จอมใจจ้าวพิษ 160-167
ตอนที่ 160 โทษตัวเอง
เมื่อฮว่าเหยียนได้ยินเช่นนั้น ก็กำสายประคำในมือแน่น หลังจากพิธีบวงสรวง ประคำสายนี้ไม่เคยห่างจากมือนางเลย ดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร แต่ของล้ำค่าสำหรับนางน่าจะเป็นของดี เพราะนางออกแรงมาก ขยับลูกประคำจนส่งเสียงดังแกร่กๆ ถังเฉียนจึงรู้ว่านางโมโหแล้ว
“ในใจเจ้า ข้าคงเป็นคนที่ชอบฆ่าผู้บริสุทธิ์มากใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าทำผิดพลาด ทิ้งพิรุธไว้ ข้าจะ…”
ถังเฉียนเห็นนางชูมือขึ้น พูดแล้วทำท่าจะลงมือ แต่แล้วก็มองดูสายประคำสีดำนั่น แล้วลดมือลง ชำเลืองมองนางแล้วพูดว่า
“ปกติก็ดูเจ้าฉลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อเจอเรื่องที่มีความสำคัญต่อเจ้า ก็เผยธาตุแท้ออกมา เด็กบ้านนอกที่ไม่ประสีประสา เซ่อเซ่อซ่าซ่า!”
ถังเฉียนกำหมัดแน่น นางระเบิดอารมณ์ออกมาง่ายเกินไป นางรู้ดีว่าการทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อตัวเอง
“ฮว่าเหยียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจิ้งจยาเฉิงสอบถามได้เรื่องอะไรบ้าง เถิงเฟิงบอกเพียงว่าเวยเอ๋อร์จำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าลืมทุกอย่างหมด เพียงแต่หายไปส่วนหนึ่ง นางจะพูดแค่ไหน พูดได้เท่าใด แล้วท่านอ๋องรู้มากเพียงไร สำหรับเราแล้วเป็นเรื่องที่อาจจะทำให้เดือดร้อน”
ฮว่าเหยียนร้องหึ แล้วพูดว่า
“แคว้นเซวียนกั๋วเจ้ามีคำพูดเก่าแก่ประโยคหนึ่งใช่หรือไม่ ถ้าโชคดีก็จะไม่ร้าย แต่ถ้าโชคร้ายก็หนีไม่พ้น ต่อให้เด็กคนนี้พูดอะไรออกไป เวลานี้ท่านอ๋องก็ไม่กล้าทำสิ่งใดต่อเจ้าหรอก”
“เพราะเหตุใด”
ถังเฉียนไม่เข้าใจ ถ้าหากฐานะของตนเองถูกเปิดเผยแล้ว จะเดือดร้อนใหญ่ไม่ใช่หรือ นางไม่เข้าใจจริงๆ แต่ฮว่าเหยียนหัวเราะแล้วบอกว่า
“เจ้าเป็นคนของเถิงเฟิง ถ้าอ๋องอย่างเขาบาดหมางกับแปดเผ่า ยังคิดจะอยู่ที่นี่ได้อีกหรือ”
ถังเฉียนกลับยิ่งหนักใจมากขึ้น ที่แท้ไม่ใช่เพราะตัวนางเอง แต่เป็นเพราะคนอื่น นางจึงอยู่อย่างสงบได้
หากเจ้าไม่มีเรี่องอะไรก็ไปหาน้องสาวเจ้าบ้าง จะอย่างไรก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ มีความแค้นอย่างใหญ่หลวงหรือไม่ คงพอจะสอบถามได้บ้าง”
ถังเฉียนไม่พูดต่อ หากง่ายดายเช่นนั้น นางไม่ไปนานแล้วหรือ หากแต่เพราะนางกังวลว่าตนเพียงเพิ่งก้าวออกไป เจิ้งจยาเฉิงก็รีบปรี่ไปฟ้องฉู่จิ่งเหยาแล้ว ลำบากแทบแย่กว่าที่ถังเวยจะมีที่อยู่ นางควรจะไปพบน้องหรือไม่
“ข้าไม่ไปจะดีกว่า ถ้าเกิดถูกเปิดเผยขึ้นมา นางจะได้ไม่พลอยเดือดร้อนไปด้วย”
พอฮว่าเหยียนได้ยินเช่นนี้ก็ตบศีรษะถังเฉียน
“เด็กโง่ เจ้าไม่รู้จักใส่หน้ากากไปหรือ ท่านอ๋องยังปิดบังได้ แล้วจะมากลัวว่าจะถูกเด็กมองออกหรือ”
คำพูดนี้ทำให้ถังเฉียนเข้าใจได้ทันที สมกับคำกล่าวที่ว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด
นางได้วิธีแล้ว จึงเป็นฝ่ายไปหาซูซินเหลียน แต่เมื่อไปถึงที่นั่นจึงพบว่าเรื่องไม่ง่ายเช่นนั้น นางเพิ่งเดินเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงเด็กสาวสะอื้นไห้ดังมาจากในห้อง ขณะนั้นเป็นต้นสารทฤดู อากาศเย็นสบาย ยังดีที่ยังไม่มืดค่ำ ไม่เช่นนั้นเรือนเซียงหานจะมีชื่อร่ำลือว่ามีผีสิง
“ในเรือนใครเป็นผู้อยู่เวร”
ถังเฉียนร้องถาม จากนั้นก็เห็นเด็กหญิงคนนั้นในชุดสีชมพูวิ่งออกมา รีบเช็ดน้ำตาแล้วแสดงการคารวะ
“ฮุ่ยฮุ่ยกราบคารวะเจ้าค่ะ”
ถังเวยพูดพลางสูดจมูก หางตายังมีคราบน้ำตา ถังเฉียนล้วงผ้าเช็ดหน้าจะยื่นให้ แต่ดูนางท่าทางเหมือนหวาดกลัว จึงถามว่า
“เจ้าร้องไห้เพราะเหตุใด”
ถังเวยตอบ
“เรียนท่าน…หมอ บ่าว…บ่าวคิดถึงบ้าน”
คำพูดนางทำให้ขอบตาถังเฉียนแดงเรื่อ ใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากดูเศร้าหมองลงทันทีเมื่อเห็นถังเวยพยายามพูดอย่างเต็มที่ แล้วนึกถึงครั้งก่อนที่ถังเวยร้องด่าถังอวิ๋น พูดยืดยาวอย่างไม่หยุด เด็กสาวที่ทั้งเก่งและมีไหวพริบ เหตุใดกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“จะให้ข้าปล่อยเจ้ากลับบ้านดีหรือไม่”
“ไม่ ไม่ต้อง ที่นี่…ดีแล้ว ข้าไม่…ไม่กลับบ้าน”
นางได้ยินมาว่าถังเวยเห็นพ่อแม่และคนในหมู่บ้านถูกฆ่าก็ตกใจกลัวจนเสียสติ พูดจาตะกุกตะกัก พอนึกถึงถังเวยที่เคยร้ายกาจ ถังเฉียนก็ยิ่งปวดร้าวใจและโทษตัวเอง ทั้งหมดนี่เป็นเพราะตนไม่ได้ดูแลน้องๆ ให้ดี เป็นความผิดของนางเองทั้งหมด
ตอนที่ 161 ของขวัญจากแดนไกล
ถังเฉียนลูบเส้นผมนาง พูดปลอบโยนเบาๆ นางดูเหมือนอยากกอดน้องไว้ในอ้อมกอดเดี๋ยวนี้เลย บอกนางว่าไม่เป็นไรแล้ว พี่ยังอยู่ที่นี่ อยู่ในสายตาเจ้า แต่เมื่อคุยกับนางครู่หนึ่งก็รู้ว่าในสมองนางไม่มีคำว่าพี่สาวหลงเหลืออยู่เลย นางเป็นเพียงลูกสาวคนเดียว พ่อแม่ตายหมดแล้ว นางเป็นแค่เด็กกำพร้า
“พ่อกับแม่พวกท่านดีต่อข้ามาก พ่อแม่มีข้าเป็นลูกสาวคนเดียว พวกท่านรักข้ามาก แต่…คนพวกนั้นตัดศีรษะพวกท่าน โอ้ย…”
เมื่อเอ่ยถึงวันนั้นถังเวยก็ตกใจจนหวีดร้องออกมา ถังเฉียนกอดน้องสาวแน่น อยากให้น้องรู้สึกถึงความอบอุ่น
“อย่า อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า”
ชุดที่ถังเฉียนสวมอยู่ทำให้นางหวาดกลัว เพราะคนพวกนั้นก็สวมชุดดำ เพราะคนพวกนั้นล้วนเป็นหมอผี ถังเฉียนไม่ได้ไปเยี่ยมซูซินเหลียนแล้ว แต่นางตรงกลับมาที่ห้องของตน สถานที่นี้สำหรับนางแล้วเป็นเหมือนเปลือกของหอยทาก ลำบากแทบแย่กว่าจะลองโผล่หัวออกไปพยายามอยากคลานไปข้างหน้า แต่เพราะขี้ขลาดและกลัวจึงรีบหดหัวกลับทันที
“ร้องไห้ นอกจากร้องไห้แล้ว เจ้าทำสิ่งใดเป็นบ้าง”
ประตูถูกผลักเปิดออก นางจำได้แม่นว่าตนเองใส่กลอนประตูแล้ว แม้ว่าฮว่าเหยียนจะเป็นหมอผีสมุนไพร แต่ดูเหมือนนางยังสันทัดในการสะเดาะกลอนประตูลอบเข้าห้องมา
“เจ้าหัดเคาะประตูไม่เป็นใช่หรือไม่ ข้าลงกลอนแล้ว เพราะไม่อยากให้เจ้าเข้ามา”
ฮว่าเหยียนเคยชินกับน้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้ของนางแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกว่าตนเองทำอะไรน่าเกลียด นางวางกล่องหยกลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า
“นี่เป็นของที่อาจารย์เจ้ามอบให้เจ้า ข้าเอามาให้แล้ว เจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องต่อไปเถอะ ร้องไห้ให้พอแล้วค่อยมาถามข้าว่าของสิ่งนี้ใช้ทำสิ่งใด”
ถังเฉียนลุกขึ้น เดินมาที่กล่องใบนั้น มองดูแล้วถาม
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าบอกมาเถอะ นี่คือสิ่งใด”
เถิงเสวี่ยใช้อินทรีเทพของเผ่าอินทรีเงินช่วยส่งกล่องหยกหิมะซึ่งใส่เครื่องหอมเสวี่ยหนิงเซียง มาจากเผ่าพีส่า ให้นางไว้ใช้เวลานั่งสมาธิ แต่คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวจินจะชอบเครื่องหอมนั่น แล้วเข้าไปอยู่ในกล่อง กล่องหยกหิมะจึงกลายเป็นบ้านของมัน และทุกวันก็ยังชอบหันก้นใส่ถังเฉียน ความขุ่นเคืองที่ตอนนั้นนางไม่ยอมให้มันกิน จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลืม
เจ้าตัวน้อยหลับไปนานแล้ว ถ้าไม่ขอร้อง มันจะไม่พูดกับถังเฉียนแม้แต่คำเดียว หรือพอเรียกให้ออกมาพบนาง ก็ทำท่าเหมือนไม่ยอมไปมาหาสู่ด้วยเด็ดขาด
กล่องหิมะหยกมีกลิ่นจางๆ ไม่มีสลักปิด เสี่ยวจินจึงไม่กลัวว่าจะถูกขังไว้ จึงเข้าไปอยู่อย่างร่าเริง
ถังเฉียนมองฮว่าเหยียนเดินออกไปจากห้อง แล้วทอดสายตามายังเครื่องหอมเสวี่ยหนิงเซียง นางรู้สึกแปลกใจ ของอย่างนี้อาจารย์ย่อมมีติดตัวอยู่แล้ว เหตุใดต้องรอจนกลับไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วจึงค่อยส่งมาให้นาง เรื่องนี้น่าแปลกมาก
แต่นางไม่มีเวลามาคิดมาก สองสามวันนี้นางรู้แล้วว่าบิดาไม่ตาย จึงทำให้สภาพจิตใจของนางดีขึ้นมาก ในใจไม่ได้ทุกข์ร้อนหวาดวิตกอย่างเคยแล้ว
ทั้งนางยังได้พบกับน้องสาว บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น แต่นางยังคงเป็นห่วงฉู่จิ่งเหยา นางรู้สึกว่าถงถงเอ๋อร์กับพวกประเมินฉู่จิ่งเหยาต่ำเกินไป เขาไม่ง่ายอย่างที่คนเหล่านี้คิด
อย่างเช่นถังเวย ฉู่จิ่งเหยาไม่ได้เอ่ยถึงความสงสัยของเขา บางทีอาจเพราะเขาไม่อยากที่จะทดสอบแล้ว
เนื่องจากนางไม่อาจลืมแววตาที่ฉู่จิ่งเหยามองนางในคืนพิธีอัญเชิญเทพ ราวกับมองทะลุปรุโปร่งนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดออกมาเท่านั้นเอง
ถังเฉียนจ้องมองเสวี่ยหนิงเซียง ยังไม่ทันที่นางจะมองออกว่าเป็นอย่างไร เจิ้งจยาเฉิงที่ไม่ได้พบกันนานแล้ว ก็เข้ามาในเรือนหานต้าน ระยะนี้ถังเฉียนต้องพักฟื้นอยู่ที่นี่ ฉู่จิ่งเหยาจึงห้ามไม่ให้ใครมารบกวน แต่ขณะนี้นางหายป่วยแล้ว เขาจึงกล้าที่จะเข้ามา
แต่ครั้งนี้แปลกมาก เขาไม่ได้มาเพราะฉู่จิ่งเหยา แต่กลับมาเพราะซูซินเหลียน
ตอนที่ 162 มีผีจริงๆ
ที่แท้หลังจากที่ซูซินเหลียนเป็นบ้า ฉู่จิ่งเหยาได้ให้หมอมาตรวจอาการนางหลายครั้งแล้ว แต่ทุกคนก็พูดกันไปแทบทุกอย่าง บางคนบอกว่าซูซินเหลียนแกล้งป่วย บางคนบอกว่าถูกผีสิง เดิมทีนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร แต่สองสามวันนี้นางอาละวาดอีกแล้ว บอกว่าในห้องมีผีสาวตัวหนึ่ง คอยร้องไห้อยู่ข้างหูนาง
ถังเฉียนได้ยินเรื่องที่เหลวไหลเช่นนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ หรือนางคิดว่าเสียงร้องไห้ของถังเวยเป็นเสียงผีร้องไห้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างที่นางคิดหรือไม่ ถังเฉียนก็ถูกเชิญให้ไปตรวจรักษาอาการป่วยของซูซินเหลียนอีกครั้ง เสี่ยวจินพักผ่อนอยู่ในกล่องหยกหิมะ ครั้งนี้ซูซินเหลียนไม่ได้สร้างความลำบากให้ถังเฉียน ดูเหมือนนางจะป่วยจริงๆ ใบหน้าขาวซีด ร่างกายผอมโซ ท่าทางเหมือนป่วยหนัก
ถังเฉียนแปลกใจมาก เหตุใดคนที่มาขอให้นางช่วยกลับเป็นเจิ้งจยาเฉิง ไม่ใช่จื่อเย่ว์ เรื่องในเรือนในนั้นจื่อเย่ว์คอยจัดการตลอดมาไม่ใช่หรือ
เจิ้งจยาเฉิงไม่ได้อธิบายสิ่งใด เมื่อพาคนมาส่งแล้วก็ผละไป
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ข้าบอกพวกเขาว่าในห้องนี้มีผี แต่กลับไม่มีใครเชื่อ ข้าไม่อยากพักที่นี่แล้ว ให้ข้าไปอาศัยอยู่กับเจ้าได้หรือไม่”
ถังเฉียนฟังที่นางพูดแล้วมองดูถังเวยซึ่งอยู่ข้างๆ พลางพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“คืนนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าคืนหนึ่ง ดูว่ามีผีจริงอย่างที่ว่าหรือไม่ เจ้าไม่ต้องกลัว หากมีผีจริง ข้าจะช่วยเจ้าจับผีเอง”
ถังเฉียนพูดจบ ก็กวักมือเรียกถังเวย แล้วบอกว่า
“คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่ได้หรือไม่”
เดิมถังเวยเห็นถังเฉียนมาที่นี่ก็คอยหลบอยู่ห่างๆ พอเห็นนางกวักมือเรียกก็วิ่งหนีหายไป ถังเฉียนจนปัญญา ได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นก็พูดคุยกับซูซินเหลียน แล้วบอกอาห่าวให้ไปเอาหนังสือมาให้ นางจึงนั่งอ่านหนังสือที่นี่ รอการมาถึงของค่ำคืนอย่างเงียบๆ
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือต้นหลิ่ว แสงเทียนวูบไหวไปมา ถังเฉียนรู้สึกปวดตาเล็กน้อย จึงปิดหนังสือลง แล้วมองดูซูซินเหลียนที่นั่งขดตัวอยู่ที่มุมห้องด้วยความหวาดกลัว ถังเฉียนจึงลุกขึ้น เดินมาใกล้ๆ นาง หมายจะพูดปลอบนาง แต่ชั่วพริบตานั่นเองแสงเทียนเล่มสุดท้ายก็ถูกลมพัดดับลง อ่างน้ำเล็กๆ หน้าห้องรองรับ แสงพระจันทร์สาดส่องสะท้อนเข้ามาในห้อง แสงนวลเย็นตา
“เจ้าดูสิ นางมาแล้ว นางมาแล้ว อย่าฆ่าข้านะ”
ถังเฉียนมองดูรอบๆ เมื่อครู่มีลมพัดมาจริง น่าแปลก นางยื่นมือไปล้วงแท่งเชื้อไฟ เป่าเบาๆ ให้ไฟติด แล้วจุดเทียนใหม่ ใช้ผ่ามือป้องเปลวเทียนไว้ แล้วค่อยๆ เดิมมาหาซูซินเหลียน
“ไม่ต้องกลัว ก็แค่ลมพัดเทียนดับ ข้าจุดใหม่ให้แล้ว”
ถังเฉียนตั้งเทียนไขไว้ระหว่างนางกับซูซินเหลียน นั่งลงในห้องกับนาง ทั้งสองต่างมองหน้ากัน ถังเฉียนยื่นมือไปแตะนางพลางพูดปลอบ
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก”
ซูซินเหลียนเห็นท่าทางสงบนิ่งของถังเฉียนก็ถอนหายใจยาว แล้วเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น มีรอยยิ้มที่มุมปากถังเฉียน นางถอดหน้ากากออก แต่ยังมีผ้าแพรคลุมใบหน้า นางไม่อยากเผชิญหน้ากับถังเวยตรงๆ เวลานี้ทำเช่นนี้ก็คงไม่ทำให้นางตกใจ
ถังเฉียนเพิ่งพูดจบ เทียนตรงหน้าถูกเป่าดับโดยตรง ถังเฉียนรู้สึกว่ารอบๆ เย็นยะเยือกลง นางหันมามองพบว่ามีเงาดำค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ซูซินเหลียนซบศีรษเข้าในอ้อมอกถังเฉียน หวีดร้องจนถังเฉียนแสบแก้วหู
“หรือว่าโลกนี้จะมีผีจริงๆ”
ถังเฉียนดึงซูซินเหลียนแล้วยืนขึ้นพูดว่า
“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดู…”
ถังเฉียนเตรียมจะเดินไป แต่ซูซินเหลียนดึงรั้งแขนนางไว้แน่น จนสลัดไม่หลุด จึงจำเป็นต้องลากนางไปด้วย แต่ซูซินเหลียนให้ตายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน เอาแต่ตะโกนเสียงดังว่ามีผี ถังเฉียนเห็นเงาดำนั่นเดินผ่านหน้าประตูไป จากนั้นก็มีเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังแว่วมา เสียงโหยหวนโศกเศร้า ท่ามกลางความมืดยามค่ำคืนฟังดูน่ากลัวจริงๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางรับพรศักดิ์สิทธิ์จากเถิงเฟิงหรือไม่ นางกลับไม่รู้สึกหวาดกลัวอย่างเมื่อก่อน เหมือนคำกล่าวที่ว่าถ้าเป็นคนตรงก็ไม่กลัวผีสาง
ตอนที่ 163 จับผี
ลำบากแทบแย่กว่าที่ถังเฉียนจะดึงซูซินเหลียนออกมาจากห้องได้เสียงร้องไห้ข้างนอกยังดังอยู่ ลมพัดผ่านกิ่งไม้ เงาของต้นไม้สั่นไหว
“ที่นี่ดูน่ากลัวเสียจริง เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
ถังเฉียนได้ยินซูซินเหลียนพูด เพียงแต่จับชายเสื้อของนางไว้ แล้วพานางไปตามทิศทางของเสียงร้องไห้
“ไปจากที่นี่น่ะง่ายหรอก แต่เราจะจับผีได้อย่างไร”
ซูซินเหลียนได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจจนแทบลมจับ พวกนางมีฝีมืออะไรที่จะไปจับผีกัน
“จับผี ไม่ไม่ ไม่ไหว ข้าทำไม่ได้”
ถังเฉียนกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับนาง จึงให้นางอยู่ข้างๆ ตนเองจะปลอดภัยกว่า จึงฝืนลากนางไปด้วย พร้อมกับพูดเตือนว่า
“หากเจ้าไม่ไปกับข้า ก็จะทิ้งให้อยู่ที่ตามลำพัง แต่อยู่ที่นี่จะเจออะไรบ้างข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกนะ”
แม้ซูซินเหวียนจะหวาดกลัว แต่จะกลัวยิ่งกว่าหากต้องอยู่คนเดียวในสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องตามถังเฉียนไป เรือนหลังนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่มีภูเขาเทียม มีศาลาเล็ก ถังเฉียนถือโคมไฟเดินตามโถงทางเดินตรงไปข้างหน้า
“ดูนั่นสิ!”
ซูซินเหลียนชี้ไปข้างหน้าพลางร้องออกมา แล้วดึงตัวถังเฉียน หลบมาอยู่ข้างๆ นางเงยหน้าขึ้นมอง เห็นตรงนั้นมีเงาสีขาววาบผ่านไป
นั่นคนหรือผีกันแน่ นางอยากจะจับมาดูให้รู้แน่ชัด แต่เมื่อหนีคน ก็แสดงว่ากลัวพวกนาง
ถังเฉียนรู้สึกว่าการพานางมาด้วยนั้นเป็นภาระมาก แต่หากวันนี้ไม่จัดการเรื่องนี้ให้จบ วันหลังนางก็คงยังหวาดวิตกเช่นนี้อีก เดิมทีร่างกายนางก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว หากเกิดต้องเสียชีวิตเพราะเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
“อย่ากลัว ข้าเห็นเงาสีขาวนั่นแล้ว แต่มันหลบเราไป แสดงว่ามันกลัวเรา ไป เราไปดูโฉมหน้าที่แท้จริงของมันกันว่าเป็นอย่างไร”
คำพูดถังเฉียนทำให้ซูซินเหลียนใจกล้าขึ้นบ้าง นางเกาะมือถังเฉียนแน่น และตามนางไป ค่อยๆ ขยับเข้าหาเงาสีขาวนั่น ถังเฉียนกวาดตาดูรอบๆ เงาสีขาวนั่นเป็นแค่ผ้าขาวผืนหนึ่ง ในเวลากลางคืนถูกแสงไฟจะดูน่ากลัว
“ดูสิ ก็แค่ผ้าผืนหนึ่งเท่านั้น”
ถังเฉียนหยิบผ้าผืนนั้นยื่นให้ซูซินเหลียน นางดูผ้าผืนนั้น แล้วจู่ๆ ก็เชิดหน้าขึ้น
“หึ ที่แท้ก็วางแผนปลอมเป็นผีหลอกคนนั่นเอง ข้าเคยดูละครย้อนยุคชิงดีชิงเด่นในวังหลวง ไม่ถึงพันเรื่องก็แปดร้อยเรื่องแหละ ยังจะกลัวคนโบราณอย่างพวกเจ้าหรือ”
ถังเฉียนไม่รู้ว่าจู่ๆ เหตุใดนางจึงพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าโรคเก่ากำเริบหรือไร แต่ก็มีข้อดี เพราะนางเป็นฝ่ายบอกให้ถังเฉียนซ่อนอยู่ที่มุมหนึ่ง นางจะวิ่งออกไปล่อ ให้ถังเฉียนคอยจับผีจากข้างหลัง
“เจ้าไม่กลัวแล้วหรือ”
ถังเฉียนแปลกใจ เหตุใดนางเปลี่ยนไปเร็วนัก หรือว่าสมองนางจะมีปัญหาจริงๆ มีคนบอกว่าคนบ้านั้นไม่กลัวแม้แต่ความตาย
“จะกลัวอะไร อุบายตื้นๆ เช่นนี้ มีแต่ละครย้อนยุคที่เก่ามากถึงจะเขียนแบบนี้”
“เอาเถอะ เอาเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ขอเพียงเจ้าไม่กลัวแล้ว เราก็ลงมือทำตามแผนต่อ”
ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใด แต่เห็นนางสติชัดเจนเช่นนี้ก็น่าเชื่อถือ ทั้งสองจึงลงมือ ถังเฉียนไปซ่อนอยู่หลังภูเขาเทียม แล้วเห็นซูซินเหลียนแกล้งทำท่าหวาดกลัววิ่งออกไป แล้วทำเป็นสะดุดล้มลงบนพื้น แล้วเป็นไปตามคาด เงาสีขาวนั้นวิ่งผ่านปลายสุดของโถงทางเดิน จากนั้นก็ได้ยินเสียงผีร้องไห้เป็นพักๆ นางมองดูซูซินเหลียนที่แกล้งทำเป็นเซ่อซ่า ส่วนนางค่อยๆ ขยับไปที่ปลายสุดของโถงทางเดิน
“เฮ้ย!”
ถังเฉียนอยู่หลังเสาสีแดง เห็นคนใส่หน้ากากผี จึงยื่นมือออกไปแตะไหล่คนผู้นั้นเบาๆ พอเขาหันมาก็ชกใส่จนล้มลงหมดสติ ถังเฉียนตรงเข้ามาถอดหน้ากากออก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นนาง
ตอนที่ 164 คนบงการหลังฉาก
“เวยเอ๋อร์”
คนที่ปลอมเป็นผีปรากฏว่าเป็นถังเวย ถังเฉียนไม่เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือนาง นางก็แค่เด็กหญิงที่มารับใช้ซูซินเหลียน เหตุใดจึงจึงต้องหลอกนางด้วย แม้ในใจจะมีข้อสงสัยมากมายแต่พอเห็นซูซินเหลียนเข้ามาใกล้ ถังเฉียนก็อุ้มถังเวยซ่อนไว้
“คนเล่า อยู่ที่ใด”
ซูซินเหลียนมาถึงแต่ไม่เห็นใคร จึงรู้สึกแปลกใจมาก ถังเฉียนบอกว่า
“จับตัวไม่ได้ เจ้านั่นลื่นอย่างกับปลาไหล ข้าเอาชนะเขาไม่ได้”
“โธ่เอ๊ย จะทำอย่างไรดี เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า ถ้าพรุ่งนี้เขามาอีก ข้าจะทำอย่างไร ข้าไม่รู้แล้ว เจ้าต้องช่วยข้าจัดการเรื่องนี้”
ถังเฉียนได้ยินนางมีท่าทีเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ก็อดถามไม่ได้
“ซูซินเหลียน ท่าทีเจ้าก่อนนี้กับตอนนี้เปลี่ยนไปมากเหลือเกิน เจ้ายังสบายดีหรือไม่”
ซูซินเหลียนมองถังเฉียนด้วยแววตาที่แปลกใจมาก แล้วพูดว่า
“ข้าคือซูซิน ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าเป็นคนที่มาจากโลกอื่น โลกนี้จะมีผีได้อย่างไร จะต้องมีคนแกล้งทำผีมาหลอก ให้จับได้เถอะ จะตีให้หัวแบะเลย”
ถังเฉียนได้ฟังก็หัวเราะ คนหนึ่งกลัวจนตัวสั่น ต้องถูลู่ถูกังกว่าจะยอมออกมา ส่วนอีกคนดูเหมือนจะทำตัวกล้าหาญชาญชัยอยากจะจับผีเสียให้ได้ การเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฝ่ามือเช่นนี้ชวนให้สับสน ณ ตอนนี้ถังเฉียนยังไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ที่นางเป็นอย่างนี้ดูเหมือนป้ำๆ เป๋อๆ
“ช่างเถอะ คืนนี้คาดว่าคงจับตัวไม่ได้แล้ว ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้า”
ซูซินมองซ้ายขวาแล้วพูดว่า
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงของจวนนี้ เจ้าบอกข้าหน่อย ในจวนนี้ผู้หญิงคนไหนบ้างที่ชอบสามีข้า”
“สามีคือ…”
ถังเฉียนรู้สึกว่านางพูดจาแปลกมาก แต่ก็รู้สึกว่าซูซินผู้นี้น่าสนใจมาก พูดจาโผงผางและกล้ามาก
“ก็คือผัวไง ใช้ชีวิตด้วยกัน คนที่จึ้กๆกับข้า…แฮ่ๆ…”
“ก็คือผู้ชายที่นอนเตียงเดียวกับข้าอย่างไรเล่า”
ถังเฉียนฟังที่นางพูดก็ชักหน้าแดง แต่ก็ยิ้มอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหมายถึงจินซิวอ๋องใช่หรือไม่ เขามีพระชายารองคือเจ้าเพียงคนเดียว ไม่มีสนมอื่นอีก”
ถังเฉียนเม้มปากแน่น นางต้องซ่อนถังเวยไว้ ไม่เช่นนั้นถ้าเรื่องเปิดเผยออกมา ไม่รู้ว่าถังเวยจะถูกโบยหรือถูกไล่ออกจากจวน ไม่ว่าจะอย่างไร นางล้วนไม่อยากให้เกิดผลเช่นนั้น
“ไม่มีคนอื่น เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่เข้าสูตรกับการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันในวัง จะต้องมีนางคนนั้นมีนางคนนี้ออกมาคอยก่อกวน ไม่ยอมให้เราสองคนอยู่กันดีๆ”
เฮ้อ…ถังเฉียนไม่รู้จะอธิบายเช่นไร แต่นางก็ยังเลือกที่จะดึงซูซินกลับมาที่ห้อง จากนั้นก็ค่อยรับฟังความคิดประหลาดของนาง
ถังเฉียนลำบากแทบแย่กว่าจะกล่อมให้ซูซินนอนหลับ ยังจุดกำยานสงบจิตไว้ในห้อง จากนั้นก็แอบออกมา ไปที่โถงทางเดินนั่นแล้วปลุกถังเวยที่สลบอยู่
“ท่าน ท่านหมอ…”
ถังเวยกลัวมาก พอเห็นถังเฉียนก็กอดแขนตัวเองตัวสั่นระริก ถังเฉียนดึงถังเวยกลับมาที่ห้องของนาง
“บอกมา เหตุใดต้องแกล้งทำเป็นผีหลอกให้ซูซินเหลียนกลัว นี่เป็นความคิดเจ้าหรือแม่นางจื่อเย่ว์ หรือคนอื่น”
ถังเวยหลบอยู่ที่มุมห้องด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองถังเฉียน ร่างสั่นเทา
“ไม่ต้องกลัวหรอก หากข้าคิดจะทำอะไรเจ้า ตอนที่จับเจ้าได้ก็ส่งตัวเจ้าไปก็ได้แล้ว”
ถังเฉียนขยับเข้าไปใกล้ถังเวย จับแขนนางเบาๆ ขยับเข้าใกล้ทีละนิด ทำให้ถังเวยรู้สึกว่าปลอดภัย
ตอนที่ 165 ไม่กล้าพูด
ถังเฉียนถามนางสองรอบ แต่ถังเวยได้แต่ตัวสั่น ไม่กล้าพูดกับนาง พอร้อนใจก็ร้องไห้ ถังเฉียนรู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่ ในเมื่อคนคนนี้ต้องการให้ถังเวยทำเรื่องให้ ย่อมต้องเผยพิรุธออกมาบ้าง
“ในเมื่อเจ้าไม่ออกมา ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปหาเจ้าเอง”
ถังเฉียนไม่อยู่รอที่เรือนเซียงหาน แต่ไปหาจื่อเย่ว์โดยตรง ในที่นี้คนที่สามารถคิดและทำเรื่องนี้ได้ ถังเฉียนนึกถึงนางเพียงคนเดียว เวลานี้จื่อเย่ว์นอนหลับนานแล้ว ตะเกียงในห้องดับไปแล้ว
ก๊อกก๊อกก๊อก
ถังเฉียนเคาะประตู มีเสียงผู้หญิงร้องถามดังขึ้นในห้อง ถังเฉียนตอบคำหนึ่ง ประตูจึงเปิดออกอย่างรวดเร็ว
“ท่านหมอ ดึกเช่นนี้มีเรื่องใดหรือ”
ถังเฉียนมองคนที่กำลังบิดขี้เกียจ แต่เสื้อผ้าที่นางใส่อยู่ยังดูเรียบร้อย ถังเฉียนเดินมาที่เตียงแล้วคลำผ้าปูเตียง จากนั้นจึงยิ้มแล้วว่า
“เพิ่งนอนหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าเพิ่งกลับมาจากทางท่านอ๋อง เพิ่งเข้านอน ระยะนี้ท่านอ๋องไม่ชอบให้ใครคอยรับใช้ตอนกลางคืน จึงให้ข้าแยกออกมาพัก”
นางฟังคำอธิบายก็หันมา มองดูจื่อเย่ว์ด้วยดวงตาที่ล้ำลึก เมื่อสายตาจื่อเย่ว์ประสานกับถังเฉียนก็ก้มหน้าลงทันที
“เมื่อครู่ข้าไปช่วยพระชายารองจับผี ทายดูซิว่าข้าจับใครได้”
จื่อเย่ว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าบิดชายเสื้อยิ่งชัดเจนขึ้น แสดงว่าใจนางกำลังว้าวุ่น
“ฮุ่ยฮุ่ยบอกว่า ถ้าข้ามีปัญหาอะไรก็ให้มาถามแม่นางจื่อเย่ว์ เจ้าว่า ข้าควรจะอธิบายกับพระชายารองอย่างไร จะอธิบายกับท่านอ๋องอย่างไร”
จื่อเย่ว์ได้ยินเช่นนั้นก็คุกเข่าลงทันที นางดึงกระโปรงถังเฉียนแล้วพูดว่า
“ท่านหมอโปรดไว้ชีวิตด้วย บ่าวแค่เป็นห่วงว่าซูซินเหลียนจะทำให้งานใหญ่ของท่านอ๋องเสียหาย ท่านคงไม่รู้ว่าทางเจาหยางมีข่าวว่าจะให้ซูซินเหลียนกลับไป เวลานี้นางป้ำๆ เป๋อๆ กลับไปแล้วไม่รู้ว่าจะพูดอะไรบ้าง ถึงตอนนั้นถ้าฝ่าพระบาททรงกริ้ว ท่านอ๋องของเราก็ยากจะฟื้นกลับมาได้ สู้…”
ถังเฉียนเห็นว่าจื่อเย่ว์ไม่อาจพูดต่อให้จบ จึงเป็นฝ่ายพูดแทนนาง
“สู้ฆ่านางเลยจะดีกว่า ถึงตอนนั้นก็แค่โยนความผิดมาให้เผ่าหมอผีเรา หมอผีทำตัวแปลกๆ โดยเฉพาะแม่ข้ามอบยาที่ใช้สังหารคนได้ให้แก่เจ้า”
เมื่อถังเฉียนพูดจบ จื่อเย่ว์ก็รู้ว่าปิดเรื่องนี้ไม่อยู่แล้ว
“ท่านหมอ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าสติเลอะเลือนไป วันหลังข้าไม่กล้าทำอีกแล้ว ได้โปรดอย่าบอกท่านอ๋อง ท่านอ๋องเป็นคนที่มีจิตใจดี เพราะจิตใจดีจึงมักถูกผู้อื่นให้ร้าย ข้าแค่ไม่อยากให้ใครทำร้ายท่านอ๋องได้ก็เท่านั้น”
ถังเฉียนคร้านที่จะฟังคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เหล่านี้ เพียงแต่ถามว่า
“เจ้าบอกกับฮุ่ยฮุ่ยอย่างไร เหตุใดนางถึงเชื่อฟังเจ้า ทั้งยังปลอมเป็นผีไปหลอกพระชายารองจริงๆ”
จื่อเย่วชะงัก ท่าทางเหมือนไม่กล้าพูด ถังเฉียนร้องหึ นางทำท่าจะผละไป จื่อเย่ว์จึงรีบบอกทันที
“เป็นท่านหมอฮว่าเหยียน นางให้ยาที่ทำให้คนอื่นยอมเชื่อฟัง เพียงแต่…เพียงแต่เหตุใดท่านหมอถึงรู้ว่าข้าเป็นคนทำ”
ถังเฉียนคาดแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จื่อเย่ว์คนเดียวทำไม่ได้เด็ดขาด นางถอนหายใจแล้วพูดว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครมาตามข้าให้ไปรักษาซูซินเหลียน เจิ้งจยาเฉิง! นี่แสดงว่าท่านอ๋องรู้ว่าเจ้าทำอะไรลับหลังตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่อยากพูดออกมาอย่างเปิดเผย หวังว่าเจ้าจะรู้จักจัดการด้วยตัวเอง ในเมื่อเจ้าพูดออกมาหมดแล้ว เช่นนั้นขอให้ยุติเรื่องนี้ลงเพียงเท่านี้ หากวันหลังถ้าเจ้าจะทำร้ายซูซินเหลียนอีก ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ท่านอ๋องก็ย่อมรู้เอง”
ถังเฉียนออกมาจากห้องนาง ที่จริงคำพูดนางฟังไม่ขึ้น แต่มีจุดหนึ่งที่นางพูดไม่ผิด นั่นคือฉู่จิ่งเหยารู้นานแล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจื่อเย่ว์ เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
ตอนที่ 166 จวนอ๋องเต็มไปด้วยอันตราย
ถังเฉียนออกมาจากห้องจื่อเย่ว์ นางหวังว่าจื่อเย่ว์จะยอมถอยเมื่อเจออุปสรรค นางบอกว่าเพื่อฉู่จิ่งเหยาก็จริง แต่ถังเฉียนเข้าใจดี ที่จริงแล้วนางวิตกว่าซูซินเหลียนจะคุกคามสถานะของนาง
วุ่นวายมาทั้งคืน สุดท้ายเรื่องนี้ก็วกมาหาตนเอง ก็คาดเดาได้ไม่ยากนัก ที่ฮว่าเหยียนทำเรื่องนี้ก็เพื่อช่วยจื่อเย่ว์กำจัดซูซินเหลียน ทั้งยังฉวยโอกาสพาถังเวยเข้ามา หลังจากเสร็จเรื่องนี้ซูซินเหลียนคงไม่สามารถอยู่ในจวนอ๋องต่อไปได้ ก็จะไม่เป็นภัยต่อถังเฉียนอีก
จวนอ๋องเต็มไปด้วยอันตราย ต่างคนต่างมีแผนการของตนเอง
ถังเฉียนคิดถึงตรงนี้ก็เพียงมองดูห้องของฮว่าเหยียนแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก คิดว่าพรุ่งนี้เช้าจื่อเย่ว์คงถ่ายทอดคำพูดนางให้ฮว่าเหยียนรู้
หลายวันนี้หากถังเฉียนว่างก็มักจะแวะเวียนมาที่เรือนเซียงหาน ไปหาถังเวยเพื่อพูดคุยด้วย หาเสื้อผ้าสวยๆ ให้ใส่ และขนมอร่อยๆ มาให้
ถังเฉียนค่อยๆ เข้าหาน้องสาว ทำให้นางเลิกกลัวตนเอง คุยกับนางบ่อยๆ ไม่ให้นางรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย แต่ยิ่งถังเฉียนมาที่เรือนเซียงหานนานเข้า ก็ยิ่งรู้สึกว่าซูซินเหลียนนั้นผิดปกติจริงๆ ในร่างนางเหมือนมีสองคนอาศัยอยู่ คนหนึ่งคือซูซินเหลียนที่ขี้ขลาด อีกคนคือซูซินที่แปลกพิลึก
“พระชายารองช่างแปลกจริงๆ เมื่อวานให้ข้าเทน้ำหอมดอกมะลิให้ วันนี้กลับบอกว่าไม่ชอบกลิ่นมะลิ หรือนางไม่ชอบข้า”
แม้แต่ถังเวยก็รู้ปัญหานี้ ถึงนางจะพูดติดอ่างบ้าง แต่ถังเฉียนให้นางกินสมุนไพรสงบประสาท ปกติทั้งยังช่วยฝังเข็มเพื่อรักษาอาการทางประสาท แต่โรคนี้นั้นรักษาหายยาก ทำให้นางขาดความมั่นใจ อ่านตำราแพทย์หลายเล่ม สอบถามหลายคน ก็ยังคงไม่ได้เข้าใจขนาดนั้น
หลายวันก่อนมีคนมอบเครื่องหอมเสวี่ยหนิงเซียงให้นาง เพื่อช่วยรวบรวมสมาธิ แต่น่าเสียดายที่นางยังไม่ได้ใช้ ของที่เถิงเสวี่ยให้นางไว้ยังมีอีกมาก แต่กลับทำให้คนที่รอให้นางจุดเครื่องหอมต้องลำบาก หาคนช่วยพาเข้ามาดิบดี นั่งรออยู่ข้างนอกหลายวันก็ยังไม่ได้ดมกลิ่นเครื่องหอม สุดท้ายจนปัญญาจึงเข้ามาโดยไม่รับเชิญ เดินเข้าประตูใหญ่จวนจินซิวอ๋อง
ถังเฉียนเพิ่งฝึกกระบี่กับฉู่จิ่งเหยาเสร็จ เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ ยังไม่ทันจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ถูกเจิ้งจยาเฉิงพาคนจากเผ่าพีส่ามาขวางไว้ในห้องหนังสือ
“ผู้น้อยเค่ออี้ เป็นคนรับใช้ของท่านทวด ท่านทวดบอกว่าคุณหนูอาหรูน่าได้รับพรศักดิ์สิทธิ์จากคุณชายเถิงเฟิง จึงส่งผู้น้อยมา ให้พาคุณหนูอาหรูน่าไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์เพื่อพบท่านผู้อาวุโส หากแต่ได้ยินว่าอาการป่วยของท่านอ๋องยังต้องให้คุณหนูอาหรูน่าเป็นคนช่วยรักษา จึงตั้งใจมาสอบถามว่าอาการป่วยของท่านอ๋องว่าหายดีหรือยัง ผู้น้อยจะได้กลับไปรายงานได้”
เค่ออี้ค้อมคารวะฉู่จิ่งเหยา แม้จะเป็นเพียงคนรับใช้ แต่ก็มีหน้าตาท่าทางหยิ่งผยอง ถังเฉียนได้ยินว่าเป็นคนของบ้านเถิงเฟิง ในใจนางพอมีภาพประทับเกี่ยวกับท่านทวดอยู่บ้าง เพราะเถิงเฟิงเคยบอกนางว่าท่านทวดรักและเอ็นดูเขาที่สุด มักจะให้ของที่ดีที่สุดแก่เขาเสมอ แต่สองสามปีมานี้สุขภาพท่านทวดไม่สู้ดีนัก ไม่เช่นนั้นท่านชอบท่องเที่ยวยังที่ต่างๆ อย่างที่สุด
“ท่านทวดสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ข้ามาที่นี่ ได้ยินนานแล้วว่าท่านผู้อาวุโสเป็นคนที่อายุยืนยาว คิดอยากหาเวลาไปเยี่ยมคารวะ แต่เพราะที่หล่งชวนงานยุ่งมาก ไข้ป่าระบาดก็เพิ่งผ่านไป ใกล้การเก็บเกี่ยวสารทฤดูแล้ว จึงไม่อาจปลีกตัวได้จริงๆ อาหรูน่าเป็นแขกคนสำคัญของจวนอ๋อง ไม่เคยมีข้อจำกัดใดใด หากนางอยากไปก็ไปได้เลย แต่ถ้านางไม่อยากไป ทุกท่านก็อย่าทำให้นางลำบากใจต่อหน้าข้าเลย”
หลังจากทุกคนฟังคำพูดฉู่จิ่งเหยาแล้วต่างมีรอยยิ้มด้วยความแปลกใจ มีเพียงเค่ออี้ที่พูดตอบ
“ท่านอ๋องคงไม่รู้ฐานะในเวลานี้ของคุณหนูอาหรูน่าในเผ่าพีส่า นางเป็นว่าที่ฮูหยินของหัวหน้าผู้บวงสรวงในอนาคตของเผ่าพีส่า ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าข่มเหงนาง ไม่กล้าทำให้นางไม่พอใจ ถ้าคนรอบข้างจะรังแกนาง พวกเราจะเป็นคนแรกที่จะขัดขวาง”
ตอนที่ 167 สภาพเถิงเฟิงระยะนี้
ถังเฉียนได้ยินที่เค่ออี้พูดก็รู้สึกตื้นตันใจมาก นางขยับปากแต่ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เค่ออี้หันมาทางนาง ค้อมคารวะแล้วพูดว่า
“คุณหนูอาหรูน่า คุณชายเถิงเฟิงคิดถึงท่านมาก ก่อนหน้านี้คุณหนูป่วยได้รับบาดเจ็บ เขาใช้วิชาลับเพื่อช่วยท่าน ตอนที่เราออกจากเขาศักดิ์สิทธิ์ เขายังคงสลบไม่ฟื้น ท่านผู้อาวุโสจึงอยากเชิญคุณหนูอาหรูน่าไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์ ข้อแรกเพราะผู้อาวุโสในครอบครัวอยากพบท่าน ข้อสองหวังว่าท่านจะสามารถปลุกให้คุณชายเถิงเฟิงฟื้นขึ้นมาได้”
คำพูดเค่ออี้นั้นไม่มีช่องโหว่ ถึงถังเฉียนอยากปฏิเสธก็ไม่มีโอกาส แต่ทำให้นางฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันที ตอนที่นางป่วยหนัก จู่ๆ ก็ฝันยาวมากแล้วก็หายป่วย เวลานี้เมื่อได้ฟังที่เค่ออี้พูดจึงไขข้อสงสัยในใจนางได้ ที่แท้เป็นเถิงเฟิงที่ช่วยชีวิตนาง แต่เขาศักดิ์สิทธิ์…
นางยังไม่ได้เตรียมพร้อมเลย
“เหตุใดจู่ๆ เถิงเฟิงก็สลบไป เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกเลย ไม่ใช่ว่าเราสองคน…”
ถังเฉียนแปลกใจมาก หากเถิงเฟิงป่วยหนักขนาดนั้น ถ้าตามที่เถิงเสวี่ยบอก ตนเองก็ควรช่วยแบ่งปันอาการป่วยกับเขาไม่ใช่หรือ เหตุใดตนจึงไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูอาหรูน่า นี่เป็นวิชาลับของเผ่าพีส่าเรา ทั้งเป็นพรและเป็นการคุ้มครอง”
สายตาเค่ออี้ชำเลืองมองฉู่จิ่งเหยา ความหมายก็คือเขามีคำพูดมากมายที่ไม่สะดวกจะกล่าวต่อหน้าฉู่จิ่งเหยา ถังเฉียนจึงเชิญพวกเขาไปยังเรือนหานต้านของตน หลังจากพุดคุยถึงความเป็นมาแล้ว ถังเฉียนจึงเลิกลังเล
“ได้ ข้าจะไป”
“ไปไม่ได้”
ถังเฉียนเพิ่งตกลง คิดไม่ถึงว่าฮว่าเหยียนจะถึงกับบุกเข้ามา พอมาถึงก็ขัดขวางการตัดสินใจของนาง ฮว่าเหยียนถอดหน้ากากออก หันมามองเค่ออี้ สีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านนี้คงเป็นฮว่าเหยียนสิ เรารับคำสั่งมาจากท่านอาวุโส…”
ฮว่าเหยียนยื่นมือไปห้ามไม่ให้ถังเฉียนพูด กดให้นางนั่งลงบนม้านั่ง ส่วนตัวนางเดินไปตรงหน้าเค่ออี้แล้วพูดว่า
“ไม่ต้องบอกหรอกว่ารับคำสั่งจากผู้ใดมา พวกเจ้ามาครั้งนี้จะเอาสินสอดมาให้หรือมาถามฤกษ์ยาม แม้จะบอกว่าสองคนนี้ไม่ได้ขออนุญาตทางจากทางผู้ใหญ่ คนหนึ่งมอบพรให้โดยพลการ อีกคนรับไว้โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าทำอะไรเกินเลย อาหรูน่ามาจากครอบครัวที่มีฐานะและชื่อเสียง สืบทอดมานานนับร้อยปี ไม่มีเหตุผลที่อยู่ดีๆ ก็จะพาตัวไป”
เค่ออี้ได้ยินเช่นนี้ก็พูดทันที
“ท่านหมอฮว่าเหยียนเข้าใจผิดแล้ว ท่านเองน่าจะรู้ดี คนหนึ่งมอบให้อีกคนรับไว้ก็เท่ากับหมั้นหมายกันแล้ว เพียงแต่เวลานี้เจ้านายทั้งสองยังเยาว์นัก ที่พบปะกันผลัดกันมาเยือนก็เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น อีกอย่างท่านอาวุโสก็อายุมากแล้ว อยากเห็นเหลนสะใภ้ว่าหน้าตาและนิสัยใจคอเป็นเช่นไร ท่านหมอฮว่าเหยียนคงจะไม่ปฏิเสธนะขอรับ”
ถังเฉียนอยากบอกว่าเถิงเฟิงป่วยอยู่ นางก็อยากจะไปเยี่ยม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะระยะนี้ฮว่าเหยียนช่วยเหลือนางหลายครั้งหรือไม่ นางจึงเริ่มไว้ใจการตัดสินใจของฮว่าเหยียนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนางเข้ามาแล้วถอดหน้ากากออกต่อหน้าคนแปลกหน้า ไม่กลัวเสียหน้าเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้นั้นสำคัญมาก
“พูดเช่นนี้เท่ากับหาว่าเราไม่รู้จักธรรมเนียม ถ้าเช่นนั้นข้าจะส่งเทียบคารวะไป รบกวนท่านสักครั้ง นำเทียบไปส่ง จากนั้นฮว่าเหยียนจะพาลูกสาวไปเยี่ยมคารวะท่านอาวุโส ดีหรือไม่”
“นี่…”
เค่ออี้ได้ฟังเช่นนี้ก็ลังเล แต่เมื่อเห็นว่าฮว่าเหยียนไม่ยอมอ่อนข้อก็รู้ว่าเรื่องนี้ยากแล้ว ในเมื่อท่านอาวุโสบอกว่าเชิญและสถานะถูกกำหนดชัดแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าบีบคั้น จึงพูดว่า
“ขอรับ อย่างไรท่านหมอฮว่าเหยียนก็เป็นผู้อาวุโส เค่ออี้จะส่งข่าวถึงเขาศักดิ์ศิทธิ์ทันที แต่ไม่รู้ว่าท่านกับคุณหนูอาหรูน่าจะออกเดินทางเมื่อไหร่ ไปถึงเวลาไหน ทางเราจะได้เตรียมพร้อมขอรับ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น