ออกแบบรักโปรเจกต์หัวใจ 161-167

ตอนที่ 161 พาลั่วอิงไปดูหนัง

 

           ลั่วเซ่าเชินค่อนข้างกังวล แม้ว่าปากของถังโจวโจวจะบอกว่าเชื่อ แต่หากเธอยังคงมีบาดแผลอยู่ในใจ แล้วที่เขาต้องการให้เธอเชื่อมั่นในตัวเขาจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? แบบนี้มันก็เป็นแค่เพียงลมปากน่ะสิ


 


 


           ถังโจวโจวนึกว่าลั่วเซ่าเชินจะปล่อยเธอไปหากเธอพูดแค่สองสามคำนั้นออกมา แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าลั่วเซ่าเชินจะคาดคั้นเธอถึงขนาดว่าเธอเชื่อเขาจริงๆ ใช่หรือไม่


 


 


           เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาติดใจถามซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เธอก็ไม่อยากจะโกหกเขา เธอจึงตอบด้วยความสัตย์จริงว่า “เซ่าเชิน ถ้าคุณอยากให้ฉันเชื่อคุณจริงๆ คุณก็ต้องอธิบายให้ฉันฟัง ไม่ใช่ว่าเลี่ยงไม่ยอมพูดอะไรเลยแบบนี้ พอคุณทำแบบนี้ฉันก็ไม่อาจมั่นใจได้ แล้วจะให้ฉันเอาอะไรไปเชื่อคุณล่ะคะ?”


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดไม่ออกเมื่อถังโจวโจวพูดออกมาตรงๆ เขาเงียบไปนานก่อนจะตอบว่า “โอเค โจวโจว ผมจะไม่ขอให้คุณเชื่อผมในตอนนี้ เพราะผมรู้ว่าคุณเองก็ยังคงไม่สามารถไว้ใจผมได้จริงๆ ผมจะปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างเอง”


 


 


“ฉันเชื่อค่ะว่าเวลาจะพิสูจน์ทุกอย่าง!” ทั้งสองคนจบบทสนทนาในเรื่องนี้ได้ด้วยดี ถังโจวโจวยิ้มออกมาได้เสียที


 


 


จุ๊บ! ลั่วเซ่าเชินประทับรอยจูบลงบนแก้มของถังโจวโจว


 


 


ถังโจวโจวมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ เธอไม่เข้าใจความหมายของเขา แล้วลั่วเซ่าเชินก็เฉลยออกมาว่า “นี่เป็นตราประทับสำหรับการพูดคุยด้วยความเข้าใจของเราเมื่อครู่นี้!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ถังโจวโจวก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย และเมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าถังโจวโจวไม่ได้เย็นชากับเขาอีกต่อไปแล้ว เขาก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “โจวโจว ผมขอโทษ ขอโทษที่แม่ของผมพูดกับคุณแบบนั้น”


 


 


“คุณจะขอโทษฉันทำไมคะ นั่นไม่ใช่ปัญหาของคุณสักหน่อย?”


 


 


“เพราะว่าท่านคือแม่ของผม ผมจึงควรจะรับผิดชอบการกระทำของท่านด้วย” ลั่วเซ่าเชินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากบอกเธอไปตามตรง


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้า “ฉันยกโทษให้คุณค่ะ แต่เพราะฉันเห็นแก่หน้าคุณ ไม่ใช่เพราะท่าน” คำอธิบายของถังโจวโจวทำให้ลั่วเซ่าเชินใจชื้นมากยิ่งขึ้น ถังโจวโจวให้อภัยเพราะเป็นเขา นั่นแสดงว่าเขาเองก็พอมีอิทธิพลต่อหัวใจของเธออยู่บ้างเหมือนกัน


 


 


“ขอบคุณครับ โจวโจว แล้วผมก็ต้องขอโทษคุณล่วงหน้าเอาไว้ด้วยนะ หากว่าคุณแม่ผมจะทำอะไรให้คุณเจ็บอีก”


 


 


ถังโจวโจวตวัดสายตามองลั่วเซ่าเชิน ก่อนจะโพล่งคำถามที่ติดอยู่ในใจมาตลอดออกมา “แล้วทำไมคุณถึงไม่ห้ามท่านไม่ให้มาทำร้ายฉันล่ะคะ คุณจะเอาแต่ขอโทษแทนท่านไปเรื่อยๆ อย่างนี้น่ะหรือ”


 


 


ถังโจวโจวรู้ดีว่าคุณแม่ลั่วกับลั่วเซ่าเชินเป็นคนละคนกัน แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ส่วนลั่วเซ่าเชินก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ถังโจวโจวเห็นอย่างนั้น ไม่ต้องบอกก็พอรู้ เธอเข้าใจดีว่าที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ เธอจึงปรับน้ำเสียงให้ฟังดูสบายๆ ขึ้น แล้วตั้งท่าจะลุกเดินหนีไป


 


 


“เอาเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ คุณไม่ต้องพูดหรอก เป็นฉันเองที่ทำให้คุณลำบากใจ”


 


 


ถังโจวโจวก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ เธอจะถามคำถามแบบนี้ออกมาทำไม บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้งไปเสียได้ เธอนี่หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ เลย!


 


 


“นี่คุณคิดไปถึงไหนต่อไหนอีกแล้วใช่ไหม!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินคว้าตัวเธอที่คิดจะหนีไว้ได้ ทันทีที่เขาดึงตัวถังโจวโจวไว้ ถังโจวโจวก็เซไปตามแรง และเสียหลักจนนั่งลงไปบนตักของลั่วเซ่าเชิน


 


 


ถังโจวโจวดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมกอดของลั่วเซ่าเชิน แล้วในจังหวะนั้น เธอก็ได้ยินเสียงแหบพร่าของลั่วเซ่าเชินที่มากระซิบอยู่ข้างหู “โจวโจว คุณอย่าขยับ ผมกลัวว่าผมจะทนไม่ไหว…”


 


 


ถังโจวโจวตัวแข็งทื่อในทันที เธอกำลังขบคิดหาคำตอบว่าลั่วเซ่าเชินหมายถึงอะไร ทันใดนั้นเอง เธอก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ก้นของเธอ ถังโจวโจวนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง แล้วใบหน้าของเธอก็แดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุกทันที คนหื่นกามนี่!


 


 


เธอไม่กล้าขยับตัวอีกแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าลั่วเซ่าเชินจะกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย แต่ลั่วเซ่าเชินที่เห็นว่าถังโจวโจวนั่งนิ่งโดยดี เขาก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อย ถ้าถังโจวโจวยังคงขัดขืนเขาต่ออีกสักนิด เขาก็จะมีเหตุผลมากพอที่จะลงมือทำแบบนั้นกับถังโจวโจว แต่โอกาสดีๆ แบบนั้นหลุดลอยไปเพราะคำพูดของเขาแล้ว


 


 


กว่าที่ลั่วอิงจะกลับมาถึงบ้าน ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินก็กลับมาอยู่ในความสงบแล้ว และเมื่อป้าหลิวเห็นว่าทั้งคู่กลับมาแล้ว เธอก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชาย คุณผู้หญิง กลับมาแล้วหรือคะ เดี๋ยวฉันจะรีบเข้าไปเตรียมมื้อเย็นให้ค่ะ”


 


 


ลั่วอิงโถมตัวเข้าหาถังโจวโจว “แม่โจวโจวขา วันนี้คุณแม่กับคุณพ่อไปไหนกันมาหรือคะ หนูมีอะไรจะบอกค่ะ วันนี้หนูไปซื้อของที่ตลาดกับป้าหลิวมาด้วย! หนูรู้จักผักเยอะแยะเลย”


 


 


สีหน้าของลั่วอิงดูตื่นเต้นมาก เธอรอให้ถังโจวโจวเอ่ยชมเธอ ถังโจวโจวก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอและเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “จริงเหรอคะ ลั่วอิงเก่งที่สุดเลย! แม่โจวโจวต้องเอาหนูเป็นแบบอย่างซะแล้ว”


 


 


หลังจากกินข้าวกันเสร็จ เนื่องจากช่วงนี้อากาศค่อนข้างเย็น ถังโจวโจวจึงไม่อยากออกไปเดินเล่น ดังนั้นเธอจึงอยู่เล่นกับลั่วอิงในห้อง


 


 


ช่วงสุดสัปดาห์ ถังโจวโจวและลั่วเซ่าเชินพาลั่วอิงไปดูหนังเรื่องใหม่ที่กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ พวกเขาได้ยินมาว่าหนังเรื่องนี้เป็นที่โปรดปรานของเด็กๆ ในขณะที่ถังโจวโจวกับลั่วอิงกำลังยืนรอลั่วเซ่าเชินไปซื้อเครื่องดื่มและป๊อปคอร์นอยู่ที่หน้าโรงภาพยนตร์นั้น พวกเธอก็ได้พบกับคนรู้จัก


 


 


“โจวโจว มาดูหนังเหมือนกันเหรอ” สวี่โยวควงแขนของเซียวโม่เดินเข้ามาหาถังโจวโจวและลั่วอิง


 


 


ถังโจวโจวยิ้มเจื่อน “บังเอิญจังเลย สวี่โยว เซียวโม่ พวกเธอก็มาดูหนังเหมือนกันเหรอ” ถังโจวโจวชำเลืองมองไปที่หน้าท้องของสวี่โยวที่นูนป่องออกมาอย่างชัดเจน สายตาของเธอไม่สามารถกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ สวี่โยวรู้ดีว่าถังโจวโจวกำลังหวนนึกถึงเด็กที่ไม่มีวาสนาคนนั้น


 


 


สวี่โยวยืนลูบหน้าท้องของเธอพลางหันไปหาเซียวโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขามองถังโจวโจวเพียงครู่เดียวก็หันกลับมามองเธอ สวี่โยวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของเขา เธอเอ่ยกับเซียวโม่ว่า “อาโม่คะ คุณช่วยไปซื้อป๊อปคอร์นมาให้ฉันหน่อยได้ไหม แล้วก็เครื่องดื่มด้วยนะคะ”


 


 


“คุณท้องอยู่นะ ดื่มเครื่องดื่มแบบนี้มันไม่ดีต่อลูกในท้องเลย!” เซียวโม่เอ็ดเบาๆ


 


 


สวี่โยวพูดอย่างออดอ้อน “อาโม่คะ ฉันไม่ได้อยากดื่มสักหน่อย เจ้าตัวเล็กนี่ต่างหาก เอาเป็นว่าคุณซื้อมาเถอะค่ะ ฉันจะดื่มแค่นิดเดียว โอเคไหม”


 


 


เซียวโม่จึงทำได้แค่เพียงถอนหายใจและพูดออกมาว่า “คุณพูดแล้วนะว่าจะดื่มแค่นิดเดียว ถ้าคุณดื่มเยอะ ผมจะกลับไปลงโทษคุณที่บ้าน”


 


 


“รู้แล้วค่ะ ฉันจะรักษาสัญญา” สวี่โยวยิ้มหวานให้ จากนั้นเธอก็เห็นเซียวโม่เดินออกไปซื้อเครื่องดื่มและป๊อปคอร์น จนกระทั่งเซียวโม่ถูกกลืนหายไปในฝูงชน สวี่โยวถึงหันหน้ากลับมามองถังโจวโจวและลั่วอิงที่ยืนอยู่หน้าโรงหนัง พลางคิดว่าลั่วเซ่าเชินไม่ได้มากับพวกเธอด้วยหรือ? “โจวโจว ช่วงนี้เธอสบายดีไหม”


 


 


เมื่อครู่ถังโจวโจวเห็นว่าเซียวโม่มองมาที่เธอแค่แวบเดียว จากนั้นเขาก็เบนสายตากลับไปที่สวี่โยว แม้เธอจะคิดว่าเซียวโม่นั้นทำถูกต้องแล้ว แต่ถังโจวโจวกลับรู้สึกหดหู่อย่างไม่อาจอธิบายได้


 


 


เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เมื่อก่อนที่เซียวโม่เคยตามวอแวเธอ เธอก็รู้สึกรำคาญ แต่ตอนนี้พอเซียวโม่ไม่ชายตามองเธอแล้ว เธอกลับรู้สึกแปลกพิกล


 


 


ถังโจวโจวคิดว่าช่วงนี้ชีวิตเธออาจจะสงบสุขมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงคิดอะไรต่อมิอะไรได้มากมายขนาดนี้ เธอรีบขจัดความคิดที่อยู่ในหัวและกล่อมตัวเองในใจ ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว ลืมมันสิ ลืมไปมันซะ


 


 


บางทีการบอกตัวเองแบบนี้อาจจะช่วยได้จริงๆ ถังโจวโจวรู้สึกว่าจิตใจของเธอกลับสู่สภาวะปกติแล้ว เธอพูดกับสวี่โยวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้คุณจะไปได้สวยนะคะ ฉันยินดีกับพวกคุณด้วยจริงๆ”


 


 


“ขอบคุณนะ โจวโจว ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก” สวี่โยวลูบหน้าท้องของเธอ ถังโจวโจวไม่อยากจะมองเธออีกต่อไป จึงเสมองไปทางอื่นทันที ซึ่งในขณะเดียวกัน เธอก็พร่ำบ่นอยู่ในใจ ทำไมเซ่าเชินถึงยังไม่มาอีก!


 


 


พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังบ่นถึงลั่วเซ่าเชินอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็โผล่มาจากทางด้านหลังเธอ “โจวโจว เรียบร้อยแล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินส่งถังป๊อปคอร์นไปให้ลั่วอิงและจับมือเล็กๆ นั้นไว้ เขาหันมองสวี่โยวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถังโจวโจว จากนั้นเขาก็มองไปที่หน้าท้องที่นูนป่องของเธอ ลั่วเซ่าเชินกลัวว่าถังโจวโจวจะนึกถึงลูกที่สูญเสียไป เขาจึงเร่งให้ถังโจวโจวเข้าไปข้างใน


 


 


ถังโจวโจวยิ้มขอโทษสวี่โยว “ขอโทษทีนะ สวี่โยว ฉันขอตัวเข้าไปข้างในก่อน”


 


 


“พวกเราขอตัวก่อนนะครับ คุณผู้หญิงเซียว เอาไว้โอกาสหน้าค่อยนัดกัน!” คำเรียกขานเธอของลั่วเซ่าเชินทำให้สวี่โยวรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก แค่คำว่า ‘คุณผู้หญิงเซียว’ ก็ทำให้สวี่โยวรู้สึกว่าความพยายามของเธอในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันไม่ได้สูญเปล่า


 


 


หลังจากที่เซียวโม่ไปซื้อของกลับมา ถังโจวโจวก็หายไปแล้ว และเมื่อเขาเห็นว่าสวี่โยวยืนอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว เซียวโม่ก็ต่อว่าเธอ “ทำไมคุณถึงไม่หาที่นั่งล่ะ ทำไมถึงมายืนอยู่แบบนี้ ไม่กลัวคนชนเอาหรือไง เดี๋ยวลูกได้รับอันตรายขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”


 


 


สวี่โยวยืนฟังเซียวโม่บ่นอยู่เงียบๆ โดยที่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ เซียวโม่ที่พร่ำบ่นอยู่นานพลันหยุดต่อว่ากลางคัน “นี่ผมกำลังเอ็ดคุณอยู่นะ คุณยังยิ้มออกอยู่อีก?”


 


 


เซียวโม่รู้สึกว่าวันนี้สวี่โยวดูแปลกไป เธอทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และที่เขาดุเธออยู่นี้ เธอยังยิ้มได้อย่างมีความสุขอีกหรือ?


 


 


“คุณจะไม่ให้ฉันยิ้มได้ยังไงล่ะคะ คุณเอ็ดฉันก็เพราะว่าคุณเป็นห่วงฉันกับลูก ฉันรู้ค่ะ อาโม่ แต่คุณค่อยกลับไปสั่งสอนฉันที่บ้านได้ไหม ตอนนี้หนังมันใกล้จะเริ่มฉายแล้ว เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ!”


 


 


หากถังโจวโจวได้เห็นฉากนี้ เธอคงจะทอดถอนใจออกมาและรู้สึกปลง ด้วยว่าทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อนของตัวเองจริงๆ! เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ภาพลักษณ์ของสวี่โยวมักจะดูเป็นคนไร้เหตุผลและเจ้ากี้เจ้าการ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซียวโม่ สวี่โยวจะกลายเป็นลูกนกตัวเล็กๆ ทันที นี่เป็นการแสดงความรักของสวี่โยวที่มีต่อเซียวโม่


 


 


เธอยอมปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเขา เธอยอมถอยให้เขา ขอแค่เขารักเธอ สวี่โยวสามารถเพิกเฉยต่อสิ่งใดก็ได้ นี่คือคำขอร้องของสวี่โยวที่มีต่อเซียวโม่


 


 


“โอเคๆ เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะ” สายตาของเซียวโม่หยุดมองตรงที่ที่ถังโจวโจวยืนอยู่เมื่อครู่เพียงแวบหนึ่ง แต่เขาไม่ได้ทำให้สวี่โยวเห็น เพราะเขากลัวว่าสวี่โยวจะคิดมากอีก


 


 


เซียวโม่ประคองสวี่โยวเดินเข้าไปในโรงที่หนึ่ง ส่วนโรงภาพยนตร์ที่ลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจว และลั่วอิงเดินเข้าไปคือโรงที่สอง


 


 


หลังจากที่หนังจบลง ถังโจวโจวกับลั่วอิงก็เดินอยู่ด้วยกันข้างหน้า ส่วนลั่วเซ่าเชินก็เดินถือของมาตามหลัง ราวกับเป็นผู้ติดตาม


 


 


“เป็นยังไงคะ หนังสนุกไหม” ถังโจวโจวถามลั่วอิง


 


 


ลั่วอิงไม่ยอมเดินดีๆ เธอกระโดดโลดเต้นไปตลอดทาง แต่ถังโจวโจวก็จับมือของเธอไว้แน่น


 


 


“ลั่วอิง เดินดีๆ ครับ ทำไมถึงซนแบบนี้” ลั่วเซ่าเชินเอ็ดเธอจากด้านหลัง


 


 


เมื่อลั่วอิงได้ยินเสียงของลั่วเซ่าเชิน เธอก็รีบหยุดยืนนิ่งๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปยิ้มให้ลั่วเซ่าเชิน จากนั้นเธอก็ปล่อยให้ถังโจวโจวจูงมือเธอเดินอย่างว่าง่าย ถังโจวโจวใช้นิ้วแตะที่หน้าผากของเธอเบาๆ “ดูเหมือนว่าจะมีแต่คุณพ่อนะคะที่เอาหนูอยู่!”


 


 


“แม่โจวโจวขา หนูก็เชื่อฟังคุณแม่เหมือนกันนะคะ” ลั่วอิงรีบอธิบายอย่างรีบร้อน เพราะกลัวถังโจวโจวจะคิดว่าเธอตั้งใจดื้อกับถังโจวโจว


 


 


“ค่ะ หนูไม่ต้องกลัวหรอก แม่โจวโจวยังไม่ได้ว่าหนูเลย”


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเดินมาจนใกล้จะถึงส่วนหน้าของโรงภาพยนตร์แล้ว เธอก็หันไปรับหมวกของลั่วอิงจากลั่วเซ่าเชินมา ก่อนจะสวมมันลงไปบนศีรษะของลั่วอิง หมวกสีแดงขับให้ใบหน้ากลมเล็กของลั่วอิงดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก


 


 


“ลั่วอิงของเรานี่น่ารักจริงๆ แม่โจวโจวรักหนูที่สุดเลยนะคะ!” จู่ๆ ถังโจวโจวก็พูดออกมา ทำเอาลั่วอิงยิ้มกว้างจนแทบหุบยิ้มไม่ได้ 

 

 


ตอนที่ 162 ความปรารถนาดี

 

       “แม่โจวโจวขา หนูก็รักคุณแม่เป็นคนที่…” ลั่วอิงตั้งใจพูดเว้นจังหวะ แต่เมื่อเธอเห็นว่าถังโจวโจวทำท่าจะเข้ามาจักจี้เธอ ลั่วอิงก็พูดออกมาพลางรีบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของลั่วเซ่าเชินทันที “…คนที่หนึ่งเลยค่ะ!” แล้วบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของถังโจวโจวและลั่วอิง 


 


 


           พวกเขาเดินมาถึงลานจอดรถ ทันใดนั้นสายตาอันเฉียบคมของถังโจวโจวก็เห็นหันฮุ่ยซินอยู่ไกลๆ แต่หันฮุ่ยซินไม่ได้อยู่คนเดียว เธออยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง บุคลิกของเขาดูสุภาพเรียบร้อย 


 


 


ชายคนนั้นยังดูหนุ่มมาก เมื่อยืนอยู่กับหันฮุ่ยซินแล้ว ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมาก ถังโจวโจวกระตุกชายเสื้อของลั่วเซ่าเชินเบาๆ ก่อนจะชี้ไปทางหันฮุ่ยซิน “เซ่าเชินคะ นั่นใช่คุณหันไหม” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหันไปมองตามที่ถังโจวโจวชี้ เขาก็พบว่าเป็นหันฮุ่ยซินจริงๆ ข้างกายของเธอมีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทสีกากียืนอยู่ด้วย ลั่วเซ่าเชินตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใช่ ทำไมเหรอ” 


 


 


“คุณไม่โกรธ?” ถังโจวโจวเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่มีอาการอะไรเลย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเคาะนิ้วลงบนหัวของถังโจวโจวเบาๆ “ถ้าผมโกรธ ผมคิดว่าคุณน่าจะโกรธมากกว่าผมแน่” 


 


 


ถังโจวโจวยิ้มแห้ง ลั่วเซ่าเชินรู้ทันเธอขนาดนี้เลยหรือ “ไม่จริงสักหน่อย ฉันจะโกรธได้ยังไง ว่าแต่เราควรเข้าไปทักทายเธอไหมคะ” 


 


 


“ไม่มีอะไรต้องคุยกันนี่ ถ้ามีธุระจะคุยกันจริงๆ เดี๋ยวก็มีโอกาสทักทายเอง” ลั่วเซ่าเชินเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังจะก้าวขึ้นรถ เธอก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง 


 


 


“อาเชิน คุณถัง บังเอิญจังเลยนะคะ พวกคุณก็มาที่นี่เหมือนกันหรือ” หันฮุ่ยซินและเพื่อนชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาหา 


 


 


ถังโจวโจวลอบถอนหายใจ ไปไหนไม่ได้แล้ว 


 


 


“บังเอิญจริงๆ ค่ะ คุณหัน แล้วคุณคนนี้คือ…?” ถังโจวโจวมองไปที่ชายหนุ่มข้างกายหันฮุ่ยซิน 


 


 


ชายคนนั้นยื่นมือออกมา “สวัสดีครับ ผมชื่อเจียงรุ่ยเฉิน ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณผู้หญิงลั่ว” 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกประหลาดใจ เมื่ออีกฝ่ายเรียกเธออย่างนั้น “เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ” หันฮุ่ยซินเองก็หันไปมองเจียงรุ่ยเฉินด้วยความประหลาดใจเช่นกัน 


 


 


‘จากที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน?’ ถังโจวโจวคาดเดา 


 


 


“คุณผู้หญิงลั่วไม่รู้จักผมหรอกครับ แต่ที่ผมรู้จักคุณผู้หญิงลั่ว นั่นเป็นเพราะท่านผอ. ลั่ว… ท่านผอ. ว่าอย่างนั้นไหมครับ” เจียงรุ่ยเฉินมองลั่วเซ่าเชินที่ลงมาจากรถ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกับเจียงรุ่ยเฉินจับมือกัน “ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ ผู้จัดการเจียง” 


 


 


“ผมได้ยินชื่อเสียงของท่านผอ. มานาน แต่ไม่เคยมีโอกาสได้พบเลย ในที่สุดวันนี้ผมก็ได้พบท่านแล้ว” เจียงรุ่ยเฉินยกยิ้มขึ้นมาอย่างยินดี ถังโจวโจวรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ได้ดูน่าเกรงขามเหมือนกับลั่วเซ่าเชิน ดังนั้น ความประทับใจแรกของเธอที่มีต่อเจียงรุ่ยเฉินจึงแตกต่างออกไป 


 


 


“อาเชิน คุณรู้จักกับรุ่ยเฉินด้วยหรือคะ” หันฮุ่ยซินเห็นว่าไม่มีใครสนใจเธอเลย เธอจึงพูดแทรกขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกเขา 


 


 


“ผอ. ลั่วครับ ถ้ายังไงเราไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมครับ ดูเหมือนว่าคุณหันเองก็อยากจะพูดคุยกับพวกคุณเหมือนกัน” เจียงรุ่ยเฉินเห็นว่าจะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ก็ใช่ที่ เขาจึงเอ่ยเสนอแนะออกมา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินปฏิเสธ “วันนี้เราไม่ค่อยสะดวก ไว้ครั้งหน้าก็แล้วกันนะครับ ผู้จัดการเจียง ไว้มีโอกาสค่อยคุยกัน วันนี้พวกเราขอตัวก่อน” 


 


 


เจียงรุ่ยเฉินเห็นว่าภายในรถของลั่วเซ่าเชินมีเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น เขาเดาว่าเธอน่าจะเป็นทายาทของลั่วเซ่าเชิน…ลั่วอิง เขาจึงเข้าใจในทันที “ครับ ท่านผอ. ลั่ว ผมจะรอ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพยักหน้าเบาๆ เขาบอกลาเจียงรุ่ยเฉิน ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้สนใจแววตาลึกซึ้งที่หันฮุ่ยซินส่งมาให้เขา เขาพาถังโจวโจวกลับไปขึ้นรถ และขับออกไปจากลานจอดรถ 


 


 


เจียงรุ่ยเฉินยืนมองลั่วเซ่าเชินที่ขับรถไกลออกไป รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น หันฮุ่ยซินเห็นเขายิ้มอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอคาดเดาผู้ชายคนนี้ไม่ออก ดูเหมือนว่าต่อไปเธอควรจะต้องอยู่ให้ห่างจากเขา นี่เป็นสิ่งที่สัญชาตญาณของหันฮุ่ยซินบอกกับตัวเธอเอง 


 


 


หลินเหยาโทรศัพท์มาหาถังโจวโจว “โจวโจว เธอทำอะไรอยู่ ออกมาชอปปิงกัน!” 


 


 


ถังโจวโจวหันมองลั่วเซ่าเชินที่กำลังขับรถอยู่ ก่อนจะยกมือปิดไมโครโฟนของโทรศัพท์แล้วถามลั่วเซ่าเชินว่า “เรามีธุระอื่นอีกไหมคะ” 


 


 


“คุณจะไปไหน” 


 


 


“เหยาเหยาชวนฉันออกไปชอปปิงค่ะ” 


 


 


“ผมตั้งใจว่าจะพาคุณกับลูกไปทานข้าว” ลั่วเซ่าเชินบอกแผนการของเขาให้ถังโจวโจวฟัง 


 


 


ถังโจวโจวกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อีกครั้ง “เหยาเหยา เรากำลังจะไปทานข้าวกัน เธอจะมาด้วยกันไหม” 


 


 


“แค่เธอกับผอ. ลั่ว?” เสียงของหลินเหยาดังมาก แม้แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังได้ยิน 


 


 


“ใช่ แล้วก็ลั่วอิงด้วย” ถังโจวโจวเหลือบมองลั่วอิงที่นั่งอยู่บนคาร์ซีทด้านหลัง 


 


 


เมื่อลั่วอิงได้ยินชื่อของตัวเอง เธอก็ถามถังโจวโจวในทันที “แม่โจวโจวเรียกหนูหรือคะ” 


 


 


“ไม่ใช่ค่ะ น้าหลินเหยาถามแม่ว่าตอนนี้แม่อยู่กับใคร” 


 


 


ลั่วอิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อของหลินเหยา “น้าหลินเหยาหรือคะ หนูไม่ได้เจอคุณน้านานแล้ว คุณพ่อขา เราจะไปทานข้าวกันใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นเราชวนน้าหลินเหยามาทานข้าวด้วยกันได้ไหมคะ” 


 


 


“เรากำลังจะไปทานข้าวกันครับ แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแม่โจวโจวของลูกว่าจะเห็นด้วยหรือเปล่า พ่อไม่มีความคิดเห็นครับ” น้ำเสียงไม่แยแสของลั่วเซ่าเชินทำให้ลั่วอิงเปลี่ยนเป้าหมายออดอ้อนทันที 


 


 


“แม่โจวโจวขา คุณแม่รีบบอกให้น้าหลินเหยามาทานข้าวกับเราสิคะ จากนั้นเราค่อยไปชอปปิงด้วยกัน” 


 


 


ถังโจวโจวบอกความคิดของลั่วอิงให้หลินเหยาฟัง หลินเหยาคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบตกลง “โอเค บอกที่อยู่มาเลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินจอดรถที่หน้าร้านอาหาร เขาก็พาถังโจวโจวและลั่วอิงเข้าไปในห้องส่วนตัว เขายังกำชับกับพนักงานในห้องโถงว่าถ้าหลินเหยามาถึงแล้ว ให้พาเธอไปส่งที่ห้องส่วนตัวด้วย 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินไปอธิบายกับถังโจวโจวไปว่า “ร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนสนิทผม ผมจึงพอกำชับได้บ้าง” 


 


 


ถังโจวโจวพยักหน้า ที่แท้เขาก็มีเส้นสายนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่เขาดูคุ้นเคยกับที่นี่มากขนาดนี้ ถังโจวโจวจูงมือของลั่วอิงเดินตามหลังลั่วเซ่าเชินเข้าไปในห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ภายในนั้นไม่ได้กว้างมาก มีแค่โต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้อีกสี่ตัว 


 


 


ฝาผนังสะอาดสะอ้าน โต๊ะทำมาจากไม้มะฮอกกานี ดูเรียบหรูเป็นอย่างมาก เก้าอี้ก็เป็นแบบที่มีพนักพิงขนาดใหญ่ นั่งสบายเป็นที่สุด 


 


 


หลังจากที่ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้ามานั่งได้ไม่นาน ก็มีคนเข้ามาส่งหลินเหยาที่ห้องส่วนตัว พร้อมกันกับพนักงานคนหนึ่งนำรายการอาหารที่ลั่วเซ่าเชินสั่งเรียบร้อยแล้วออกไปพอดี หลินเหยาเห็นว่าสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลลั่วนั่งอยู่ด้านใน เธอก็นั่งลงข้างๆ ลั่วอิง 


 


 


“โจวโจว ชีวิตเธอนี่ช่างดีจริงๆ” 


 


 


“เธอก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ เหยาเหยา” ในทุกๆ วัน ใครอยากจะไปไหนก็ไปได้ตามใจ นอกเสียจากบางครั้งที่รู้สึกเหงาจึงชวนกันออกไปบ้าง แต่ชีวิตส่วนใหญ่ของทั้งคู่ต่างก็มีความสุขดี 


 


 


หลินเหยากับลั่วเซ่าเชินทักทายกันตามมารยาท ก่อนที่หลินเหยาจะหันไปบีบแก้มของลั่วอิง “ลั่วอิง หนูไม่ได้เจอน้าหลินเหยานานขนาดนี้ คิดถึงน้าบ้างไหมคะ” 


 


 


“คิดถึงค่ะ…” ลั่วอิงพูดไม่ชัดเพราะถูกบีบแก้มอยู่ 


 


 


ถังโจวโจวรีบตีมือของหลินเหยา “เธอบีบแก้มลั่วอิงขนาดนี้ เดี๋ยวรูปหน้าก็เสียหมดหรอก!” 


 


 


“อะไรจะเสียได้ง่ายขนาดนั้น!” หลินเหยาคิดว่าถังโจวโจวชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ เธอแค่หยอกเล่นก็เท่านั้นเอง เธอจะบีบให้ใบหน้าเสียรูปจริงๆ ได้อย่างไร! ฉันไม่สำคัญเท่าลั่วอิงกับลั่วเซ่าเชินแล้วสินะ หลินเหยาคิดในใจ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าหลินเหยาเริ่มพูดไม่หยุด ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะห้ามปราม ผ่านไปสักพักหลินเหยาก็เห็นว่าถังโจวโจวไม่สนใจเธอแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เธอจึงทำได้แค่ถามไถ่ลั่วอิงว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อฆ่าเวลาที่น่าเบื่อนี้ 


 


 


หลังจากกินข้าวกันเสร็จ ลั่วเซ่าเชินก็พาพวกเธอทั้งสามคนไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้ๆ จากนั้นเขาก็ขับรถกลับบ้านไปก่อน เขายังนัดแนะกับถังโจวโจวว่าหากพวกเธอชอปปิงกันเสร็จแล้วให้โทรศัพท์ไปบอก แล้วเขาจะกลับมารับพวกเธอ 


 


 


หลินเหยาพูดด้วยความอิจฉา “โจวโจว เธอนี่หาสามีได้ดีจริงๆ!” แค่มาชอปปิงก็มารับมาส่ง ชีวิตเธอจะดีเกินไปหน่อยล่ะมั้ง! 


 


 


หลินเหยาเห็นว่าวันนี้ลั่วเซ่าเชินดูแลเทคแคร์ถังโจวโจวดีกว่าแต่ก่อนมาก แล้วก็ยังรู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ถังโจวโจวประทับใจ ทำให้เธอรู้สึกรักเขามากกว่าเดิม 


 


 


“ถ้าอยากมี เธอก็หาสักคนสิ!” มือข้างหนึ่งของถังโจวโจวจูงมือของลั่วอิง ส่วนอีกข้างที่เหลือก็ควงแขนของหลินเหยา 


 


 


เมื่อได้ยินถังโจวโจวพูดถึงเรื่องหาแฟน หลินเหยาก็รีบเปลี่ยนเรื่องหนี “พอๆ ไม่ต้องวกมาพูดถึงฉันเลย ขอแค่เธอมีความสุข ฉันยังไงก็ได้ ไม่มีปัญหา!” 


 


 


“เหยาเหยา เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง แล้วที่บอกว่า ‘ยังไงก็ได้ ไม่มีปัญหา’ น่ะ มันคืออะไร! เธอก็ต้องมีชีวิตที่ดีเหมือนกันสิ เธอต้องเหนือกว่าผู้ชายคนนั้น อย่าปล่อยให้เขาหัวเราะเยาะเธอได้!” 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะไม่ได้แนะนำให้หลินเหยากลับไปคืนดีกับแฟนเก่า แต่เธอก็ไม่สามารถปล่อยให้เขามาดูถูกหลินเหยาได้ ต้องทำให้เขาได้รู้ว่าแม้จะไม่มีเขา หลินเหยาก็มีความสุขดี และจะหาแฟนใหม่ได้ดีกว่าเขาหลายเท่าตัว 


 


 


“ช่วงนี้เขายังมาวอแวเธออีกไหม” 


 


 


หลินเหยาส่ายหน้า “ไม่แล้วล่ะ ครั้งก่อนฉันขอให้ฟังหยวนแกล้งเป็นแฟนปลอมๆ ของฉันเพื่อไปร่วมงานหมั้นของพวกเขา ฉันอยากให้เธอได้เห็นจริงๆ ว่าสีหน้าของหลิวเหยียนในตอนนั้นดำคล้ำแค่ไหน แต่ฉันก็นับถือสวีเฉินซีจริงๆ ในสถานการณ์แบบนั้นยังแบกหน้ายิ้มอยู่ได้” 


 


 


หลินเหยาชื่นชมสวีเฉินซีในจุดนี้จริงๆ หากเป็นเธอ เธอคงทำไม่ได้ ผู้ชายของตัวเองยังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ในหัวใจ ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็ล้วนอยากมีความสุขอย่างแท้จริง คงไม่ทำเรื่องที่มันขาดทุนแบบนี้ 


 


 


“แล้วงานหมั้นของพวกเขาผ่านไปได้ด้วยดีไหม” ถังโจวโจวมีความคิดอันแสนชั่วร้ายผุดขึ้นมา ถ้าจู่ๆ เกิดมีแฟนเก่าของสวีเฉินซีโผล่มาและตั้งใจจะยื้อแย่งเธอกลับไป หลิวเหยียนคงจะต้องเสียทั้งภรรยาและทุกสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ไปแน่ๆ 


 


 


แต่น่าเสียดายที่มันเป็นแค่จินตนาการ “ราบรื่นมาก ยกเว้นคู่นักแสดงชายหญิงที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันในทุกๆ เรื่อง อย่างอื่นก็เป็นไปได้สวย… นี่! ฉันรู้นะว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ อย่าคิดไปไกลย่ะ มันเป็นไปไม่ได้ถึงขนาดนั้น!” 


 


 


หลินเหยาทำลายความคิดลมๆ แล้งๆ ของถังโจวโจว ถังโจวโจวถอนหายใจ แต่ละครั้งที่คิดจะกำจัดผู้ชายเลวๆ สักคน เธอก็ทำได้แค่จินตนาการเท่านั้น แล้วตอนนี้ผู้ชายเลวๆ คนนั้นกลับได้ดีกว่าใครๆ เสียด้วย! 


 


 


อยู่ดีๆ ลั่วอิงก็โพล่งขึ้นมาว่า “แม่โจวโจวขา น้าหลินเหยาไปเจอคนไม่ดีมาหรือคะ” 


 


 


“ใช่ค่ะ น้าหลินเหยาเจอผู้ชายไม่ดีคนหนึ่ง แต่ผู้ชายคนนั้นกลับยังมีความสุขดี แม่โจวโจวได้ยินแล้วก็เลยไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรน่ะค่ะ” ถังโจวโจวย่อตัวลงไปอธิบายให้ลั่วอิงฟัง 


 


 


ลั่วอิงพยักหน้ารับรู้ แต่สายตาฉายแววไม่แน่ใจ “หรือให้คุณพ่อไปสั่งสอนเขาดีไหมคะ น้าหลินเหยาจะได้สบายใจขึ้นด้วย” 


 


 


ถังโจวโจวและหลินเหยาต่างก็ชอบใจกับความคิดเด็กๆ ของลั่วอิง “ไม่ต้องหรอกค่ะ เราอย่ารบกวนคุณพ่อให้ต้องมาจัดการเรื่องแค่นี้เลย” 


 


 


ถังโจวโจวให้โจทย์ยากกับลั่วอิงอีกครั้ง ลั่วอิงขมวดคิ้วมุ่นและไม่รู้ว่าควรจะช่วยอย่างไรดี 


 


 


ถังโจวโจวลูบศีรษะของเธอ “ลั่วอิง อย่าขมวดคิ้วค่ะ แบบนี้คุณแม่กับน้าหลินเหยาจะไม่สบายใจเอาได้นะคะ ตอนนี้หนูยังเด็ก ไว้หนูโตเมื่อไร หนูค่อยไปสั่งสอนผู้ชายคนนั้นให้น้าหลินเหยานะคะ โอเคไหม” 


 


 


“ก็ได้ค่ะ” เมื่อลั่วอิงนึกถึงความสามารถของเธอในตอนนี้ เธอก็คิดว่าเธอควรรอให้ตัวเองโตกว่านี้ก่อน แล้วค่อยช่วยน้าหลินเหยาสั่งสอนผู้ชายไม่ดีคนนั้น  

 

 


ตอนที่ 163 ไปสุสาน

 

     ภายในห้องนอนอันเงียบเชียบ ถังโจวโจวถูกคลุมด้วยผ้านวมสีเบจ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอซ่อนอยู่ในนั้น หากมีใครเดินเข้ามาก็อาจจะมองไม่เห็นเธอก็เป็นได้ คงจะมีเพียงเส้นผมสีดำขลับที่อยู่บนหมอนเท่านั้น ที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าภายในห้องนี้ยังมีคนอยู่อีกหนึ่งคน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามาในห้อง เขาเห็นว่าถังโจวโจวยังคงหลับอยู่ แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร แต่เขาก็ยังคงเดินไปที่เตียง จากนั้นก็เขย่าตัวของถังโจวโจวเบาๆ “โจวโจว ตื่นได้แล้ว” 


 


 


ถังโจวโจวพลิกตัวนอนแผ่หราอยู่บนเตียง ลั่วเซ่าเชินคิดว่าวิธีนี้คงใช้ไม่ได้ผล เขาจึงคุกเข่าลงบนเตียงและใช้นิ้วแหย่ไปที่แก้มของเธอ 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่อยู่บนหน้า พอเธอใช้มือปัด ความรู้สึกน่าจักจี้นั้นก็หายไป แต่เพียงไม่นานสิ่งน่ารำคาญนั้นก็กลับมาอีก ถังโจวโจวรู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย ในขณะที่กำลังหลับอย่างสบายใจ หากถูกรบกวน ไม่ว่าใครก็คงจะอารมณ์เสียกันทั้งนั้น ถ้าเธออยากตื่น เธอก็ต้องลุกขึ้นมาแล้วสิ 


 


 


ถังโจวโจวใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีออกแรงปัด ในที่สุดสิ่งที่น่ารำคาญใจนั้นก็หายไป ถังโจวโจวขยับปากบ่นพึมพำก่อนจะหลับต่อ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดไม่ออก เขาทำถึงขนาดนี้แล้วเธอก็ยังไม่ตื่นอีกหรือ นี่มันอะไรกัน! เทพเจ้าแห่งการนอนลงมาประทับร่างเหรอ ปกติปลุกง่ายกว่านี้นี่? ลั่วเซ่าเชินคิดอยู่ว่า หรือจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเธอนอนดึกมากเกินไป? 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินคิดได้ดังนั้น ภาพในหัวของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพที่สวยงาม เขานึกถึงภาพที่ถังโจวโจวพยายามขอร้องเขาสุดชีวิต แต่เขาก็ยังคงตักตวงความรักจากเธออย่างหนักหน่วง และท้ายที่สุดถังโจวโจวก็ทำได้แค่เพียงกรีดร้องออกมา 


 


 


แม้ว่าเขาจะยังต้องการอีก แต่ลั่วเซ่าเชินก็คิดได้ว่าวันนี้เขายังมีธุระสำคัญที่เขาต้องไปทำอยู่ เขาจึงปล่อยให้ถังโจวโจวนอนต่อไปไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วคงจะไปสายกันพอดี 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเลิกผ้าห่มออกแล้ววางมือลงบนเอวของถังโจวโจว เขาขยับมันแค่สองสามครั้ง คนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้น เมื่อถังโจวโจวฝืนลืมตาที่สะลึมสะลือของเธอขึ้นได้ เธอก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งอยู่ตรงหน้า และเมื่อเธอกะพริบตาต่ออีกสองสามที เธอก็พบว่าเขาคือลั่วเซ่าเชิน ซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว 


 


 


ถังโจวโจวอยากจะม้วนผ้าห่มกลับ แต่ลั่วเซ่าเชินคว้าผ้าห่มของเธอไว้แน่น ไม่ยอมให้เธอนอนต่อ “เซ่าเชิน คุณทำอะไรน่ะ ทำไมถึงไม่ให้ฉันนอน” 


 


 


ถังโจวโจวอ้าปากหาว หยดน้ำตาคลออยู่เล็กน้อย ลั่วเซ่าเชินตบที่แก้มเธอเบาๆ “เอาละ รีบลุกได้แล้วคุณ เดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอกกัน ลั่วอิงยังว่าง่ายมากกว่าคุณเลย” 


 


 


ถังโจวโจวค้อนขวับ เมื่อได้ยินลั่วเซ่าเชินเปรียบเทียบเธอกับลั่วอิง “ก็คุณไม่ได้บอกฉันล่วงหน้านี่คะ แล้วยังจะมาโทษว่าฉันตื่นสายอีก ถ้าเมื่อคืนนี้ไม่ใช่เพราะคุณ…” 


 


 


“เมื่อคืนทำไมเหรอ?” ลั่วเซ่าเชินยิ้มกริ่มพลางมองไปที่ถังโจวโจว เขาเห็นว่าเธอค่อยๆ หยุดพูด ใบหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนสี ดูน่ารักเป็นอย่างมาก 


 


 


ถังโจวโจวไม่อยากจะเสวนากับเจ้าหมาป่าตัวนี้ เธอจึงหันหน้าหนี “คุณออกไปก่อนค่ะ ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว” 


 


 


“มีตรงไหนบ้างที่ผมยังไม่เห็น คุณจะอายอะไรอีก” เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอหน้าแดง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างมีความสุข พวกเขาอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้แล้ว ถังโจวโจวก็ยังคงขี้อายอยู่เหมือนเดิม 


 


 


อาการเขินอายของถังโจวโจวแปรเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งทันที “จะออกหรือไม่ออกคะ? ถ้าคุณไม่ออก ฉันก็จะไม่ออกไปข้างนอกกับคุณ!” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินถังโจวโจวพูดขู่ถึงเรื่องนี้ เขาก็หยุดพูดเล่นในทันที “โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมออกไปก่อน คุณก็รีบตามมาล่ะ” 


 


 


หลังจากลั่วเซ่าเชินปิดประตูลงแล้ว ถังโจวโจวก็สะบัดผ้าห่มออกและลุกจากเตียง เธอเดินไปที่หน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเปิดออกและหยิบเสื้อผ้าที่เธอจะสวมใส่ในวันนี้ออกมา เป็นกระโปรงจีบลายสก็อตคู่กับเสื้อแจ็คเก็ตบุฝ้ายสีขาว และนอกจากผ้าพันคอสีดำแล้ว เธอก็ยังมีหมวกไหมพรมสีเบจอีกด้วย 


 


 


เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังแปรงฟันอยู่นั้น เธอก็เห็นรอยแดงบริเวณคอเสื้อของเธอ นั่นคือรอยรักที่ลั่วเซ่าเชินทิ้งไว้บนร่างกายของเธอเมื่อคืนนี้ โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ถังโจวโจวจะสวมเสื้อผ้าหนาสักหน่อยก็คงไม่มีใครสงสัยอะไร 


 


 


ถังโจวโจวจัดการกับตัวเองเสร็จ เธอก็ลงมาชั้นล่าง ลั่วอิงนั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะแล้ว ส่วนลั่วเซ่าเชินก็นั่งอยู่ข้างๆ เพียงแต่เขาไม่ได้กินอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าเขากำลังรอเธอหรือว่ากินข้าวเสร็จไปแล้ว 


 


 


อากาศในวันนี้กำลังดี อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่สิบกว่าองศา ซึ่งในตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เมื่อครู่นี้ถังโจวโจวหาเวลาตรวจสอบสภาพอากาศ และได้รู้ว่าวันนี้ท้องฟ้าจะปลอดโปร่ง แต่ตอนนี้น่าจะเช้าเกินไป คงอีกสักพักถึงจะได้เห็นแสงอาทิตย์ 


 


 


ถังโจวโจวนั่งลงบนเก้าอี้ ป้าหลิวยกอาหารเช้าของเธอออกมาเสิร์ฟ และอีกชามหนึ่งก็สำหรับลั่วเซ่าเชิน เขารอกินข้าวพร้อมกันจริงๆ ด้วย! ถังโจวโจวตักโจ๊กข้าวกล้องขึ้นมากินหนึ่งคำ เธอไม่สามารถเก็บกลั้นรอยยิ้มพึงพอใจเอาไว้ได้ 


 


 


“แม่โจวโจวขา คุณพ่อบอกว่าวันนี้เราจะออกไปข้างนอกกัน แล้วทำไมคุณแม่เพิ่งจะลงมาล่ะคะ” ลั่วอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


“แค่กๆๆ…” เมื่อถังโจวโจวถูกลั่วอิงถามอย่างกะทันหัน เธอก็สำลักโจ๊ก ซึ่งทำให้เธอไอไม่หยุด 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรีบส่งน้ำอุ่นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะให้ถังโจวโจว “มา ดื่มน้ำก่อน ค่อยๆ หายใจนะ คุณจะรีบอะไรขนาดนั้น ไม่มีใครเร่งคุณสักหน่อย!” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวดื่มน้ำลงไปอึกใหญ่ เธอก็รู้สึกว่าโล่งคอมากขึ้น ถังโจวโจวมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน เขายังมีหน้ามาว่าเธออีก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมบอกเธอก่อน เธอจะตื่นสายให้ลั่วอิงหัวเราะเยาะได้อย่างไร! 


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้รับคำก่นด่าของถังโจวโจวจากทางสายตา แต่เขาก็แค่ถูจมูกเบาๆ และทำเป็นมองไม่เห็น ลั่วเซ่าเชินรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย ก็เมื่อวานนี้ถังโจวโจวเป็นคนปลุกไฟในตัวเขาขึ้นมา จากนั้นมันก็เหนือการควบคุม เลยพลอยทำให้ถังโจวโจวนอนดึกไปด้วย 


 


 


เดิมทีวันนี้เขาก็อยากจะปล่อยให้เธอพักผ่อนนานกว่านี้ แต่ว่ามันสายมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องปลุกเธอให้ตื่น ใครจะไปรู้ล่ะว่าลั่วอิงจะถามคำถามแบบนี้ออกมา ลั่วเซ่าเชินจึงทำได้แค่เพียงยอมรับผิดอยู่เงียบๆ 


 


 


“แม่โจวโจวดีขึ้นหรือยังคะ” ลั่วอิงเห็นว่าถังโจวโจวสำลักเพราะเธอชวนคุย เธอจึงเข้าใจว่าเป็นความผิดของเธอเอง 


 


 


“แม่โจวโจวหายดีแล้วค่ะ ลั่วอิงรีบทานข้าวเถอะนะ อีกเดี๋ยวเราต้องออกไปข้างนอกกันแล้วไม่ใช่เหรอ” ถังโจวโจวเช็ดคราบเม็ดข้าวที่ติดอยู่ที่มุมปากของลั่วอิง 


 


 


ลั่วอิงยังไม่ยอมหยุดคุย “แม่โจวโจวคะ แล้วคุณพ่อได้บอกคุณแม่หรือเปล่าคะว่าวันนี้เราจะออกไปไหนกัน” 


 


 


“ไม่นี่คะ? ทำไมเหรอ ลั่วอิงรู้เหรอลูก” ถังโจวโจวนึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ลั่วอิงก็ยังรู้ ดูท่าแล้วลั่วเซ่าเชินคงจะปิดแค่เธอคนเดียว? 


 


 


“รู้ค่ะ!” ถ้าลั่วอิงมีหาง หางเล็กๆ ของเธอก็คงจะสะบัดไปมาอยู่แน่ๆ 


 


 


ถังโจวโจวมองดูท่าทางอันภาคภูมิใจของลั่วอิง ก่อนจะถามว่า “ถ้าอย่างนั้นลั่วอิงบอกแม่โจวโจวหน่อยได้ไหมคะว่าวันนี้เราจะออกไปไหนกัน” 


 


 


ลั่วอิงกำลังจะตอบออกมา พลันเห็นสายตาของลั่วเซ่าเชินจ้องเขม็ง เธอจึงรีบสงบปากสงบคำ “คุณพ่อไม่ให้หนูพูดค่ะ เดี๋ยวแม่โจวโจวไปถึงที่นั่นก็รู้เอง” เธอพูดพลางก้มหน้ากินอาหารเช้าในชามต่อไป 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องออกไปด้วยกันอยู่แล้ว เดี๋ยวพอไปถึงที่นั่นเธอก็รู้เอง ถังโจวโจวพักความอยากรู้ของตัวเองไว้และตั้งใจกินอาหารเช้าต่อให้หมด กองทัพมันต้องเดินด้วยท้องสิ ถึงจะถูก! 


 


 


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ลั่วเซ่าเชินก็ให้ถังโจวโจวไปเก็บของ ส่วนตัวเขาก็นำรถออกมาจากโรงจอดรถ ถังโจวโจวและลั่วอิงรอเขาอยู่ที่หน้าประตู เมื่อลั่วเซ่าเชินขับรถพอร์เชอสีดำมาจอดที่หน้าประตูบ้าน พวกเธอก็เปิดประตูรถและขึ้นไปนั่ง 


 


 


ถังโจวโจวและลั่วอิงคุยกระซิบกระซาบกันอยู่เบาะหลัง เมื่อเห็นว่ารถจอดอยู่แถบชานเมือง เธอก็มองออกไปด้านนอก แล้วเธอก็พบว่ามีต้นสนมากมายอยู่บนเนินเขา ถังโจวโจวเข้าใจได้ในทันที ว่าแต่จะมาพบใครที่สุสานนะ? 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหยิบช่อดอกเบญจมาศสีขาวและดอกลิลลี่ออกมาจากท้ายรถ ถังโจวโจวมองดอกไม้ทั้งสองช่อด้วยความสงสัย มีสองคนหรือ? ถังโจวโจวคิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่าพวกเธอกำลังจะไปพบใคร เธอจึงทำได้แค่เพียงจับมือของลั่วอิงไว้แน่นๆ 


 


 


“ไปกันเถอะ!” ลั่วเซ่าเชินโอบไหล่ของถังโจวโจว ทั้งสามคนเดินเข้าไปในเขตสุสาน ในขณะที่มองดูรูปภาพแต่ละรูปเรียงรายตลอดทาง สีหน้าของถังโจวโจวพลันเคร่งขรึมลง นี่เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เธอจึงทำได้แค่เพียงเคารพผู้คนที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ภายใต้พื้นดินให้ได้มากที่สุด 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารูปของคนวัยหนุ่มคนหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษรที่เขียนว่า ‘หลุมฝังศพลั่วเซ่าอวี๋ พี่ชายของผม’ ถังโจวโจวมองไปยังรูปภาพของลั่วเซ่าอวี๋ในชุดทหาร เขาดูกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างมาก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินวางช่อดอกเบญจมาศสีขาวไว้ที่หน้าหลุมฝังศพของลั่วเซ่าอวี๋ จากนั้นเขาก็โค้งคำนับ “พี่ครับ ผมพาลั่วอิงกับโจวโจว ภรรยาของผม มาเยี่ยมพี่แล้วนะครับ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินกวักมือเรียกลั่วอิง “ลั่วอิง มาคำนับคุณลุงเซ่าอวี๋เร็วลูก” เมื่อลั่วอิงได้ยินดังนั้น เธอก็คุกเข่าลงและก้มคำนับหน้าหลุมฝังศพของลั่วเซ่าอวี๋สามครั้ง “โจวโจว นี่พี่ชายผมเอง” 


 


 


ถังโจวโจวเดินเข้าไปใกล้ และโค้งคำนับที่หน้าป้ายหลุมฝังศพ จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็นำพวกเธอไปยังหลุมฝังศพใกล้ๆ กัน ซึ่งบนนั้นเขียนว่า ‘หลุมฝังศพซูเสี่ยว’ 


 


 


ในหัวของถังโจวโจวเต็มไปด้วยคำถาม “เธอเป็นใครหรือคะ เซ่าเชิน” ผู้หญิงในรูปนั้นดูเด็กมาก เธอยิ้มอย่างมีความสุข ซึ่งนั่นสามารถทำให้ผู้คนสัมผัสได้ว่าเธอเป็นคนอารมณ์ดี 


 


 


“คนรักของพี่ชายผมเอง” ลั่วเซ่าเชินพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินวางดอกลิลลี่สีขาวไว้ที่หน้าหลุมฝังศพของซูเสี่ยว ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถังโจวโจวถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ แต่เพียงไม่นานก็สลัดความคิดนั้นออกไป เธอปลอบใจตัวเองว่าเธออาจจะคิดมากเกินไป 


 


 


           ถังโจวโจวและลั่วอิงยืนรออยู่ห่างๆ พวกเธอให้พื้นที่แก่ลั่วเซ่าเชิน เขากำลังคุกเข่าพูดอะไรบางอย่างอยู่ที่หน้าหลุมฝังศพของลั่วเซ่าอวี๋ เนื่องจากถังโจวโจวยืนอยู่ไกลเกินไป เธอจึงได้ยินไม่ชัด 


 


 


           เพียงไม่นาน ถังโจวโจวและลั่วอิงก็เดินมานั่งรอในรถ เนื่องจากอากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น และภายในรถก็เปิดระบบทำความอุ่นอยู่ เธอยังไม่เห็นลั่วเซ่าเชินกลับลงมา สายตาของเธอจึงจับจ้องไปที่ประตูทางเข้าของสุสานอยู่ตลอด 


 


 


ลั่วเซ่าเชินคุกเข่าอยู่ที่หน้าป้ายหลุมฝังศพ มือของเขาลูบสัมผัสใบหน้าของลั่วเซ่าอวี๋บนรูปภาพ ส่วนปากของเขาก็พร่ำพูดว่า “พี่ครับ พี่ดูสิว่าลั่วอิงโตขึ้นอีกแล้ว เวลาช่างผ่านไปไวเหลือเกิน อีกไม่นานเธอก็จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมยังไม่ทันตั้งตัวเลย ไม่รู้ว่าพี่จะชินแล้วหรือยัง” 


 


 


ไม่มีเสียงตอบรับใด เว้นแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของลั่วเซ่าอวี๋ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ลั่วเซ่าเชินพูด 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดต่อไปอีก “พี่ครับ ผมมีภรรยาแล้วนะ เธอชื่อถังโจวโจว พี่ชอบเธอไหม? แต่ถึงพี่จะไม่ชอบก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะพี่ห้ามอะไรผมไม่ได้แล้ว และผมก็ไม่อยากให้พี่ต้องมาเป็นห่วงผมอีกหรอกนะ ส่วนผมก็ไม่ห่วงพี่เลยสักนิด เพราะว่าซูเสี่ยวก็อยู่ด้วยกันกับพี่ ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะไม่ยอมรับเธอ แต่ผมจะนับเธอเป็นสะใภ้ใหญ่ตลอดไป… ตลอดไป… 


 


 


…เอาละครับพี่ วันนี้ผมอยู่นานแล้ว ผมคงต้องกลับก่อน ไว้ครั้งหน้าผมจะมาเยี่ยมพี่กับพี่สะใภ้ใหม่นะครับ” ลั่วเซ่าเชินปัดฝุ่นบนร่างกาย ก่อนจะเดินลงไปจากเขา 


 


 


ถังโจวโจวที่กำลังนั่งรอลั่วเซ่าเชินลงมาอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในรถ ทันใดนั้นเอง เธอก็เห็นรถเบนซ์สีเทาที่คุ้นตา และหลังจากที่เจ้าของรถลงมาจากรถ ถังโจวโจวก็ได้พบกับคนที่เธอรู้จัก  

 

 


ตอนที่ 164 แฟนสาวของพี่ชาย

 

      “ฟังหยวน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะคะ” ถังโจวโจวลงมาจากรถ ก่อนจะมองดูช่อดอกไม้สองช่อในมือของฟังหยวน นี่เขาคงไม่ได้มีจุดประสงค์เดียวกันกับลั่วเซ่าเชินใช่ไหม? 


 


 


ฟังหยวนมองถังโจวโจวด้วยความประหลาดใจ “อาเชินอยู่ข้างบนหรือ”  


 


 


“ค่ะ คุณเองก็คงจะรู้จักกับพี่ใหญ่ คุณก็เลยมาที่นี่ใช่ไหมคะ” แล้วดอกไม้อีกช่อเขาจะให้ใครกันนะ? 


 


 


“ใช่แล้ว ผมกับอาเชินโตมาด้วยกัน แน่นอนว่าก็ต้องสนิทกับพี่เซ่าอวี๋ด้วย แต่น่าเสียดาย เขาอายุยังน้อย…” ฟังหยวนเผลอหลุดปากออกมา แต่เขาก็ปรับท่าทางได้อย่างรวดเร็ว ความจริงแล้วถังโจวโจวรู้สึกสนใจในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปมาก 


 


 


นานมากแล้วที่ถังโจวโจวเคยได้ยินชื่อของลั่วเซ่าอวี๋ ซึ่งในตอนนั้นเอง ก็นับเป็นครั้งแรกที่ถังโจวโจวได้รู้ว่าลั่วเซ่าเชินมีพี่ชายร่วมสายเลือดด้วย แต่เขาก็เสียชีวิตด้วยสาเหตุบางอย่าง ภายในตระกูลลั่วไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย ราวกับว่าจะปกปิดมันจนถึงที่สุด 


 


 


“ลั่วอิงก็มาด้วยหรือครับ” ฟังหยวนเห็นว่าภายในรถของลั่วเซ่าเชินมีศีรษะกลมเล็กโผล่ขึ้นมาจากเบาะด้านหลัง เขาโบกมือและยิ้มทักทายลั่วอิง 


 


 


“ค่ะ เซ่าเชินเขายังให้ลั่วอิงคำนับหน้าหลุมฝังศพของพี่ใหญ่ด้วยนะคะ?” 


 


 


“งั้นหรือครับ ก็ไม่น่าแปลกตรงไหน ลั่วอิงเองก็ต้องเรียกเขาว่าคุณลุงอยู่แล้ว ที่อาเชินให้ลั่วอิงคำนับเขา มันก็เป็นเรื่องที่สมควร ถึงอย่างไรอาเชินกับพี่เซ่าอวี๋ก็สนิทกันมาก” สิ่งที่ฟังหยวนไม่ได้พูดออกมาก็คือ ลั่วเซ่าเชินแทบจะถูกเลี้ยงดูมาโดยลั่วเซ่าอวี๋ 


 


 


ณ ตอนนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ลั่วเอาแต่ง่วนอยู่กับงาน ไม่มีใครยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้านเลยสักคน ถ้าไม่ออกไปเล่นไพ่ เข้าสังคม พวกเขาก็ออกไปชอปปิง ไม่ค่อยมีเวลามาสนใจการเรียนของลั่วเซ่าอวี๋และลั่วเซ่าเชิน 


 


 


โชคดีที่ทั้งคู่รู้ตัวดีว่าควรจะทำอะไร ลั่วเซ่าเชินที่ยังเป็นเด็ก เขาก็ได้ลั่วเซ่าอวี๋นี่แหละที่ช่วยฉุดดึงให้เขาเดินไปในเส้นทางที่ถูกที่ควร 


 


 


เมื่อฟังหยวนนึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขตอนเป็นเด็ก เขาก็สติหลุดลอยไปชั่วขณะหนึ่ง หากในตอนนั้นไม่ใช่เพราะการพบเจอซูเสี่ยวในภายหลัง เขาก็คงจะนับถือลั่วเซ่าอวี๋เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาเหมือนเดิม… แต่เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว ฟังหยวนเรียกสติกลับคืนมาได้ เขามองเห็นถังโจวโจวที่ยืนขมวดคิ้วแน่น 


 


 


“คุณจะคิดมากไปทำไม อย่าให้ผมหงอกขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อยสิ!” 


 


 


“ฟังหยวน นี่คุณหาเรื่องเจ็บตัวใช่ไหม” ถังโจวโจวตีฟังหยวน เธอรู้ดีว่าฟังหยวนกำลังทำลายบรรยากาศอันน่าตึงเครียดนี้ ด้วยวิธีการจากความสามารถพิเศษของเขา ถังโจวโจวเองก็แค่แหย่เขาเล่นเท่านั้น 


 


 


“มาแล้วเหรอ อาหยวน!” แล้วจู่ๆ เสียงของลั่วเซ่าเชินก็ดังขึ้นจากด้านหลังของถังโจวโจว 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของถังโจวโจวจางหายไปในบัดดล เธอมองดูสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีของลั่วเซ่าเชิน “เซ่าเชิน ฟังหยวนเองก็มาเยี่ยมพี่ใหญ่เหมือนกัน” 


 


 


“ผมรู้” แม้ว่าลั่วเซ่าเชินจะพูดกับถังโจวโจว แต่สายตาของเขากลับจ้องไปที่ฟังหยวน 


 


 


ถังโจวโจวชักจะทนไม่ไหว เมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างเขาทั้งสองคนเริ่มจะคุกรุ่น เธอจึงออกปากพูดว่า “เซ่าเชิน เสร็จธุระแล้วใช่ไหมคะ เรากลับกันเถอะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองดอกลิลลี่ที่อยู่ในมือของฟังหยวน “นายจะไปเยี่ยมเขา?” 


 


 


“อืม ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ฉันอยากคุยกับเขา! นายคงจะไม่ลิดรอนสิทธิ์นี้ของฉันใช่ไหม” 


 


 


“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง ในเมื่อทุกอย่างมันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว นายอยากทำอะไรก็เรื่องของนาย ฉันเข้าไปยุ่งไม่ได้ …เอาละ ฉันกับโจวโจวขอตัวก่อนนะ” ลั่วเซ่าเชินตบไหล่ของฟังหยวน ก่อนจะบอกให้ถังโจวโจวขึ้นรถ ส่วนตัวเขาก็เดินไปที่ฝั่งคนขับ 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าพวกเขาสองคนพูดจากำกวมกันเหลือเกิน พวกเขาพูดอะไรที่เธอไม่เข้าใจ คำว่า ‘เขา’ ในที่นี้ หมายถึงพี่ใหญ่หรือเปล่า? 


 


 


ถังโจวโจวส่ายหน้า เธอไม่ควรจะคิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ เธอต้องว่าตามเจ้านายใหญ่ของเธอสิ! 


 


 


เมื่อฟังหยวนเห็นว่ารถของลั่วเซ่าเชินเลี้ยวออกไปจากสุสานแล้ว เขาก็ขึ้นไปบนเนินเขานั่นเพียงลำพัง 


 


 


ฟังหยวนเดินตรงไปที่หลุมฝังศพของลั่วเซ่าอวี๋และวางดอกไม้ไว้ที่หน้าป้ายหลุมฝังศพของเขา เขามองอยู่เพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปอีกทาง และหยุดอยู่ที่หน้าหลุมฝังศพของซูเสี่ยว จากนั้นเขาก็ค่อยๆ วางช่อดอกลิลลี่สีขาวบนหน้าป้ายหลุมฝังศพของเธอ 


 


 


ฟังหยวนย่อตัวลงและค่อยๆ เคลื่อนมือเข้าไปใกล้กับแผ่นหินที่เย็นเฉียบ เขาลูบสัมผัสใบหน้าของซูเสี่ยวผู้ซึ่งแย้มยิ้มราวกับดอกไม้บานในรูปนั้น “อาเสี่ยว ผมมาเยี่ยมแล้ว คุณเหงาไหม?” 


 


 


ฟังหยวนนั่งลงตรงหน้าหลุมฝังศพและเอนศีรษะซบลงบนป้ายหลุมฝังศพของซูเสี่ยว ดวงตาของเขาเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูดกับตัวเองว่า “อาเสี่ยว ผมเกือบจะจำคุณไม่ได้แล้ว ถ้าครั้งนี้ผมไม่ได้กลับมาเยี่ยมคุณ ผมก็อาจจะลืมคุณไปแล้วจริงๆ คุณคงไม่ว่าอะไรผมหรอกใช่ไหม? 


 


 


อาเสี่ยว ผมกำลังตกหลุมรักคนคนหนึ่ง เธอเป็นคนดี นิสัยคล้ายๆ คุณเลย เธอร่าเริงสดใส จิตใจดี ผมเคยบอกว่าชาตินี้ผมจะรักคุณแค่คนเดียว แต่ตอนนี้ผมคงจะต้องกลับคำแล้ว ถ้าคุณอยากจะด่าผม ก็มาเข้าฝันผมก็แล้วกันนะ” 


 


 


ฟังหยวนนั่งพูดอยู่หน้าหลุมฝังศพของซูเสี่ยวเป็นเวลานาน เขาคิดอะไรได้ เขาก็พูดออกมา ราวกับว่ากำลังระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่เขามีทั้งหมดให้เธอฟังในเวลาอันสั้น 


 


 


ภายในสุสานนั้นเงียบสงัด กว่าฟังหยวนจะลุกขึ้นปัดเศษดินที่ติดอยู่บนกางเกง พระอาทิตย์ก็เริ่มสูงขึ้นอยู่เหนือศีรษะของเขาแล้ว “ซูเสี่ยว ผมคุยกับคุณต่อไม่ได้แล้ว ขอตัวกลับก่อนนะ” 


 


 


ฟังหยวนทอดสายตามองรูปภาพของซูเสี่ยวเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเขาก็พบว่าเธอยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับเป็นคนเดิม แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่เธอก็ยังเหมือนเดิม ดังนั้นเธอจึงได้รับความสนใจจากลั่วเซ่าอวี๋ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินพาถังโจวโจวและลั่วอิงกลับมาถึงบ้าน ป้าหลิวก็ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว และหลังจากกินมื้อกลางวันเสร็จ ถังโจวโจวกับลั่วเซ่าเชินก็อยู่ด้วยกันในห้องหนังสือ 


 


 


“ซูเสี่ยวเป็นแฟนของพี่ใหญ่หรือคะ ทำไมเธอถึงเสียชีวิตล่ะ” ความอยากรู้อยากเห็นของถังโจวโจวพรั่งพรูออกมา เธอได้แต่หวังให้ลั่วเซ่าเชินตอบคำถามเธอ 


 


 


“คุณจะถามทำไมเยอะแยะ” ลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังพลางหัวเราะไปกับท่าทางกระตือรือร้นของถังโจวโจว เธอเคยนวดไหล่ ทุบหลังให้เขาที่ไหนกัน อยากจะให้เธอใกล้ชิดกับเขายังยากเลย แต่ว่าวันนี้เธอกลับลงทุนเสียขนาดนี้ ไม่ใช่ว่ารอคำตอบจากเขาอยู่หรอกหรือ! 


 


 


มือของถังโจวโจวที่กำลังนวดไหล่ให้ลั่วเซ่าเชินอย่างแข็งขัน แต่เมื่อเธอได้ยินลั่วเซ่าเชินพูดอย่างนั้น เธอก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีบีบนวดเขาอย่างหนักหน่วง เพียงครู่เดียวลั่วเซ่าเชินก็สะดุ้งโหยงจนแทบจะตกจากเก้าอี้ “โจวโจว นี่คุณจะฆ่าสามีของตัวเองเหรอ” 


 


 


“คุณพูดไม่ดีกับฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันจะทำแบบนี้กับคุณทำไม!” ถังโจวโจวยืนพูดอย่างอวดดีอยู่ด้านหลังของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้แต่เสียใจกับคำพูดของตัวเอง เขาค้นพบแล้วว่าเขาจะแหย่ใครก็ได้บนโลกใบนี้ แต่ไม่ใช่กับถังโจวโจว 


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินทนดูถังโจวโจวมีความสุขในขณะที่เขาไม่สบายใจไม่ได้ เขาเพียงออกแรงดึงถังโจวโจวเบาๆ เธอที่จุดศูนย์ถ่วงไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว จึงล้มลงมาบนตัวของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


ถังโจวโจวเสียหลักถลาไปบนหน้าอกของลั่วเซ่าเชิน กว่าเธอจะตั้งสติได้ เธอก็ถูกลั่วเซ่าเชินกอดไว้แน่นแล้ว “เซ่าเชิน ฉันผิดไปแล้ว คุณปล่อยฉันไปเถอะค่ะ” 


 


 


“เพิ่งจะมาสำนึกผิดเอาป่านนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ” น้ำเสียงของลั่วเซ่าเชินแหบพร่า นัยน์ตาของเขาวาบวับ 


 


 


ถังโจวโจวกลัวว่ากลางวันแสกๆ แบบนี้เขาจะกลายร่างเป็นสัตว์ร้าย แต่ไม่ว่าเธอจะใช้แรงมากเท่าไร เธอก็ผละจากตัวเขาไม่ได้ เธอจึงทำได้แค่ร้องขอความเมตตา “เซ่าเชิน แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินโน้มตัวเข้าไปที่ข้างหูของถังโจวโจว ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา “ผมอยากจะให้คุณทำยังไงน่ะเหรอ? มันก็ขึ้นอยู่กับความจริงใจของคุณเองนั่นแหละ” 


 


 


ม้านับหมื่นตัววิ่งผ่านหัวใจของถังโจวโจวไป ทำไมฉากนี้ถึงดูเหมือนนักเลงหนุ่มกำลังรังแกคุณหนูผู้บอบบางอยู่เลย ถังโจวโจวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความหงุดหงิด ทำไมเรี่ยวแรงระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงถึงต้องแตกต่างกันมากขนาดนี้นะ มันทำให้เธอแพ้ลั่วเซ่าเชินตลอดเลย 


 


 


ถังโจวโจวขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะปิดเปลือกตาลงและประทับริมฝีปากลงไปบนแก้มของลั่วเซ่าเชินอย่างเบาบาง จากนั้นเมื่อเธอลืมตาขึ้นและมองไปที่ลั่วเซ่าเชิน เธอก็พบว่าเขายังไม่พอใจ “ตกลงคุณจะเอายังไง พูดมาเลยดีกว่าค่ะ!” 


 


 


ถังโจวโจวแค่จูบเขาเบาๆ แค่นี้ ลั่วเซ่าเชินจะยอมได้อย่างไร แล้วเธอยังจูบเขาแค่ที่แก้มอีก ไม่ใช่ที่ปาก เขายิ่งไม่มีทางปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่ “โจวโจว ความจริงใจของคุณมีแค่นี้เองเหรอ” ลั่วเซ่าเชินพูดพลางเปรียบเทียบขนาดความจริงใจของถังโจวโจวด้วยนิ้วมือของเขาให้เธอเห็น 


 


 


ถังโจวโจวรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเอาใจยากเสียเหลือเกิน จนเธออยากจะยอมแพ้ให้จบเรื่องไป “คุณปล่อยฉันได้แล้วค่ะ ฉันไม่อยากจะถามแล้ว ถ้าคุณอยากบอก คุณก็บอกแล้วกัน” 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเธอยอมถอย และแสดงท่าทางยอมแพ้ เขาก็เติมเชื้อไฟลงไปให้ถังโจวโจวอีก เขาจะปล่อยเธอไปง่ายๆ ได้อย่างไร “ก็ถ้าคุณไม่ถาม ผมจะบอกคุณไปทำไม” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็พูดออกมาสิคะ!” ถังโจวโจวตะคอกใส่เขา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยังคงวางกลอุบายหลอกล่อถังโจวโจวต่อไป “ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ แต่คุณจะเอาอะไรมาตอบแทนผมล่ะ” 


 


 


ถังโจวโจวคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปสัมผัสหลังคอของลั่วเซ่าเชิน ลั่วเซ่าเชินเริ่มติดกับ มือของถังโจวโจวอีกข้างวาดโอบไปรอบลำคอของลั่วเซ่าเชิน แล้วจู่ๆ เธอก็เพิ่มแรงบีบที่ฝ่ามืออย่างกะทันหันจนอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บ ลั่วเซ่าเชินตั้งรับไม่ทัน สองมือที่กอดรัดถังโจวโจวไว้ก็คลายออก 


 


 


แต่โชคดีที่เขายังรักษาสมดุลเอาไว้ได้ และไม่ล้มลงไปกับพื้นเสียก่อน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็เห็นถังโจวโจวยิ้มให้อย่างซุกซน เขาเกือบจะเอ็ดเธอออกมา แต่เขาก็ไม่กล้าทำ ได้แต่มองเธออยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร เธอก็กลัวว่าเขาจะเอาคืน เธอจึงรีบวิ่งออกไปนอกห้องหนังสือ แม้แต่คำถามที่เขาอยากให้เธอถามออกมา เธอก็ไม่สนใจแล้ว เธอกลัวว่าถ้าหากเธอหนีช้ากว่านี้แค่ก้าวเดียว เธออาจจะถูกลั่วเซ่าเชิน ‘กลืน’ ลงท้องไปได้จริงๆ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวกลับไปถึงห้องนอน เธอก็รู้สึกโล่งใจ สายตาของลั่วเซ่าเชินน่ากลัวมาก เธอกลัวว่าเขาจะจัดการเธอในห้องหนังสือขึ้นมาจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงจะหนีเขาไม่พ้นแน่ๆ แล้ว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกเสียดายหลังจากเห็นถังโจวโจววิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็รู้ดีว่าถังโจวโจวที่วิ่งหนีเขาไปในตอนนี้ เธอจะต้องกลับมาหาเขาอีกครั้งในตอนกลางคืน 


 


 


หลังจากมื้อค่ำผ่านไป ถังโจวโจวก็ไม่เห็นว่าลั่วเซ่าเชินจะทำอะไรเป็นพิเศษ ซ้ำยังไม่แม้แต่มองเธอสักนิดเลยด้วย เธอจึงเข้าใจว่าเขาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันไปแล้ว เธอก็ค่อยๆ วางใจ 


 


 


เมื่อเธอเข้าไปในห้องนอน เธอก็หยิบชุดนอนของเธอออกมาจากตู้เสื้อผ้า และเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ และในขณะที่เธอกำลังอาบน้ำอย่างมีความสุขอยู่นั้น… “อ๊ะ! คุณเข้ามาได้ยังไงคะ?!” 


 


 


ถังโจวโจวตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา และเมื่อเธอเห็นร่างของลั่วเซ่าเชินที่หลังบานประตู เธอก็รู้ได้ในทันทีว่า เขาปล่อยเธอไปเสียที่ไหน เขากำลังรอกินอาหารมื้อใหญ่อยู่ตรงนี้! 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองดูหยดน้ำที่ไหลลงมาตามร่างของถังโจวโจว ถังโจวโจวเห็นสายตาของเขาก็ปิดได้แค่ช่วงบนเท่านั้น ส่วนด้านล่างเธอปิดได้ไม่มิด เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว 


 


 


“โจวโจว ผมจะปิดประตูให้นะ คุณจะได้ไม่เป็นหวัด” ชั่วขณะหนึ่ง ถังโจวโจวกำลังคิดว่าลั่วเซ่าเชินเป็นคนดี เขาคงแค่เข้ามาดูแล้วก็จะออกไป แต่ที่ไหนได้ เขาปิดประตูก็จริง แต่ตัวเขายังอยู่ข้างใน นี่ปิดประตูเพื่อใครกันแน่? 


 


 


แม้ว่าถังโจวโจวจะรู้ดีว่าทำแบบนี้มันไร้ประโยชน์ แต่เธอก็ยังคงพยายามใช้มือปกปิดร่างกายของตัวเอง แม้จะปิดได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ปิดเลย และในขณะที่เธอเหม่อลอยเพียงครู่เดียว เสื้อผ้าบนร่างกายของลั่วเซ่าเชินก็อันตรธานหายไปจนหมด 


 


 


ถังโจวโจวรีบหลับตาในทันที เธอกลัวว่าจะได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น เกิดเป็นตากุ้งยิงขึ้นมาจะทำอย่างไร 


 


 


ร่างกายของถังโจวโจวสั่นสะท้านจากการเคลื่อนไหวรวดเร็วฉับพลันของลั่วเซ่าเชิน แม้ว่าเธอจะกำลังอาบน้ำด้วยน้ำร้อนอยู่ แต่มันก็ไม่สามารถขับไล่ความหนาวเย็นออกไปจากหัวใจของเธอได้เลย 


 


 


มือข้างหนึ่งของลั่วเซ่าเชินวางอยู่ที่ช่วงเอวของถังโจวโจว อีกข้างที่เหลือก็โอบไปรอบช่วงไหล่ของเธอ เขากระซิบปลอบเธอว่า “โจวโจว ผมมาแล้ว มีอะไรให้กลัวอีก?” 


 


 


‘ก็เพราะเป็นคุณไงถึงได้กลัว’ ถังโจวโจวพร่ำบ่นอยู่ในใจ  

 

 


ตอนที่ 165 เกิดเรื่องกับหันฮุ่ยซิน

 

        ถังโจวโจวรู้สึกวาบหวามทุกครั้งที่ลั่วเซ่าเชินสัมผัสผิวกาย เธอพูดอย่างออดอ้อนว่า “เซ่าเชิน มันจักจี้ ไม่เอาแล้วค่ะ” 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินไม่ได้ล้มเลิกการเคลื่อนไหวของมือเพราะคำพูดของเธอ และยิ่งเป็นเพราะคำพูดของถังโจวโจว ทำให้การเคลื่อนไหวของลั่วเซ่าเชินยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น 


 


 


           ถังโจวโจวพยายามใช้มือปัดป้องไว้ให้มากที่สุด แต่น่าเสียดายที่มือใหญ่ของลั่วเซ่าเชินนั้นแรงเยอะกว่า เขาสามารถกำจัดการปัดป้องของถังโจวโจวได้อย่างง่ายดาย ถังโจวโจวจึงทำได้แค่ปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวไปตามใจ 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินประทับจูบลงบนริมฝีปากของถังโจวโจว ด้วยกลัวว่าถังโจวโจวจะหนาว ลั่วเซ่าเชินจึงไม่ได้กดเธอลงกับกำแพง เขากอดเธอไว้ในขณะที่ยืนอยู่ใต้ฝักบัวและมีน้ำร้อนช่วยขับไล่ความหนาวเย็นนี้ 


 


 


           แต่ถังโจวโจวไม่ได้รู้สึกหนาวเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกว่าร่างกายของเธอกำลังถูกแผดเผา จนแทบจะหลอมละลายไปเพราะการสัมผัสของลั่วเซ่าเชิน 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินอาบน้ำให้ถังโจวโจวอย่างลวกๆ เขาเองก็ถือโอกาสอาบไปด้วยเลย เขาอุ้มถังโจวโจวออกมาจากห้องน้ำ จากนั้นพวกเขาก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ลั่วเซ่าเชินกดร่างของถังโจวโจวเอาไว้ เขาสังเกตเห็นว่าถังโจวโจวอยากจะหนี แต่มันก็ไม่เป็นไปดั่งใจ 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินคลอเคลียไปตามใบหน้าของถังโจวโจว หน้าผาก จมูก ริมฝีปาก… “อือ…เซ่าเชิน” ถังโจวโจวได้แต่จับผมของลั่วเซ่าเชินอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่ามันสามารถให้พลังงานแก่เธอได้ 


 


 


           เม็ดเหงื่ออุ่นร้อนบนหน้าผากของลั่วเซ่าเชินกำลังไหลหยดลงมา แต่ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขาไม่สนใจ เขาอยากจะจัดการเรื่องตรงหน้านี้ต่อไป แต่โชคไม่ดีที่โทรศัพท์นั้นดังไม่หยุด แม้กระทั่งถังโจวโจวที่กำลังเพลิดเพลินก็ยังได้ยิน ความเคลิบเคลิ้มในอารมณ์เมื่อครู่นี้จางหายไปเล็กน้อย 


 


 


“เซ่าเชิน โทรศัพท์…” 


 


 


“ช่างมัน” ลั่วเซ่าเชินไม่อยากผละตัวออกมา อาหารเลิศรสกำลังจะเข้าปากอยู่แล้ว ใครกันที่โทรศัพท์มารบกวนพวกเขาในเวลานี้ 


 


 


ถังโจวโจวพยายามใช้มือทั้งสองข้างดันตัวของลั่วเซ่าเชินออก “เซ่าเชิน โทรศัพท์ค่ะ ไปรับเร็ว!” 


 


 


ถังโจวโจวผลักเขาออกได้สำเร็จ ลั่วเซ่าเชินรู้สึกเซ็งเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบรรยากาศที่สวยงามเมื่อครู่จางหายไปหมดแล้ว เขาจึงทำได้แค่เพียงหาอะไรขึ้นมาคลุมตัว ก่อนจะเดินเข้าไปหาโทรศัพท์ที่ยังคงแผดเสียงอยู่บนพื้นในห้องน้ำ 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินลุกออกไปแล้ว เธอก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวในทันที จนเหลือเพียงแค่ศีรษะเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมาด้านนอก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทันทีที่เห็นชื่อของหันฮุ่ยซินปรากฏบนหน้าจอ เขาไม่อยากรับสาย เขาจึงตัดสายทิ้ง ก่อนจะเดินกลับไปหาถังโจวโจว 


 


 


ถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อีกครั้ง เธอก็นึกถึงการสัมผัสของลั่วเซ่าเชินเมื่อครู่นี้ ดวงหน้าของเธอถูกระบายไปด้วยสีแดง แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังคงล้อเล่นอยู่อย่างนั้น “โจวโจว ผมผิดเอง ผมกลับมาชดใช้ให้คุณแล้ว!” 


 


 


“เชอะ! คุณนี่มันหน้าไม่อาย!” ถังโจวโจวสบถใส่เขาตรงๆ 


 


 


แต่ลั่วเซ่าเชินนั้นหน้าหนา เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “โจวโจว ผมรู้ว่าคุณชอบ แต่คุณแค่ปากแข็งน่ะ เอาเถอะ ไม่เป็นไร ถึงยังไงผมก็ชอบอยู่ดี” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวได้ยินลั่วเซ่าเชินบอกว่า ‘ชอบ’ สี่ห้องหัวใจของเธอก็แทบจะระเบิดออกมา ลั่วเซ่าเชินไม่เคยตอบสนองต่อความรู้สึกของเธอซึ่งๆ หน้าแบบนี้มาก่อนเลย แต่เมื่อถังโจวโจวฉุกคิดอีกที นี่มันเป็นแค่คำพูดเวลาที่อยู่บนเตียง ไม่สามารถเอามาเป็นความจริงได้ แต่หัวใจของถังโจวโจวก็ได้รับผลกระทบจากคำพูดของลั่วเซ่าเชินไปแล้ว 


 


 


ลั่วเซ่าเชินวางโทรศัพท์ไว้บนตู้ข้างเตียง ก่อนจะเริ่มโอบกอดถังโจวโจวอีกครั้งและเริ่มทำในสิ่งที่เขาชื่นชอบ ถังโจวโจววาดแขนโอบล้อมรอบลำคอของลั่วเซ่าเชิน ตอนนี้เธอไม่ต้องการอะไรอื่น นอกเสียจากทำให้ลั่วเซ่าเชินเข้าใกล้เธอมากยิ่งขึ้น 


 


 


น่าเสียดายที่โทรศัพท์ของลั่วเซ่าเชินประท้วงขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่ถังโจวโจวกำลังตอบสนองจูบอันร้อนแรงของลั่วเซ่าเชิน พวกเขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มและดื่มด่ำในห้วงอารมณ์ถึงขีดสุด แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์นั่น 


 


 


ถังโจวโจวพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนัก ก่อนจะหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่ดังไม่หยุดบนตู้ข้างเตียง และในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ “เซ่าเชิน ฉันว่าคุณไปทำธุระของคุณให้เสร็จก่อนดีกว่าค่ะ!” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินลุกขึ้นนั่งและเอี้ยวตัวไปด้านข้าง ชื่อของหันฮุ่ยซินยังคงปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ครั้งแรกอาจจะโทรผิด แต่ครั้งที่สองที่สามนี่คงจะเจตนาแล้วใช่ไหม ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็กดรับสายนั้นอย่างไม่เต็มใจ 


 


 


ถังโจวโจวยกมุมปากขึ้นอย่างไม่พอใจเมื่อแอบชำเลืองเห็นว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา เธอแสร้งทำเป็นเอนซบหน้าลงไปบนแผงอกของลั่วเซ่าเชินโดยไม่ได้ตั้งใจ ถังโจวโจวไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไรว่าใจจริงแล้วเธออยากจะรู้ว่าหันฮุ่ยซินโทรศัพท์มาหาลั่วเซ่าเชินทำไม 


 


 


แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าทันทีที่ลั่วเซ่าเชินรับสาย เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหันฮุ่ยซินก็ดังขึ้นมา “อาเชิน รีบมาช่วยฉันหน่อย ช่วยฉันด้วย!” น้ำเสียงของเธอฟังดูร้อนรนมาก ถังโจวโจวรู้สึกเครียดไปชั่วขณะ เกิดอะไรขึ้นกับหันฮุ่ยซิน? 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินเสียงวิงวอนขอความช่วยเหลือจากหันฮุ่ยซิน เขาก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที เขารู้ดีว่าหันฮุ่ยซินไม่มีทางที่จะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ หากเธอไม่จนมุมจริงๆ เขาเอ่ยถามด้วยความรวดเร็ว “ฮุ่ยซิน ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินผละออกจากถังโจวโจว จากนั้นเขารีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ และเอ่ยปลอบหันฮุ่ยซินเป็นครั้งคราว “ฮุ่ยซิน คุณใจเย็นๆ นะ บอกที่อยู่ผมมา ผมจะรีบไป” 


 


 


หัวใจของถังโจวโจวรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาในทันทีเมื่อถูกลั่วเซ่าเชินผละทิ้งไปแบบนั้น เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อครู่นี้เธออยากจะผลักเขาออกแทบเป็นแทบตาย แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะเธอสู้แรงเขาไม่ได้ แต่นี่เขากลับเป็นฝ่ายผละตัวไปจากเธอเพียงเพราะหันฮุ่ยซินอย่างนั้นหรือ ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวรู้สึกหึงขึ้นมานิดหน่อย 


 


 


ถังโจวโจวพยายามกดความหึงหวงเอาไว้ เธอเห็นลั่วเซ่าเชินสวมเสื้อผ้า ราวกับว่าพร้อมที่จะออกไปข้างนอกแล้ว ถังโจวโจวจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เซ่าเชิน นั่นคุณจะไปไหนคะ ดึกขนาดนี้แล้ว” 


 


 


ถังโจวโจวอยากจะรั้งให้ลั่วเซ่าเชินอยู่ แม้จะรู้ว่ามันผิด แต่ถังโจวโจวก็ไม่อยากให้เขาสนใจหันฮุ่ยซินอยู่ดี 


 


 


ลั่วเซ่าเชินวางสายและมองถังโจวโจวด้วยความลำบากใจ “โจวโจว ผมขอโทษ ฮุ่ยซินมีเรื่อง ผมต้องรีบไป!” 


 


 


เมื่อถังโจวโจวเห็นสายตามุ่งมั่นของลั่วเซ่าเชิน เธอก็รู้แล้วว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนใจของเขาได้ เธอจึงยิ้มให้เขา “ถ้าอย่างนั้นก็…ไปเถอะค่ะ ถ้าไม่มีอะไรมาก คุณก็รีบกลับมานะคะ” 


 


 


           ลั่วเซ่าเชินดูออกว่าถังโจวโจวฝืนยิ้มให้เขามากแค่ไหน เขาอยากจะอธิบายให้ถังโจวโจวฟังว่าเขาจะไปช่วยหันฮุ่ยซินเพียงเพราะเขาเห็นแก่มิตรภาพที่เคยมีให้แก่กัน แล้วหันฮุ่ยซินก็มีเรื่องคอขาดบาดตาย เธอจึงโทรมาขอให้เขาไปช่วย 


 


 


เพียงแต่ตอนนี้ลั่วเซ่าเชินไม่มีเวลาอธิบาย เขาทำได้แค่เพียงลูบปอยผมของถังโจวโจว “โจวโจว เอาไว้ผมจะกลับมาอธิบายให้คุณฟัง คุณเข้านอนไปก่อนเลยนะ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จธุระตอนไหน” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินออกไปจากห้องนอนทันทีที่เขาพูดจบ เมื่อถังโจวโจวเห็นว่าลั่วเซ่าเชินเดินออกไปแล้ว ไหล่ของเธอก็ลู่ลง ในตอนนี้เธอได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงของเธอออกมา เมื่อครู่นี้เธอเป็นคนบอกให้เขาออกไปเองนี่ ถังโจวโจวขมวดคิ้วแน่น ถึงอย่างไรเธอก็อดเป็นกังวลไม่ได้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินออกรถไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานเขาก็มาถึงสถานที่ที่หันฮุ่ยซินแจ้งไว้ บาร์เหล้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในตรอกมืด เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นสถานที่นี้ตรงหน้าแล้ว เขาก็ไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป ด้วยกลัวว่ามันจะล่าช้า ลั่วเซ่าเชินจึงรีบจอดรถและเข้าไปด้านใน 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเข้ามาในร้าน เขาก็ตรงไปที่ห้องน้ำ แต่ก่อนที่เขาจะได้เข้าใกล้ห้องน้ำ เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาแต่ไกล “นี่เธอ รีบออกมาเร็วๆ ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ของเราคงยกโทษให้ไม่ได้!” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปใกล้ เขาเห็นว่ามีชายคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องน้ำหญิง เขาคนนั้นหันไปมองด้านในเป็นระยะๆ ลั่วเซ่าเชินเดาว่าหันฮุ่ยซินน่าจะซ่อนตัวอยู่ข้างในนั้น 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเฝ้าสังเกตการณ์และขบคิดหาวิธีที่จะพาหันฮุ่ยซินออกมาโดยที่ไม่ต้องปะทะกับคนพวกนั้น 


 


 


หันฮุ่ยซินหลบอยู่ข้างในห้องน้ำ แม้ว่าคนข้างนอกจะเคาะประตูอย่างรุนแรง แต่เธอก็ดันประตูเอาไว้อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมให้คนข้างนอกกระแทกไม้กระดานแผ่นนี้จนเข้ามาได้ 


 


 


ชายหนุ่มที่มีบาดแผลฉกรรจ์ตั้งแต่หางคิ้วด้านขวาลากยาวลงมาจนถึงด้านข้างของใบหน้ายืนอยู่ด้านนอกอย่างหงุดหงิด ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูออกว่าพี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดี เขาก็เอ่ยแนะนำว่า “พี่ใหญ่ เราอย่ามัวมาเสียเวลากับเธออยู่เลย พังประตูเข้าไปเลยดีกว่า” 


 


 


พี่ใหญ่ฟาดมือลงไปบนศีรษะของลูกน้อง ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าดุดันว่า “แล้วยืนบื้ออยู่ทำไม! ก็พังเข้าไปสิ!” 


 


 


ลูกน้องพูดพลางพยักหน้าและโค้งตัวเล็กน้อย “ครับ พี่ใหญ่ ผมจะพังให้เดี๋ยวนี้แหละ รับรองว่าพี่ใหญ่ได้ดั่งใจแน่นอน!” 


 


 


หันฮุ่ยซินได้ยินเต็มสองรูหู เธอเห็นว่าพวกเขาหมดความอดทนและเริ่มจะพังประตูเข้ามาแล้ว แต่ลั่วเซ่าเชินก็ยังไม่มาสักที จู่ๆ เธอก็คิดว่าวันนี้เธอคงจะตกอยู่ในกำมือของคนพวกนี้จริงๆ แล้ว? และถ้าเป็นแบบนั้นเธอขอยอมตายดีกว่า เธอจะไม่ยอมให้คนพวกนั้นเข้ามาทำอะไรเธอได้เด็ดขาด! 


 


 


แต่ในขณะที่ลูกน้องคนนั้นกำลังจะพังประตูห้องข้างๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงสัญญาณเตือนภัยร้องดังขึ้นมา พี่ใหญ่สะดุ้งตกใจ ก่อนจะถามลูกน้องว่า “มีเรื่องอะไร!” 


 


 


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่ใหญ่” 


 


 


ตอนนั้นเอง คนด้านนอกก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า “แย่แล้ว! ไฟไหม้! รีบหนีเร็ว…” 


 


 


เมื่อพี่ใหญ่ได้ยินว่าไฟไหม้ เขาก็ตื่นตระหนกในทันที “ซวยจริงๆ เลย ไฟดันมาไหม้ตอนนี้ เอาชีวิตให้รอดก่อนก็แล้วกัน!” 


 


 


“พี่ใหญ่ แล้วผู้หญิงที่อยู่ข้างในนี้ล่ะ จะทำยังไงต่อ” ลูกน้องมองดูห้องข้างๆ ที่ปิดสนิทด้วยความเสียดาย เกือบจะได้ตัวแล้วเชียว จำเป็นต้องไปตอนนี้เลยเหรอ? 


 


 


“นี่แกโง่หรือเปล่า จะตายอยู่แล้วยังเป็นห่วงคนอื่นอีก? ปล่อยให้เธอตายอยู่ในนั้นนั่นแหละ!” 


 


 


เมื่อทั้งสองคนออกมาจากห้องน้ำ พวกเขาก็พบกับการ์ดตัวสูงใหญ่ที่อยู่ด้านนอกเข้าพอดี “พี่ใหญ่ เรารีบไปกันเถอะครับ ร้านกำลังจะไหม้แล้ว!” 


 


 


“อืม รีบไป!” ทั้งสามคนเดินเลี้ยวไปทางขวาของห้องน้ำ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าทั้งสามคนออกไปแล้ว เขาก็พุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำ “ฮุ่ยซิน คุณอยู่ข้างในหรือเปล่า” ลั่วเซ่าเชินเคาะประตูห้องข้างๆ และในขณะที่เขากำลังเคาะไม่หยุดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นมาจากห้องใดห้องหนึ่ง 


 


 


“อาเชิน ฉันอยู่นี่”  

 

 


ตอนที่ 166 ไม่กลับมาทั้งคืน

 

    “อาเชิน ฉันอยู่นี่” หันฮุ่ยซินย้ำอีกครั้ง 


 


 


ลั่วเซ่าเชินพยายามตั้งใจฟังเสียงนั้นให้ดีๆ เขาถึงรู้ว่าหันฮุ่ยซินอยู่ที่ไหน เขาเคาะประตูห้องห้องหนึ่ง ปังๆๆ “ฮุ่ยซิน เปิดประตู ผมมาแล้ว” 


 


 


เมื่อเห็นว่าด้านในไม่มีการเคลื่อนไหว ลั่วเซ่าเชินก็หันไปมองด้านนอกอย่างระแวดระวังอีกครั้งพลางเคาะประตูไปด้วย 


 


 


“ฮุ่ยซิน คุณอยู่ข้างในหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนไหม คุณเปิดประตูได้ไหม” 


 


 


หลังจากนั้น เสียงแผ่วเบาของหันฮุ่ยซินก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “อาเชิน ฉันไม่มีแรงเลย ฉันยืนไม่ไหว ทำยังไงดี” 


 


 


หันฮุ่ยซินนั่งอยู่บนชักโครก เธอยังรู้สึกได้อยู่เลยว่าต้นขาของเธอสั่นเทา หลังจากที่เธอได้ยินพี่ใหญ่คนนั้นบอกว่าจะปล่อยให้เธอถูกไฟคลอกตายเมื่อครู่นี้ บวกกับเสียงสัญญาณเตือนภัยที่ยังดังลั่นไม่หยุด ทำให้หันฮุ่ยซินว้าวุ่นใจมากเป็นพิเศษ 


 


 


แต่พอได้ยินเสียงของลั่วเซ่าเชิน เธอก็รู้แล้วว่าเธอยังมีที่พึ่ง เธอไม่ได้ลอยเคว้งอยู่ในอวกาศเพียงลำพังอีกต่อไป แต่เป็นคนที่ยืนหยัดอยู่บนพื้นดิน มีคนที่เธอสามารถพึ่งพิงได้ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเป็นห่วงมากเมื่อได้ยินว่าหันฮุ่ยซินยืนไม่ไหว ก่อนหน้านี้เขาเพียงแต่ต้องทำให้สามคนนั้นออกไปก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะหวนกลับมาอีกหรือเปล่า ถ้าเขาพาหันฮุ่ยซินที่อ่อนแอออกไปด้วย เขาคงจะรับมือกับชายสามคนนั้นไม่ไหว เพราะต้องกังวลถึงหันฮุ่ยซินที่อยู่ข้างหลัง 


 


 


ลั่วเซ่าเชินยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ฮุ่ยซิน คุณหาที่หลบก่อน ผมจะถีบประตูเข้าไป คุณระวังไว้นะ” 


 


 


ทันทีที่หันฮุ่ยซินได้ยินอย่างนั้น เธอก็เชื่อฟังเขาแต่โดยดี “โอเค อาเชิน คุณพังประตูเข้ามาเถอะ ฉันไม่เป็นไร” ตอนนี้หันฮุ่ยซินมีที่พึ่งทางใจแล้ว เธอรู้สึกว่าคงไม่มีอะไรยากสำหรับเธออีก 


 


 


ลั่วเซ่าเชินขยับร่างกายเล็กน้อย ก่อนจะถีบเข้าไปที่ประตูอย่างแรง และเมื่อได้ยินเสียงดัง ปัง! ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ลั่วเซ่าเชินเห็นว่าหันฮุ่ยซินที่สวมชุดกระโปรงสีดำนั่งหดขาเก็บตัวอยู่บนชักโครก ผมเผ้าก็ดูยุ่งเหยิง ดูเหมือนว่าตอนที่เธอพยายามหนี เธอน่าจะรีบร้อนอยู่พอสมควร 


 


 


           เขารีบเดินเข้าไปหาเธอและยอบตัวลงถามว่า “ฮุ่ยซิน คุณโอเคไหม เดินไหวหรือเปล่า” 


 


 


           หันฮุ่ยซินส่ายหน้า หางตาของเธอยังคงมีรอยน้ำตาอยู่ ท่าทางเธอดูจนตรอกอย่างมาก ลั่วเซ่าเชินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มตัวลงไปอุ้มหันฮุ่ยซินขึ้นมาในท่าเจ้าหญิง 


 


 


หันฮุ่ยซินเอนซบลงไปบนแผงอกของลั่วเซ่าเชิน มุมปากของเธอโค้งยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย มือทั้งสองข้างก็โอบอยู่ที่ลำคอของเขา “อาเชิน ขอบคุณนะที่มา” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินก้าวออกไปข้างหน้าและกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยกลัวว่าคนที่รังแกหันฮุ่ยซินเมื่อครู่นี้จะกลับมาอีกครั้ง แล้วเดี๋ยวจะเกิดความชุลมุนขึ้นได้ “พูดอะไรอย่างนั้น ฮุ่ยซิน คุณพักก่อนเถอะ ไว้ถึงที่ปลอดภัยแล้วค่อยคุยกัน” 


 


 


หันฮุ่ยซินดื่มด่ำไปกับเวลาที่เธอได้อยู่กับลั่วเซ่าเชินแค่เพียงสองคน ไม่มีเงาของถังโจวโจว บรรยากาศแบบนี้เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน เหมือนกับตอนที่เธอกับเขายังรักกันอยู่ พวกเขาสองคนรักกันมาก ในตอนนั้นหันฮุ่ยซินไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งลั่วเซ่าเชินจะทิ้งเธอไป และไปแต่งงานกับคนอื่น 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เพราะตั้งใจเลือกทางที่มีคนเดินแค่ไม่กี่คน เวลานี้ผู้คนที่อยู่ในบาร์ต่างออกมาด้านนอกกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้คนไม่ตื่นตระหนกอีกต่อไป เพราะมีคนเปิดสัญญาณเตือนภัยโดยพลการ มันจึงส่งผลกระทบใหญ่หลวงแบบนี้ 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินอุ้มหันฮุ่ยซินเดินผ่านห้องโถงไป เขาก็ได้ยินหลายคนกำลังก่นด่าคนที่ไม่รู้กาละเทศะเปิดสัญญาณเตือนภัยคนนั้น ทำให้พวกเขาตกใจกลัวกันไปหมด 


 


 


หลังจากได้ยินแบบนั้น ลั่วเซ่าเชินก็ลอบยิ้ม ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับการจากไปของเขา และแน่นอนว่าหลังจากที่เหตุการณ์กลับมาอยู่ในความสงบ พวกเขาก็ยังคงสนุกกันต่อ คืนนี้ยังอีกยาวนาน! 


 


 


เมื่ออุ้มหันฮุ่ยซินมาถึงรถ ลั่วเซ่าเชินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “เอาละ ปลอดภัยแล้ว!” ลั่วเซ่าเชินขึ้นมานั่งประจำที่ จากนั้นเขาก็มองดูหันฮุ่ยซินที่สวมเพียงชุดกระโปรงตัวบาง เขาถอดเสื้อโค้ทออกมาคลุมร่างเธอไว้ ก่อนจะเปิดระบบทำความอุ่นภายในรถ 


 


 


“ฮุ่ยซิน ทำไมวันนี้คุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกประหลาดใจ เขาคิดว่าหันฮุ่ยซินเป็นเด็กดีเรียบร้อยติดบ้านมาโดยตลอด สมัยเรียนเธอก็พยายามอย่างหนัก แล้วเธอก็ใช้เวลาว่างไปกับการเต้นเสียหมด 


 


 


ในตอนนั้นที่เธอคบอยู่กับลั่วเซ่าเชิน ส่วนใหญ่ลั่วเซ่าเชินก็จะอยู่เป็นเพื่อนหันฮุ่ยซินในห้องซ้อมเต้น มาตอนนี้เขากลับเจอหันฮุ่ยซินอยู่ในร้านเหล้า มันทำให้ความทรงจำของลั่วเซ่าเชินเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ 


 


 


แต่เมื่อคิดดูอีกที ลั่วเซ่าเชินก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หลายปีที่ผ่านมานี้เขาเองก็เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่น้อย! ถ้าหันฮุ่ยซินจะเปลี่ยนไปบ้าง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา 


 


 


ดังนั้น ลั่วเซ่าเชินจึงฉวยโอกาสพูดก่อนที่หันฮุ่ยซินจะพูด “ขอโทษที ผมถามมากเกินไปหน่อย เรื่องมันผ่านไปได้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้เป็นอะไร ว่าแต่คุณจะไปที่ไหนต่อ?” 


 


 


หันฮุ่ยซินมองดูดวงตาของลั่วเซ่าเชินที่เธอคุ้นเคย แต่คำพูดที่ออกมาจากปากของเขากลับทำให้เธอไม่เข้าใจ “อาเชิน คุณจะขอโทษฉันทำไมคะ คุณกับฉันห่างเหินกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินรู้สึกปวดหัว เมื่อเห็นว่าหันฮุ่ยซินเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับประเด็นนี้ไม่ยอมปล่อย เขาสัญญากับถังโจวโจวไว้แล้วว่าเขากับหันฮุ่ยซินจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้โจวโจวหลับไปแล้วหรือว่ากำลังรอให้เขากลับไปอยู่ 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหันฮุ่ยซินแดงก่ำ “ฮุ่ยซิน นี่คุณเมาเหรอ” 


 


 


“เปล่าค่ะ อาเชิน ฉันจะเมาได้ยังไง” หันฮุ่ยซินยิ้มเจื่อน ลั่วเซ่าเชินมั่นใจว่าหันฮุ่ยซินดื่มเหล้า เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเมาหรือเปล่า แต่โดยปกติแล้วคนเมามักจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เมา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินไม่ได้สนใจว่าหันฮุ่ยซินจะเมาหรือไม่เมาแล้ว เขาขับรถตรงไปข้างหน้า “ฮุ่ยซิน ตกลงคุณจะไปไหน ผมจะได้ไปส่งคุณ” 


 


 


“เฮอะ! อาเชิน พอคุณส่งฉันเสร็จ คุณก็จะกลับไปหาถังโจวโจวใช่ไหมคะ ฉันไม่ให้คุณกลับหรอก คุณเป็นของฉัน คุณเป็นของฉัน…” เสียงของหันฮุ่ยซินเบาลงไปเรื่อยๆ ดวงตาของเธอปิดสนิทโดยที่ปากของเธอยังคงขยับอยู่ เพียงแต่มันไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลย ดูคล้ายว่าเธอกำลังละเมอ 


 


 


เมื่อเห็นสภาพของหันฮุ่ยซินในตอนนี้ ลั่วเซ่าเชินก็ไม่กล้าไปส่งเธอที่บ้าน เขาจอดรถอยู่ในลานจอดรถด้านนอกของโรงแรม จากนั้นเขาก็พยุงหันฮุ่ยซินเดินเข้าไปที่ล็อบบี้ 


 


 


เมื่อเดินมาถึงเคาน์เตอร์ ลั่วเซ่าเชินก็ควักบัตรออกมาหนึ่งใบ “เปิดห้องครับ” 


 


 


แม้ว่าพนักงานต้อนรับจะต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่เมื่อเธอเห็นว่าหันฮุ่ยซินหลับตา เธอก็ปรายตามองไปสำรวจลั่วเซ่าเชินอีกครั้ง และเมื่อเธอคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้น เธอจึงดำเนินการให้เขา 


 


 


ลั่วเซ่าเชินหยิบกุญแจและประคองหันฮุ่ยซินให้เดินไปที่ลิฟต์ เขาได้ยินเสียงของพนักงานต้อนรับดังไล่หลังมาเบาๆ ว่า “พระเจ้าช่วย หล่อมาก! ผู้หญิงคนนั้นโชคดีจริงๆ ที่ได้รู้จักกับหนุ่มหล่อคนนี้” 


 


 


“ดูๆ ไปก็เหมือนนายแบบอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร ผู้หญิงคนนั้นหมดสติซะด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เราอาจจะช่วยเหลือไม่ทัน” 


 


 


“เป็นฉัน ฉันยอมเลย ก็เขาหล่อขนาดนั้น ต่อให้ขาดทุนฉันก็ยินดี!” 


 


 


… 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินได้ยินคำนินทาเหล่านั้นจากด้านหลัง เขาก็มองดูสภาพระหว่างเขาและหันฮุ่ยซินอีกครั้ง ท่าทางของเขาก็ดูคล้ายกับลักพาตัวผู้หญิงมาทำมิดีมิร้ายจริงๆ นั่นแหละ 


 


 


ติ๊ง! เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ลั่วเซ่าเชินก็ประคองหันฮุ่ยซินออกมาจากลิฟต์ จากนั้นเขาก็เปิดประตูห้องที่เขาได้กุญแจมาเมื่อครู่นี้ เขาวางหันฮุ่ยซินลงบนเตียง จากนั้นลั่วเซ่าเชินก็มองสำรวจไปรอบๆ ห้อง ถือว่าสะอาดสะอ้านดี 


 


 


ลั่วเซ่าเชินมองหันฮุ่ยซินที่กำลังหลับสบาย เมื่อคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้ว เขาก็กำลังจะกลับ แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงละเมอของหันฮุ่ยซิน 


 


 


“อาเชิน พวกเราคืนดีกันเถอะ ฉันไม่อยากอยู่ห่างจากคุณ!” ลั่วเซ่าเชินขยับตัวเข้าไปใกล้หันฮุ่ยซิน เขาเห็นว่าปากของเธอขยับขึ้นลงอีกครั้ง ก่อนจะพูดออกมาอีกว่า “อาเชิน ฉันรักคุณ! ฉันไม่อยากอยู่ห่างจากคุณ… อาเชิน…” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเหยียดยิ้มออกมาอย่างขมขื่น มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาพูดอะไรแบบนี้ในเวลานี้ ตอนนี้เขาอยู่กับถังโจวโจวแล้ว มือของลั่วเซ่าเชินค่อยๆ ประคองใบหน้าของหันฮุ่ยซิน แม้จะผ่านมานานหลายปี แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 


 


 


รูปคิ้วแบบเดิม ปากกระจับแบบเดิม จมูกรั้นๆ แบบเดิม รูปร่างของเธอดูบอบบางมาก แต่น่าเสียดายที่นิสัยใจคอของเธอช่างโหดร้าย จู่ๆ หันฮุ่ยซินก็คว้ามือของลั่วเซ่าเชินมาจับไว้และพึมพำว่า “อาเชิน อาเชิน…” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเขาเห็นว่าหันฮุ่ยซินจับมือเขาไว้แน่น เขาก็รู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้อง เขาอยากจะดึงมือออกเพื่อผละตัวออกไปให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าหันฮุ่ยซินจะใช้แรงทั้งหมดที่มีรั้งเขาไว้ ทำให้ลั่วเซ่าเชินต้องตกอยู่ภายใต้การผูกมัดของเธอ 


 


 


 


 


 


ถังโจวโจวเอนตัวพิงกับหัวเตียง เธอเปิดไฟสีส้มนวลดวงเล็กๆ เอาไว้ดวงหนึ่ง สายตาของเธอหลุดลอยไปไกล ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากภายนอก เธอสะดุ้งรู้สึกตัวและรีบวิ่งไปดูที่ริมหน้าต่าง และเมื่อเธอพบว่าด้านนอกยังคงมืดสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงของรถ เธอก็ทำได้แค่เพียงกลับไปที่เตียงเท่านั้น 


 


 


…ถังโจวโจวรู้สึกว่ามีแสงหนึ่งแยงตาเธออยู่ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แล้วก็พบว่ามันสว่างแล้ว เธอบิดคอเล็กน้อย “ซี้ด…” เมื่อคืนเธอนอนพิงหัวเตียงทั้งคืน ตื่นเช้ามาเลยมีอาการปวดแบบนี้ 


 


 


เมื่อเห็นว่าอีกด้านหนึ่งของเตียงเย็นเฉียบ ไม่มีแม้แต่ความอบอุ่นใดๆ มันก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเมื่อคืนนี้ลั่วเซ่าเชินไม่ได้กลับมา หรือถ้ากลับมา เขาก็ไม่ได้เข้ามานอนในห้อง ถังโจวโจวคิดว่าข้อสันนิษฐานแรกน่าจะเป็นไปได้สูงกว่า 


 


 


ถังโจวโจวขยับร่างกายที่แข็งทื่อของตัวเอง พลางนวดขมับและลุกไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง เมื่อมองลงไปด้านล่าง เธอก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงารถของลั่วเซ่าเชิน เธอเปิดประตูห้องนอนและเดินลงไปชั้นล่าง เธอก็เห็นว่าป้าหลิวกำลังทำงานบ้านอยู่ “คุณผู้หญิง ตื่นแล้วหรือคะ” 


 


 


“ค่ะ ป้าหลิว เซ่าเชินกลับมาหรือยังคะ” 


 


 


“เมื่อคืนคุณชายออกไปข้างนอกหรือคะ ฉันยังไม่เห็นคุณชายเลย” 


 


 


ถังโจวโจวได้ยินคำตอบนั้นของป้าหลิว เธอก็ก้มหน้าลงอย่างหดหู่ “อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ป้าทำงานต่อเถอะ” เธอหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปชั้นบน เห็นได้ชัดว่าเธอดูล่องลอยมาก 


 


 


ป้าหลิวไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหนุ่มสาวคู่นี้ เมื่อวานคุณชายก็อยู่บ้านตลอดนี่ เขาออกไปข้างนอกตอนกลางคืนแล้วยังไม่ได้กลับมาหรือ? ป้าหลิวไม่เข้าใจจึงได้แต่ส่ายหน้าและทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป 


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าเขาลืมกลับบ้าน มือของเขาก็ยังคงถูกหันฮุ่ยซินจับไว้อยู่อย่างนั้น ลั่วเซ่าเชินพยายามดึงมือออก อาจจะเป็นเพราะว่าหันฮุ่ยซินหลับอยู่ แรงบีบที่มือของเธอจึงไม่แรงมากนัก ลั่วเซ่าเชินค่อยๆ ดึงมือกลับมาอย่างง่ายดาย 


 


 


หันฮุ่ยซินตื่นขึ้นมาเพราะการเคลื่อนไหวของลั่วเซ่าเชิน เธอกุมหน้าผากพลางลุกขึ้นมานั่ง แล้วเธอก็เห็นลั่วเซ่าเชินนั่งอยู่ข้างๆ เธอจึงพูดอย่างดีอกดีใจว่า “อาเชิน เมื่อคืนคุณอยู่เป็นเพื่อนฉันทั้งคืนเลยหรือคะ” 


 


 


ลั่วเซ่าเชินครุ่นคิดอย่างหนัก เขาจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อคืนเขาผล็อยหลับไปได้อย่างไร พอเขาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องนี้ และเมื่อลั่วเซ่าเชินนึกถึงถังโจวโจว เขาก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย  

 

 


ตอนที่ 167 เหวินมั่นมั่นมาหาหันฮุ่ยซิน

 

        เขารีบยืนขึ้นและพูดกับหันฮุ่ยซินว่า “ฮุ่ยซิน ในเมื่อคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ผมก็ขอตัวกลับก่อนล่ะ”


 


 


           ลั่วเซ่าเชินพูดพลางหยิบเสื้อโค้ทของเขาที่พาดอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูและเดินออกไป หันฮุ่ยซินได้แต่นั่งมองตามแผ่นหลังของเขาจนลับตาไปอยู่กับที่ เดิมทีเธออยากจะบอกลั่วเซ่าเชินเหลือเกินว่าเมื่อคืนเธอวิตกกังวลมากแค่ไหน แต่ลั่วเซ่าเชินกลับไม่ให้โอกาสเธอเลยสักนิด


 


 


           ลั่วเซ่าเชินขับรถกลับมาถึงบ้าน และเมื่อเขาก้าวขาเข้าไปในบ้าน เขาก็เห็นถังโจวโจวกับลั่วอิงกำลังนั่งกินข้าวเช้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินเดินเข้ามา เธอก็ปรายตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับขนมปังปิ้งในมือ แล้วเธอก็กัดมันอย่างแรง


 


 


           ลั่วเซ่าเชินคิดว่าตัวเองตาฝาดไป เหมือนเขาจะเห็นความโหดเ**้ยมในสายตาของถังโจวโจว เขารู้สึกว่าถังโจวโจวคิดว่าขนมปังแผ่นนั้นเป็นเขาไปชั่วขณะ นี่เธออยากจะกัดเขามากใช่ไหม


 


 


           “โจวโจว ผมกลับมาแล้ว” ลั่วเซ่าเชินรู้สึกผิดเล็กน้อย เมื่อคืนเขารับปากว่าจะกลับมาหากไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาผิดสัญญา เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนถังโจวโจวรอเขาอยู่นานแค่ไหน


 


 


“อ้อ คุณน่าจะกินข้าวมาแล้วใช่ไหมคะ!”


 


 


ลั่วอิงมองถังโจวโจวแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ลั่วเซ่าเชิน “คุณพ่อขา ทำไมคุณพ่อถึงเดินเข้ามาจากด้านนอกล่ะคะ เมื่อเช้าคุณพ่อออกไปข้างนอกแต่เช้าเลยเหรอ”


 


 


ลั่วเซ่าเชินพูดอะไรไม่ออก ถังโจวโจวเองก็ไม่ได้สนใจเขา “หนูรีบกินข้าวก่อนค่ะ ลืมไปแล้วหรือว่าหนูต้องไปโรงเรียนนะ”


 


 


ลั่วอิงได้แต่เพิ่มความเร็วบนมือของเธอ เธอตั้งหน้าตั้งตายัดของกินเข้าปาก จนถังโจวโจวกลัวว่าเธอจะสำลัก


 


 


“ค่อยๆ กินค่ะ… ดื่มนมหน่อยเร็ว” เธอเลื่อนแก้วไปตรงหน้าลั่วอิง เพื่อให้ลั่วอิงจิบ จากนั้นถังโจวโจวก็จัดการอาหารเช้าของเธอต่อ


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเห็นว่าเขาถูกเมิน เขาก็ได้แต่ยืนลูบจมูกอย่างจนใจและยิ้มออกมาอย่างเก้อเขิน ป้าหลิวที่กำลังยกไข่ดาวออกมา เห็นว่าลั่วเซ่าเชินกลับมาแล้ว เธอก็รีบพูดอย่างดีใจว่า “กลับมาแล้วหรือคะคุณชาย? คุณชายทานข้าวมาหรือยังคะ เดี๋ยวฉันไปยกออกมาให้”


 


 


“รบกวนหน่อยนะครับ ป้าหลิว” ในที่สุดลั่วเซ่าเชินก็ได้ทางลงจากป้าหลิว ถังโจวโจวย่นจมูกเล็กน้อยอย่างเย้ยหยันและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ลั่วเซ่าเชินจึงทำได้แค่เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ และมองดูป้าหลิวยกอาหารเช้าของเขาออกมา


 


 


แล้วเขาก็พบว่าอาหารเช้าของเขานั้นแตกต่างจากถังโจวโจวและลั่วอิงโดยสิ้นเชิง พวกเธอได้กินขนมปังปิ้ง ในขณะที่ตรงหน้าของเขามีแค่โจ๊กชามเดียว แต่ลั่วเซ่าเชินก็ฉลาดที่ไม่พูดอะไร เกิดมีประโยคไหนที่ไประคายหูของถังโจวโจวเข้า คงจะได้ไม่คุ้มเสีย


 


 


“คุณพ่อขา แม่โจวโจวขา หนูทานเสร็จแล้ว” ลั่วอิงดื่มนมหมดในอึกเดียว


 


 


ถังโจวโจวหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดมุมปากให้เธอ “ลั่วอิงเก่งที่สุดเลยค่ะ อีกเดี๋ยวคุณลุงหวังหวาจะไปส่งหนูที่โรงเรียนนะคะ หนูต้องเป็นเด็กดีนะลูก”


 


 


“ค่ะ แม่โจวโจว! คุณพ่อขา หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ”


 


 


“ครับผม เชื่อฟังคุณครูนะครับลูก เดี๋ยวพ่อจะไปรับหลังเลิกเรียน”


 


 


ถังโจวโจวพาลั่วอิงไปส่งที่รถของหวังหวา จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วเธอก็พบว่าลั่วเซ่าเชินกินโจ๊กหมดแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะรีบกินเอามากๆ ป้าหลิวเติมให้เขาอีกชามหนึ่ง ส่วนถังโจวโจวก็กลับไปนั่งที่เดิมเงียบๆ และกินขนมปังปิ้งในจานต่อไป


 


 


“โจวโจว เมื่อคืนคุณรอผมนานไหม” ลั่วเซ่าเชินลองถามหยั่งเชิง


 


 


ถังโจวโจวก็รีบตอบกลับไปทันทีว่า “พอคุณออกไปได้ไม่นาน ฉันก็เข้านอนแล้วค่ะ ฉันนอนหลับยาวจนถึงเช้าเลย จะไปรอคุณได้ยังไง!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินได้ยินถังโจวโจวพูดแบบนั้นก็ไม่อยากจะเชื่อ และเมื่อเขามองดูปากที่ดื้อรั้นของเธอ ก็ทำให้เขารู้ว่าเมื่อคืนนี้ที่เขาไม่ได้กลับบ้าน ทำให้เธอโกรธมาก และตอนนี้เธอก็กำลังโกรธเขาอยู่ เขาจึงไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธออีก “โจวโจว คุณไม่ได้รอผมก็ดีแล้ว คุณคงจะหลับสบายดี”


 


 


“แน่นอนค่ะ!” ถังโจวโจวก้มหน้าต่ำ ก่อนจะนึกถึงช่วงครึ่งคืนแรกที่เธอไม่ได้นอนเลย แล้วพอตื่นเช้ามาก็ยังได้รอยคล้ำใต้ตาแถมมาอีก จนเช้าวันนี้เธอต้องหาทางปกปิดมันด้วยแป้ง


 


 


ลั่วเซ่าเชินเองก็สังเกตเห็น แต่ไม่ได้พูดออกมา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ลั่วเซ่าเชินก็รีบกลับไปอาบน้ำที่ห้อง ถังโจวโจวเดินตามเขามาทีหลัง เธอเห็นเสื้อโค้ทที่ลั่วเซ่าเชินโยนทิ้งไว้บนเก้าอี้ เธอหยิบมันขึ้นมาดูและสำรวจ แล้วจู่ๆ เธอก็ได้กลิ่นหอมอะไรบางอย่าง


 


 


ถังโจวโจวคุ้นๆ ว่าเคยได้กลิ่นนี้บนตัวของหันฮุ่ยซิน มันเป็นน้ำหอมที่หันฮุ่ยซินใช้มาโดยตลอด กลิ่นหอมของดอกมะลิแบบนี้ติดอยู่บนเสื้อโค้ทของลั่วเซ่าเชิน ถังโจวโจวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เธอจึงโยนเสื้อโค้ทตัวนั้นลงบนพื้นและเดินออกไปจากห้องนอน


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินเดินสวมชุดคลุมอาบน้ำออกมา เขาก็เห็นว่าเสื้อโค้ทของเขาหล่นอยู่บนพื้น แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก่อนจะโยนมันลงไปในตะกร้าเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เขาเช็ดเส้นผมที่เปียกชื้นและเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อผ้ามาสวม


 


 


หลังจากเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและลงมาชั้นล่าง เขาก็ไม่พบถังโจวโจวแล้ว เขาจึงเรียกป้าหลิวมาถาม “คุณผู้หญิงไปไหนแล้ว”


 


 


“คุณผู้หญิงเธอออกไปทำงานแล้วค่ะ คุณชายไม่รู้หรือคะ”


 


 


“อ้อ รู้สิครับ ผมได้ยินมันรางๆ ตอนอาบน้ำ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจ ผมก็เลยมาถามป้าอีกที” ลั่วเซ่าเชินอธิบายให้ป้าหลิวเข้าใจ และเมื่อคิดว่าบางทีถังโจวโจวอาจจะโกรธเขาเพราะเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาก็รู้สึกหนักใจ


 


 


ถังโจวโจวเรียกรถไปทำงานเพียงลำพัง และหลังจากทักทายเพื่อนร่วมงานแล้ว เธอก็ตรงเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเธอ มันยังคงเป็นวันที่วุ่นวายเหมือนเดิม เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น ถังโจวโจวก็เก็บข้าวเก็บของและเดินออกไปด้านหน้าบริษัทพร้อมกับจวิ้นเจี่ย


 


 


เมื่อเดินมาถึงหน้าบริษัท สายตาอันแหลมคมของจวิ้นเจี่ยก็เห็นรถคันโปรดของลั่วเซ่าเชิน เธอจึงโบกมือลาถังโจวโจว “โจวโจว สามีเธอมารับแล้ว ฉันไปก่อนนะ”


 


 


ถังโจวโจวเห็นลั่วเซ่าเชินยืนพิงรถอย่างอารมณ์ดี เธอเกลียดที่เขาทำตัวเหมือนนกยูงรำแพนหาง จนได้รับความสนใจจากคนรอบข้างไปซะหมด ซึ่งนั่นทำให้ถังโจวโจวหงุดหงิดมาก เธอจึงเปิดประตูและขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เมื่อลั่วเซ่าเชินขึ้นมานั่งบนรถแล้ว ถังโจวโจวก็เอ่ยเร่งเขา “รีบออกรถสิคะ!”


 


 


ลั่วเซ่าเชินขับรถออกมาจากหน้าบริษัทของถังโจวโจวอย่างไม่รีบร้อน และเมื่อเขาเห็นว่าถังโจวโจวยังคงมองไปรอบๆ เขาก็หัวเราะออกมา “คุณมองอะไรน่ะ มีคนตามเรามาเหรอ”


 


 


ถังโจวโจวตวัดสายตามองเขา “ถ้าครั้งหน้าคุณยังทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้อีก คุณก็ไม่ต้องมารับฉันแล้วล่ะค่ะ”


 


 


สีหน้าของลั่วเซ่าเชินเจื่อนลงเล็กน้อย “ถ้าเป็นคนอื่นคงดีใจตายไปแล้ว มีแต่คุณนี่แหละที่เอาแต่มองว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหา เราเป็นสามีภรรยากันโดยชอบธรรมนะ ทำไมเราถึงแสดงให้คนอื่นเห็นไม่ได้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน”


 


 


“มันมีอะไรให้คนอื่นมองหรือคะ แค่อยากให้เขาอิจฉาเท่านั้นเหรอ” ถังโจวโจวรู้สึกว่าลั่วเซ่าเชินคิดอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ อะไรที่เรียกว่า ‘เป็นสามีภรรยากันโดยชอบธรรม’ แล้วถ้าไม่ได้เป็นโดยชอบธรรมล่ะ จะเป็นอย่างไร?


 


 


เนื่องจากพวกเขาถกเถียงกัน บรรยากาศจึงค่อนข้างตึงเครียด ถังโจวโจวหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะที่ลั่วเซ่าเชินก็ขับรถเงียบๆ


 


 


 


 


เหวินมั่นมั่นเพิ่งจะลงมาจากชั้นบน พอดีกับที่วันนี้เธอไม่มีเรียน เธอจึงนัดเจียงรุ่ยเฉินออกไปเดินเล่น แล้วเมื่อเธอลงมาชั้นล่างหลังจากแต่งตัวเสร็จ เธอก็เห็นเหวินซือหว่านนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น สีหน้าดูมีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


เหวินมั่นมั่นรู้สึกประหลาดใจ “โอ้โฮ วันนี้ลมอะไรหอบพี่มาคะเนี่ย ทำไมฉันถึงเจอพี่ในเวลานี้ได้”


 


 


เหวินมั่นมั่นหันไปมองดูนาฬิกาบนฝาผนัง ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงแล้ว เหวินซือหว่านควรจะอยู่ที่บริษัทแล้วมิใช่หรือ แล้วปกติเธอก็งานยุ่งมาก กว่าจะได้เจอเธอแต่ละทีไม่ใช่เรื่องง่าย


 


 


เหวินซือหว่านรู้ดีว่าเหวินมั่นมั่นไม่ได้ทักทายเธออย่างจริงใจ แต่เธอก็ไม่อยากทะเลาะกับเหวินมั่นมั่น


 


 


“มั่นมั่น นี่เธอกำลังจะออกไปหาเจียงรุ่ยเฉินเหรอ” เหวินซือหว่านถามด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ


 


 


เหวินมั่นมั่นก็ไม่ได้ปิดบัง “ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ หรือพี่อยากไปด้วย?” ประโยคหลังของเหวินมั่นมั่นค่อนข้างกระโชกโฮกฮาก ราวกับว่าถ้าเหวินซือหว่านบอกว่าจะตามเธอไปด้วย เหวินมั่นมั่นก็จะโกรธ


 


 


“มั่นมั่น เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้สนใจเจียงรุ่ยเฉินเลย แต่ฉันแค่อยากเตือนเธอไว้สักหน่อย แม้ฉันจะไม่ได้สนใจเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนอื่นจะไม่สนใจ” หลังจากที่เหวินซือหว่านรู้ว่าเหวินมั่นมั่นมีคนที่ชอบ เธอก็คอยเอาใจช่วยอยู่


 


 


เพียงแต่ตอนนี้เหวินมั่นมั่นยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเจียงรุ่ยเฉินมากพอ เธออาจยังไม่เคยเจอและได้เรียนรู้ว่าผู้หญิงคนอื่นๆ หน้าด้านไร้ยางอายมากแค่ไหน แค่เห็นว่าผู้ชายมีฐานะหน้าตาดีเข้าหน่อย พวกเธอก็จับไม่ปล่อยแล้ว เหวินซือหว่านจึงต้องเตือนเธอด้วยความหวังดี เพราะถึงอย่างไรพวกเธอทั้งสองคนก็ยังเป็นพี่น้องกัน


 


 


“พี่หมายความว่ายังไงคะ ผู้หญิงคนไหนหมายตารุ่ยเฉินไว้เหรอ” เหวินมั่นมั่นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอคิดอย่างไรกับเจียงรุ่ยเฉิน แม้กระทั่งการเรียกชื่อก็เปลี่ยนไปในทันที


 


 


เหวินซือหว่านยิ้มออกมาแค่มุมปาก “มั่นมั่น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เจอกับเขามาพักหนึ่งแล้วใช่ไหม ครั้งก่อนฉันเห็นเขาเดินอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง พอฉันรู้ว่าเธอยังไม่รู้ ฉันก็เลยช่วยสืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นให้ เป็นผู้หญิงที่ดูดีอยู่เหมือนกันนะ!”


 


 


เหวินซือหว่านโยนซองเอกสารซองหนึ่งลงตรงหน้าเหวินมั่นมั่น “มั่นมั่น ถือซะว่านี่เป็นของขวัญจากฉันก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบแล้ว เหวินซือหว่านก็เดินตรงขึ้นชั้นบนไป โดยไม่สนว่าเหวินมั่นมั่นจะรู้สึกอย่างไรอยู่


 


 


เหวินมั่นมั่นตะโกนถามไล่หลังไป “แล้ววันนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอ” ปกติเห็นเป็นคนบ้างานนี่? ทำไมวันนี้ถึงยอมให้ตัวเองพักผ่อนได้?


 


 


“วันนี้พัก!” เหวินซือหว่านตอบโดยไม่หันหน้ามาและโบกมือให้เหวินมั่นมั่น ก่อนที่แผ่นหลังของเธอจะหายขึ้นไปชั้นบนจนลับสายตา


 


 


เหวินมั่นมั่นนั่งลงบนโซฟาและเปิดซองเอกสารที่เหวินซือหว่านส่งให้เธอ หลังจากอ่านจบ สีหน้าของเธอดูนิ่งขรึมลงไปมาก จากนั้นเธอก็โยนซองเอกสารทิ้งและรีบเดินออกจากบ้านไป มุมปากของเธอคว่ำลง และใบหน้าก็แสดงอาการโกรธถึงขีดสุด


 


 


เหวินมั่นมั่นขับรถไปที่สตูดิโอสอนเต้นของหันฮุ่ยซิน หันฮุ่ยซินกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงาน แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินผู้ช่วยของเธอบอกว่ามีคนมาหาเธอ เธอสงสัยว่าเป็นใคร เธอก็เลยขอให้ผู้ช่วยของเธอพาคนคนนั้นเข้ามา แล้วเธอก็พบว่าเธอไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อน


 


 


“ขอโทษนะคะ คุณคือ?” หันฮุ่ยซินขมวดคิ้วมองคนที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน เธอไม่เห็นจำได้ว่าเธอรู้จักกับคนๆ นี้ด้วย ผู้หญิงคนนี้มาผิดที่หรือเปล่า?


 


 


“เธอคือหันฮุ่ยซิน?”


 


 


เหวินมั่นมั่นระงับความโกรธของเธอเอาไว้ชั่วคราว และปรับสีหน้าให้ดูไม่หยิ่งยโสมากนัก เธออยากจะฟังจากปากของหันฮุ่ยซินว่าได้รู้จักกับเจียงรุ่ยเฉินหรือเปล่า แม้ว่าข้อมูลของเหวินซือหว่านจะบอกไว้ชัดเจนแล้ว แต่เหวินมั่นมั่นก็ยังอยากจะได้ยินกับหูตัวเอง


 


 


“ค่ะ ฉันเอง คุณคือใครคะ มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า” หันฮุ่ยซินนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเหวินมั่นมั่นก็ยืนอยู่ตรงข้ามเธอ หันฮุ่ยซินเงยหน้ามองอีกฝ่ายจนปวดคอ เธอจึงเชิญให้เหวินมั่นมั่นนั่งลงตรงข้ามเธอ จากนั้นก็สั่งให้ผู้ช่วยนำชามาเสิร์ฟ


 


 


“ฉันชื่อเหวินมั่นมั่น เธอไม่รู้จักฉันก็ไม่เป็นไร ฉันรู้จักเธอก็พอ” คำพูดของเหวินมั่นมั่นไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร แต่หันฮุ่ยซินก็ยังคงข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ไม่ต่อปากต่อคำกับเธอ


 


 


“ขอโทษนะคะคุณเหวิน คุณมาหาฉันถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือคะ” หลังจากอ้อมค้อมมาพักใหญ่ หันฮุ่ยซินก็ยังไม่รู้เลยว่าเหวินมั่นมั่นต้องการอะไร แต่ดูจากท่าทางของเธอแล้ว เหมือนจะไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร หันฮุ่ยซินเดาว่าคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม