นี่และมอบของแปลกๆ กับมืออีก มินอาค่อยๆ วางคังให้นอนลงข้างๆ ตัว ก่อนจะรับมันมาด้วยสองมืออย่างสุภาพ


 


 


“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”


 


 


“หวังว่าจะถูกใจนะ”


 


 


มันคือสิ่งใดกัน นางคลี่ม้วนกระดาษออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งพูดไม่ออกอยู่สักพัก


 


 


“ร้องไห้ทำไมเล่า”


 


 


ฮอนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกและปาดซับน้ำตาที่ไหลริน ทว่ามินอาเหมือนจะไม่สนใจ นางใช้ปลายนิ้วของตนเช็ดแผ่นภาพตรงหน้าอย่างระมัดระวัง


 


 


มันคือภาพวาด ตัวนางอมยิ้มเล็กๆ ขณะอุ้มคังอยู่ในอ้อมแขน และมีชานโอบไหล่อยู่อย่างอ่อนโยน ชานยิ้มกว้างพลางยื่นนิ้วหาลูกชาย ส่วนคังก็ใช้มือเล็กๆ จับนิ้วของผู้เป็นพ่อแล้วกำลังจะเอาเข้าปาก ภาพที่นางเคยวาดไว้ในความฝันปรากฏอยู่เต็มกระดาษวาดรูปแผ่นนี้


 


 


“…ฝ่าบาท”


 


 


“หากข้าไม่ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเจ้าเมื่อคราวก่อน ก็คงจะวาดไม่…”


 


 


เขากล่าวโดยทำทีเป็นไม่สนสิ่งใดนักแต่ก็แอบซ่อนความภาคภูมิใจ ทว่ากลับไม่สามารถพูดจบประโยคได้ เนื่องจากมินอาลุกพรวดขึ้นมากอดอย่างแรง


 


 


“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”


 


 


ฮอนยอมแพ้กับการโอ้อวดต่อและยกมือขึ้นตบหลังนางตอบเบาๆ ตอนนั้นกำแพงที่มินอาก่อขึ้นก็เหมือนพังทลายลง เขารับรู้แล้วว่าตนได้ก้าวเข้าสู่รั้วของครอบครัวที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นกั้นขวางแล้ว


 


 


“ดีนะที่เจ้าไม่ถูกลงโทษตอนดาบไม้ปักแขนข้า ไม่อย่างนั้นหลานผู้น่ารักเช่นนี้ก็คงไม่เกิดมา”


 


 


หลังร้องไห้มาสักพัก มินอาก็ต้องหลุดหัวเราะและคลายแขนออกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นางใช้ผ้าเช็ดหน้าของฮอนเช็ดน้ำตาตนเอง


 


 


“ยังจำได้อยู่อีกหรือเพคะ”


 


 


“เจ้าใช้คำว่ายังงั้นหรือ ตอนนั้นข้าเจ็บมากเลยนะ”


 


 


ฮอนใช้มือจับตรงบริเวณที่เคยเป็นแผลพร้อมทำหน้าบูดเบี้ยว ราวกับว่าความเจ็บปวดในตอนนั้นกลับมาใหม่จริงๆ


 


 


“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมเพคะ?”


 


 


“ก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่ยังมีเจ็บอยู่บ้าง เจ้านี่นะ!”


 


 


เนื่องจากสามารถคลานไปไหนมาไหนเองได้แล้ว คังขยับนัยน์ตากลมไปมาก่อนจะพยายามคลานต้วมเตี้ยมหนี แต่ก็โดนผู้เป็นอาคว้าตัวไว้ทัน ฮอนอุ้มคังขึ้นมาแล้วระดมจุ๊บลงบนแก้มจ้ำม่ำ ก่อนจะส่งคืนให้มินอา


 


 


“สิ่งที่เรียกว่าบาดแผล แม้มันอาจจะเจ็บเจียนตาย สุดท้ายอย่างไรก็ต้องดีขึ้น แต่ถึงจะหายดีแล้วก็อาจจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก ในยามคิดถึงมันหรือไม่ได้คิดถึงก็ตาม บางครั้งก็เจ็บจนยากจะเอาชนะด้วยตนเองเพียงผู้เดียว ดังนั้นอย่าเก็บมันเอาไว้คนเดียวเลย เมื่อใดที่เจ้าอยากร้องไห้ก็มาหาได้ทุกเมื่อ”


 


 


มินอาเงยหน้าขึ้นมองฮอน เขาเคยเป็นองค์ชายผู้เป็นเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสา แต่ตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ ฮอนเองก็ยิ้มพลางโค้งให้เล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองบอกอีกทีสิ ว่าเสด็จพี่หล่อกว่า หรือข้าหล่อกว่า?”


 


 


คงยังไม่ใช่สินะ นางรู้สึกโล่งใจแปลกๆ ที่เห็นเขายังไม่ประสีประสาเหมือนเดิม จากนั้นก็แย้มรอยยิ้มส่งให้


 


 


“ไม่ว่าจะตรัสถามอีกกี่ครั้ง สำหรับหม่อมฉัน องค์ชายก็ทรงหล่อกว่าเพคะฝ่าบาท”


 


 


 


 


* * *


 

 

 


ตอนที่ 16-11

 

การสอบครั้งแรกของประเทศในประวัติศาสตร์แทซากุกถูกจัดขึ้นแล้ว บรรดาบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่ใช้ชีวิตโดยไม่เคยแข่งขันมาก่อน ต่างพาเหล่าอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมาสอนวิชาการทุกๆ วัน ขณะที่พวกคนธรรมดาและชนชั้นกลางค่อนข้างมีฐานะก็ให้อาจารย์มาสอนเช่นกัน ส่วนคนยากจนก็สามารถไปเรียนที่สำนักรวมที่ก่อตั้งโดยวังหลวงได้ 


 


 


หากไม่ใช่การตัดสินพระทัยลดภาษีลงหนึ่งในสาม และปฏิรูประบบการเกษตรใหม่ของพระราชา เสียงยกย่องสรรเสริญเขาว่าเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาสามารถก้าวลงมาจากสวรรค์อาจจะลดลงก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดนึกฝันถึง 


 


 


จากเรือไปกลับดินแดนฝั่งตะวันตกเพื่อนำชาที่พระมเหสีทรงโปรดปรานกลับมาทีละลำในตอนแรกเริ่ม ก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบหลายร้อยลำภายในชั่วพริบตา ส่วนหมู่บ้านริมทะเลที่ท่านมหาเสนาบดีเสี่ยงชีวิตปกป้องก็กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขายระหว่างประเทศ 


 


 


ผ้าไหม ชา เครื่องกระเบื้องและอื่นๆ ที่ผลิตในแทซากุกถูกนำไปขายในประเทศตะวันตกได้ราคามหาศาล จึงทำให้รายได้จากการค้าขายระหว่างประเทศมีมากกว่าภาษีถึงสองเท่า 


 


 


“วันนี้พอแค่นี้ก่อน อ้อ ท่านมหาเสนาบดีมาพบข้าที่ห้องทำงานด้วย” 


 


 


คำกล่าวเสริมหลังจากปิดม้วนกระดาษเรียบร้อยของฮอน ทำเอาใบหน้าของมหาเสนาบดีคนใหม่ดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก การตัดสินพระทัยของพระราชาว่าจะส่งมอบตำแหน่งของซอดูให้กับบุตรชายอีกฝ่ายเองทำให้ไม่มีเสียงผู้ใดคัดค้าน ซึ่งนั่นคือแผนกลยุทธ์ 


 


 


คติของอดีตมหาเสนาบดีซอดูว่าอำนาจอันยิ่งใหญ่ย่อมตามมาด้วยความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ไม่ใช่คำกล่าวไร้สาระ แต่มันคือคำชี้แนะจากประสบการณ์ซึ่งข้ามผ่านอะไรมามากมาย พี่ชายกับน้องชายเขารู้ตัวเร็วกว่านิดหน่อยเลยจงใจทำข้อสอบไม่ผ่านในการจัดสอบครั้งแรกอย่างแนบเนียน กระทั่งเหลือเพียงเขาคนเดียว คิดถึงสมัยนั่งต้มยาจัง ฮาแบคบ่นในใจก่อนจะก้าวเข้าห้องทรงงานราวกับวัวโดนลากเข้าโรงฆ่าสัตว์ 


 


 


“เอาล่ะ เจ้าจัดการเท่านี้พอ ส่วนข้าเท่านี้” 


 


 


ฮอนดันกระดาษม้วนหนึ่งในสองมัดให้ฮาแบค จากนั้นก็คลี่กระดาษม้วนส่วนของตนเองออกอย่างนิ่งๆ ฮาแบคมองคนตรงหน้าสลับกับกระดาษม้วนเงียบๆ สักพักแล้วถึงเปิดปากพูดน้ำเสียงขมขื่น 


 


 


“ทรงไม่คิดหรือพ่ะย่ะค่ะว่าปริมาณมัน… ต่างกันเกินไป?” 


 


 


ส่วนของฮาแบคกองรวมกันแล้วเกือบเท่าหน้าแผ่นอกเจ้าตัว แต่ส่วนของฮอนกลับมีไม่ถึงสิบอัน เจตนาชัดเจนมาก 


 


 


“แต่อดีตมหาเสนาบดีจัดการงานมากกว่านี้สองเท่าตามลำพังเชียวนะ” 


 


 


เพราะอย่างนั้นท่านพ่อถึงยื่นจดหมายลาออกแล้วหนีไปสินะ คงกลัวจะถูกรั้งตัวเอาไว้ต่อ หลังจากได้รู้สาเหตุแท้จริง ความเสียใจที่มีต่อท่านพ่อและท่านแม่ที่พากันหายตัวไปโดยไม่ลาสักคำของฮาแบค จึงแปรเปลี่ยนเป็นความเห็นใจแทน ที่ผ่านมาท่านพ่ออดทนได้อย่างไร ฮาแบคเริ่มสงสัยแล้วว่าขีดจำกัดของตนจะมีถึงเท่าใดพลางจัดการบรรดาม้วนกระดาษทีละม้วน และเมื่อกลับจากส่วนของตนเสร็จเรียบร้อย ฮอนก็ลุกพรวด 


 


 


“ดูเหมือนท่านมหาเสนาบดีจะเหลืองานอีกเพียบทีเดียว” 


 


 


“ฝ่าบาท หากทรงทำเสร็จเร็วก็โปรดช่วย…!” 


 


 


“เหนื่อยหน่อยนะ” 


 


 


จากนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งให้ฮาแบคอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง แม้ฮอนจะรู้สึกผิดต่อผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตน แต่ที่ผ่านมาเขาเองก็ลำบากตัวคนเดียวเหมือนกัน แค่นี้ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง หลังจากโน้มน้าวปลอบใจตนเองแล้วก็สั่งให้เอาเกี้ยวเปล่ากลับ และเดินตรงไปยังวังจานยองอย่างสบายใจ 


 


 


สายลมในช่วงต้นฤดูหนาวค่อนข้างหนาวเหน็บเป็นพิเศษ แต่การได้รับอิสรภาพจากงานบ้านงานเมืองกลับสดชื่นยิ่งกว่า ทว่าระหว่างเดินอยู่กลับมีอะไรบางอย่างสีขาวและเย็นลอยมาติดตรงปลายจมูกฮอน ก่อนมันจะละลายหายไปในพริบตา พอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจึงเห็นว่าสิ่งที่รยูฮาชื่นชอบกำลังเต้นระบำและโปรยตกลงมาอย่างช้าๆ จากท้องฟ้ามืดครึ้มเป็นสีเทา 


 


 


“พระมเหสี พระมเหสี!” 


 


 


ฮอนตะโกนเรียกพระมเหสีเสียงดังพร้อมเปิดประตูห้องนอนออกกว้าง ชินกับยอนเดินเตาะแตะเข้ามาให้อุ้มโดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


“เจ้าหนูน้อย คิดถึงพ่อใช่ไหม” 


 


 


เขาอุ้มลูกทั้งสองคนละข้างแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ยิ้มร่าเดินไปนั่งลงข้างๆ รยูฮา 


 


 


“ช่วยเสด็จเข้ามาแบบรักษาเกียรติหน่อยเถิดเพคะฝ่าบาท” 


 


 


“ข้าแค่เรียกภรรยาของข้า จะรักษาเกียรติอะไรกันเล่า ที่สำคัญก็คือข้างนอกนั่น หิมะแรกตกแล้วนะ” 


 


 


รยูฮาปรายตามองสวามีสักพักก่อนจะลุกขึ้นอย่างสำรวม แต่ฮอนอ่านออกว่าบนใบหน้าสงบนิ่งของนางมีความดีใจแฝงอยู่ 


 


 


“ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ แล้วค่อยออกไปกันเถอะ” 


 


 


“เอาสิเพคะ” 


 


 


การเตรียมตัวดำเนินการอย่างว่องไว เหล่านางในพากันวิ่งวุ่นสวมฉลองพระองค์เนื้อหนาให้แก่ทั้งสองพระองค์ รวมถึงองค์ชายกับองค์หญิงด้วย อีกส่วนก็ทำการปูผ้าขนสัตว์ไว้ตรงศาลาริมสระน้ำ การเชิญชวนถูกส่งไปถึงวังซึงกอนและวังจางชุนอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นไม่นานสมาชิกทั้งหมดในราชวงศ์ก็มานั่งรวมตัวกันบนศาลาท่ามกลางหิมะโปรยปราย เสียงลูกเกาลัดแตกในเตาไฟที่มีควันพวยพุ่งก็ฟังดูสดชื่นเป็นพิเศษ 


 


 


“ย่ะ ย่ะ!” 


 


 


คังตามติดพระหมื่นปีแจพร้อมเรียกเสด็จย่าด้วยการออกเสียงอ้อแอ้ ก่อนจะพาตนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอุ่น หญิงชราจึงหัวเราะอย่างสดใส นางเคยยิ้มอย่างเดียวมาตลอดชีวิต แต่ตอนนี้กลับหัวเราะบ่อยและเสียงดังมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามได้เจอเหลนๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว 


 


 


ฮอนเป่าลูกเกาลัดฟู่ๆ แล้วแกะด้วยตนเองเพื่อป้อนเสด็จย่าที่ยังคงหัวเราะอยู่ หลังจากได้เห็นภาพนั้น จู่ๆ รยูฮาก็นึกถึงบางอย่างที่เก็บรักษาอย่างทะนุถนอมในตู้เอกสารขึ้นมา 


 


 


“เสด็จย่า หม่อมฉันทูลถามเพราะสงสัยเฉยๆ นะเพคะ” 


 


 


“ว่ามาสิพระมเหสี” 


 


 


มินอาสังเกตเห็นพิรุธบางอย่างจากสีหน้าของรยูฮาจึงคอยเฝ้าระวัง 


 


 


“ทรงเคยเล่นพนันหรือไม่เพคะ” 


 


 


“พนัน?” 


 


 


พระหมื่นปีพยักหน้าตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 


 


 


“แน่นอนสิ สมัยย่ายังเป็นพระมเหสี เคยแอบนั่งล้อมวงกันกับพวกนางสนมแล้วหาเรื่องสนุกสนานกันบ้างเป็นครั้งคราวน่ะ ครึ่งหนึ่งของสมบัติในวังจางชุนก็ได้มาจากการพนันนี่แหละ” 


 


 


“เสด็จย่าทรงเคยเล่นพนันด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


คำตอบเหนือความคาดหมายทำเอาฮอนตกใจจนทำเกาลัดในมือร่วงดังตุบ มันกลิ้งหลุนๆ แต่ชินจับไว้ได้พร้อมหัวเราะดีใจ แต่ก็นั่งอึ้งเมื่อโดนยอนแย่ง 


 


 


“ไหนๆ เราก็มารวมตัวกันแล้ว ถ้าเช่นนั้นให้พวกเด็กๆ กลับเข้าไปก่อนแล้วมาลองเล่นกันสักตาหนึ่งดีไหมเพคะ” 


 


 


“พระมเหสี!” 


 


 


มินอาออกตัวห้ามรยูฮา แต่พอพระหมื่นปีตอบว่าได้สิ มาเล่นกัน นางจึงต้องเป็นฝ่ายเงียบแทน 


 


 


และหลังจากนั้นไม่นาน 


 


 


“แปดแต้ม” 


 


 


หญิงชราวางไพ่ลงพร้อมเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ นี่ไม่ใช่การพนันธรรมดา แต่เป็นเกมสำคัญซึ่งรวมราชทรัพย์ส่วนพระองค์จากทั้งสี่วัง ได้แก่ วังจางชุน วังจานยอง วังซึงกอนและวังกอนชอง นอกจากนั้นจนถึงตอนนี้ ชัยชนะยังเทไปเพียงด้านเดียวอีกด้วย 


 


 


“เสด็จย่าเพคะ” 


 


 


มินอาเรียกพระหมื่นปีด้วยความสุขุมเยือกเย็น ลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลกลบรอยยิ้มสดใสออกจนหมดสิ้น 


 


 


“เรียกทำไมหรือพระชายา” 


 


 


“หม่อมฉัน เก้าแต้มเพคะ” 


 


 


รยูฮากับฮอนถึงกับถอนหายใจแล้ววางไพ่ลง ว่ากันว่าคนเพิ่งเคยเล่นพนันเป็นครั้งแรกมักจะน่ากลัวเสมอ ตอนนี้ทรัพย์สมบัติของวังซึงกอนคงจะแซงหน้าวังจานยอง ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของฝ่ายในมาตลอด บรรดาผู้น้อยก็ได้แต่มองดูและคอยถวายของว่างยามดึกให้อย่างขยันขันแข็ง ยิ่งดึกผู้สูงศักดิ์ทั้งสี่ยิ่งขาดสติกับการพนัน 


 


 


“เสวยสักหน่อยแล้วค่อยมาสนุกกันต่อเถอะเพคะ” 


 


 


หลังจากนางในนำโต๊ะอาหารเล็กๆ มาวางข้างกายแต่ละคนและหลับออกแล้ว รยูฮาจึงยืดเอวขึ้นและเปิดผ้าคลุมสำรับออก ทว่าขณะนั้น 


 


 


“แหวะ!” 


 


 


จู่ๆ ท้องไส้ที่เป็นปกติก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อพระมเหสีมีท่าทางคลื่นไส้พลางโบกพระหัตถ์ไปมาอย่างไร้สติ เหล่านางในจึงยกโต๊ะอาหารไปเก็บด้วยความตื่นตระหนก แม้กลิ่นอันน่าสะอิดสะเอียนจะหายไปแล้ว แต่ท้องไส้นางก็ยังไม่สงบลง หลังจากนั้นพักใหญ่ๆ รยูฮาจึงเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนจะมองรอบตัวอย่างมึนงง เพราะเห็นว่าสายตาแอบซ่อนความคาดหวังจับจ้องตนมาจากทุกทิศทาง 


 


 


อย่าบอกนะว่า… ใช่หรือ ที่ช่วงนี้เอาแต่ง่วงและเพลียตลอด ทั้งๆ ที่นอนแล้วนอนอีก… 


 


 


“หมอหลวง! ไปตามหมอหลวงมา!” 


 


 


“ตะโกนเสียงดังเช่นนั้น เดี๋ยวพระมเหสีก็ตกใจหรอกฝ่าบาท!” 


 


 


ฮอนใจร้อนรีบมองหาขันทีพร้อมตะโกนเสียงดังจนถูกพระหมื่นปีตำหนิ ส่วนแววตาของมินอาก็เปี่ยมด้วยความคาดหวังอันกดดันเช่นกัน รยูฮาจึงเลื่อนสายตาที่หลุบลงด้วยความมึนงงขึ้นมามองสวามีและพึมพำราวกับเพิ่งนึกออก 


 


 


“หม่อมฉันอยากกินแองดู[1]เพคะฝ่าบาท” 


 


 


 


 


 


[1] แองดู (앵두) ผลเชอร์รี่ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม